-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* ซี วิ ด....ปิ้ น ปั๊ บ
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * A MAN CALLSIGN KIM ZA GASS
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* A MAN CALLSIGN KIM ZA GASS

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 18/11/2023 4:53 pm    ชื่อกระทู้: * A MAN CALLSIGN KIM ZA GASS ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.

............. ซี วิ ด ปี้ น ปั๊ บ ...............
A MAN CALLSIGN KIM ZA GASS

...........................................................................................................


.... ลำดับหัวข้อเรื่อง ....

1. เกริ่น ........................... 2. การศึกษาสายสามัญ ............... 3. การศึกษาสายทหาร
4. ประวัติราชการทหาร ........... 5. ตำแหน่งราชการ .............. 6. เครื่องราชอิสริยาภรณ์
7. ราชการสงคราม ........ 8. ความสามารถเ ฉพาะตัว .... 9. ผลงานส่งเสรมการเกษตร

10. รางวัลเกียรติยศ ........ 11. กำเนิดรายการสีสันชีวิตไทย ..... 12. ปรามาส
13. ON AIR วิทยุวันแรก.... 14. หนังสือ ยิ่งกว่ามหาลัย ... 15. สึกฤกษ์นเรศวรออกศึก ....
16. สำคัญที่ใจ ........ 17. แรกงานวิทยุเกษตร ....... 18. ผักปลอดสาร ไม่รู้จักสมุนไพร

19. ชมพู่อั้ยเล็ก ................. 20. สาบเสือ ไม้ 500 ชื่อ ............. 21. มะม่วงขาวนิยม
22. หูชา ............... 23. กล้วยแต่ไม่กล้วย ...... 24. งานส่งเสริมการเกษตร
25. ซื้อ ทุเรียน-ขนุน หน้าฝน .. 26. ทหารขี้อิจฉา .... 27. ขายถูกต้อง ได้เงิน+บุญ

28. ขนุนยกลูกใครซื้อ .... 29. ข้าว 9 เมล็ด ปลูกได้ 30 ไร่ ... 30. นายให้ไปเรียนเสธ.
31. ปัจจัยพื้นฐานการเกษตร .... 32. รู้ VS ไม่รู้ ....................... 33. ส่งเสริมไร่กล้อมแกล้ม
34. มิติเกษตร ........................ 35. แพ้/ชนะ ที่โอกาส ............. 36. เกษตรกร สปปล.

37. ปัญหามีให้แก้ ไม่ใช่มีให้กลุ้ม ... 38. ต้นทุนเกษตร ... 39. THAILAND เกษตร (1)
40.THAILAND เกษตร(2) .... 41. เรียน = รู้..ไม่เรียน = รู้ .... 42. นา-ข้าวVSข้าว-นา
43. ปุ๋ยอินทรีย์ ข้อดี/ข้อด้อย .... 44. ปุ๋ยเคมี ข้อดี/ข้อด้อย .... 45. วารสารเกษตรใหม่

46. เป็นเรื่อง VS ไม่เป็นเรื่อง .... 47. สมการปุ๋ยเคมี ..... 48. สมการสารสมุนไพร

49. สมการปุ๋ยอินทรีย์ ..... 50. ลด-ละ-เลิก สารเคมี ...... 51. ปฏิทิน ลด-ละ-เลิก สารเคมี
52. แนวทางลดต้นทุน ....... 53. ประสิทธิภาพสปริงเกอร์ ..... 54. สปริงเกอร์สั่งได้
55. เปรียบเทียบสปริงเกอร์ .......... 56. เกษตรโลก ....................... 57. แรงบันดาลใจ

58. 1 ปี ขาย 1 vs 12 ครั้ง ........ 59. นาข้าว ....... 60. ชาวนา คิดใหม่ทำใหม่
61. ปุ๋ยนาข้าว ....................... 62. ข้าวหอมพันธุ์พื้นบ้าน ............ 63. ข้าวพันธุ์ GI.
64. งานส่งเสริมเกษตรในฝัน ......... 65. MADE IN THAILAND ....... 66. โรคมีเชื้อ

67. โรคไม่มีเชื้อ ..... 68. เทคโนฯ เครื่องทุ่นแรง-1 ..... 69. เทคโนฯ เครื่องทุ่นแรง-2
70. นา2รุ่น ล้างหนี้1ล้าน เหลือ 2 ล้าน...71. เกษตรทาง ทีวี.... 72. สารเคมียาฆ่าแมลง
73. ขั้นตอนบำรุงไม้ผลยืนต้น .... 74. บำรุงไม้ผลตามระยะ ... 75. ตรวจสอบจุลินทรีย์น้ำ

76. รู้ลึกเรื่องปุ๋ย ....... 77. ปุ๋ย-จุลินทรีย์ ............. 78. รูปแบบแปลงเกษตร
79. เกษตรพอเพียง .................. 80. เกษตร SMART FARM ......... 81. นวัตกรรมเกษตร
82. ปุ๋ยทางใบ ...... 83. ปุ๋ยทางดิน ............. 84. ลักษณะพืชขาดธาตุอาหาร

85. สารพัดสมุนไพร...86.สัญชาติญาณแมลงศัตรูพืช... 87.ขายข้าว 1 แสน เหลือ 40 บาท
88. เกษตรต่างแดน .... 89. เกษตรธรรมชาติ คิวเซ .... 90. เกษตรเกษตรอิสราเอล
91. เกษตรไต้หวัน ............. 92. เกษตรเกาหลี ........... 93. เกษตรสิงค์โปร์

94. เกษตรมาเลเซีย ................ 95. เกษตรออสเตรเลีย .................. 96. เกษตรเยอรมัน
97. เกษตรอเมริกา ................. 98. เกษตรญี่ปุ่น .......................... 99. เกษตร AEC.
100. ปรัชญาเกษตร .... 101. ใครเป็นครูของลุงคิม ? .... 102. แคลเซียม โบรอน ทำเอง (1)

103. ปรับ C/N RATIO ...... 104. บัญชีข้างฝา .... 105. THAILAND ประเทศเกษตร-
106.THAILANDประเทศเกษตร(4)...107.THAILANDฯ...108. ประสบการณ์สารสมุนไพร
109. ไม่ขายทหาร (1) ........ 110. กำเนิด KIM ZA GASS ...... 111. ไม่เป็น พ.อ.

112.ราชการพิเศษ พัน.นนส....113.นนส.ป.สวนสนาม ลพบุรี...114.ไปราชการลับพิเศษ
115. เผาเมืองปากซัน .... 116. ล่องโขง งมหอย ... 117. รับม้ง ภูหมาเฒ่า ภูเขาควาย
118. ผกค.ไทยในลาว.... 119. ม้งสู่ประเทศที่ 3 .... 120. ผวจ.หนองคาย VS เวียงจันทน์

121. เรือโซเวียตหลุดมาไทย ...... 122. ลาวขอตัวท้าวคำเกิด ..... 123. นักย่อยข่าว
124. ปา เก๊า เย้ากู้ชาติ ... 125. สายลับ เบอเลอะ เบอเต๋อ ... 126. สมุนไพรไม่แรง
127. 20 ปี ไม่รวย ..... 128. ศึกร่มเกล้า ......... 129. แฟนนิยาย KIM ZA GASS

130. เข็ม ปปร. ...... 131. สายลับ VS หลวงพ่อ ...... 132. VISION สร้างประเทศ (1)
133. HOTLINE นาข้าว กับ ยูเรีย .. 134. ทุเรียนนนท์ ................... 135. ทุเรียนจันท์
136.ทุเรียนเขาคิชกูฎ....137.การตลาดนำการผลิต...138.สารสมุนไพร ภูมิปัญญาพื้นบ้าน

139. โชคชน .................. 140. รางวัลเกียรติยศ .......... 141. ชิงตัวนักเขียน
142.ลิขสิทธิ์งานเขียน...143.งานเขียน ไทยVSอเมริกา...144.จบเกมส์วารสารเกษตรใหม่
145. อยากเป็นนักเขียน .......... 146. ตาย 1 เกิด 10 ........ 147. ไม่ขายทหาร (2)

148. CORRUPTION ไม่เป็น....149. งานสัญจร คนล้นงาน ...150. ประสบการณ์มะนาว
151. ผักกางมุ้ง .................. 152. อาถรรพ์ RKK .............. 153. โรคกล้วยไม้
154. ซื้อที่ดิน RKK ................. 155. หมอใหญ่ VS เกษตรกร ....... 156. ส้มโอขาวใหญ่

157.THAILANDประเทศเกษตร(5)..158.หน่อไม้ฝรั่ง..159.พิสูจน์ปุ๋ย/ฮอร์/จุลินทรีย์ทำเอง
160. ส้มเขียวหวาน ................. 161. ลำไยนอกฤดู ................... 162. เยือน RKK
163. มะม่วง มะม่วง และมะม่วง .... 164. บวชพลทหาร .................. 165. รากวน

168. กระดุมเกษตร ................... 169. หัวใจเกษตร ................... 170. ปรัชญาเกษตร
171.สัจจะธรรมเกษตร .... 172.สีสันชีวิตไทยภาษาไทย....173.เรียนเกษตรสไตล์สีสันชีวิตไทย
174. กับดักตัวเอง .........175. อนุรักษ์ VS ส่งเสริม ........... 176. เกษตรอินทรีย์

177. ผักโรงเรือน .... 178. อินทรีย์ไม่ปุ๋ยเคมีไม่สารเคมี .... 179. นาข้าวไบโอไดนามิก
180. ส้มรังสิต ......181. รด.รร.วัดเขมาฯ ..... 182. นนส.ป. สอบตก
183. รด.ขาดฝึก .....184. นนส.ป. ขว้างระเบิด .... 185. กล้องเล็ง M.16

186.กล่องเก็บปลอก M.16...187.พลทหารศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย..188.รายการวิทยุ รับทหารใหม่ .... 189. เกษตรกรวันหยุด ...190. นนส.100 คน ตก 94 คน .. 191. วังน้อย ภารกิจเฉพาะ .... 192. เก่งเกิน ...193. 2 ขั้น ขั้นครึ่ง .... 194. สถานการณ์ตัวกำหนด

195. ปรัชญาเกษตร คิดได้ไง ....196. ปุ๋ยทางใบ ให้ทางใบ ..... 197. ทำ VS ไม่ทำ .... 198. เกษตรไนร่ม ..... 199. จับกวาง ...... 200. ส่วนลึกของใจ


...........................................................................................................


1. เกริ่น :
เจตนาเขียนหนังสือเล่มนี้ถือหลักภาษิตทหารม้า “มีดีต้องโชว์ซิ (วะ)” เหตุผล ถ้าไม่โชว์แล้วใครจะรู้ ครั้นจะรอว่า มีดีไม่ต้องบอก เดี๋ยวคนรู้เอง น่ะเหรอ ว่ามั้ย สังคมโลกนี้ ทำ 10 อย่าง สำเร็จ 9 อย่าง เงียบ ไม่มีคนพูดถึงหรอก แต่ถ้า พลาด/ล้มเหลว เพียงอย่างเดียว คนพูด พูดซ้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดจนเสีย

*** ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ทำไมเราถึงได้เจอะเจออะไรต่อมิอะไรที่ใครเขาไม่เจอเจอะกัน
*** บันทึก A MAN CALLSIGN KIM ZA GASS เล่มนี้ ไม่ขายแต่แจก ถามว่า แล้วต้องการอะไร ขอบอกจากใจจริงว่า ต้องการเพียง จารึกไว้ในแผ่นดิน เท่านั้น....

“ลำดับเรื่อง” ไม่ใช่สารบรรณ แต่เป็นหมายเลข “ลำดับหัวข้อเรื่อง” และเรื่องต่างๆ ไม่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องประเภทเดียวกัน ก็เพราะนึกขึ้นได้คนละวัน คนละเวลา เรียกว่า วันไหนเวลาไหนนึกเรื่องอะไรได้ก็เขียนเรื่องนั้น เขียนต่อไปกันไปเรื่อยๆ .... ในชีวิตจริงยังมีเรื่องจริงที่สัมผัสกับมืออีกมากเรื่อง บางเรื่องเอามาเขียนไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องประเภทคอขาดบาดตาย เรื่องโกงกินแผ่นดิน เพราะจะกลายเป็นชี้นำ ชี้โพรงให้กระรอก การไม่เขียนน่าจะ (เน้นย้ำ...น่าจะ) เป็นจรรยาบรรณของคนเขียน .... THANK YOU

อัตตะชีวประวัติ
2. การศึกษา สายสามัญ :

- ชั้นประถม 4 ร.ร.ชุบศรวิทยา จากโรงเรียนในค่ายทหาร ร.31 พัน 1 ร.อ. ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี
- ชั้นมัธยมปีที่ 6 ปี 2505 หลักสูตรมัธยมรุ่นสุดท้าย เทียบเท่ามัธยม 3 ปัจจุบัน จาก ร.ร.โคกกะเทียม วิทยาลัย อ.เมือง จ.ลพบุรี

3. การศึกษา สายทหาร :
1. หลักสูตรนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปืนใหญ่ รุ่นปี 2507 ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี
2. หลักสูตร OJT ทหารสหรัฐ ค่ายแสมสาร สัตหีบ ชลบุรี
3. หลักสูตรระเบิดแสวงเครื่อง และอาวุธนอกแบบประดิษฐ์ ศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี
4. หลักสูตรปฏิบัติการจิตวิทยา ศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุร
5. หลักสูตรชั้นนายร้อย ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี
6. หลักสูตรรักษาความมั่นคงภายใน ศูนย์รักษาความปลอดภัย กทม.
7. หลักสูตรการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชาติ กรมยุทธศึกษาทหารบก กทม.
8. หลักสูตรครูการเมือง กรมกิจการพลเรือนทหารบก กทม.
9. หลักสูตรนายทหารแผนที่ปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี
10. หลักสูตรข่าวลับ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก กทม.

11. หลักสูตรข่าวลับ CIA สหรัฐอเมริกา อุดรธานี
12. หลักสูตรครูการเมือง กรมกิจการพลเรือน กองทัพบก กทม.
13. หลักสูตรชั้นนายพัน ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี
14. หลักสูตรรบร่วม อากาศ/พื้นดิน กองทัพอากาศ กทม.
15. หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือน กองทัพบก กทม.
16. หลักสูตรนายทหารบกอาวุโส ร.ร.เสนาธิการทหารบก กทม.
17. หลักสูตรการผลิตและนักจัดรายการวิทยุ กรมกิจการพลเรือน กองทัพบก กทม.

4. ประวัติการรับราชการทหาร :
- ปี 2508 ติดยศสิบตรี
- ปี 2508 ติดยศสิบโท
- ปี 2511 ติดยศสิบเอก
- ปี 2513 ติดยศจ่าสิบโท
- ปี 2514 ติดยศจ่าสิบเอก
- ปี 2518 ติดยศร้อยตรี
- ปี 2520 ติดยศร้อยโท
- ปี 2523 ติดยศร้อยเอก
- ปี 2529 ติดยศพันตรี
- ปี 2535 ติดยศพันโท
- ปี 2548 เกษียณราชการ (ด้วยยศพันโท ไม่ได้ยศพันเอก แม้ 1 ปีก่อนเกษียณเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ก็ไม่ได้)

5. ตำแหน่งราชการ :
- พลขับ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 3 ลพบุรี
- รอง ผบ. หมู่ ปตอ. กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 3 ลพบุรี
- ผบ.หมู่ ปตอ. กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กทม.
- ผบ.หมวด ปตอ. กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กทม.
- รอง ผบ.ร้อย ปตอ. กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กทม.
- นายทหารการข่าว กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กทม.
- นายทหารการข่าว กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยายที่ 2 กทม.
- นายทหารการข่าว ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบกที่ 1 วังน้อย อยุธยา
- นายทหารประชาสัมพันธ์ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก กทม.

6. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ :
- เหรียญพิทักษ์เสรีชน
- เหรียญชัยสมรภูมิ (เกาหลี)
- เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
- จตุรภรณ์มงกุฎไทย
- ตริตราภรณ์มงกุฎไทย
- ตริตราภรณ์ช้างเผือก
- เข็มกาชาดบริจาคโลหิต สภากาชาด

7. ราชการสงคราม :
- ราชการกองกำลังสหประชาชาติ สงครามเกาหลี
- ปฏิบัติราชการตามแผนป้องกันประเทศ หินล่องกล้า เพชรบูรณ์
- ปฏิบัติราชการตามแผนป้องกันประเทศ นาแก สกลนคร
- ปฏิบัติราชการตามแผนป้องกันประเทศ อรัญประเทศ สระแก้ว
- ปฏิบัติราชการตามแผนป้องกันประเทศ ร่มเกล้า พิษณุโลก
- ปฏิบัติราชการพิเศษ หน่วยข่าวลับ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ. 309)
- ปฏิบัติราชการพิเศษ ทีมสนาม ข่าวลับ CIA

8. ความสามารถเฉพาะตัว :
- หลังจบหลักสูตรนักเรียนนายสิบ รับราชการ 1 ปี สอบแข่งขันไปสงครามเกาหลี ได้ที่ 1 ของหน่วย ได้ที่ 4 ของประเทศ

- กลับจากเกาลีได้ยศสิบเอก ติดยศสิบเอก 2 ปี สอบเลื่อนยศเป็นจ่านายสิบได้ที่ 1 ของหน่วย
- ติดยศจ่าสิบเอก 2 ปี สอบเลื่อนยศเป็นร้อยตรี ได้ที่ 1 ของหน่วย .... รวมระยะเวลารับราชการทหารจากยศสิบตรี ถึงยศร้อยตรีเพียง 8 ปี

- เป็นครูฝึกนักศึกษาวิชาทหาร 1 รุ่น (ร.ร.เขมาภิรตาราม) แข่งขันการฝึกได้ที่ 1 ของประเทศ
- เป็นครูฝึกนักเรียนนายสิบทหารปืนใหญ่ 2 รุ่น
- เป็นหัวหน้ากองเชียร์ แปรอักษร ชนะเลิศกีฬา ทบ. ทีมนักเรียนนายสิบปืนใหญ่ 2 ปี ทีม พล.ปตอ. 4 ปี

- ทหารสวนสนามสาบาลธง ที่ลพบุรี 37 หน่วย (มากกว่า กทม.) ระหว่างฝึกซ้อม กองอำนวยการฝึกบอกว่า “กองพันนักเรียนนายสิบทหารปืนใหญ่ หน่วยของท่านยังใช้ไม่ได้ ให้ไปฝึกซ้อมมาใหม่....” งานนั้น กลับมา เสธ.กรมนักเรียน สั่งการต่อหน้าแถว มอบหมายให้ ร.ท.วีระ ใจหนักแน่น เป็นผู้ฝึก ทำการฝึกใหม่ทั้งหมด เมื่อถึงวันสวนสนามจริง คราวนี้หน่วยกองพันนักเรียนนายสิบทหารปืนใหญ่ทำได้ดีที่สุดของทั้ง 37 หน่วยในวันนั้น

- นักศึกษาวิชาทหาร (ร.ร.เบญจมบพิตร) ผ่านการฝึกภาคสนามไปแล้ว ย้อนกลับมาขอฝึกซ้ำ บอกว่าสนุกดี ต่อหน้า พล.ต.สุเทพ สีวะรา เสธ.นรด. (ตรวจเยี่ยมการฝึก)

- การได้ไปปฏิบัติราชการพิเศษยังหน่วยต่างๆ ผบ.ของหน่วยนั้นมาขอตัว พ.ท.วีระ ใจหนักแน่น โดยเฉพะ โดยตรงที่หน่วยต้นสังกัด ปตอ.พัน. 4 ทั้งสิ้น

- เป็นนักเขียน นามปากกา คิม ซา กัสส์ เขียนนิยายรายสัปดาห์ นิตยสารสมรภูมิประมาณ 10 ปี ปีละ 48 สัปดาห์, เขียนนิยายพ็อคเก็ตบุ๊ค ประมาณ 50 เรื่อง

- เป็นนักเขียน นามปากกา “คิม ซา กัสส์” เขียนหนังสือวารสารเกษตรใหม่ ราย 3 เดือน 37 ฉบับ, เขียนหนังสือเกษตรพ๊อคเก็ตบุ๊ค 12 เล่ม .... หนังสือ “หัวใจเกษตรไท” ความหนา 1,000 หน้า พิมพ์ 1,000 เล่ม จำหน่ายหมดใน 3 เดือน

- เป็นนักจัดรายการเกษตรทางวิทยุ สถานีวิทยุ พล.ปตอ. กทม., วิทยุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กทม. (วิทยุ มก.แม่ข่าย ถ่ายทอดเครือข่ายวิทยุ มก.เชียงใหม่, วิทยุ มก.ขอนแก่น, วิทยุมก. สงขลา) วิทยุกรมส่งเสริมการเกษตร กทม., วิทยุเสียงทหารเรือ (สทร.) ชลบุรี, วิทยุเสียงอดิศร สระบุรี (ถ่ายทอดเครือข่ายวิทยุเสียงอดิศร สกลนคร), วิทยุ สวพ.91 กทม., และวิทยุ อสมท.

9. ผลงานส่งเสริมการเกษตร :
- วิทยากรพิเศษ หลักสูตรเกษตรคลื่นลูกใหม่ (NEW WAVEFARMER) โครงการ ไทย-ญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต 10 รุ่น ๆละ 3,000 คน

- เปิดสอนที่ RKK เกษตรทั่วไป 10 ปี (กว่า 10 รุ่น)
- กลุ่ม จนท.เกษตรอำเภอ 6 อำเภอ จังหวัดกาญจนบุรี (70 คน) ด่านมะขามเตี้ย หน.กลุ่ม โดย ผช.เกษตร จ.กาญจนบุรี มาเป็นประธานเปิดงานสัมมนาที่ไร่กล้อมแกล้ม 1 วัน

- ฝึกงาน น.ศ.สาขาเกษตร สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 9 รุ่น, น.ศ.
- เรื่องหลัก (จุดขาย) ที่สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบังต้องการ นศ.ฝีกงาน รู้ คือสูตรปุ๋ยทางใบ สูตรยาสมุนไพรกำจัดศัตรูพืช สูตรสปริงเกอร์/หม้อปุ๋ย สูตรการจัดสวนระยะชิดพิเศษ

- งานสีสันสัญจร เดินทางไปสอนการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม ทั่วประเทศ (ภาคเหนือ อ.เชียงดาว เชียงใหม่, ภาคอิสาน อ.สว่างแดนดิน สกล นคร อ.สิรินธร อุบลราชธานี, ภาคตะวันออก จ.ตราด, ภาคไต้ อ.กุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์) ตั้งแต่ ปี 2540-2549

- งานเปิดสอนที่ RKK ทำปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง, สอนทำปุ๋ยทางใบ ฮอร์โมนไข่ไทเป, ไบโออิ, ยูเรก้า, หัวโต, ใบโต, แคลเซียม โบรอน, สารสมุนไพร, สปริงเกอร์, หม้อปุ๋ยเวนจูรี่ สอนแบบ LEARNING BY DOING ปี 2550-ปัจจุบัน

10. รางวัลเกียรติยศ :
- โล่เป็นคน “ดี” ศรีเกษตร (อินทรีย์) 2540 จากชมรมเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย
- โล่ศิษย์เก่าดีเด่น ร.ร.โคกกะเทียม วิทยาลัย ลพบุรี
- ถ้วยรางวัลชนะเลิศกองเชียร์กีฬา กองทัพบก 5 ปี ติดต่อกัน
- ถ้วยรางวัลชนะเลิศการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร 1 ปี
- รูปหล่อพระเจ้าตากสินมหาราช รางวัลชนะเลิศ นิยายสงคราม กองทัพบก
- ประกาศนียบัตรวสนับสนุนนักเรียน จาก รร.ไกลกังวล หัวหิน 4 ฉบับ

11. กำเนิดรายการสีสันชีวิตไทย
รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด :

26 มี.ค. 37 เวลา 10 โมงตรง KIM ZA GASS นายทหารยศ พ.ท. ตำแหน่ง น.ประชาสัมพันธ์ ยืนส้นเท้าชิด สองมือชิดข้างขา ท่าตรง ด้วยความเคารพ ตามแบบธรรมเนียมทหาร รายงานตัวอยู่หน้าโต๊ะทำงาน พล.ท.สำเภา ชูศรี ผบ.นปอ. .... เสียงแรกเรียกชื่อ CALLSING แทนชื่อจริงด้วยความรักและสนิมสนมนำขึ้น บนแววตาที่ยิ้มๆ ว่า

ผบ.นปอ. : (เงยหน้ามองหน้า KIM ZA GASS ยิ้ม แล้วพูด) เฮ่ยยยย.... คำสั่ง ทบ.ให้หน่วยที่มีสถานีวิทยุ ผลิตรายการแล้วก็ดำเนินรายการเอง ด้วยกำลังพลของหน่วยเอง เวลามีภารกิจสำคัญเร่งด่วนจาก ทบ. จะได้ทำได้ทันที ไม่ต้องไปขอร้องขอแรงนักจัดรายการพลเรือน .... งานนี้ ตำแหน่งนายทหารประชาสัมพันธ์ รับเนื้อๆ

KIM ZA GASS : (มองหน้าตรงผู้บังคับบัญชา เอ่ยเสียงเบาๆ รับคำสั่ง) .... ครับ
ผบ.นปอ. : วันละ 2 เวลา เที่ยงตรง 1 ชั่วโมง กับ 2 ทุ่มตรงอีกครึ่งชั่วโมง


KIM ZA GASS : (เหลือบสายตามองเอกสารบนโต๊ะ แล้วรับคำสั่ง) .... ครับ
ผบ.นปอ. : เริ่มพรุ่งนี้เลยนะ


KIM ZA GASS : (ก้มหน้ามองพื้น แล้วรับคำสั่ง) .... ครับ
ผบ.นปอ. : (ผบ. เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วให้เสียงยิ้มๆ) .... จะทำรายการอะไรล่ะ ?

