|
| |
|
|
|
|
MySite.com :: ดูกระทู้ - * หัวใจเกษตรไท ท้อง 3 "เทคโนโลยี "
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11689
|
ตอบ: 25/01/2024 8:37 am ชื่อกระทู้: * หัวใจเกษตรไท ท้อง 3 "เทคโนโลยี " |
|
|
.
.
*******************************************************
หัวใจเกษตรไท ห้อง 3 เทคโนโลยี
** ขาดทุนเพราะเทคโนโลยีผิด หรือปฏิเสธเทคโนโลยี 20%
** ซูเรียม พรีเมียม เกรด เอ. จัมโบ้ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง ออกนอกฤดู ปลอดสาร เคมี คนนิยม ไม่พอขาย จองล่วงหน้าข้ามปี
** เครื่องทุ่นแรง ประหยัด เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลเนื้องาน กว่า 100 เท่า
** นาข้าว 2รุ่น ล้างหนี้ 1ล้านแล้ว ยังเหลือ 2ล้าน
** ขายข้าว 1 แสน เหลือเงิน 40 บาท
** ชาวนาญี่ปุ่น ต้นทุน 23,000 ขายได้ 100,000
** ชาวนาไทย ต้นทุน 3,000 ขายได้ 100,000
*******************************************************
หลักการละเหตุผล :
เทคโนโลยี คือ การนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติให้เกิดผลเป็นสิ่งที่วัดได้ หรือจับต้องได้ เทคโนโลยีจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเทคโนโลยีจึงถูกกำหนดเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่มีราคาซื้อขายกันในตลาด
เทคโนโลยีชีวภาพ คือ เทคโนโลยีซึ่งนำเอาความรู้ทางด้านต่างๆ ของวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต หรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต หรือผลผลิตของสิ่งมีชีวิต เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทางการผลิต หรือทางกระบวนการของสินค้า หรือบริการ เพื่อใช้ประโยชน์เฉพาะอย่างตามที่ต้องการ สามารถใช้ประโยชน์ทางด้านต่างๆ เช่น เกษตร อาหาร สิ่งแวดล้อม การแพทย์ เป็นต้น
http://www.thaibiotech.info/biotechnology-herbal-medicine.php
เทคโนโลยีการเกษตร :
ผักอินทรีย์ : หมายถึง ผักที่ผลิตจากวัตถุธรรมชาติ 100% ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้สารเคมียาฆ่าแมลงและสารกำจัดวัชพืช ไม่ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ และไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม
ปุ๋ยอินทรีย์ : หมายถึง สารอาหารพืชที่ได้จากการวัสดุธรรมชาติ ที่ผ่านกระบวน การผลิตอย่างถูกต้องเหมาะสม จนพืชสามารถรับได้ ทั้งทาง และ/หรือ ทางราก เช่น น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (วัสดุธรรมชาติ : กุ้งหอยปูปลาทะเล เลือด ไขกระดูก นม น้ำมะพร้าว มูลค้างคาว)
ผักปลอดสารพิษ : หมายถึง ผักที่ไม่มีสารเคมียาฆ่าแมลงตกค้าง ในผลผลิตมีสารตกค้างไม่เกินระดับมาตรฐานที่กำหนด
ผักไร้สารพิษ : หมายถึง ผักที่ไม่ใช้สารเคมียาฆ่า หรือปุ๋ยเคมี แต่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ในผลผลิตต้องไม่มีสารพิษใดๆตกค้าง ทั้งสิ้น
ผักอนามัย : หมายถึง ผักที่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญ เติบโตได้ มีสารตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนด มีวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว การขนส่ง และการบรรจุหีบห่อมาตรฐาน
ไม่ไถพรวน : หมายถึง การไม่ไถพรวน คือ พื้นฐานของเกษตรธรรมชาติ เนื่องมาจากธรรมชาตินั้น พื้นดินมีการไถพรวนโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยการแทรกชอนของรากพืช และการกระทำของจุลินทรีย์ทั้งหลาย รวมถึงสัตว์เล็กๆ และไส้เดือน
งดเว้นปุ๋ยเคมี : หมายถึง การปล่อยให้ดินอยู่ในสภาพของมันเอง ดินจะสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นไปตามวงจรพืชและสัตว์อย่างเป็นระเบียบเกษตรยั่งยืนแบบไร้สารพิษ
ไม่กำจัดศัตรูพืช : หมายถึง วัชพืช ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และช่วยให้เกิดความสมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ
ไม่ใช้สารเคมี : หมยถึง ในสภาพของเกษตรธรรมชาตินั้น หากปล่อยไว้ตามลำพังจะอยู่ในสภาพที่สมดุล แมลงที่เป็นอันตราย และโรคพืชมักมีเสมอ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในธรรมชาติ จนถึงระดับที่ต้องใช้สารเคมีที่มีพิษเกษตรยั่งยืนแบบไร้สารพิษ หมายถึง ระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีเพื่อป้องกันหรือปราบปรามศัตรูพืชหรือปุ๋ยเคมีทุกชนิด จะใช้แต่ปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหมดและผลผลิตที่เก็บเกี่ยวแล้ว ต้องไม่มีสารพิษใดๆ ทั้งสิ้น
( สาระน่ารู้ เทคโนโลยีชาวบ้าน. 2545 : 55 )
เตรียมดิน เตรียมแปลง :
เกษตร อินทรีย์-เคมี ผสมผสาน :
- ไถดิน ขี้ไถขนาดใหญ่ ตากแดดจัด 15 แดด ถ้าฝนตกให้ไถใหม่เริ่มนับ 1 ตากแดดใหม่
- ตากแดดดินครบกำหนด ใส่อินทรีย์วัตถุ "ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น. ขี้วัวขี้ไก่แกลบเก่า" ผสมเข้ากันแล้วหว่านทั่วแปลง แล้วไถพรวน ปรับสันแปลงให้เป็นหลังเต่า คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหนาๆ
- คลุมหน้าแปลงแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 แล้วทิ้งไว้ 10-20 วัน จึงลงมือปลูก (หว่านเมล็ด ปลูกกล้า)
( ไม่ต้องปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระแทก-กระทุ้ง เพราะในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงมีแล้ว อนาคตยังมีทางใบ ทั้งปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนธรรมชาติ ให้อีก ที่สำคัญ ดินดี ได้แล้วกว่าครึ่ง ดินไม่ดี เสียแล้วกว่าครึ่ง .... เอาเงินค่าปุ๋ยเคมีมาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ จ่ายน้อยกว่า แต่ประโยชน์ต่อพืชมากกว่า )
หมายเหตุ :
- ระยะเวลาจากให้น้ำหมักฯ 10-20 วัน เป็นการบ่มดิน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์เข้าทำการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปรับสภาพดิน
- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงมีส่วนผสม "ปลาทะเล. กากน้ำตาล. เลือด. ขี้ค้าง คาว. ไขกระดูก. นม. น้ำมะพร้าว." หมักนานข้าม 1-2-3 ปี จากส่วน ผสมทุกอย่างเป็น "อินทรีย์" แท้ๆ .... เมื่อเติม 30-0-0, แม็กเนเซียม, สังกะสี, ธาตุรอง/ธาตุเสริม ลงไปเป็น เคมี นี่คือ อินทรีย์เคมี ผสมผสาน
- อย่ากังวลว่า ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระทุ้ง-กระแทก แล้วต้นผักจะไม่โต สาเหตุที่ผักไม่โตไม่ใช่เพราะปุ๋ยน้อย แต่เป็นเพราะ ดิน .... ตราบใดที่ดินไม่ดี ดินไม่สมบูรณ์ ดินไม่มีอินทรีย์วัตถุ ดินไม่มีจุลินทรีย์ ดินเป็นกรด ต่อให้ใส่ปุ๋ยไร่ละกระสอบ สองสามกระสอบ ใส่ไร่ละตันต้นผักก็ไม่โต ตรงกันข้าม จะเล็กลงๆ ๆๆ เพราะ ปุ๋ยเป็นพิษ-ดินไม่กินปุ๋ย
- กรณีพืชอายุสั้น ฤดูกาลเดียว (พืชสวนครัว-พืชไร่-ไม้ดอก-นาข้าว) จำนวนต้นมากต่อพื้นที่ปลูก นั่นคือ ระบบรากย่อมกระจายไปทั่วทุกตารางนิ้วของพื้นที่ปลูกในแปลง การใส่ปุ๋ยชนิดเม็ด (อินทรีย์อัดเม็ด-เคมี) โดย หว่านด้วยมือ เม็ดปุ๋ยจะตกกระ จายกว้างไกลเท่าแรงคนหว่านทำได้ ซึ่งเม็ดปุ๋ยคงไม่ตกลง ณ โคนกอพืช ทุกกอ กอละ 1-2-3 เม็ด เท่ากันตามต้องการ แบบนี้กอไหนได้ปุ๋ย กอนั้นจะเขียวงาม กอไหนไม่ได้ปุ๋ยก็ไม่เขียวงาม คนหว่านปุ๋ยบอกบ่า ปุ๋ยน้อย ว่าแล้วหว่านปุ๋ยเพิ่มอีก .... ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยวิธีของเกษตรกร อเมริกา-ยุโรป-ออสเตรเลีย โดยผสม ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง+ปุ๋ยเคมี+ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ+อื่นๆ+น้ำ ปริมาณตามต้องการ
( ยกตัวอย่าง .... นาข้าว : น้ำ 200 ล.+ยิบซั่ม 25 กก.+กระดูกป่น 10 กก.+ปุ๋ยน้ำชีวภาพ 2 ล.+ ปุ๋ยเคมี 10 กก.+อื่นๆ 2-3 ล. สำหรับนาข้าว 1 ไร่ )
ในถังติดตั้งหน้ารถไถ คนเคล้าให้เข้ากันดี ขณะวิ่งรถไถ เปิดวาล์ว ซ้าย-ขวา ที่ก้นถังให้น้ำละลายสารอาหารออกมา เร็ว/ช้า ตามต้องการ ขณะที่น้ำสารอาหารหยดลงพื้นด้านหน้ารถไถนั้น ผานโรตารี่ที่ไต้ท้องรถไถจะตีพรวน ให้ดินและน้ำสารอาหารเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน กระจายทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้ต้นพืชได้รับสาร อาหาร (อินทรีย์-เคมี) เท่ากันทุกต้นทุกกอ
ผักสวนครัวแบบ เกษตรอินทรีย์-เคมี :
ความสำเร็จ :
- เกิดจาก หัว+ใจ = ใจ....
หัว คือ สมอง ..... สมอง คือ ความรู้ .... ความรู้ คือ เรียน+ทำ .... เรียน+ทำ ตามคนที่ประสบความสำเร็จ ....
ใจ คือ สติ (ไม่หลงตัวเอง), พฤติกรรม (ไม่ยึดติดแบบเดิมๆ), สัมมาทิฐิ (มุ่งมั่นแน่วแน่ ทำตามแนวทางที่ถูกต้องของธรรมชาติของพืช)
- เกษตรอินทรีย์ แรกๆดี เพราะปุ๋ยอินทรีย์ต้นทุนเดิมในดินเหลือตกค้างมาก จุลินทรีย์ในชีวภาพเป็นผู้ดึงออกมาให้พืชได้กิน
- รอบรู้/รู้รอบ ว่าด้วย สมการเกษตร ทุกอย่างที่ เกี่ยวเนื่อง/เกี่ยวข้อง กับเกษตรแบบอินทรีย์ 100%
ความล้มเหลว ด้านปุ๋ย :
-ไม่ยึดหลักสมการปุ๋ยอินทรีย์
- ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำ/แห้ง แบบไม่มีสารอาหาร เพราะทำผิด .... แก้ไข ปรับเป็นสูตร มั่วซั่วซุปเปอร์ หรือ ฟาจีก้า
- ในปุ๋ยอินทรีย์แห้งไม่มีสารอาหาร เพราะทำผิด .... แก้ไข ปรับเป็นสูตร ปุ๋ยคอกซุปเปอร์ หรือ ไบโอโซลิต หรือ ไบโอซัมมิต
- ดิน/จุลินทรีย์ ไม่พร้อม ..... แก้ไขโดย ทำ/ใส่ สิ่งที่ถูกต้องอย่างมีหลักวิชาการรองรับ (ไม่มีความรู้ ให้ทำตามโผ) .... แม้ไม่ได้ ใส่/ให้/ทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ไม่ควร ทำ/ใส่/ให้ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง .... ความ ถูกต้อง/ไม่ถูกต้อง วัดที่พืช ไม่ใช่วัดที่คน .... และความถูกต้องที่สุด คือ ต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนกลายเป็น ประวัติดิน
ความล้มเหลว ด้านสารสมุนไพร :
- ไม่ยึดหลัก สมการสารสมุนไพร
-ไม่ยึดหลักทฤษฎี ป้องกัน กับ กำจัด
- ทำไม่ทัน/ไม่ได้ทำ เพราะเครื่องทุ่นแรงแบบเก่าๆ (เปรียบเทียบ ลากสายยาง กับ สปริงเกอร์/หม้อปุ๋ย)
================================================
ดินต้องมาก่อน
ฯลฯ ..... เตรียมดิน เตรียมแปลง .... ฯลฯ
- ประวัติดิน ปลอด 100% ปุ๋ยเคมี สารเคมียาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ติดต่อกันมานาน 2-3 ปี
- ไถดิน ขี้ไถขนาดใหญ่ ตากแดดจัด 15 แดด ถ้าฝนตกให้ไถใหม่เริ่มนับ 1 ตากแดดใหม่
- ตากแดดดินครบกำหนด ใส่อินทรีย์วัตถุ "ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น. ขี้วัวขี้ไก่แกลบเก่า" ผสมเข้ากันแล้วหว่านทั่วแปลง แล้วไถพรวน ปรับสันแปลงให้เป็นหลังเต่า คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหนาๆ
- คลุมหน้าแปลงแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (ไม่ปุ๋ยเคมี) แล้วทิ้งไว้ 10-20 วัน จึงลงมือปลูก (หว่านเมล็ด ปลูกกล้า)
หมายเหตุ :
- ระยะเวลาจากให้น้ำหมักฯ 10-20 วัน เป็นการบ่มดิน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์เข้าทำการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปรับสภาพดิน
- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงมีส่วนผสม "ปลาทะเล. กากน้ำตาล. เลือด. ขี้ค้าง คาว. ไขกระดูก. นม. น้ำมะพร้าว." หมักนานข้าม 1-2-3 ปี จากส่วนผสมทุกอย่างเป็น "อินทรีย์" แท้ๆ
- เพื่อชดเชยหรือทดแทนสารอาหารในปุ๋ยอินทรีย์ (ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น. ขี้วัวขี้ไก่แกลบเก่า และน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง) ที่อาจมีน้อย ไม่เพียงต่อความต้องการของผัก แก้ไขด้วยการ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ฮอร์โมนธรรมชาติ ด้วยการให้บ่อยๆ
========================================
เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- แช่เมล็ดพันธุ์ใน น้ำ 50 องศา +ไคโตซาน. สังกะสี. โบรอน. 3-6 ชม. แล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง แห้งแล้วนำไปหว่านในแปลงเพาะกล้าได้เลย หรือจะเพาะในแปลงเพาะกล้าก่อนก็ได้
- หว่านเมล็ดในแปลงจริงทำให้สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์ เพราะเมื่องอกขึ้นมาแล้วต้องถอนแยกบางต้นที่เบียดกันออก แต่ถ้าเพาะเมล็ดในกระบะเพราะเมล็ด (1 ช่อง : 1 เมล็ด) เป็นกล้าก่อน เมื่อต้นกล้าโตได้ 2-3 ใบจึงย้ายไปปลูกในแปลงจริง นอกจากไม่สิ้นเปลืองเมล็ดพันธ์แล้ว ยังได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์แข็งแรงดีอีก
บำรุง :
ผักกินผล : (เถา .... ถั่วฝักยาว ถั่วพู มะระ ฟัก บวบ แตง ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น ขี้ค้างคาว นมสด น้ำต้มก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ เดือนละครั้ง
ผักกินผล : (พุ่ม .... มะเขือ พริก ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น ขี้ค้างคาว นมสด น้ำต้มก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 เดือนละครั้ง
ผักกินยอด : (ตำลึง มะระแม้ว ชะอม หวานบ้าน หวานป่า ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำต้มก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 เดือนละครั้ง
ผักกินดอก : (ขจร แค ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น ขี้ค้างคาว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 เดือนละครั้ง
ผักกินหัว : (ขิง ข่า ไชเท้า แคร็อท หอม กระเทียม ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น ขี้ค้างคาว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 5-10-40 เบียร์สด สาโท เดือนละครั้ง
ผักกินใบ : (คะน้า ผักกาด โหระพา แมงลัก กระเพา ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า (เน้น นมสด น้ำต้มก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว) + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ครั้งเดียว เริ่มปลูก
ผักกินใบ อายุยืน : (ผักหวานบ้าน, ผักหวานป่า, มะกรูด, ยอ ฯลฯ)
ทางใบ : ฟาจีก้า เหล็กคีเลต น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำต้มก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว + สมุนไพร
ทางราก : น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 เดือนละครั้ง
เคล็ด (ไม่) ลับบำรุง เฉพาะผักบางชนิด :
ผักกาดขาวปลี : ............... ให้โมลิบดินั่ม ช่วยให้ปลีแน่น
ผักคะน้า : ..................... ให้แคลเซียม โบรอน ช่วยให้ต้นไม่มีเสี้ยน
ผักกาดแก้ว : .................. ให้แม็กเนเซียม. สังกะสี. (ในไบโออิ) ตอนบ่าย ใบไม่ตกปรกดิน
ผักชี : ......................... ให้ 12-60-0 หรือ ขี้ค้างคาวหมักข้ามปี อาทิตย์ละครั้ง ช่วยให้รากใหญ่
ผักชีไทย (ใบฝอย) : .... ให้มีฟางแห้ง แข็ง คลุมหน้าปลง หมั่นยกฟางให้ฟูขึ้น ก้านฟางจะช่วยรองรับก้านใบผักชีไม่ให้ลู่เอนลง เพราะก้านใบลู่ลงแล้วฉีดขาด จึงเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าได้
กุยช่าย : ................ ให้แคลเซียม โบรอน สม่ำเสมอ เสี้ยนน้อยลง
ผักบุ้งจีน : .............. ให้แคลเซียม โบรอน + นมสด ต้นอ่อนถึงโคน รากอ่อนนิ่มกินได้
แตงกวา : ............... ผลมีรสขม สาเหตุเพราะขาดธาตุรอง/ธาตุเสริม
มะเขือเปราะ : .......... ให้แคลเซียม โบรอน. สม่ำเสมอ เนื้อนุ่มกรอบ เมล็ดขาวอ่อน
ถั่วงอก : ................ ให้ฮอร์โมนสมส่วน น้ำคั้นเมล็ดเริ่มงอก+น้ำคั้นไชเท้า หรือ น้ำมะพร้าวอ่อน+น้ำมะพร้าวแก่ ถั่วงอกขาวยาวใหญ่
สะระแหน่ : ............. ให้น้ำล้างเขียงปลา ใบใหญ่ ยอดใหญ่
ผักเถากินผล : .......... อากาศหนาว ดอกตัวผู้มากกว่าดอกตัวเมีย แก้ไขโดย ระยะจ้นเล็ก มีใบ 10-12 ใบ ให้จิ๊บเบอเรลลิน 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน จะช่วยให้ได้ดอกตัวเมียมากขึ้น
เห็ดโรงเรือน : ...... ให้ ยูเรก้า 1.5 ซีซี./น้ำ 20 ล. ตอนค่ำ วันเว้นวัน เมื่อดอกเริ่มเกิด ฉีดขึ้นเพดานให้ละอองปลิวลงมาสัมผัสดอกเห็ด
พืชสมุนไพร : ...... ทางใบ : ให้ฟาจีก้า (เดี่ยวๆ) .... ทางราก : ให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ขั้น 2 (งดปุ๋ยเคมีเด็ดขาด)
การ ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืช :
สปริงเกอร์ :
* เช้ามืด .............. ฉีดล้างน้ำค้างกำจัดราน้ำค้าง
* สาย ................ 10 โมงเช้า ให้ ปุ๋ย/ฮอร์โมน +ยาสมุนไพร
* เที่ยง มีแดด ........ กำจัดเพลี้ยไฟ
* เที่ยง ไม่มีแดด .... กำจัดไรแดง
* กลางวันฝนตก ..... วันฝนตกต่อแดด ล้างน้ำฝนป้องกันกำจัดแอนแทร็คโนส
* กลางวันฝนตก ..... ก่อนฝนตก หรือหลังฝนตก ให้ปุ๋ยกดใบอ่อนสู้ฝน
* ค่ำ .................. ล้างช่อกำจัดราดำ กำจัดเพลี้ยจักจั่น, หนอนเจาะช่อดอก
* มืด ................. กำจัดแม่ผีเสื้อเข้าวางไข่. หนอนออกหากิน
ไอพีเอ็ม :
- กับดักสีเหลือง กาวเหนียว (กลางวัน)
- กับดัก กาวเหนียว แสงไฟ (กลางคืน)
- บำรุงต้นให้สมบูรณ์ เป็นภูมิต้านทาน
- ปลูกพืชกลิ่นไล่ แซม/แทรก
- อนุรักษ์แมลงธรรมชาติ
พืชไร่ :
เตรียมดิน เตรียมแปลงเกษตร แบบ อินทรีย์-เคมี สำหรับพืชไร่โดยเฉพาะ :
- เพราะพื้นที่ปลูกพืชไร่มีน้ำน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ปลูกพืชนิดอื่น นั่นคือ พื้นที่ปลูกพืชไร่มีความแห้งแล้งมากที่สุด กอร์ปกับเพราะพืชไร่เป็นพืชต้องการน้ำน้อย ระดับ ชื้น (ชื้น ชุ่ม โชก แฉะ แช่) เท่านั้น จึงอยู่ได้ แต่มิได้หมายความว่า พืชไร่ไม่ต้องการน้ำเลย วิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยพืชไร้ได้ คือ สร้างหรือใส่วัสดุอุ้มน้ำให้หน้าที่เสมือนฟองน้ำไว้ไต้ดิน นั่นคือ เศษซากพืชโดยเฉพาะ แกลบ ที่ย่อยสลายยาก อยู่ในเนื้อดินได้นานนับ 10 ปี
รูปแบบบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ :
แบบใช้เงิน : ซื้อ 100% ยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ (มากๆ) 3 อย่างรวมกันประมาณ 2-3 ตัน/ไร่ แล้วไถกกลบลงดินลึก
แบบใช้เงิน ไม่ได้เงิน แต่ได้ดิน .... ปลูกถั่วบำรุงดินของกรมพัฒนาที่ดิน เมื่อต้นถั่วเริ่มออกดอกให้ไถกลบ ทำซ้ำ 2-3 รุ่น
แบบใช้เงิน ได้เงิน ได้ดิน : ปลูกถั่วไร่ (เขียว เหลือง-แดง-ดำ-ขาว), งา, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, ทานตะวัน เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วใส่ ยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ (มากๆ) 3 อย่างรวมกันประมาณ 2-3 ตัน/ไร่ ไถกลบเศษซากต้นลงดิน ทำซ้ำ 2-3 รอบ
- ไถดิน ขี้ไถขนาดใหญ่ ตากแดดจัด 15 แดด ถ้าฝนตกให้ไถใหม่เริ่มนับ 1 ตากแดดใหม่
- ตากแดดดินครบกำหนด ใส่อินทรีย์วัตถุ "ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น. ขี้วัวขี้ไก่แกลบเก่า" ผสมเข้ากันแล้วหว่านทั่วแปลง แล้วไถพรวน ปรับสันแปลงให้เป็นหลังเต่า คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหนาๆ
- คลุมหน้าแปลงแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 แล้วทิ้งไว้ 10-20 วัน จึงลงมือปลูก (หว่านเมล็ด ปลูกกล้า)
( ...ไม่ต้องปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระแทก-กระทุ้ง เพราะในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงมีแล้ว อนาคตยังมีทางใบ ทั้งปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนธรรมชาติ ให้อีก ที่สำคัญ ดินดี ได้แล้วกว่าครึ่ง ดินไม่ดี เสียแล้วกว่าครึ่ง ... เอาเงินค่าปุ๋ยเคมีมาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ จ่ายน้อยกว่า แต่ประโยชน์ต่อพืชมากกว่า.. )
- ระยะเวลาจากให้น้ำหมักฯ 10-20 วัน เป็นการบ่มดิน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์เข้าทำการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปรับสภาพดิน
- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงมีส่วนผสม "ปลาทะเล. กากน้ำตาล. เลือด. ขี้ค้าง คาว. ไขกระดูก. นม. น้ำมะพร้าว." หมักนานข้าม 1-2-3 ปี จากส่วนผสมทุกอย่างเป็น "อินทรีย์" แท้ๆ .... เมื่อเติม 30-0-0, แม็กเนเซียม, สังกะสี, ธาตุรอง/ธาตุเสริม ลงไปเป็น เคมี นี่คือ อินทรีย์เคมี ผสมผสาน
- อย่ากังวลว่า ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระทุ้ง-กระแทก แล้วต้นผักจะไม่โต สาเหตุที่ผักไม่โตไม่ใช่เพราะปุ๋ยน้อย แต่เป็นเพราะ ดิน .... ตราบใดที่ดินไม่ดี ดินไม่สมบูรณ์ ดินไม่มีอินทรีย์วัตถุ ดินไม่มีจุลินทรีย์ ดินเป็นกรด ต่อให้ใส่ปุ๋ยไร่ละกระสอบ สองสามกระสอบ ใส่ไร่ละตันต้นผักก็ไม่โต ตรงกันข้าม จะเล็กลงๆ ๆๆ เพราะ ปุ๋ยเป็นพิษ-ดินไม่กินปุ๋ย
- กรณีพืชอายุสั้น ฤดูกาลเดียว (พืชสวนครัว-พืชไร่-ไม้ดอก-นาข้าว) จำนวนต้นมากต่อพื้นที่ปลูก นั่นคือ ระบบรากย่อมกระจายไปทั่วทุกตารางนิ้วของพื้นที่ปลูกในแปลง การใส่ปุ๋ยชนิดเม็ด (อินทรีย์อัดเม็ด-เคมี) โดย หว่านด้วยมือ เม็ดปุ๋ยจะตกกระ จายกว้างไกลเท่าแรงคนหว่านทำได้ ซึ่งเม็ดปุ๋ยคงไม่ตกลง ณ โคนกอพืช ทุกกอ กอละ 1-2-3 เม็ด เท่ากันตามต้องการ แบบนี้กอไหนได้ปุ๋ย กอนั้นจะเขียวงาม กอไหนไม่ได้ปุ๋ยก็ไม่เขียวงาม คนหว่านปุ๋ยบอกบ่า ปุ๋ยน้อย ว่าแล้วหว่านปุ๋ยเพิ่มอีก .... ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยวิธีของเกษตรกร อเมริกา-ยุโรป-ออสเตรเลีย โดยผสม ปุ๋ยอิน ทรีย์แห้ง+ปุ๋ยเคมี+ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ+อื่นๆ+น้ำ ปริมาณตามต้องการ
( ยกตัวอย่าง .... นาข้าว : น้ำ 200 ล.+ยิบซั่ม 25 กก.+กระดูกป่น 10 กก.+ปุ๋ยน้ำชีวภาพ 2 ล.+ ปุ๋ยเคมี 10 กก.+อื่นๆ 2-3 ล. สำหรับนาข้าว 1 ไร่ )
ในถังติดตั้งหน้ารถไถ คนเคล้าให้เข้ากันดี ขณะวิ่งรถไถ เปิดวาล์ว ซ้าย-ขวา ที่ก้นถังให้น้ำละลายสารอาหารออกมา เร็ว/ช้า ตามต้องการ ขณะที่น้ำสารอาหารหยดลงพื้นด้านหน้ารถไถนั้น ผานโรตารี่ที่ไต้ท้องรถไถจะตีพรวน ให้ดินและน้ำสารอาหารเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน กระจายทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้ต้นพืชได้รับสาร อาหาร (อินทรีย์-เคมี) เท่ากันทุกต้นทุกกอ
=================================================
=================================================
อ้อย
แรงบันดาลใจ :
* วังขนาย ทำอ้อยได้ 100 ตัน/ไร่ เพราะอินทรีย์วัตถุและสารอาหารในดินจำนวนมาก จุลินทรีย์ทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำ คอยอุ้มน้ำไว้ให้ที่ไต้พื้นดิน
* มิตรผล ทำได้ 50 ตัน/ไร่ เพราะอินทรีย์วัตถุและสารอาหารในดินจำนวนมาก จุลินทรีย์ทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำ คอยอุ้มน้ำไว้ให้ที่ไต้พื้นดิน
* ช่วงแล้งจัด (ม.ค.-ก.พ.-มี.ค.-เม.ย.) อ้อยไม่ใบเหลืองแต่ยังเขียวสดได้ เพราะมีอินทรีย์วัตถุในดินจำนวนมาก และจุลินทรีย์ทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำ คอยอุ้มน้ำไว้ให้ที่ไต้พื้นดิน
* อ้อยน้ำขังค้าง (ลึก 1 ม.) แช่นาน 2-3 เดือน (ปี 54) บำรุงด้วยไบโออิ โดยฉีดพ่นทางใบ ด้วยเครื่องโอเวอร์เฮด เดือนละ 1 ครั้ง แล้วไม่ตายกระทั่งน้ำลดปกติยังเหลือขายได้กำไร เพราะอ้อยรับสารอาหารทางปากใบได้
บำรุง : ให้ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (2-3 ล.)/ไร่" เนื้อปุ๋ยเท่านี้ แต่น้ำมากๆ ปล่อยน้ำเข้าไปตามร่องระหว่างแถวปลูก ให้ท่วมเต็มร่อง เท่ากับเป็นการให้น้ำไปในตัว .... ให้สูตรนี้ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงตัด
หมายเหตุ :
- อ้อยต้องการน้ำ 4 ครั้งตลอดอายุ ....
* ครั้งที่ 1 หลังปลูก (ตอ 1) หรือหลังเจียนตอ (ตอ 2-3-4-5-) เสร็จภายใน 3 วัน....
* ครั้งที่ 2 เริ่มยางปล้อง....
