-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ลำไยจันทบุรี ติดตลาดออร์เดอร์เพียบ
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - "Contract Farming" รายใหญ่ดูแลรายเล็ก
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

"Contract Farming" รายใหญ่ดูแลรายเล็ก

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/04/2010 2:08 pm    ชื่อกระทู้: "Contract Farming" รายใหญ่ดูแลรายเล็ก ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

"Contract Farming" รายใหญ่ดูแลรายเล็ก
จากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค


อาชีพเกษตรกรไทย ใคร ๆ ก็ว่ายากลำบาก ยิ่งในยุคอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนฟ้าตกไม่เป็นฤดู
กาล หน้าแล้งก็แล้งจัด หน้าฝนก็ น้ำท่วม อาชีพที่ต้องพึ่งพิงฟ้าฝนอย่างอาชีพการเกษตรจึงต้องปรับ
ตัว และเปลี่ยนวิธีการผลิต รู้จักวางแผน รู้วิธีการรับมือกับความแปรปรวนของภูมิอากาศ และโรค
ภัยนานาชนิดที่พร้อมถล่มพืชผัก ฟาร์มเลี้ยงให้ราบคาบเพียงข้ามคืน

การส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกร รายย่อยให้รู้จักวางแผนการผลิต รู้วิธีรับมือกับโรคภัย และมอง
ทิศทางแนวโน้มตลาดเป็น ป้องกันตัวเองได้จากความผันผวน ของราคาสินค้าเกษตรในตลาด เป็น
กระบวนการสร้างอาชีพให้ยั่งยืน และต้องได้รับความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุนจากทุกฝ่ายที่
เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ตัวเกษตรกร จนถึงภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ขายวัตถุดิบและผู้ซื้อผลผลิต

ปัจจุบันประเทศไทยพัฒนาสู่การทำเกษตรอุตสาหกรรม มีบริษัทใหญ่ด้านการเกษตรในประเทศ
หลายแห่งพัฒนาปรับปรุงสินค้าการเกษตรส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ มูลค่าหลาย แสนล้าน
บาท ขณะเดียวกัน บริษัทการเกษตรเหล่านี้ก็ได้นำระบบการประกันความเสี่ยงจากราคาผลิตผล
การเกษตรจาก ต่างประเทศเข้ามาใช้กับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก หรือที่รู้จักกันทั่ว
ไปว่า "contract farming" หรือ "เกษตร พันธสัญญา"

สองด้านของเหรียญ
แม้ว่าในด้านหนึ่ง การทำเกษตรพันธสัญญาจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นสัญญาทาส ข้อตกลง
ระหว่างตัวแทนบริษัทกับเกษตรกรเป็นข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม มีทั้งเป็นสัญญาปากเปล่า และ
สัญญา ลายลักษณ์อักษร สินค้าที่ผลิต ถูกกำหนดโดยบริษัทเพียงฝ่ายเดียว เกษตรกรไม่มีสิทธิต่อ
รองราคา

ส่วนในงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) ภายใต้แผนงานสร้างเสริมสุขภาพแรงงานนอกระบบในภาคเกษตร เรื่อง "เกษตรพันธ
สัญญากับโอกาสการพัฒนาของเกษตรกรรายย่อย" ซึ่งเผยแพร่ในการประชุมวิชาการของศูนย์วิจัย
เพื่อเพิ่มผลผลิตการเกษตร (ศวพก.) คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ระบุ
ว่า

"เทคโนโลยีการผลิต วัสดุการผลิต และเวชภัณฑ์ ถูกกำหนดโดยบริษัท โดยเฉพาะเกษตรพันธ
สัญญาด้านปศุสัตว์ และประมง แม้เกษตรกรจะสามารถเพิ่มทักษะและประสบการณ์ อันเกิดจาก
การปฏิบัติจริง แต่โอกาสจะพัฒนาและปรับใช้วิธีใหม่ ๆ ด้วยตัวเองยังจำกัด เนื่องจากพันธุ์สัตว์
ปลา และพืช ถูกกำหนดโดยผู้ประกอบการ นอกจากนี้ เวชภัณฑ์และอาหารสัตว์ปีก สุกร และ
ประมง ถูกกำหนดโดยผู้ประกอบการเช่นกัน"

"ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดจะต้องจัดการพันธุ์และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดผลเชิง
ทวีคูณภายใต้สภาพสิ่งแวดล้อมพร้อมสมบูรณ์ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของตัวเอง นำมาพัฒนา
ใช้ในระบบเกษตรแบบมีพันธสัญญายังจำกัด ไม่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีโดย
เกษตรกรเอง และปัจจัยการผลิตขึ้นอยู่กับบริษัท แม้ว่าจะเป็นในรูปสินเชื่อก็ตาม"