KIM ZA GASS : (เพราะมั่นใจความเป็นนักเขียน กับอ่านหนังสือสารคดีมาเยอะ เงยหน้าแล้วตอบทันที) .... รายการสารคดีปกิณกะครับ

ผบ.นปอ. : เอาซี่ เริ่มได้เลยนะ เดี๋ยวหัวหน้าฝ่ายรายการจะจัดผังเวลาให้
KIM ZA GASS : (ทำความเคารพแล้วกลับหลังหัน เตรียมเดินกลับไปทางประตูห้อง ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า ใจคิดแต่เรื่องรายการวิทยุ) .... ครับ

ผบ.นปอ. : (ผบ. เรียกซ้ำแล้วสั่งการ น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความพอใจ) เฮ้ยยย KIM ZA GASS เดี๋ยว....ทำรายการเกษตรซี่

KIM ZA GASS : (ชัดเจน ทุกคำดังก้องในหู ประสาททุกส่วนตื่นตัว ได้ยินแล้วคิด เกษตร-เกษตร-เกษตร-เกษตร.... เกษตร คือ อะไร ? กระนั้นก็ยังรับคำสั่ง) .... ครับ

กลับมาถึงห้องทำงาน ฝกร. ทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับเหตุการณ์ที่จะเกิดใหม่ในอนาคตอันใกล้ คิดออกครึ่งคิดไม่ออกครึ่ง ใจลอยเดินไปพบ ผอ.กกร. รายงานและเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังอย่างละเอียด คำตอบที่ได้ คือ “ทำไปก่อนเถอะ ผมเชื่อว่าคุณทำได้ มีปัญหาอะไรบอกผม ผมขอเป็นกำลังใจ...”

12. ปรามาส :
26 มี.ค. 37 บ่ายโมงตรง KIM ZA GASS ยืนเท้าชิด มือชิดข้างขา ท่าตรง ด้วยความเคารพ ตามแบบธรรมเนียมทหาร อยู่หน้าโต๊ะทำงาน พ.อ.หน.ฝ่ายรายการ สถานีวิทยุ พล.ปตอ. น้ำเสียงที่เรียกชื่อ CALL SIGN แทนชื่อจริงนั้น แฝงด้วยปรามาสแกมเยาะเย้ย ไม่ปรากฏแววตาที่ยิ้มบนใบหน้าเยี่ยงผู้บังคับบัญชาพึงมีต่อผู้ไต้บังคับบัญชา สะท้อนบอกให้เห็นความ “ไม่ชอบขี้หน้า” ชัด

หน.ฝ่ายรายการ : มึงกับกูก็เคยไปรบชายแดนที่อรัญฯ มาด้วยกัน มึงอยากทำรายการวิทยุ ทำไมไม่บอกกูก่อน ข้ามไปบอกนายเลย แล้วกูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?
KIM ZA GASS : ขออนุญาตครับ ผมไม่ได้อยากทำรายการวิทยุหรอกครับ แล้วก็ไม่ได้ไปขอทำรายการวิทยุด้วยครับ ผบ.นปอ.ท่านบอกว่า มีคำสั่งกองทัพบก ให้หน่วยที่มีสถานีวิทยุ ผลิตรายการวิทยุเอง แล้วก็ดำเนินรายการเอง ผบ.นปอ.ท่านบอกว่า หน้าที่นี้ตรงกับตำแหน่งของผม ท่านเลยให้ผมรับผิดชอบครับ

หน.ฝ่ายรายการ : (จ้องหน้า KIM ZA GASS เขม็ง ไม่ยิ้ม).... แล้วมึงเคยทำรายการวิทยุเหรอ ? มึงจะทำได้เหรอ ?
KIM ZA GASS : ไม่เคยครับ

หน.ฝ่ายรายการ : อ้าว .... แล้วมึงรับปาก ผบ. มาทำไม ?
KIM ZA GASS : ผมคิดว่า เมื่อเป็นคำสั่งผู้บังคับบัญชาก็ต้องรับแล้วทำไปก่อน ทำได้คือได้ ทำไม่ได้ก็จะมารายงานท่านว่าทำไม่ได้ครับ

หน.ฝ่ายรายการ : (เงียบ เหลือบสายตามองข้างฝา)....ก็ได้ กูว่าไม่เกิน 3 วัน มึงก็หมดเรื่องพูด
KIM ZA GASS : ครับ

หน.ฝ่ายรายการ : มึงไม่ได้เรียนเกษตรมา มึงมีความรู้เรื่องเกษตรเหรอ ?
KIM ZA GASS : ครับ ตอนนี้ยังไม่มีครับ

หน.ฝ่ายรายการ : แล้วมึงมีแผนการยังไง ?
KIM ZA GASS : ยังไม่ทราบเลยครับ ขอผมไปดูลาดเลาที่สถานีวิทยุก่อนครับ

หน.ฝ่ายรายการ : ก็ได้ …. ออกไปได้

เมื่อเช้า ตอนเดินออกจากห้อง ผบ.นปอ. สมอง-หัวใจ คิดหนัก เกษตร ! เกษตร ! และเกษตร ! แต่ตอนนี้เดินออกจากห้องหัวหน้าฝ่ายรายการสถานีวิทยุ (ตำแหน่งพิเศษ .... ตำแหนงปกติ หัวหน้าฝ่ายยุทธการและการฝึก หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก) ด้วยคำพูดและแววตาปรามาส ลูกผู้ชาย CALLSIGN KIM ZA GASS เชิดหน้าหน้ามองเพดาน สมองหัวใจคิด เอาชนะ ! เอาชนะ ! และเอาชนะ ! แว้บหนึ่งแห่งอดีตผุดขึ้นมา คำพูดของ พ.ท.วินิต เทศวิศาล ผบ.ปตอ.พัน 4 ว่า “ .... คนอิจฉา ดีกว่าคนสงสาร อิจฉาเพราะเรามีดีกว่า สงสารเพราะเรามีด้อยกว่า....”

13. ON AIR วิทยุวันแรก :
27 มี.ค. 37 - 10 โมงตรง KIM ZA GASS ในเครื่องแบบปกติ เยื้องกายเข้าสู่สถานีวิทยุ พล. ปตอ. อาคารไม้สักเก่า อายุกว่า 50 ปี สร้างมารุ่นเดียวกันกับบ้านพักนายทหารระดับผู้ใหญ่ และบ้านพัก ร.ท.เจ้าฟ้าประชาธิปรก (ร.7) เมื่อครั้งยังไม่ได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์

แม้จะรับราชการอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่เป็นคนละหน่วย คนละหน้าที่ความรับผิดชอบ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาในหน่วยนี้ ทันทีที่เข้ามาก็พบกับอัทธาศรัยของทหารเพื่อนรุ่นน้อง นักจัดรายการวิทยุที่เป็นพลเรือน ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

ทุกอนูแห่งบรรยากาศในสถานีวิทยุ ท่ามกลางเสียเพลงลูกทุ่งที่กำลังแพร่คลื่นอยู่นั้น หัวใจ KIM ZA GASS เต้นตูมๆ ๆๆ เกษตร-เกษตร เกษตร-เกษตร.... เกษตร คือ อะไร ?

ใจลอยสะบัดตัวเองนั่งบนเก้าอี้หน้าห้อง ON AIR ขณะเห็นนักจัดรายการกำลังเจื้อยแจ้วแว่วเสียงเพลงแคนอิสาน มือฉวยได้ น.ส.พ.เดลินิวส์ ข้างตัว พลิกด้านในด้วยความเคยชินมากกว่าเจาะจงเจตนาทันใดนั้นก็พบคอลั่มน์การเกษตรของชมรมเกษตรธรรมชาติ เขียนโดย อ.ดีพร้อม ชัยวงค์เกียรติ แล้วบอกกับตัวเองทันที นี่ไงเกษตร ! นี่แหละเกษตร ! นี่คือเกษตร ! ปากไวกว่าความคิด สั่งเพื่อนรุ่นน้องประจำสถานีวิทยุทันที

“…. เอาหนังสือพิมพ์เก่า ทุกฉบับ ทุกวัน เท่าที่มี มาให้หน่อย...”

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า น.ส.พ.รายวันอย่าง เดลินิวส์ ไทยรัฐ แนวหน้า มติชน จะมีคอลั่มน์การเกษตรอยู่ในนั้น มากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป รวมแล้วกว่า 10 กรอบ

เที่ยงตรง ถึงเวลา ON AIR จนท.ควบคุมเสียงเปิดสวิทช์โชว์สัญญาณไฟ พร้อมกับพยักหน้าให้สัญญาณ “เริ่มได้” .... บอกตามตรงว่า ไม่มีอาการตื่นเต้นหรือประหม่าใดๆ

“….สร้างสันสังคม ส่งเสริมคนดี พัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพ .... สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม ผลิตรายการโดย กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น เป็นผู้ดำนินรายการครับ....”

คำกล่าวนำเข้ารายการร่างไว้ล่วงหน้า จบคำกล่าวนำ หยิบ น.ส.พ.เปิดหน้าคอลั่มน์เกษตรไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยประสบการณ์ตรงจากงาน ปจว. บอกตามตรงอีกครั้งว่า ไม่มีอาการตื่นไมค์ใดๆ ทั้งสิ้น

มือใหม่หัด ON AIR จริงๆ มารู้ทีหลังว่า เสียงพลิกหน้ากระดาษ น.ส.พ. ดังขว้ากๆ ออกอากาศดังไปทั่วประเทศ 1คอลั่มน์ 1เรื่อง 1กรอบ ใช้เวลาอ่านราว 3-5 นาที เบ็ดเสร็จใช้เวลาราวครึ่ง ชม.กว่าๆ เรื่องที่เตรียมไว้อ่านหมดแล้วแต่เวลายังเหลือ ต้องสวมวิญญาณกามนิต (หนุ่ม) เอากรอบเก่ามาอ่านซ้ำกระทั่งหมดเวลา …. ออกจากห้อง ON AIR จนท.ควบคุมเสียงบอก

“…. ผู้พันครับ จบตอนแล้วเปิดเพลงคั่นระหว่างเรื่องก็ได้นี่ครับ...”
“…. ดี GOOD THANK YOU …. กูรู้ละ พรุ่งนี้เอาใหม่ ....”

14. หนังสือ คือ ยิ่งกว่า มหาลัย :
27 มี.ค. 37 – บ่าย 2 โมง KIM ZA GASS ในเครื่องแบบครึ่งท่อน ปรากฏร่างขึ้นที่ “แพร่พิทยา” ถิ่นเก่ามาประจำติดตามข่าวแวดวงหนังสือ ร้านขายหนังสือในห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ด้วยเวลาที่รวดเร็วราวแมลงกระพือปีกก็ได้พบกับ เกษตร เกษตร และเกษตร

ไม้ผล 50มะ ผักสวนครัว 30ผัก พืชไร่ 20พืช ไม้ดอกไม้ประดับ 30ดอก ไม้ใช้สอย 20ต้น นาข้าวนาบัวนากะเฉดนาแห้ว เห็ดโคนเห็ดนางฟ้าเห็ดเผาะเห็ดหูหนู กุ้งหอยปูปลากบเต่าจระเข้ตะพาบ วัวควายไก่เป็ดห่านนกหนูหมูหมาม้าเก้งกวางกระจอกเทศ

จาก พืช-สัตว์-เห็ด สดใหม่จากฟาร์ม....สู่ “แปรรูป” สร้างมูลค่าเพิ่ม ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ

จาก รูปแบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน .... สู่ เทคโนโลยีชาวบ้าน และเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์
จาก แนวคิดแบบชาวบ้านๆ ทำแค่พออยู่พอกิน .... สู่ ทำขาย มุ่งเอากำไรเป็นหลัก

ทั้งที่เป็น POCKET BOOK เป็น MAGAZINE น่าสนใจอย่างมาก คือ หนังสือตำราเรียนระดับมหาลัย นี่คือ เกษตรทั้งนั้น แค่วันแรกซื้ออย่างละเล่มๆ สิริรวมแล้วเป็นเงินเกือบ “ครึ่งหมื่น” ต้องพึ่งรถเข็น 4 คัน กับเด็กในห้างเอาของมาส่งที่รถ

อีก 3 วันไปแพร่พิทยาอีกครั้ง ทำ CHECK LIST หนังสือที่มีแล้ว กับหนังสือเล่มที่ยังไม่มี แล้วซื้อมาอีก ก็แค่อย่างละเล่มๆ เหมือนกัน จึงไม่แปลกที่ค่าใช้จ่ายก็ต้องเกือบ “ครึ่งหมื่น” เหมือนกัน

วันแรกครั้งแรกของการออกอากาศเมื่อตอนเที่ยงนั้น สาระน้อยเวลามาก ถึงค่ำวันเดียวกัน ตอนสองทุ่ม เป็นการออกอากาศครั้งที่สอง รู้เลยว่า เวลาน้อยแต่สาระมาก จนท.ควบคุมเสียงปรารถนาดี เตรียมแผ่นเสียงเพลงไว้ กะเปิดแทรกระหว่างห้อข้อเรื่อง ครั้นเอาจริงเข้า จนท.ควบคุมเสียงถึงกับเซ่อกิน เพราะเวลา 1 ชม.ไม่พอให้พูด (อ่าน) บางครั้งบางเรื่องต้องต่อมื้อรุ่งขึ้น ต่อ 2มื้อ ต่อ 3มื้อ

ตั้งแต่ก่อนวันแรกจะ ON AIR เคยถูกปรามาสว่า “… กูว่าไม่เกิน 3 วัน มึงก็หมดเรื่องพูด...” นั้น เอาจริงเข้า ขนาดระหว่างพูดไม่มี “เอ้อ นะครับอ้า - อ้า นะครับเอ้อ” เวลายังไม่พอให้พูดเลย

หนังสือที่เขียนโดย ดร. สอนในมหาลัย เมื่อเราอ่านหนังสือเล่มนั้น ก็เท่ากับเราได้เรียนกับ ดร. ท่านนั้นเช่นกัน .... เรียนในมหาลัย วิชาหนึ่งมี ดร.มาสอนเพียงท่านเดียว แต่เราอ่านหนังสือเรื่องเดียว กันที่เขียนโดย ดร. 10 เล่ม เท่ากับได้เรียนกับ ดร. 10 ท่าน ....

สัจจะธรรมชีวิต แค่อ่านหนังสือออกก็เป็นนักจัดรายการวิทยุได้แล้ว อ่าน
บ่อยๆ อ่านทุกวัน จากความคล่องน้อยๆ เป็นความคล่องมากๆ ๆๆ นั่นคือ “ลีลา” ประจำตัว

15. สึกฤกษ์นเรศวรออกศึก :
ช่วงอายุเบญจเพส ลุงคิมบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่วัดชีป่าสิตาราม อ.เมือง ลพบุรี บวชเต็มพรรษา ออกพรรษาแล้วอีก 15 วันจึงจะมีกฐิน รับกฐินแล้วเข้าไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาสเพื่อขอฤกษ์สึก บอกหลวงพ่อว่าขอฤกษ์สึกวัน “นเรศวรออกศึก” หลวงพ่อบอกว่า “ต้องรอต่ออีก 15 วัน” และนั่นคือครบ 120 วัน เท่ากับจำนวนวันที่มีสิทธิ์ลาบวชตามระเบียบ ทบ.พอดี

สึกมาแล้วกลับมาทำงานที่ ปตอ.พัน.4 เหมือนเดิม แต่ชีวิตราชการช่วงหลังบวชเข้มข้นดุเดือดต่างจากทหารคนอื่นๆ บ่อยครั้งที่ต้องไปปฏิบัติราชการพิเศษ งานบางอย่าง หลายครั้งต้องเสี่ยงเอาชีวิตเป็เดิมพัน เช่น งานปราบ ผกค., งานสายลับ แต่ก็รอดมาได้ แคล้วคลาด ทุกครั้ง ทุกภารกิจ ทุกสนามรบปลอดภัยไม่มีแม้รอยแมวข่วน

จากสนามรบ-วางปืน สู่แปลงเกษตร-จับจอบ ว่าตั้งแต่ พูดวิทยุ เขียนหนังสือ ถึง ออกสัญจรไปสอนทั่วราชอณาจักรทุก เสาร์-อาทิตย์ โดยไม่มีกำหนดล่วงหน้าว่า เสาร์-อาทิตย์ ไหนไปที่ไหน

กระทั่งวันที่ “ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม” พ็อตเก็ตบุ๊คออกวางแผง งานสีสันสัญจรคราวนั้นไปลงที่ “อนุสาวรีย์สมเด็จพระเนรศวร มหาราช” ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี ภารกิจครั้งนี้จะบังเอิญหรือด้วยพระบารมี ไม่ทราบ แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิด เมื่อประชาชนทั่วไป ผู้ฟังรายการสีสันชีวิตไทยราว 200 คน เข้าแถวตอนเรียงหนึ่งลำดับคิวซื้อหนังสือ “ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม”

ปล. : หนังสือที่มีผู้อ่านสนใจ “เข้าคิวซื้อ” มากที่สุดเป็นประวัติการณ์คือ หนังสือ “นายอิน ผู้ปิดทองหลังพระ” วางแผงขายที่ศูนย์การค้าสยาม คิด/วิเคราะห์ ซิว่า พื้นที่ศูนย์การค้าสยามกว้างเท่าไร เมื่อเทียบกับลานหน้าอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

นี่คืออานิสงค์ สึกจากบวชพระฤกษ์วันนเรศวรออกศึกโดยแท้....สาธุ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

16. สำคัญที่ใจ :
เหมือนลงสนามแข่งขัน โดยไม่ผ่านรอบชิงเหรียญทองแดง เหรียญเงินมาก่อนแต่ลงแข่งรอบ FINAL ชิงเหรียญทองเลย เปรียบดั่งคนไม่ได้เรียนเกษตรมาโดยตรง แล้วมาทำงานส่งเสริมการเกษตรผ่านรายการวิทยุ ที่มีแต่เสียงไม่มีภาพเหมือน ทีวี. โดยมีเกษตรกรผู้ฟังเป็นเป้าหมาย เกษตรกรเขาไม่รู้หรอกว่า ผู้ส่งเสริม เป็นใคร มาจากไหน มีความพร้อมเพียงใด ข้อมูลเรื่องราวที่ออกอากาศไปนั้น ผิด/ถูก-ใช่/ไม่ใช่ เขาไม่รู้ แต่เขาทำตามทันที บางคนประสบความสำเร็จ บางคนล้มเหลว ผู้ส่งเสริมก็แยกไม่ออกอีกว่า ระหว่าง “ความสำเร็จกับความล้มเหลว” อะไรเป็นสาเหตุ

เพราะประวัติชีวิตการทำงานไม่เคยล้มเหลว ทุกอย่างประสบความสำเร็จ แม้ไม่มากก็ถือว่าสำเร็จตามนโยบายที่ ผบ.ชา กำหนด มางานนี้เกษตรกรที่ล้มเหลวเป็นดั่งหนามไผ่ทิ่มแทงใจ หลายครั้งอยากบอก “ศาลา” ขอเลิกแล้วกลับไปนั่งโต๊ะทำงานที่เก่า

พลันเหมือนเสียงคำพูดที่เต็มไปด้วยกำลังใจจาก ผบ.นปอ.สั่งการ “ทำรายการเกษตรซี่ ทำรายการเกษตรซี่....” กับเสียงคำพูดที่เต็มไปด้วยคำปรามาสจาก หน.ฝ่ายรายการ “กูว่า ไม่เกิน 3 วัน มึงก็หมดเรื่องพูด....” สะท้อนเข้ามาในจิตรสำนึกของลูกผู้ชายชาติทหาร

เลือดชายคนนี้มีพ่อเป็นทหาร มีตาเป็นทหาร เรียนชั้นประถมจากโรงเรียนในกรมทหาร เรียนมัธยมจากโรงเรียนใกล้กรมทหาร เรียนจบมัธยมข้ามภูเขาไปเรียนโรงเรียนนายสิบทหารปืนใหญ่ จบโรงเรียนทหารปืนใหญ่ทำงานหน่วย 1 ปี ไปรบเกาหลี กลับจากเกาหลีรบต่อที่หินร่องกล้า รบไปเรื่อยๆกระทั่ง “ศึกร่มเกล้า” เป็นศึกสุดท้าย

คิด/วิเคราะห์ : ไม่มีช่วงใดของชีวิตเกี่ยวข้องกับการเกษตรเลย....
ระหว่างรับราชการทหารมีการศึกษาเพิ่มวิทยฐานะ หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับประชาชน แล้วประชาชนนั้นเกี่ยวพันกับการเกษตร น่าจะเป็น หลักสูตรปฏิบัติการจิตรวิทยา หลักสูตรความมั่นคงภายใน หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือน

คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ : ไม่มีหลักสูตรใดเกี่ยวข้องกับการเกษตรเลย....
คำถามใหม่เกิดขึ้นมา มนุษย์เงินเดือน ทำงานบริษัท โรงงาน ไม่ได้ร่ำเรียนวิชาที่ตรงกับงานที่ทำ แล้วทำไมประสบความสำเร็จอย่างสูงได้....กับคนที่เรียนมาทางทหารแล้วมาทำงานด้านเกษตร จะประสบความสำเร็จงานด้านเกษตรไม่ได้....

ใครก็ตามที่อ่านหลักการบริหาร 6M เสริมด้วยหลัก SMART FARM แล้ว คิด/วิเคราะห์/เปรียบ เทียบ/ประยุกต์ โดยมีเกษตรกรเป็นตัวตั้ง ก็สามารถประสบความสำเร็จในงานเกษตรได้

17. แรกงานวิทยุเกษตร :
จากสโลแกนของตัวเอง รับคำสั่ง-ทำทันที-ทำดีที่สุด ถึงคำสั่ง ผบ.นปอ. ที่ ส่งเสริม/สนับสนุน ให้ผู้ไต้บังคับบัญชาทุกคนทุกระดับชั้นได้ใช้ความสามารถจนเต็มที่ กระทั่งสำเร็จภารกิจ กับ หน.ฝ่ายรายการสถานีวิทยุ ผู้มีอคติหรือไม่ชอบขี้หน้าเป็นต้นทุน เมื่อเข้ามาจับงานนี้แล้วควรเดินหน้าตาม ผบ.นปอ. หรือถอยหลังตาม หน.ฝ่ายรายการ จะเป็นด้วยนิสัยประจำตัว หรือเพราะกรรมเก่าก็สุดแท้ งานนี้ คิดเอง-ทำเอง-ถามเอง-ตอบเอง ตัดสินใจแน่วแน่เลือกเดินหน้าบนเส้นทางเกษตร

ทุกวัน วันละ 24 ชม. ต่อเนื่องอาทิตย์ละ7 วัน ถึงเดือนละ 30 วัน พูดในวิทยุวันละ 2 ชม. เที่ยงค่ำ กับอ่าน อ่าน และอ่าน วันละ 10-15 ชม. ตัดเวลากินขี้ปี้นอนออกเท่านั้น

สัจจะธรรมจากการอ่านที่ไม่อาจปฏิเสธ คือ ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้น้อย-ยิ่งไม่รู้มาก นั่นคือ รู้แค่ที่อ่าน อ่านกี่เล่มกี่เรื่องก็รู้แค่นั้น แต่เล่มหรือเรื่องที่ยังไม่ได้อ่านก็คือยังไม่รู้ ที่ยังไม่ได้อ่านปริมาณจำนวนมันมากกว่า มากมายมหาศาล นี่คือ LEARNING ALL THE LIFE การเรียนรู้ต้องตลอดชีวิต นั่นเอง บนความไม่รู้แล้วอยากรู้ จึงเกิดคำถาม ยิ่งอ่านยิ่งเจอ อาทิ :

อาหารของการเกษตร ............................... คืออะไร ? อยู่ที่ไหน ?
อาหาร คน-สัตว์-พืช-จุลินทรีย์ ..................... ตัวเดียวกันหรือไม่ ?
คนมีปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิต สัตว์-พืช .......... มีกี่ปัจจัย ?
พืชมีวงจรชีวิตการเจริญเติบโตที่แน่นอน ........... อย่างไร ? หรือไม่ ?
พืชเมืองร้อน เมืองหนาว ............................ เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร
สัตว์น้ำ สัตว์บก เมืองร้อน เมืองหนาว ............. เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร ?
ปุ๋ย ................................................... มีกี่ชนิด ? กี่ประเภท ? กี่สูตร ? กี่แบบ ?