* ครั้งที่ 3 และ 4 อ้อยโต
- ในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงมี .... ปุ๋ยเคมี (8-24-24, แม็กเนเซียม, สังกะสี, ธาตุรอง/ธาตุเสริม, ฮิวมิก แอซิด, เรียบร้อยแล้ว .... ปุ๋ยอินทรีย์ (จาก ปลาทะเล, ไขกระดูก, เลือด, ขี้ค้างคาว, นม, น้ำมะพร้าว) จึงไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มอีก
- เครื่องมือในการให้น้ำ .... พื้นที่ลาดเอียง : ปล่อย น้ำ+ปุ๋ย ไหลจากลาดสูงไปลาดต่ำ .... พื้นที่ราบ : ใช้เครื่องฉีดพ่นน้ำ หรือโอเวอร์เฮด ฉีดพ่นจากใบลงพื้น
- สิ่งที่อ้อยต้องการมากที่สุด คือ น้ำ ....วันนี้มีงานวิจัยจากนักวิชาการ (อุดม การณ์) จาก 4 มหาวิทยาลัย ยืนยันผลงานวิจัยตรงกันว่า อ้อยต้องการน้ำ 4-5 ครั้ง
=================================================
=================================================
สำปะหลัง
เครื่องปลูกมันสำปะหลังแบบพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ แบบ 1 แถว
นายประสาท แสงพันธุ์ตา กลุ่มวิจัยวิศวกรรมผลิตพืช
สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม 0 2579 2757, 0 2940 5583
ข่าว ทีวี. สำปะหลัง อู่ทอง สุพรรณบุรี ทำได้ 60 ตัน/ไร่ ในข่าวไม่มีรายละเอียดว่า พันธุ์อะไร ? ให้ปุ๋ยยังไง ? ให้น้ำหรือเปล่า ? แต่เท่าที่สังเกตจากภาพในจอ ทีวี. เห็นชัด ใบดกตั้งแต่ยอดถึงดิน ใบใหญ่เท่าฝ่ามือ ดินร่วน ตัดต้นเหลือตอสูงจากพื้นครึ่งศอกแขนแล้วใช้มือถอนสำปะหลังขึ้นมาทั้งกอได้ .... งานนี้เราเอาแค่ 30 ตัน/ไร่ ก็น่าจะพอ เพราะที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ได้แค่ 3-5 ตัน/ไร่ เท่านั้น
สำปะหลัง 60 ตัน เอาแค่ 30 ตัน :
เตรียมท่อนพันธุ์ :
- เตรียมถังขนาดใหญ่ ใส่น้ำ 100 ล. + ไบโออิ 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + ยูเรก้า 100 ซีซี. .... สังกะสี ในไบโออิ, โบรอน ในแคลเซียม โบรอน ส่งเสริมการงอกของรากของท่อนพันธุ์, ไคโตซาน ในยูเรก้า ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับท่อนพันธุ์
- ตัดท่อนพันธุ์ตั้งฉาก ท่อนพันธุ์ยาว 1 ศอกแขน ตัดแล้วร่วงลงน้ำทันที
- แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำ 5-6 ชม. นำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง แล้วนำไปปลูก
- ปลูกแบบปักท่อนพันธุ์ให้ตั้งฉากกับพื้น ลึกลงดิน 3 ใน 4 ส่วนของความยาว (ความยาว 1/2 ศอกแขน)
บำรุง :
ทางใบ : น้ำ 200 ล. + ไบโออิ 5-10-40 (200 ซีซี.) + สารสมุนไพร 1 ล. ให้เปียกโชกทั้งไต้ใบบนใบ ทุก 15 วัน
ทางราก : ให้น้ำตามความเหมาะสมเป็นการให้น้ำไปในตัว +น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5-10-40 (2 ล./ไร่) เดือนละครั้ง
หมายเหตุ :
- บำรุงตั้งแต่เริ่มปลูกถึงขุด
- การให้ น้ำ + ปุ๋ย ทางใบ เป็นการสร้างความชื้นโดยตรง กับการให้ น้ำ+ ปุ๋ย หรือน้ำ เปล่า ทางราก น้ำที่ระเหยจากดินขึ้นไปบนอากาศจะเป็นการสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ซึ่งนอกจากช่วยป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งได้แล้ว ยังสร้างความสมบูรณ์ของต้น ส่งผลให้ผลผลิตดีอีกด้วย
- สำปะหลังที่ไม่มีการให้น้ำ ต้นเรียวเล็ก-ใบเล็ก-จำนวนใบน้อย ที่ปลายยอด นอกจากผลผลิตได้น้อย โรคมากแล้ว เอาต้นไปทำพันธุ์ต่อก็ไม่ดี ผิดกับสำปะหลังที่ได้ น้ำ+ปุ๋ย ทั้งทางใบทางราก มีใบมาก สังเคราะห์อาหารได้มาก ผลผลิตมาก โรคน้อย ต้นใหญ่สมบูรณ์ ใช้หรือจำหน่ายต้นพันธุ์ได้ราคาอีกด้วย
สำปะหลังแบบก้าวหน้า :
1. ปลูกแบบ แถวตอนเรียง 1 ยาวตามร่องปลูกแบบเดิม สำปะหลัง 1 กอจะให้หัว 1 พวง ถ้าปรับใหม่เป็นปลูกแบบ แถวตอนเรียง 2 ยาวตามร่องปลูกเดิม เป็นสำปะหลัง 2 กอ เท่ากับได้หัวสำปะหลัง 2 พวง บนพื้นที่เท่าเดิม .... ติดสปริงเกอร์ ให้น้ำ ให้ปุ๋ยทั้งทางใบทางราก รุ่นเดียวที่ได้ทุนคืน ถ้าไม่มีสปริงเกอร์จะลากสายยางก็ได้ ที่สำคัญขอให้สำปะ หลังได้น้ำได้ปุ๋ยก็แล้วกัน
2. ปลูกสำปะหลังแบบแถวตอนเรียง 2 แต่ละกอทำเป็น สำปะหลังคอนโด โดย 1 กอให้ 2-3 พวง บำรุงเต็มที่ตามความเหมาะสมของสำปะหลัง จะได้หัวสำปะหลังมากกว่า 2 พวง/กอ บนพื้นที่เท่าเดิม .... จากสำปะหลัง 1 กอได้หัว 1 พวง ถ้าสำปะหลัง 2 กอ 3 กอ 4 กอ ได้หัวกอละ 1 พวง บนเนื้อเท่าเดิมจะได้ไหม ?
3. ระยะยังไม่ลงหัว บำรุงต้นให้ลำต้น สูง-ใหญ่-ใบมาก เมื่อถึงระยะเริ่มลงหัวให้ตัดต้นไปขายก่อน แล้วบำรุงตอสร้างต้นใหม่ ซึ่งการบำรุงตอสร้างต้นใหม่นี้ จะไม่ส่งผลเสียต่อการสร้างหัวแต่อย่างใด
สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง :
- สำปะหลัง ต้นเดี่ยว-คนเลี้ยง อู่ทอง สุพรรณบุรี ...... ได้ 60 ตัน /ไร่
- สำปะหลังแบบเดิม ต้นเดี่ยว-เทวดาเลี้ยง ................. ได้ 4 ตัน /ไร่
- สำปะหลังแบบเดิม ต้นเดี่ยว-คนเลี้ยง ...................... ได้ 10 ตัน /ไร่
- สำปะหลัง แบบก้าวหน้า ต้นคู่-เทวดาเลี้ยง .............. ได้ 8 ตัน /ไร่
- สำปะหลัง แบบก้าวหน้า ต้นคู่-คนเลี้ยง ................... ได้ 20 ตัน /ไร่
4. ปลูกสำปะหลังแบบก้าวหน้า 10 ไร่ ลงทุนให้น้ำกับผลผลิตที่ได้ คุ้มเกินคุ้ม
5. ออกแบบสร้างอีแต๋นอีต๊อกบรรทุกน้ำ มีอุปกรณ์เครื่องมือให้น้ำ แรงงานคนเดียว ให้น้ำเปล่า หรือน้ำ + ปุ๋ย ใช้ในแปลงตัวเองแล้ว รับจ้างแปลงข้างๆเป็นรายได้ กะรวยด้วยกัน
6. ได้ดินดี เลิกสำปะหลัง จะปลูกอะไรก็ได้ .... ได้อีแต๋น บรรทุกน้ำไว้ใช้งาน ให้น้ำกับพืชอะไรก็ได้
7. อายุสำปะหลัง ตั้งแต่เริ่มเตรียมดินเตรียมแปลง ปลูกถึงขุด รวมเวลา 8 เดือน ติดสปริงเกอร์แบบถอดประกอบได้ ติดตั้งก่อนปลูก ก่อนขุดก็ถอดเก็บ ทำสำปะหลังก้าว หน้า รุ่นเดียวได้ทุนคืน ได้กำไรด้วย
หมายเหตุ :
- ช่วงหน้าแล้ง สปริงเกอร์ฉีดพ่นน้ำจากใบลงถึงราก นอกจาก ช่วยป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งสีชมพู (เพลี้ยตัวนี้มาช่วงหน้าแล้ง) แล้ว ยังช่วยบำรุงต้นสำปะหลังตาม ปกติ และบำรุงสำปะหลังช่วงแล้ง ป้องกันอาการกินตัวเองของสำปะหลังได้อีกด้วย
- สำปะหลังที่บำรุงเต็มที่ ได้ลำต้นสมบูรณ์ ใหญ่ยาว ขายเป็นต้นพันธุ์ดี
หมายเหตุ :
- สู้กับเพลี้ยแป้งสำปะหลังให้ได้ทั้ง ป้องกัน/ฆ่าเพลี้ย แถมบำรุงสำปะหลังด้วย น้ำ เท่านั้น ประหยัดและประโยชน์สูงสุด น้ำเปล่าๆ หรือ น้ำ + สารสมุนไพร หรือ น้ำ + สมุนไพร + ปุ๋ย .... สมุนไพรก็ บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร เมล็ดน้อยหน้า หัวกลอย สะเดา เมล็ดมันแกว .... ปุ๋ยก็ แม็กเนเซียม. สังกะสี. 5-10-40 (ไบโออิ) ยืนพื้น .... ทุกครั้งที่ใช้ให้ +น้ำยาล้างจาน +ไบโอเจ๊ต ฉีดพ่นให้เปียกโชกเพื่อน้ำยาล้างจานซึมทะลุแป้งเข้าถึงตัวเพลี้ยที่อยู่ข้างใน ช่วงระบาดหนักให้ฉีดพ่นแบบวันเว้นวัน ช่วงยังไม่ระบาดอาจจะห่างหน่อยตามความเหาะสม
- ธรรมชาติของเพลี้ยแป้งสำปะหลังชอบมากๆกับ ความแห้งแล้ง แล้งเมื่อไรมาเมื่อนั้น ออกลูกออกหลานขยายพันธุ์เต็มไร่ .... ในทางกลับกันเพลี้ยแป้งสำปะหลังไม่ชอบเอามากๆ กับ ความชื้น ฝนตก ให้น้ำ สร้างความชื้นขึ้นมา เพลี้ยแป้งในแปลงตาย แถมแปลงข้างเคียงก็ไม่เข้ามาอีกด้วย เมื่อรู้นิสัยเพลี้ยแป้งว่าไม่ชอบน้ำก็ให้น้ำซี่ นอกจากช่วย ป้องกัน/กำจัด เพลี้ยแป้งได้แล้วยังมีผลดีต่อต้นสำปะหลังอีกด้วย
- ไม่มีพืชใดในโลกไม่ต้องการน้ำ สำปะหลังต้องการน้ำระดับ ชื้น จากปริมาณน้ำ ชื้น/ชุ่ม/โชก/แฉะ/แช่ .... สังเกตุ : ฝนดี-ฝนพอดี-ฝนสม่ำเสมอ สำปะหลังแตกใบใหม่ เพลี้ยแป้งไม่มี เมื่อรู้ว่า สำปะหลังชอบฝนแต่เพลี้ยแป้งไม่ชอบฝน ถ้าฝนไม่ตกคนก็ทำเป็นฝนตกซะเอง โดยการฉีดพ่นน้ำเข้าไป ก็ได้ .... ความแห้งแล้งเป็นภาวะจำยอมโดยธรรมชาติ แม้จะต้องซื้อน้ำจากที่อื่นมาให้แก่สำปะหลังก็ต้องยอม มิเช่นนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย แต่หากได้ให้น้ำ นอกจากสู้กับเพลี้ยแป้งได้แล้ว ยังได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย .... นี่แหละการเกษตรที่ น้ำต้องมาก่อนน้ำต้องมาก่อนและน้ำต้องมาก่อน ....... (ย้ำจัง ! )
- การลงทุนติดสปริงเกอร์แบบหัวพ่นสูงเหนือยอด (สูง 1.5 ม.) ถอดประกอบได้ แบ่งเป็นโซนๆ มีหม้อปุ๋ยหน้าโซน หลังจากทำแปลงชักร่องเสร็จก็เริ่มให้น้ำได้ และให้ น้ำ + ปุ๋ย บำรุงต้นตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงขุด ก่อนขุดก็ให้ถอดปสริงเกอร์ออกไว้ใช้งานใหม่ได้ .... หากไม่ใช้ระบบสปริงเกอร์ก็ต้องมีเครื่องมือในการให้น้ำแบบอื่นที่เหมาะสม เครื่องมืออะไรก็ได้ที่สามารถส่งน้ำไปให้สำปะหลัง ณ เวลาที่ต้องการและจำเป็น
- การปลูกสำปะหลังแบบเดิม (เตรียมดิน เตรียมแปลง เตรียมท่อนพันธุ์ การใส่ปุ๋ย ไม่มีการให้น้ำ) ปีไหนฝนดี ได้ผลผลิต 4-6 ตัน/ไร่ ถ้าฝนไม่ดี ได้ผลผลิต 2-4 ตัน/ไร่
สำปะหลังกับระบบน้ำ :
ระบบน้ำหยด :
- ระบบน้ำหยด หมายถึง น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ ตามท่อไปถึงหัวน้ำหยด กรณีนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่หัวต้นทางต้องหยด (ไหล) แรงกว่าหัวปลายทางแน่ นั่นคือ ปริมาณน้ำที่พืชแต่ละต้นได้รับไม่เท่ากัน โดยต้นแรกได้รับมากกว่าต้นท้ายปลายทาง
- น้ำที่ออกมาจากหัวน้ำหยด 1 หัว ลงพื้นได้เนื้อที่กว้างราว 30 x 30 ซม. กรณีพื้นที่สำปะหลัง 1 กอ หรือ 1 หัว กว้างราว 50 x 50 (ขนาดกลาง) ถึง 80 x 80 ซม. (ขนาดใหญ่) ปริมาณน้ำที่หยดลงมาจึงไม่ทั่วทรงพุ่ม กรณีนี้ต้องเพิ่มจำนวนหัวต่อต้นให้มากขึ้นจนเต็มพื้นที่
- ระบบน้ำหยดลงไปเฉพาะที่พื้นดิน ช่วงหน้าแล้งที่เพลี้ยแป้งสีชมพูระบาดทางใบ ต้องใช้เครื่องมือฉีดพ่นโดยเฉพาะ ..... ธรรมชาติของเพลี้ยแป้งสีชมพู ชอบความแห้งแล้งแต่ไม่ชอบความชื้น แต่น้ำจากหัวน้ำหยดที่พื้นดินไม่สามารถส่งความชื้นขึ้นไปบนต้นสำปะหลังได้ จึง ป้องกัน/กำจัด เพลี้ยแป้งสีชมพูไม่ได้
- ระบบน้ำหยด ไม่สามารถส่ง ปุ๋ย/ยา ไปกับระบบน้ำหรือทางท่อได้
สรุป :
- ระบบน้ำหยดได้ประสิทธิภาพเพียงให้น้ำทางรากเท่านั้น
- น้ำที่ไหลไปตามท่อ จากที่สูงลงไปที่ต่ำ จำนวนหัวน้ำหยดมาก ต้องใช้ เวลา/แรงงาน มาก ในการตรวจว่า หัวไหนอุดตันหรือไม่
ระบบหัวพ่นน้ำ :
- ติดสปริงเกอร์ระบบกะเหรี่ยง ถอด/ประกอบ ได้ นั่นคือ หลังเตรียมดิน
- เตรียมแปลงเสร็จให้ประกอบ ติดสปริงเกอร์แต่ละครั้งใช้งานนาน 8-9 เดือน ..... แปลงผักบางที่ ถอด/ประกอบ สปริงเกอร์ครั้งละ 3 เดือน (เตรียมแปลง ถึง เก็บเกี่ยว)
- หัวพ่นน้ำรัศมี 4 ม. พ่นน้ำออกไปโดนใบแล้วตกลงดิน เท่ากับเป็นการให้น้ำทางรากไปในตัว
- สปริงเกอร์มีหม้อปุ๋ยหน้าโซน หรือถังปุ๋ยที่ปั๊ม ให้ปุ๋ยสูตรสำปะหลังโดนใบ ผ่านปากใบเข้าสู่ต้น ตกลงดิน รากดูดเข้าสู่ต้น เท่ากับได้ 2 เด้ง
- น้ำเปล่า หรือ น้ำ+ปุ๋ย สร้างความชื้นทั่วแปลง ช่วย ป้องกัน/กำจัด เพลี้ยแป้งสีชมพู และศัตรูพืชอื่นๆได้อีกด้วย-
ระบบโอเวอร์เฮด :
- ใช้แบบเคลื่อนที่ เข้า-ออก แปลงได้ทุกเวลาที่ต้องการ
- รัศมีพ่นน้ำอยู่ที่รุ่นหรือแบบ
- มีหม้อปุ๋ยหน้าโซน หรือถังปุ๋ยที่ปั๊ม ให้ปุ๋ยสูตรสำปะหลังโดนใบ ผ่านปากใบเข้าสู่ต้น ตกลงดิน รากดูดเข้าสู่ต้น เท่ากับได้ 2 เด้ง
- น้ำเปล่า หรือ น้ำ+ปุ๋ย สร้างความชื้นทั่วแปลง ช่วย ป้องกัน/กำจัด เพลี้ยแป้งสีชมพู และศัตรูพืชอื่นๆได้อีกด้วย เหมือนสปริงเกอร์แบบหัวพ่น
หมายเหตุ :
- ระบบน้ำหยดเหมาะสำหรับพืชในถุง หรือภาชนะปลูก เพราะสามารถควบคุมปริมาณน้ำทั้งหมดให้อยู่ในพื้นที่ๆต้องการได้ และระบบรากอยู่ในพื้นที่จำกัดจึงรับน้ำได้
- ข้ออ้างที่ว่า น้ำหยดเป็นการใช้น้ำอย่างประหยัด ในความเป็นจริงนั้น ต้นพืชไม่รู้จักประหยัด เขาใช้เท่าที่ใช้จริงกินจริงเท่านั้น หากต้องการให้เขาโตก็ต้องให้เขา
ปาล์มน้ำมัน
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน :
- ปาล์มต้องการน้ำมาก ต้องการความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง สังเกต ปาล์มน้ำมันภาคใต้ ที่นั่น ฝนแปด-แดดสี่ กับตามลำต้นจะมีพืชประเภท เฟิร์น-มอสส์ ขึ้น พืชพวกนี้ไม่ใช่กาฝากที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากปาล์ม ตรงกันข้าม กลับสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ต้นปาล์มอย่างดีอีกด้วย
- เดือนใดของปีนี้ ปาล์มน้ำมันขาดน้ำ เดือนเดียวกันนี้ของปีรุ่งขึ้น ผลจะขาดคอ คือ ไม่ออกจั่น
- ช่วงใดปาล์มขาดน้ำหรือกระทบแล้งมาก ช่วงนั้นจั่นหรือดอกที่ออกมาจะเป็นตัวผู้มากกว่าตัวเมีย หรืออาจจะเป็นตัวผู้ทั้งหมดก็ได้
- ระยะห่างระหว่างต้นเมื่อต้นเริ่มให้ผลผลิตแล้ว ไม่ควรห่างกันจนแดดจัดส่องลงพื้นดินได้ แล้วก็ต้องไม่ปลายทางชนกัน เกยกัน จนแสงแดดส่องลงพื้นไม่ได้
- สารอาหารหรือปุ๋ยที่ปาล์มน้ำมันต้องการ คือ แม็กเนเซียม. สังกะสี. กำมะถัน. โบรอน. เป็นตัวหลัก ที่เหลือเป็นตัว เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ตามความจำเป็นหรือตามความเหมาะสม อีกทั้งวัสดุที่เหลือ ใช้จากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์ม เช่น กะลาปาล์ม เส้นใยปาล์ม สามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อน เพื่อแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย...ส่วนกากเนื้อในปาล์ม สามารถนำมาเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ ที่ให้ ทั้งโปรตีนและพลังงานสูง ส่วนที่มีความสำคัญที่เหลือจากกระบวนการสกัดน้ำมันอีกอย่าง คือ ทะลายปาล์มเปล่า ซึ่งเป็นแหล่งของ อินทรียวัตถุ อย่างดี เมื่อย่อยสลายจะให้ ธาตุโปแตสเซียมค่อนข้างสูง
บำรุง :
- พืชตระกูลปาล์ม คือ ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว หมาก จาก อินทผลัม ปลูกในสวนยกร่องน้ำหล่อดีที่สุด .... พืชตระกูลปาล์ม เดือนใดของปีนี้ขาดน้ำ เดือนเดียวกันของปีรุ่งขึ้น ทะลายจะขาดคอ ดอกที่ออกมาจะกลายเป็นดอกตัวผู้ทั้งหมด ไม่ติดลูก นั่นคือ พืชตระกูลปาล์มตอบสนอง ต่อน้ำและปุ๋ยข้ามปี .... ให้น้ำให้ปุ๋ยปีนี้ ต้นจะออกดอกให้ผลในปีหน้า
- สวนยกร่องน้ำหล่อ ได้น้ำหล่อเลี้ยงต้นปาล์มทางรากแล้ว น้ำที่ระเหยขึ้นไปในอากาศ ทำให้เกิดความชื้นสัมพัทธ์ ยังช่วยบำรุงปาล์มอีกทางหนึ่ง พืชตระกูลปาล์มชอบแบบนี้....น้ำในร่องยังใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก ถ้าขยันพอ เลี้ยงปลาในร่อง เลี้ยงกบริมร่อง เลี้ยงกบในกระชัง แม้แต่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงห่าน ได้ทั้งนั้น ดีนะ จะได้มีปุ๋ยคอกทั้งในน้ำบนบกบำรุงปาล์มอีกด้วย
บำรุงปาล์มน้ำมัน :
ทางราก :
- ใส่ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (2 ล.) /ไร่ /เดือน รดทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว
- ให้ขี้แดดนาเกลือ หรือเกลือแกง 1 กก. /ต้น /ปี
- ใส่กากทะลายปาล์มจากโรงงาน คลุมโคนต้น 2 ปี /ครั้ง
- ให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น
ทางใบ :
- ให้ไบโออิ 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน 1 รอบ หางกันรอบละ 15-20 วัน
หมายเหตุ :
- พืชตระกูลปาล์ม ชอบและตอบสนองต่อ แม็กเนเซียม-สังกะสี ดีมากๆ
- ปาล์มน้ำมัน จ.ชุมพร กว่า 20,000 ไร่ ถึงยิบซั่ม ได้ผลผลิตดีมากๆ
ปาล์มน้ำมัน :
ช่วงหน้าแล้งหรือน้ำน้อย ใช้ปุ๋ย สูตร 15-30-15 (1:2:1) .... ช่วงหน้าฝนหรือน้ำสม่ำเสมอ ใช้สูตร 9-27-9 (1:3:1) .... เป็นปุ๋ยทางรากทั้ง 2 สูตร....จะช่วยบำรุงให้ "ดอกดก-ผลดก- ผลใหญ่" หากมีการให้เสริมหรือเพิ่มทางใบด้วย 21-7-14 (3:1:2) ก็จะดีขึ้นไปอีก
เทคนิคการให้ปุ๋ยทางรากสูตร 15-30-15 หรือ 9-27-9 สูตรใดสูตรหนึ่งตามสภาพแวดล้อมแล้ว สลับด้วย 6-24-24 (1:4:4) จะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันให้ดียิ่งขึ้น
การให้ แคลเซียม โบรอน.สม่ำเสมอจะช่วยบำรุงสร้างเนื้อ. เปลือก.
การให้ยิบซั่ม. สม่ำเสมอทำให้ได้กำมะถัน. จะช่วยสร้างกลิ่น
=================================================
=================================================
ยางพารา
พันธุ์น้ำยางสูง : พันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251, สถาบันวิจัยยาง 226, BPM 24, RRIM 600
พันธุ์ให้เนื้อไม้สูง : ฉะเชิงเทรา 50, AVPOS 2037, BPM 1, ฉะเชิงเทรา 50 (RRIT 402)
พันธุ์ให้น้ำยางและเนื้อไม้สูง : PB 235, PB 255, PB 260, RRIC 110, PB 235
พันธุ์ใหม่ ทนแล้ง : "RRIT 408" เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ภาคอีสาน
บำรุง ภาคอื่น : ทางราก : ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ระเบิดเถิดเทิง 21-7-14 (2 ล.) /ไร่ /2 เดือน รดทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว +21-7-14 (1/2 กก.) /ต้น /2 เดือน ละลายน้ำรดโคนต้น บริเวณทรงพุ่ม
ทางใบ : ใช้ "ยูเรก้า" 1-2 เดือน/ครั้ง
บำรุง ภาคไต้ :
ทางราก : ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ระเบิดเถิดเทิง 18-9-18 (2 ล.) /ไร่ /2 เดือน รดทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว +21-7-14 (1/2 กก.) /ต้น /2 เดือน ละลายน้ำรดโคนต้น บริเวณทรงพุ่ม
ทางใบ : ใช้ "ยูเรก้า" 1-2 เดือน/ครั้ง
==================================================
==================================================
สับปะรด
เตรียมพันธุ์ :
- แช่หน่อ (ตะเกียง) พันธุ์ในน้ำ +ไบโออิ + ยูเรก้า + แคลเซียม โบรอน 3-6 ชม. แล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง แห้งแล้วนำไปปลูกในแปลงจริงได้เลย
บำรุง :
ระยะต้นเล็ก :
ทางใบ : ให้ไบโออิ 25-5-5 เดือนละครั้ง
ทางราก : ให้น้ำหมักชีวภาพ +30-10-10 หรือ 25-7-7 เดือนละครั้ง ให้น้ำเดือนละ 2 ครั้ง
ระยะออกดอก :
ทางใบ : ให้แคลเซียม คาร์ไบด์ กระตุ้นการออกดอกตามปกติ
ทางราก : ให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น ถ้าแล้งมากๆ สับปะรดจะไม่ออกดอก หรือออกไม่ดี
ระยะลงหัว :
ทางใบ : ให้ไบโออิ 5-10-40. ทุก 15 วัน
ทางราก : ให้น้ำหมักชีวภาพ 5-10-40 (2 ล.) เดือนละครั้ง ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
- สับปะรดเป็นพืชอวบน้ำ ถ้าไม่ให้น้ำเขา เขาจะเอาน้ำที่ไหนไปสร้างความอวบ นั่นคือ คิดจะปลูกสับปะรดต้องสร้าง ดินและน้ำ ให้พร้อมจริงๆ หาไม่แล้ว จะไม่ได้อะไรเลย
- โมลิบดินั่ม. คือตัวช่วยปรับโครงสร้างไนโตรเจนในหัวสับปะรดไม่ให้เหลือตกค้างมากเกินไป จนเป็นเหตุให้กลายเป็นไนเตรท
- สับปะรดที่เร่งหวานก่อนเก็บเกี่ยวด้วย 13-0-46 จะได้หัวสีเขียวสด รสชาติหวานจัดดี โรงงานชอบ
- สับปะรดที่เร่งหวานก่อนเก็บเกี่ยวด้วย 0-0-50 จะได้หัวสีเหลือง คนกินสดชอบ แต่โรงงานไม่ชอบ
- บำรุงหัวให้โตเท่ากันหรือหัวเป็นรูปทรงกระบอกด้วย 1 : 2 : 8 ทั้งทางรากและทางใบ
- สับปะรด 300 ไร่ ที่สวนผึ้ง ราชบุรี ให้น้ำด้วยสปริงเกอร์โอเวอร์เฮด ทุก 15 วัน ทั้งรุ่นคิดต้นทุนตกหัวละ 2.80 ตังค์ ขายโรงงานได้หัวละ 5.40 ตังค์ สับปะรด 300 ไร่ มีหลายแสนหัวคุ้มเกินคุ้ม
โอเวอร์เฮด สับปะรด 300 ไร่...
หน่อพันธุ์ที่ตัดออกมาจากโคนต้นแม่ เอามาวางบนต้นแม่แบบนี้เป็นการช่วยบังแดดไม่ให้เผาหัวสับปะรดได้เป็นอย่างดี....ปกติหน่อพันธุ์วางบนต้นแม่แบบนี้ แล้วไม่มีการให้น้ำเลย จะอยู่ได้นานนับเดือนโดยไม่กระทบกระเทือนต่อการงอกใหม่ เพียงแต่ต้นหน่อพันธุ์อาจจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรเท่านั้น แต่หากมีการให้น้ำแก่ต้นแม่ซึ่งก็เท่ากับเป็นการรักษาต้นหน่อพันธุ์ไปด้วยนี้ หน่อพันธุ์สามารถอยู่ได้นานถึง 3 เดือน ช่วยให้การยืดเวลา (ปัญหาแรงงาน) ที่จะเอาไปปลูกต่อได้นานขึ้น.... นอกจากเป็นการให้น้ำแก่ต้นแม่แล้ว ยังเป็นการบำรุงและยืดอายุต้นหน่อพันธุ์อีก ด้วย นี่คือ ประโยชน์ที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัด
===================================================
===================================================
ถั่วฯ - งา
(ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง-งาดำ-งาขาว)
เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- แช่เมล็ดพันธุ์ใน น้ำ 50 องศา + ไบโออิ + ยูเรก้า + แคลเซียม โบรอน 3-6 ชม. แล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง แห้งแล้วนำไปหว่านในแปลงเพาะกล้าได้เลย หรือจะเพาะในแปลงเพาะกล้าก่อนก็ได้
บำรุง :
ระยะต้นเล็ก : ให้ไบโออิ 2 รอบ สลับแคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกลงถึงพื้น
ระยะก่อนออกดอก : ให้ไทเป 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกลงถึงพื้น
ระยะเป็นฝัก (ผล) แล้ว : ให้ไบโออิ + ยูเรก้า 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกลงถึงพื้น
หมายเหตุ :
- การให้ทางใบโชกๆ จนน้ำลงถึงพื้น เท่ากับเป็นการให้น้ำไปในตัว ทั้งนี้พืชไร่กลุ่มนี้ต้องการน้ำเพียงแค่ ชื้น เท่านั้น
- การเตรียมดิน เตรียมแปลง ถ้าได้ใส่อินทรีย์วัตถุ (เศษซากพืช) มากๆ นอก จากช่วยอุ้มน้ำ รักษาความชื้นสำหรับดิน และจุลินทรีย์แล้ว ยังเป็นสารอาหารสำหรับพืชอีกด้วย
=================================================
==================================================
ข้าวโพดฝักสด
เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- แช่ น้ำ+ไบโออิ+ยูเรก้า+แคลเซียม โบรอน นาน 24 ชม. ครบกำหนดแล้วนำขึ้นห่มชื้นต่อ 24-36-48 ชม. เมล็ดไหนรากงอกก่อน เอาไปปลูกก่อน
ตรวจเมล็ด : เมล็ดไม่มีตุ่มราก หรือรากใม่งอก เอาไปปลูกก็ไม่งอก
ฝักใหญ่ เนื้อทะลุนอกเปลือก ด้วย ไบโออิ+ยูเรก้า
เมล็ดเต็มเพราะเกสร (ไหม) สมบูรณ์ แข็งแรง ผสมกัน,
เนื้อไม่มีเปลือก ไม่ติดหัน เพราะแคลเซียม โบรอน
(ประสบการณ์ตรง เทคนิคนี้ เมื่อครั้งลูกๆ นศ.ลาดระบัง ไปฝึกงานที่ไร่กล้อม แกล้ม เพาะเมล็ดข้าวโพดหวาน เปอร์เซ็นต์งอก 200% คือ 1 เมล็ดงอก 2-3 ต้น จำนวนกว่า 100 ต้นจากทั้งแปลง 300 หลุม .... (สังกะสี. โบรอน. ส่งเสริมการงอกของรากของเมล็ด, ไคโตซาน. ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับเมล็ดพันธุ์ และเป็นฮอร์โมนขยายขนาดโดยสะสมไว้ตั้งแต่ก่อนงอกเป็นต้น)
บำรุงระยะต้นเล็ก : รดด้วยน้ำหมักชีวภาพ 30-10-10 (1 ล.) +25-7-7 หรือ 16-8-8 สูตรใด สูตรใดสูตรหนึ่ง 2 กก. ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ โดยรดโคนต้น ให้ตอนเย็นก่อนค่ำดีกว่าให้ตอนกลางวัน .... ให้ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน .... ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน ฉีดทางใบ 1 ครั้ง
บำรุงระยะก่อนออกดอกยอด :
ทางดิน : ให้น้ำหมักชีวภาพ 8-24-24 (1 ล.) + 8-24-24 (1 กก.) ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ 1 รอบ รดโคนต้น ตอนเย็นก่อนค่ำดีกว่าให้ตอนกลางวัน
ทางใบ : ให้ฮอร์โมนไข่ไทเป 3-4 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน ฉีดทางใบ 1 ครั้ง
หมายเหตุ :
- เริ่มให้ตั้งแต่ก่อนออกดอกยอด 7 วัน ให้ไปเรื่อยๆ 7 วัน/ครั้ง กระทั่งมีดอกยอดแล้วมีฝักแรกออกมา กระนั้นก็ยังให้ต่อไปอีกจะได้ฝักที่สอง ฝักที่สาม และอาจะแถมฝักที่สี่ด้วย ถ้าปัจจัยพื้นฐานพร้อม
บำรุงระยะเป็นฝักแล้ว :
ทางดิน : ให้น้ำหมักชีวภาพ 21-7-14 (1 ล.) +21-7-14 (1 กก.) ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ ให้ 1 รอบ รดโคนต้น ตอนเย็นก่อนค่ำ ดีกว่าให้ตอนกลางวัน
ทางใบ : ให้ไบโออิ + ยูเรก้า 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน
หมายเหตุ :
- การให้ทางดินตอนเย็นได้ผลดีกว่าให้ตอนกลางวัน เพราะต้นพืชดูดสารอาหารจากรากขึ้นสู่ต้น (ล่างขึ้นบน) ไปไว้ที่ใบตอนกลางคืน เพื่อรอสังเคราะห์แสงตอนกลาง วันในวันรุ่งขึ้น
- การให้ทางใบตอนกลางวัน แดด 100% ได้ผลดี เพราะต้นพืชจะสังเคราะห์อาหารที่สะสมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วส่งลงไปให้ส่วนต่างๆ ของต้น (บนลงล่าง) ในตอนกลางวัน
- สังกะสี. โบรอน. บำรุงให้ออกดอกดี ทั้งดอกยอด (ดอกตัวผู้) และไหมที่ฝัก (ดอกตัวเมีย)
- สังกะสี. ช่วยสร้างแป้งและน้ำตาลโดยตรง ช่วยทำให้คุณภาพของข้าวโพดดี
- แมกเนเซียม. ช่วยสร้างคลอโรฟีลด์ ใบข้าวโพดจะเขียวสังเคราะห์อาหารได้จนถึงวันเก็บเกี่ยว
- การให้ 21-7-14 (สูตรขยายขนาดผล) ทั้งทางใบทางราก เท่ากับให้ 2 เด้ง ช่วยให้ได้ฝักขนาดใหญ่
- การให้แคลเซียม โบรอน ทำให้คุณภาพดี เนื้อมาก เปลือกหุ้มเมล็ดบางและนิ่ม เวลาทาน ไม่ติดฟัน
- ข้าวโพดฝักสดต้องให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น แยกให้ออกระหว่าง ชื้น-ชุ่ม-โชก-แฉะ-แช่
==================================================
==================================================
นาข้าว
ชาวนามั่งคั่ง ประเทศชาติมั่นคง
เพราะ.... ชาวนา คือ ประชากร/เกษตรกร กลุ่มใหญ่สุดของประเทศ คนทั้งโลกกินข้าว
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องนาข้าว
1. ปัจจุบันประชากรทั่วโลกกว่า 3,000 ล้านคน (มากกว่าครึ่งของประชากรทั้งโลก) นิยมบริโภคข้าวมากกว่าขนมปังและมีแนวโน้มว่าจะมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึงตลาดข้าว โลกที่มีโอกาสโตขึ้น
ประเทศอุตสาหกรรมปลูกข้าวหรือทำการเกษตรด้านเพาะปลูกพืชไม่ได้ เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์โลกไม่อำนวย แต่คนในประเทศอุตสาหกรรมต้องกิน นี่คือโอกาสของประเทศเกษตรกรรมที่ควรปลูกข้าวขายให้ประเทศอุตสาหกรรมกิน
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเกษตรกรรม โดยประชากร 48% ทำอาชีพอุตสาหกรรม แต่ประชากร 52% ทำอาชีพเกษตร ในจำนวน 52% นี้ ยกเป็น 4% ปลูกพืชเป็นอาชีพ 48% ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เช่น ขายปุ๋ย ขายยา ขายพัสดุภัณฑ์ เป็นคนกลาง เป็นต้น
2. ทั่วโลกมีข้าวประมาณ 120,000 สายพันธุ์ .... ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ที่ได้มากหรือน้อยต่างกันนั้นนอกจากข้อจำกัดของลักษณะทางสายพันธุ์แล้ว สภาพอากาศสภาพแวดล้อมและเทคนิคการปฏิบัติบำรุงก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
พันธุ์ข้าวจ้าวที่ทางราชการแนะนำ ได้แก่
กข-7 : ทนทานต่อโรคขอบใบแห้ง โรคไหม้ และค่อนข้างทนต่อดินเปรี้ยว,
กข-23 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว,
หอมคลองหลวง-1 : กลิ่นหอมคล้ายขาวดอกมะลิ ทนทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดหลังขาว,
หอมสุพรรณ : กลิ่นหอมคล้ายขาวดอกมะลิ ทนทานต่อโรคขอบใบไหม้ เพลี้ยกระโดดหลังขาว,
สุพรรณบุรี-1 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว,
สุพรรณบุรี-2 : ทนทานต่อโรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล, สุพรรณบุรี-60 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยกระโดดหลังขาว,
สุพรรณบุรี-90 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคขอบหงิก โรคใบสีส้ม เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล,
ชัยนาท-1 : ทนทานต่อโรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว,
ปทุมธานี-1 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว,
พิษณุโลก-2 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยจักจั่นสีเขียว,
สุรินทร์-1 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง ทนต่อดินเค็มและความแห้งแล้ง,
พันธุ์ข้าวเหนียวที่ทางราชการแนะนำ ได้แก่
กข-10 : ทนทานต่อโรคใบไหม้
แพร่-1 : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล,
สกลนคร : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล,
สันป่าตอง : ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง
ข้าวหอมพันธุ์พื้นบ้าน ได้แก่
หอมหาง. หอมเศรษฐี. หอมนายพล. หอมแดงน้อย. หอมลาย.หอมนางมล. หอมพวง. หอมเม็ดเล็ก.หอมเขมร. หอมทุเรียน. หอมมาล่า. หอมไผ่. หอมครัว. หอมใบ. หอมโพ. หอมบาว. หอมนางนวล. หอมนวล. หอมสวน. หอมอุดม. หอมแพ พะโล้. หอมดอ. หอมหวน. หน่วยเขือ. เล้าแตก. ก่ำเปลือกดำ. ช่อขิง. มันเป็ด. ปะกาอำปึล. หอมทุ่ง. ป้องแอ๊ว. หอมมะลิหรือขาวดอกมะลิ. หอมปทุมธานี. หอมคลองหลวง. หอมสุพรรณ. หอมพิษณุโลก. หอมกุหลาบแดง. หอมนิล.