ขณะที่ "อดิศร์ กฤษณวงศ์" รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสธุรกิจขายอาหารสัตว์น้ำจืด บริษัท เจริญ
โภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวถึงที่มาของการนำระบบเกษตรพันธสัญญามา
ใช้ในระบบการผลิตว่า เนื่องจากในปัจจุบัน การทำเกษตรได้รับผลกระทบจากดีมานด์-ซัพพลายสูง
มาก และถ้าไม่มีการควบคุม เกษตรกรที่ทำด้วยตัวเองในบางพื้นที่ก็ทำในลักษณะดูเขารวย ช่วย
เขาจน คือเห็นคนหนึ่งปลูกอะไร เลี้ยงอะไรร่ำรวย ได้เงินดี ก็พากันปลูก พากันเลี้ยง จนผลผลิต
ล้นตลาด ขายไม่ออก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อผลกระทบจากดีมานด์-ซัพพลาย แรงมาก การทำเกษตรกรรมแบบดูเขารวย ช่วยเขาจน ก็จะ
ไม่ยั่งยืน แม้จะทำแบบพอเพียงแล้วก็ตาม ดังนั้น ในต่างประเทศแถบยุโรป จึงมีการนำเกษตรพันธ
สัญญามาใช้ โดยในประเทศที่พัฒนาจนถึงขั้นเป็นเกษตรอุตสาหกรรม ผู้แปรรูปเป็นฝ่ายต้องการ
วัตถุดิบที่มีความสม่ำเสมอทั้งราคา คุณภาพ และปริมาณ ไม่ว่าจะเป็นการจัดจำหน่ายในประเทศ
หรือส่งออกก็ตาม ผู้แปรรูปจึงต้องไปทำสัญญากับเกษตรกรให้ผลิตวัตถุดิบตามจำนวนและ
คุณภาพ ภายใต้ต้นทุนและราคาที่ตกลงกัน

3 รูปแบบ contract farming
ข้อตกลงระหว่างบริษัทกับเกษตรกร รายย่อยจะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

1) การประกันรายได้ ทำกับเกษตรกรที่มีที่ดินทำกินของตัวเอง แล้วเกษตรกรเป็นผู้ลงทุนด้านโรง
เรือน วัสดุอุปกรณ์ ส่วนบริษัทเข้าไปช่วยเหลือด้านพันธุ์สัตว์ อาหาร เวชภัณฑ์ และส่งนักวิชาการ
ไปให้คำแนะนำด้านเทคโนโลยีและวิชาการ เมื่อได้ผลผลิต บริษัทจะคำนวณประสิทธิภาพการผลิต
และจ่ายค่าตอบแทนแก่เกษตรกร รวมทั้งผลตอบแทนจากประสิทธิผลการผลิตที่เพิ่มขึ้น

2) การประกันราคา จะทำในกรณีที่เกษตรกรที่มีที่ดินทำกินของตัวเอง มีเงินทุนทำการเกษตรและ
รับหน้าที่ลงทุนทุกด้านเอง ตั้งแต่โรงเรือน วัสดุอุปกรณ์ พันธุ์สัตว์ อาหาร และเวชภัณฑ์ ส่วนบริษัท
จะส่งนักวิชาการไปให้คำแนะนำด้านเทคโนโลยี และเมื่อผลผลิตออกมา บริษัทจะรับซื้อทั้งหมด
จากเกษตรกร ตามราคาที่ได้รับประกันไว้ และ

3) การประกันการรับซื้อผลผลิตคืน เกษตรกรจะดำเนินงานด้านการเกษตรในลักษณะธุรกิจส่วน
ตัว และมีบริษัทเป็น ผู้ให้คำปรึกษาด้านวิชาการ สรรหาเทคโนโลยีการเลี้ยงสมัยใหม่มาแนะนำ รวม
ถึงการชี้แนะทิศทางการเติบโตของธุรกิจ โดยบริษัทจะรับผิดชอบด้านการตลาดให้ทั้งหมด เพื่อให้
เกษตรกรสามารถ มีตลาดขายผลผลิตที่มั่นคงและยั่งยืน

CSR in process
ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับเกษตรกรรายย่อยในระบบเกษตร พันธสัญญา ไม่ว่าจะถูกเรียก
ว่า "สัญญาทาส" หรือ "ความช่วยเหลือเพื่อลดความเสี่ยงของเกษตรกร" แต่ธุรกิจด้านอาหารและ
การเกษตรหลายแห่งได้นำเอาระบบนี้เข้ามาใช้ และเป็นกระบวนการหนึ่งที่ธุรกิจขนาดใหญ่จะ
แสดงความรับผิดชอบต่อคู่ค้า ซึ่งในที่นี่คือเกษตรกรรายย่อย และเป็นหนึ่งใน stakeholder ของ
ธุรกิจได้ ด้วยการดูแลให้คำแนะนำ รับประกันรายได้ หรือราคาผลผลิต