ปุ๋ยตัวเดียวกันกับพืชเดียวกัน คนหนึ่งใช้ได้ผล คนนึ่งใช้ไม่ได้ผล .... เพราะอะไร ?
ปุ๋ยใส่ลงดิน จุลินทรีย์ใส่ลงดิน ............................. เหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร ?
ทำแล้วขาย ขายแล้วขาดทุน ............................... เพราะอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?
ที่พูด พูด และพูด ออกอากาศทุกวัน ๆละ 2 เวลา ........ ผู้ฟังรู้เรื่องมั้ย ?
สื่อวิทยุ ทีวี. ที่นี่กับที่อื่น .................................. เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร ?
ส่งเสริมทหาร กับส่งเสริมเกษตรกร ........................ ต่างกัน/เหมือนกัน ตรงไหน ?
ทุกคำถามมีคำตอบ .......................................... อยู่ที่ไหน ?


18. ผักปลอดสาร ไม่รู้จักสมุนไพร :
เหตุเกิดที่ อ.เล็กๆ ตั้งขึ้นใหม่ ชื่อเฉลิมพระเกียรติ ในงานเกษตรอินทรีย์ กลุ่มสีสันชีวิตไทย มีโอกาสไปออกร้านร่วมงานด้วย.... เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า :
ลุงคิม : แม่ค้า เกษตรอินทรีย์ ผักบนแผงนี่ก็ผักอินทรีย์ด้วยใช่ไหม ?
แม่ค้า : ใช่จ้ะ ซื้อผักอะไรล่ะคะ ?

ลุงคิม : ยังไม่ซื้อตอนนี้หรอก ถามหน่อย ผักอินทรีย์ดียังไง ?
แม่ค้า : ดีซิคะ ดีมากด้วย ผักอินทรีย์ คือ ผักที่ไม่ใช้เคมีไงล่ะ

ลุงคิม : เคมี .... สารเคมี หรือปุ๋ยเคมี ?
แม่ค้า : ทั้งสองอย่างนั่นแหละ

ลุงคิม : อืมมม ไม่ใช้สารเคมี แล้วเอาอะไรกำจัดหนอนแมลง ?
แม่ค้า : ไม่ต้องกำจัด เพราะในผักอินทรีย์ไม่มีหนอน ไม่มีแมลง

ลุงคิม : อืมมม ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แล้วใส่อะไรให้ผักมันโตล่ะ ?
แม่ค้า : ใส่ปุ๋ยคอกนี่แหละ

พลันเสียงแม่ค้าแว่วมาดังลั่น คำพูดศัพท์สำเนียงบ่งบอกยี่ห้อ “แม่ค้าตลาดสด” ของแท้....

แม่ค้า 1 : ผักมึงน่ะ หลอกลวงโลก
แม่ค้า 2 : ลวงโลกยังไง ?

แม่ค้า 1 : ก็กูเห็นมึงฉีดยาเมื่อวานนี้เอง วันนี้เก็บมาขายแล้ว
แม่ค้า 2 : ของมึงก็เหมือนกัน ถามจริง ในตลาดนี้วันนี้แผงไหนไม่ใช้สารเคมีวะ

แม่ค้า 1 : คนอื่นไม่เกี่ยว กูว่าผักมึงคนเดียว
แม่ค้า 2 : โธ่ถัง มันก็เหมือนๆกันทุกแผงนั่นแหละ


จากแม่ค้า 2 คนทะเลาะกันเริ่มลามปามขยายวงไปคนที่ 3 คนที่ 4 ทุกคำพูดล้วนแต่อัปมงคลทั้งนั้น....กลับไปที่บู๊ธทีมงานสีสันชีวิตไทย ตกเย็น แม่ค้าในงานเกษตรอินทรีย์ไปหาแล้วพูดคุยกัน

แม่ค้า : ลุงคะ นี่อะไรคะ ?
ลุงคิม : อ๋อ นั่นหนอนตายหยาก

แม่ค้า : ใช้ทำอะไรคะ ?
ลุงคิม : ทำยาฆ่าหนอน

แม่ค้า : ฆ่าหนอนได้เหรอคะ ?
ลุงคิม : ได้ซี่ อย่างน้อยก็ฆ่าหนอนในไหปลาร้าได้นั่นแหละ

แม่ค้า : แล้วนี่ล่ะคะ ?
ลุงคิม : อันนี้เปลือกมังคุด กำจัดเชื้อราได้

แม่ค้า : แล้วนี่ล่ะคะ ?
ลุงคิม : อันนี้ยาฉุนเราธรรมดาๆนี่แหละ กำจัดเชื้อรา

แม่ค้า : แล้วนี่ล่ะคะ ?
ลุงคิม : อันนี้หางไหล ฆ่าหนอนดี

แม่ค้า : แล้วนี่ล่ะคะ ? ลุงคิม : (มองหน้า ตรวจสอบท่าที) ถามจริง อยากรู้ไปทำไม

แม่ค้า : เพราะไม่รู้ก็อยากรู้น่ะซีคะ
ลุงคิม : ที่นี่ทำเกษตรอินทรีย์ ถามหน่อย ในโลกนี้มีพืชที่ไม่มีศัตรูพืชมาวอแวเลยเหรอ ?

แม่ค้า : (เงี้ยบ อึ้ง)
ลุงคิม : เมื่อคุณไม่ใช้สารเคมีฆ่าแมลง สมุนไพรก็ไม่ได้ใช้แถมยังไม่รู้จักอีกด้วย ลุงคิมว่า โกหกใครก็โกหกไปเถอะ ทำไมต้องโกหกตัวเอง โกหกลูกหลานด้วย ถามหน่อย ทำเกษตร ที่นี่ใครรวยบ้าง มีแต่หนี้ทั้งนั้น ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ เป็นหนี้ยันลูกยันหลาน

แม่ค้า : (อึ้ง เงียบ ต่างคนต่างแยกกันไป....)

19. ชมพู่อั้ยเล็ก :
สองพ่อลูกทำสวนชมพู่อยู่หัวหิน ประจวบฯ บนเนื้อที่ 10 ไร่ อายุต้นชมพู่ 10 ปีขึ้น ให้ผลผลิตปีละครั้ง ทำแบบเดิมๆ ให้ปุ๋ยทางรากสูตรเสมอ ไม่เคยให้ทางใบ .... วันนี้ พ่อกับลูกชายเดินคุยกันตามลำพังอยู่ในสวน

ลูก : พ่อ....หนูว่าเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการทำชมพู่บ้างนะ
พ่อ : เปลี่ยนยังไง

ลูก : ก็จากที่เราทำปีละรุ่น เปลี่ยนเป็นทำปีละ 2 รุ่น จากใช้ปุ๋ยสูตรเสมอเปลี่ยนเป็นสูตรตามสั่ง จาก ให้ทางรากทางเดียวก็ให้ทางใบร่วมด้วย กับอีกหลายๆอย่างที่เราทำแบบเดิมๆ เปลี่ยนมาเป็นแบบใหม่บ้าง
พ่อ : (จ้องหน้าลูกชาย) หนูเอาความคิดนี้มาจากไหน ?

ลูก : รายการวิทยุครับ
พ่อ : (หัวเราะในลำคอ) วิทยุเชื่อไม่ได้หรอก เพระนั่นเขาทำเพื่อโฆษณาปุ๋ยของเขาเท่านั้น

ลูก : แต่เขาบอกก็มีหลักการนะพ่อ บางครั้งเขายังบอกวิธีทำชุมพู่โดยตรงเลย ก็เคย
พ่อ : หนูเชื่อเขาเหรอลูก ?

ลูก : รายการนี้เขาบอกไม่ให้เชื่อ แต่ให้ลองทำลองใช้ก่อนแล้วค่อยเชื่อ เขาบอกให้เชื่อตัวเอง
พ่อ : (คิด .... ใจหนึ่งไม่เชื่อ แต่ใจหนึ่งรักลูกชาย) งั้นเอางี้ พ่อยกให้ 1 ไร่ หนูลองทำตามที่วิทยุบอก หนูทำเองทุกอย่างนะ เอาไหม ?

ลูก : (ยิ้มกว้าง) เอาครับพ่อ

เหมือนลิขิตสวรรค์ ชมพู่บนต้นตอนนั้นเป็นระยะ “บำรุงผล เล็ก กลาง....ขยายขนาด หยุดเมล็ด สร้างเนื้อ” หลังห่อผลพอดี .... การปฏิบัติของลูกชาย :

บำรุงผล เล็ก-กลาง :
ทางใบ : ให้ปุ๋ยทางใบยี่ห้อ ไบโอคิง ตามโฆษณาในวิทยุ 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 4 วัน

ทางราก : ใส่ปุ๋ยขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ หญ้าแห้งคลุมทับหนาๆ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-7-14 ต้นละ 1 กก. ตามแผนให้แค่ครั้งเดียวเพราะอายุผลชมพู่เพียง 1-1เดือนครึ่งเท่านั้น ให้น้ำสม่ำเสมอวันเว้นวัน

บำรุงผลก่อนเก็บเกี่ยว :
ทางใบ : ให้ปุ๋ยเร่งหวานผสมเอง “น้ำ 100 ล. + น้ำส้มสายชู 100 ซีซี. + 0-21-74 (500 กรัม +ธาตุรอง/ธาตุเสริม 250 กรัม” ให้ 2 รอบ สลับด้วยแคลเซียม โบรอน 1 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน ให้รอบสุดท้ายก่อนเก็บ 3 วัน

ทางราก : เปิดหน้าดินโคนต้น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 ต้นละ ½ กก. ตามแผนให้แค่ครั้งเดียวก่อนเก็บเกี่ยว 7 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีแล้วให้น้ำตามเพื่อละลายปุ๋ยแล้วงดน้ำเด็ดขาด

แล้วสัจจะธรรมก็อุบัติขึ้น เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ เมื่อเพื่อนบ้านสวนข้างเคียงมาเห็น

เพื่อนบ้าน : โอ้โฮ ชมพู่ไซส์นี้ 2ลูกโล 3ลูกโล เลยนะเนี่ย ทำยังไงเนี่ย
พ่อ : (หัวเราะ ) ผมไม่ได้ทำหรอก นี่มันชมพู่อั้ยเล็ก มันเป็นคนทำทั้งหมด มันทำอยู่คนเดียว เพื่อนบ้านกวาดสายตาไปทั่วสวนชมพู่ทั้งแปลงแล้วเห็นความต่างบนความเหมือนชัดเจน โซนนี้ลูกใหญ่ทุกต้น แต่อีกโซนลูกเล็ก เล็กกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง

พ่อ : ลูก พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อยกชมพู่ให้หนูทำทั้งสวนเลย ถ้าหนูจะทำตามรายการวิทยุพ่อไม่ว่า
ลูก : ครับพ่อ

20. สาบเสือ ไม้ 500 ชื่อ :
เล่าสู่ฟัง เรื่องยาฆ่าแมลง :

วันนั้นอยู่ที่ ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาไร่เลิศสรานนท์ บ้านหนองจาน หัวลำ ท่าหลวง ลพบุรี ภารกิจบรรยายเรื่อง การเกษตรแบบ อินทรีย์นำ-เคมีเสริม-ตามความเหมาะสม โดยมีสำปะหลังเป็นพืชนำ วันนั้นมี สมช. กลุ่มไร่เลิศสรานนท์ มารับฟังราว 30 คน

ระหว่างเตรียมการบรรยาย คทาชาย 4 คน นั่งอยู่ใกล้ๆ กำลังถกแถลงเรื่องสาบเสือ แม้ไม่ได้ฟังเสียงมันเข้าหู .... สมมุตินามตามท้องเรื่อง 4 ชาย :

ชาย ก. : นี่แหละสาบเสือ ฆ่าหนอน ฆ่าเชื้อราได้
ชาย ข. : ไม่ใช่ นี่มันเสือหมอบ ไม่ใช่เหรอ ?

ชาย ค. : แถวบ้านผมเรียกฝรั่งรุกที่
ชาย ง. : ทั้งหมดที่ว่ามาไม่ถูกซักคน เขาเรียกบ้านร้าง คิดซี่ ถ้ามันขึ้นรอบบ้านมากๆ คนจะเข้าบ้านไม่ได้ บ้านก็ร้างไง

ชาย ข. : มึงก็ว่าเรื่อยเปื่อย หญ้ามันขึ้นในบ้านก็ถางออกซี่ แล้วบ้านจะร้างได้ไง ?
ชาย ค. : คงไม่แค่นี้หรอกมั้ง หญ้าตัวนี้มาจากเมืองนอกเหมือนฝรั่ง หญ้ามันรุกที่ก็เหมือนฝรั่งรุกที่ ว่ามั้ย

ชาย ข. : แล้วที่ต้นสูงๆ ขึ้นเป็นดงแน่น เสือเข้าไปหลบได้ ไม่เรียกว่าเสือหมอบเหรอ ?
ชาย ก. : ญาติกันอยู่ราชบุรี ที่นั่นเรียกผักคราด รกแน่นมาก ปลูกสำปะหลังไม่ได้เลยแหละ

ชาย ง. : อือว่ะ ญาติที่ชลบุรี บอกว่าที่นั่นเรียกหมาหลง หญ้ามันขึ้นแน่นมาก
ขนาดหมาเดินไปเข้าไปแล้วมองไม่เห็นทางออกไม่ได้

ชาย ข. : ที่จริง อยู่ที่ไหนน่าจะเรียกชื่อตามที่นั่นนะ
ชาย ง. : งั้นอยู่ที่นี่ พูดกับคนที่นี่เรียกชื่อตามที่นี่ แล้วพูดกับคนที่อื่นล่ะ เขาจะรู้ด้วยไหม ?

ชาย ก. : งั้นก็ต้องเรียกตามที่ ที่คนนั้นอยู่ซี่
ชาย ค. : ว่านะ เรียกอะไรก็ได้ เรียกแล้วขอให้คนที่คุยด้วยรู้เรื่องก็แล้วกัน

4 คนกึ่งคุยกึ่งเถียงกันอยู่เป็นนาน ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ต้องพึ่งคนกลาง ... สรุป : ถามลุงดีกว่า

ลุงคิม : อืมมม ไอ้ตัวนี้ ไร่กล้อมแกล้มเรียก “อั้ยง่องแง่ง” ว่ะ
ชาย ก. ชาย ข. ชาย ค. ชาย ง. : (พูดพร้อมกัน) .... ไอ้ง่องแง่ง ! ! !
ลุงคิม : (กดมือถือ อ่านอินเตอร์เน็ต) เอาน่า มันจะชื่ออะไรก็สุดแท้เถอะนะ ขอแต่ให้บอกกันพูดกันแล้วรู้เรื่องด้วยกัน ก็พอแล้ว เรื่องชื่อเนี่ย ไม่รู้เหรอ คนไทยน่ะเก่งทั้งนั้นรู้มากรู้น้อย รู้จริงรู้ไม่จริง ตั้งชื่อเอาเอง บ้านละชื่อๆ ๆๆ นี่ไงชื่อ หญ้าเสือหมอบ, รำเคย, ผักคราด, บ้านร้าง, ยี่สุ่นเถื่อน, ฝรั่งเหาะ, ฝรั่งรุกที่, หญ้าดอกขาว, หญ้าเมืองวาย, พาทั้ง, หญ้าดงรั้ง, หญ้าพระสิริไอสวรรค์, มุ้งกระต่าย, หญ้าลืมเมือง, หญ้าเลาฮ้าง, สะพัง, หมาหลง, นองเส้งเปรง, ไช้ปู่กุย, หญ้าเมืองฮ้าง, หญ้าเหมือน, หญ้าฝรั่งเศส, เบญจมาศ, เซโพกวย, มนทน, ปวยกีเช่า, เฮียงเจกลั้ง. ตัวเดียวกันทั้งนั้น รึจะชื่อ “ไอ้ห้าร้อยชื่อ” ดีไหม ? ….. เอวัง ก็มีด้วย ประ กา ระ ฉะนี้


21. มะม่วงขาวนิยม :
จาก : (098) 183-49xx
ข้อความ : คุณตาขา คุณพ่อให้ถามว่ามะม่วงไทยพันธุ์อะไรราคาแพงที่สุด ที่บ้านมีที่ว่างอยู่ 4 ไร่ อยากลงมะม่วงค่ะ .... หลานโอ
ตอบ :
- เท่าที่เจอะเจอวันนี้ เห็นมีก็แต่พันธุ์เดียว “ขาวนิยม” ของสวนน้อยรักษา อ.นรินทร์ฯ (089) 695-5871 เท่านั้น จัดงาน ชม/ชิม/ช็อป หน้าสวน กก.ละ 180 บาท ไม่พอขาย

- ศักดิ์ศรีมะม่วงขาวนิยม แชมป์ประเทศไทย 4 ซ้อน ทั้งที่สวนน้อยรักษาส่งประกวดเอง และที่ สมช.ลูกสวนส่งผประกวด จนบางปี กรรมการเห็นแล้วบอกเอารางวัลไปเลย ให้มะม่วงพันธุ์อื่น จากสวนอื่นได้โอกาสบ้าง

- มะม่วงขาวนิยม กำเนิดมาจาก เขียวเสวย กับ น้ำดอกไม้ ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ วันนี้ต้นแม่จริงๆอยู่ที่นครชัยศรี นครปฐม ยังมีชีวิตแล้วก็ยังให้ผลผลิตปกติทุกประการ

- เดิมตั้งชื่อว่า “น้ำดอกไม้มัน” ขอจดทะเบียนแล้วไม่ได้ เพราะชื่อไปพ้องกับน้ำดอกไม้ที่มีอยู่ก่อน อ.นรินทร์ฯ จึงตั้งชื่อใหม่ว่า “ขาวนิยม” ซึ่งเป็นนามสกุลของคุณพ่อ แล้วจดทะเบียนสายพันธุ์ได้จนถึงปัจจุบัน

- ขาวนิยมพันธุ์นี้ กินดิบได้เพราะมีเชื้อเขียวเสวย กินสุกได้เพราะมีเชื้อน้ำดอกไม้ กินห่ามก็ดีเพราะมีเชื้อเขียวเสวยกับน้ำดอกไม้

- นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปถึงสวนแล้วบอกว่า “…ทำไมคนไทยจึงคิดว่า คนญี่ปุ่นชอบกินมะม่วงออกเปรี้ยว .... คนญี่ปุ่นก็ชอบมะม่วงหวานเหมือนกัน” “…ทำไมคนไทยจึงคิดว่า คนญี่ปุ่นชอบมะม่วงไซส์กลางๆ .... คนญี่ปุ่นก็ชอบไซส์ใหญ่ๆเหมือนกัน”

- ว่าแล้ว ญี่ปุ่นซื้อหมด ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ราคาว่ากันไปตามขนาด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ญี่ปุ่นคนนั้นเอาออกจากประเทศไทยแล้วเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ยังไง

- สวนน้อยรักษา เป็นสวนยกร่องน้ำหล่อ คุณพ่อสร้างไว้เมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว วันนี้เพิ่มเติม “สปริงเกอร์ ลอยฟ้า” เข้าไป ติดตั้งใช้งานมาแล้วกว่า 10 ปี ก็ยังใช้งานได้เหมือนเดิม .... สปริงเกอร์ลอยฟ้าใช้ท่อ พีอี. ขนาดนิ้วครึ่ง พาดกับกิ่งง่ามบนต้น จากต้นแรกตามลำดับไปถึงต้นสุดท้าย ที่ท่อ พีอี ฝังหัวสปริงเกอร์แบบพ่นฝอยเป็นละออง ทุกระยะ 2 ม. รัศมีที่หัวสปริงเกอร์พ่นละอองน้ำออกมา ฟุ้งกระจายครอบคลุมทั่วทรงพุ่ม จากต้นตัวเองฟุ้งต่อไปต้นข้างคัยงได้อีกด้วย

- มะม่วงขาวนิยมที่ไร่กล้อมแกล้ม ไซส์ 8 ขีดน้อยมาก, 1.2 กก.มาก, 1.5-1.8 ประมาณ 25-30% ของผลผลิตทั้งหมด .... งานนี้ไซส์ 1.5-1.8 ขายหมดก่อน บอกแล้วไง “ใหญ่กว่าเป็นต่อ”

- เฉพาะมะม่วงกินดิบไร่กล้อมแกล้มมี ขาวนิยม เขียวใหญ่ เขียวสุพรรณ เขียวเสวยรจนา งามเมืองย่า มันขุนศรี มันศาลายา แก้วลืมคอน ทะวายใหญ่ หนองแซง อาร์ทูอีทู ทุกปีเอามาวางขายหน้าร้าน ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล พร้อมกันทุกสายพันธุ์ เราบอกว่า “หนองแซง” อร่อยที่สุด แต่คนซื้อบอกว่า “ขาวนิยม” อร่อยที่สุด .... งานนี้ต้องตามใจคนซื้อ ว่าแล้วตัดสินใจเปลี่ยนยอดบรรดามะม่วงกินสุก (อกร่องเขียว, อกร่องไทรโยค, อกร่องพิกุลทอง, อกร่องหยาดพิรุณ, น้ำดอกไม้สีทอง, น้ำดอกไม้เบอร์ 4/19 มหาชนก) เก็บไว้อย่างละ 1 ต้น ที่เหลือเปลี่ยนยอดเป็น ขาวนิยม. กับ อาร์ทูอีทู. เปลี่ยนยอดปีเดียว ปีรุ่งขึ้นออกดอกติดลูกแล้ว

- อาร์ทูอีทู คนซื้อบอกว่า มะม่วงพันธุ์นี้มีกลิ่นขี้ไต้ คนขายเฉือนให้ชิมทันที ให้ชิมซ้ำหลายๆครั้ง ชิมจนมั่นใจ เท่านั้นแหละ ซื้อทันที 50 กก. ๆละ 50 บาท ถามว่า เอาไปทำอะไรเยอะแยะ คำตอบก็คือ “เอาไปฝาก” งานนี้คิดง่ายๆ ถ้าของไม่ดีจริง ใครจะกล้าซื้อไปฝากคนอื่น....ผลไม้ไร่กล้อมแกล้มทุกตัวรสจัดจ้าน เป็นผลมาจากการบำรุงด้วย “ธาตุรอง/ธาตุเสริม” ทั้งช่วงมีผลบนต้น ไม่มีผลบนต้น ตลอดปีตลอดชาติ ที่ทำได้ก็เพราะ สปริงกอร์-หม้อปุ๋ยหน้าโซน นั่นแหละ

- เมื่อ 2 ปีก่อน ที่ไร่กล้อมแกล้มจัดงาน “ชม/ชิม/โนช็อป” มะม่วงทุกสายพันธุ์ เก็บมะม่วงทุกสายพันธุ์มาวางบนถาด สายพันธุ์ละ 2-3 ลูก เขียนชื่อบอกเสร็จ แล้วเชิญชวนให้ชิม ชิมทุกสายพันธุ์ ๆละ 1ชิ้น 1คำ ชิมให้รู้รสชาติของแต่ละสายพันธุ์ว่า ดี/ไม่ดี-ต่าง/ไม่ต่าง กันอย่างไร เพื่อว่าเมื่อจะตัดสินใจปลูกมะม่วงบ้าง ปลูกกินปลูกขายก็ว่ากันไป จะได้รู้ว่ามะม่วงพันธุ์อะไรเป็นอย่างไร .... ที่นี่ไม่มีเขียวเสวย ฟ้าลั่น โชคอนันต์ น้ำดอกไม้ เพราะในตลาดมีเยอะแยะ ไปซื้อกินเองได้