ข้าวไวแสง หมายถึง ข้าวสายพันธุ์ที่ปลูกแล้วเจริญเติบโตได้ดีในช่วงกลางวันสั้นกว่ากลางคืน หรือวันสั้นซึ่งมีแสงน้อยกว่า 12 ชม. เหมาะสำหรับปลูกเป็นข้าวนาปีหรือปลูกในฤดูฝนแล้วให้ออกดอกในต้นฤดูหนาว
ข้าวไม่ไวแสง หมายถึง ข้าวสายพันธุ์ที่ปลูกแล้วเจริญเติบโตได้ดีทุกฤดูกาลตราบเท่าที่มีน้ำอย่างเพียงพอ ปริมาณแสงไม่มีอิทธิผลต่อการเจริญเติบโต เหมาะสำหรับปลูกเป็นข้าวนาปรังหรือช่วงฤดูร้อน
- ข้าวพันธุ์พื้นเมืองไม่ตอบสนองต่อปุ๋ยเคมี แต่ตอบสนองต่อปุ๋ยอินทรีย์ดีมากทั้งนี้เป็นเพราะสายพันธุ์ได้ผ่านกระบวนการพัฒนามาโดยธรรมชาติ ในขณะที่ข้าวลูก ผสมหรือสายพันธุ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่จำเป็นต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี คงเป็นเพราเทคโนโลยีในการพัฒนาสายพันธุ์ที่มีเรื่อง เชิงพานิช เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 21/09/2024 11:41 am, แก้ไขทั้งหมด 26 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11689
|
ตอบ: 26/01/2024 11:50 am ชื่อกระทู้: |
|
|
.
.
หมายเหตุ :
- ข้าวปอซาน (Pearl Paw San) ของพม่า ซึ่งเป็นข้าวชนะเลิศในการประกวดข้าวที่ดีที่สุดของโลกในปี 2554 (ข้าวหอมพม่า "Pearl Paw San" ข้าวที่ชนะการประกวดข้าวอร่อยที่สุดในโลก เป็นข้าวเม็ดสั้น แต่พอหุงออกมาแล้วเม็ดข้าวจะยาวเหมือนข้าวหอมมะลิไทย สนใจติดต่อ 086-1196464 ..... คุณมนตรี)
- ข้าวแคลโรสเป็นข้าวที่ถูกพัฒนาสายพันธ์โดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แคลิฟฟอร์เนีย ที่เมืองเดวิส (UC Davis) เมื่อ พ.ศ.2491 และเริ่มมีการปลูกแพร่หลายตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 เป็นข้าวเมล็ดขนาดกลาง รูปร่างคล้ายดอกกุหลาบตูม หากปลูกในรัฐ Louisiana จะเรียกว่า Blue rose มี
การปลูกข้าวแคลโรสในหลายประเทศ เช่นที่ ออสเตรเลีย และแถบหมู่เกาะ แปซิฟิค ข้าวแคลโรส เป็นข้าวชนิดนุ่ม เหนียว เหมาะที่จะทำข้าวซูชิ
ส่วนข้าวพกามะลิ จากประเทศกัมพูชา จะเป็นข้าวที่มีผลกระทบต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทย เนื่องจากข้าวพกามะลิ เป็นข้าวเมล็ดยาว การหุงต้มเหมือนข้าวหอมมะลิของไทย จริงๆแล้ว น่าจะพูดได้ว่าข้าวพกามะลิ ก็คือข้าวหอมมะลิที่ปลูกในกัมพูชานั่นเอง Phka Malis ในภาษาเขมร Phka หมายถึง ดอกไม้ ข้าวพกามลิ จึงมีความหมาย ข้าวดอกไม้มะลิ หรือข้าวดอกมะลิ
ข้าวหอมของกัมพูชามีหลายสายพันธ์ เช่น ข้าว Phka Romdul, ข้าว Phka Khnei, ข้าว Cammalis
ข้าวผกาลำดวน (Phka Malis) เป็นข้าวของกัมพูชาเองที่ปลูกตามพื้นที่ที่จำกัด มีคุณภาพดีมาก แต่เนื่องจากเมล็ดพันธ์หายาก จึงนิยมปลูกน้อยกว่าข้าวผกามะลิ ซึ่งหาซื้อพันธ์ได้ง่ายกว่า
การปลูกข้าวผกามะลิมีอยู่แพร่หลายทั้งที่บันเตียนเมียนเจย (ศรีโสภณเดิม) พระตะบอง กัมปงธม กัมปงจาม โพธสัด ข้าวที่ปลูกในพื้นที่ดังกล่าวมีคุณสมบัติของข้าวไม่ว่าจะความนุ่ม ความหอม ใกล้เคียงการปลูกในประเทศไทย เพราะมีการใส่ปุ๋ยเคมีค่อนข้างน้อย ปัญหาที่พบก็คือ ข้าวเริ่มมีพันธ์ปน เนื่องจากชาวนาในกัมพูชา ที่ปลูกข้าวหอมมะลิได้ 3 ปี ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเมล็ดพันธ์ ทำให้ความบริสุทธ์ของเมล็ดพันธ์เริ่มลดลง
ส่วนราคา ข้าวผกามะลิของกัมพูชาราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิของประเทศไทย โดยข้าวผกามะลิราคาขายอยู่ที่ $900-920 ต่อตัน F.O.B. สีหนุวิลล์ ขณะที่ข้าวไทย ราคาส่งออก $980-1080 ต่อตัน F.O.B . แหลมฉบัง
3. ข้าวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว ปลูกได้ทุกพื้นที่และทุกฤดูกาลที่มีน้ำ โดยหลังเมล็ดงอก 90-120 วัน (ตามชนิดของสายพันธุ์) ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มีอินทรีย์วัตถุมากๆ โปร่งร่วนซุย น้ำและอากาศผ่านสะดวก
4. ข้าวไม่มีฤดูกาล ลงมือหว่าน/ดำเมื่อใดให้นับต่อไปอีก 90-120 วัน ก็เก็บเกี่ยวได้ การทำนาข้าวส่วนใหญ่รอน้ำฝนอย่างเดียว โดยเริ่มลงมือดำ/หว่านเมื่อถึงฤดูฝน จึงทำให้มีข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกันทั้งประเทศ (พ.ย. และ มี.ค. ข้าวเปลือกล้นตลาด) ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกถูกลง เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะข้าวล้นตลาด นาในเขตชลประทานซึ่งมีน้ำบริบูรณ์ สามารถผันน้ำเข้าแปลงนาได้ทุกเวลาที่ต้องการ ควรวางแผนหว่าน/ดำ ก่อนหรือหลังนาน้ำฝน 1½ เดือน - 2 เดือน จะทำให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนหรือหลังนาน้ำฝน 1½-2 เดือน ซึ่งช่วงนี้ข้าวเริ่มมีราคาดีขึ้นแล้ว หลังจากจัดตารางช่วงการทำนาได้ ในปีแรกก็จะใช้ตารางช่วงการทำนานี้ได้ตลอดไป
ข้าวเปลือกเก็บในที่ควบคุม (ไซโล) ยังไม่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออก จะยังคงรักษากลิ่นไว้ได้ เมื่อนำออกสีก็ยังได้กลิ่นเดิม แต่หากสีเอาแกลบออกแล้วกลิ่นจะอยู่ได้ไม่นานแม้จะจัดเก็บอย่างดี
ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ (ไม่มีแกลบ) แต่จมูกข้าวยังอยู่ สามารถนำไปเพาะขายพันธุ์ได้เหมือนเมล็ดที่ยังมีแกลบห่อหุ้มทุกประการ .... เมล็ดข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือไม่มีแกลบ ทดสอบด้วยการใช้ฟันกัดเมล็ดด้านปลาย (ตรงข้ามกับจมูกข้าว) จะสัมผัสได้กับกลิ่นตามสายพันธุ์ของข้าวพันธุ์นั้น
5. นาข้าวเป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่มีประชากรทำมากที่สุด หรือมีพื้นที่ปลูกมากที่สุดจนได้รับสมญาว่าเป็นชาวนา คือ กระดูกสันหลังของชาติ และข้าวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว ชนิดเดียวที่มีโรคและแมลงศัตรูพืชมากที่สุด
6. เมล็ดพันธุ์ข้าวบางสายพันธุ์ไม่มีระยะพักตัว บางสายพันธุ์มีระยะพักตัวยาว หรือ 0-80 วัน ดังนั้น ก่อนหว่าน/ดำจำเป็นต้องรู้ระยะพักตัวของเมล็ดพันธุ์ด้วย .... เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวในช่วงแล้ง อุณหภูมิร้อนมักมีระยะพักตัวสั้น ความสำคัญของระยะพักตัว คือ เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านระยะพักตัวครบกำหนดตามธรรมชาติของสายพันธุ์ จะให้เปอร์เซ็นต์งอกสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ที่พักตัวไม่ครบกำหนด หรือไม่ได้พักตัวเลย หรือพักตัวเกินกำหนด
7. ใส่ปุ๋ยเคมีแก่ต้นข้าวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 2 ช่วงเท่านั้น คือ ช่วงทำเทือก (เตรียมดิน) กับช่วงตั้งท้อง-แต่งตัว การใส่ปุ๋ยในช่วงอื่นๆ จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
8. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หรือใส่ปุ๋ยทันทีหลังปักดำ (นาดำ) หรือเมล็ดพันธุ์เริ่มงอก (นาหว่าน) ไม่เกิดประโยชน์ เพราะต้นกล้ายังไม่พร้อมรับและยังไม่มีความจำเป็นต้องให้ ทั้งนี้ระยะที่ต้นกล้างอกใหม่ๆ จะใช้สาร อาหารที่มีอยู่ในเมล็ดตัวเอง (แป้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน ฯลฯ) เป็นหลัก
9. แปลงนาน้ำพอแฉะหน้าดิน ตอบสนองต่อปุ๋ย(เคมี-อินทรีย์)ดีกว่าแปลงนาน้ำขัง สังเกตแปลงนาต้นข้าวที่ขึ้นในแปลงบริเวณรอยต่อระหว่างที่ลุ่มกับที่ดอนซึ่งมีน้ำพอแฉะดินไม่ท่วมโคนต้น ต้นข้าวบริเวณนั้นมักเจริญเติบโต สมบูรณ์ แตกกอมีจำนวนลำมาก กว่าต้นข้าวในบริเวณที่มีน้ำหล่อโคนต้น แสดงว่าธรรมชาติหรือนิสัยของต้นข้าวชอบน้ำพอดินแฉะเท่านั้น
10. แก๊สคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากอากาศมีประโยชน์ต่อต้นข้าวในการสร้างแป้งหรือเปลี่ยนธาตุอาหารต่างๆ ให้เป็นแป้ง
11. ข้าวที่ปลูกระยะระหว่างกอห่างๆ แล้วบำรุงให้แต่ละกอแตกหน่อเกิดเป็นลำใหม่จำนวนมากจะให้ผลผลิตดีกว่าทั้งคุณภาพและปริมาณ เมื่อเทียบกับการปลูกระยะระหว่างกอชิดมากๆ แต่ละกอจะแตกหน่อเกิดเป็นลำใหม่น้อยๆ ปริมาณและคุณภาพไม่ดีนัก
12. การลดความสูงต้นของต้นข้าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเพิ่มปริมาณผลผลิตและคุณภาพ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นแข็งแรงไม่ล้มหักง่าย และโรคแมลงเข้ารบกวนน้อยอีกด้วย .... ลำต้นสูงมากๆ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำเลี้ยงไปสร้างลำต้น จึงทำให้มีสารอาหารเหลือไปเลี้ยงรวงน้อย หรือ ฟางมากเมล็ดน้อย-ฟางน้อยเมล็ดมาก .... ต้นข้าวในน้ำที่ระดับพอเปียกหน้าดิน (ดินแฉะเล็กน้อย) จะแตกกอได้จำนวนมากกว่าต้นข้าวที่ปลูกในน้ำขังค้าง หรือท่วมโคน .... ข้าวลำต้นสูง (น้ำมาก ไนโตรเจนมาก) จะมีรวงสั้น แต่ข้าวลำต้นสั้น (น้ำพอแฉะหน้าดิน สารอาหารสมดุลทุกตัว)จะมีรวงยาว .... ต้นข้าวช่วงระยะกล้าที่ไม่ได้ให้ 46-0-0 แต่ให้ 16-8-8 แทน ควบคู่กับช่วงตั้งท้องแต่งตัวให้ 0-42-56 โดยฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ จะช่วยให้ต้นข้าวไม่สูงแต่กลับเจริญเติบโตข้างอวบอ้วนเหมือนต้นไม้ผลมีอาการอั้นตาดอก .... การตัดใบยอดช่วงตั้งท้องแต่งตัวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ต้นข้าวไม่สูงต่อ แล้วอวบอ้วนเหมือนอั้นตาดอกได้เช่นกัน
13. ต้นข้าวที่ปลูกโดยวิธีปักดำ ฐานรากยึดดินลึกและแน่น สามารถต้านทานการล้มได้ดีกว่าปลูกแบบหว่าน .... เทคโนโลยีสมัยใหม่ ปัจจุบันมีเครื่อง (รถ) ดำนา ด้วยการปักต้นกล้าข้าวลงดินโดยตรง สามารถจัดปรับระยะห่างระหว่างกอได้ตามความต้องการและ ทำงานด้วยแรงงาน 2 คน .... เครื่อง (รถ) หยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว ขับเคลื่อนตัวเองหรือลากด้วยรถไถเดินตาม หยอดเมล็ดเป็นหน้ากว้าง 2.5-3 ม. ทำงานด้วยแรงงานเพียง 1 คน เมล็ดพันธุ์ที่ถูกหยอดลงบนผิวขี้เทือกจึงเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านด้วยมือ แต่ระยะห่างระหว่างเมล็ดต่อเมล็ดสามารถกำหนดได้ตามความต้องการ
14. ดอกข้าวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันและผสมกันเองได้ .... ดอกจะเริ่มบานจากส่วนปลายรวงลงมาโคนรวง ดอกบานครบทั้งรวงใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วัน และช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบเพราะอาจทำให้เกสรเปียกชื้นจนผสมไม่ติดได้ หรือผสมติดก็ได้คุณภาพเมล็ดไม่ดี
ดอกข้าวที่บานในวันอากาศสดใสแสงแดดดีช่วงเช้าถึงเที่ยงจะผสมเกสรติดเป็นผล(เมล็ด)ได้ดี ซึ่งดอกข้าวจะบานและเกสรพร้อมผสมได้ภายในระยะเวลา 30-60 นาที
- ระยะข้าวเป็นน้ำนม ใช้เวลาประมาณ 7 วันหลังผสมติด
- ระยะข้าวเม่าหรือเป็นไต ใช้เวลาประมาณ 14-21 วันหลังผสมติด
- ระยะเมล็ดแก่เต็มที่หรือระยะเก็บเกี่ยว ใช้เวลาประมาณ 30 วันหลังผสมติด
15. อากาศหนาว (15-20 องศา /ภาคเหนือเกิดน้ำค้างแข็ง) ติดต่อกัน 10 วันมีผลต่อต้นข้าวหลายอย่าง เช่น เมล็ดไม่งอก ต้นกล้าโตช้า ต้นแคระแกร็น ใบเหลือง ออกดอกช้าและช่วงออกดอกเป็นช่อดอกอ่อนเกสรจะฝ่อผสมไม่ติด หรือผสมติดก็เป็นเมล็ดลีบ แก้ไขโดยให้ แม็กเนเซียม+สังกะสี+กลูโคส ล่วงหน้าก่อนหนาว 2-3 วัน และให้ระหว่างอากาศหนาว ทุก 2-3 วัน จนกว่าอากาศหายหนาว
16. อากาศร้อน (สูงกว่า 35 องศา) ช่วงข้าวหลังผสมเกสรติดหรือเริ่มเป็นน้ำนม จะกลายเป็นข้าวลีบมาก แก้ไขโดยการให้ ธาตุรอง/ธาตุเสริม + เอ็นเอเอ. ล่วงหน้าก่อนอากาศร้อน 2-3 วัน และให้ระหว่างอากาศร้อน ทุก 2-3 วัน จนกว่าอากาศจะปกติ
17. สายลมแรงมากทำให้ต้นข้าวเครียด เนื่องจากต้องคายน้ำมาก มีผลทำให้เมล็ดข้าวลีบ รวงจะเป็นสีขาวคล้ายถูกหนอนกอทำลาย วิธีแก้ไขเหมือนช่วงอากาศร้อนจัด
18. การนับอายุข้าว นาดำเริ่มนับที่วันปักดำ ส่วนนาหว่านเริ่มนับที่วันหว่าน แต่อย่างไรก็ตาม ในธรรมชาติไม่มีตัวเลข ทุกอย่างต้องขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตรทั้งสิ้น
*** ข้าวอายุ 120วัน
- ระยะกล้า 0-18วัน
- ระยะแตกกอ 20-30 วัน
- ระยะสร้างรวง 50-60 วัน
- ระยะออกดอก 70-85 วัน (พอข้าวผสมเกสร ปลายข้าวเมล็ดเหลือง 2-3 เมล็ด ให้ฉีดเร่งแป้ง)
- ระยะเกี่ยว ระยะพลับพลึง ระยะข้าวช่วงไม่เกิน 110วัน
-สำหรับข้าวนาดำ ตามรูปของท่าน ให้นับวันที่ปักดำ เป็นวันแรก ไม่ใช่บวกวันตกกล้า เช่นเพราะกล้าวันที่ 1 วันดำกล้าวันที่ 18 ให้นับวันที่ 18 เป็นวันที่ 1 ก็จะตรงกัน
19. ตกกล้าสำหรับนาดำ ระหว่างการตกกล้าในกระบะ (ตาป๊อก) กับการตกกล้าในแปลงบนพื้นใช้เวลา 16-20 วัน เท่ากัน แต่ต้นกล้าในแปลงบนพื้นจะสูงกว่า .... ต้นกล้าในกระบะเหมาะสำหรับใช้ปักดำด้วยเครื่องดำนา ส่วนต้นกล้าในแปลงบนพื้นเหมาะสำหรับปักดำด้วยมือ
20. ในนาหว่าน ถ้าระดับน้ำท่วมเมล็ดมาก (น้ำลึก) เมล็ดจะงอกช้าเพราะในน้ำมีอากาศน้อย หลังจาก งอกขึ้นมาแล้วลำต้นจะสูงและอ่อนแอ แต่ถ้าหว่านเมล็ดระดับน้ำพอท่วมเมล็ดหรือท่วมน้อยที่สุดจะงอกเร็วเพราะเมล็ดพันธุ์ได้รับอากาศดี
21. ระดับอุณหภูมิ 30 องศา เมล็ดพันธุ์งอกได้ดีที่สุด....อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา เมล็ดพันธุ์จะไม่งอก .... การทำให้เมล็ดพันธุ์อบอุ่น โดยหลังจากแช่น้ำ 24 ชม. แล้วนำขึ้นกองบนพื้นซีเมนต์ ปิดทับด้วยพลาสติกนาน 24 ชม. อุณหภูมิในกองจะสูงขึ้นส่งผลให้ได้เปอร์เซ็นต์งอกสูง
22. ต้นข้าวที่เจริญเติบโตในช่วงอุณหภูมิสูง จะเจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตดีกว่าต้นข้าวที่เจริญเติบโตในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ
23. ต้นกล้าที่มีขนาดอวบอ้วน น้ำหนักมาก จะเจริญเติบโตเร็ว และให้คุณภาพผลผลิตดีกว่าต้นกล้าผอม น้ำหนักน้อย .... ต้นข้าวที่สมบูรณ์ ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานแห่งการเพาะปลูกจะแตกใบใหม่ทุก 7 วัน
24. นาดำ ปักดำกล้ากอละ 1 หรือ 2 ต้น หรือมากว่า ให้ผลผลิตไม่ต่างกัน แต่สิ้น เปลืองต้นกล้า แรงงาน และเวลาต่างกัน
25. การใส่ปุ๋ยเคมีที่มีอัตราส่วนไนโตรเจน.สูง ฟอสฟอรัส. และโปแตสเซียม.ต่ำ เช่น 16-8-8 หรือ 25-7-7 หรือ 46-0-0 + 16-16-16 อัตรา 1:1 จะช่วยให้ต้นข้าวแตกหน่อดีกว่าการใส่ไนโตรเจน. เดี่ยวๆ
26. ข้อมูลทางวิชาการระบุว่า ข้าวหอมมะลิ กข.105 เป็นข้าวไวแสง ปลูกได้เฉพาะเขตอิสาน ปลูกได้ปีละ 1 รุ่น ได้ผลผลิต 30-50 ถัง/ไร่ .... แต่ข้อมูลแห่งความเป็นจริง ข้าวหอมมะลิ เมล็ดพันธุ์จากอิสาน ปลูกที่ จ.ลำพูน, จ.พิจิตร, จ.นครสวรรค์ ปลูกได้ปีละ 2 รุ่น ได้ผลผลิต 80 ถัง/ไร่.
(จากงานวิจัยโดย ม.จุฬาลงกรณ์ ระบุว่า ดินและสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูกที่ทำให้ข้าวหอมมะลิ กข.105 มีกลิ่นหอมนั้นเกิดจากจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งได้สารอินทรีย์ขึ้นมาให้แก่ต้นข้าว)
27. ข้าวหอมมะลิ กข.105 ถือกำเนิดที่ จ.ฉะเชิงเทรา ดังนั้นจึงไม่น่าที่จะปลูกในพื้นที่จังหวัดอื่นๆไม่ได้ การที่ข้าวหอมมะลิ กข.105 มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวนั้น นอกจากเป็นผลงานของจุลินทรีย์แล้ว ลักษณะสภาพโครงสร้างของดินที่มีเกลือสินเธาว์ก็น่าจะมีส่วนด้วย .... ข้าวขาวดอกมะลิ คือข้าวขาวหอมมะลิ ฉายรังสีนิวตรอน
(ฉายรังสีนิวตรอนเร็วปริมาณ 20 30 40 50 และ 60 เกร์ย เมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เพื่อชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์ เริ่มทำการทดลองปี 2539 ผลการทดลองพบว่า สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ฉายรังสีปริมาณ 20 เกร์ย จำนวน 21 สายพันธุ์ แสดงลักษณะต้นเตี้ย ไม่ไวต่อช่วงแสง มีคุณภาพเมล็ดและความหอมใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทำการคัดเลือกสายพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เดิม ทดลองเปรียบเทียบผลผลิตระหว่างสถานีจำนวน 5 สายพันธุ์ เนื่องจากสายพันธุ์เหล่านี้ไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 100 วัน เหมาะสำหรับแนะนำให้ปลูกในเขตชลประทาน สามารถปลูกได้ปีละ 3 ครั้งเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร...)
28. ต้นข้าวที่ขึ้นห่างๆ จะแตกกอจำนวนมาก แต่ละกอมี 20-30 ลำ 1 ลำ ได้ผล ผลิต 1 รวง ต้นและใบที่ได้รับแสงแดดเต็มที่จะส่งผลให้คุณภาพผลผลิตดี โรคแมลงรบกวนน้อย การเดินเข้าไปตรวจแปลงง่ายและสะดวก .... ต้นข้าวที่ขึ้นถี่ๆ จะแตกกอน้อยต้นและใบได้รับแสงแดดน้อย ส่งผลให้คุณภาพผลผลิตไม่ดี กับทั้งโรคแมลงรบกวนมากด้วย
ใช้ กากก้นถัง ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงที่มีส่วนผสมของ ฮิวมิค แอซิด รวมอยู่ด้วย ใส่แปลงนาช่วงทำเทือกจะช่วยให้ต้นข้าวแตกกอได้มากขึ้น
ช่วงต้นข้าวระยะน้ำนม สามารถตรวจสอบปริมาณผลผลิตในเนื้อที่ 1 ไร่ ได้โดยเดินทแยงมุม จากมุมกระทงหนึ่งไปยังมุมกระทงตรงข้าม เก็บข้าวรวงแรก แล้วดินต่อไปอีก 10 ก้าวให้เก็บรวงที่สอง และให้เก็บรวงข้าวทุกๆ ระยะเดิน 10 ก้าว จนสุดมุมกระทงนา เก็บรวงข้าวมาแล้วนับจำนวนรวงที่เก็บมา จากนั้นให้เด็ดเมล็ดข้าวออกจากรวงทุกรวง นับจำนวนเมล็ดทั้งหมดแล้วหารด้วยจำนวนรวง เพื่อหาค่าเฉลี่ย ตัวเลขผล ารคือ ผลผลิตโดยประมาณของผลผลิตข้าวในเนื้อที่ 1ไร่นั้น เช่น เก็บรวงข้าวมาได้ 10 รวง เด็ดเมล็ดออกมานับรวมกันได้ 1,230 เมล็ด ค่าเฉลี่ย (1,230 หารด้วย 10) เท่ากับ 123.3 แสดงว่านาข้าวไร่นั้นจะได้ผลผลิตโดยประมาณ 123 ถัง นั่นเอง
29. ต้นข้าวที่ขึ้นห่างๆ ใบแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มหน้าใบ จะสมบูรณ์แข็งแรงให้ผลผลิตมาก และคุณภาพดีกว่าต้นข้าวที่ขึ้นเบียดชิดจนใบไม่สามารถแผ่กางรับแสงแดดเต็มหน้า ใบได้
30. สารที่ทำให้ข้าวหอมมะลิมีกลิ่นหอม เป็นสารตัวเดียวกันกับน้ำคั้นใบเตย ดังนั้น ข้าวหอมมะลิ ที่ปลูกนอกพื้นที่ทุ่งกุลาร่าเริง ระยะพลับพลึง (ก่อนเกี่ยว) แต่ใบยังเขียวหรือเขียวอมเหลือง ให้น้ำ 100 ล.+ น้ำคั้นใบเตยสด 250-300 ซีซี.+ กลูโคสน้ำ 100 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบ ก่อนเกี่ยว 5-7 วัน จะช่วยบำรุงให้ข้าวมีกลิ่นหอมดีขึ้น
31. ระยะน้ำนม รวงข้าวเริ่มโค้งลง ถ้าลำต้นสูงมากหรือความสมบูรณ์ต่ำ เมื่อถูกลมพัดมัก จะล้มหรือหัก อาการล้มหรือหักของต้นทำให้น้ำเลี้ยงจากรากลำเลียงไปสู่รวงไม่ได้ จึงทำให้ไดเมล็ดข้าวคุณภาพต่ำ แนวทางแก้ไข คือ ช่วงตั้งท้องต้องบำรุงด้วย 0-42-56 ย่างน้อย 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน จะช่วยลำต้นไม่สูงแต่อวบอ้วนดี
32. นาข้าวเขตภาคกลางแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม รุ่นแรกใช้ต้นทุนไม่เกิน 2,000-2,500 บาท/ไร่ ได้ข้าว 100 ถัง จากรุ่นแรกแล้วทำต่อรุ่น 2-3 และรุ่นต่อไปเรื่อยๆ ต้นทุนจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,500-1,800 ได้ข้าวเพิ่มเป็น 120-130 ถัง
33. นา 20 ไร่ แรงงานสองคนผัวเมีย ปลูกข้าว 4 สายพันธุ์ สายพันธุ์ละ 5 ไร่ ได้ผลผลิตมาแล้วสีเป็นข้าวกล้อง จากข้าวกล้องทำเป็นข้าว เบญจรงค์ (ข้าว 5 สี) ขายปลีก กก.ละ 100 บาท รูปการณ์น่าจะดีกว่าทำข้าวเปลือกขายให้โรงสี
34. นาข้าวที่ได้ 100 ถัง จะมีฟางประมาณ 1,200 กก. .... ปริมาณฟาง 1 ตัน จะให้สารอาหารพืช ประกอบ ด้วย ไนโตรเจน 6.0 กก. ฟอสฟอรัส 1.4 กก. โปแตสเซียม 17.0 กก. แคลเซียม 1.2 กก. แม็กเนเซียม 1.3 กก. ซิลิก้า 50.0 กก.