เป็นการรับผิดชอบที่คู่ค้าจะมีให้ต่อกันในกระบวนการผลิต หรือเป็นสิ่งที่จะนำมาประเมินได้ว่า
ธุรกิจนั้นทำซีเอสอาร์ในกระบวนการผลิตหรือไม่ สำหรับซีพีเอฟ มีโครงการเกษตรพันธสัญญาใน
หลายพื้นที่ มีเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกส่งผลผลิตการเกษตรให้หลายพันครัวเรือน กระชัง
ปลานิลและปลาทับทิมของ "บัวลี ทินพิษ" เกษตรกรบ้านขี้เหล็ก จ.มหาสารคาม วัย 65 ปี เป็น
สมาชิกรายใหญ่เจ้าหนึ่งของ ซีพีเอฟในภาคอีสานตอนบน

ผู้เริ่มต้นเลี้ยงปลาในกระชังตั้งแต่ปี 2541 จาก 6 กระชัง ปัจจุบันขยายเป็น 50 กระชัง มีรายได้
จากการเลี้ยงปลาในกระชังปีละ 2-2.5 แสนบาท มีชีวิตที่เขาบอกว่า ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ ก็
เพราะได้รับการ แนะนำจากตัวแทนบริษัทและนักวิชาการจากซีพีเอฟให้ทดลองเลี้ยงปลา
ในกระชัง

จากอดีตชาวไร่ ช่างไม้ เคยเดินทางไปขายแรงงานถึงซาอุดีอาระเบียนานกว่า 4-5 ปี รายได้ต่อปี
ไม่กี่หมื่นบาท เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ก็ขาดทุน แต่วันนี้บัวลีบอกว่า เขามีความสุขที่ได้เลี้ยงปลาใน
กระชัง ได้คุยกับปลา ให้อาหารปลาวันละ 3 มื้อ สามารถ ส่งทอดอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังให้ลูก
ชาย และลูกสาวได้มีเงินมีรายได้เลี้ยงลูกหลานให้เรียนหนังสือถึงระดับมหาวิทยาลัย

ในวันที่อาหารปลาถุงละ 360 บาท ถุงหนึ่งมี 20 กิโลกรัม ลูกปลานิลตัวละ 3-4 บาท ปลาทับทิม
ราคาแพงกว่า 50-60 สตางค์ บัวลีขายปลาให้กับตัวแทนบริษัทซีพีเอฟในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ
53 บาท หักต้นทุนค่าอาหาร ค่าวิตามิน และอื่น ๆ เขาจะได้กำไรจากการเลี้ยงปลากิโลกรัมละ 20-
25 บาท การลงปลาในกระชังรอบหนึ่ง เขาจะลงปลากระชังละประมาณ 500 ตัว ระยะเวลาการ
เลี้ยง 4 เดือน หากอยากได้ตัวใหญ่ก็เลี้ยงนานหน่อย

"น้ำมากก็ปล่อยมาก น้ำน้อยก็ปล่อยน้อย ต้องดูว่า หน้าไหนคนอยากกินปลาเยอะ อย่างสงกรานต์
เดือนบุญก็จะขายปลาได้เยอะ" บัวลีกล่าว

อดิศร์กล่าวว่า การเข้ามาของซีพีเอฟตรงนี้ เราเข้ามาวางระบบ บริหารดีมานด์-ซัพพลายให้เหมาะ
สม เราแบ่งกลุ่มการเลี้ยงปลาใน 17 จังหวัดภาคอีกสาน ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไม่ให้เกิน
ปริมาณความต้องการของตลาด วางแผนการผลิต วางแผนตลาดให้ ดูแลเรื่องโรค ความปลอดภัย
ของอาหาร การทำอย่างนี้ เป็นประโยชน์ทั้งกับเกษตรกร ผู้บริโภค ตัวแทนจำหน่ายและบริษัท ซีพี
เอฟ.เองด้วย

จากกระชังปลาสู่โรงเลี้ยงหมู
การให้แม่พันธุ์ อาหารสัตว์ และรับซื้อผลผลิตในระบบเกษตรพันธสัญญา ที่ซีพีเอฟทำในหมู่บ้าน
เกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง ที่สร้างความสุข
สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ผู้เลี้ยงหมูให้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของกิจการ
สร้างชุมชนที่มีความเอื้ออาทร มีการสร้างรายได้ร่วมกัน จนเป็นชุมชนตัวอย่างภายในพื้นที่ 1,253
ไร่ จากพื้นที่รกร้างเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซีพีนำมาจัดสรรให้เกษตรกรครอบครัวละ 25 ไร่ โดยในระยะ
แรก ซีพีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้เกษตรกรทำอาชีพเลี้ยงหมู และผ่อนค่าที่จากธนาคาร
กรุงเทพ โดยมีซีพีเป็นผู้ค้ำประกัน