- ไม่น่าเชื่อที่บางคนไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการชิมมะม่วง พี่แกเล่นกินสายพันธุ์เดียว กินจริงกินจัง เพราะชอบพันธุ์นั้น ก็เลยไม่รู้ว่าพันธุ์อื่นรสชาติเป็นยังไง .... สงสัย เห็นเป็นมะม่วงฟรีมั้ง

- บางคนถามว่า “ขาวนิยม-เขียวใหญ่-เขียวสุพรรณ-เขียวเสวยรจนา-งามเมืองย่า-มันขุนศรี-มันศาลายา-แก้วลืมคอน-ทะวายใหญ่-หนองแซง” เป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่เหรอ เพราะไม่เคยได้ยินชื่อ ก็ต้องบอกไปว่าเป็น “พันธุ์เก่าแก่ พันธุ์โบราณ” บางพันธุ์มีแต่ในวังเท่านั้น

- บำรุงมะม่วงพันธุ์โบราณเหล่านี้ให้ได้ เกรด เอ.-จัมโบ้-โกอินเตอร์-ขึ้นห้าง ไซส์ใหญ่กว่าเป็นต่อ ส่งตาด อตก. เท่าไหร่ก็ไม่พอขาย

บำรุงมะม่วง (ขยายขนาด-หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ) :
ทางใบ :
ไบโออิ + ยูเรก้า 412 ให้ 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน จัดคิวไว้ให้ทุกวันเสาร์ ....วันดีคืนดี ให้น้ำตาลทางด่วน 1-2 ครั้ง ตลอดอายุผล .... มะม่วง 10 โซน ๆละ 50 ต้น แรงงานคนเดียว เวลาชั่วโมงเดียว

ทางราก : กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่ ปีละ 2 ครั้ง ตัดหญ้าปล่อยให้แห้งตลอดปี .... ให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 21-7-14 เดือนละครั้ง .... ให้ 21-7-14 ต้นละ 4-5 กำมือ ทุก 15 วัน

หมายเหตุ :
- ปีนี้ “ไม่ห่อผล” ดูซิจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
- ใช้กับดักแมลงวันทอง (มายฟิกส์ + ฟลายแอต) ทุกวัน
- ใช้กับดักเพลี้ยไฟ (มายฟิกส์) กระจายทั่วทั้งสวน
- ซอยผลออกมากๆ เอาไว้น้อยๆ กะให้ได้ไซส์โลครึ่งมากๆ
- ใช้สารสมุนไพร ไม่ใช้สารเคมียาฆ่าแมลงเด็ดขาด เพื่อลูกค้า

22. หูชา : เหตุอุบัติที่ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล ชายหนุ่มเคยไปซื้อปุ๋ย โดยน้ำส้ม ลูกสาวเป็นคนขาย แต่วันนี้อยากปรึกษา

ชายหนุ่ม : ถามหน่อย แคลเซียม โบรอน ซื้อส่วนผสมไปจากที่นี่ ทำแล้วเก็บไว้ได้นานเท่าไหร่ ?
น้ำส้ม : เรื่องนี้น่าจะถามพ่อนะคะ

ชายหนุ่ม : ถามพ่อก็หูชาน่ะซี
น้ำส้ม : หูชา .... แสดงว่าพ่อพูดมาก พูดเยอะ

ชายหนุ่ม : ประมาณนั้นนั่นแหละ
น้ำส้ม : พูดมากๆ พูดเยอะๆ ไม่ดีเหรอ เราจะได้รู้เยอะๆ รู้มากๆ

ชายหนุ่ม : มากเกิน เยอะเกิน นั่นแหละหูชา
น้ำส้ม : พูดเยอะแต่เป็นเรื่องเดียวกัน กับพูดเยอะแต่หลายเรื่อง สารพัดเรื่อง มันต่างกันนะ

ชายหนุ่ม : ยากรู้แค่เรื่องเดียว
น้ำส้ม : มันก็ไม่ยากนี่นา เราอยากรู้เรื่องอะไรเราก็ถามแต่เรื่องนั้น เรื่องอื่นไม่ต้องถามซี่

ชายหนุ่ม : เรื่องเกษตรนี่ยากนะ
น้ำส้ม : พ่อเคยบอก เรื่องอะไรที่รู้แล้วจะไม่ยาก อะไรที่ไม่รู้ก็ต้องยากเป็นธรรมดา

ชายหนุ่ม : อย่างแคลเซียม โบรอน นี่ไง หมดอายุเมื่อไหร่ ? จะรู้ได้ยังไง ?
น้ำส้ม : พ่อเขียนไว้ในอินเตอร์เน็ต ให้ดูที่ สี กลิ่น กาก ฝ้า ฟอง ตะกอน ถ้าทุกอย่างยังเหมือนเดิม แสดงว่ายังดีอยู่

ชายหนุ่ม : เท่านี้เหรอ ?.... ขอบคุณครับ
น้ำส้ม : ขอบคุณค่ะ

23. กล้วยแต่ไม่กล้วย :
เมื่อคราวงานสัญจรไปที่ชัยนาท สมช.ผู้ฟังวิทยุ หนุ่มใหญ่ อายุ 50 ต้นๆ มาดแมนเอาจริงเอาจัง เข้ามาปรึกษา

สมช. : ผมมีที่อยู่ 10 ไร่กว่า อยากปลูกกล้วย แต่ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์เรื่องกล้วยเลย
ลุงคิม : กล้วยไข่ กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า เล็บมือนาง กล้วยตานี กล้วยเจ้า .... เอากล้วยอะไร

สมช. : อยากรู้ทุกกล้วยเลย แต่กล้วยตานีกินไม่ได้นี่ครับ
ลุงคิม : กล้วยตานี เอาใบไปห่อของ เอาต้นไปทำบายศรี ส่วนกล้วยหักมุกเอาลูกไปทำกล้วยเชื่อม กล้วยปิ้ง

สมช. : แล้วกล้วยเจ้า เป็นยังไงครับ
ลุงคิม : คือกล้วย 12 ต้น 12 ราศี ล้อมเป็นวงกลม ใจวงกลมมีจอมปลวก แล้วกล้วยทั้ง 12 ต้นออกเครือพร้อมกัน หรือจะออกทีละต้นๆ เรียงลำดับทีละเดือนก็ได้ ที่แน่ๆ ทุกต้นชี้เครือเข้าหาจอมปลวกเหมือนกันหมด งานนี้เตรียมขอหวย หรือไม่ก็ขายผ้าเขียวผ้าแดง ธูปเทียน ขายแป้ง ซะก็ได้

สมช. : เอางั้นนะลุงผู้พัน
ลุงคิม : เออซิวะ หรือจะทำให้กล้วยนออกเครือแทงทะลุกลางต้น หรือให้ออกเครือที่ยอดทั้งๆที่ยอดด้วน หรือจะทำให้หัวปลีที่ออกมารูปร่างเหมือนหัวพญานาค

สมช. : (งง อ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง) ผมเอากล้วยธรรมดาๆนี่แหละครับ กล้วยเจ้ากล้วยราศีอะไรนั่นไม่เอาหรอก ลุงผู้พันว่ากล้วยไข่ กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ปลูกเหมือนกันไหมครับ
ลุงคิม : อืมมม บนความต่างมีความเหมือน บนความเหมือนมีความต่าง .... กล้วยเหมือนกันแต่งสายพันธุ์ ดินแปลงเดียวกันแต่หัวแปลงท้ายแปลงต่างกัน เอาเป็นว่า ตอนแรกปลูกกระจายไปก่อน ไร่ละสายพันธุ์ หรือสายพันธุ์ละ 2-3 ก็พอไหว ระยะห่างระหว่างกอ 2 x 2 วา ....

อย่าลืมปรัชญาเกษตร เรารักกล้วย กล้วยรักเราไหม เพราะฉะนั้น เผื่อรักเผื่อเลือกไว้หน่อยก็ดี หาพื้นที่ลงมะเขือหลายๆมะเขือ ลงพริกหลายๆพริก ลงแตงโม แคนตาลูป แทรกไปเถอะอย่างละไร่สองไร่..

แม้แต่ไม้ผลยืนต้น อย่างทุเรียนนี่ก็น่ามองเพราะราคาแพงสุดในบรรดาไม้ผลด้วยกัน หรือจะเตรียมตัววางแผนทำสวนเกษตรเพื่อการท่องเที่ยว สวนท่องเที่ยวต้องมีต้นไม้ .....

ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่า ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ต้นอะไรเหมาะกับดินเรา ลงไปก่อน ลงแล้วบำรุงตามปกติ ปีเดียวรู้เรื่องว่าไม้ประเภทไหน O.K.หรือ NO.K. .... ไม้ไหน O.K. ก็ขยายพื้นที่ ไม้ไหนไม่ O.K. ก็ไม่ปลูก

สมช. : (ยิ้มจืดๆ พยักหน้าช้าๆ ในใจกำลังคิด เกษตรนี่รายละเอียดมากขนาดนี้เชียวหรือ)
ลุงคิม : ไม่ว่าพืชอะไร ถ้าเป็นพืชอย่างเดียวชนิดเดียว ปลูกแล้วขาย ๆ ทำงานทั้งปีได้ขายรอบเดียวอย่างเดียว ขายผลผลิตสดๆ เชื่อเถอะ 100 ปีก็ไม่รวย เผลอๆจนเป็นหนี้ด้วย

สมช. : ใช่ครับ มีคนปลูกกล้วย 20 ไร่ ลงทุกไป 2 แสนกว่า กล้วยโตเริ่มออกเครือน้ำท่วมใหญ่ น้ำขังค้างนาน 3 เดือน ต้นกล้วย 20 ไร่ไม่เหลือซักต้น
ลุงคิม : นั่นเพราะฝีมือธรรมชาติ แล้วเพราะฝีมือคนอีกล่ะ

สมช. : ฝีมือคน ใช่ครับ ไม่มีความรู้เรื่องกล้วย ทำแล้วได้เกรดฟุตบาธ ใส่ปุ๋ยฉีดยาบ้าเลือด ไม่ได้อะไรเลย
ลุงคิม : ใช่ งานนี้เอางี้ ความล้มเหลวที่เกิดจากธรรมชาติ ถือเป็นสภาวะจำยอม เสียคือเสีย แต่เสียแค่ทุนที่จ่ายจริงลงไป ก็จ่ายน้อยๆซี่ จ่ายครึ่งทำเองครึ่งก็ได้....

ส่วนความล้มเหลวที่เกิดจากฝีมือคนปลูก อันนี้แก้ไขด้วยการ ฟัง-คิด-ถาม-เขียน....อ่าน-ดู-ทำ-คิด-วิเคราะห์-เปรียบเทียบ-ฟันธง ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยตัวคนเดียว ตัวเรานี่แหละ ไม้ต้นแรกเริ่มแล้วไม้ต้นต่อๆ ๆๆ ไปก็จะตามมา

สมช. : ครับบบบบ
ลุงคิม : ทำเถอะ ทำแล้วจะรู้เองว่า ถูกผิด ใช่ไม่ใช่ ดีไม่ดี งานนี้คุยได้เต็มปาก กูทำกับมือ มึงอย่างเถียง นี่แหละนักวิจัยชาวบ้านละ สำเร็จขึ้นมาละก็ ดอกเตอร์เชียวนะมึง

สมช. : ครับบบบ
ลุงคิม : เฮ่ยยยย ครับๆ น่ะ ตกลงจะปลูกอะไร ?

สมช. : ทุกอย่างที่ผู้พันบอกเลยครับ กับจะหาอย่างอื่นมาทดลองปลูกอีก ปีเดียวก็รู้เรื่อง
ลุงคิม : ลองดู

24. งานส่งเสริมการเกษตร :
อ้างอิง ....

* ธ.ก.ส. เผยผลสำรวจสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนเกษตร ครึ่งหลังปี 2561 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.3% แต่เมื่อเทียบสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับตัวลดลง 4.13% ชี้ครัวเรือนเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.9% และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 1.1% ด้านหนี้นอกระบบพบลดลงกว่าปีก่อน 18.5%

* เกษตรกรไทยปี 59 เป็นหนี้มากขึ้น ชี้ผลผลิตราคาตก และภัยธรรมชาติเป็นสาเหตุมากที่สุด
* สถานะความเป็นหนี้ของเกษตรกร ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ครัวเรือนเกษตร ส่วนใหญ่ 66% ยังคงพึ่งเงินกู้ยืมจากแหล่งเงินทุนต่างๆ โดยกู้ยืมจาก ธ.ก.ส. เป็นหลัก รองลงมาเป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ เช่น AEON และองค์กรการเงินกึ่งทางการ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนหมู่บ้าน และ ชุมชนเมือง

นี่คือ ผลงานส่งเสริมการเกษตร อย่างแท้จริง.....

รายการสีสันชีวิตไทย จับงานส่งเสริมการเกษตรตั้งแต่ปี 2537 แบบสัญจรไปสอนถึงบ้าน เปิดสอนที่ไร่กล้อมแกล้ม ทั้งพูด ทั้งทำให้ดู ให้ทำกับมือ ทำรายการวิทยุ เขียนหนังสือทั้งแจกทั้งขาย

ถึงวันนี้ผลงานที่ KIM ZA GASS ทำ ประเมินผลได้ว่า “ล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง.... จากจุดนี้จึงอยากถามว่า “ใคร หน่วยงานไหน ส่งเสริมได้สำเร็จบ้าง ?”


25. ซื้อ ทุเรียน-ขนุน หน้าฝน :
ไปแผงขายผลไม้ริมถนน ตามหมู่บ้าน จะซื้อทุเรียน-ขนุน ซึ่งเป็นไม้ผลย่านนั้น เทคนิคการเลือกผลไม้ที่พึงปฏิบัติ คือ :

1. อย่าเพิ่งเดินไปที่แผงขาย ทุเรียน-ขนุน โดยตรงทันที แต่ให้เดินไปที่แผงขายผลไม้อย่างอื่นก่อน วางมาดเหมือนสนใจผลไม้ชนิดนั้น ไม่ได้สนใจ ทุเรียน-ขนุน แม้แต่น้อย

2. ชวนคนขายคุย ย่านนี้ ระยะนี้มีฝนไหม ? ถ้ามีฝน ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? และอื่นๆที่เกี่ยวกับฝน ทั้งนี้ หากทุเรียนแก่จัด ใกล้เก็บ แล้วเจอฝน ความแก่ของผลทุเรียนจะหยุด กลายเป็นผลไม่แก่ทันที ส่วนขนุนแก่จัด ใกล้เก็บ แล้วเจอฝน จะเกิดอาการเมล็ดงอกใน เนื้อมีกลิ่นเหม็น .... ขนุนที่ผลแก่ เจอฝน แล้วไม่เกิดอาการเมล็ดงอกใน มีพันธุ์เดียว คือ พันธุ์ “ทองสุดใจ” เท่านั้น

3. รู้ข้อมูลทางธรรมชาติแล้วจึงตัดสินใจ ซื้อ/ไม่ซื้อ ตามอัธยาศัย
4. วิธีการเลือกที่ดีที่สุด คือ ผ่าดูเนื้อใน

26. ทหารขี้อิจฉา :
ภารกิจจัดรายการวิทยุช่วง 3 ปี เป็นการปฏิบัติภารกิจโดยแท้ ไม่มี SPONSOR ไม่มีรายได้พิเศษใดๆทั้งสิ้น....โดยทฤษฎีถือว่าเป็นการ ประชาสัมพันธ์/แจ้งเกิด รายการ

ขึ้นปีที่ 4 ของการทำรายการ บ.กรีนพลาน่า เข้ามาเป็น SPONSOR โฆษณาปุ๋ยน้ำทางใบ BIO KING โดย บ.กรีนพลาน่า จำกัด จ่ายค่าเวลาสถานีวิทยุเดือนละ 36,000 (ราคานี้สถานีกำหนดเอง ทุกรายการจ่ายค่าเวลาเท่ากันหมด) ค่าผู้ดำเนินรายการเดือนละ “-??-“ (ราคานี้ บ.กรีนพลาน่า ตั้งให้เอง) .... 2 ปี
แรกของการโฆษณา ได้ผลอย่างมากๆ

ขึ้นปีที่ 6 ของการทำรายหาร บ.กรีนพลาน่า ขยายเครือข่ายโฆษณาทางวิทยุจากสถานีวิทยุ ปตอ. ที่เดียว เพิ่มไปที่ สถานีวิทยุ มก. (กทม. ถ่ายทอดไปเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา), สถานีวิทยุ สทร (จันทบุรี), สถานีวิทยุเสียงอดิศร, (สระบุรี, สกลนคร) กับจ่ายค่าผู้ดำเนินรายการอีกสถานีละ “ -??-“ …. (รวมจ่าย 4 สถานี ๆละ “-??-“ ต่อเดือน)

งานนี้นายทหารที่เคยแพ้คิวไปเรียนเสธ. ร้องเรียน เสธ.นปอ.ทบ. (ตำแหน่งพิเศษ ผอ.สถานีวิทยุ พล.ปตอ.) ว่า...

ร้องเรียน : “ผู้พันวีระฯ ไม่ต้องทำงานที่หน่วย ไปทำงานที่สถานีวิทยุได้เงินพิเศษรวยไปเลย”
เสธ.นปอ. (ผอ.สถานีวิทยุ) : “การทำรายการวิทยุก็เป็นงานของหน่วยเหมือนกัน พล.ปตอ. เป็น นขต. (หน่วยขึ้นตรง) ของ นปอ. .... พ.ท.วีระฯ ตำแหน่งโดยตรงคือ ตำแหน่งนายทหารประชาสัมพันธ์ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่นี่ .... กรณี SPONSOR จ่ายค่าเช่าเวลาถือเป็นรายได้ปกติของสถานี เรื่องนี้ระเบียบกอง
ทัพบกไม่ได้ห้าม .... ส่วนค่าตัวหรือรายได้ของผู้ดำเนินรายการเป็นสิทธิส่วนตัวระหว่าง ผู้ดำเนินรายการ กับ SPONSOR หน่วยหรือสถานีไม่เกี่ยวข้อง....เรื่องการเป็นนักจัดรายการวิทยุนี่ หน่วยไม่ได้จำกัดเฉพาะบุคคล หมายความว่า ใครอยากจัดรายการวิทยุ เสนอความต้องการขึ้นมา ได้ทุกคน”

ร้องเรียน : แล้วคนที่มาจัดรายการ ไม่มี SPONSOR จะทำยังไง ?
เสธ.นปอ. (ผอ.สถานีวิทยุ) : ไม่มีคือไม่มี ไม่มี SPONSOR ก็ทำฟรีไป เพราะเรื่อง SPONSOR นี่ ทุกรายการ สถานีไม่ได้ทำอะไร ผู้จัดรายการหาเองทั้งนั้น

ร้องเรียน : แบบนี้ผมคงทำไม่ได้
เสธ.นปอ. (ผอ.สถานีวิทยุ) : ทำไม เขาทำได้ เราทำไม่ได้ .... อิจฉาเขาเหรอ ?

27. ขายถูกต้อง ได้เงิน+บุญ :
ผญ.สนธิฯ อยู่บ้านภูผีโห่ เป็นผู้นำชุมชนที่มีน้ำใจ คติประจำใจว่า “ผู้ใหญ่บ้านรวย ลูกบ้านรวย” ออกเงินกู้ให้ลูกบ้านเอาไปทำการเกษตรโดยเฉพาะ คิดดอกเบี้ยถูกๆ ถูกที่สุดในบรรดาเจ้าหนี้เงินกู้ ลูกหนี้ดีๆบางครั้งไม่เอาดอกเอาแต่ต้น ผญ.สนธิฯ รู้และเข้าใจดีว่า ต้นทุนทำการเกษตรตัวหนึ่ง ตัวสำคัญ คือ ปุ๋ย ว่าแล้ว ผญ.สนธิฯ ตัดสินใจไปเรียนที่ RKK เรียนวิธีทำปุ๋ย ไบโออิ, ยูเรก้า, ไทเป, แคลเซียม โบรอน, น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรตามชนิดพืช, เรียนแล้วกลับไป “หัดทำ-ฝึกทำ” สร้างประสบการณ์ตรง

ผญ.สนธิฯ เริ่มงานออกเงินกู้ใหม่ ใครกู้เงินแล้วซื้อปุ๋ย ผญ.ไปใช้ ไม่คิดดอกเบี้ย .... ลูกบ้านพอใจ ไม่เสียดอกเบี้ย ปุ๋ยราคาถูกมากๆ สูตรปุ๋ยมาจากผู้พันคิมในรายการวิทยุ เป็นการันตี

นารุ่นแรกได้ผลทันที แม้ผลผลิตที่ได้ไม่มากนักแต่ก็มากกว่าที่เคยทำแบบเก่า (แบบเก่า : ปุ๋ยเคมีไร่ละ 2 กส. ไม่เคยให้ทางใบ) แต่ต้นทุนค่าปุ๋ย ผญ.ต่ำกว่าปุ๋ยร้านค้ามาก ๆๆ ที่สำคัญ ได้เงินใช้หนี้โดยไม่ต้องจ่ายค่าดอก

นารุ่น 2 รุ่น 3 ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก ไม่ใช่แค่ตัวเองคนเดียว ลูกบ้านลูกหนี้คนอื่นๆก็เป็นเช่นนี้ ผลผลิตข้าวที่ได้เพิ่ม (ทั้งปริมาณและคุณภาพ), ต้นทุนลด (จ่ายน้อยลง 200%), อนาคตดี (โรงสีพอใจ สั่งซื้อล่วงหน้า)

ผญ.สนธิฯ แม้จะเสียรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้แต่ได้กำไรจากปุ๋ยแทน ได้มากกว่าด้วย ของแถม คือ ศรัทธา จากลูกบ้านลูกหนี้

28. ขนุนยกลูก ใครซื้อ :
สวนขนุน 20 ไร่ ที่บางละมุง เจ้าของภูมิใจที่เกษตรให้เป็นสวนตัวอย่าง การบริหารจัดการด้านการผลิตตามตำราที่เกษตร สอน/บอก แต่งานนี้มีแต่ ทุกครั้งที่เอาขนุนไปวางขายในตลาด

ลูกค้า : ขายยังไงคะ ?
คนขาย : กิโลละ 20 บาทครับ

ลูกค้า : ลูกนี้กี่กิโลคะ ?
คนขาย : 20 กิโล ครับ

ลูกค้า : โอ้โฮ 20 กิโล กินกี่วันถึงจะหมด ?
คนขาย : น้ำหนักทั้งลูก 20 กิโล แกะเนื้อแล้วจะเหลือ 10 กิโล ครับ

ลูกค้า : 10 กิโล ก็เถอะ กินกี่วันถึงจะหมด ?
คนขาย : กินไม่หมด ใส่ตู้เย็นก็ได้นี่ครับ

ลูกค้า : ขนุนแกะ ใส่ตู้เย็น ค้างคืนแล้วกินไม่อร่อย .... แบ่งขายไหม ขอซื้อที่แกะแล้วซักกิโลเดียวเท่านั้นแหละ
คนขาย : ขอโทษครับ ที่นี่ขายขนุนยกลูกครับ ไม่ได้แกะขาย

ปัญหาตลาดขนุน คือ ไม่มีใครซื้อแบบยกลูกไปกินที่บ้าน แม่ค้าแกะยวงขายปลีกก็รับวันละ 1-2 ลูกเท่านั้น งานนี้ ขนุน 20 ไร่ (รวมกี่ต้นไม่ได้นับ) ถูกโค่นทิ้งทั้งหมด แล้วเตรียมไม้ผลอย่างอื่นแทน

ปล.
ขนุนทั่วไปช่วงผลแก่เจอฝน เมล็ดมักงอกใน กลิ่น/รส ไม่ดี ยกเว้นขนุนพันธุ์ “ทองสุดใจ” ที่ผลแก่แล้วเจอฝนไม่เป็นปัญหา

29. ข้าว 9 เมล็ด ปลูกได้ 30 ไร่ :
“คุณบังอร” อยู่สุพรรณบุรี ได้ข้าวเปลือกไรซ์เบอร์รี่มาจากอาจารย์ที่ ม.เกษตรกำแพงแสน เจ้าของลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์ จำนวนเพียง 9 เมล็ด ด้วยความอยากได้ข้าวสายพันธุ์เป็นที่้สุด นำมาเพาะลงในแปลงที่เตรียมไว้ ประคบประหงมอย่างประณีตที่สุด ด้วยแนวทาง อินทรีน์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของต้นข้าว

ข้าวเปลือก 1 เมล็ดปลูกแล้วได้ 1 กอ .... 1 กอ แตกกอได้ 50 ลำ .... 1 ลำได้ 100 เมล็ด.... นั่นคือจาก 1 เมล็ดปลูกแล้วได้ 50 ลำ x 100 เมล็ด = 5,000 เมล็ด

สรุป : ข้าวเปลือก 9 เมล็ด ปลูกแล้วได้ 9 เมล็ด x 50 ลำ x 100 เมล็ด = 4,500 เมล็ด
ขยายผลรุ่นแรก 4,500 ปลูกได้ 1 ไร่ .... ขยายผลรุ่น 2 จาก 1 ไร่ปลูกได้ 30 ไร่

นอกจากนี้ ในเนื้อที่ 30 ไร่ ยังได้จัดแปลงส่วนหนึ่งสำหรับทำเมล็ดพันธุ์โดยเฉพาะด้วยเทคนิคการบำรุง การแยกข้าวปน ทุกขั้นตอนต้องอดทนอย่างที่สุด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการทำ .....