ถ้าได้ไถกลบเศษซากต้นถั่วเหลือง (ปลูกจากเมล็ดพันธุ์ 12 กก./ไร่) ลงไปอีกก็จะได้ ไนโตร เจน 45 กก. เมื่อรวมฟางกับต้นถั่วเหลืองแล้ว จะทำให้ได้ปุ๋ยสำหรับต้นข้าวมากมาย
ดินที่สภาพโครงสร้างดีตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดินระบุว่า เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปแต่ละครั้ง ต้นพืชได้นำไปใช้จริงเพียง 4 ส่วน แล้วเหลือตกค้างอยู่ในดิน 6 ส่วนเสมอ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเคมี 1-2 รุ่นแล้วเว้น 1 รุ่น ก็จะยังคงมีปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างจากการใส่แต่ละรุ่นที่ผ่านมาบำรุงต้นข้าวรุ่นปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ
มาตรการบำรุงดินโดยปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ สารปรับปรุงบำรุงดิน และจุลินทรีย์ อย่างสม่ำ เสมอ-ต่อเนื่อง-รุ่นต่อรุ่น-หลายๆรุ่น-หลายๆปี จะทำให้เกิดการ สะสมอยู่ในเนื้อดิน ส่งผลให้สภาพโครงสร้างของดิน ดีขึ้น ดีขึ้นและดีขึ้น ตามลำดับ
35. ไม่ควรปลูกข้าวอย่างเดียวแบบต่อเนื่อง รุ่นต่อรุ่น หลายๆรุ่น หลายๆปี แต่ควรเว้นรุ่นทำนา 2-3 รุ่นแล้วปลูกพืชตระกูลถั่ว 1 รุ่น นอกจากจะได้เศษซากพืชตระกูลถั่วไถกลบปรับปรุงบำรุงดินแล้วยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของแมลง และเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
36. นาหว่านที่หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกร่วมกับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ต้นข้าวจะงอกและโตพร้อมๆกับต้นถั่วเขียว เลี้ยงต้นกล้าข้าวให้นานที่สุดเท่าๆกับได้ต้นถั่วสูงสุด จาก นั้น จึงปล่อยน้ำเข้าท่วมนา จะทำให้ต้นถั่วตายแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน/จุลินทรีย์) สำหรับต้นข้าว
37. นาดำหลังจากปักดำแล้ว ใส่แหนแดงหรือแหนเขียว อัตรา 2-3 ปุ้งกี๋/ไร่ หรือกระทงนา ปล่อยไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แหนจะแพร่ขยายพันธุ์จนเต็มกระทง ระดับน้ำที่เคยมีเมื่อตอนดำนาก็จะลดลงจนถึงผิวหน้าดินพร้อมๆกับแหนลงไปอยู่ที่ผิวดินด้วยแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน) พืชสดสำหรับต้นข้าว
38. ดินที่อุดมสมบูรณ์ดี (ตามหลักวิชาการ) เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปจะช่วยให้ต้นเจริญ เติบโตทางใบ (บ้าใบ/เฝือใบ) ดีมาก แต่ผลผลิตกลับลดลง .... แปลงนาข้าวที่มีอินทรีย์วัตถุ และสารปรับปรุงบำรุงดินมากจะให้ผลผลิตดีมากไม่เฝือใบ ทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยเคมีน้อยกว่า ต้นข้าวงามใบ (บ้าใบ) แก้ไขโดยการให้ โมลิบดินั่ม + แคลเซียม โบรอน 1 ครั้ง
39. สภาพดินเหนียว ดินทราย ดินดำ ดินร่วน ฯลฯ ในดินแต่ละประเภทต่างก็มีสารอาหารพืชและปริมาณแตกต่างกัน สารอาหารพืชเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามกลไกทางธรรมชาติ หรือเกิดจากกระบวนการสารพัดจุลินทรีย์ย่อยสลายสารพัดอินทรีย์วัตถุ
วันนี้ สารอาหารธรรมชาติในดินหมดไป หรือเหลือน้อยมากจนไม่พอพียงต่อความต้องการของพืชเพื่อการพัฒนาเจริญเติบโต สาเหตุหลักเกิดจากการปลูกพืชแบบซ้ำรุ่น ต่อเนื่อง รุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งพืชคือผู้นำ สารอา หารเหล่านั้นไปใช้ สาเหตุรองลงมา คือ เกิดจากมนุษย์ทำลายวงจรการเกิดใหม่ของสารอาหารตามธรรมชาติ และทำลายผู้ผลิตสารอาหาร (จุลินทรีย์) นั่นเอง ดังนั้นจากคำกล่าวที่ว่า ดินมีสารอาหารพืช ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพูดว่าดินเคยมีสารอาหารจึงจะถูกต้องตามข้อเท็จจริง
แนวทางแก้ไข คือ จัดการให้มีวัตถุดิบที่ก่อให้เกิดสารอาหารพืช และ ส่งเสริมผู้ผลิตสารอาหารพืช ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สุด แล้วดินจะกลับคืนมาเป็นดินดี เหมือนป่าเปิดใหม่อีกครั้ง และจะเป็นดินดีตลอดไปอย่างยั่งยืนตราบเท่าที่ได้จัดการและส่งเสริมอย่างถูกวิธีสม่ำเสมอ
40. การดัดแปลงคันนาให้กว้าง 3-4 ม. แล้วปลูกพืชสวนครัว เช่น พริก มะเขือ ข่า ตะไคร้ ฯลฯ บนคันนานั้น ผลผลิตที่ได้เมื่อเทียบกับจำนวนเนื้อที่แล้วจะได้มากกว่าข้าว
41. การเลี้ยงปลาในนาข้าวโดยการทำร่องน้ำรอบแปลงนาเพื่อให้ปลาอยู่นั้น ร่องน้ำกว้าง 2.5-3 ม. ลึกจากพื้นระดับในแปลงนา 80 ซม.- 1 ม. มีน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงปลาในร่องได้ตลอดอายุของปลา หรือบางครั้งให้น้ำล้นจากร่องน้ำเข้าสู่แปลงนาหล่อเลี้ยงต้นข้าวได้ด้วย แนะนำให้เลี้ยงปลากินเนื้อ โตเร็ว
จำหน่ายได้ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
การเลี้ยงปลาในนาข้าวสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ดัดแปลงปรับปรุงพื้นที่ลุ่มที่มีอยู่เดิมในแปลงนาให้กักเก็บน้ำได้ตลอดฤดูกาลหรืออายุปลา ทำร่องล้อมรอบแปลงนาหรือ ขุดเป็นบ่อขึ้นมาใหม่ที่บริเวณลาดต่ำในแปลงนา ข้อควรคิดต่อการเลี้ยงปลาในนาข้าวที่จำเป็นต้องวางแผนแก้ปัญหาล่วงหน้าก่อนลงมือเลี้ยง ได้แก่ อายุปลาตั้งแต่เริ่มปล่อยลงน้ำถึงจับนาน 6 เดือน-1 ปี ซึ่งระยะเวลาขนาดนี้ปลูกข้าวได้ 2-3 รุ่น ระหว่างที่ต้นข้าวกำลังเจริญเติบโตนั้นสามารถปล่อยน้ำจากแหล่งที่อยู่ของปลาเข้าไปในแปลงนา จนกระทั่ง น้ำท่วมต้นข้าวเพื่อให้ปลาจับกินแมลงได้ และก่อนเกี่ยวข้าวต้องงดน้ำให้ข้าว ช่วงนี้ปลาจะกลับเข้าไปอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่เตรียมไว้ให้อย่างเดิม
42. ตั้งเป้าหมายทำนาข้าวเพื่อขายเป็นพันธุ์ข้าวปลูก หรือเพื่อสีเป็นข้าวกล้องอินทรีย์ โอท็อป จะได้ราคาดีกว่าปลูกข้าวแล้วขายเป็นข้าวเปลือกแก่โรงสี
43. ข้าวนาดำ ให้ผลผลิตเหนือกว่านาหว่าน ทั้งคุณภาพ ปริมาณ และต้นทุน
44. ข้าวนาดำ ต้นกล้าที่ถอนขึ้นมาจากแปลงตกกล้า มัดรวมแล้วนำไปตั้งไว้ใน น้ำ 100 ล. + มูลค้างคาว 250 กรัม นาน 12 ชม. จึงนำไปปักดำ เมื่อต้นข้าวโตขึ้นจะแตกกอดีกว่ากล้าที่ไม่ได้แช่ในน้ำมูลค้างคาว
45. นาปี หมายถึง นาข้าวที่ทำหรือหว่าน/ดำในช่วงฤดูฝนโดยรอแต่น้ำฝนในฤดูกาลเท่านั้น เช่น นาข้าวที่หว่านวันแม่ (ก.ค.-ส.ค.) เกี่ยววันพ่อ (พ.ย.-ธ.ค.) มักมีปัญหาข้าวเปลือกล้นตลาดเนื่องจากชาวนาส่วนใหญ่หว่าน/ดำพร้อมกันทั้งประเทศ
46. นาปรัง (ปรัง.เป็นภาษาเขมร แปลว่า แล้ง.) หมายถึง นาข้าวที่ทำหรือ หว่าน/ดำ ในช่วงหน้าแล้ง หรือทำนารุ่น 2 ต่อจากนาปี โดย หว่าน/ดำ ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.แล้วเก็บเกี่ยวช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. ซึ่งต้นข้าวจะต้องเจริญเติบโตตลอดหน้าแล้ง บางปีบางแหล่งได้น้ำจากชลประทาน แต่บางปีบางแหล่งที่น้ำจากชลประทานมีน้อยไม่สามารถปล่อยออกมาช่วยเหลือได้ บางปีบางแหล่งรอน้ำฝนอย่างเดียว นาประเภทนี้มักมีปัญหาขาดแคลนน้ำเสมอ บ่อยครั้งที่ชาวนาบางแหล่งบางที่ต้องยอมเสี่ยงทำนาปรัง เพราะผล ผลิตราคาดี เนื่องจากมีคน ทำนาน้อย
ชาวนาบางรายลงทุนแก้ปัญหานาปรังขาดแคลนน้ำโดยเจาะบ่อบาดาลในแปลงนาโดยตรง ต้องการใช้น้ำเมื่อใดก็สูบขึ้นมาใช้เมื่อนั้น
เมื่อไม่มีน้ำบนหน้าดินหล่อเลี้ยงแปลงนาก็ให้อาศัยแหล่งน้ำใต้ดิน โดยใส่อินทรีย์ วัตถุประเภทเศษซากพืชลงไปในดินลึกมากๆ ติดต่อกันหลายๆรุ่น อินทรีย์วัตถุประเภท เศษซากพืชจะช่วยกักเก็บและอุ้มน้ำไว้ในเนื้อดินลึกอยู่ได้นานนับเดือนถึงหลายๆ เดือน
เตรียมอินทรีย์วัตถุประเภทเศษซากพืชไว้ใต้ดิน แนะนำให้เลือกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว-เหลือง-แดง-ดำ หรือถั่วปรับปรุงดินของกรมพัฒนาที่ดิน ฯลฯ เนื่องจากเป็นพืชโตเร็ว พันธุ์เบา อายุ 80 วัน. พันธุ์หนัก อายุ 130 วัน (พันธุ์หนักให้ผลผลิตมากกว่าพันธุ์เบา) ต้องการน้ำน้อยมาก ไม่ยุ่งยากในการปลูกและบำรุง เศษซากเปื่อยสลายตัวเร็ว (ภายใน 7-15 วัน) .... กรณีถั่วเหลืองนั้นดีมาก เพราะมีระบบรากลึกถึง 1-1.20 ม. แผ่ออกทางข้าง 30-50 ซม. ซึ่งรากที่หยั่งลึกลงไปในเนื้อดินนี้ จะช่วยนำร่องให้น้ำจากผิวดินซึมลึกลงไปได้ง่าย .... เนื้อที่ 1 ไร่ ปลูกถั่วเหลืองเพื่อเอาผลผลิตให้ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 10-13 กก./ไร่ ซึ่งจะได้ไนโตรเจนมากถึง 45 กก./1 รุ่น แต่ถ้าต้อง
การเอาเศษซากต้นถั่วไถกลบลงดินจำนวนมากๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ 20-25 กก./ไร่ ไปเลย ทั้งนี้ที่รากพืชตระกูลถั่วทุกชนิดนอกจากจะมีปมไนโตรเจนแล้ว ยังมีจุลินทรีย์กลุ่มคีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า. แอ็คติโนมัยซิส. และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อดิน จุลินทรีย์ประจำถิ่น และพืชข้างเคียงทั้งสิ้น
ต้นข้าวระยะกล้า ผิวดินมีน้ำหล่อ ใส่แหนแดง 2 ปุ้งกี๋ /ไร่ ทิ้งไว้จนกว่าน้ำแห้งลงถึงผิวหน้าดินแหนแดงจะขยายพันธุ์จนเต็มพื้นที่ 1 ไร่ เมื่อน้ำแห้งแหนแดงจะยังคงติดอยู่ที่ผิวหน้าดินแล้วรอเวลาเน่าสลายกลายเป็นไนโตรเจน (อินทรีย์) บำรุงต้นข้าวได้เป็นอย่างดี
47. นาหว่านสำรวย หมายถึง แปลงนาในที่ดอน ไม่มีน้ำหล่อหน้าดิน (หน้าดินแห้งไม่เปรอะเปื้อนเท้า) ทำนาโดยหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้วไถดินกลบ เมื่อฝนตกลงมาเมล็ดพันธุ์ก็จะงอกแล้วเจริญเติบโตตามธรรมชาติภายใต้ปริมาณน้ำฝน ถ้าฝนตกซ้ำก็ดีแต่ถ้าไม่มีฝนตกอีกเลยก็เสียหาย ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติแท้ๆ
48. นาหว่านน้ำตม หมายถึง แปลงนาในที่ลุ่มมีน้ำหล่อหน้าดินตลอดเวลา บางแปลงสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ บางแปลงควบคุมไม่ได้ ในเมื่อธรรมชาติของต้นข้าวชอบน้ำพอแฉะหน้าดิน แต่นาหว่านน้ำตมมีน้ำมากจนขังค้างโคนต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมปริมาณน้ำให้ได้ด้วยการ สูบเข้า-สูบออก เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของต้นข้าวซึ่งจะส่งผลให้ได้ผลผลิตสูงสุด
49. นาไร่ หรือ ข้าวไร่ หมายถึง นาในที่ดอนหรือบนไหล่เขาที่มีน้ำน้อยหรือไม่มีน้ำหล่อหน้าดิน (เหมือนาสำรวย) นิยมทำโดย ไถ-พรวน ดินก่อนแล้วใช้วิธีปลูกแบบหยอดเมล็ดพันธุ์ จากนั้นปล่อยให้ต้นข้าวเจริญเติบ โตเองโดยอาศัยน้ำฝนและน้ำค้าง
50. นาลุ่ม หรือ นาเมือง หรือ นาข้าวขึ้นน้ำ หมายถึง แปลงนาในพื้นที่ลุ่มก้นกระทะ (ลักษณะทางภูมิ ศาสตร์) มีน้ำมาก บางแหล่งลึกถึง 3 ม. ซึ่งต้นข้าวก็สามารถเจริญเติบโตให้ผลผลิตได้ นิยมใช้ข้าวพันธุ์โตเร็ว ต้นสูง สามารถทนต่อสภาพน้ำท่วมมิดต้นระยะสั้นๆได้ แล้วเร่งโตจนยอดโผล่พ้นน้ำได้ทันการเก็บเกี่ยวบางปีระดับน้ำมากถึงกับพายเรือเกี่ยวข้าวด้วยมือ เมล็ดข้าวที่ได้มักมีความชื้นสูงมาก
51. นาสวน หมายถึง นาข้าวแบบปักดำด้วยมือที่ระดับน้ำลึกไม่เกิน 80 ซม.- 1 ม. ในฤดูน้ำมากแต่ไม่มากเท่านาเมืองหรือนาข้าวขึ้นน้ำ
52. นาขั้นบันได หมายถึง นาบนไหล่เขาที่ดัดแปลงกระทงนาเป็นเหมือนขั้นบันได้เพื่อกักเก็บน้ำ เนื้อดินนาแบบนี้อุ้มน้ำได้ดีระดับหนึ่งแต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก เนื่องจากความลาดเอียงของไหล่เขาที่น้ำต้องไหลหรือซึมจากที่สูงไปหาที่ต่ำเสมอ
53. นาร่องน้ำ หมายถึง นาข้าวริมร่องน้ำในสวนยกร่องน้ำหล่อ มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน นิยมปลูกข้าวเพื่อเอาผลผลิตไว้เลี้ยงสัตว์
54. นอกจาก ข้าวจ้าว-ข้าวเหนียว ที่คนไทยนิยมกินเป็นอาหารหลักแล้ว สภาพภูมิอากาศทางภาคเหนือของประเทศไทยยังสามารถปลูกข้าวมอลท์. ข้าวบาเลย์. สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเบียร์ได้ ซึ่งวันนี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศหรือแม้แต่ข้าวจาปอนนิก้า. สำหรับตลาดญี่ปุ่นก็สามารถปลูกได้เช่นกัน คงจะเป็นการดีไม่ใช่น้อยที่ชาวนาเขตภาค เหนือส่วนหนึ่งจะหันมาปลูก ข้าวมอลท์. ข้าวบาเล่ย์. หรือข้าวจาปอนนิก้า. ซึ่งนอก จากมีตลาดรองรับแน่นอนแล้ว ยังเป็นการลดปริมาณ ข้าวจ้าว-ข้าวเหนียว ที่ต่างก็แย่งตลาดกันเองอยู่ขณะนี้อีกด้วย
55. ผลจากการทำนาข้าวที่ทำให้เกิดแก๊ส ซึ่งส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน ได้แก่ แก๊สจากปุ๋ยเคมี และจากการย่อยสลายเศษซากอินทรียวัตถุ หรือฟอสซิล แต่เมื่อเทียบกับปริมาณแก๊สที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว แก๊สจากนาข้าวน้อยกว่ามาก
56. ข้าวเปลือก 1 ตัน ความชื้น 1% หมายถึงมีน้ำปนอยู่ในข้างเปลือก 15 กก.
57. "ข้าวเมาตอซัง" คือ ต้นข้าวตั้งแต่ระยะกล้า - แตกกอ มีอาการต้นเหลือง ใบ เหลือง เกิดจากก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) ซึ่งก๊าซนี้เกิดจากการไถกลบฟางแล้วฟางหรือซากวัชพืชที่ย่อยสลายยังไม่เรียบร้อย .... การตรวจสอบ คือ หลังจากปล่อยน้ำเข้านาพร้อมกับใส่จุลินทรีย์ลงไปส่วนหนึ่งเพื่อการหมักฟาง 7-10 วันแล้ว ให้เดินย่ำลงไปในแปลงนา จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น ให้สังเกตกลิ่นที่ออกมาจากฟอง ถ้ามีกลิ่นหอมหรือไม่มีกลิ่นเหม็น หรือหยิบเนื้อดินขึ้นมาดมจะมีกลิ่นหอม แบบนี้แสดงว่า กระบวน การย่อยสลายเรียบร้อยแล้ว ให้ลงมือทำนาต่อได้เลย .... แต่ถ้าฟองนั้นมีกลิ่นเหม็น หรือหยิบดินขึ้นมาดมแล้วมีกลิ่นเหม็น นั่นคือ กลิ่นของก๊าซไข่เน่า ขืนปลูกข้าวลงไป ต้นข้าวที่โตขึ้นมาจะเป็นโรคเมาตอซัง เทคนิคการแก้ไขเรื่องก๊าซไข่เน่าทำโดยปล่อยน้ำออกจากแปลงให้หมด เหลือน้ำติดผิวดินแค่ระดับรอยตีนวัวตีนควาย แล้วฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วยลงไปให้ทั่วแปลง ทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์มีประโยชน์กำจัดก๊าซไข่ เน่า จากนั้นให้เดินย่ำลงไปในแปลงตรวจสอบกลิ่นดินซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังคงมีกลิ่นเหม็นเหมือนเดิมอยู่ ให้ฉีดพ่นซ้ำจุลินทรีย์หน่อกล้วย แล้วทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ให้ตรวจสอบซ้ำอีก ทำซ้ำอย่างนี้หลายๆรอบจนกว่าจะหมดกลิ่น .... แต่ถ้าหลังจากใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วยครั้งแรก ครบกำหนดแล้วตรวจสอบ ไม่มีกลิ่นก๊าซไข่เน่า ก็ให้ปล่อยน้ำเข้าแล้วลงมือทำเทือกได้เลย
วิธีป้องกันการเกิดไข่เน่าวิธีหนึ่ง คือ ก่อนไถกลบฟาง ให้เอาฟางออกครึ่งหนึ่ง หรือเอาออก 3 ใน 4ส่วนของฟางที่มีทั้งหมด ทั้งนี้ การมีปริมาณฟางมากๆ ต้องใช้เวลาในการย่อยสลายนานมากกว่าการมีฟางน้อยๆ ดังนั้น ชาวนาจะต้องพิจารณา เอาฟางออกหรือเอาฟางไว้ทั้งหมด ด้วยความเหมาะสม
จุลินทรีย์กลุ่มที่ใช้ย่อยฟางดีที่สุด คือ จุลินทรีย์ฟางเน่าในแปลง จุลินทรีย์จาวปลวก จุลินทรีย์ประจำถิ่น (ในแปลงตัวเอง)
58. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นข้าวที่ "ใบ" ..... ลักษณะใบใหญ่ หนา เขียวเข้ม ตอนเช้า 7-9 โมง ใบธงไม่มีอาการโค้งงอลง ใช้ท้องแขนกดลงที่ปลายใบ (ให้ปลายใบแทงท้องแขน) จะรู้สึกเจ็บที่ท้องแขน
59. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นข้าวที่ "ราก" .... ถอนต้นข้าวทั้งต้นขึ้นมาดูราก ถ้ามีรากขาวมากกว่ารากดำ มีจำนวนมาก ขนาดความยาวเท่าครึ่งหนึ่งของลำต้น แสดงว่าระบบรากดี ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีรากดำมากกว่ารากขาว จำนวนรากน้อย รากสั้น แสดงว่าต้นไม่สมบูรณ์กรณีนี้ควรเปรียบเทียบระหว่างต้นที่โตสมบูรณ์ กับต้นที่มีลักษณะแคระแกร็น ก็จะเห็นความแตกต่างชัดเจน
60. ต้นข้าวต้องการสารอาหาร (ปุ๋ย) 14 ตัว ประกอบด้วย ธาตุหลัก 3 ตัว ธาตุรอง 3 ตัว และธาตุเสริม 9 ตัว ..... การใส่ปุ๋ยยูเรียทำให้ต้นข้าวได้รับปุ๋ยเพียงไนโตรเจนเพียงตัวเดียว กับใส่ 16-20-0 ก็จะได้ไนโตรเจน.กับฟอสฟอรัส.เท่านั้น....ชาวนาที่ใส่ยูเรีย 1 กส. (50 กก.) ใส่ 16-20-0 อีก 1 กส. (50 กก.) ใส่ 2 สูตรรวม 100 กก. ต้นข้าวก็ยังได้ปุ๋ยเพียง 2 ตัวเท่านั้น
61. ลักษณะ เด่น/ด้อย ทางพันธุกรรม เกิดจากการนำพันธุ์ข้าว 2 สายพันธุ์มาผสมกันให้เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ตามต้องการ ระหว่าง 2 สายพันธุ์ที่นำมาผสมกันนี้ แต่ละสายพันธุ์ย่อมมีทั้ง "ลักษณะด้อย และ ลักษณะเด่น" ทางสายพันธุ์ ซึ่งลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสายพันธุ์หนึ่งอาจไปปรากฏในสายพันธุ์ที่ถูกผสมขึ้นมาใหม่ได้ การแก้ปัญหาลักษณะด้อยประจำสายพันธุ์สามารถทำได้โดยการ "เน้น" สารอาหารเพื่อบำรุงส่วนนั้นโดยตรงให้มากขึ้น เช่น สายพันธุ์ที่เปอร์เซ็นต์เป็นเมล็ดลีบสูง แก้ไขด้วยการให้ธาตุสังกะสี สายพันธุ์ที่มีอัตราการแตกกอน้อย แก้ไขด้วยการธาตุอาหาร P และ K สูงในช่วงแตกกอ เป็นต้น การเน้นสารอาหารเพื่อให้พืชได้รับมากเป็นกรณีพิเศษ ควรให้ทางรากโดยใส่ไว้ในเนื้อดินตั้งแต่ตอนทำเทือก หลังจากนั้นจึงให้เสริมทางใบเป็นระยะสม่ำ เสมอ
สาเหตุอื่นที่ทำให้ข้าวเป็นเมล็ดลีบ เช่น ข้าวระยะออกดอก ระยะตากเกสร ระยะน้ำนม ถ้าสภาพอากาศอุณหภูมิผิดปกติ (หนาว-ร้อน กว่าปกติ)การพัฒนาของต้นจะชะงัก แก้ไขด้วยการให้ธาตุสังกะสี โดยให้แบบล่วงหน้าและระหว่างอุณหภูมิผิดปกติ
62. การให้แคลเซียม โบรอน ทางใบแก่ต้นข้าวก่อนเกี่ยว 7-10 วัน จะทำให้ระแง้คอรวงเหนียว เครื่องเกี่ยวสลัดเมล็ดข้าวไม่หลุด
63. การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภท "ยาฆ่า-ยาคุม" หญ้า/วัชพืช ทุกชนิดในนาข้าว จะส่งผลให้ต้นข้าวชะงักการเจริญเติบโต 7-15 วัน แล้วแต่ความเข้มข้นของสาร แนวทาง แก้ไข คือ หลังจากฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชไปแล้ว 3 วัน (วัชพืชเริ่มใบเหี่ยว) ให้ฉีดพ่นสาร อาหาร แม็กเนเซียม + สังกะ สี + น้ำตาลทางด่วน ที่ต้นข้าว ฉีดพ่น 2 รอบ ห่างกันรอบละ 3 วัน ต้นข้าวจะไม่ชะงักการเจริญเติบ โตแล้วโตต่อตามปกติ
64. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นพันธุ์ข้าวที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวและคณะ กรรมการกรมวิจัยแห่งชาติ ซึ่งร่วมกันวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมา โดยใช้การผสมพันธุ์ข้าวระหว่างข้าวหอมนิลและข้าวหอมมะลิ 105 ทำให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นประจำสายพันธ์ คือ เมล็ดข้าวจะมีสีม่วง มีลักษณะเรียวยาว และมีผิวที่มันวาว ปลูกได้ตลอดทั้งปี มีคุณสมบัติต้านทานต่อโรครากไหม้ และทนต่อสภาพธาตุเหล็กเป็นพิษในดินมีไส้เดือนเต็มไปหมด
65. เตรียมดิน/ทำเทือก พืชอายุสั้น ฤดูกาลเดียว (พืชสวนครัว-พืชไร่-ไม้ดอก-นาข้าว) จำนวนต้นมากต่อพื้นที่ปลูก นั่นคือ ระบบรากย่อมกระจายไปทั่วทุกตารางนิ้วของพื้นที่ปลูกในแปลง การใส่ปุ๋ยชนิดเม็ด (อินทรีย์อัดเม็ด-เคมี) โดย หว่านด้วยมือ เม็ดปุ๋ยจะตกกระ จายกว้างไกลเท่าที่แรงคนหว่านทำได้ ซึ่งเม็ดปุ๋ยคงไม่ตกลง ณ โคนกอพืช ทุกกอ กอละ 1-2-3 เม็ด เท่ากันตามต้องการ แบบนี้กอไหนได้ปุ๋ย กอนั้นจะเขียวงาม กอไหนไม่ได้ปุ๋ยก็ไม่เขียวงาม คนหว่านปุ๋ยบอกบ่า ปุ๋ยน้อย ว่าแล้วหว่านปุ๋ยเพิ่มอีก .... ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยวิธีของเกษตรกร อเมริกา-ยุโรป-ออสเตรเลีย โดยผสม ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง+ปุ๋ยเคมี+ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ+อื่นๆ+น้ำ ปริมาณตามต้องการ
ติดตั้งถัง น้ำละลายสารอาหารอินทรีย์-เคมี ที่หน้ารถไถ คนเคล้าให้เข้ากันดี ขณะวิ่งรถไถเปิดวาล์ว ซ้าย-ขวา ที่ก้นถังให้น้ำละลายสารอาหารออกมา เร็ว/ช้า ตามต้องการ ขณะที่น้ำสารอา หารหยดลงพื้นด้านหน้ารถไถนั้น ผานโรตารี่ที่ไต้ท้องรถไถจะตีพรวน .... หรือติดตั้งเครื่องโปรยปุ๋ยอินทรีย์ผง (BIO SOLID) หน้ารถ แทร็คเตอร์ แล้วให้ผานไต้ท้อง หรือท้ายแทร็คเตอร์ตีพรวนทำให้ดินและน้ำสารอาหารเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน กระจายทั่วแปลงทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้ต้นพืชได้รับสารอาหาร (อินทรีย์-เคมี) เท่ากันทุกต้นทุกกอ
66. การใส่ปุ๋ยแก่พืชอายุสั้น ฤดูกาลเดียว (พืชสวนครัว-พืชไร่-ไม้ดอก-นาข้าว) ต้นโตแล้ว ผสม ปุ๋ยเคมี +ปุ๋ยน้ำชีวภาพ/จุลินทรีย์ ในน้ำก่อน ปรับหัวฉีดให้เม็ดน้ำใหญ่ๆ แล้วฉีดพ่นลงดิน ทั่วบริเวณที่มีรากพืช จะส่ง ผลให้ต้นพืชได้รับสารอาหาร (อินทรีย์-เคมี) เท่ากันทุกต้นทุกกอ .... งานวิจัยจาก IRRI ระบุ ข้าวต้องการปุ๋ยธาตุหลัก 10 กก. /ไร่ /รุ่นแนวทางปฏิบัติที่ดีคือ ทำธาตุหลักธรรมดาๆ ให้เป็น ธาตุหลัก ซุปเปอร์ ด้วยการ +เพิ่ม ธาตุรอง/ธาตุเสริม, ปุ๋ยชีวภาพ, จุลินทรีย์, สารสมุนไพร และอื่นๆ ตามความจำเป็น
สรุปสูตรปุ๋ยนาข้าว :
* เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
แช่เมล็ดพันธุ์ใน ไบโออิ + ยูเรก้า + แคลเซียม โบรอน (สังกะสี. โบรอน. ส่งเสริมการงอกของรากของเมล็ด, ไคโตซาน.กำจัดเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับเมล็ดพันธุ์)
* เตรียมแปลง ทำเทือก :
ก่อนย่ำเทือกรอบแรก ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.) +เพิ่ม 25-7-7 หรือ 46-0-0 +16-16-16 อัตรา 1:1 (10 กก.) + น้ำตามความจำเป็น ต่อไร่ คนให้ปุ๋ยละลายเข้ากันดี สาดทั่วแปลง อีขลุบ/ลูกทุบจะกวาด เนื้อปุ๋ยให้กระจายทั่วแปลง ทุกตารางนิ้ว ทำให้ต้นข้าวทุกกอได้รับปุ๋ยเท่ากันทั้งแปลง
* บำรุงกล้าในแปลงเพาะกล้า :
ก่อนนำกล้าไปดำ 3 วัน ให้แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ช่วยให้ต้นกล้าแข็งแกร่งดี +สารสมุนไพรด้วย
* บำรุงระยะกล้า เร่งแตกกอ :
ทางใบ ....ไบโออิ 18-38-12 (ไม่ต้อง +เพิ่มปุ๋ยเคมี) ครั้งที่ 1 เมื่อกล้าอายุ 20 วัน, ครั้งที่ 2 เมื่อกล้าอายุ 30 วัน, ครั้งที่ 3 เมื่อกล้าอายุ 40 วัน, +สารสมุนไพรด้วยทุกครั้ง
* บำรุง ระยะตั้งท้อง :
ทางใบ : ไทเป (ไม่ต้อง +เพิ่มปุ๋ยเคมี) 2 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน, +สารสมุนไพรด้วยทุกครั้ง
ทางราก : ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.) +เพิ่ม 25-7-7 (2 กก.) +น้ำตามความจำเป็นเหมาะสม ต่อ 1 ไร่ ปรับหัวฉีดให้เม็ดน้ำใหญ่ๆ ฉีดแหวกต้นข้าวลงที่พื้นโคนกอข้าว +สารสมุนไพรด้วย
* บำรุงเร่ง ระยะออกรวง : ทางใบ .... ฉีดพ่น เอ็นเอเอ. 2 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน เมื่อรวงข้าว (หางแย้) ออกมาได้ 1 ใน 4 ของความยาวรวงทั้งหมด, +สารสมุนไพรด้วยทุกครั้ง
* บำรุง ระยะน้ำนม : ทางใบ .... ฉีดพ่น ไบโออิ + ยูเรก้า ทุก 7 วัน +สารสมุนไพรร่วมด้วยทุกครั้ง
* บำรุง ระยะก่อนเกี่ยว : ทางใบ .... ฉีดพ่น นมสด + น้ำคั้นใบเคย 1 รอบ ก่อนเกี่ยว 5-7 วัน +สารสมุน
ไพรร่วมด้วย
67. เปรียบเทียบปริมาณผลผลิต นาดำ - นาหว่าน :
* พื้นที่ 1 ตร.ศอกแขน .... นาดำ :
ข้าว 1 เมล็ด = 1 กอ แตกกอได้ 50 ลำ ลำใหญ่เท่าหลอดดูดเฉาก๊วย
1 ลำ = 1 รวง, 1 รวง = 100 เมล็ด, 50 ลำ/รวง = 5,000 ม.