จากเสียงร่ำลือเมื่อ 30 ปีก่อน ในยุคที่เมืองไทยเกรงกลัวภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง การ
จัดตั้งชุมชน หรือคอมมูน แบบหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ยังถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงไม่
มากก็น้อย แต่ถึงปัจจุบัน โมเดลการสร้างชุมชนให้คนมีที่ดิน มีอาชีพ ด้วยการเลี้ยงหมู มีซีพีเอ
ฟเข้ามารับซื้อ ได้สร้างรายได้ให้กับคนใน หมู่บ้าน เฉลี่ยครอบครัวละ 8 หมื่นบาทเลยทีเดียว

นอกจากการเลี้ยงหมูแล้ว หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ยังสร้างอาชีพเสริมจากทรัพยากรที่มีอยู่
เช่น การผลิตก๊าซ ชีวมวลจากมูลสัตว์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวโฮมสเตย์ ให้คนเข้ามาศึกษาเรียนรู้การ
ใช้ชีวิตของคนในหมู่บ้าน ฝึกลูกหลานให้เป็นยุวทูตน้อย เป็นวิธีฝึกเด็ก ๆ ค่อย ๆ ซึมซับความ
ภาคภูมิใจอาชีพเลี้ยงหมูของคนรุ่นพ่อแม่ ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง

ตามเจตนารมณ์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ 3 ด้าน คือ การสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แก่
ประชาชน สังคม และบริษัทต้องอยู่ได้

มะเขือเทศ "โรซ่า" สร้างโภชนาการเด็ก
ไม่เพียงแต่การดูแลผู้ผลิต ในฐานะคู่ค้าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เป็นเกษตรกรที่พึ่งพาตัวเองได้
บางธุรกิจพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ในกรณีของ
บริษัท โรซ่า เกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ธุรกิจในกลุ่มของ บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้
ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ "ตราโรซ่า" ได้เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรใน 6 จังหวัดอีสานตอน
บน ได้แก่หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู และกาฬสินธุ์ เพาะปลูกมะเขือ
เทศในระบบเกษตรพันธสัญญา จำนวนกว่า 6 พันราย

โดยบริษัทจ่ายเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศแก่เกษตรกร และเป็นมะเขือเทศสายพันธุ์สำหรับการแปรรูป
ในโรงงานอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน บริษัท โรซ่า เกษตรอุตสาหกรรม จำกัด ก็ก่อตั้งโรงงานที่ ต.
บ้านเดื่อ อ.เมือง จ.หนองคาย ด้วย เจตนารมณ์ให้เป็นโรงงานที่อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ นอกจากจะ
ได้วัตถุดิบสดใหม่ป้อนเข้าสู่โรงงานแปรรูปเป็นซอสมะเขือเทศ ปลากระป๋องแล้ว การตั้งโรงงานใน
ท้องถิ่น ยังเป็นการสร้างแรงงาน กระจายรายได้ออกสู่ชนบท

อีกด้านหนึ่ง บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดทำ
โครงการ "เฮลท์ตี้เดย์ สุขภาพดีด้วยคุณค่าธรรมชาติ" ปลูกฝังนิสัยการรับประทานอาหารที่ถูกสัด
ส่วน และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินผักของเด็กไทย ผ่านโครงการ "สคูลโปรแกรม" ประกวด
แผนโภชนาการดีอย่างยั่งยืนใน 52 โรงเรียนใน จ.อุดรธานีและหนองคาย และทำต่อเนื่องทั้งใน
กรุงเทพฯและต่างจังหวัดมาถึงปีที่ 6 แล้ว

"สุวิทย์ วังพัฒนมงคล" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวฯ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ โรซ่าและ
กรมอนามัยหวังมีส่วนช่วยให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่ดี เด็กไทยสามารถเลือกรับประทานอาหาร
ได้อย่างเหมาะสมและถูกสัดส่วนตามเกณฑ์โภชนาการของกรมอนามัย ซึ่งเป็นหนึ่งในเจตนารมณ์
ของเราที่จะคืนประโยชน์สู่สังคมอย่างยั่งยืน และเป็นความภาคภูมิใจของเราโดยเสมอมา

เป็นกิจกรรมที่คิดตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร ดูแลตั้งแต่ซัพพลายเออร์
เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบจนถึงผู้บริโภค เพื่อสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจและสังคมให้ยั่งยืนต่อไป


ที่มา : เดลินิวส์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©