วันนี้ คุณบังอรฯ ประสบความสำเร็จอย่างมีคุณธรรม ใครๆขายข้าวปลูกไรซ์เบอร์รี่ ถังละ 1,500-1,700 แต่คุณบังอรฯ ขายถังละ 500 ก็ได้ข้าวเกวียนละ 50,000 แล้ว สบายๆๆ

ไรซ์เบอร์รี่ ล้มตอซัง ประหยัดต้นทุน :
- ทำนาแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของนาข้าว ยิ่งใช้ปุ๋ยลุงคิม ประจำหลายๆรุ่น จะยิ่งใช้น้อยลง จำนวนครั้งฉีดทางใบน้อยลง ให้ทางดินก็ใส่น้อยลงด้วย อันนี้น่ะจะเป็นเพรา “ดินดีแบบสะสม” กับต้นสมบูรณ์ที่ได้จากดิน ให้ปุ๋ยทางใบน้อยครั้งลงต้นก็ยังงามได้ ออกรวงดี น้ำหนักดี สำคัญที่สุด คือ โรคแมลงไม่วอแววี้ดว้ายกระตู้วูเลย

- ไถกลบฟาง ย่ำเทือกประณีตกำจัดวัชพืชไปในตัว เลิกยาฆ่าหญ้าแต่ใช้วิธีถอนเพราะมีไม่มากเลิกสารเคมีฆ่าแมลงแต่ใช้สารสมุนไพรแบบเดี่ยวๆ หรือแบบผสมปุ๋ยทางใบ ฉีดบ่อยๆ ฉีดล่วงหน้าก่อนศัตรูพืชมา ถือหลัก กันก่อนแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน

- หลายๆรุ่นมานี้ เฉพาะต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ลดสุดๆ ลดกว่าเดิมหลายเท่าตัวเห็นได้ชัด .... ไม่จ้างแรงงาน ทำเองสองคนผัวเมียเท่านั้น ลงแปลงเดินย่ำลงไปในนาทุกวัน .... ขยันจนน่ากลัว ขยันแล้วรวยใครจะไม่เอา ผิดกับบางคนที่ “ขี้เกียจ” อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่มีเวลา ยุ่งยากเสียเวลา ทำไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่มีใครมาส่งเสริม แบบนี้ก็จง “จน+หนี้” ต่อไปเถอะ

- รู้ดีว่า สายพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ยังไม่นิ่ง เพราะฉะนั้น ทุกรุ่นทุกรอบที่ปลูก จะแยกข้าวปนโดยการเดินลุยลงไปแล้ว “ถอนทิ้งทั้งกอ” ถอนทุกอย่าง วัชพืช ข้าวสีขาวที่ติดมากับรถเกี่ยว ไรซ์เบอร์รี่เมล็ดสีขาวอมเทา อย่าเสียดาย อย่างก

- รุ่นนี้ทำนาไรซ์เบอร์รี่แบบ “ย่ำตอซัง” ได้ผลชัดเจนมากๆ ประหยัด “ค่าไถ ค่ำย่ำเทือก ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าดำ ค่าแรง ฯลฯ” ....

วิธีการ :
เกี่ยวข้าวเสร็จ เกลี่ยฟางให้เสมอกัน แล้วใช้ล้อย่ำตอทันที
บริเวณกลางแปลงล้อย่ำทำงานเรียบร้อยดี แต่ตอข้าวริมคันนาล้อย่ำทำงานไม่สะดวก ต้องใช้เครื่องตัดหญ้าช่วยตัดตอแทน ดูแล้วเรียบร้อยดีกว่าย่ำ

(..... คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ .... ใช้เครื่องตัดหญ้าแบบเส้นเอ็นดีกว่าวิธีใช้ใบมีดเหล็กหรือวิธีใช้ล้อย่ำ ทั้งนี้ ต้นข้าวจะขาดตอเสมอกันทั่วทั้งแปลง ส่งผลให้การแทงหน่อใหม่ดี....)

หลังย่ำตอ 5-7 วัน หน่อข้าวเริ่มแทงขึ้นมาจากพื้นดิน สำรวจได้ประมาณ 75-80% ทิ้งไว้อีก 3-5 วัน ส่วนที่เหลือเริ่มงอก รวมข้าวงอกมากกว่า 95% ที่เหลือช่วยเขาโดยแซะข้าวกอข้างเคียงมาดำเสริม

(.... ก่อนย่ำตอไม่ใส่น้ำ ปล่อยให้หน้าดินแห้งเพื่อให้ตอแหลกสลายดี แม้ผิวดินจะแห้งแต่มีน้ำอยู่ไต้ผิวดิน อันเป็นผลพวงมาจากการไถกลบฟางซ้ำหลายๆรุ่น ฟางไต้ดินจึงทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำเก็บน้ำไว้ให้ หล่อเลี้ยงตอข้าวยามรอแตกหน่อใหม่ได้....)

- เมื่อมั่นใจ ทั้งหน่อข้าวแตกใหม่ หน่อใหม่ที่ปลูกซ่อม ยืนต้นได้แล้ว สิริรวมระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 10-12 วัน ใครเห็นก็คิดว่า ตอข้าวขาดน้ำนานปานนี้น่าจะตายหมดแล้ว แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ นอกจากในดินมีฟองน้ำคอยอุ้มน้ำไว้ให้แล้ว ระบบรากที่สมบูรณ์แข็งแรง จากการบำรุงต้นข้าวส่งผลให้ตอข้าวยืนรอแตกหน่อใหม่ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน จึงสูบน้ำเข้านา จากนั้นทุกอย่างทุก
ขั้นตอน ปฏิบัติเหมือนการทำนาปกติ

- ฟางในดินอุ้มน้ำไว้ในเนื้อดินได้นานนับเดือน เป็นน้ำระดับ “ชื้น” งานนี้นอกจากได้น้ำแล้วยังมีจุลินทรีย์ประจำถิ่น +จุลินทรีย์ที่ใส่ลงไปอีกด้วย

- แปลงข้างๆ เห็นนาแปลงนี้มาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ข้าวปลูกมา 9 เมล็ด, การเปลี่ยนจากข้าวสีขาวมาเป็นข้าวสีดำ, การปฏิบัติบำรุง, ทุกอย่างทุกขั้นตอนประจักษ์แจ้งเห็นกับตา จับกับมือ แม้กระทั่งรายได้แต่ละรุ่นก็รู้อยู่แก่ใจ .... งานนี้นอกจาก ไม่ใส่ใจ-ไม่คิด-ไม่วิเคราะห์-ไม่เปรียบเทียบ กับนาตัวเอง กับนาแปลงอื่นๆ แล้ว ยังค่อนขอดนาๆว่า นาอินทรีย์ไปไม่รอด ข้าวสีดำโรงสีไม่รับซื้อ มาถึงรุ่นนี้ ไรซ์เบอร์รี่ล้มตอซัง ก็ยังค่อนขอดอีกว่า ต้นข้าวไม่ใช่ต้นกล้วยถึงจะเอาหน่อได้ กระทั่งหน่อข้าวขึ้นมาเต็มแปลง เห็นเต็มตาว่านั้นคือต้นข้าว ก็ยังไม่วายสงสัยอีกว่า มันมาได้ยังไง ?

กรอบแห่งความคิด :
คุณภาพเพิ่ม :

- ไม่อยู่ในเกณฑ์ถูกตัดราคา (ปลอม ปน ป่น ไข่ เรื้อ ลีบ)
- ปริมาณเท่ากันแต่ขายได้ราคาสูงกว่า
- ผลิตตามความต้องการของตลาด หรือผู้รับซื้อ (การตลาด นำการผลิต)
- แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม (ขายส่ง ขายปลีก)
- ปรับ/เปลี่ยน วิธีการปฏิบัติเมื่อสภาพอากาศผิดปกติ เพื่อให้ได้ผลผลิต
- อินทรีย์นำ เคมีเสริม หรือ เคมีนำ อินทรีย์เสริม ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม

ต้นทุนลด :
- เขียนรายการต้นทุนที่เป็นเงิน (เช่า ไถ ย่ำ พันธุ์ หว่าน/ดำ ฉีด ปุ๋ย ยา ฯลฯ) ขึ้นมาก่อน ทุกรายการ
- เขียนรายการต้นทุนที่ไม่ได้ซื้อ (ที่ดิน เวลา แรงงานตัวเอง โอกาส ฯลฯ) ขึ้นมาก่อน ทุกรายการ
- ประมาณการตลาดล่วงหน้าราคาขายว่า ขายแล้วจะได้เท่าไหร่
- คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ต้นทุนระหว่างทำเอง 100% กับ ทำเองครึ่งนึ่งซื้อครึ่งนึง
- ลงทุนแก้ปัญหาครั้งเดียว เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว
- ใช้ เทคโนโลยีวิชาการ ผสมผสาน เทคโนโลยีชาวบ้าน
- ฉลาดเลือกฉลาดซื้อฉลาดใช้ฉลาดวางแผนฉลาดทำ เพื่อต้นทุนต่ำกว่าแต่ประสิทธิภาพเหนือกว่า
- ใช้เครื่องทุ่นแรง เพื่อประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน

อนาคตดี :
- ระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว
- ปัจจัยพื้นฐานฯ ดีขึ้นเรื่อยๆ
- ชื่อเสียง เครดิต
- รวมกลุ่มสร้างผลผลิตเพื่อผู้รับซื้อมั่นใจ
- เปิดตัวเปิดใจรับรู้ข้อมูลทางวิชาการ แล้วต่อยอดขยายผล สำหรับรุ่นหน้า รุ่นต่อๆไป
**** ทฤษฎีนี้ นำไปใช้กับนาข้าวได้ทุกชนิด ทุกสายพันธุ์ ทุกประเทศ ****

30. นายให้ไปเรียนเสธ. :
ที่ บก. นปอ. (กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก...ชั่วคราว) สี่แยกเกียกกาย กทม. ผอ.กพ. (ผู้อำนวยการฝ่ายกำลังพล) ยืนพิงประตูหน้าห้อง กร. (กิจการพลเรือน) พูดคุยตามประสาทหารกับนายสิบฝ่าย กร. เป็นการคุยเพื่อฆ่าเวลามากกว่าหวังผลอะไรซักอย่าง นานเกือบครึ่งชั่วโมง ผอ.กพ. มองไปมุมท้ายห้อง แล้วถามขึ้นลอยๆ

ผอ.กพ. : วีระ .... ไปเรียนเสธ.ไหม ?
ลุงคิม : (เสียงดังฟังชัด ทุกคนในห้องได้ยิน มองไปที่ ผอ.กพ.ก่อน แล้วมองมาที่ลุงคิม เงียบฟัง ไม่พูดอะไร....ลุงคิมตอบทันที) .... ไปครับ

ผอ.กพ. : (ทุกคนในห้องหันขวับไปมอง ผอ.กพ.) O.K. ผบ.ให้คุณวีระฯ ไปเรียนเสธ.รุ่นนี้นะ
ลุงคิม : (ยืนขึ้น ชิดเท้า โค้งทำความเคารพด้วยความเคยชินแล้วตอบ) ครับ....ขอบพระคุณครับ

ผอ.กพ. : แล้วผมจะออกหนังสือส่งตัวให้นะ
ลุงคิม : ครับ....ขอบพระคุณครับ

เหมือนเสร็จภารกิจ ผอ.กพ.หันหลังกลับทันที ไม่สนใจเสียงซุบซิบฮือฮาของลูกน้องในห้อง กร. จากนั้นไม่ถึง 10 นาที เสียงร่ำรือ ผบ.ให้ผู้พันวีระ ไปเรียนเสธ....ผบ.ให้ผู้พัน วีระ ไปเรียนเสธ....ผบ.ให้ผู้พันวีระ ไปเรียนเสธ .... กระจายทั่วทั้ง บก.นปอ.

ตามระเบียบการส่งกำลังพลไปเรียน ร.ร.เสนาธิการทหารบก ของหน่วยฯ ช่วงนั้นมีคิวคนที่มีสิทธิ์ไปเรียนก่อนถึงลุงคิม 2 คน นั่นหมายความว่าต้องรอเวลาอีก 2 ปี ลุงคิมจึงจะมีสิทธิ์ไปเรียน

งานนี้คนเสียสิทธิ์ตามคิวโวยทันที : .... เฮ้ยยยย เล่นเส้นแบบนี้ไม่ยุติธรรมนี่หว่า
คำตอบจากลูกน้องใน กร. : .... เส้นหรือไม่เส้น ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ไปถาม ผอ.กพ. เอาเอง
นั่นแหละเสียงโวยจึงเปลี่ยนเป็นเสียงยอมรับผลงานลุงคิมในสายตา ผบ.นปอ.


31. ปัจจัยพื้นฐานการเกษตรด้านพืช :
ดิน น้ำ แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล สารอาหาร สายพันธุ์ โรค ตลาด ต้นทุน คุณภาพ ปริมาณ แปรรูป พันธะสัญญา อนาคต ปุ๋ย ยา เทคนิค เทคโนฯ โอกาส

หลักบริหาร 6 : NEY. MONEY. MATERIAL. MATERIAL. MACHINE. MANGEMENT. MORALE.

ข้อมูล : 5 W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY) 1 H. (HOW)


32. คิด-ทำ-ขาย-แจก :
แบบ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน-มาตรฐานโรงงาน-มีหลักวิชาการรองรับยืนยัน
เกษตรอินทรีย์ๆ ๆๆ ไม่ใช้สารเคมีๆ ก็ให้น่าสงสัยว่า เมื่อไม่ใช้สารเคมีแล้วใช้สารอะไรกำจัดศัตรูพืช

ไม่มีพืชใดในโลกนี้ไม่มีศัตรูพืชประจำตระกูลเผ่าพันธุ์ วันนี้ยังไม่มีเพราะยังไม่มา

พืชกับศัตรูพืช เกิดคู่กันมาตั้งแต่กำเนิดขึ้นมาในโลก เป็นล้านปีแล้ว วันนี้ก็ยังอยู่

ไม่น่าเชื่อ เกษตรกรปลูกพืชเป็นอาชีพหลัก เห็นตัว หนอน/แมลง/โรค แต่ไม่รู้จักชื่อไม่รู้วัฏจักรชีวิต เกิด-กิน-แก่-เจ็บ-ตาย-ขยายพันธุ์ ของมัน สวมวิญญาณนักปราชญ์ สุ-จิ-ปุ-ลิ “+” อ่าน-ดู-ทำ-ใช้-คิด- วิเคราะห์-เปรียบเทียบ-ฟันธง .... “X” ทำใช้-ทำขาย-ทำแจก
**** อยากทำปุ๋ยเอง แต่หาวัสดุส่วนผสมไม่ได้
**** ไปที่ร้าน ให้ร้านสั่งให้ บอกสหกรณ์ที่หมู่บ้านเอาสินค้านี้มาขาย
**** อยากทำยาสมุนไพรเอง แต่ไม่รู้จัก หาซื้อไม่ได้
**** ไปที่ร้านยาไทย บอกให้สหกรณ์ที่หมู่บ้านเอาสมุนไพร สำเร็จรูป/พร้อมใช้ มาขาย
**** อยากรู้เทคโนโลยี แต่ไม่รู้ ไม่เคยเห็น
**** อ่านตำรา ไปตามสวน ดูหลายๆ สวน แล้ว คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ด้วยเหตุและผล
**** อยากได้โอกาส แต่ ไม่รู้/ไม่เชื่อ
**** ถามคนขาย สินค้านั้นมาจากไหน ไปดูถึงแหล่งแล้ว คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ด้วยเหตุและผล

33. ส่งเสริมสไตล์ไร่กล้อมแกล้ม :
การเกษตรด้านพืชทุกแแบบต้องอยู

.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 13/03/2024 7:25 am, แก้ไขทั้งหมด 84 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 18/11/2023 5:08 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.

33. ส่งเสริมสไตล์ไร่กล้อมแกล้ม :
การเกษตรด้านพืชทุกแแบบต้องอยู่บนพื้นฐาน....เกษตรลดต้นทุน-อินทรีย์นำ-เคมีเสริม-ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด-แต่ละปัจจัยพื้นฐาน-แต่ละวัตถุประสงค์

* ต้นทุนลด ทำเอง – ผลผลิตเพิ่ม ปริมาณ คุณภาพ – อนาคตดี เกรด เอ. จองล่วงหน้า
* แปลงภาษาวิชาการเป็นภาษาชาวบ้าน.... ภูมิปัญญาพื้นบ้าน มาตรฐานโรงงาน มีหลักวิชาการรองรับ
* ทำได้ ได้ทำ เพราะอะไร ต่อยอด/ขยายผล ยังไง ....ทำไม่ได้ ไม่ได้ทำ เพราะอะไร ปรับ/แก้ ยังไง
* ผลมาจากเหตุ เหตุทำให้เกิดผล ....... ทำถูกต้อง ได้ถูกต้อง – ทำผิด ได้ผิดผิด
* ปลูกพืชตามใจพืช ไม่ใช่ตามใจคน .... เลิก คิดเอง-ถามเอง-ตอบเอง
* ไม่เอาชนะธรรมชาติ แต่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ แสวงประโยชน์จากธรรมชาติ
* ปลูกพืชขายผลผลิต 100 ปี ไม่รวย แต่าขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง ปีเดียว “รวย”
* เน้นเน้นเน้น H. (HOW TO) ….. ผ่านผ่าน W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY)
* ให้ปุ๋ยเคมี “ฟันธง” ….สูตรไหน-ทางใบ/ทางราก-กี่วันครั้ง-เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก เพราะอะไร ?
* ให้ปุ๋ยอินทรีย์ “ฟันธง” …. แห้ง/น้ำ-เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ด้วยอะไร ? เพราะอะไร ?
* ให้ยาสมุนไพร“ฟันธง” …. สูตรไหน ตัวไหน ควบคู่ ไอพีเอ็ม ด้วยอะไร ? เพราะอะไร ?
* ส่งเสริมแบบ“ฟันธง” เจาะลึก ปุ๋ย-ยา-เทคนิค-เทคโนฯ-โอกาส-ตลาด-ต้นทุน ยากที่สุด คือ “ตลาด”
* ที่นี่ที่ไหนๆ ไม่มีที่ดีที่สุด ทุกที่มีดีสำหรับตัวเขาเอง มิเช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ได้ เอา “ดี” ของเขามา ปรับ/ประยุกต์/เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก/ต่อยอด/ขยายผล ให้ตรงกับของตัวเอง
* ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป กะรวยคนเดียว/กะรวยกวาข้างบ้าน = จนคนเดียว จนกว่าข้างบ้าน กะรวยด้วยกัน = รวยทุกคน รวยทั้งหมู่บ้าน
* มีคนละนิดละหน่อย หันหน้าเข้าหากัน เอามารวมกัน = จะมีมากทุกค
* กล้าขยัน กล้าคิด กล้าทำ .... คนกล้า = สำเร็จทุกราย
* พฤติกรรม ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี .... แบบเดิม = ไปไม่รอด

34. มิติเกษตร :
มิติ 1 : มูลค่าที่ดินวันนี้ไร่ละแสน ตกทอดเป็นมรดกให้หลานไร่ละล้าน
มิติ 2 : ขายที่ดิน คือ ชีวิต/วงศ์ตระกูล/นามสกุล/ศักดิ์ศรี สูญสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่าง
มิติ 3 : ขายที่ใช้หนี้แล้วเช่าที่ตัวเอง อนาคตไม่แน่เพราะเจ้าของคนใหม่จะเอาคืนเมื่อไหร่ไม่รู้
มิติ 4 : สังคมโลกวันนี้ หยุดอยู่กับที่ = ถอยหลัง เพราะคนอื่นก้าวไปข้างหน้า
มิติ 5 : ทำแบบเดิม ทำตามคนที่ล้มเหลว VS ทำแบบใหม่ ทำตามคนที่สำเร็จ
มิติ 6 : เปิดตัว เปิดใจ รับข้อมูล VS ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว
มิติ 7 : ไม่รู้ไม่เป็น-ไม่เป็นไม่รู้....เกิดจากอะไร ? เกิดได้ยังไง ? แก้ไขได้ไหม ? แก้ไขยังไง ?
มิติ 8 : ไม่รวยแต่เป็นหนี้…เกิดจากอะไร ? เกิดได้ยังไง ? แก้ไขได้ไหม ? แก้ไขยังไง ?
มิติ 9 : กับดักรายได้ปานกลาง สร้างเองแล้วเข้าไปอยู่เอง
มิติ 10 : ตายแล้วเหลือกระดาษ 1 แผ่น ..... กระดาษแผ่นนั้น โฉนดที่ดิน หรือ สัญญาเงินกู้
มิติ 11 : เพื่อนที่ดีที่สุด คือ คนในกระจก
มิติ 12 : กะรวยด้วยกัน = รวยทุกคน
มิติ 13 : เอาความเก่งที่แต่ละคนมีมารวมกัน = เก่งมากทุกคน
มิติ 14 : ทำตามคนที่ล้มเหลวจะล้มเหลวยิ่งกว่า เพราะอยากเอาชนะ ไม่ทำตามสมการปุ๋ย/ยา เขาใส่ปุ๋ย 1 เราต้องใส่ 2 เขาฉีดยา 1 เราต้องฉีด 2

ทำตามคนที่สำเร็จจะสำเร็จยิ่งกว่า เพราะเอาแนวเขามา ต่อยอด/ขยายผล ตามสมการปุ๋ย เขาใส่ปุ๋ย 1 เราใส่แค่ครึ่งเดียว แล้วใส่ตัวเสริมประสิทธิภาพปุ๋ยแทน

เขาฉีดยา เราไม่ฉีด แต่ใช้สารธรรมชาติแบบเข้มข้น บ่อยๆ สม่ำเสมอ ตามหลักสมการยา แทน ผลรับที่ได้ คือ ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลด อนาคตดี

35. แพ้/ชนะ ที่โอกาส :
การเกษตรไทยวันนี้ รัฐบาลช่วย + ตัวเองช่วย = ได้ 2 เด้ง
* รัฐบาลช่วย ให้เงิน
* ก.เกษตรช่วย ให้ความรู้ แต่เกษตรกรรับเงินอย่างเดียว าความรู้

ความรู้มาจากใจ เริ่มจาก สุ. จ. ปุ. ลิ. .... อ่าน. ดู. ทำ. ใช้. .... คิด. วิเคราะห์. เปรียบเทียบ. ต่อยอด. ขยายผล. ฟันธง.

รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม …. รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผลรู้แล้วติดตัวไปตลอดชีวิต ทำเองได้ ถ่ายทอดให้ลูกหลานได้ สอนคนอื่นได้....ความรู้คือศักดิ์ศรี

** ความรู้มาจากการเรียน เรียนในสถานศึกษา เรียนด้วยตัวเองที่บ้าน เรียนในแปลง
** เกษตรเรียนในสถานศึกษา เรียนเรื่องเดียวจากครูสอนคนเดียว จากหนังสือเล่มเดียว ได้รู้แค่นั้น
** เรียนด้วยตัวเองที่บ้าน เรียนเรื่องเดียวกัน จากหนังสือหลายเล่ม ได้รู้มากกว่า
** ความเก่งที่พระเจ้าประทานให้ทุกคนมีเท่าๆกัน แต่ “แพ้/ชนะ” กันที่โอกาส

IQ คือ ฉลาดเฉลียว มาจากสายเลือด มีใน DNA
EQ คือ มนุษย์สัมพันธ์ มาจากความมีน้ำใจอัจฉริยะ
อัจฉริยะ คือ ความคิดริเริ่ม ความเฉลียวฉลาด
อัจฉริยะสร้างเองได้ มาจาก “แรงบันดาลใจ 99% + ความมุ่งมั่น 1%” นั่นคือ ใครๆ ก็อัจฉริยะได้

EQนำ + IQเสริม ประสบความสำเร็จมากกว่า IQนำ + EQเสริม
“อัจฉริยะ – IQ – EQ” .... เกิดใน “ใจ” มาจาก “ใจ”

พรสวรรค์ 1 พรแสวง 99 ..... เฮง 1 เก่ง 99 IQ EQ”
พรสวรรค์ พรแสวง - เฮง เก่ง ..... ไม่มีขาย

36. เกษตรกร สปปล. :
จากโทรศัพท์ : (085) 459-84xx
ลุงคิม : (สัญญานโทรศัพท์ดังขึ้น) ฮัลโหลคร้าบบบบ.....
ซมซื่น : ลุงคิมซำบายดีเหรอครับ ?