* พื้นที่ 1 ตร.ศอกแขน .... นาหว่าน :
ข้าว 10 เมล็ด = 10 กอ ไม่แตกกอได้ 10 ลำเท่าเดิม ลำใหญ่เท่าหลอดดูดยาคูลท์
1 ลำ = 1 รวง, 1 รวง = 100 เมล็ด, 10 ลำ/รวง = 1,000 เมล็ด
68. ธรรมชาติเมล็ดข้าว เริ่มแก่จากเมล็ดปลายรวงเข้ามาหาเมล็ดที่โคนรวง เมื่อเมล็ด 3 ใน 4 จากปลายรวงแก่ ใบธงจะเริ่มเหลือง ส่วนใบต่ำกว่าใบธงเหลืองไปก่อนแล้ว ใบเหลือง คือ ใบหยุดสังเคราะห์อาหาร ส่งผลให้เมล็ด 1 ใน 4 ของรวงที่โคนรวงไม่ได้รับสารอาหาร จึงเป็นเมล็ดลีบ แนวทางแก้ไข คือ ให้ไบโออิ แล้วแม็กเนเซียมจะบำรุงใบให้เขียวจนถึงวันเกี่ยว กับสังกะสี. ช่วยสร้างแป้ง ส่งผลให้เมล็ดข้าวไม่เป็นเมล็ดลีบแล้ว ยังมีน้ำหนักดี แกร่ง ใส อีกด้วย
69. ข้าวต้นสูงยาว-รวงสั้น คุณภาพไม่ดี โรคมาก.... ข้างต้นเตี้ยสั้น-รวงยาว คุณ ภาพดี โรคน้อย
70. ปุ๋ยสำหรับนาข้าว .... แม็กเนเซียม. สร้างคลอโรฟีลด์ คลอโรฟีลด์ สร้างสาร อาหาร ใบข้าวเขียวเข้มแข็ง .... สังกะสี สร้างแป้ง
71. ข้าวได้ยูเรีย จะใบบาง เขียวตองอ่อน ปลายใบอ่อน แทงท้องแขนไม่เจ็บ ถึงช่วงบ่ายใบโค้งก้มลง ... ข้าวได้แม็กเนเซียม ใบหนาเขียวเข้ม ปลายใบแข็งแทงท้องแขนเจ็บ ถึงช่วงบ่ายใบยังตั้งตรง ไม่โค้งก้มลง
72. ข้าวระยะกล้าก่อนดำ (มือ/เครื่อง) ได้แคลเซียม โบรอน จะช่วยให้ต้นแข็ง ไม่ชะงักการเจริญเติบโต .... ข้าวระยะพลับพลึงก่อนเกี่ยว ได้แคลเซียม โบรอน จะทำให้ระแง้ (ขั้วเมล็ด) เหนียว ระบบสีข้าวในรถเกี่ยวสลัดไม่หลุด
73. ชาวนาญี่ปุ่น ต้นทุน 23,000 ขายได้ 130,000 ไม่รวยแต่พออยู่ได้ เพราะค่าครองชีพสูง (ก๋วยเตี๋ยวชามละ 150) .... ชาวนาไทย * นายกสมาคมชาวนา ต้นทุน 8,000/ไร่, * ประธานสภาเกษตรกร ต้นทุน 3,000/ไร่, * ชาวนาสุพรรณ ต้นทุน 1,000/ไร่ ข้าวกล้องหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวเบญจรงค์ กก.ละ 50 บาท = เกวียนละ 50,000 ยังไม่รวม น้ำมันรำ จมูกข้าวแค็ปซูล ไทยอยู่ได้สบาย เพราะค่าครองชีพต่ำกว่า (ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท)
.......................................................................................................
ไทย ต้นทุน 3,000 ขายได้ 50,000
ญี่ปุ่น ต้นทุน 23,000 ขายได้ 130,000
ถามว่า ญี่ปุ่น-ไทย ใครได้มากกว่ากัน ?
........................................................................................................
74. ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก ทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวต่างประเทศทั่วโลก เอามาทำปุ๋ยอินทรีย์ มีค่าเพียงอินทรีย์วัตถุ (O.M. - ORGANIGS MATTER) ประเภทแป้ง ทำเป็นปุยอินทรีย์แล้วจะได้เพียง น้ำตาล เท่านั้น ไม่มีสารอาหารตัวอื่น .... จุลินทรีย์เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล น้ำตาลเอามากลั่นได้แอลกอฮอร์
75. พันธุ์ข้าวปลูก ค็อปแรกจากศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เอามาปลูกติดต่อกันได้เพียง 3 รอบ จากนั้นจะเริ่มเรื้อ (กลายพันธุ์) เพราะได้รับการผสมจากพันธุ์อื่นจากแปลงข้างเคียง
76. ข้าว จีไอ. คือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ข้าวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยมี 9 สินค้า คือ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง, ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้, ข้าวหอมมะลิสุรินทร์, ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี, ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้, ข้าวเหลืองปะทิวชุมพร, ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์, และข้าวไร่ลืมผัวเพชรบูรณ์.
ข้าวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ในสหภาพยุโรป มี 1 สินค้า คือ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ และอยู่ระหว่างการดำเนินการขอขึ้นทะเบียนข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สหภาพยุโรป มี 1 สินค้า คือ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง
77. ทีวี.ค่ำวันหนึ่ง จำช่องจำวันที่ไม่ได้ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ กับผู้ดำเนินรายการ (ชาย) นำเสนอเรื่อง เศรษฐกิจ-อาชีพ คนไทย
ดีเจ.ทีวี. : สมมุติว่าอาจารย์จะลาออกจากอาชีพอาจารย์ แล้วอาจารย์ต้องเลือกอาชีพใหม่ อาจารย์จะเลือกอาชีพอะไรครับ ?
อาจารย์ : ตอบได้เลย ไม่ต้องคิด ..... เกษตรครับ
ดีเจ.ทีวี. : เกษตร เกษตร กว้างไปหน่อยครับ อาจารย์บีบให้แคบลงได้ไหมครับว่า เกษตร อะไร ?
อาจารย์ : ตอบได้เลย ไม่ต้องคิดอีก .... ทำนา นาข้าวครับ
ดีเจ.ทีวี. : ขอเหตุผลด้วยครับอาจารย์
อาจารย์ : นาข้าวเป็นอาชีพที่ ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ต่ำที่สุด ได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ด้วยระยะเวลา เมื่อเทียบ
กับการเกษตรอย่างอื่น หรืออาชีพอื่นก็เถอะ
ดีเจ.ทีวี. : อยากให้อาจารย์ขยายความ KEYWORD ตัวนี้หน่อยครับ
อาจารย์ : เมื่อเทียบกับพืชอื่นด้านเศรษฐศาสตร์การลงทุน ใช้พื้นที่เท่ากัน ต้นทุนนาข้าว ชนิดผลิตภัณฑ์-ผลิต ภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง-เวลา-ราคามูลค่าเพิ่ม-ตลาด แม้แต่ เครื่อทุ่นแรง-แรงงาน-เทคโนโลยี-อนาคต นาข้าวเหนือกว่าทั้งนั้น
ดีเจ.ทีวี. : แล้วชาวนาไทย ไม่ใช่ยากจนอย่างเดียว แถมมีหนี้สินด้วย แบบนี้เป็นเพราะอะไรครับ ?
อาจารย์ : เพราะขาดการ ส่งเสริม-สนับสนุน อย่างบูรณาการ คือ ไม่ครบวงจรครับ
ดีเจ.ทีวี. : มีสาเหตุอื่นอีกไหมครับ ?
อาจารย์ : ตัวเกษตรกรชาวนาเอง ไม่พัฒนาปรับปรุง นอกจากไม่รับสิ่งใหม่แล้ว ยังยึดติด สิ่งเดิมๆ อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย
ดีเจ.ทีวี. : ขอบคุณอาจารย์มากครับ.....
นาข้าว .... ขาดทุน-กำไร
สัจจะธรรม :
- ขาดทุน กำไร คือ การซื้อขายแลกเปลี่ยน .... ขาดทุน คือ จ่ายมากกว่ารับ.... กำไร คือ รับมากกว่าจ่าย
- ทุน มิได้หมายถึง เงิน ที่จ่ายเท่านั้น แต่ยังหมายถึง พื้นที่ เวลา แรงงาน โอกาส แยกเป็น 2 ประ เภท คือ ทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ กับ ทุนที่สูญเปล่า
- กำไร มิได้หมายถึงสิ่งที่ได้รับ ณ วันนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึง โอกาสข้างหน้าหรืออนาคต ที่เรียกว่า ระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว อีกด้วย
- ยั่งยืน หมายถึง ดีขึ้น ดีขี้นเรื่อยๆ ดีตลอด ดีแน่นอน .... วงการเกษตร คนส่งเสริมยั่งยืน รวยขึ้นรวยขึ้น คนรับการส่งเสริมล้มทั้งยืน จนลงจนลง .... ?
- กำไร ขาดทุน มี ตัวเลข ชี้ชัดสัมผัสได้พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ ว่าอะไรเป็นอะไร
ต้นเหตุแห่งปัญหา :
- การจัดการปัจจัยพื้นฐาน ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล/สารอาหาร/สายพันธุ์/โรค ตามธรรมชาตินิสัยของพืชตระกูลข้าว ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่เหมาะสม
- ขาดองค์ความรู้ทางวิชาการ
- การจัดการด้านคุณภาพผลผลิต ไม่สอดคล้องตามความต้องการของตลาด
- ขาดการรวมกลุ่มสร้างพลังในการซื้อปัจจัยการผลิต .... สั่งซื้อแบบส่งถึงที่
- ขาดการรวมกลุ่มสร้างพลังในการขายผลผลิต .......... การค้าแบบพันธะสัญญา
- ขาดการรวมกลุ่มซื้อ 100% หรือซื้อ 50% ทำเอง 50% หรือรวมกลุ่มทำเอง 100%
- ไม่ทำบัญชีฟาร์ม
- ไม่เข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์การลงทุน
กรอบความคิด :
- ทำแบบเดิม จะเลวร้ายไปกว่าเดิม เพราะเหตุปัจจัยแห่งปัญหา และสภาพสังคมเปลี่ยน แปลงไป
- ทำตามคนที่ล้มเหลว จะล้มเหลวยิ่งกว่า เพราะต้องการเอาชนะ เขาลงทุน 100 ตัวเองต้องเพิ่มทุนเป็น 200
- ทำตามคนที่สำเร็จ จะสำเร็จยิ่งกว่า เพราะรู้ว่าเขาทำอย่างไร จึงอาวิธีการนั้นมาต่อยอดขยายผล เป็นสูตรของตัวเอง
- ใส่ปุ๋ยเคมีทางดินจำเป็น (เน้นย้ำ....จำเป็น) อย่างยิ่งยวดที่ต้องมีสภาพโครงสร้างดินรองรับ นั่นคือ ดินดี มีความสมบูรณ์ และดินมีความสมบูรณ์ คือดินที่มีอิทรีย์วัตถุ และจุลินทรีย์ ร่วน โปร่ง น้ำและอากาศผ่านสะดวก
- ปลูกพืชตามใจพืช ไม่ใช่ตามใจคน สรรพสิ่ง ขาด=ไม่ดี - เกิน=ไม่ได้
- บำรุงเต็มที่แต่ผิด = ไม่ได้ผล
- รายการต้นทุน .... ค่าสูบน้ำ, ค่าไถ, ค่าย่ำเทือก, ค่าหว่าน, ค่ายาฆ่าหญ้า/ค่าฉีด, ค่ายาฆ่าแมลง/ค่าฉีด, ค่ารถเกี่ยว, ค่ารถเข็น, ค่าข้าวปลูก, ค่าปุ๋ย/ค่าหว่าน
- แยกรายการ ต้นทุน แต่ละรายการทั้งที่จ่ายเป็นเงิน (ซื้อ จ้าง) และไม่ได้จ่ายเป็นเงิน (ที่ดิน เวลา แรงงานทำเอง ผลรับ โอกาส ฯลฯ) ทุกอย่าง อย่างละเอียด เพื่อเตือนสติ สร้างแรงบันดาลใจ .... บางบ้านทำ บัญชีข้างฝา เขียนบนแผ่นไวท์บอร์ดติดบนผนังข้างจอ ทีวี. ทุกคนหรือใครก็ตามที่แว้บสายตาไปอ่านก็จะรู้ทันทีว่า ต้นทุนท่วมราคาขาย นั่นคือ ขาดทุน ตั้งแต่ยังไม่ได้ขาย .... บัญชีฟาร์มบันทึกในสมุดแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก
วิธีแก้ปัญหา :
ปุ๋ย :
- ปฏิบัติตามหลักสมการปุ๋ย
- ทำเอง 50 ซื้อ 50 .... ซื้อ 100% ..... ทำเอง 100%
- พฤติกรรมของชาวนาในการใส่ปุ๋ยนาข้าว คือ ยูเรีย 46-0-0 (1 กส.), 16-20-0 (1 กส.) รวม 2 กส./ไร่/รุ่น หากต้นข้าวเขียวไม่สะใจ บางแปลงอาจเพิ่มยูเรีย 46-0-0 อีก 1 กส.
- พืชตระกูลข้าวต้องการกินปุ๋ย 14 ตัว (หลัก 3, รอง 3, เสริม 9) แต่ให้แค่ 2 ตัว คือ ไนโตรเจน จาก 46-0-0, กับฟอสฟอรัส จาก 16-20-0 เท่านั้น ทั้งนี้ข้อมูลตามตำราว่าด้วยปุ๋ยสำหรับนาข้าว ระบุ โปแตส เซียม มีอยู่แล้วในดินเหนียว (ภาคกลาง) จึงไม่ต้องให้ ในความเป็นจริง นั่นคืออดีตเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันธาตุโปแตสเซียมในดินไม่มีหรือมีน้อยไม่พอใช้เพราะต้นข้าวเอาไปใช้หมดแล้ว แถมไม่มีการ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ลงไปอีก ต้นข้าวจึงขาดธาตุโปรแตสเซียม
- ไนโตรเจน ทำให้ใบเขียวเร็ว ให้วันนี้ถึงวันรุ่งขึ้นเขียวปร๋อทันที แต่เขียวต
อองอ่อน ใบบาง ต้นอวบล่อแมลง ไม่นานก็หายเขียว ..... ในขณะที่แม็กเนเซียม ให้วันนี้ อีก 3 วันต้นข้าวจึงจะใบเขียว แต่เขียวเข้ม ใบหนา ต้นแข็งแมลงไม่ชอบ ต้นข้าวจะใบเขียวทน เขียวนานถึงวันเกี่ยว
- การใส่ปุ๋ยแบบเดินหว่านด้วยมือหรือเครื่องฉีดพ่น ยิ่งหว่านแรงมาก ฉีดพ่นแรงมาก เม็ดปุ๋ยยิ่งกระจายกว้างไกลมาก นั่นคือ ต้นข้าวได้รับปุ๋ยไม่ทั่วถึงเท่ากันทุกกอ กอไหนได้ปุ๋ยกอนั้นจะเขียวสด กอไหนไม่ได้รับก็ไม่ขียว ชาวนาคิดว่าปุ๋ยไม่พอ ต้องหว่านซ้ำอีก 1 ครั้ง ด้วยวิธีการเดิม นั่นคือ ความสูญเสียสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ... กรณีนี้แก้ ไขโดย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.) + 16-8-8 หรือ 25-7-7 หรือ 46-0-0+16-16-16 (1:1) สูตรใดสูตรหนึ่ง 10 กก. + น้ำ 50 ล. คนให้ละลายเข้ากันดี เดินสาดด้วยมือทั่วแปลง หรือใส่ถังติดตั้งหน้ารถไถ เปิดก๊อกก้นถัง ให้ปุ๋ยที่ละลายดีแล้วๆไหลลงพื้น ช้า/เร็ว ปรับที่ก๊อก ปุ๋ยอัตรานี้สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ ปฏิบัติก่อนลงมือย่ำเทือก ทั้งนี้ ลูกทุบหรืออีขลุบจะกวาดเนื้อปุ๋ยให้กระจายทั่วแปลง ทุกตารางนิ้วเองโดยอัตโนมัติ เมื่อเนื้อปุ๋ยไปรออยู่ในเนื้อดินทุกตารางนิ้วแบบนี้ นอกจากส่งผลให้ข้าว ทุกกอ ได้รับเนื้อปุ๋ ถูกสูตร ครบทุกตัว เท่าเสมอกันทั้งแปลงแล้ว ยังประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ย ประหยัดแรงงานคนเดินหว่าน ประหยัดเวลา อีกด้วย .... นาที่ประวัติดินดี ใส่ปุ๋ยทางดินครั้งเดียวตอนทำเทือก เหลือจากนั้นให้ทางใบ ต้นข้าวก็โตให้ผลผลิตดีได้ หากประวัติดินยังไม่ดีจริง อาจให้รอบสองเมื่อข้าวเริ่ม ตั้งท้อง ด้วยสูตรเดิมและวิธีเดิมอีกรอบ
หมายเหตุ :
* ประวัติดินดี ..... ให้ปุ๋ยทางดิน 1 ครั้ง ช่วงก่อนลงมือทำเทือก เท่ากับให้ปุ๋ย 10 กก./ไร่/รุ่น (IRRI)
* ประวัติดินไม่ดี หรืออยู่ระหว่างสร้างประวัติดิน .... ให้ปุ๋ทางดิน 2 รอบ . รอบแรกก่อนลงมือทำเทือก, รอบสอง ให้ช่วงตั้งท้องก่อนออกรวง โดยใช้ถังฉีดพ่น ปรับหัวฉีดให้เม็ดน้ำใหญ่ๆ ฉีดแหวกต้นข้าวลงพื้นไปเลย เท่ากับ ให้ปุ๋ย 20 กก./ไร่ /รุ่น
- ข้อเสียของ ยูเรีย ที่ชาวนาไม่เคยถาม .... คนขายไม่เคยพูด นักส่งเสริมไม่เคยบอก :
ผลเสียต่อต้น .....ทำให้ข้าวเขียวตองอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ใบอ่อน ต้นสูงล้ม ต้นหลวม ผนังเซลล์อ่อนแอ โรคแมลงมาก
ผลเสียต่อเมล็ด.....เมล็ดลีบมาก เป็นท้องไข่มาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ข้าวปลูกไม่ดี นักส่งเสริมบางคนพูดว่า ธาตุรอง/ธาตุเสริม มีอยู่ในดินตามธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนฮอร์โมน ต้นข้าวสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ธาตุรอง ธาตุเสริม จะเกิดเองบนดินได้ สภาพโครงสร้างของดินต้องดีและถูกต้องอย่างแท้จริง ส่วนฮอร์โมนที่ว่า ต้นข้าวสร้างขึ้นเองได้ สภาพความสมบูรณ์ของต้นข้าวต้องสูงจริงๆ ในเมื่อดินไม่ดีสภาพต้นจะสมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อสภาพต้นไม่สมบูรณ์ก็ไม่อาจสร้างฮอร์โมนขึ้นมาเองได้
...........................................................................................................
...........................................................................................................
- ลดปุ๋ยเคมี แล้วเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ จุลินทรีย์ ..........................
- ลดปุ๋ยธาตุหลัก แล้วเพิ่มปุ๋ยธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน .........
- ลดปุ๋ยทางดิน แล้วเพิ่มปุ๋ยทางใบ .................................
- ลดซื้อ แล้วเพิ่มทำเอง ............................................
..........................................................................................................
...........................................................................................................
ลดลด-ลดลด 4 ลดเบื้องต้น คือ แนวทางที่ถูกต้อง ตรงกับความต้องการของพืชตระกูลข้าวที่สุด กับทั้งช่วยลดต้นทุน เอาเงินค่าปุ๋ยทางดินมาจ่ายค่าปุ๋ยทางใบ ปุ๋ยอินทรีย์ และสารปรับปรุงบำรุงดิน จ่ายน้อยกว่า แถมช่วยเพิ่มปริมาณ คุณภาพผลผลิต และมีอนาคตที่ยั่งยืนขึ้นอีก
- ชาวนาไม่รู้ว่า แม็กเนเซียม.สร้างคลอโรฟีลด์ (ใบเขียว ต้นแกร่ง), สังกะสี.สร้างแป้ง (ไม่เป็นข้าวลีบ ท้องไข่)
ยา :
- ปฏิบัติตามหลักสมการสารสมุนไพร
- ยังไม่มีศัตรูพืชระบาด ให้ฉีดพ่นทางใบทุก 7 วัน เพื่อ กันก่อน .... แปลงข้างเคียงกำลังระบาด ให้ฉีดพ่นถี่ขึ้น อาจะฉีดวันเว้นวัน หรือวันเว้น 2 วัน ก็ให้พิจารณาตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ ฉีดพ่นสาร สมุนไพร 3 รอบ รวมระยะเวลาประมาณ 7 วัน ศัตรูพืชนั้นก็หมดอายุขัย ตายไปเองแล้ว
- สารสมุนไพรผสมรวมไปกับปุ๋ยทางใบได้ หากได้วงรอบการให้ปุ๋ยทางใบ
-ไอพีเอ็ม. การใช้สารสมุนไพรจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้แมลงธรรมชาติเข้ามาอาศัย แล้วช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชได้อีกทางหนึ่งด้วย
- ทำเอง 50 ซื้อ 50 .... ซื้อ 100% ..... ทำเอง 100%
แรงงาน :
- ไม่จ้างแรงงาน ทำได้โดยลดพื้นที่แล้วทำเองด้วยคนในบ้าน พื้นที่น้อยแต่สร้างมูลค่าให้ข้าว
- จ้างแรงงาน ให้ลูกจ้างทำตามสั่งทุกรายการ
- ใช้เครื่องทุ่นแรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน
โอกาสสูญเสีย :
- เพราะ ขาดการส่งเสริมอย่างบูรณาการจากภาครัฐ
- เพราะ ขาดจิตรสำนึกในการพัฒนาตัวเอง เพื่อไปสู่จุดที่ดีขึ้น
- เพราะ ความเป็นตัวของตัวเองสูง แม้แต่ทำตามคนที่สำเร็จกว่าก็ไม่ทำ เพราะกลัวเสียศักดิ์ศรี กลัวเสียเหลี่ยม
- เพราะ มิจฉาทิฐิ กะรวยคนเดียว
- เพราะ ขี้เกียจ อ้างยุ่งยาก เสียเวลา ไม่เคยทำ ไม่มีใครทำ
- เพราะ ไม่เข้าหาปัญหา แต่รอให้ปัญหาเข้ามาหา
- เพราะ ไม่ไปตลาด แต่รอให้ตลาดมาหา
ตลาด :
- CONTRACT FARMING (เกษตรพันธะสัญญา)
- BYPRODUCT (ผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง)
- START UP FARM (แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ)-
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/01/2024 11:20 am, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11689
|
ตอบ: 26/01/2024 11:54 am ชื่อกระทู้: |
|
|
.
.
จาก : (086) 771-32xx
ข้อความ : ผู้พันครับ นาข้าว 50 ไร่ ต้นทุนค่าแรง ปุ๋ย ยา สูงมาก เมื่อเทียบกับราคาขายที่ได้ ผมดูแล้วเห็นว่า เป็นต้นทุนที่จำเป็น ลดหรือตัดไม่ได้ ผู้พันมีความคิดเห็น หรือมีแนวทางแก้ ปัญหานี้อย่างไรบ้างครับ .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- ทุกคำตอบต่อไปนี้ เกิดจาก คิดเอง ของคนที่ไม่ได้ทำนาข้าวเป็นอาชีพ ชนิดทำกับมือ ทุกเรื่องทุกประเด็น คือ ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ฟังแล้วคิดต่อ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ด้วยเรื่องหรือประเด็นที่ตัวเองหรือคนข้างบ้านประสบมา .... สำคัญที่สุด คือ ยอมรับไหมว่า นี่คือปัญหาที่แท้จริง นี่คือต้นเหตุแห่งความล้มเหลวทั้งมวล
- ปัญหาเดิม ปัญหาเดียวกัน แต่ต่างเจ้าของกัน เช่น ปัญหาข้าวก็ว่าไม่ใช่ข้าวฉัน ไม่ใช่ข้าวผม เป็นข้าวของคนอื่น จึงเกิด คนถามใหม่-ปัญหาเดิม-คำตอบเดิม นี่คือ จุดอ่อนหนึ่งแห่งปัญหาการเกษตรบ้านเรา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า บ้านอื่นประเทศอื่นเขาเป็นเยี่ยงนี้บ้างไหม
- เท่าที่ได้สัมผัสกับเกษตรกรมา 20 ปี พอจะสรุปได้ว่า คิดไม่เป็น กับ ไม่ยอมคิด มันคนละเรื่องคนละอย่างกัน .... คิดไม่เป็น คือ ความไม่มีความรู้ ไม่รู้จริงๆ แต่ ไม่ยอมคิด คือ รู้ทั้งรู้ เพราะยึดติด คำพระเรียกมิจฉาทิฐิ
- ว่ามั้ย ทุกปัญหา ตัวเองทำเอง ทั้งนั้น .... คนไม่มีความรู้จริงๆ อันนี้น่าสงสาร ถ้าคิดซักหน่อยก็น่าจะบอกตัวเองได้ว่านั่นมัน ใช่หรือไม่ใช่ .... คนมีความรู้ รู้ทั้งรู้แต่ยึดติด อันนี้ให้ปล่อยไป บอกยังไงก็ไม่เชื่อ พูดยังไงก็ไม่ฟัง
- ความชะล่าใจ หรือความประมาท หรือความไม่ใส่ใจ หรือเจ็บไม่จำ ไม่ทำไม่คิดอะไรทั้งสิ้น รู้ทั้งรู้ก็ได้แต่รอให้ปัญหามันเกิดซะก่อน .... ที่ว่า :
.... ไม่มีพืชใดในโลกนี้ที่ไม่มีศัตรูพืชประจำตระกูลเผ่าพันธุ์ วันนี้ไม่มีเพราะยังไม่มา หรือศัตรูพืชกำลังขยายพันธุ์
.... ไม่มีสารเคมี หรือสารสมุนไพรใดในโลกนี้ ที่ทำให้ส่วนของพืชที่ถูกทำลายไปแล้ว ฟื้นคืนดีอย่างเดิมได้ เป็นแล้วเป็นเลย เสียหายแล้วเสียหายเลย ต้องกันก่อนแก้
.... ข้าวเป็นพืชที่มีศัตรูพืชมากที่สุดในบรรดาพืชด้วยกัน คือมากถึง 200 ชนิด/ชื่อ เขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ
- นาข้าว 50 ไร่ เมื่อไม่ทำเองก็ต้องจ้าง จ้างคือจ้าง ต้องจ่ายค่าจ้างอยู่แล้ว สำคัญที่ จ้างให้ทำอะไร ? ทำอย่างไร ? ทำเพื่ออะไร ? ทำแล้วได้อะไร ? ได้เท่าไหร่ ?
- ระหว่าง จ้างให้ทำสินค้าราคาถูก กับ จ้างให้ทำสินค้าราคาแพง อย่างไหนคุ้มค่าจ้างกว่ากัน
- กรณีนาข้าว ได้ข้าวมาแล้ว ระหว่างขายเป็น ....
* ข้าวพันธุ์รวมกองให้โรงสี .... หรือ
* ขายเป็นข้าวปลูก ทำพันธุ์ .... หรือ
* สีเป็นข้าวกล้องขาย .... หรือ
* สีเป็นข้าวกล้องงอกขาย .... ตลาดไหนได้ราคาดีกว่ากัน ? หรือแม้แต่ทำ....
* ข้าวเบญจรงค์ 5 สี .... หรือ
* น้ำมันรำ .... หรือ
* จมูกข้าวบรรจุแคปซูล .... แต่ละอย่าง หรือทุกอย่าง มูลค่าเพิ่มเท่าไหร่ ?
