-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ธาตุเสริม (Zn. Fe. Cu. Mn. Mo. Br.)
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ธาตุเสริม (Zn. Fe. Cu. Mn. Mo. Br.)
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ธาตุเสริม (Zn. Fe. Cu. Mn. Mo. Br.)

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/04/2010 9:07 pm    ชื่อกระทู้: ธาตุเสริม (Zn. Fe. Cu. Mn. Mo. Br.) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ธาตุสังกะสี (Zinc)
หน้าที่สำคัญของธาตุสังกะสีในพืช
ช่วยให้พืชแตกใบอ่อนได้ดีขึ้น
เสริมสร้างเมล็ด
เสริมสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ในพืช
เสริมสร้างการสุกการแก่ของผลไม้
เสริมสร้างความสูงและการยืดของต้น
ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน
ช่วยเสริมสร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ
มีส่วนสำคัญในระบบของเอนไซม์ที่จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว) ของพืช
มีส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้ายพวกคาร์โบไฮเดรตและกระตุ้นการใช้น้ำตาลในพืช
ทำหน้าที่เสมือนตัวต่อต้านความหนาวเย็น หรือทำหน้าที่เสมือนเป็นผ้าห่มให้แก่ต้นพืชเมื่อมีอากาศหนาวเย็น
ช่วยให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตเมื่อมีอากาศหนาวเย็น

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุสังกะสี
แสดงอาการเหลืองระหว่างเส้นใบ
เส้นกลางของใบอ่อนจะแตกเป็นเส้นย่อย ๆ
เกิดจุดสีน้ำตาลที่ใบแก่ ต่อมาจุดสีน้ำตาลจะขยายตัวติดต่อกัน ทำให้ใบเป็นสีน้ำตาล
พืชจะมีการเจริญเติบโตช้า หรือเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร
ในพืชต้นเล็ก ถ้าขาดอย่างรุนแรงจะทำให้พืชตายได้
ทำให้การสุกแก่ของผลไม้ช้ากว่าปกติ
ทำให้ผลผลิตต่ำ

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุสังกะสี
ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป
ในดินที่มีธาตุสังกะสีที่เป็นประโยชน์ต่ำหรือมีปริมาณน้อย
ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสมาก
ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนมาก
ในดินที่ถูกน้ำกัดเซาะมาก รวมทั้งดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก
ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ
ในดินที่มีการไถลึก 6 นิ้ว
ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป
ในดินที่สูญเสียธาตุสังกะสีมากหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว


ธาตุเหล็ก - IRON
ธาตุเหล็ก จะพบในดินมากโดยทั่วไป แต่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชเป็นส่วนมาก ปัญหาการขาดธาตุเหล็กของพืชไม่ใช่เกี่ยวกับปริมาณของธาตุเหล็กในดิน ปัญหาเกิดจากการไม่ละลายและความเป็นประโยชน์ต่อพืชของธาตุเหล็ก ดินที่มีความเป็นกรดมากจะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืช และดินที่มีความเป็นด่างมากก็จะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน ส่วนในดินที่มีน้ำขังจะทำให้ธาตุเหล็กมีประโยชน์ต่อพืชสูงขึ้น

หน้าที่สำคัญของธาตุเหล็กในพืช
ช่วยเสริมสร้างความเขียวหรือสารคลอโรฟีลล์ในใบพืชแต่ไม่ได้เป็นส่วนของคลอโรฟีลล์
ช่วยในการสังเคราะห์แสงในใบพืชได้ดี เพื่อสร้างแป้งและน้ำตาล
ช่วยเสริมสร้างเอนไซม์ในพืชเพื่อช่วยในระบบการหายใจของพืชทำให้พืชเจริญเติบโต
ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการแบ่งเซลล์ของพืชเพื่อการเจริญเติบโต
พืชต้องการเหล็กในปริมาณน้อยประมาณหนึ่งในร้อยส่วนเมื่อเทียบกับธาตุไนโตรเจน

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุเหล็ก
ใบพืชจะมีสีซีดจางไม่เขียว แสดงอาการของสารคลอโรฟีลล์
จะทำให้ระบบของรากพืชไม่พัฒนา
พืชเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
เส้นกลางใบพืชจะมีสีซีดจาง
ถ้าพืชขาดธาตุเหล็กในปริมาณมากจะทำให้ผลผลิตลดลง