ลุงคิม : ไม่เคยลำบากว่ะ
ซมซื่น : (หัวเราะ) เหมือนเดิมเลยครับ

ลุงคิม : (สำเนียงพูดค่อนไปทางอิสาน แต่ไม่ใช่) นั่นใครพูดวะน่ะ
ซมซื่น : ผมท้าวซมซื่นครับ ลุงคิมจำผมได้ไหม ผมเคยโทรมาคุยกับลุงคิมหลายครั้งแล้ว

ลุงคิม : (ท้าวซมซื่น บ.ปากมี่ เมืองสาระคาม แขวงเวียงจันทน์ ตรงข้าม อ.เชียงคาน จ.เลย)
ซมซื่น เป็นคนลาวนี่หว่า นี่โทรมาจากประเทศลาวเลย แม่นบ่อ ?
ซมซื่น : แม่นครับ บ้านปากมี่ เมืองสาระคาม แขวงเวียงจันทน์ จำได้หรือยังครับ ?

ลุงคิม : (ลาวคนนี้พูดไทยได้ชัดเจนมาก ทั่งสำเนียง คำศัพท์.... ภาษาลาวไม่มี ช.ช้าง ต้องใช้ ซ.โซ่ แทน เพราะฉะนั้น ซมซื่น ในภาษาไทยก็คือ ชมชื่น นั่นเอง) .... เออ จำได้แล้ว ดีใจหลายว่ะซมซื่น เป็นไง ประเทศลาว น้ำท่วม ฝนแล้ง ซำ (เหมือน) ประเทศไทยบ่อ ?
ซมซื่น : ซำกันแหละครับ บางบ่อนท่วม บางบ่อนแล้ง แผ่นดินมันติดกันนี่ครับ

ลุงคิม : ประมาณนั้นว่ะ ซมซื่น.....วันนี้โทรมามีอะไรเล่าสู่กันฟังไหม ?
ซมซื่น : มีครับ มะขามหวานผมเป็นเชื้อราตามใบ ตามกิ่ง ผมใช้สมุนไพรเผ็ดจัดฉีด ผมทำตามที่
ลุงคิมบอกในวิทยุนั่นแหละครับ ใช้ได้ผลมากเลย ไม่มีราเหลืออยู่เลย

ลุงคิม : งั้นเหรอ....เดี๋ยว เดี๋ยว เดี่ยว อย่าฟ่าว (รีบร้อน) ฟังรายการวิทยุลุงคิมที่ประเทศลาวเลยใช่
ไหม
ซมซื่น : ใช่ครับ

ลุงคิม : เอาวะ ดีนี่หว่า แล้วมีคนอื่นฟังบ้างไหม ?
ซมซื่น : มีครับ แต่ผมฟังทุกวัน เช้าแลง (ค่ำ) เลยครับ

ลุงคิม : โอ.เค. เชื้อราเป็นที่ใบ ที่กิ่ง แล้วที่ฝัก คือเนื้อในมันล่ะ เป็นด้วยหรือเปล่า ?
ซมซื่น : เป็นบ้างครับ แต่ไม่มากครับ

ลุงคิม : เอาละ เชื้อราในฝักไม่มียาอะไรฉีดเข้าไปในเนื้อมันได้ อันนี้เราต้องป้องกันไม่ให้เชื้อราจากข้างนอกเข้าไปข้างในเท่านั้น
ซมซื่น : ทำยังไงครับ ?

ลุงคิม : ให้ถึง แคลเซียม โบรอน.หน่อย ให้บ่อยๆน่ะ แคลเซียม โบรอน.จะไปทำให้ผนังเซลล์ของเปลือกแน่น เชื้อราเข้าไม่ได้เอง
ซมซื่น : โอ ดีจัง เดี๋ยวผมต้องให้บ้างแล้วหละ ..... ลุงคิมครับ มะขามหวานผมเริ่มเปรี้ยวแล้ว ทำยังไงครับ ?

ลุงคิม : อันนี้ไม่ยาก มะขามหวานต้องใช้ปุ๋ยตัวท้ายมากๆ เพื่อเร่งหวาน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เป็น
ฝักให้ใส่ปุ๋ยทางดินสูตร 8-24-24 ไปเลย ใส่ซักต้นละ 2-3 กำมือต่อต้นต่อเดือน ใส่ขี้ไก่ ขี้ค้างคาวเสริมนิดหน่อยก็ดี
ซมซื่น : ครับลุง ใส่ 8-24-24 แล้วฝักมันจะโตได้ไหมครับ ?

ลุงคิม : เราก็ให้ทางใบซี่ 21-7-14 สลับกับแม็กเนเซียม-สังกะสี แล้วก็แคลเซียม โบรอน. นั่นแหละให้ไปเถอะ ให้ได้ซักสูตรละครั้งต่อเดือนก็พอ
ซมซื่น : ครับลุง

ลุงคิม : เฮ่ย ซมซื่น ที่บอกนี่จื่อ (จำ) ได้เหรอ ?
ซมซื่น : ได้ครับลุง ผมจดไว้แล้ว

ลุงคิม : เก่งนี่หว่า....
ซมซื่น : ลุงครับ ผมอ่านหนังสือลุงทุกวันเลย

ลุงคิม : หนังสืออะไร เอามาจากไหน อ่านภาษาไทยนะ ?
ซมซื่น : ครับ หนังสือเกษตรใหม่ ไม้ผลแนวหน้า สูตรฟันธง ญาติผลทำงานอยู่กรุงเทพ เขาซื้อมาฝากครับ

ลุงคิม : นั่นมันหนังสือเก่ามากแล้วนะ
ซมซื่น : ไม่เก่าครับ เรื่องข้างในยังทันสมัยอยู่เลย ผมลองทำลองใช้แล้ว ได้ผลดีมากเลยครับ

ลุงคิม : เอางั้นนะ ไงๆดูแลคนข้างบ้านด้วยนะ
ซมซื่น : ดูครับ ผมทำแล้วแบ่งให้เขาเอาไปใช้ สมุนไพรกำจัดเชื้อราใช้กับผักดีมากเลย

ลุงคิม : อืมมม ทำกำจัดเชื้อราแล้ว ทำกำจัดหนอนแมลงด้วยซิวะ
ซมซื่น : สมุนไพรขมใช่ไหมลุง ?

ลุงคิม : นั่นแหละ เป๊ะเลย ในเมืองไทยหลายคนใช้แล้วได้ผลดีว่ะ
ซมซื่น : ผมจะลองครับ ประเทศลาวมีสมุนไพรขมๆ เยอะเลย

ลุงคิม : ดี ไม่ลองไม่รู้ ว่ามั้ย
ซมซื่น : ใช่ครับ....วันนี้ขอแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วผมจะโทรมาใหม่

37. ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีให้กลุ้ม :
สมช. ผ-ม. : ( 2 คน สามีภรรยา) ผู้พันครับ ผมมาจากปทุมธานี ฟังรายการวิทยุผู้พันมานาน ตอนนี้ทำนา 20 ไร่ ปีนี้น้ำท่วม เกี่ยวแล้วได้ข้าวแค่ 12 เกวียน คิดว่าปีหน้าคงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำอีก เมื่อก่อนเคยได้ 20-22 เกวียน ได้ข้าวขนาดนี้แต่ราคาไม่ได้ดีขึ้น แถมถูกลงๆ ซะอีก แบบนี้คงต้องพึ่งผู้พันแล้วแหละครับ....

ระหว่างฟังโจทย์ก็คิดไป คิดหาคำตอบให้ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ตรงไหน
เก่งแค่คิด คิดในใจ พูดไม่ได้ กลัวโดนชก :
** ชาวประมงพื้นบ้านที่ปัตตานี บอกจับปลาได้ปีละ 220 วันไม่พอกิน ขอจับตลอดปี.... ไม่ได้คิดเลยว่า ที่เขาให้จับแค่นั้นเพื่อให้ปลามีเวลาโต มีโอกาสขยายพันธุ์ จะได้มีปลาให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้จับกันบ้าง .... จับปลาทะเล จับปลาทะเล ทำไม่คิดเลี้ยงปลาในทะเล

ในทะเลสาบสงขลาเขาเลี้ยงปลากะพงเต็มไปหมด.....
ในทะเลภูเก็ตเขาเลี้ยงหอยมุกเต็มไปหมด....
ในทะเลสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เขาเลี้ยงหอยแมลงภู่ หอยแครง เต็มไปหมด....
ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขาเลี้ยงปลาทูน่าในตาข่ายขนาด 2-3 ตร.กม. หลาย 10 ตาข่าย จับปลาทูน่านับ 1,000 ตัว ส่งขายที่ญี่ปุ่นตัวละ 100,000 ยูเอส ดอลลาร์

** ชาวสวนยางพารา ชาวสวนปาล์มน้ำมัน เกษตรเชิงเดี่ยว แบ่งที่ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน แค่ 3-4-5 ไร่ มาปลูกพืชอย่างอื่นเสริม ทำเกษตรผสมผสาน ทำรายได้มากกว่ายางพารา ปาล์มน้ำมันทั้งสวน ก็มีให้เห็น แถวๆบ้านตัวเองนั่นแหละ

** ปลูกผักอายุนานบนคันนา ปรับคันนากว้าง 3 ม., ตะไคร้ ข่า พริกขี้หนูหอม มะเขือพวง รายได้มากกว่าข้าวบนเนื้อที่ไร่ต่อไร่

** ตัวอย่างชาวนาที่พิจิตร ขายที่มรดกฝ่ายผัวไม่พอใช้หนี้ ผัววางแผนจะขายที่ดินมรดกฝ่ายเมียอีก ฝ่ายเมียกับลูกชายไม่ยอม ว่าแล้วเมียกับลูกชายปลูกผักสวนครัวบนคันนา เอาผักไปขายที่ตลาดนัดจร ท่าม กลางเสียคัดค้านเยาะเย้ยจากฝ่ายผัว เมียกับลูกชายไม่สนใจ เอาผักไปขาย ขาย ขาย แค่ปี 2ปี ได้เงินจากขาย ผักให้ผัวเอาใช้หนี้จนหมดแล้ว งานนี้ฝ่ายผัวเงียบกริบกริ๊บ

** ตัวอย่างชาวนาริมถนนสายมอเตอร์เวย์ ปลูกตะไคร้ ข่า บนคันนา เก็บผลผลิตขายปีได้ละ 3-4 รอบ บางปีบางช่วงเจอแจ๊คพ็อต ข่าอ่อน กก.ละ 80 บาท ปีนั้นเลยรวย สรุปงานนี้ ตะไคร้ ข่า รวยกว่าข้าวก็แล้วกัน

** นาข้าวสลับถั่วไร่ ในรอบปีทำนาข้าว 2 รอบ ปลูกพืชไร่ 1 รอบ (ถั่วเขียว/เหลือง/แดง/ดำ/ขาว/งา/ทานตะวัน .... งา ราคาแพงกว่าถั่ว)

** ปลูกข้าวให้ได้เงินดีต้อง ขายข้าวปลูก, ขายข้าวตามสัญญาคนรับซื้อ, ปลูกข้าวสีเป็นข้าวพร้อมหุง (ข้าวฮาง กก.ละร้อย 1 เกวียน 1 ล้าน), สุดยอดข้าว คือ น้ำมันรำ/จมูกข้าว แค็ปซูล

** ปลูกเผือกริมคันนา นาข้าวริมถนนบรมราชชนนี ปลูกเผือกน้ำอยู่กับนาข้าว ริมคันนา บำรุงเผือกทางใบเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต้นข้าว ปุ๋ยบำรุงเผือก ใบโออิ 5-10-40 ยืนพื้น ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เชื่อเถอะ ดีกว่าบำรุงเผือกด้วย 8-24-24 อายุ 4 เดือนเก็บ ได้หัวละ 4 ขีด....เสียเวลา

** ทำนาข้าว ขายข้าวขาดทุน โทษโรงสีให้ราคาต่ำ แต่ไม่เคยดูเลยว่าต้นทุนสูงเพราะอะไร ? ค่าอะไร ? เช่น ค่าปุ๋ย, ค่ายา, ค่าดินเสื่อม, ค่าเมล็ดพันธุ์, ค่าคุณภาพข้าว, ค่าโอกาส, ค่าแรง, ค่าเวลา, ค่าพื้นที่, ฯลฯ

** นายกสมาคมฯ เสนอแนะให้ข้าวเปลือก ตันละ 15,000 ชาวนาจึงจะอยู่ได้ เพราะต้นทุนนาข้าวตกไร่ละ 8,000 เกมส์นี้คิดดู เดิมโรงสีรับซื้อข้าวเปลือกตันละ 8,000 แล้วสีเป็นข้าวสารพร้อมหุงตก กก.ละ 30 คนกินพออยู่ได้ แต่ถ้าโรงสีลงทุนจ่ายค่าข้าวเปลือกตันละ 15,000 แล้วสีเป็นข้าวสารพร้อมหุงจะมิตก กก.ละ 100 หรอกรึ ฉะนี้จะเดือดร้อนกันทั่วประเทศไหม ? ทั้งๆที่ ในความเป็นจริง ต้นทุนนาข้าวตกไร่ละ 3,000 เท่านั้น คิดดู ….

** อาจารย์เศรษฐศาสตร์จุฬาฯ : ทำนาข้าวรายได้ดีที่สุดเพราะเศรษฐ
ศาสตร์การลงทุนต่ำสุด แต่รายได้สูงสุด เมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ .... ทำนาข้าวมิใช่เพียงขายข้าวให้โรงสีเท่านั้น แต่ต้องมองไปที่ “แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม” มีหลักการตลาดอย่างเหมาะสม

38. เกษตรอินทรีย์ช้า :
คำว่า “ช้า” หมายถึง อายุเก็บเกี่ยวนานขึ้น เช่น ผักอายุเก็บเกี่ยว 30 วัน เก็บเกี่ยวได้เมื่อ 40 วัน ไม้ผลอายุเก็บเกี่ยว 120 วัน เก็บเกี่ยวได้เมื่อ 150 วัน เหตุการณ์กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ปัจจัยพื้นฐาน ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมต่อพืชอย่างร้ายแรง

ปัจจัยพัฒนาการของพืช บนพื้นฐานสมการปุ๋ย (อินทรีย์-เคมี .... ชีวะ-สังเคราะห์) หากมีหลักการ “บริหาร/จัดการ” อย่างถูกต้อง เหมาะสม สม่ำเสมอ เชื่อได้ว่า นอกจากอัตราพัฒนาการ (โต) จะเร็วขึ้น เร็วกว่าตามธรรมชาติแล้ว ยังได้ “คุณภาพ ปริมาณ” เพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย

สารอาหารอินทรีย์ แท้จริงก็คือ สารอาหารสำหรับพืชแต่อยู่ในสถานะอินทรีย์ ซึ่งประสิทธิภาพประสิทธิผลจะบังเกิดต่อพืชได้สมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อ พืชนั้นมีความสมบูรณ์รองรับ ความสมบูรณ์มาจากปัจจัยพื้นฐาน เหมาะสม/ถูกต้อง เป็นต้นทุนรองรับ

39. THAILAND ประเทศเกษตร 1 :
การศึกษาสาขาเกษตรระดับ มัธยม อุดมศึกษา ปริญญาตรีโทเอก ไม่มีหลักสูตรการ “ทำ” ปุ๋ยปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ชนิด/ประเภท-ทางใบ/ทางราก ฯลฯ (ภาคปฏิบัติ-พิสดาร) ทั้งๆ ที่จำเป็นต้องใช้

นอกจากไม่มีหลักสูตรสอนแล้วยังไม่แนะให้ไปหาแหล่งเรียนรู้ด้วยตัวเองอีกด้วย นร.-นศ. จบไปแล้ว ไม่คิด/คิดไม่เป็น ไม่คิดที่จะทำเอง คิดแต่ซื้อ ที่ซื้อก็ซื้อตามโฆษณา

คนทำปุ๋ยขายทุกวันนี้ ทำได้ทำเป็นเพราะ “ประสบการณ์ตรง” ของตัวเอง
ห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช .......... แล้ว ใช้/ทำ อะไรแทน
ห้ามใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ....... แล้ว ใช้/ทำ อะไรแทน
ห้ามใช้ปุ๋ยเคมี .............................. แล้ว ใช้/ทำ อะไรแทน
ห้ามปลูกพืช จีเอ็มโอ ................... แล้ว ใช้/ทำ อะไรแทน

40. THAILAND ประเทศเกษตร 2 :
วิชาการเกษตร :
วิชา ได้จาก อาจารย์ ............... ประสบการณ์ ได้จาก เกษตรกร
ความรู้ ได้จาก อาจารย์ .......... ความคิด ได้จาก เกษตรกร

หลักสูตรการเกษตรของไทย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” (ประสบการณ์) โดย.....
ในหลักสูตร “มีเวลา” สำหรับประสบการณ์ โดนเชิญเกษตรกรที่ สำเร็จ/ล้มเหลว มาเล่าประสบการณ์ตรงให้ นักเรียน/น.ศ. ฟังในหรือนอกเวลาเรียน แล้ว คิด/วิเคราะห์ ทุกมิติ

ในหลักสูตร “มีเวลา” สำหรับประสบการณ์ โดยให้ นักเรียน/น.ศ. ลงพื้นที่จริงของเกษตรกร แล้ว คิด/วิเคราะห์...ปัญหา/การแก้ปัญหา ในแต่ละแปลงเกษตรอย่างมีหลักการและเหตุผล

ในหลักสูตร “มีเวลา” สำหรับประสบการณ์ โดยให้ นร./น.ศ. สำรวจแปลงเกษตรของ พ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเอง แล้ว คิด/วิเคราะห์...ปัญหา/การแก้ปัญหา ในแต่ละแปลงเกษตรอย่างมีหลักการและเหตุผล

ในหลักสูตร “มีเวลา” สำหรับประสบการณ์ โดยให้ นักเรียน/น.ศ. ศึกษาระบบการเกษตรของต่างประเทศแล้ว คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ กับระบบการเกษตรของไทยอย่างมีหลักการและเหตุผล

ในหลักสูตร “มีเวลา” สำหรับประสบการณ์ โดยให้ นักเรียน/น.ศ. ทำโครงการเกษตรของตัวเองที่บ้านของตัวเอง เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องเพื่อนบ้าน รู้และใช้เป็นแนวทาง

41. เรียน = รู้....ไม่เรียน = รู้ :
คนเรียนสูง แต่ไม่ได้เรียนสาขาเกษตร จึงไม่มีความรู้เรื่องเกษตร .... เป็นธรรมดา
คนเรียนน้อย แถมไม่ได้เรียนเกษตรด้วย จึงไม่มีความรู้เรื่องเกษตร....เป็นธรรมดา เหมือนกัน

ทั้งคนเรียนสูง คนเรียนน้อย ไม่ได้เรียนสาขาเกษตรเหมือนๆกัน จึงไม่มีความรู้เรื่องเกษตร ครั้นอ่านหนังสือเกษตร อ่านๆๆ เรียนรู้ด้วยตัวเองก็มีความรู้เรื่องเกษตรได้ เป็นธรรมดา อีกนั่นแหละ ฟัง คิด ถาม เขียน .... อ่าน ดู ทำ ใช้ คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบรัฐบาลช่วย ให้เงิน ....... ก.เกษตรช่วย ให้ความรู้ แต่เกษตรกรรับเงินอย่างเดียว ไม่รับสิ่งที่เรียกว่าความรู้ ที่จริง รัฐบาลช่วย + ช่วยตัวเอง = 2 เด้ง ยกกำลังสอง

รัฐบาลช่วย ให้ราคาสินค้าเกษตรจากฟาร์มแพงๆ พ่อค้าคนกลางรับซื้อมาราคาแพงๆ ก็ต้องขายแพงๆ แบบนี้ คนกิน/ผู้บริโภค ก็ต้องซื้อแพงด้วยน่ะซี ว่ามั้ย

ขายแล้วได้กำไรน้อย อ้างว่าต้นทุนสูงแต่ไม่เคยมีใครถามเลยว่า “ต้นทุนค่าอะไร ? ลดได้ไหม ?”

ทำไมรัฐบาลไม่ “ส่งเสริม/ให้ความรู้” แก่เกษตรกรในการ “บริหาร/จัดการ” ต้นทุนการผลิต ทำยังไงให้ ผลผลิตเพิ่ม-ต้นทุนลด-อนาคตดี

นักส่งเสริมการเกษตร “บอก/พูด” แต่ ปัญหา 5 W. ไม่ “พูด/บอก” ถึงสาเหตุ วิธีการแก้ไข

นักส่งเสริมการเกษตร วันนี้ทำงานแบบ “เชิงรับ” (PASSIVE) รอให้ปัญหา เกิด/เข้ามาหา มากกว่า “เชิงรุก” (ACTIVE) เข้าหาปัญหาก่อนปัญหาเกิด หรือ ป้องกันก่อนแก้ไข

นักส่งเสริมการเกษตร อินทรีย์ ออร์แกนิค ฯลฯ แนะนำการใช้สารเคมีสารพัดอย่างถูกวิธี แต่ไม่แนะนำ ไอพีเอ็ม.

นักส่งเสริมการเกษตร “แนะนำ/สอน/บอก” เกษตรกรให้เรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่ “บอก/สอน/นำ” ให้ช่วยตัวเอง

42. นา-ข้าว vs ข้าว-นา :
ข่าว ทีวี : ส่งออกข้าวไทย ….
ยอดส่งออกข้าวไทยปี 2561 ทะลุ 11.13 ล้านตัน เป็นอันดับ 2 รองอินเดีย ส่วนปี 2562 ตั้งเป้า 10 ล้านตัน

กรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2561 ไทยสามารถส่งออกข้าวคิดเป็นปริมาณ 11.13 ล้านตัน ลดลง 3.36% แต่มากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 11 ล้านตัน มูลค่า 5,623 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น

ปี 2562 ปริมาณส่งออกอาจปรับลดลงมาจากปี 2561 แต่ก็ยังน่าจะได้ถึง 10 ล้านตัน ซึ่งสาเหตุที่การส่งออกข้าวชะลอตัวลงมา เพราะราคา ข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งมาก โดยข้าวหอมมะลิไทยราคาส่งออกขึ้น
ไปถึง 1,142 ดอลลาร์/ตัน ....

COMMENT : ข่าว คือ ข่าว มีแต่ W. ไม่มี H. ไม่ใช่แต่ข่าวเกษตรเท่านั้น รายการสารคดีเกษตรก็มีแต่ W. ไม่มี H. ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนทำรายการเกษตร ทีวี. เขาคิดยังไง คิดบ้างไหมว่า คนดู ทีวี. แล้วได้อะไร ? หรือไม่ ? แค่ไหน ?

ต้นทุนนาข้าว :
* นายกสมาคมชาวนาแห่งประเทศไทย .................. ต้นทุนไร่ละ 8,000
* ประธานสภาเกษตรกร ประพัทธ์ ปัญญาชาติรักษ์ ….... ต้นทุนไร่ละ 3,000
* ชาวนายุคใหม่ (อ่างทอง/สุพรรณบุรี/อยุธยา/ฯลฯ) .... ต้นทุนไร่ละ 1,000
* ลุงคิม ..................................................... ต้นทุนไร่ละ 1,000 (-)

จาก : (089) 165-36xx
ข้อความ : ข่าว ทีวี. ปี 61 ข้าวไทยราคาแพงกว่าประเทศคู่แข่ง อยากลดต้นทุนเรื่องปุ๋ยเคมี ถ้าเราไถกลบฟางแล้วจะได้ธาตุอาหารจากฟาง หรือไม่ เท่าไหร่....
ตอบ :
นาข้าว 1 ไร่ ได้ผลผลิต 100 ถัง ฟางที่เหลือเมื่อนำมาตรวจวิเคราะห์หาปริมาณธาตุอาหารแล้วพบว่ามี.....