แม้แต่แกลบฟางเอามาทำปุ๋ยอินทรีย์ แบบนี้จ้างแรงงานก็จ้างไปเถอะ คุ้มค่าจ้างทั้งนั้น นี่แหละที่เรียกว่า คิดเป็น-ทำเป็น-ขายเป็น ในเมื่อมีคนทำได้ แต่เราทำไม่ได้ อันนี้ก็ว่ากันไป
วิเคราะห์ปัญหาแบบแยก มูลเหตุ และการแก้ไข ทีละประเด็น :
* ต้นทุนค่าแรง :
- แรงงานหายาก ... แก้ไขโดย จ้างให้น้อยคนที่สุด แล้วใช้เครื่องทุ่นแรงช่วย
- เครื่องทุ่นแรงประเภทภูมิปัญญาพื้นบ้าน .... แก้ไขโดย เปลี่ยนเป็นใช้เครื่องทุ่นแรงเทคโนโลยีรุ่นใหม่
- เครื่องฉีดพ่นแบบไทยประดิษฐ์ สุพรรณบุรี บรรทุก น้ำ+ปุ๋ย+ยาสมุนไพร ครั้งละ 200 ล. มีแขนหัวฉีดยื่นออกข้าง ข้างละ 10 ม. (2 ข้าง = 20 ม.) ทำงานได้วันละ 50 ไร่ แรงงานคนเดียว
(คุณพนมฯ ใช้ประจำ ถามเบอร์โทรที่ชาตรี 081-841-9874 .... ลูกหลานที่เรียนเทคนิคเครื่องจักรกลก็ทำได้ ทำใช้-ทำรับจ้าง-ทำขาย-ทำแจก-ทำทิ้ง .... คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องให้โอกาสเขา)
- จ้างแรงงานไม่ทำตามสั่ง ชอบอ้างว่า ไม่เคยทำ/แถวนี้ไม่มีใครทำ/ไม่ได้ผล .... แก้ไขโดยทำความตกลงให้แน่นอนก่อนว่าจ้าง ไม่ตกลงก็ไม่จ้าง
- แรงงานพูดยาก .... แก้ไขโดย บอกจ้างประจำ เพื่อให้มีรายได้ประจำ
- แปลงใหญ่ 50 ไร่ .... แก้ไขโดย ลดขนาดเหลือ 20 ไร่ ทำเองสองคนผัวเมีย ที่เหลือให้เขาเช่า
* ต้นทุนค่าปุ๋ย
- ต้นทุนค่าปุ๋ยสูง ....แก้ไขโดย จับหลักสมการปุ๋ย เพื่อให้ปุ๋ยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด
- ใส่ปุ๋ยมากเพราะดินไม่กินปุ๋ย .... แก้ไขโดย ปรับสภาพดินด้วย ปุ๋ยอินทรีย์/จุลินทรีย์ ดีรุ่นนี้แล้ว ดีต่อรุ่นหน้า รุ่นต่อๆ ไปด้วย เลิกปลูกข้าวเปลี่ยนเป็นปลูกอะไรก็ได้ เพราะดินดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
- ต้นทุนค่าปุ๋ยทางดินสูง .... แก้ไขโดย ซื้อปุ๋ยทางใบ แล้วดูเนื้อในส่วนผสม ไม่ใช่ดูแค่ ยี่ห้อ/โฆษณา/ราคาแพง เพื่อความชัวร์ ทำเอง 50 ซื้อ 50 หรือทำเอง 100 หรือซื้อ 100
- ค่าขนส่งแพง .... แก้ไขโดย สั่งซื้อแบบให้ส่งถึงที่หรือทาง ปณ. สั่งซื้องวดเดียว 1 รุ่น หรือแบ่งสั่งซื้อ 2 งวด
- ซื้อปุ๋ยผิด .... แก้ไขโดย ตรวจสอบคนขายปุ๋ย เมื่อมั่นใจแล้วเป็นลูกค้าประจำ มีบริการหลังการขาย ให้คำปรึกษาได้
* ต้นทุนค่ายา (สารเคมียาฆ่าแมลง)
- ราคา แก้ไขโดยจับหลักสมการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด
- ไม่มีมีความรู้เกี่ยวกับ ตัวศัตรูพืช (ชื่อ วงจรชีวิต สภาพแวดล้อม ฯลฯ) แก้ไขโดยรวมกลุ่มสอบถาม จนท.เกษตร, ให้ลูกหลานเปิดอินเตอร์เน็ต
- ไม่มีมีความรู้เกี่ยวกับ ชื่อสามัญ ชื่อการค้า ออกฤทธิ์ต่อศัตรูพืช แก้ไขโดย อ่านฉลาก ถามย้อนไปที่บริษัทผู้ผลิต, รวมกลุ่มสอบถาม จนท.เกษตร, ให้ลูกหลานเปิดอินเตอร์เน็ต
- ไม่มีมีความรู้เกี่ยวกับ ผลเสียจากการใช้สารเคมีต่อพืช สภาพแวดล้อม แก้ไขโดย อ่านฉลาก ถามย้อนไปที่บริษัทผู้ผลิต, รวมกลุ่มสอบถาม จนท.เกษตร, ให้ลูกหลานเปิดอินเตอร์เน็ต
- ไม่มีมีความรู้เกี่ยวกับ ผลเสียจากการใช้สารเคมีต่อคน สัตว์เลี้ยง แก้ไขโดย อ่านฉลาก ถามย้อนไปที่บริษัทผู้ผลิต, รวมกลุ่มสอบถาม จนท.เกษตร, ให้ลูกหลานเปิดอินเตอร์เน็ต
- รู้เทคนิคการตลาดของคนขาย อย่ายึดติดแค่ ยี่ห้อ/โฆษณา/ราคา เท่านั้น แก้ไขโดย ถามคนในกระจก
- ระวังสารเคมียาฆ่าแมลงประเภท ลด/แลก/แจก/แถม แก้ไขโดย ถามคนในกระจก
- ระวังสัมภเวสี เร่ขายตามบ้าน แก้ไขโดย ถามคนในกระจก
* ต้นทุนที่จำเป็น
- จ่ายทุนตามใจคน (ตัวเอง ข้างบ้าน) ไม่จ่ายทุนตามความเหมาะสมของพืชตระกูลข้าว
- จ่ายทุนทุกครั้งนึกถึงผลรับ ระยะสั้น/ระยะปานกลาง/ระยะยาว
- คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ให้ออกว่าการลงทุนทำได้ด้วย ลงทุนด้วยเงิน ลงทุนด้วยเวลาเอาผลผลิต ลงทุนด้วยเวลาไม่เอาผลผลิต
* ลดหรือตัด
- พิจารณาผลต่อต้นข้าว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตามความเหมาะสมของต้นข้าว
- พิจารณาผลที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมทางสังคม เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของเรา
ต้นทุนนาข้าว อินทรีย์นำ เคมีเสริม :
- เขียนรายจ่ายที่เป็นเงินทุกรายการ .... (ปุ๋ย ยา น้ำมัน แรงงาน ค่าเช่า เทคโนโลยี) แล้วมาพิจารณา ความจำเป็น, ความถูกต้อง, ทำเอง/ซื้อ, ความคุ้มค่ารุ่นนี้/รุ่นหน้า/รุ่นต่อๆไป
- เขียนรายจ่ายที่ไม่ไม่เป็นเงินทุกรายการ .... ที่ดิน, เวลา, โอกาส,
- เขียนรายรับจากการตลาด .... ผลตอบแทน(มูลค่า) จากการขายที่ โรงสี, ร้านข้าวปลูก, แปลงข้างบ้าน, แปรรูปขายปลีก/ส่ง,
- บัญชีข้างฝา .... ทุกคนเห็น อ่านแล้วคิดตามอัธยาศัย ช่วยเตือนสติทุกคนในบ้าน เพื่อนบ้าน, สร้างนวัตกรรมทางความคิดใหม่ ผิดกับบัญชีบนสมุดที่เรียกว่า บัญชีฟาร์ม บัญชีครัวเรือน เขียนแล้วเก็บไว้บนโต๊ะหรือในลิ้นชักโต๊ะ บัญชีแบบนี้คนเขียนรู้แค่คนเดียว เชื่อว่าคงไม่มีใครในบ้าน แม้ แต่ลูกเมียผัวของตัวเองหยิบมาอ่านหรอกนะ
นาข้าวสูตรเลยตามเลย
เหตุ ผล ลุย ! :
เผาฟาง : เผาคือเผา เหมือนเผาบ้านฆ่าหนู ฆ่าผู้ก่อการร้าย 1 คน เกิดใหม่ 5 คน (ญาติพี่น้องโกรธ)
ผล .... จุลินทรีย์ประจำถิ่น ตาย, ดินแข็งแน่น น้ำอากาศผ่านไม่สะดวก .... ลงท้าย ดินตาย ดินไม่กินปุ๋ย
ลุย ....ทำต่อไป เติมจุลินทรีย์ใหม่ เติมสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น ให้สารอาหาร (อินทรีย์-เคมี) ทดแทนสารอาหารที่ได้จากฟาง..... ฟาง 1 ตัน ได้ปุ๋ย 18 กก. (อ้างอิง : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย)
ย่ำเทือกไม่ประณีต :
เหตุ ..... ย่ำผิดย่ำถูก มากรอบน้อยรอบ ..... ย่ำถูกน้อยรอบ ดีกว่า ย่ำผิดมากรอบ
ผล .... ดินแน่น ขี้เทือกตื้น
ลุย .... ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (1 รอบ) แล้วหาโอกาส เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก จุลินทรีย์หน่อกล้วย หรือจุลินทรีย์จาวปลวก 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 1 เดือน
สารเคมี (ยาฆ่าหญ้า) :
เหตุ ..... ยาฆ่าหญ้าใช้ตามเกณท์ข้างขวด หญ้าไม่ตายแค่ใบไหม้เท่านั้น ไม่เกิน 10-15 วัน งอกใหม่ใหญ่กว่าเก่า 60 วันสูงแซงต้นข้าว เพราะ หัว/ไหล/เหง้า ใหญ่ขึ้น
ลุย .... (ยาฆ่าหญ้า) งานนี้ต้อง "เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน" บำรุงทั้ง "ข้าวและหญ้า" ไปพร้อมกัน โดยการให้สารอาหารทางใบเป็นหลัก ไม่ต้องกลัว หญ้า/วัชพืช แย่งอาหารต้นข้าว .... ให้สารอาหารทางใบ ต้น หญ้า/วัชพืช คงไม่โน้มใบตัวองมาแย่งสารอาหารข้าวที่ใบข้าวได้หรอก .... บำรุงแบบนี้ทั้ง ต้นข้าว/ต้นหญ้า/วัชพืช งามทั้งคู่ ก็ให้ปล่อยไป ใจเย็นๆ งวดหน้ารุ่นหน้า ให้เตรียมการไถกลบลงดิน สารอาหารที่ต้น หญ้า/วัชพืช ได้ไปก็จะกลับคืนลงดินเหมือนเดิม .... ว่าแต่ นาแปลงนี้มีปัญหาเรื่องน้ำชลประทาน ปีหน้ารุ่นหน้าก็ปัญหาเดิมอีกนั้นแหละ ว่ามั้ย แล้วจะจัดการยังไงกับปัญหาโลกแตกแบบนี้ ถ้ากังวลว่า ต้นหญ้า/วัชพืช จะได้สารอาหารด้วย ว่าแล้วจึงไม่ให้ ฉะนี้แล้ว เราก็จะไม่ได้ข้าวด้วย หรือเท่ากับไม่ได้อะไรเลย
เทคนิคการทำนาแบบเดิมๆ คือ ให้แต่สารอาหาร (ปุ๋ย) ทางดิน แบบนี้ต้น หญ้า/วัชพืช ซึ่งธรรมชาติหาอาหารเก่งกว่าต้นข้าวอยู่แล้ว ก็จะแย่งอาหารไปจากต้นข้าวจนหมด แล้วโตกว่าต้นข้าวแน่นอน นี่คือ "หญ้าขี่ข้าว" เป็นธรรมดา
การลบล้างความคิดเก่าๆ ของคนรุ่นเก่าๆ สามารถทำได้ด้วยวิธีเดียว นั่นคือ "หลักวิชาการ" เพราะฉะนั้นเราต้อง "แม่นสูตร แม่นหลักการ" จากนั้นรอเวลา สร้างประสบการณ์ ด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ ว่าแต่ตัวเองแม่นสูตร แม่นหลักการ ในการทำนาข้าวมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นแหละ
เลิกเชื่อข้างบ้าน เลิกเชื่อคนขายปุ๋ย แต่ให้เชื่อตัวเอง .... ว่าแต่ ตัวเองมีอะไรให้เชื่อได้บ้าง
อย่าหวังว่าจะต้องได้ผลผลิตมากเท่านั้นเท่านี้ แต่ให้ดูต้นทุนเป็นหลักว่าได้จ่ายลงไปแล้วเท่าไหร่ .... การได้ข้าว 90 ถัง เท่าข้างบ้าน แต่เงินต้นทุนที่จ่ายไปน้อยกว่า ก็เท่ากับ ได้มากกว่าอยู่แล้ว จากนั้นดู ข้าวลีบ-ข้าวปน-ข้าวป่น-น้ำหนัก ว่าใคร มาก/น้อย กว่ากัน
การกำจัด หญ้า/วัชพืช แบบหนึ่ง คือ เมื่อต้นข้าวสูงประมาณ 1 ฝ่ามือ ให้ปล่อยน้ำเข้าจนท่วมทั้งข้าว และ หญ้า/วัชพืช ทำให้ หญ้า/วัชพืช ส่วนหนึ่งจมน้ำตายแต่ต้นข้าวจะไม่ตาย แล้วจะเหลือ หญ้า/วัชพืช เพียงส่วนหนึ่งที่รอดจากน้ำท่วมได้ นี่เท่ากับลดจำนวน หญ้า/วัชพืช ได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ถึงวันนี้คงทำอะไร หญ้า/วัชพืช ไม่ได้แล้ว แนะนำให้เดินหน้าต่อด้วยสูตร "เลยตามเลย-ไหนไหนก็ไหนไหน
........................................................................................................................
ประสบการณ์ตรง .... มีคนทำได้ หญ้าครึ่งหนี่ง ข้าวครึ่งหนึ่ง บำรุงทางใบตามระยะ สม่ำเสมอ ได้ข้าว 120 ถัง
........................................................................................................................
ยาฆ่าหอยเชอรี่ ยาฆ่าปูนา .... เอาน้ำออก น้ำไม่มีหอยอยู่ไม่ได้ น้ำน้อย (เปียกดสลับแห้ง) ต้นข้าว = ดี, หอย = ไม่ได้
ยาฆ่าหนู ....ใช้สมุนไพร ขมจัด ฉีดต้นข้างระยะพลับพลึง (ใกล้เกี่ยว งดน้ำ....หนูเดินได้) หนูเจอต้นข้าวรสขมก็จะไม่กินเอง
นาหว่าน :
เหตุ ..... เพราะชอบหว่าน
ผล .... ต้นข้าวเบียดกัน ไม่แตกกอ
ลุย .... บำรุงด้วยสูตรนาข้าวตามระยะ ทั้งทางใบ และทางราก ตั้งแต่เริ่มถึงเกี่ยว เชื่อว่า บำรุงต้องดีกว่าไม่ได้บำรุงแน่นอน
ยูเรีย 16-20-0 :
เหตุ ..... เพราะยึดติดแบบเดิมๆ
ผล .... ทุกส่วนของต้นข้าวไม่สมบูรณ์ เพราะได้รับสารอาหรไม่ครบ
ลุย ....ให้ปุ๋ยสูตรนาข้าว ทั้งทางใบทางราก ต้นข้าวจะได้รับปุ๋ยครับทุกตัว
ข้าวปน :
เหตุ ..... เพราะเอาข้าวปนไปปลูก
ผล .... ถูกตัดราคา
ลุย .... ปนให้ปน บำรุงด้วยสูตรนาข้าว ถึงปนก็เป็นข้าวมีคุณภาพ
@@ ชาวนามือใหม่ สิงห์บุรี :
1. หญ้าขี่ข้าว .... แก้ไขโดยการให้ปุ๋ยทางใบเป็นหลัก บำรุงทั้งสองอย่างไปเลย โตทั้งสองอย่างก็ช่างมัน เพราะถ้ามัวแต่กลัวหญ้าโตเลยไม่ให้ ต้นข้าวก็เลยอดด้วย เอาเถอะ ให้ปุ๋ยทางใบแล้ว ใบหญ้าไม่โน้มใบมาแย่งอาหารต้นข้าวที่ใบข้าวหรอก แต่ถ้าให้ปุ๋ยทางราก อันนี้ต้องยอม รับก่อนว่า ต้นหญ้าหาอาหารเก่งกว่าต้นข้าว ใส่ปุ๋ยลงไป 10 ส่วน หญ้าเอาไปกิน 8 ส่วน ต้นข้าวได้แค่ 2 ส่วนเท่านั้น
* ทำไงได้ นาข้าวรุ่นนี้ ต้องเลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน รุ่นหน้าเอาใหม่ เกี่ยวข้าวแล้วเอาปุ๋ยที่หญ้าเอาไปนั้นกลับคืนมาโดยการไถกลบ
* ประสบการณ์ตรง นาข้าวริมถนนสายบายพาส สิงห์บุรี ข้าวครึ่งหญ้าครึ่ง บำรุงทางใบทุก 7 วัน ไม่ให้ปุ๋ยทางดิน ยังได้ข้าวตั้ง 120 ถัง
2. ใส่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงแล้วขี้เทือกลึกไม่เท่ากัน .... สาเหตุมาจากสภาพโครงสร้างเดิมของดินบริเวณนั้น บอกแล้วไงว่า ดินเขาดินเรา แม้แต่ดินของเราเอง ดินตรงนั้นกับดินตรงนี้ มันยังไม่เหมือนกันเลย แม้ว่าจุลินทรีย์ที่ไปจากน้ำหมักโดยตรง กับจุลินทรีย์ประจำถิ่นที่ได้รับสารอาหารจากน้ำหมักจะช่วยปรับสภาพดินได้ แต่ก็ต้องอาศัยระยะเวลาด้วย ....
วิธีการแก้ไข : ถ้าตอนทำเทือกไม่ได้ใส่ ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น ก็ให้ใส่ ถ้าใส่แล้วก็ไม่ต้องใส่ แต่ให้ใส่ซ้ำน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงอีกครั้ง ด้วยสูตรเดิม อัตราเดิม ไม่ต้อง +ปุ๋ยเคมีเพิ่ม วิธีให้คราวนี้คงใช้วิธีผสมน้ำแล้วเดินสาดอย่างเดิมไม่ ได้ แต่ให้ใช้เครื่องฉีดพ่น ปรับหัวฉีดให้เม็ดน้ำใหมญ่ๆ ฉีดแหวกต้นข้าวลงดินไปเลย เน้นเฉพาะ บริเวณที่ขี้เทือกยังตื้น ประมาณ 7-10 วัน ลงไปสำรวจอีกครั้งจะรู้สึกเลยว่าดีขึ้น
3. แมลงอะไรไม่รู้กัดใบข้าว เห็นใบเหลือแต่เส้นใบสีขาว .... ไม่บอกว่าแมลงชื่ออะไร ถ้าบอกต่อไปก็จะรู้แต่แมลงตัวนี้ ตัวอื่นไม่ยอมรู้ เอาเป็นว่า แมลง คือ แมลง ตัวนี้คือแมลงปากกัดปากดูด ก็คุณบอกมันกัดกินใบข้าวไงล่ะ
* แมลงทุกแมลงที่กัดกินใบข้าวเพราะมันชอบรส ชาดของใบข้าว ถ้าเราเปลี่ยนรสใบข้าวให้เป็นรสชาดอย่างอื่น แมลงก็จะไม่กิน กับแมลงรู้จักกลิ่นใบข้าว ถ้าเราเปลี่ยนกลิ่นใบข้าวเป็นกลิ่นอย่างอื่นซะล่ะ แมลงก็จะไม่เข้าหา ว่าแล้วก็ให้จัดการเปลี่ยนทั้งรสและกลิ่นใบข้าวซะเลย ทำสารสมุนไพร ขมจัด + เผ็ดจัด + กลิ่นจัด ให้เอา บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร พริกแกง ขิง ข่า ตะไคร้ สาบเสือ ดาวเรือง
* วิธีทำง่ายๆ เอาฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด สาบเสือ ดาวเรือ รวมกัน ต้มพร้อมกัน ส่วนพริกแกงก็ให้ใส่เพิ่ม ข่า ตะไคร้ ขิง ใส่เยอะๆ แล้วโขลกด้วยกันไปเลย เวลาใช้ก็เอาทั้งที่ต้มแล้ว กับที่โขลกแล้วมาใช้รวมกันเลย งานนี้ต้องฉีดบ่อยหน่อย แรกๆ อาจจะวันเว้นวัน แมลงเบาลงแล้วอาจจะวันเว้น 3-5 วัน ก็ดูเอาตามความเหมาะสม ยังไงๆ อย่าลืม กันก่อนแก้ ก็แล้วกัน
@@ ชาวนา บรรพตพิสัย :
- คำศัพท์เทคนิคคำนี้ ลุงคิม คิดเอง ไม่มีในเอกสารตำราใดๆทั้งสิ้น ที่ตั้งชื่ออย่างนี้เพื่อให้การสื่อสารระหว่าง คนที่ไม่ได้ร่ำเรียน กับ คนที่ไม่ได้รำเรียน ทางวิชาการมาเหมือนๆ กันได้พูดคุยกันรู้เรื่อง ขออย่ายึดติดกับคำศัพท์ แต่ให้ดู วิธีการทำกับผลรับ ออกมา ถ้าเหมือนกัน คุณจะเรียกว่าอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้คนอื่นรู้เรื่องด้วยก็แล้วกัน .... คำศัพท์เทคนิคทางเกษตรที่ลุงคิมตั้งขึ้นมาเอง เช่น นาข้าวแบบไบโอไดนามิก, หญ้าเก้าข้าวหนึ่ง, น้ำเจ๊าะแจ๊ะ, ต้นยาวรวงสั้น ต้นสั้นรวงยาว, กับอีกหลายๆ คำที่เกี่ยวกับเกษตร...
- ถามว่า สูตรนาข้าว เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน .... ทำอย่างไร ?" หมายถึงการปฏิบัติในการทำนาข้าวบางขั้นตอน ไม่ได้ทำหรือทำไม่สำเร็จ เช่น ....
* ทำเทือก .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้ายังไม่ได้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ (ยิบซั่ม เฟอร์มิกซ์, ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กระดูกป่น,) น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง เพื่อเอาสารอาหารอินทรีย์ สารอาหารเคมี จุลินทรีย์ และสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น ก็ให้ใส่ซะ แม้ว่าต้นข้าวโตแล้วก็ใส่ได้ เรียกว่า ดีกว่าไม่ได้ใส่ก็แล้วกัน
* ฉีดยาฆ่าหญ้าแล้วต้นข้าวชงักการเจริญเติบโต .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว หลังฉีดยาฆ่ายาคุมหญ้าไปแล้ว 3 วัน รอให้สารในยาฆ่าหญ้าออกฤทธิ์เรียบร้อยก่อน ให้ฉีดพ่น ไบโออิ (แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม) +ยูเรีย จี. +กลูโคสหรือน้ำมะพร้าว ทันที ให้ฉีด 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 3-4 วัน
* ใส่ยูเรียแล้วอยากเปลี่ยนสูตร .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ให้ น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 2 ล. +16-8-8 (2-3 กก.) ต่อไร่ซะเลย ละลายปุ๋ยในน้ำหมักแล้วฉีดลงดินให้ทั่วแปลง จากต้นข้าวที่เคยได้รับแต่ไนโตรเจน อย่างเดียว มาได้รับฟอสฟอรัส กับโปแตสเซียมด้วย คราวนี้ได้ปุ๋ยครบทั้ง 3 ตัวธาตุหลัก
* ข้าวระยะต้นกลม ต้นแบน เนื้อหลวม .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน เมื่อแก้ไขไม่ได้ สูบน้ำออกแล้วให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง +16-8-8 (10 กก.) / ไร่ ปรับหัวฉีดให้เม็ดใหญ่ๆ ฉีดแหวกต้นข้าวลงดิน
* ข้าวใบโค้ง .... ช่วง 8-10 โมงเช้า โดยประมาณ ใบธงจะโค้งลง ผ่าน 10 โมงเช้าไปแล้วใบจะตั้งตรงอย่างเดิม สาเหตุเพราะได้รับยูเรียกมากเกิน กับขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม ทั้งทางรากและทางใบอย่างรุนแรง นาข้าวแบบนี้เกี่ยวมาแล้วได้ ข้าวลีบ-ท้องไข่-ข้าวป่น-น้ำหนักน้อย งานนี้ต้อง เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็จงให้ ไบโออิ + แม็กเนเซียม ยืนพื้นเข้าไว้
* ข้าวระยะออกรวง น้ำมาก ต้นข้าวสูง .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน เมื่อแก้ไขไม่ได้ ให้สูบน้ำออกเหลือแค่เจ๊าะแจ๊ะเท่ารอยตีนวัวตีนควาย ให้ไทเป + 0-52-34 ซัก 2 รอบ
* ข้าวออกรวงไม่พร้อมกัน .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน เมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ให้สารลมเบ่ง ไทเป + ยูเรีย จี. หรือ ยูเรีย จี. เดี่ยวๆ ให้ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน .... ยูเรีย จี. ทำหน้าที่เหมือนสารลมเบ่ง
* ข้าวแก่ไม่พร้อมกัน .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ให้ฉีดพ่นทางใบด้วย 0-21-74 หรือ 14-7-21 ก่อนเกี่ยว 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ให้รอบสุดท้ายก่อนวันเกี่ยว 5 วัน
.... ยูเรียมาก ข้าวลีบ .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้ ให้ ยูเรก้า 4-1-2 สลับด้วย ไบโออิ จนถึงเกี่ยว
* ข้าวเกี่ยว ความชื้นสูง .... เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน แก้ไขอะไรไม่ได้ ก่อนเกี่ยว 10-15 วัน ให้ทางใบด้วย นมสด 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ให้ครั้งสุดท้ายก่อนเกี่ยว 5-7 วัน
ชาวนามิติใหม่
สร้างทัศนคติใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ :
- เปิดใจรับเทคโนโลยี ใหม่/ถูกต้อง/เหมาะสม/คุ้มทุน/ทำได้ .... เทคโนโลยี แปลว่า วิธี
- เขียนรายการงานที่ เคยทำ/จะทำ/ไม่ทำ แล้ว ปรับ/เปลี่ยน
- ปรับ/เปลี่ยน วิธีการทำแบบเดิมสู่วิธีการทำแบบใหม่ (เดิม-ทำอย่างไร .... ใหม่-ทำอย่างไร)
- ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ติดต่อ/ขอความช่วยเหลือ คนนอกมาส่งเสริม
- สร้างพลังใจตั้งเป้าหมายชีวิต รวยด้วยกันแทนรวยคนเดียว
- คิดบวก คิดใหม่ทำใหม่ ทำแล้วขาย ขายแล้วต้องได้กำไร
- เนื้อที่น้อย ต้นทุนน้อย ได้ผลผลิตน้อย แต่ขายแล้วได้มาก
- เนื้อที่น้อยหลายแปลงรวมกัน รวมแล้วเท่ากับเนื้อที่ใหญ่
ประหยัดต้นทุน สร้างมูลค่า สร้างอนาคต :
- น้ำหมักชีวภาพฯ ซื้อครึ่งหนึ่ง + ทำเองครึ่งหนึ่ง = ต้นทุนลด 50%
- ปุ๋ยทางใบ ทำเอง = ต้นทุนลด 30%
- สมุนไพร ทำเอง = ต้นทุนลด 90%
- ทำเทือกไม่ไถแต่ย่ำ 3 รอบ ได้กำจัดวัชพืช ได้เทือก = ต้นทุนต่ำกว่า ไถ+ย่ำ+ยาฆ่าหญ้า
- ฉีดพ่นทางใบ ทุก 7 วัน สมุนไพร + ปุ๋ย = ประหยัดค่าสารเคมี ได้ปุ๋ยบำรุงต้นข้าว
- ทำ นาดำ/นาหยอด ด้วยเครื่อง = ประหยัดค่าเมล็ดพันธุ์ ได้ต้นข้าวคุณภาพดี
- ได้ข้าวขายเป็นข้าวปลูก ขายให้โรงสี ขายให้ร้านขายข้าวปลูก ขายให้แปลงข้างบ้าน
- แปรรูป สีเป็นข้าวกล้อง ขายส่ง-ขายปลีก เหลือแกลบรำ
- รวมกลุ่ม (รวมพื้นที่) สั่งซื้อปุ๋ย ส่งถึงที่ ประหยัดค่าขนส่ง
- รวมกลุ่ม (รวมพื้นที่) ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ให้ได้ผลผลิตเกรดเดียวกัน
- รวมกลุ่ม (รวมพื้นที่) สร้างความสนใจ และเป็นพลังต่อรองกับคนรับซื้อ
ปุ๋ยสูตรปรุงเอง (ก. ทำกับมือ) :
1. ทำเทือก ..... น้ำหมักชีวภาพสูตรไหนก็ได้ ที่มีทั้งสารอาหารอินทรีย์และสารอาหารสังเคราะห์ (เคมี) ครั้งที่ 1 อัตรา 2-3 ล./ไร่ + 16-8-8 (10 กก.) หรือ 16-16-16 (1 กส.) + 46-0-0 (ครึ่ง กส.) 10 กก. สูตรใดสูตรหนึ่ง ละลายปุ๋ยในน้ำหมัก .... ผสมน้ำเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสม สาดให้ทั่วแปลงแล้วย่ำเทือกประณีต .... ไถกลบฟาง ใส่ยิบซั่ม 1 กส. ปุ๋ยอินทรีย์ 1 กส. กระดูกป่น 10 กก.
2. เตรียมเมล็ดพันธุ์ ..... แช่ น้ำ 100 ล. + ไคโตซาน 100 ซีซี. + สังกะสี 100 ซีซี. นาน 12 ชม. ครบกำหนดแล้ว ห่มต่อ 24-36 ชม. เมล็ดเริ่มโชว์ตุ่มรากจึงนำไปหว่าน
3. บำรุงระยะกล้า (เร่งแตกกอ) .... ช่วงอายุ 20-30-40 วัน ด้วย น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + แม็กเนเซียม 25 กรัม + สังกะสี 25 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 25 กรัม + ยูเรีย จี 50 กรัม .... ให้ 3 รอบ ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
4. ระยะตั้งท้องต้นกลม .... น้ำหมักชีวภาพสูตรไหนก็ได้ที่มีทั้งสารอาหารอินทรีย์และสารอาหารสังเคราะห์ (เคมี) ครั้งที่ 2 อัตรา 2-3 ล./ไร่ + 16-8-8 (10 กก.) หรือ 16-16-16 (1 กส.) + 46-0-0 (ครึ่ง กส.) 10 กก. สูตรใดสูตรหนึ่ง .... ปรับหัวฉีดเม็ดใหญ่ ฉีดแหวกต้นข้าวลงถึงพื้น ผสมน้ำเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสม
5. ระยะออกรวง .... น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + แม็กเนเซียม + 25 กรัม + สังกะสี 25 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 25 กรัม + ยูเรีย จี 50 กรัม + 13-0-46 (25 กรัม) + 0-52-34 (25 กรัม) .... ให้ 3 รอบ ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
6. ระยะน้ำนม .... น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + แม็กเนเซียม 25 กรัม + สังกะสี 25 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 25 กรัม + 21-7-14 (25 กรัม) + ไคโตซาน 25 ซีซี. + อะมิโนโปรตีน 25 ซีซี. .... ให้ 3-4 รอบ ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
ปุ๋ยสูตรซื้อ (ก. จ่ายกับมือ) :
1. ย่ำเทือก (ดินดี เทือกดี) .... น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ครั้งที่ 1 อัตรา 2-3 ล./ไร่ + 16-8-8 (10 กก.) หรือ 16-16-16 (1 กส.) + 46-0-0 (ครึ่ง กส.) 10 กก. ละลายปุ๋ยในน้ำหมัก .... ผสมน้ำเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสม สาดให้ทั่วแปลงแล้วย่ำเทือกประณีต .... ไถกลบฟาง ใส่ยิบซั่ม 1 กส. ปุ๋ยอินทรีย์ 1 กส. กระดูกป่น 10 กก.
2. เตรียมเมล็ดพันธุ์ (เมล็ดสมบูรณ์) .... แช่ น้ำ 100 ล. + ไบโออิ 50 ซีซี. + ไคโตซาน 50 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 50 ซีซี. นาน 12 ชม. ครบกำหนดแล้ว ห่มต่อ 24-36 ชม. เมล็ดเริ่มโชว์ตุ่มรากจึงนำไปหว่าน
3. บำรุงระยะกล้า .... ช่วงอายุ 20-30-40 วัน ด้วย น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไบโออิ 200 ซีซี. + 18-38-12 (1 กก. ) + ยูเรีย จี 500 กรัม. .... ให้ 3 รอบ .... ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
4. บำรุงระยะแตกกอต้นกลม (เตรียมต้นก่อนออกรวง) .... น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ครั้งที่ 2 อัตรา 2-3 ล./ไร่ + 16-8-8 (10 กก.) หรือ 16-16-16 (1 กส.) + 46-0-0 (ครึ่ง กส.) 10 กก. สูตรใดสูตรหนึ่ง .... ปรับหัวฉีดเม็ดใหญ่ๆ ฉีดแหวกต้นข้าวลงถึงพื้น ผสมน้ำเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสม
5. บำรุงระยะออกรวง (หยุดความสูง เพิ่มลมเบ่ง) .... น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไทเป 200 ซีซี. + ยูเรีย จี 500 กรัม + 0-52-34 (500 กรัม) .... ให้ 2 รอบ ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
6. บำรุงระยะน้ำนม (สร้างแป้ง ขยายขนาด เพิ่ม นน.) .... น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไบโออิ 100 ซีซี. + ยูเรก้า 100 ซีซี. .... ให้ 3-4 รอบ ฉีดทางใบได้ครั้งละ 4-5 ไร่
7. บำรุงระยะพลับพลึง (สุกพร้อมกัน ลดความชื้น) .... "น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + นมสด 200 ซีซี." .... ให้ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5 วัน ให้ครั้งสุดท้ายก่อนเกี่ยว 5 วัน ฉีดทางใบได้ครั้งละ 5 ไร่
หมายเหตุ :
- เมื่อตอนทำเทือก ถ้าไม่ใด้ใส่น้ำหมักชีวภาพ ขณะที่วันนี้ต้นข้าวยังเล็กอยู่ สามารถใส่น้ำหมักฯ ตามหลังได้ ด้วยอัตราและวิธีการที่กำหนด
- ถ้าหว่านยูเรีย.ไปก่อนแล้ว ณ วันนี้ให้ +ปุ๋ยทางดินกับน้ำหมักชีวภาพฯ ทับลงไป ตามอัตราและวิธีการที่กำหนดได้เลย
- ทุกครั้งที่ฉีดพ่นทางใบให้ +สารสมุนไพร (สูตรรวมมิตร ป้องกัน หรือ สูตรเฉาะ กำจัดโดยตรง) เข้าไปด้วย
ปุจฉา วิสัชนา :
- เปรียบเทียบดินนาข้าว ขี้เทือกลึกแค่ตาตุ่ม กับขี้เทือกลึกครึ่งหน้าแข้ง .... อย่างไหนดีกว่ากัน ?
- ยาฆ่ายาคุมหญ้า ทำให้ต้นข้าวชงักการเจริญเติบโต 7-10-15 วัน .... ดีหรือเสียต่อต้นข้าว ?
- สารเคมีทำให้ศัตรูพืชตาย .... สารสมุนไพรก็มีสารออกฤทธิ์ทำให้ศัตรูพืชตายได้เช่นกัน....หรือไม่ ?
- นาข้าว 1 ไร่ใส่ ยูเรีย + 16-20-0 รวม 2 กส. .... เป็นเงินเท่าไร ? ได้ปุ๋ยกี่ตัว ?
- เปรียบเทียบ ปุ๋ยอินทรีย์/เคมี ที่ให้ทั้งทางใบและทางราก ระหว่างทำเองกับซื้อ .... ราคาต่างกันเท่าไร ? ได้ปุ๋ยกี่ตัว ?
- ปุ๋ยทั้งทางใบและทางราก ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ต้นข้าวต้องการ ไม่ใช่ของวิเศษ ต้นข้าวไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักโฆษณา ต้นข้าว (พืช) รู้จักแต่สารอาหารในเนื้อปุ๋ยเท่านั้น .... จริงมั้ย ?
- นาหว่าน ต้นข้าวลำต้นโตขนาดหลอดยาคูลท์ .... รวงใหญ่หรือรวงเล็ก ?
- นาดำ ต้นข้าวลำต้นโตขนาดหลอดดูดเฉาก๊วย .... รวงเล็กหรือรวงใหญ่ ?
- วัชพืชหากินเก่งกว่าข้าว เมื่อให้ปุ๋ยทางดิน วัชพืชเอาไปกิน 8 ส่วน ต้นข้าวได้ดิน 2 ส่วน .... ควรทำอย่างไร ?
- ฆ่าหญ้าไม่ตาย ข้าวครึ่งหนึ่ง หญ้าครึ่งหนึ่ง ใช้สูตรเลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน .... ทำอย่างไร ?
- ปุ๋ยมี กี่สูตร กี่ประเภท กี่ชนิด มีประสิทธิภาพต่อพืชอย่างไร .... รู้หรือไม่ ?
สมการปุ๋ย ....
ปุ๋ยถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกลังสอง
ปุ๋ยถูก + ใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลังสอง
VISION 60 คิดใหม่ทำใหม่ :
* ทำรุ่นนี้ได้รุ่นนี้ ได้ต่อเนื่องถึงรุ่นหน้า รุ่นต่อๆไป .....