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุเหล็ก
ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ตั้งแต่ 6.0 ขึ้นไป
ในดินที่ขาดการให้ธาตุเหล็กที่เป็นประโยชน์ เช่น เหล็กคีเลท
ในดินที่มีการไถลึก และดินที่ถูกน้ำกัดเซาะ
ในดินที่มีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิในดินต่ำก่อนและหลังปลูกพืช
ในดินที่แน่นมาก เช่น ดินเหนียว
ในดินที่ใส่ปุ๋ยฟอสเฟตมาก
ธาตุเหล็กไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่ ดังนั้นเมื่อมีใบใหม่ออกมาต้องให้ธาตุเหล็กเสมอ เพื่อไม่ให้พืชขาดธาตุเหล็ก
ในช่วงที่มีอากาศเย็น ดินเย็น พืชจะดูดธาตุเหล็กได้น้อยมาก
การฉีดพ่นธาตุเหล็กคีเลททางใบพืชจะให้ประโยชน์แก่พืชมากกว่าให้ทางดิน



ธาตุทองแดง - COPPER
หน้าที่สำคัญของธาตุทองแดง
ทำหน้าที่ในการช่วยสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว)
ทำหน้าที่เพิ่มความหวานในผลไม้
ทำหน้าที่เพิ่มกลิ่นในผลไม้และผัก
ทำหน้าที่เพิ่มความเข้มของสี
เป็นตัวจักรสำคัญในการสังเคราะห์แสง
เป็นตัวจักรสำคัญในระยะการผลิตดอกและผล
เร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในพืช
ผลิตเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการหายใจของพืช

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุทองแดง
มีข้อใบสั้น
ยอดที่เกิดใหม่จะแสดงอาการตายจากปลายยอดลงมา
ใบจะมีสีซีดและจะไหม้ตายไปในที่สุด
ในพืชพวกมะเขือ ใบจะหนาและมีสีเขียวเข้ม ใบอ่อนจะม้วนขึ้นมีจุดสีจาง ๆ และในใบแก่จะเหี่ยวเฉาเหมือน อาการขาดน้ำ
ถ้าพืชขาดมากจะทำให้พืชเติบโตช้า

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุทองแดง
ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.5-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป
ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง เพราะดินชนิดนี้จะไม่ยึดธาตุทองแดงไว้
ในดินทรายที่น้ำซึมลึกพาเอาธาตุทองแดงลงไปมาก
ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูง ทำให้พืชดูดธาตุทองแดงได้น้อย
ในดินที่มีอนุมูลเป็นจำนวนมากของธาตุอะลูมินั่ม ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก ธาตุแมงกานีส
เมื่อมีการขาดธาตุทองแดงในพืช จะทำให้พืชขาดธาตุอื่น ๆ ด้วย รวมทั้งธาตุไนโตรเจน
ธาตุทองแดงเป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนย้ายจากใบแก่ไปสู่ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ ดังนั้นต้องฉีดพ่นให้อยู่เสมอ เมื่อมีใบอ่อนออกมา
พืชต้องการธาตุทองแดงในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เพื่อการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันกับธาตุโมลิบดีนัม


ธาตุแมงกานีส - MANGANESE
ธาตุแมงกานีส ที่พบในดินอยู่ในรูปของแมงกานีสไดออกไซด์ และในรูปที่เป็นไฮเดรต หรือในรูปของไอออนประจุบวก(Mn2+)

หน้าที่สำคัญของธาตุแมงกานีส
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่าง ๆ ในพืช
ช่วยในการหายใจของพืช เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ช่วยสังเคราะห์แสงทำให้เกิดสารคลอโรฟีลล์(สีเขียวในพืช)
ช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานเคมี
ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนในพืชให้เป็นแป้ง เป็นน้ำตาล โดยเฉพาะในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานเพิ่มขึ้น

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมงกานีส
แสดงอาการใบเหลือง ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโต
ใบอ่อนที่แตกออกมาจะซีดขาว
ใบแก่มีจุดสีน้ำตาล ปลายใบแห้ง
ใบห้อยลงและเหี่ยวเฉา
ยอดอ่อนจะแห้งตาย
ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อย
เพิ่มจำนวนช่อดอก จำนวนผล
เพิ่มคุณภาพของผลผลิต เช่น รสชาติ
ช่วยเสริมสร้าง แป้ง และน้ำตาล
ช่วยพัฒนาขนาดของผลและเมล็ด
ช่วยในการผสมเกสรของดอก ป้องกันผลร่วง
สังเคราะห์โปรตีน
สร้างฮอร์โมนพืช
ส่งเสริมการสุกการแก่ของผล
ควบคุมการคายน้ำของผล
มีบทบาทในการย่อยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
สร้างความต้านทานต่อความหนาวเย็นหรือเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ
สร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลง

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโบรอน
อาการปลายใบพืชเหลืองแล้วขยายตัวลงมาตามขอบใบลงสู่โคนใบ และจะมีจุดน้ำตาลเกิดขึ้นที่ขอบใบ
ใบมีสีทองใบหนาหงิกงอ ในบางกรณีใบจะมีอาการโค้งงอขึ้นข้างบน
พืชแตกกิ่งก้านสาขามากผิดปกติและส่วนยอดของกิ่งก้านจะแห้งตาย
พืชไม่ค่อยออกดอกหรือออกดอกแต่ดอกจะไม่สมบูรณ์ ดอกผสมไม่ติดทำให้ดอกร่วง
ในพืชผักประเภทหัวจะมีอาการเน่า
ในพืชที่ให้ผลอยู่จะให้ผลไม่สมบูรณ์ เช่น ส้ม ความหนาของเปลือกจะไม่เท่ากัน และบูดเบี้ยวมีเมือกเหนียว



ธาตุโมลิบดีนัม – MOLYBDENUM
พืชดูดโมลิบดีนัมในรูปโมลิบเดทที่เป็นอิออนประจุลบ(Mo O4 2-) การดูดใช้จะลดลงได้เมื่อมีอนุมูล ซัลเฟต(SO4 2-) มาแข่งขัน การใส่ปูนเพื่อปรับ พี-เอช ให้สูงถึง 7 จะช่วยส่งเสริมการดูดใช้โมลิบดีนัมในพืช

หน้าที่สำคัญธาตุโมลิบดีนัมในพืช
ตรึงธาตุไนโตรเจนในพืชตระกูลถั่ว
มีความสำคัญในการเปลี่ยนไนเตรทในพืชให้เป็นกรดอะมิโนเป็นโปรตีน
เสริมสร้างการเจริญเติบโตของพืช
ช่วยให้ผลไม้สุกแก่เร็วขึ้น
ในผลไม้ที่มีสารไนเตรทสูง โมลิบดีนัมจะทำหน้าที่เปลี่ยนสารไนเตรท ให้เป็นกรด อะมิโน เป็นโปรตีน เป็นน้ำตาล

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม
แสดงอาการขอบใบแห้งและม้วนงอ
พื้นที่ระหว่างเส้นใบจะมีสีซีดจางและจะแห้งตายในที่สุด
ในกรณีที่พืชต้องการ(หิว) มาก ๆ ต้นจะแคระแกรน ติดดอกเล็ก ๆ ถ้าติดผล ๆ จะร่วงอย่างรวดเร็ว
ในผลไม้จะสุกแก่ช้ากว่าปกติ
ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะไม่ค่อยมีรสหวาน

สภาพแวดล้อมที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม
ในดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-7.0 หรือ ดินเป็นกรด
ในการใส่ปูนในดินเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน
เมื่อใส่ธาตุเหล็กลงไปในดินหรือฉีดพ่นธาตุเหล็ก ในดินทราย ในดินที่ใส่ปุ๋ยพวกซัลเฟต



ธาตุโบรอน – BORON
หน้าที่สำคัญของธาตุโบรอนในพืช ปรากฏอยู่
ในผลจะมีเนื้อในน้อยหรือผลกลวง เช่น ในผลมะเขือเทศและส้มเขียวหวาน
ส่วนปลายของผลจะช้ำและต่อมาจะเน่า
สำหรับผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อยกว่าปกติ
ผลร่วงมาก

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุโบรอน
ในดินที่ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน
ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.5-5.0 และ 7.0-8.7
ในดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก
ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป
ในดินที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก
ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนสูงมาก
ในดินที่มีปุ๋ยฟอสฟอรัสต่ำมาก
ในดินที่เป็นดินทราย
ในระยะที่มีสภาพอากาศแห้งแล้ง
ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ

ที่มา : ปุ๋ยเคมีตราภูเขาทอง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©