จาก : (068) 248-19xx
ข้อความ : กราบคุณตาผู้พัน อาจารย์เกษตรบอกว่า ปีนี้ข้าวไทยจะสู้ข้าวต่างประเทศไม่ได้ สาเหตุ ข้าวไทยต้นทุนสูง คุณภาพไม่ดี หนูอยากขอข้อมูลเกี่ยวกับธาตุอาหารสำหรับนาข้าวค่ะ จะเอาไปเขียนรายงาน .... หลานปูเป้ นครสวรรค์
ตอบ :
- ยูเรีย (ไนโตรเจน). ทำให้ข้าวเขียวตองอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ต้นหลวม อ่อนแอ โรคแมลงมาก เมล็ดลีบมาก เป็นท้องปลาซิวมาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ข้าวปลูกไม่ดี

- แม็กเนเซียม. สร้างคลอโรฟีลด์ ทำให้ข้าวเขียวทน ใบหนา สังเคราะห์แสงดี สมบูรณ์ แข็งแรง ต้นไม่ล้ม โรคแมลงน้อย

- สังกะสี. สร้างแป้ง ช่วยให้ข้าวไม่เป็นเมล็ดลีบ ไม่เป็นท้องไข่ปลาซิว เมล็ดแกร่งใส น้ำหนักดี บดแล้วไม่ป่น ทำพันธุ์ข้าวปลูกดี

- ช่วงเวลา 7-9 โมงเช้า ใบธงจะอ่อนลู่ลง แสดงว่ายูเรียเกิน แต่ขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม อย่างรุนแรง

- ข้าวต้องการสารอาหารทั้งสิ้น 16 ตัว (หลัก/รอง/เสริม) การใส่ยูเรีย 1 กส. (50 กก.) หรือ 2 กส.(100) /ไร่ เท่ากับได้สารอาหาร N. เพียงตัวเดียวเท่านั้น .... นาข้าวบางแปลงใส่ยูเรีย 2 กส. (100 กก.) + 16-20-0 อีก 1 กส. (50 กก.) รวมใส่ปุ๋ย 150 กก./ไร่ แต่ข้าวได้ปุ๋ยเพียง 2 ตัว คือ N. กับ P. เท่านั้น

- ข้าวต้องการปุ๋ยครบสูตร (N-P-K) อัตราส่วน 3 : 1 : 1 (30-10-10) 2 : 1 : 1 (16-8-Cool อัตรา 10-20 กก./ไร่/รุ่น แล้วต้องการ ธาตุรอง/ธาตุเสริม ฮอร์โมน

- ข้าวต้องการและตอบสนองต่อปุ๋ยทางใบกับปุ๋ยทางรากเท่าๆกัน นั่นคือ ควรให้ปุ๋ยทางใบมากครั้ง หรือ 7-10 ครั้ง จะได้ผลดีกว่าการใส่ปุ๋ยทางรากอย่างเดียว

สรุป : ลดปุ๋ยทางราก เพิ่มปุ๋ยทางใบ – ลดปุ๋ยธาตุหลัก เพิ่มปุ๋ยธาตุรอง/ธาตุเสริม และฮอร์โมน....ต้นทุนลดลง แต่ประโยชน์เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ ยูเรีย + 16-20-0

- ข้อเสียของยูเรีย ที่ชาวนาไม่เคยถาม ไม่เคยสังเกต ..... คนขาย นักวิชาการเชิงพานิชไม่เคยพูด ไม่เคยบอก....

ยูเรียต่อต้น : ทำให้ต้นข้าวเขียวอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ใบอ่อน ต้นสูง ต้นล้ม ต้นหลวม ผนังเซลล์อ่อนแอ โรคมาก .... ฉายา ยูเรียล่อเพลี้ยกระโดด

ยูเรียต่อเมล็ด : เมล็ดไม่แกร่ง เมล็ดไม่ใส เมล็ดลีบมาก เป็นท้องไข่มาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ไม่ดี ถูกตัดราคา

ยูเรียต่อคุณค่าสารอาหาร : ความเข้มข้น (%) ของสารอาหารในเมล็ดข้าวน้อยกว่าที่ระบุในงานวิจัย เพราะต้นข้าวได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

- ใส่ปุ๋ยเคมีแก่ต้นข้าวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 2 ช่วงเท่านั้น คือ ช่วงทำเทือก (เตรียมดิน) กับช่วงตั้งท้อง-แต่งตัว การใส่ปุ๋ยในช่วงอื่นๆ จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

- การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หรือใส่ปุ๋ยทันทีหลังปักดำ (นาดำ) หรือเมล็ดพันธุ์เริ่มงอก (นาหว่าน) ไม่เกิดประโยชน์ เพราะต้นกล้ายังไม่พร้อมรับและยังไม่มีความจำเป็นต้องให้ ทั้งนี้ระยะที่ต้นกล้างอกใหม่ๆ จะใช้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดตัวเอง (แป้ง โปรตีน ไขมัน วิตามิน ฯลฯ) เป็นหลัก

- การใส่ปุ๋ยเคมีที่มีอัตราส่วนไนโตรเจน.สูง ฟอสฟอรัส. และโปแตสเซียม.ต่ำ เช่น 16-8-8 หรือ 25-7-7 หรือ 46-0-0 + 16-16-16 อัตรา 1:1 จะช่วยให้ต้นข้าวแตกหน่อดีกว่าการใส่ไนโตรเจน. เดี่ยวๆ

ถ้าได้ไถกลบเศษซากต้นถั่วเหลือง (เมล็ดพันธุ์ 12 กก./ไร่) ลงไปอีกก็จะได้ ไนโตรเจน 45 กก. เมื่อรวมฟางกับต้นถั่วเหลืองแล้วจะทำให้ได้ปุ๋ยสำหรับต้นข้าวมากมาย
ดินที่สภาพโครงสร้างดีตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดินระบุว่า เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปแต่ละครั้งต้นพืชได้นำไปใช้จริงเพียง 4 ส่วน แล้วเหลือตกค้างอยู่ในดิน 6 ส่วนเสมอ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเคมี 1-2 รุ่นแล้วเว้น 1 รุ่น ก็จะยังคงมีปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างจากการใส่แต่ละรุ่นที่ผ่านมาบำรุงต้นข้าวรุ่นปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

- มาตรการบำรุงดินโดยปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ สารปรับปรุงบำรุงดิน และจุลินทรีย์ อย่างสม่ำเสมอ-ต่อเนื่อง-รุ่นต่อรุ่น-หลายๆรุ่น-หลายๆปี จะทำให้เกิดการ สะสมอยู่ในเนื้อดิน ซึ่งจะส่งผลให้สภาพโครงสร้างของดิน ดีขึ้น ดีขึ้นและดีขึ้น ตามลำดับ

- ไม่ควรปลูกข้าวอย่างเดียวแบบต่อเนื่อง รุ่นต่อรุ่น หลายๆรุ่น หลายๆปี แต่ควรเว้นรุ่นทำนา 2-3รุ่นแล้วปลูกพืชตระกูลถั่ว 1 รุ่น นอกจากจะได้เศษซากพืชตระกูลถั่วไถกลบปรับปรุงบำรุงดินแล้วยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของแมลง และเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

- นาหว่านที่หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกร่วมกับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ต้นข้าวจะงอกและโตพร้อมๆกับต้นถั่วเขียว เลี้ยงต้นกล้าข้าวให้นานที่สุดเท่าๆกับได้ต้นถั่วสูงสุด จากนั้น จึงปล่อยน้ำเข้าท่วมนาจะทำให้ต้นถั่วตายแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน/จุลินทรีย์) สำหรับต้นข้าว

- นาดำหลังจากปักดำ ใส่แหนแดงหรือแหนเขียว 2-3 ปุ้งกี๋/ไร่ ปล่อยไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แหนจะแพร่ขยายพันธุ์จนเต็มกระทง ระดับน้ำที่เคยมีเมื่อตอนดำนาก็จะลดลงจนถึงผิวหน้าดินพร้อมๆกับแหนลงไปอยู่ที่ผิวดินด้วย แล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน) พืชสดสำหรับต้นข้าว

- ดินที่อุดมสมบูรณ์ดี (ตามหลักวิชาการ) เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปจะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตทางใบ (บ้าใบ/เฝือใบ) ดีมาก แต่ผลผลิตกลับลดลง .... แปลงนาข้าวที่มีอินทรีย์วัตถุและสารปรับปรุงบำรุงดินมาก จะให้ผลผลิตดีมาก ไม่เฝือใบ ทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยเคมีน้อยกว่า ต้นข้าวงามใบ (บ้าใบ) แก้ไขโดยการให้ “โมลิบดินั่ม +แคลเซียม โบรอน” 1 ครั้ง

- สภาพดินเหนียว ดินทราย ดินดำ ดินร่วน ฯลฯ ในดินแต่ละประเภทต่างก็มีสารอาหารพืชและปริมาณแตกต่างกัน สารอาหารพืชเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามกลไกทางธรรมชาติหรือ เกิดจากกระบวนการสารพัดจุลินทรีย์ย่อยสลายสารพัดอินทรีย์วัตถุ

วันนี้ สารอาหารธรรมชาติในดินหมดไป หรือเหลือน้อยมากจนไม่พอพียงต่อความต้องการของพืชเพื่อการพัฒนาเจริญเติบโต สาเหตุหลักเกิดจากการปลูกพืชแบบซ้ำรุ่น ต่อเนื่อง รุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งพืชคือผู้นำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ สาเหตุรองลงมา คือ เกิดจากมนุษย์ทำลายวงจรการเกิดใหม่ของสารอาหารตามธรรมชาติ และทำลายผู้ผลิตสารอาหาร (จุลินทรีย์) นั่นเอง ดังนั้นจากคำกล่าวที่ว่า ดินมีสารอาหารพืชต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพูดว่า ดินเคยมีสารอาหาร จึงจะถูกต้องตามข้อ เท็จจริง

แนวทางแก้ไข คือ จัดการให้มีวัตถุดิบที่ก่อให้เกิดสารอาหารพืช และ ส่งเสริมผู้ผลิตสารอาหารพืช ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สุด แล้วดินจะกลับคืนมาเป็นดินดี เหมือนป่าเปิดใหม่อีกครั้ง และจะเป็นดินดีตลอดไปอย่างยั่งยืนตราบเท่าที่ได้จัดการและส่งเสริมอย่างถูกวิธีสม่ำเสมอ

สายพันธุ์ที่เปอร์เซ็นต์เป็นเมล็ดลีบสูง แก้ไขด้วยการให้ธาตุสังกะสี สายพันธุ์ที่มีอัตราการแตกกอน้อย แก้ไขด้วยการธาตุอาหาร P และ K สูง ในช่วงแตกกอ เป็นต้น การเน้นสารอาหารเพื่อให้พืชได้รับมากเป็นกรณีพิเศษ ควรให้ทางรากโดยใส่ไว้ในเนื้อดินตั้งแต่ตอนทำเทือก หลังจากนั้นจึงให้เสริมทางใบ
เป็นระยะ สม่ำเสมอ

- การลดความสูงต้นของต้นข้าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเพิ่มปริมาณผลผลิตและคุณภาพ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นแข็งแรงไม่ล้มหักง่ายและโรคแมลงเข้ารบกวนน้อยอีกด้วย....

ลำต้นสูงมากๆ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำเลี้ยงไปสร้างลำต้น จึงทำให้มีสารอาหารเหลือไปเลี้ยงรวงน้อย หรือ ฟางมากเมล็ดน้อย-ฟางน้อยเมล็ดมาก....

ต้นข้าวในน้ำที่ระดับพอเปียกหน้าดิน (ดินแฉะเล็กน้อย) จะแตกกอได้จำนวนมากกว่าต้นข้าวที่ปลูกในน้ำขังค้าง หรือท่วมโคน....

ข้าวลำต้นสูง (น้ำมาก ไนโตรเจนมาก) จะมีรวงสั้น แต่ข้าวลำต้นสั้น (น้ำพอแฉะหน้าดิน สารอาหารสมดุลทุกตัว) จะมีรวงยาว....

ต้นข้าวช่วงระยะกล้าที่ไม่ได้ให้ 46-0-0 แต่ให้ 16-8-8 แทน ควบคู่กับช่วงตั้งท้องแต่งตัวให้ 0-42-56 โดยฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ จะช่วยให้ต้นข้าวไม่สูงแต่กลับเจริญเติบโตข้างอวบอ้วน เหมือนต้น
ไม้ผลมีอาการอั้นตาดอก....

การตัดใบยอดช่วงตั้งท้องแต่งตัวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ต้นข้าวไม่สูงต่อ แล้วอวบ อ้วนเหมือนอั้นตาดอกได้เช่นกัน

- อากาศหนาว (15-20 องศา ซ./ภาคเหนือเกิดน้ำค้างแข็ง) ติดต่อกัน 10 วัน มีผลต่อต้นข้าวหลายอย่าง เช่น เมล็ดไม่งอก ต้นกล้าโตช้า ต้นแคระแกร็นใบเหลือง ออกดอกช้า และช่วงออกดอกเป็นช่อดอกอ่อนเกสรจะฝ่อ ผสมไม่ติด หรือผสมติดก็เป็นเมล็ดลีบ แก้ไขโดยให้ “แม็กเนเซียม+ สังกะสี + กลูโคส
หรือฮอร์โมนทางด่วน” ล่วงหน้าก่อนหนาว 2-3 วัน และให้ระหว่างอากาศหนาว ทุก 2-3 วัน จนกว่าอากาศหายหนาว

- อากาศร้อน (สูงกว่า 35 องศา ซ.) ช่วงข้าวหลังผสมเกสรติดหรือเริ่มเป็นน้ำนมจะกลายเป็นข้าวลีบมาก แก้ไขโดยการให้ “ธาตุรอง/ธาตุเสริม + เอ็นเอเอ.+ ฮอร์โมนทางด่วน” ล่วงหน้าก่อนอากาศร้อน 2-3 วันและให้ระหว่างอากาศร้อน ทุก 2-3 วัน จนกว่าอากาศจะปกติ

- สายลมแรงมากทำให้ต้นข้าวเครียด เนื่องจากต้องคายน้ำมาก มีผลทำให้เมล็ดข้าวลีบ รวงจะเป็นสีขาวคล้ายถูกหนอนกอทำลาย วิธีแก้ไขเหมือนช่วงอากาศร้อนจัด
www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=1698&page=1

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องนาข้าว
จาก : (089) 523-60xx
ข้อความ : ข่าว ทีวี.เรื่องข้าวไทยปีนี้ ราคาถูกกว่าของเวียดนาม ที่จริงมันเป็นมานานแล้ว ข้าวไทยราคาแพงเพราะต้นทุนสูง นาเคมี 46-0-0, 16-20-0 ต้นทุนไร่ละ 1,800 อยากเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยไร่กล้อมแกล้มลุงคิมช่วยคิดต้นทุนค่าปุ๋ยให้หน่อย....ขอบคุณ
ตอบ :
ไบโออิ. ยูเรก้า. ไทเป. หัวโต. ใบโต. แคลเซียม โบรอน. ระเบิดเถิดเทิง สูตรอินทรีย์เพียวๆสูตรอินทรีย์/เคมี สูตรปรับโมเลกุล. ปุ๋ยทางใบ ชนิดน้ำ .... ทำใช้-ทำขาย-ทำแจก จะบอกให้....ปุ๋ยทางใบชนิดน้ำที่ขายในเมืองไทย ส่งออกด้วย ทั้งขายส่ง ขายปลีก ขายตรง ขายผ่านเน็ต ทุกสูตรทุกยี่ห้อ ทำ “ไต้ถุนบ้าน” (เน้นย้ำ....ไต้ถุนบ้าน) ทั้งนั้น คนทำปุ๋ยขายทุกวันนี้ ทำเป็นทำได้ด้วย “ประสบการณ์ตรง” ของตัวเองทั้งนั้นต้นทุนค่าปุ๋ยนาข้าว 20 ไร่ :

- ปุ๋ยลุงคิม (ระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า) ครบสูตร .......... 10,000
- ค่าปุ๋ยเสริม (16-8-8, 18-38-12, 0-52-34) .................. 5,000
** รวม 15,000 ….. หรือ 15,000 หาร 20 = ไร่ละ 750

ต้นทุนในการปลูกข้าวของชาวนา :
1. ค่าไถนา
2. ค่าย่ำเทือก
3. ค่าลูบเทือก
4. ค่าเมล็ดพันธุ์
5. ค่าจ้างหว่าน
6. ค่าปุ๋ยเคมี
7. ค่าจ้างหว่าน
7. ค่าสารเคมี
8. ค่าจ้างฉีด
10. ค่าเกี่ยว
11. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
12. ค่าเช่านา
13. ค่าภัยธรรมชาติ
14. ฯลฯ
**** แก้ไขโดย ตัด ลด เพิ่ม ปรับ เปลี่ยน ปล่อยตามธรรมชาติ เสริมธรรมชาติ ****

จาก : (095) 166-37xx
ข้อความ : ข่าวทาง ทีวี. เรื่องราคาข้าวไทยในตลาดโลกราคาต่ำกว่าประเทศอื่น แต่ต้นทุนของไทยกลับสูงกว่า แบบนี้ชาวนาไทยจะไปรอดหรือ ผู้พันครับ ทำยังไงถึงจะลดต้นทุนนาข้าวได้ครับ....
ตอบ :
คำพูดในคำถามที่ว่า “ลดต้นทุน” ลุงคิมเพิ่งได้ยินตัวเกษตรกรจริงๆพูด ชนิดเต็มคำเต็มหูครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทั้งๆที่ตั้งสโลแกนไว้ว่า “ผลผลิตเพิ่ม (ปริมาณ/คุณภาพ)-ต้นทุนลด-อนาคตดี” น่าจะสร้างแรงจูงใจได้มากกว่านี้ เทียบกับจากนักส่งเสริมคนอื่นๆ ตั้งแต่นักการภารโรงถึงอธิบดี ตั้งแต่ สมช.มูลนิธิถึงนายก ก็ไม่พูดเรื่อง “ต้นทุน” แบบตรงๆ ถึงพูดก็แค่เอ่ยคำนี้ออกมาพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีรายละอียดที่นำไปปฏิบัตินำไปทำได้ เกือบทั้งหมดพูดแต่ “ราคาขาย ราคาขาย” ต้องแพง ๆ ๆ เท่านั้นเท่านี้ชาวนาถึงจะอยู่ได้

ว่ามั้ย วันนี้ข้าวสารพร้อมหุงราคา กก.ละ 30 นั่นจากต้นทุนค่าข้าวเปลือกเกวียนละ 8,000 ถ้าต้นทุนค่าข้าวเปลือกเกวียนละ 15,000 ราคาข้าวสารพร้อมหุงมิ กก.ละ 60 หรอกรึ แบบนี้ถามจริง คุณเดือดร้อนด้วยมั้ย

เอาเป็นว่า “ต้นทุน” คือ รายจ่ายที่เราต้องจ่ายออกไป จ่ายเป็นเงิน จ่ายเป็นค่าแรง ค่าพื้นที่ ค่าเวลา ค่าโอกาส .... อย่างค่าแรง ตัวเองทำเอง ไม่ต้องจ่ายแต่ได้เนื้องาน รับจ้างไม่ได้เนื้องานของตัวเองแต่ได้เงิน กับรายจ่ายอย่างอื่นก็อีหร็อบเดียวกัน

ชาวนาหรือเกษตรกรอาชีพอื่นๆ ต่างก็ชอบ “ง่ายๆ-เร็วๆ” ดี/ไม่ดี-แพง/ไม่แพง ไม่ว่า ..
“ง่ายๆ” ง่ายน่ะดีแต่ผิด ผิดธรรมชาติความต้องการของต้นข้าว มีแต่เสียกับเสีย
“เร็วๆ” ใส่ปั๊บได้ผลทันใจ แต่ได้ผลแค่วูบเดียวแล้วกลับไปอย่างเดิม นี่ก็คือเสียกับเสีย

ปัญหา “ต้นทุน” นาข้าวที่ถามมา เอาเรื่อง “ปุ๋ย” อย่างเดียวก่อนก็แล้วกัน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง เช่น ทำเทือก หว่านปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมียูเรีย16-20-0 ยาฆ่ายาคุมหญ้า สารเคมียาฆ่าแมลง อันนี้เคยทำหรือว่าทำอยู่ยังไงก็ทำไป
ปรับเพิ่มเป็นนาข้าวแบบ “เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน” ....
* ตอนทำเทือก ใส่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ซัก 2 ล./ไร่
* ระยะแตกกอ ให้ทางใบด้วย ไบโออิ + สารสมุนไพร 3 รอบ
* ระยะออกรวง ให้ ไทเป + สารสมุนไพร 2 รอบ
* ระยะน้ำนม ให้ ไบโออิ + ยูเรก้า + สารสมุนไพร 3 รอบ

แต่ละรอบๆ แบ่งระยะเวลาให้ห่างกันรอบละ 7-10 วัน/ครั้ง ไหวไหม บางคนบอกถี่ไปไม่มีเวลา ก็ถ้าให้ห่างเดือนละครั้ง หรือไม่ได้ให้ทางใบเลย ให้แต่ทางดินอย่างเดียว แบบเดิมๆ แล้วมันจะดีขึ้นได้ไง

งานนี้ ยาก/ง่าย อยู่ที่ใจ แบบเดิมๆใส่ปุ๋ย 2 กส.ได้ปุ๋ยแค่ 2 ตัว ตัวหน้ากับตัวกลาง แต่ปุ๋ยที่ลุงคิมแนะนำได้ ตัวหน้า ตัวกลาง ตัวท้าย ธาตุหลักครบ 3 ตัว ได้ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน จุลินทรีย์ สารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ปะจำถิ่น ครบถ้วน ก็เหลือแต่ ทำเองหรือซื้อ เท่านั้นแหละ

นี่พูดเรื่องปุ๋ยอย่างเดียว ในขณะที่ข้าวซึ่งก็คือพืช พืชย่อมต้องมีปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเจริญเติบโต คือ ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร (ปุ๋ย)-สายพันธุ์-โรค ทั้งหมดนี้ต้องไปด้วยกันพร้อมกัน เหมาะสม สมดุลซึ่งกันและกัน หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งผิดเพี้ยนไป ย่อมส่งผลถึงการเจริญเติบโตของพืชหรือต้นข้าว สุดท้ายสุทธิจริงๆ ก็คือ “ขาดทุน” นั่นแล....

นาข้าวอยากรวย ต้องทำ “นาข้าวแบบประณีต” ได้ ผลผลิตเพิ่ม (ปริมาณ คุณภาพ) ต้นทุนลด (ปุ๋ย ยา เทคนิค เทคโนฯ) อนาคตดี (ทำตามพันธะสัญญา)

* ข้าวไรซ์เบอรี่พร้อมหุง กก.ละ 150 นี่คือ เกวียนละ 150,000 เราเอาแค่ กก.ละ 50 = 50,000 กก.ละ 30 = 30,000 ก็พอ ว่ามั้ย.... ไม่เอาข้าวสีดำ ข้าวสีขาวก็เป็นอีกทางเลือก มีคนทำได้ ....

* ข้าว กข. (กู ขอ) 500 ขายเป็นข้าวเปลือก โรงสีให้เกวียนละ 8,000 ขณะที่รัฐบาลประกันเกวียนละ 12,000 แต่ถูกตัดราคาค่าคุณภาพ ....

* ขายได้เท่าเดิม ขายได้เท่าข้างบ้าน แต่ต้นทุนต่ำกว่า ย่อมได้กำไรมากกว่า....
* ซื้อทุกอย่าง แพงก็ซื้อ ผิดก็ซื้อ ใช้แล้วทำแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นก็ยังทำ....