- ลงทุนด้วยเงิน ..... ซื้อ 100% ยิบซั่ม. ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แลบดิบ, เศษพืชแห้ง, น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง
- ลงทุนด้วยเวลา ไม่เอาเงิน ............ ปลูกถั่วไร่บำรุงดิน เริ่มออกดอกแล้วไถกลบ 2 รุ่น
- ลงทุนด้วยเวลา เอาเงิน ................. ปลูกถั่วไร่ เอาผลผลิต แล้วไถกลบ 2 รุ่น
- ลงทุน ประหยัดเวลา เอาเงิน ........ ปลูกพืชไร่แล้วปลูกถั่วระหว่างแถวพืชไร่ ถั่วเริ่มออกดอกให้ไถกลบ หรือเลี้ยงถั่วเอาผลผลิตแล้วจึงไถกลบ
ปลูกข้าวเอาเงิน ไม่เอาหนี้ :
* ใน 1ปี, นาข้าวรุ่นละ 4เดือน, ปีละ 2รุ่น, = 8 เดือน, เหลือเวลา 4เดือน ....
* ใน 1ปี, ปลูกข้าว 2รุ่น, เวลาที่เหลือ 4เดือน ปลูก ถั่ว/งา 1รุ่น แล้วไถกลบเศษซาก ได้ดินดี
* ปลูกข้าว ขายข้าวปลูก, แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม,
* ปลูก ถั่ว/งา ขายลานรับซื้อพืชไร่
หลากหลายวิธีไม่เผาฟาง
หลักการและเหตุผล :
ฟาง คือ อินทรีย์วัตถุประเภทเศษซากพืชที่มีราคาประหยัดที่สุด และมีประโยชน์ต่อต้นข้าวมากที่สุด กล่าวคือ ฟางคือต้นข้าว ในต้นข้าวย่อมมีสารอาหารที่ต้นข้าวต้องใช้พัฒนาตัวเอง เมื่อฟางถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ สารอาหารที่เคยมีในฟางก็จะออกมากลายเป็นสารอาหารพืชสำหรับข้าวต้นใหม่ นอกจากเป็นสาร อาหารพืชแล้ว ฟางยังมีคุณสมบัติที่ดีต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวอีกหลายประการ อาทิ เป็นแหล่งอาหารจุลินทรีย์ ทำให้ดินโปร่งร่วนซุย น้ำและอากาศผ่านสะดวก ช่วยซับหรืออุ้มน้ำไว้ใต้ดินโคนต้น เป็นต้น
ต้นข้าวในแปลงปลูกที่ดินมีความความชื้นสูง (ดินแฉะ)จะเจริญเติบโต แตกกอ สมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานสูงและให้ผลผลิตดีกว่าต้นข้าวในแปลงปลูกที่ดินมีน้ำขังท่วม
มาตรการทำให้ดินมีความชื้นสูง มีน้ำใต้ผิวดินมากๆ ทั้งๆ ที่หน้าดินแห้งจนแตกระแหง ก็คือ การให้มีอินทรีย์วัตถุ (เศษซากพืช เศษซากสัตว์ และจุลินทรีย์)อยู่ในเนื้อดินมากๆ ถึงอัตราส่วน 1:1 สะสมต่อเนื่องติดต่อกันมานานหลายๆปี
แนวทางปฏิบัติ :
หลังจากรถเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว ให้ดำเนินการส่งฟาง และ/หรือ เศษซากพืช-อินทรีย์วัตถุอื่นๆ ลงไปอยู่ใต้ผิวดิน ผสมคลุกกับเนื้อดินให้เข้ากันดี ตามขั้นตอน หรือ ลัดขั้นตอนก็ได้ ดังนี้
1. ตากฟาง-ไม่ตากฟาง : วัตถุประสงค์คือ ต้องการให้ฟางแห้ง เพื่อให้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายทำให้ฟางเปื่อยได้เร็วขึ้น อันที่จริงนั้น จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายได้ทั้งฟางสดและฟางแห้ง เพียงแต่การย่อยสลายฟางแห้งทำได้ง่ายและเร็วกว่าฟางสดเท่านั้นเอง ดังนั้น การตากฟางหรือไม่ตากก่อนไถกลบจึงไม่ต่างกันนัก ก็ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
2. เกลี่ยฟาง-ไม่เกลี่ยฟาง : วัตถุประสงค์คือ ต้องการให้ฟางกระจายตัวเท่าๆกันทั่วแปลง และแห้งเร็วๆ เมื่อไถกลบลงไปในดินแล้วเนื้อดินผสมกับฟางสม่ำเสมอกันซึ่งจะส่งผลให้ดินมีคุณภาพเท่าๆกันทั้งแปลงนั่นเอง .... ล้อรถเกี่ยวข้าวเป็นสายพานตีนตะขาบ ขณะที่รถเกี่ยววิ่งไปนั้น ตอซังที่ถูกสายพานตีนตะขาบเหยียบย่ำจะแบนราบแนบติดพื้น ส่วนตอซังที่อยู่บริเวณใต้ท้องรถเกี่ยวจะไม่ถูกเหยียบย่ำ ยังคงเป็นตอตั้งตรงเหมือนเดิม
นอกจากนี้เศษฟางที่รถเกี่ยวพ่นออกมา ซึ่งรถเกี่ยวข้าวบางรุ่นพ่นเศษฟางให้ฟุ้งแผ่กระจายไปทั่วได้ แต่รถเกี่ยวบางรุ่นพ่นเศษฟางตรงๆลงทับบนตอซังกลายเป็นกองเศษฟาง กรณีนี้ ถ้าต้อง การให้ฟางแผ่กระจายก็ให้ใช้ไม้เขี่ยฟางที่เป็นกองออก แต่ถ้าไม่ต้องการให้ฟางแผ่กระจายก็ไม่จำเป็นต้องเขี่ยออก เพราะช่วงที่รถไถผานโรตารี่เข้าทำเทือกนั้น ผานโรตารี่ก็จะช่วยกระจายฟางไปในตัวเองได้แต่อาจจะไม่กระจายดีกับการเกลี่ยก่อนเท่านั้น
3. ย่ำฟาง-ไม่ย่ำฟาง : วัตถุประสงค์คือ ทำให้ฟาง ฉีก-ขาด-ช้ำ เพื่อเป็นช่องทางให้จุลินทรีย์ผ่านเข้าไปง่ายๆแล้วย่อยสลายฟาง ปฏิบัติโดยการใช้รถไถเดินตามล้อเหล็กวิ่งย่ำไปบนเศษฟางให้ทั่วแปลง วิ่งย่ำซ้ำหลายๆรอบ ฟางที่ถูกล้อเหล็กย่ำจะ ฉีก-ขาด-ช้ำ เกิดเป็นบาดแผลช่วยให้จุลินทรีย์ย่อยสลายฟางให้เปื่อยยุ่ยได้เร็วกว่าฟางที่ยังคงเป็นชิ้นๆอยู่
4. หมักฟาง : วัตถุประสงค์ เพื่อให้ฟางเปื่อยยุ่ยโดยเร็ว ไม่ว่าฟางในแปลงนาจะตากแห้งแล้วหรือยังสด เกลี่ยกระจายแล้วหรือยังเป็นกลุ่มกอง ย่ำให้เป็นแผลช้ำแล้วหรือยังเป็นชิ้นเดิมๆ ทุกสภาพของฟางไม่อาจรอดพ้นฝีมือของจุลินทรีย์ไปได้ เริ่มด้วยการปล่อยน้ำเข้าแปลงพร้อมกับใส่จุลินทรีย์ 2-5 ล./ไร่ รักษาระดับน้ำให้ลึกราว 20-30 ซม. ทิ้งไว้ราว 10-20 วัน น้ำจะเปลี่ยนสีเป็นสีชาอ่อนๆ สภาพของฟางเริ่มเปื่อยยุ่ย เมื่อเดินย่ำลงไปจะมีฟองเกิดขึ้น ให้สังเกตฟอง ถ้ามีกลิ่นเหม็นแสดงว่าจุลินทรีย์เป็นพิษให้ ระบายน้ำออกทั้งหมดแล้วเติมน้ำใหม่ พร้อมกับจุลินทรีย์ชุดใหม่เข้าไปแทน แล้วเริ่มหมักใหม่อีกรอบ .... ถ้าฟองนั้นไม่มีกลิ่นเหม็นแสดงว่าจุลินทรีย์ดี ให้หมักต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าฟางจะเปื่อยยุ่ยได้ที่ตามต้องการแล้วจึงลงมือทำเทือก
ถ้าหมักฟางยังไม่ได้ที่หรือยังมีกลิ่นเหม็น (แก๊ส) จะมีผลต่อต้นข้าวระยะกล้า (ต้นเหลืองโทรม) เรียกว่า
เมาตอซัง กรณีนี้แก้ไขโดยระบายน้ำเก่าออกพร้อมๆกับส่งน้ำใหม่เข้าไปแทนที่หรือใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย จากนั้นบำรุงต้นกล้าด้วยฮอร์โมนทางด่วน 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน
5. ไถกลบฟาง : วัตถุประสงค์คือ การส่งฟางลงไปคลุกเคล้ากับเนื้อดินจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วให้จุลินทรีย์ย่อยสลายจนเปื่อยยุ่ยกลายเป็นปุ๋ยฟางที่อยู่ในแปลงนานั้นจะตากหรือไม่ตาก เกลี่ยหรือไม่เกลี่ย ย่ำหรือ
ไม่ย่ำ หมักหรือยังไม่หมัก สามารถไถกลบลงดินได้ทั้งสิ้น เพียงแต่แบบไหนจะยากง่ายกว่ากัน ด้วยเครื่องมือต่างๆ ดังนี้
- ไถด้วยรถไถจอบหมุนโรตารี่ เป็นรถไถขนาดกลางนั่งขับ ขณะไถมักมีฟางพันผาน แก้ไขโดยการเดินหน้าสลับกับถอยหลังเพื่อสลัดฟาง หรือยกผานขึ้น ใส่เกียร์ถอยหลังแล้วเร่งเครื่องแรงๆ ผานจะหมุนฟรีแล้วสลัดฟางออกเองได้
- ไถด้วยรถไถเดินตาม (ควายเหล็ก) ผานเดี่ยว (ผานหัวหมู) ขณะไถมักมีฟางพันผาน แก้ไขโดยต่อใบผานให้ยาวขึ้น 10-12 นิ้ว หรือมากกว่า เพื่อส่งขี้ไถและฟางให้ตกห่างจากผานมากๆ
- ย่ำด้วยลูกทุบ (อีขลุบ) ลากด้วยควายเหล็ก ลูกทุบจะย่ำฟางให้ยุบลงแนบกับเนื้อดินบริเวณผิวหน้าดินเท่านั้นไม่ได้ลงไปคลุกหรือจมลงไปในเนื้อดิน เมื่อหว่านเมล็ดข้าวลงไป เมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งจะติดค้างอยู่บนหญ้าที่หน้าดิน ช่วงที่เมล็ดเริ่มงอก ระบบรากยังแทงไม่ทะลุกองหญ้าลงไปถึงเนื้อดินด้านล่างได้ ครั้นเมื่อปล่อยน้ำเข้าแปลง ฟางจะลอยขึ้นพร้อมกับยกต้นกล้าข้าวให้ลอยตามขึ้นมาด้วย กรณีนี้แก้ไขโดย ปล่อยให้รากต้นข้าวเจริญยาวลงไปถึงเนื้อดินล่างดีแล้วจึงปล่อยน้ำเข้า หรือนำเส้นฟางออกเหลือแต่เหง้ากับรากต้นข้าวแล้วย่ำ ....วิธีการหมักฟางนานๆจนเปื่อยยุ่ยดี แล้วย่ำด้วยอีขลุบหลายรอบให้มากรอบที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฟางที่เปื่อยยุ่ยแล้วถูกย่ำด้วยล้อเหล็กจนแหลกละเอียดจะคลุกเคล้าผสมกับเนื้อดินบริเวณผิวหน้าดิน กรณีนี้แม้ต้นกล้าข้าวจะงอกบนเศษฟางเปื่อย เมื่อปล่อยน้ำเข้าก็จะไม่ยกต้นกล้าข้าวให้ลอยตามขึ้นมา นาข้าวที่ผ่านการไถกลบฟางมา 2-3 รุ่น จนขี้เทือกลึกระดับครึ่งหน้าแข้งแล้ว การทำนารุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องไถอีก แต่ให้ปล่อยน้ำเข้าเพื่อหมักฟางหรือล่อให้วัชพืชขึ้นจากนั้นหมักทิ้งไว้ 10-15 วัน จนแน่ใจว่าฟางเปื่อยยุ่ย ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าและเมล็ดวัชพืชงอกขึ้นมาจนหมดแล้วก็ให้ลงมือย่ำด้วย อีขลุบหรือลูกทุบ ได้เลย ทั้งนี้ลูกทุบหรืออีขลุบจะช่วยคลุกเคล้าเนื้อดินกับฟางและวัชพืชให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดต้นทุนค่าไถลงได้
6.ไม่ไถ : หลังจากรถเกี่ยวเสร็จสิ้นภารกิจ ในแปลงมีตอซังและเศษฟาง แนวทางการทำเทือกโดยไม่ต้องไถ ไม่ว่าจะเป็นการไถด้วยรถไถใหญ่ผานจาน 3 หรือผาน 7 รถไถเดินตามผานจานเดี่ยวหรือคู่ รถไถโรตารี่สามารถทำได้โดยจัดการกับตอซังและเศษฟาง ตากฟางหรือไม่ตาก เกลี่ยหรือไม่เกลี่ยก็ได้ แล้วเริ่มด้วยการสูบน้ำเข้าให้ลึกประมาณ 30 ซม. ใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือกากน้ำตาล 5-10 ล./ไร่สาดให้ทั่วแปลง ทิ้งไว้ 7-10 วัน จนน้ำเปลี่ยนสีเป็นสีชาอ่อนๆ จากนั้นให้ลงมือย่ำด้วย อีขลุบ หรือ ลูกทุบ ได้เลย ย่ำหลายๆรอบจนกว่าตอซังและเศษฟางรวมทั้งเศษซากต้นวัชพืชแหลกละเอียดลงไปคลุกกับเนื้อดิน
เสร็จแล้วทิ้งไว้อีก 7-10 วัน ก็ให้ลงมือย่ำรอบสองด้วยวิธีการเดิม แล้วทิ้งไว้อีก 7-10 วัน ตรียมการย่ำต่อรอบสามเป็นรอบสุดท้าย ก่อนลงมือย่ำรอบสามให้ใส่อินทรีย์วัตถุ และปุ๋ยสำหรับนาข้าวตามปกติ เสร็จแล้วให้ลงมือปลูก(ดำหรือหว่าน)ข้าวได้เลย ถ้าเป็นนาข้าวที่เตรียมแปลงแบบไม่เผาฟางหรือไถกลบฟางครั้งแรก จะพบว่าชี้เทือกลึกเหนือ กว่าตาตุ่มอย่างชัดเจนซึ่งถือว่าเพียงต่อการเพาะปลูกข้าวแล้วทั้งดำและหว่าน .... หากเป็นนาที่เคยไม่เผาฟางแต่ไถกลบมาหลายรุ่นแล้ว การย่ำเพียงรอบแรกรอบเดียวก็จะได้ขี้เทือกลึกถึงระดับครึ่งหน้าแข้ง
ประโยชน์ที่ได้จากการย่ำเทือกหลายๆ รอบที่เห็นชัดที่สุด คือ นอกจากได้กำจัดวัชพืชโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีกำจัดวัชพืชแล้วยังได้ปุ๋ยอินทรีย์จากเศษซากพืชอีกด้วย
หมายเหตุ :
- ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแบบใด ที่ด้านหน้ารถดัดแปลงให้มีตะแกงสำหรับตั้งถังขนาดจุ 20-50 ล. เจาะรูก้นถัง 2-3 รู มีก๊อกปรับอัตราการไหลช้า/เร็วได้ ในถังใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือจุลินทรีย์น้ำ แล้วปล่อยให้ไหลออกมช้าๆ ขณะที่รถไถวิ่งไปนั้นก็จะปล่อยปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือจุลินทรีย์หยดลงพื้นที่ด้านหน้า แล้วถูกผานด้านหลังไถผสมลงไปคลุกผสมกับเนื้อดินเอง
- การทำนาแบบไถกลบฟางลงดินรุ่นแรก หมักฟางนานๆจนเปื่อยยุ่ยดี แล้วย่ำซ้ำหลายๆรอบ จะทำให้ได้ ขี้เทือก ลึก 20-30 ซม.(ครึ่งหน้าแข้ง) ในขณะที่การทำเทือกแบบเผาฟางก่อนนั้นจะได้เทือกลึกน้อยกว่ามาก
- นาข้าวแบบไถกลบฟาง จากรุ่นแรกที่ไถกลบนั้นจะมีฟางลงไปอยู่ในเนื้อดินราว 1 ตัน ต่อมารุ่นที่ 2 ก็จะมีฟางชุดใหม่ลงไปสมทบอีก 1 ตัน หรือทำนาข้าวจะได้ฟางรุ่นละ 1 ตัน และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแบบรุ่นต่อรุ่น ทั้งนี้เนื่องจากฟางรุ่นแรกๆ แม้จะเปื่อยยุ่ยดีแล้วแต่ก็ยังคงมีเศษซากหลงเหลืออยู่ ยิ่งมีเศษซากฟางอยู่ในดินมากเท่าใดยิ่งทำให้ได้ขี้เทือกลึกมากเท่านั้น
จากประสบการณ์ตรงพบว่า การทำเทือกแบบไถกลบฟางสี่รุ่นติดต่อกัน ปรากฏว่าได้ขี้เทือกลึกถึงหัวเข่าซึ่งถือว่ามากเกินไป ผลเสียคือ เดินเข้าไปสำรวจแปลงได้ยาก ก่อนเกี่ยวซึ่งต้องงดน้ำ 7-10 วัน เพื่อให้หน้าดินแห้งทำไม่ได้ และทำให้รถเกี่ยวเข้าทำงานไม่ได้อีกด้วย
แนวแก้ไข คือ ไถกลบฟาง 2 รุ่นติดต่อกันไปก่อน เมื่อจะทำนารุ่น 3 ให้นำฟางออกเหลือแต่เหง้ากับรากในดินก็พอ ต่อมาเมื่อจะทำนารุ่น 4 ก็ให้วิเคราะห์ปริมาณเศษซากฟางในดินก่อนว่า สมควรนำฟางของนารุ่น 3 ออก แล้วเหลือแต่เหง้ากับราก หรือต้องไถกลบฟางรุ่นใหม่เติมลงไปอีก ทั้งนี้ความลึกของขี้เทือกจะเป็นตัวชี้บอก ประเด็นสำคัญก็คือ จะต้อง ไม่เผา อย่างเด็ดขาด.ตามเกณฑ์ของการเตรียมดินปลูกข้าว ควรมีอินทรีย์ วัตถุประเภทเศษซากพืช 2-3 ตัน/ไร่/รุ่น
- ฟางข้าวในนาข้าว คือ อินทรีย์วัตถุหรือปุ๋ยพืชสดที่มีราคาต่ำที่สุดและมีประโยชน์มากที่สุด ฟางข้าวเป็นทั้งแหล่งสารปรับปรุงบำรุงดิน บำรุงจุลินทรีย์ และเป็นแหล่งสารอาหารสำหรับต้นข้าวทั้งรุ่นปัจจุบัน รุ่นหน้า และรุ่นต่อๆไป นอกจากฟางแล้วควรจัดหาแหล่งเศษซากพืชอื่นๆเสริมเพื่อเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้มากขึ้น
เกษตรกรชาวนาและชาวไร่ของสหรัฐอเมริกา หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตในนาหรือในไร่แล้วไม่มีการเผาทิ้งหรือนำออก แต่ใช้วิธีการไถกลบด้วยรถไถกลบขนาดใหญ่ ซึ่งขณะไถกลบนั้นก็จะเติมอินทรีย์วัตถุสารปรับปรุงบำรุงดิน จุลินทรีย์ และสารอาหารอื่นๆไปพร้อมๆกัน เพื่อประหยัดเวลา แรงงาน และให้เกิดความหลากหลายตามธรรมชาติ
นาข้าว ไรซ์เบอร์รี่ ล้มตอซัง ประหยัดต้นทุน (คุณบังอรฯ)
- คุณบังอร เข้าของฉายา ไรซ์เบอร์รี่ 9 เมล็ด รับจากมืออาจารย์ ม.เกษตรกำแพง แสน นำมาขยายพันธุ์ต่อ รุ่นที่ 3 ได้ข้าวปลูกพันธุ์แท้ปลูกต่อได้ 30 ไร่ ถึงวันนี้ทำมาแล้ว 4-5 รอบ
- ทำนาแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม สั่งซื้อปุ๋ยจากชาตรี ทุกรุ่น .... ยิ่งใช้ปุ๋ยจากคุณชาตรี ประจำหลายๆรุ่น จะยิ่งใช้น้อยลง จำนวนครั้งฉีดทางใบน้อยลง ให้ทางดินก็ใส่น้อยลงด้วย อันนี้น่ะจะเป็นเพราะ ดินดีแบบสะสม กับต้นสมบูรณ์ที่ได้จากดิน ให้ปุ๋ยทางใบน้อยครั้งลงต้นก็ยังงามได้ ออกรวงดี น้ำหนักดี สำคัญที่สุด คือ โรคแมลงไม่วอแววี้ดว้ายกระตู้วูเลย
- ไถกลบฟาง ย่ำเทือกประณีตกำจัดวัชพืชไปในตัว เลิกยาฆ่าหญ้าแต่ใช้วิธีถอนเพราะมีไม่มาก เลิกสาร เคมีฆ่าแมลงแต่ใช้สารสมุนไพรแบบเดี่ยวๆ หรือแบบผสมปุ๋ยทางใบ ฉีดบ่อยๆ ฉีดล่วงหน้าก่อนศัตรูพืชมา ถือหลัก กันก่อนแก้แย่แล้วแก้ไม่ทัน
- หลายๆรุ่นมานี้ เฉพาะต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ลดสุดๆ ลดกว่าเดิมหลายเท่า ตัวเห็นได้ชัด .... ไม่จ้างแรงงาน ทำเองสองคนผัวเมียเท่านั้น ลงแปลงเดินย่ำลงไปในนาทุกวัน .... ขยันจนน่ากลัว ขยันแล้วรวยใครจะไม่เอา ผิดกับบางคนที่ "ขี้เกียจ" อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่มีเวลา ยุ่งยากเสียเวลา ทำไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่มีใครมาส่งเสริม แบบนี้ก็จง "จน+หนี้" ต่อไปเถอะ
- รู้ดีว่า สายพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ยังไม่นิ่ง เพราะฉะนั้น ทุกรุ่นทุกรอบที่ปลูก จะแยกข้าวปนโดยการเดินลุยลงไปแล้ว ถอนทิ้งทั้งกอ ถอนทุกอย่าง วัชพืช ข้าวสีขาวที่ติดมากับรถเกี่ยว ไรซ์เบอร์รี่เมล็ดสีขาวอมเทา อย่าเสียดาย อย่างก
- รุ่นนี้ทำนาไรซ์เบอร์รี่แบบ ย่ำตอซัง ได้ผลชัดเจนมากๆ ประหยัด ค่าไถ ค่ำย่ำเทือก ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าดำ ค่าแรง ฯลฯ ....
วิธีการ :
- เกี่ยวข้าวเสร็จ เกลี่ยฟางให้เสมอกัน แล้วใช้ล้อย่ำตอทันที
- บริเวณกลางแปลงล้อย่ำทำงานเรียบร้อยดี แต่ตอข้าวริมคันนาล้อย่ำทำงานไม่สะดวก ต้องใช้เครื่องตัดหญ้าช่วยตัดตอแทน ดูแล้วเรียบร้อยดีกว่าย่ำ
.............................................................................................................................
(..... คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ .... ใช้เครื่องตัดหญ้าแบบเส้นเอ็น ดีกว่าวิธีใช้ใบมีดเหล็กหรือวิธีใช้ล้อย่ำ ทั้งนี้ ต้นข้าวจะขาดตอเสมอกันทั่วทั้งแปลง ส่งผลให้การแทงหน่อใหม่ดี....)
...............................................................................................................................
- หลังย่ำตอ 5-7 วัน หน่อข้าวเริ่มแทงขึ้นมาจากพื้นดิน สำรวจได้ประมาณ 75-80% ทิ้งไว้อีก 3-5 วัน ส่วนที่เหลือเริ่มงอก รวมข้าวงอกมากกว่า 95 % ที่เหลือช่วยเขาโดยแซะข้าวกอข้างเคียงมาดำเสริม
- เมื่อมั่นใจ ทั้งหน่อข้าวแตกใหม่ หน่อใหม่ที่ปลูกซ่อม ยืนต้นได้แล้ว สิริรวมระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 10-12 วัน ใครเห็นก็คิดว่า ตอข้าวขาดน้ำนานปานนี้น่าจะตายหมด แล้ว แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ นอกจากในดินมีฟองน้ำคอยอุ้มน้ำไว้ให้แล้ว ระบบรากที่สมบูรณ์แข็งแรง จากการบำรุงต้นข้าวส่งผลให้ตอข้าวยืนรอแตกหน่อใหม่ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน จึงสูบน้ำเข้านา จากนั้นทุกอย่างทุกขั้นตอน ปฏิบัติเหมือนการทำนาปกติ
- ฟางในดินอุ้มน้ำไว้ในเนื้อดินได้นานนับเดือน เป็นน้ำระดับ "ชื้น" งานนี้นอก จากได้น้ำแล้วยังมีจุลินทรีย์ประจำถิ่น +จุลินทรีย์ที่ใส่ลงไปอีกด้วย
- แปลงข้างๆ เห็นนาแปลงนี้มาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ข้าวปลูกมา 9 เมล็ด, การเปลี่ยนจากข้าวสีขาวมาเป็นข้าวสีดำ, การปฏิบัติบำรุง, ทุกอย่างทุกขั้นตอนประจักษ์แจ้งเห็นกับตา จับกับมือ แม้กระทั่งรายได้แต่ละรุ่นก็รู้อยู่แก่ใจ .... งานนี้นอกจาก ไม่ใส่ใจ-ไม่คิด-ไม่วิเคราะห์-ไม่เปรียบเทียบ กับนาตัวเอง กับนาแปลงอื่นๆ แล้ว ยังค่อนขอดนาๆว่า นาอินทรีย์ไปไม่รอด ข้าวสีดำโรงสีไม่รับซื้อ มาถึงรุ่นนี้ ไรซ์เบอร์รี่ล้มตอซัง ก็ยังค่อน ขอดอีกว่า ต้นข้าวไม่ใช่ต้นกล้วย ถึงจะเอาหน่อได้ กระทั่งหน่อข้าวขึ้นมาเต็มแปลง เห็นเต็มตาว่านั้นคือต้นข้าว ก็ยังไม่วายสงสัยอีกว่า มันมาได้ยังไง ?
กรอบแห่งความคิด :
คุณภาพเพิ่ม :
- ไม่อยู่ในเกณฑ์ถูกตัดราคา (ปลอม ปน ป่น ไข่ เรื้อ ลีบ)
- ปริมาณเท่ากัน แต่ขายได้ราคามากกว่า
- ผลิตตามความต้องการของตลาด หรือผู้รับซื้อ (การตลาด นำการผลิต)
- แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม (ขายส่ง ขายปลีก)
- ปรับ/เปลี่ยน วิธีการปฏิบัติเมื่อสภาพอากาศผิดปกติ เพื่อให้ได้ผลผลิต
- อินทรีย์นำ เคมีเสริม หรือ เคมีนำ อินทรีย์เสริม ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
- ฯลฯ
ต้นทุนลด :
- เขียนรายการต้นทุนที่เป็นเงิน (เช่า ไถ ย่ำ พันธุ์ หว่าน/ดำ ฉีด ปุ๋ย ยา ฯลฯ) ขึ้นมาก่อน ทุกรายการ
- เขียนรายการต้นทุนที่ไม่ได้ซื้อ (ที่ดิน เวลา แรงงานตัวเอง โอกาส ฯลฯ) ขึ้นมาก่อน ทุกรายการ
- ประมาณการตลาดล่วงหน้าราคาขายว่า ขายแล้วจะได้เท่าไหร่
- คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ต้นทุนระหว่างทำเอง 100% กับ ทำเองครึ่งนึ่งซื้อครึ่งนึง
- ลงทุนแก้ปัญหาครั้งเดียว เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว
- ใช้ เทคโนโลยีวิชาการ ผสมผสาน เทคโนโลยีชาวบ้าน
- ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ฉลาดวางแผน ฉลาดทำ เพื่อต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่ประสิทธิภาพเหนือกว่า
- ใช้เครื่องทุ่นแรง เพื่อประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน
- ฯลฯ
อนาคตดี :
- ดิน น้ำ ดีขึ้นเรื่อยๆ
- ชื่อเสียง เคดิต
- รวมกลุ่มสร้างผลผลิตเพื่อผู้รับซื้อมั่นใจ
- เปิดตัวเปิดใจรับรู้ข้อมูลทางวิชาการ แล้วต่อยอดขยายผล สำหรับรุ่นหน้า รุ่นต่อๆไป
- ฯลฯ
**** ทฤษฎีนี้ นำไปใช้กับนาข้าวได้ทุกชนิด ทุกสายพันธุ์ ทุกประเทศ ****
นาข้าว กล้าต้นเดียว
...............................................................................................................
..............................................................................................................
ที่มา (คัดย่อ) :
การปลูกข้าวต้นเดียว (SRI) แบบอินทรีย์ เป็นวิธีการจากมาดากัสการ์ ศรีลังกา กัมพูชา สู่การทดลองครั้งสำคัญบนผืนนาไทย การปักเดี่ยว ซึ่งประหยัดเมล็ดพันธุ์ ช่วยให้ต้นข้าวแสดงศักยภาพเต็มที่ใน การแตกกอและออกรวง
อองรี เดอ โลลานี ชาวฝรั่งเศสที่พัฒนาวิธีการ SRI ขึ้นระหว่างที่เขาทำงานร่วมกับชาวนาในมาดากัสกา ระหว่างปี 2504-2538 บอกว่า การปักต้นกล้าทีละหลายต้นอย่างที่ชาวนาทั่วโลก ปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้จะทำให้ต้นข้าวแย่งอาหาร และแสงแดดกัน ทำให้เติบโตได้ไม่เต็มที่และออกรวงน้อย ดังนั้นแม้ว่าวิธีการปลูกข้าวแบบเดิมนี้ จะช่วยเลี้ยงประชาชนนับพันล้านคนมานานนับศตวรรษ แต่เกษตรกรจำเป็นต้องไตร่ตรองถึงการปลูกข้าวด้วยวิธีใหม่ที่ต่างออกไป เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมากขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มและไม่ทำลายดิน น้ำ อากาศเหมือนกับการใช้สารเคมีเร่งผลผลิต
* ปลูกข้าวแบบ SRI ในพื้นที่ 2 ไร่ ปักต้นกล้าประมาณ 500 ต้น ได้ผลผลิตเฉลี่ย 720 กิโลกรัมต่อไร่ โดยต้นกล้า 1 ต้นแตกกอได้ถึง 40 ต้น ข้าวหนึ่งรวงมีเมล็ดข้าวประมาณ 230 เมล็ด (ข้าวที่ใช้ปุ๋ยเคมีจะมี 170-180 เมล็ดต่อหนึ่งรวง
* ปลูกข้าวแบบ SRI ในพื้นที่ 1 งาน ปักต้นกล้าไปประมาณ 100 กว่าต้น ได้ผลผลิต 160 กิโลกรัม (4 กระสอบ) ต้นกล้า 1 ต้น แตกกอได้มากที่สุดถึง 44 ต้น (ข้าวอินทรีย์ทั่วไปจะแตกกอได้ 5-10 ต้นเท่านั้น
* การปลูกข้าวทีละต้นทำให้เราเห็นได้ชัดว่าต้นไหนไม่ใช่ข้าวมะลิ 105 หรือเป็นข้าวเมล็ดลีบที่ปะปนมา เพราะดูจากเมล็ดข้าวเราไม่มีทางรู้ ต่อเมื่อข้าวแตกกอขึ้นมาเราถึงจะรู้ว่าเมล็ดข้าวนั้นเป็นพันธุ์อะไร ถ้าเป็นพันธุ์อื่นเราก็ถอนทิ้งไป เก็บแต่ต้นที่เป็นพันธุ์แท้เอาไว้ วิธีนี้จะช่วยลดปัญหาการปนเปื้อนของเมล็ดพันธุ์ข้าวลงได้มาก
SRI 7 t/ha ปลูกแบบกล้าต้นเดียว, NON-SRI 4 t/ha ปลูกแบบปกติ
http://farmthai.blogspot.com/2012/01/sri.html
http://farmthai.blogspot.com/2012/01/1.html
..................................................................................................................
..................................................................................................................
จาก : (089) 871-49xx
ข้อความ : ผู้พันครับ หลายวันแล้วได้ยินผู้พันพูดถึง ปลูกข้าวกล้าด้วยต้นเดียว ผมคิดแล้ว ผมว่าใช้เมล็ดพันธุ์น้อยมาก ใช้เมล็ดพันธุ์น้อย เราก็คัดเลือกเมล็ดพันธุ์แท้ได้ อยากให้ผู้พันพูดถึงการบำรุงว่า เหมือนหรือต่างกับปลูกข้าวแบบปกติ หรือไม่ อย่างไร .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- คำตอบเบื้องต้น การปลูก-การบำรุง-การปฏิบัติ ทุกอย่างเหมือน นาหว่าน-นาดำ-นาหยอด-นาโยน ทุกประการ บำรุงข้าวตามใจข้าว
- เรื่อง ปลูกข้าวด้วยกล้าต้นเดียว นี้เริ่มมาจากการ คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ โดยมี เทคโนโลยีชาวบ้าน + เทคโนโลยีวิชาการ เป็นพื้นฐานแล้วเกิดเป็น แรงบันดาลใจ ให้ ต่อยอด-ขยายผล-ปรับ-เสริม-เติม-เพิ่ม-บวก บนพื้นฐาน คิดใหม่ คิดบวก คิดยกกำลังสอง ให้เหมาะสมสอดคล้องทุกแง่มุมของสถานการณ์ ตามภาษาทหารที่เรียกว่า FLEXIBILITY คือ ปรับตัวให้เข้ากับสถาน การณ์ หรือที่ภาษิตสิบล้อบอกว่า กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ กับ สมช.เน็ต เกษตรลุงคิมบอกว่า ไม่บ้าไม่กล้าทำ ประมาณนี้ .... การเกษตรปลูกเพื่อขายต้องยึดหลัก ผลผลิตเพิ่ม (คุณภาพและปริมาณ) ต้นทุนลด อนาคตดี
**** ข้อมูลโดย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ****
ปลูกข้าวด้วยต้นกล้าต้นเดียว (System of Rice Intensification)
วัตถุประสงค์ :
- เพื่อการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่
- เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน
- เพื่อคัดเลือก และผลิตเมล็ดพันธุ์
การเตรียมเมล็ดพันธุ์ :
เลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่ คัดเลือกเมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ คือ อวบ ใส และมีตาข้าว แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำประมาณ 12-24 ชม. ในน้ำอุ่น 30-40 องศา ซ. หากต้องการป้องกันโรคหรือแมลงไว้ล่วงหน้า เช่น โรคบั่ว ควรนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำเกลือ หรือ น้ำสะเดา ไว้ 1 คืน จากนำเมล็ดพันธุ์ผึ่งลมให้แห้ง
หมายเหตุ : เนื้อที่ปลูก 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 1 กก.
เตรียมแปลงเพาะกล้า :
เลือกแปลงเพาะกล้าใกล้แปลงที่จะปลูกข้าว ทำแปลงเพาะกล้าให้เหมือนแปลงผัก โดยผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อให้ดินร่วนซุย เอาฟางคลุมพื้นที่แปลงไว้ จากนั้นรดน้ำให้มีความชุ่มชื้น เช้า-เย็น (ไม่ควรรดน้ำในขณะที่แดดร้อนจัด) ความชื้นในแปลงควรเหมาะสม ไม่ควรให้น้ำท่วม แปลงโดยการทำทางระบายน้ำเล็กๆ เพื่อให้น้ำไหลออก หรืออีกวิธีหนึ่งที่สะดวกต่อการขนย้ายต้นกล้า คือ การเพาะเมล็ดในกระบะ ซึ่งจะช่วยลด เวลาในการขนย้ายแล้ว ยังช่วยทะนุถนอมต้นกล้าขณะเวลาปักดำ
เตรียมแปลงปักดำ :
หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรไถกลบตอซังแล้ว บำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว ปลูกพืชหลังนา เช่น โสนอัฟริกัน หรือจะทำปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หว่านในนาก็ได้ ก่อนปักดำควรปรับที่นาให้ได้ระดับเดียวกัน และทำร่องน้ำตามขอบคันนาเพื่อช่วยระบายน้ำเข้า-ออก สูบน้ำเข้าแปลงนาให้ดินเป็นโคลนเหนียวข้น ไม่ควรปล่อยให้ดินเละหรือมีน้ำท่วมขัง
การขนย้ายต้นกล้าออกจากแปลงเพาะ :
ถอนกล้าเมื่อมีอายุ 8-12 วัน (มีใบ 2-3 ใบ) อย่างระมัดระวัง ให้ต้นกล้ากระทบ กระเทือนน้อยที่สุด ถอนต้นกล้าเบาๆ ตรงโคนต้น ใช้เครื่อง มือเล็กๆ เช่น เกรียง หรือเสียม ขุดให้ลึกถึงใต้ราก อย่าให้ต้นกล้าหลุดออกจากเมล็ดพันธุ์และให้มีดินเกาะรากไว้บ้าง ระหว่างการย้ายกล้าต้องทำอย่างเบามือ ไม่ควรทิ้งกล้าไว้กลางแดด และรีบนำกล้าไปปักดำทันที (ภายใน 15-30 นาที)
การปักดำ :
นำต้นกล้ามาปักดำอย่างเบามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับโคนราก แล้ว นำไปปักให้รากอยู่ในแนวนอน ลึกประมาณ 1 ซม. ปักดำกล้าทีละต้น ให้มีความห่างของระยะต้นไม่น้อยกว่า 25 ซม. เท่าๆ กัน จนเหมือนสี่เหลี่ยมจัตุรัส (ควรปักดำในระยะห่าง 30 x 30 ซม.) สำหรับแปลงนาขนาดเล็ก หรือ 40 x 40 ซม. สำหรับแปลงนาขนาดใหญ่)
การบำรุงดูแลรักษา :
การจัดการน้ำ :
- แปลงเพาะปลูกควรปรับให้เรียบสม่ำเสมอ และทำร่องน้ำเพื่อช่วยในการระบายน้ำ เข้า-ออก แปลงปักดำไม่ควรมีน้ำท่วมขัง เพียงแต่ทำให้ดินเป็นโคลนเท่านั้น ขณะที่ข้าวแตกหน่อ (1-2 เดือนหลังปักดำ) ปล่อยน้ำเข้านาให้สูง 2 ซม. ทุกๆ เช้า แล้วปล่อยน้ำออกในช่วงบ่าย หรือปล่อยทิ้งให้นาแห้งประมาณ 2-6 วัน
- เมื่อข้าวแตกกอ ปล่อยให้แปลงข้าวแห้งลงไปในเนื้อดิน ไม่ต้องกังวล หากหน้าดินจะเป็นรอยแตกบนผิวโคลน ขณะที่ข้าวตั้งท้องจนเริ่มออกรวง ปล่อยให้น้ำท่วมสูงประมาณ 1-2 เม. เท่านั้น ทันทีที่ต้นข้าวเริ่มลู่ลง เพราะน้ำหนักของเมล็ดข้าว ให้ปล่อยน้ำออกจากนาจนกว่าจะแห้งและถึงเวลาเก็บเกี่ยว
การกำจัดวัชพืช
ควรมีการกำจัดวัชพืชอย่างน้อย 3 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะ สม .... ครั้งที่ 1 เมื่ออายุข้าว 10 วัน .... ครั้งที่ 2 เมื่ออายุข้าว 25-30 วัน .... ครั้งที่ 3 เมื่ออายุข้าว 50-60 วัน ทั้งนี้การกำจัดวัชพืช สามารถใช้เครื่องทุ่นแรง
นอกจากนี้การจัดน้ำเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้ฟางคลุมแปลงจะช่วยกำจัดวัชพืชได้ดี สำหรับการกำจัดศัตรูของข้าว เช่น ปู หอยเชอร์รี่ ทำได้โดยการเลี้ยงกบ เลี้ยงเป็ดในนาข้าว แต่เมื่อข้าวออกรวงห้ามเป็ดเข้านาโดยเด็ดข้าว หรือทำน้ำหมักชีวภาพฉีดพ่น 1-2 ครั้งก็เพียงพอ สำ หรับวิธีการป้องกันนก ทำได้โดยการขึงเชือกเทปล้อมรอบแปลงนา เมื่อลมพัดจะทำให้เกิดเสียงดัง แล้วนกจะไม่มารบกวน
เหตุใด ปลูกข้าวต้นเดียว จึงได้ผลผลิตดีกว่า ?
- การใช้กล้าอายุสั้นและปักดำต้นเดียว ต้นกล้าที่มีอายุ 8-12 วัน หรือมีใบเล็กๆ 2 ใบ และยังมีเมล็ดข้าวอยู่ จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตดีและการผลิตหน่อดีมาก .... การใช้กล้าต้นเดียวปักดำ จะช่วยในการแพร่ขยายของราก สามารถดูดซับธาตุอาหารได้ดีกว่าปลูกกล้าหลายต้น .... การปักดำให้ปลายรากอยู่ในแนวนอน ปลายรากจะชอน ไชลงดินได้ง่ายและทำให้ต้นข้าวตั้งตัวได้เร็ว .... การปักดำในระยะห่างช่วยให้รากแผ่กว้าง ได้รับแสงแดดมากขึ้น ง่ายต่อการกำจัดวัชพืช และประหยัดเมล็ดพันธุ์ ทำให้ข้าวแตกกอใหญ่ ....การจัดการน้ำ การปล่อยให้ข้าวเจริญเติบโตในดินที่แห้งสลับเปียกทำให้ข้าวสามารถดึงออกซิเจนจากอากาศได้โดยตรง และรากของต้นข้าวสามารถงอกยาวออกเพื่อหาอาหาร
- การปล่อยให้มีน้ำท่วมขังในแปลง ทำให้ซากพืชเน่าเปื่อย และก่อให้เกิดก๊าซมีเทนปลด ปล่อยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศทำให้โลกร้อนขึ้น .... การปล่อยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตในน้ำท่วมขัง ทำให้รากต้นข้าวต้องสร้างถุงลมเล็กๆ เพื่อดูดออกซิเจนจากผิวดินทำให้การส่งอาหารไปสู่หน่อและใบถูกรบกวน รากข้าวจะหายใจลำบาก ประโยชน์ที่ได้รับ คือ
** ประหยัดเมล็ดพันธุ์ในการเพาะปลูก
** ประ หยัดน้ำได้ครึ่งหนึ่งจากการทำนาแบบปกติ
** ประหยัดแรงงานในการลงกล้า
** ประหยัดต้นทุนในการกำจัดวัชพืช เพราะมีช่องว่างระหว่างกอข้าว
** ประหยัดต้นทุนการควบคุมน้ำ เข้า-ออก
- หากต้องการผลผลิตสูงควรเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่ และสภาพอากาศ จากประสบการณ์ของเกษตรกร พบว่า หากเป็นนาอินทรีย์ ผล ผลิตจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 60% และในประเทศลาว พบว่าเพิ่มขึ้นถึง 100% และสามารถใช้ได้กับทุกสายพันธุ์ข้าวตามใจข้าว ไม่ใช่ตามใจคน
***** นาข้าวกล้าต้นเดียว สไตล์ไร่กล้อมแกล้ม : ******
ทำเทือก-เตรียมสารอาหาร-กำจัดวัชพืช-บ่มดิน :
- ใส่ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น, หว่านทั่วแปลง
- ใส่น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล) +16-8-8 (5 หรือ 10 กก.) +น้ำ ตามความจำเป็นสำหรับเนื้อที่ 1 ไร่....ข้าวพันธุ์พื้นเมืองให้ 16-8-8 (5 กก.) ข้าวพันธุ์ลูกผสมให้ 16-8-8 (10 กก.) ละลายให้เข้ากินดี สาดทั่วแปลง
..................................................................................................................
...................................................................................................................
**** ดินต้องมาก่อน จากน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงเดิมให้เป็นซุปเปอร์ ด้วยการ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก จุลินทรีย์หน่อกล้วย จุลินทรีย์จาวปลวก จุลินทรีย์ฟางเน่า น้ำละลายปุ๋ยคอก (วัว/ไก่/ค้างคาว) นม ฯลฯ มากน้อยตามความถนัด เป้าหมาย คือ เพิ่มจุลินทรีย์ เพื่ออาศัยจุลินทรีย์ ปรับสภาพดิน สร้างสารอาหาร กำจัดศัตรูพืชในดิน ให้พร้อมไว้ก่อนปลูกข้าว นั่นเอง .... ****
....................................................................................................................
.....................................................................................................................
- เติมน้ำลึกเหนือตาตุ่ม ปล่อยทิ้งไว้ 7 วัน เพื่อล่อให้วัชพืชงอก
- ย่ำเทือกด้วยอีขลุบ หรือลูกทุบ ย่ำประณีต 3 รอบใน 1 กระทง ย่ำแล้วทิ้งไว้ 7-10 วัน .... สำรวจจำนวนวัชพืชที่ยังหลงเหลือ แล้วย่ำซ้ำรอบที่ 2 ย่ำประณีตเหมือนรอบที่ 1 ย่ำแล้วทิ้งไว้ 7-10 วัน .... สำรวจจำนวนวัชพืชที่ยังหลงเหลือแล้วย่ำซ้ำรอบที่ 3 ย่ำประณีต รอบที่ 1 ย่ำแล้วทำร่องระบายน้ำ เตรียม ดำกล้า
หมายเหตุ :
- ก่อนเริ่มย่ำรอบแรก ตรวจสอบว่าบรรดาวัชพืชทุกชนิด ทุกต้น งอกขึ้นมาแน่ นอนแล้ว ถ้ายังงอกไม่หมดให้ทิ้งระยะต่ออีก 3-5 วัน
- ก่อนย่ำแต่ละรอบสำรวจจำนวนต้นวัชพืชว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ หลังจากย่ำรอบต่อๆ มาแล้วแต่ละรอบๆ จะพบว่าจำนวนต้นวัช พืชลดลงตามลำดับ กระทั่งย่ำรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ถ้ามั่นใจว่าไม่มีต้นวัชพืชขึ้นอีกก็ให้ลงมือดำกล้าได้เลย แต่หากพบว่ายังมีวัชพืชบาง ส่วนหลงเหลืองอกขึ้นมาได้อีก ก็ให้พิจารณาย่ำซ้ำรอบ 4
- การย่ำเทือกแบบประณีต ขอให้ประณีตจริงๆ แม้ไม่ต้องไถก็จะได้ขี้เทือกลึกดี กว่าการไถก่อนแล้วย่ำเทือก กับกำจัดวัชพืชได้ผลแน่นอนกว่ายาฆ่ายาคุมหญ้า
- ระยะเวลาย่ำเทือก 3-4 รอบ ๆละ 7-10 วัน รวมใช้ระยะเวลาทั้ง สิ้น 1 เดือน เท่า กับเป็นการ บ่มดิน ซึ่งจะส่งให้สภาพดินดี พร้อมสำหรับต้นกล้าที่ดำลงไป
- การกำจัดวัชพืชแบบ ย่ำประณีต แล้วต่อด้วยการทำนาดำ สภาพที่ต้นข้างขึ้นห่างกัน ช่วยให้การเดินลงไปถอนด้วยมือ ทั้งต้นวัชพืชและต้นข้าวปน สามารถทำได้ง่าย ต้นวัชพืชที่ถูกถอนแล้วจะไม่มีอีก เท่ากับเป็นการกำจัดวัชพืชอย่างถาวรนั่นเอง
สรุปงานนี้ได้ :
1. ประหยัดค่าไถ
2. ประหยัดค่ายาฆ่ายาคุมหญ้า
3. ประหยัดค่าปุ๋ย
4. ได้ขี้เทือกลึกดี
5. ได้ดินดี
6. ดินดีต่อถึงอนาคตรุ่นหน้า รุ่นต่อๆไป
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/01/2024 11:54 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11689
|
ตอบ: 26/01/2024 12:39 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
.
.
เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- ตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ ที่มาของเมล็ดพันธุ์, แหล่งปลูก, วิธีการปลูก, เมล็ดปลอม ปน, วิธีการเก็บรักษา, ความชื้น, ระยะพักตัว,
- เมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้สี คัดด้วยมือ ทีละเมล็ดๆ ๆๆ ดูด้วยสายตาว่าตรงตามสายพันธุ์อย่างแท้จริง .... เพื่อความมั่นใจสูงสุด ให้แกะแกลบ ดูเนื้อใน เห็นจมูกข้าว .... เมล็ดพันธุ์ที่สีเป็นข้าวกล้องแล้ว ให้ดูจมูกข้าว ทั้งนี้ต้นกล้างอกจากจมูกข้าว
- ลักษณะเนื้อในเมล็ด ใส แกร่ง รูปทรงตรงตามสายพันธุ์
- แช่เมล็ดพันธุ์ในสังกะสี (ไบโออิ) + ไคโตซาน (ยูเรก้า) + โบรอน (แคลเซียบม โบรอน) ในน้ำอุ่น 50 องศา นาน 24 ชม. .... ครบกำหนดแล้วนำขึ้นห่มชื้น (ผ้าชุดน้ำที่ใช้แช่) นาน 24-48 ชม. แล้วสำรวจ ถ้าเมล็ดเริ่มมีตุ่มรากงอกขึ้นมาให้นำไปเพาะได้
เพาะกล้า :
- เตรียมวัสดุเพาะ ขี้เถ้าแกลบเก่าข้ามปีบดละเอียด + ขุยมะพร้าวแห้งเก่า แช่น้ำมะพร้าวแก่นาน 48 ชม. อัตรา 1 : 1 ใส่ลงในช่องเพาะเมล็ดในกระบะเพาะเต็มช่อง กดให้แน่น
- ข้าวพันธ์แตกกอดี เพาะเมล็ดหลุมละ 1 เมล็ด .... ข้าวพันธุ์แตกกอน้อย เพราะเมล็ดหลุมละ 2 เมล็ด แต่คิดเป็น 1 ต้น
- วางเมล็ดที่เริ่มมีตุ่มรากแล้วบนวัสดุเพาะ กดพอมิดเมล็ด ให้น้ำพอหน้าดินชื้น
- วางกระเพาะไว้ในร่ม อากาศผ่านสะดวก
- ต้นกล้าเริ่มงอก หลังงอกได้ 5-7 วัน นำออกแดดเพื่อให้คุ้นเคย กระทั่งต้นกล้าได้ 8-10 วัน (ไม่ควรเกิน 15 วัน) ให้นำไปปักดำได้
- ก่อนนำไปปักดำ 3-5 วัน ให้ แคลเซียม โบรอน เจือจาง (น้ำ 20 ล. + แคลเซียม โบรอน 8-10 ซีซี.) 1 รอบ
- พื้นที่ปลูก 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 1 กก.
ดำกล้า :
- งดน้ำต้นกล้าในกระบะเพาะก่อนถอนต้นกล้าจากกระบะเพาะ 3-4 วัน เพื่อให้รากเกาะติดวัสดุเพาะดี
- ยกกระบะเพาะไปที่แปลง เพื่อถอนต้นกล้าจากกระบะแล้วลงแปลงทันที ไม่ควรถอนต้นกล้าจากกระบะก่อนแล้วถือไปที่แปลง เพราะอาจทำให้รากช้ำได้
- ขึงเชือกแนวปักต้นกล้า จัดระยะห่าง 30 x 30 ซม.
- ถอนต้นกล้าจากกระบะเบาๆ ประณีตๆ อย่าให้ต้นกล้าหลุดจากเมล็ด และอย่าให้รากหลุดจากวัสดุเพาะ
- ถอนต้นกล้าขึ้นจากกระบะแล้วนำลงปักดำทันที ไม่ควรปล่อยให้กล้าตากแดดนาน
- ปักต้นกล้าทีละต้นลึก 1 ซม.
บำรุง :
ระยะกล้า (เร่งแตกกอ) :
- ให้ น้ำ 200 ล. + ไบโออิ 200 ซีซี. + 18-38-12 (1 กก.) สำหรับเนื้อที่ 4 ไร่ .... ให้ครั้งที่ 1 ต้นกล้าอายุ 20 วัน .... ให้ครั้งที่ 2 ต้นกล้าอายุ 30 วัน....ให้ครั้งที่ 3 ต้นกล้าอายุ 40 วัน .... ให้ครั้งที่ 4 ต้นกล้าอายุ 50 วัน
- ให้ปุ๋ยทางใบ + สารสมุนไพรสูตรรวมมิตรร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เสียเวลา และเป็นการกันก่อนแก้
- ให้น้ำเลี้ยงกล้าแบบแห้งสลับเปียก ต้นกล้าจะแตกกอดี
ระยะต้นกลม :
- ให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.) +16-8-8 (10 กก.) / 1 ไร่ ปรับหัวฉีดเม็ดใหญ่ ฉีดแหวกต้นลงพื้น
- ให้ น้ำ 200 ล. + แคลเซียม โบรอน 200 ซีซี. + สมุนไพร 2 ล. / 4 ไร่ ให้ 1 รอบ
- ถอนแยก ข้าวปน/วัชพืช ครั้งที่ 1
ระยะออกรวง :
- ให้ น้ำ 200 ล. + ไทเป 200 ซีซี. + 0-52-34 (1 กก.) + สมุนไพร 2 ล. /4 ไร่ ให้ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ออกรวงระยะหางแย้หรือหางปลาทู ให้ น้ำ 200 ล. + เอ็นเอเอ. 200 ซีซี. + สารสมุนไพร 2 ล. / 4 ไร่ ให้ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
ระยะน้ำนม :
- ให้ น้ำ 200 ล. + ไบโออิ 100 ซีซี. + ยูเรก้า 100 ซีซี. + สารสมุนไพร 2 ล. / 4 ไร่ ให้ 4-5 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน
- ถอนแยก ข้าวปน/วัชพืช รอบที่ 2
ระยะก่อนเกี่ยว :
- ให้ น้ำ 200 ล. + นมสด 200 ซีซี. + สารสมุนไพร 2 ล / 4 ไร่ ให้ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ให้รอบสุดท้ายก่อนเกี่ยว 5-7 วัน
จาก : (080) 512-83xx
ข้อความ : คุณตาขา หนูชื่อปอ ลูกสาวคนเดียวของพ่อสนธิ แม่นงคราญ พ่อกับแม่มีลูกชาย 4 คน อยู่กบินทร์บุรี ที่บ้านทำนา 20 ไร่ ตอนนี้น้ำลงให้เริ่มทำนาได้แล้ว เคยใส่ยูเรียไร่ละ 2 ลูก กับ 16-20-0 อีก 1 ลูก ซื้อเงินสดลูกละ 700 บางรุ่นได้กำไรไม่มาก รุ่นที่แล้วขาดทุน 300 เปอร์เซ็นต์ จะเปลี่ยนมาทำตามแนวคุณตา อยากให้คุณตาคำนวณต้นทุนใช้ปุ๋ยคุณตาตลอดรุ่นให้ด้วยค่ะ คุณตาตอบทางวิทยุตอนเช้า 6 พ.ย. กับตอบในเน็ตด้วยนะคะ ...ปอค่ะ
ตอบ :
- แปลงนี้โชคดีที่ ธรรมชาติให้โอกาสแก้ตัว แม่โพสพให้โอกาสทำใหม่ ผีบ้านผีเรือนดลใจให้ คิด-วิเคราะห์-เปรียบเทียบ ที่เคยทำๆมามันไม่ได้อะไร ทำอีกก็ไม่ได้อะไรอีก เพราะทำแบบเดิมๆ มันจึงเหมือนเดิม สู้มาเสี่ยง เสี่ยงอย่างมีเหตุมีผล เสี่ยงอย่างมีหลักวิชาการ ทำแบบใหม่ อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของนาข้าว .... แบบเดิมมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง แบบใหม่มีแต่เจ๊ากับได้ .... บอกได้เลยงานนี้ ยากหรือง่าย อยู่ที่ ใจ เท่านั้น
- นา 20 ไร่ คิดต้นทุนเฉพาะค่าปุ๋ย ยูเรีย + 16-20-0 รวม 60 กส. ๆละ 700 เป็นเงิน 42,000
..................................................................................................................................................................................
** สารอาหารที่ ได้ จากปุ๋ยเคมีเพียง 2 ตัว คือ ไนโตรเจน. กับฟอสฟอรัส. .... สิ่งที่ เสีย คือ .... 1) ข้าวลีบ .... 2) เมล็ดไม่ใส .... 3) เมล็ดไม่แกร่ง .... 4) เป็นท้องไข่ .... 5) ไม่มีน้ำหนัก .... 6) โรคมาก .... 7) ต้นสูง ล้ม .... 8 ) ใช้ทำพันธุ์ไม่ได้ .... 9) ดินเสีย .... 10) จุลินทรีย์ ตาย .... 11) สิ้นเปลือง
......................................................................................................
อัตราใช้ปุ๋ยลุงคิม :
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 4 ล. / ไร่ = 80 ล. / 20 ไร่
- ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า, ขนาดจุ 1 ล. .... ทุกอย่างอัตราใช้ น้ำ 200 ล. + 200 ซีซี. ใช้กับนาข้าวได้ 4 ไร่ .... นั่นคือ นาข้าว 20 ไร่ อัตราใช้ 1 ล.
ต้นทุนค่าปุ๋ยลุงคิม :
- น้ำหมักฯ ให้ทำเทือก 1 ครั้ง, ระยะต้นกลม 1 ครั้ง รวม 80 ล. = 8,000
- ให้ไบโออิ ระยะกล้า 3 ครั้ง ๆละ 1 ล. = 3 ล. = 600
- ให้ไทเป ระยะออกรวง 2 ครั้ง ๆละ 1 ล. = 2 ล. = 400
- ให้ ไบโออิ 2 ล. + ยูเรก้า 2 ล. ระยะน้ำนม 4 ครั้ง = 4 ล. = 1,000
- รวมต้นทุน น้ำหมักฯ 8,000 + ไบโออิ 1,000 + ไทเป 400 + ยูเรก้า 600 = 10,000
- สารอาหารที่ได้จากปุ๋ยลุงคิม .... สารอาหารอินทรีย์ : ธาตุหลัก / ธาตุรอง / ธาตุเสริม / ฮอร์โมน /จุลินทรีย์ / สารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น .... สารอาหารเคมี : ธาตุหลัก/ธาตุรอง/ธาตุเสริม รวม 14 ตัว
ต้นทุนค่าปุ๋ยเสริม:
- 16-8-8 ทำเทือก (10 กก.) + ต้นกลม (10 กก.) ต่อไร่ หรือ 400 กก. = 4,000
- 18-38-12 เร่งแตกกอ 15 กก. ๆละ 150 = 2,250
- 0-52-34 หยุดความสูง ออกรวง 10 กก. ๆละ 150 = 1,500
- รวม 7,750
แนวทางเปรียบเทียบต้นทุนค่าปุ๋ย :
- ยูเรีย (2 กส.) + 16-20-0 (1 กส.) ............................ 42,000
- น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า, ปุ๋ยเสริม ......... 17,750
ต้นทุนที่ลดได้ :
ไม่ไถแต่ย่ำประณีต : ย่ำ 3 รอบ / กระทง .... ย่ำ 4 เที่ยว ห่างกันเที่ยวละ7-10 วัน.... สิ่งที่ได้ เปรียบเทียบระหว่าง ปกติไถ 2 รอบ ย่ำด้วยอีขลุบ 2 รอบ รวมเป็น 4 รอบ ได้ขี้เทือกไม่ลึกนัก ไม่ได้กำจัดวัชพืช กับ ไม่ไถแต่ย่ำด้วยอีขลุบ 4 รอบ จำนวนรอบเท่ากันแต่ ได้เทือกลึกกว่า กำจัดวัชพืชได้มากกว่า .... รถไถติดผานไถดินใช้น้ำมันมากกว่ารถไถเดินตามลากอีขลุบ
ดำนาด้วยด้วยเครื่อง : ต้นทุนรวม ค่าเมล็ดพันธุ์ + ค่าตกกล้า + ค่าดำ สิ่งที่ได้ ต้นข้าวขึ้นห่าง ต้นโต แตกกอดี โรคแมลงน้อย แยกข้าวปนได้ คุณภาพดี ขายหรือใช้เป็นข้าวปลูกต่อได้ ไม่มีแรงงาน ..... นาหว่าน เมล็ดพันธุ์มาก ต้นข้าวขึ้นถี่ ต้นเล็ก โรคแมลงมาก แยกข้าวปนไม่ได้ คุณภาพไม่ดี ขายหรือใช้เป็นข้าวปลูกไม่ได้ จ้างแรงงาน
ใช้สารสมุนไพร : ทำเอง ทำไว้ล่วงหน้าสำหรับ 1 รุ่น ฉีดพ่นพร้อมปุ๋ยทางใบไม่ต้องจ้างแรงงาน หรือจ้างแต่ไม่เสียเวลา
ขายข้าวปลูก : ปลูกข้าวพันธุ์ในพื้นที่นิยม ไม่มีข้าวปน ไม่มีข้าวนกข้าวดีด เมล็ดข้าวสมบูรณ์ดี ไม่มีเมล็ดลีบ ท้องไข่
ข้าวข้าวพันธุ์นิยม : ไรซ์เบอร์รี่, หอมนิล, ลืมผัว, สังข์หยด, หอมมะลิ. ขายเป็นข้าวเปลือก หรือข้าวกล้อง แบบขายส่งหรือขายปลีก
อนาคต : ทำติดต่อกัน 3 รุ่น จะพบประวัติดินดีขึ้นๆ ๆๆ ๆๆ การใช้ปุ๋ยทางดิน 16-8-8 จะลดลง ใช้แต่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ตอนทำเทือกก็พอ, การกำจัดวัชพืชลดลง, คุณภาพข้าวดีขึ้นๆ
รวมกลุ่มทำเอง : น้ำหมักฯ. ไบโออิ. ไทเป. ยูเรก้า. .... รวมพื้นที่แล้วสั่งซื้อ ประหยัดค่าขนส่ง .... ข้าวทุกแปลงคุณภาพเกรดเดียวกัน คนรับซื้อพอใจ รวมกลุ่มเทคโนโลยี-รวมกลุ่มทำ-รวมกลุ่มขาย รวยทุกบ้าน รวยทั้งหมู่บ้าน
นาข้าวแบบอินทรีย์เกาะขอบ :
จาก : (084) 644-90xx
ข้อความ : (คัดย่อ) ตอนนี้ทำนาข้าวไรซ์เบอร์รี่แบบเกาะขอบ ใช้ปุ๋ยเคมีเท่าที่มีในระเบิดเถิดเทิงเท่านั้น ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มทุกชนิด ทุกสูตร ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ คนรับข้าวกล้องไปขายได้ กก.ละ 180 คนซื้อไม่ต่อเลย โดยเฉพาะลูกค้าในประเทศ ต่างประเทศ ทุกรายพอใจมาก วันนี้ไม่พอส่ง รุ่นหน้าจะทำแบบอินทรีย์เพียวๆ ในระเบิดเถิดเทิงไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่ม มั่นใจว่าทำได้ ตอนนี้รวมกลุ่มทำ ถึงจะอยู่คนละพื้นที่แต่ติดต่อประสานงาน ปรึกษากันตลอดเวลา ทุกคนมีใจต่อกันจริงๆ.... จาก สมศักดื์ ฉะเชิงเทรา
ตอบ :
สมศักดิ์ : ผู้พันครับ ผมสมศักดิ์ ฉะเชิงเทราครับ
ลุงคิม : ครับ คุณสมศักดิ์ ข้าวเป็นไงบ้างล่ะ ว่าแต่นาข้าวนะ ถ้าจำไม่ผิด
สมศักดิ์ : ไม่ผิดครับนาข้าว ทำแนวผู้พันมารุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 3 รุนนี้คาแปลงอยู่กำลังแตกกอ ใครๆ มาเห็นร้องอื้อฮือตามๆ กัน ก็เพราะระเบิดเถิดเทิงผู้พันนี่แหละครับ ใช้ตัวนี้ตัวเดียวมาตลอด ได้ผลแล้วก็ประหยัดสุดๆ เลยครับ
ลุงคิม : อืมมม คุณไปเอามาจากไหนน่ะ ?
สมศักดิ์ : สั่งที่ชาตรีฯ คาราวานวัดทุ่งสะเดา แปลงยาว นั่นแหละครับ ดีตรงที่ได้คำปรึกษาวิธีการใช้ กับได้คุยกับชาวนาชาวสวนอีกหลายคน อย่างที่ผู้พันบอกว่า วันนี้ทำเกษตรแล้วไม่เปิดตัวไปรับรู้เรื่องราวของคนอื่นบ้าง จะไปไม่รอดจริงๆ ผมน่ะได้อะไรต่อมิอะไรก็เพราะตรงนี้ คนแถวนี้ยังงง ผมเพิ่งทำนาครั้งแรก แค่รุ่นแรกก็ฟันแล้วครับ กำไรเนื้อๆ อันนี้ต้องขอบคุณผู้พัน ขอบคุณคาราวานจริงๆครับ
ลุงคิม : | | | | |