จาก : (090) 823-71xx
ข้อความ : ข่าวราคาข้าวไทยในตลาดโลก เห็นแล้วน่าเป็นห่วง ถ้าต้นทุนไม่ลด คุณภาพไม่ดี ไม่ใช่ตลาดต่างประเทศเท่านั้น ตลาดในประเทศก็อยู่ไม่ได้ นาข้าวใส่ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า เผาฟาง นาหว่านแบบเดิมทุกรายการ วันนี้วัชพืชกำลังแซงข้าว ทำยังไงดีครับ....
ตอบ :
นาข้าวสูตร “เลยตามเลย ไหนไหนก็ไหนไหน”
นาข้าวที่กำจัดวัชพืชไม่หมด ต้นข้าวโตขึ้นมาแล้วมีต้นข้าวกับต้นวัชพืช “ครึ่ง : ครึ่ง” จนเต็มนา แนะนำให้ใช้สูตร “เลยตามเลย หรือ ไหนไหนก็ไหนไหน” เพราะกำจัดวัชพืชไม่ได้แล้ว โดยเน้นบำรุงทางใบเป็นหลัก.....ดังนี้

แบบประณีต :
ระยะกล้า :

- ฉีดพ่น “น้ำ 100 ล. (พีเอช 6.0) + ไบโออิ 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 200 ซีซี.” ทุก 7-10 วัน ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน 1 รอบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร “สูตรเฉพาะ” เมื่อมีศัตรูพืชเฉพาะชนิดก่อนการระบาด (ป้องกัน) และระหว่างการระบาด (กำจัด) ทุก 3 วัน
ระยะตั้งท้อง ออกรวง :
- ฉีดพ่น “น้ำ 100 ล. (พีเอช 6.0) + ฮอร์โมนไข่ไทเป 100 ซีซี. + 46-0-0 จี. 200 กรัม + สารสกัดสมุนไพรสูตรรวมมิตร 200 ซีซี.” 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน

- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร “สูตรเฉพาะ” เมื่อมีศัตรูพืชเฉพาะชนิดก่อนการระบาด (ป้องกัน) และระหว่างการระบาด (กำจัด) ทุก 3 วัน
ระยะน้ำนม :
- ฉีดพ่น “น้ำ 100 ล. (พีเอช 6.0) + ไบโออิ 50 ซีซี. + ยูเรก้า 50 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 200 ซีซี.” ทุก 7-10 วัน ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน 1 รอบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร “สูตรเฉพาะ” เมื่อมีศัตรูพืชเฉพาะชนิดก่อนการระบาด (ป้องกัน) และระหว่างการระบาด (กำจัด) ทุก 3 วัน

แบบเหมาจ่าย :
ให้ทางใบ “ไบโออิ + สารสมุนไพร” อย่างเดียวสูตรเดียว ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเกี่ยว

หมายเหตุ :
- การให้ทางใบเท่ากับบำรุงทั้งต้นข้าวและต้นวัชพืช แม้จะสิ้นเปลืองปุ๋ยแต่จำเป็นต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ต้นข้าวก็จะไม่ได้ปุ๋ยเลย ส่งผลให้ไม่ได้ผลผลิต
ข้าวไปด้วย

- หลังจากต้น (ข้าว-วัชพืช) โตแล้ว ไม่ควรใส่ปุ๋ยทางราก เพราะธรรมชาติของต้นวัชพืชจะดูดสารได้เก่งกว่าต้นข้าว นี่คือ ต้นวัชพืชแย่งอาหารต้นข้าวนั่นเอง

- ปุ๋ยทางใบอยู่ที่ใบข้าว ต้นวัชพืชไม่สามารถแย่งได้ นั่นคือ ต้นข้าวยังได้รับปุ๋ยเท่าที่ให้อย่างแน่นอน
- หลังจากเกี่ยวข้าวแล้ว ก่อนทำนารุ่นต่อไป ทำการไถกลบฟางพร้อมต้นวัชพืช ก็จะได้ปุ๋ยที่ต้นวัชพืชเอาไปกลับคืนมา

- ก่อนเกี่ยว 5-10 วัน ให้นมสด 1 ครั้ง จะช่วยลดความชื้นได้
- ก่อนเกี่ยวให้แคลเซียม โบรอน ทำให้ระแง้เหนียว เครื่องจะสลัดไม่หลุด

43. ปุ๋ยอินทรีย์ :
ข้อดี :

1. ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน
2. อยู่ในดินได้นาน และค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้าๆ
3. ส่งเสริมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมี จะส่งเสริมให้ปุ๋ยเคมีเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ได้ผลดีทั้ง ระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว และทำเองได้
ข้อด้อย :
1. มีปริมาณธาตุอาหารพืชต่อน้ำหนักปุ๋ยต่ำ ต้องใช้ปริมาณมาก สม่ำเสมอ
2. ใช้เวลานานในการปลดปล่อยธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ให้แก่พืช
3. ราคาต่อน้ำหนักของธาตุอาหารพืชมีราคาสูง
4. มีจำนวนจำกัด ไม่สามารถหาซื้อในปริมาณมากๆ ได้
5. ใช้ระยะเวลานาน ทั้งการผลิต และการใช้
6. มีข้อจำกัดในการเลือก สูตร/ชนิด/ประเภท ให้ตรงกับ ระยะ/ชนิด ของพืช
7. สิ้นเปลืองค่าขนส่งสูง

44. ปุ๋ยเคมี :
ข้อดี :

1. มีปริมาณธาตุอาหารพืชต่อน้ำหนักปุ๋ยสูง
2. ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชได้เร็ว
3. ราคาต่อน้ำหนักของธาตุอาหารพืชมีราคาต่ำ สะดวกต่อการขนส่งและเก็บรักษา
4. สูตรตรงตาม ชนิด/ระยะ/ปัจจัยเกี่ยวข้อง ของพืช
5. หาซื้อง่าย เพราะผลิตได้จากโรงงาน สามารถผลิตได้จำนวนมากตามต้องการ
ข้อด้อย :
1. ไม่มีคุณสมบัติในการปรับปรุงคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดิน
2. ปุ๋ยแอมโมเนีย ใช้ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ดินเป็นกรด .... ปุ๋ยฟอสฟอรัส ใช้ในดินปริมาณมากและติดต่อกันนานจะตรึงปุ๋ยตัวอื่นไม่ปล่อยให้พืชนำไปใช้ได้

3. การใช้ปุ๋ยเคมีต้องระมัดระวัง เพราะปุ๋ยเคมีทุกชนิดมีความเค็ม ถ้าใส่มากหรือใส่ติดโคนต้นพืชจะเป็นอันตรายต่อต้นพืชและการงอกของเมล็ด
4. ต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องปุ๋ย
5. สูญเสียเงินตราของประเทศ
ปล.
ปุ๋ยอินทรีย์เข้ามาไทย ครั้งแรก ราวสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย ดร.อินเดีย
ปุ๋ยเคมีเข้ามาไทย ครั้งแรก ราวสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย นักธุรกิจอเมริกา

45. วารสารเกษตรใหม่ :
ผู้อ่าน : ความหนาน้อยจัง...
บก. : ถ้าดูแต่ความหนา ยอมรับว่าน้อย คือ จำนวนหน้าแค่ 70 หน้า ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับวารสารฉบับอื่นๆ

เปรียบเทียบดีๆ วารสารฉบับหนึ่ง หนา 300 หน้า ดูแล้วเป็นเนื้อหาแค่ 100 หน้า เท่านั้น ที่เหลือ 200 หน้า เป็นโฆษณา ไม่ใช่เท่านั้น ส่วนเนื้อหาที่เป็นรูป ขยายรูปจนเต็มหน้า แล้วเหลือพื้นที่สำหรับตัว
หนังสือนิดเดียว ....
วารสารเกษตรใหม่หนา 70 หน้า เป็นเนื้อหาล้วนๆ รูปก็ย่อขนาดให้เล็กลงอีก

ผู้อ่าน : วารสารประเภท HOW TO ไม่ใช่ NEWS หมายความว่าไง ?
บก. : HOW TO แปลว่า วิธีการ
NEWS แปลว่า ข่าว
* 5W. คือ WHO WHAT WHEN WHERE WHY ข่าว
* 1H. คือ HOW TO วิธี
* ถามจริง อ่านหนังสือ อยากรู้เรื่อง WHO ใครทำ ? หรือ อยากรู้เรื่อง HOW TO ทำอย่างไร ?
* HOW TO สาระในเกษตรใหม่ แปลง/แปล ภาษาวิชาการเป็นภาษาชาวบ้าน …. บนหลักการ “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน มาตรฐานโรงงาน มีหลักวิชาการรองรับ” ข้อมูลในเกษตรใหม่เอาไปใช้อ้างอิงทางวิชาการไม่ได้

ผู้อ่าน : เกษตรใหม่ ยอดพิมพ์มากไหม ?
บก. : ต่อฉบับ 12,000 เหลือกลับจากแผงแค่ฉบับละ 1,000 แต่วารสารที่ความหนา 300 หน้า ยอดพิมพ์ 5,000 เหลือกลับจากแผง 2,000 อันนี้จัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกัน ....

ที่โกดังหนังสือจะเห็นกองหนังสือไปแผง กับ กองหนังสือกลับจากแผง ว่าไปเท่าไหร่ ? เหลือกลับมาเท่าไหร่ ? ชัดเจน

เกษตรใหม่ ซีเอด.รับไปจำหน่ายด้วย บอกว่า หนังสือในเครือเกษตรใหม่ ทั้งวารสาร ทั้งพ๊อตเก็ตบุ๊ค ยอดจำหน่ายหมดเร็วติดอันดับ TOP-5 ทุกฉบับ

ผู้อ่าน : ค่าโฆษณาแพงไหม ?
บก. : ที่จริงอยากรู้ก็โทรไปถามได้เลย เขาไม่ปิดลับหรอก เท่าที่รู้มา หน้าใน 4สี หน้าละ 10,000, ปกหลังนอก 30,000, ปก หน้า/หลัง ใน 20,000 ลงโฆษณาครั้ง 3 ฉบับ

ผู้อ่าน : ค่าโฆษณาเกษตรใหม่แพงไหม ?
บก. : ไม่รู้ซี มีคนมาติดต่อ เคยลงโฆษณาหนังสืออื่นหน้าละ 10,000 แต่มาโฆษณาที่เกษตรใหม่ให้แค่ 3,000 เลยลงให้ฟรีไปเลย.... ที่จริงเกษตรใหม่ไม่มีโฆษณา ยอดขายอย่างเดียวก็อยู่ได้เพราะต้นทุนเราต่ำมาก มากๆ

ผู้อ่าน : ค่านักเขียน ค่านักข่าว ต้องจ่ายไม่ใช่เหรอ ?
บก. : ใช่ แต่เกษตรใหม่ นักเขียนคนเดียว นักข่าวคนเดียว ว่าตั้งแต่บรรณาธิการ ถึง นักการภารโรงคนเปิดประตูชงกาแฟ เขียนเอง/ขายเอง/คนเดียว ลุงคิมไง....ลงท้าย ไม่ต้องจ่าย

ผู้อ่าน : เคยมีนักอ่านระดับ VIP ไหม ?
บก. : มี ต้องเรียกว่าระดับ VVVIP นะ .... คณะอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ 14 ท่าน ขอสมัครเป็นสมาชิกประจำ เพราะถ้ารอวารสารออกแล้วกลัวไปซื้อไม่ทัน กรณีนี้บอกท่านไปว่า ไม่รับสมาชิก เพราะวารสารเรากำหนดออกไม่ค่อยแน่นอน ....

กับ อาจารย์สอนอยู่มหาลัยเชียงใหม่ บอกว่า พ็อคเก็ตบุ๊ค ภูมิปัญญาพื้นบ้านเกษตรไทย ยอดพิมพ์จริงเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พิมพ์แค่เล่มเดียวก็ถือว่าคุ้ม เพราะนั่นคือ การรักษา/อนุรักษ์ ความรู้แบบภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย ช่วยให้อยู่ต่อได้อีกนานเท่านาน ขอชมเชยผลงานชิ้นนี้อย่างจริงใจ....

ผู้อ่าน : ต้นทุนต่ำ ยอดขายสูง คือ กำไรมาก แล้วทำไมถึงเลิกทำ ?
บก. : โมโห ฉบับสุดท้ายฉบับนั้น ฉบับที่จะ “ไปแผง” คนงานเอาไปวางที่กอง “กลับจากแผง” 3 เดือนเต็มๆ ไม่ได้ไปแผงซักที บริษัทจัดจำหน่ายพูดคำเดียว ขอโทษ ก็เลยขนกลับ เอามาแจกดีกว่า .... ขายได้แล้วเลิกทำไปเลย ก็แค่นี้แหละ

46. เรื่อง เป็นเรื่อง VS ไม่เป็นเรื่อง :
เก่งกว่าข้างบ้าน :

ไม่รู้ว่า หนอน-แมลง-รา อะไรลงแปลงผักที่บ้าน ไปร้านขายสารเคมี ทางร้านแนะนำสารเคมี 3 อย่าง .... กลับถึงบ้าน ลงแปลง ผสมสารเคมีที่ร้านแนะนำลงไปก่อน ตามด้วยสารเคมีที่แอบ (เน้นย้ำ...แอบ) ได้ยินข้างบ้านพูดอีก 1 อย่าง ตามด้วยสารเคมีที่ฟังจากโฆษณาอีก 1 อย่าง รวม 5 อย่างต่อการฉีดพ่น 1 ครั้ง .... คิดต้นทุนเฉพาะค่าสารเคมีอย่างเดียว 2,500 ผักแปลงนี้ต้องฉีดสารเคมี 4 ครั้ง นั่นคือ ค่าสารเคมี 10,000/รุ่น .... ผักแปลงนั้น วันนั้น ส่งตลาดขายได้ 8,500 นั่นคือ ขาดทุนเฉพะค่าสารเคมี 1,500 ไม่นับรวม ค่าเตรียมดิน เตรียมแปลง ปุ๋ย น้ำมัน แรงงาน .... สรุป : ขาดทุน ทั้งต้นทุน และกำไร

KIMPER :
* เดี๋ยวนี้ ตาคิม เป้อใหญ่แล้ว
- เป้อยังไง ? เป้อซี่ .... ต้นไม้ กินนม กินใข่ กินลิโพกระทิงแดง กินน้ำต้มหม้อก๋วยเตี๋ยว กินผักสดตอนกลางคืน .... สปริงเกอร์ ผ่าน ร.ร.วิวัฒน์พลเมืองมาแล้ว ล้างตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งเครื่องกรอง

- อยู่ กทม.หาปลาทะเลทำน้ำหมักได้ ที่เชียงราย ข้ามไปถึงจีน ก็ทำได้ ปลาทะเลเยอะแยะ....
- ขี้วัวขี้ไก่ ธรรมดาๆ จากฟาร์ม ทำเป็น ขี้วัวขี้ไก่ซุปเปอร์....

เอาชนะสปริงเกอร์ :
* แปลงผัก ยกร่องน้ำหล่อ ติดสปริงเกอร์/หม้อปุ๋ย เนื้อที่ 20 ไร่ ให้ ปุ๋ย/ฮม./ยาสมุนไพร ครั้งละ 2 ชม. แรงงานคนเดียว ใช้งานมาแล้ว 5 ปี คาดว่าใช้ต่อไปได้อีก 20 ปี .... 1 ปีผ่านไป ในร่องน้ำปลูก ผักบุ้งทอดยอด, ผักกะเฉด, ทำค้างเหนือร่องน้ำปลูกบวบ มะระ ฟัก, ในร่องเลี้ยงปลานิล, ดุก, ปากเป็ด ใช้งานรดน้ำอย่างเดียว ให้ปุ๋ยเดินหว่าน ฉีดยาเคมีสะพายเป้ ทำงานทุก* แปลงข้างเคียง แปลงผัก ยกรองน้ำหล่อเหมือนกัน ไม่เชื่อ/ไม่ยอมรับ สปริงเกอร์/หม้อปุ๋ย
แล่นเรืออย่างใช้เวลาเต็มวัน สายถึงเย็น แรงงานคนเดียว....1 ปีผ่านไป ปรับเรือปากเป็ดเป็นเรือ รดน้ำ/พ่นยา แบบ 17 หัวฉีด ยังใช้เวลาทำงานกว่าครึ่งวันจ่อครั้ง การอยู่ในดงละอองสารเคมีขณะทำงาน สูดดมสารเคมีเต็มที่ ทั้งระหว่างทำงานในแปลง กลับขึ้นบ้านแล้วกลิ่นสารเคมียังตามไปอีก งานนี้ถึงกับน็อค ต้องส่งโรงพยาบาล

วิชาการไร่กล้อมแกล้ม :
บ่น : วิชาการที่ไร่กล้อมแกล้มสูงมาก
ตอบ : มันก็สูงเท่าเดิม สูงเท่ากันกับทุกที่นั่นแหละ อยากได้ต้องขึ้นไปหามัน ไม่ใช่รอให้มันหล่นลงมาหาเรา .... อยากรู้ ต้องเรียน เรียนในโรงเรียนมีครูสอน เรียนด้วยตัวเองที่บ้าน ที่แปลง

อนุรักษ์ VS พัฒนา :
นิยาม :
“อนุรักษ์” คือ การ “ทำ/รักษา” ให้คงอยู่ด้วยสภาพเดิมมากที่สุด
“ส่งเสริม” คือ การสนับสนุน หรือ นวัตกรรม (สิ่งที่ประดิษฐ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเกิดจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังผลให้ “ประสิทธิภพประสิทธิผล” เหนือกว่าแบบเดิม)

ที่ศูนย์ส่งเสริมการเกษตร โรงเรียนเกษตร โรงเรียนชาวนา ฯลฯ ทั้งของราชการและของเอกชนจิตอาสา จัดโครงการส่งเสริมการทำนาข้าวแบบ “อนุรักษ์” ในงาน สาธิต/โชว์ ด้วยของจริง
* ไถนาด้วยควาย
* ดำนาด้วยมือ
* หว่านปุ๋ยด้วยมือ
* ใช้ยาฆ่าหญ้า
* ใช้สารเคมียาฆ่าแมลง

บนความเป็นจริง :
* ไถนาด้วยแรงงานสัตว์ ... ด้วยควาย ใช้ควาย 1 ตัว ไถนาได้วันละไม่เกิน 1 ไร่ .... ด้วยวัว ใช้วัว 2 ตัว ไถนาได้วันละไม่เกิน 1 ไร่ .... ต้องเลี้ยง ควาย/วัว ไว้ทำนา เลี้ยงกี่ตัว ? เลี้ยงที่ไหน ? เลี้ยงยังไง ? คนเลี้ยงเอาที่ไหน ? ฯลฯ ? ...กะเหรี่ยงปะกากะญอ ใช้ช้างไถนา .... ติมอร์ ใช้ช้างไถนา.... อเมริกา ใช้ ม้า/ลา ไถนา....

* ดำนาด้วยมือ... ในงานใช้คน 20-30 คน (จัดฉาก) .... นาส่วนตัว คนเดียว ทำไม่ได้
* หว่านปุ๋ยด้วยมือ ..... เม็ดปุ๋ยไม่ได้ลงที่โคนกอข้าวสม่ำเสมอเท่ากันทุกกอ ข้าวกอไหนได้ปุ๋ยกอนั้นเขียวงาม กอไหนไม่ได้กอนั้นไม่เขียวไม่งาม ชาวนาบอกอ่อนปุ๋ยว่าแล้วหว่านเพิ่ม ผลคือ จ่ายเพิ่ม ดินเสีย

* ให้ปุ๋ย 2 ตัว .... ใช้ปุ๋ย 2 กส. (46-0-0+16-20-0 = 100 กก.) /ไร่ ต้นข้าวได้ปุ๋ยแค่ 2 ตั้ว คือ N. P. เท่านั้น ทั้งๆที่ต้นข้าว (พืชทุกชนิด) ต้องการปุ๋ย (ธาตุ/ธาตุอาหาร/สารอาหาร) 16 ตัว ....

ยูเรีย : ทำให้ข้าวเขียวตองอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ต้นหลวม อ่อนแอ โรคแมลงมาก เมล็ดลีบมาก เป็นท้องปลาซิวมาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ข้าวปลูกไม่ดี ให้ยูเรียวันนี้ เขียวได้ใน 2-3 วัน

แม็กเนเซียม : สร้างคลอโรฟีลด์ ทำให้ข้าวเขียวทน (ใบเขียวถึงวันเกี่ยว) ใบหนา สังเคราะห์แสงดี สมบูรณ์ แข็งแรง ต้นไม่ล้ม โรคแมลงน้อย

สังกะสี : สร้างแป้ง ช่วยให้ข้าวไม่เป็นเมล็ดลีบ ไม่เป็นท้องไข่ปลาซิว เมล็ดแกร่งใส น้ำหนักดี บดแล้วไม่ป่น ทำพันธุ์ข้าวปลูกดี

ช่วงเวลา 7-9 โมงเช้า : ใบธงจะอ่อนลู่ลง แสดงว่ายูเรียเกิน แต่ขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม อย่างรุนแรง)
* นาหว่านใช้เมล็ดพันธุ์ 20-30 กก. .... ต้นทุน กก.ละ 30 บาท
* ใช้ยาฆ่าหญ้า .... หญ้าไม่ตาย แค่ใบไหม้ แล้วงอกใหม่.... หญ้าถูกตัดงอกใหมได้ โตกว่าเก่าเพราะ เหง้า/หัว/ไหล ยังอยู่แถมใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
* ใช้สารเคมียาฆ่าแมลง .... จ่ายแพง ฆ่าแมลงได้แต่ต้นข้าวเสียแล้วเสียเลย

ทุกอย่างแสดงแบบโบราณเรียกว่า “อนุรักษ์นิยม” น่าจะแถมเพิ่มการไถนาด้วยช้าง ด้วยวัว ด้วยควาย ด้วยม้า จึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ

เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก การทำนายุคปัจจุบัน เพื่อ คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วนำไปใช้ไปปฏิบัติ:
* ไถนาโดยการย่ำเทือกประณีตด้วยรถไถเดินตาม หรือรถไถนั่งขับ
* ติดตั้งถังขนาด 80-100 ล. ที่หน้ารถไถ ใส่ “น้ำ +ปุ๋ยนาข้าว +น้ำหมักชีวภาพ” ติดก๊อกที่ก้นถัง 2 ก๊อก ซ้าย-ขวา ท้ายรถไถติดตั้ง อีขลุบ/ลูกทุบ .... วิ่งรถไถ ไขก๊อกถังปุ๋ย ปล่อยน้ำปุ๋ยให้ไหลลง มาก/น้อย-ช้า/เร็ว ตามความเหมาะสมจำเป็น เมื่อรถไถออกวิ่งจะลาก อีชลุบ/ลูกทุบ นอกจากช่วย ย่ำ/บด ขี้เทือกแล้ว ยังช่วยกระจายน้ำปุ๋ยทั่วแปลงทุกตารางนิ้วด้วย

* ย่ำเทือกประณีต (รุ่นแรก) โดยย่ำ 2-3-4 รอบ ช่วยกำจัด “หญ้า/วัชพืช” ให้ตายได้แน่นอน (ยาฆ่าหญ้าทำได้เพียงใบไหม้ ไม่นานก็งอกใหม่) ระหว่างต้นข้าวโต ให้ถอนแยก “หญ้า/วัชพืช/ข้าวปน” แบบนี้งานย่ำเทือกประณีตสำหรับนารอบต่อไปจะน้อยรอบลง

* ทำนาหยอด ด้วยเครื่องหยอดไทยประดิษฐ์ ใช้เมล็ดพันธุ์ 2-3 กก./ไร่
* เครื่องหยอดเมAล็ดแบบ “คนลาก/รถไถเล็กลาก” ทำงานได้วันละไม่น้อยกว่า 10 ไร่ ด้วยแรงงานเพียงคนเดียว MADE IN THAILAND

* บำรุงต้นข้าวให้ปุ๋ยทางราก (หว่านลงดิน) 10 กก./ไร่ ให้ปุ๋ยทางใบ +สารสมุนไพร 7-10 วัน
* ฉีดพ่นสารสมุนไพรล่วงหน้า “กันก่อนแก้” ก่อนศัตรูพืชเข้ามา
* แก้ปัญหาทุกรายการที่ “โรงสีหรือผู้ซื้อ” ตัดราคา
* ผลิตข้าวตามตลาดต้องการ เช่น ข้าวปลูก แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม
* ทำ “ปุ๋ย-ยา-เมล็ดพันธุ์” ใช้เองเพื่อลดต้นทุน

หมายเหตุ :
- ใช้ผานโรตารี่ แทนผานจาน
- ทำเทือกนาแบบไม่ต้องไถ แต่ใช้วิธีย่ำเทือกประณีต
- ออกแบบสร้าง อีขลุบ/ลูกทุบ/โรตารี่ 3 ล้อ ล้อแรกกับล้อท้ายหมุนทางเดียวกัน ล้อกลางหมุนย้อน การหมุนสวนกันจะช่วยงานตีเทือกทำได้ดีขึ้น มากกว่าการหมุนตามกัน หรือมีเพียงล้อเดียวหลายเท่า

- ติดสปริงเกอร์แบบโอเวอร์เฮด ที่มุมคันนา ใช้ถัง 200 ล.บรรจุ “น้ำ+ปุ๋ย+ยา” ฉีดพ่นได้ครั้งละ 4 ไร่ (4 มุม)
- ลดปุ๋ยทางราก แล้วใช้ “ปุ๋ย+ยาสมุนไพร” ทางใบแทน
- สร้างแปลงแรงบันดาลใจ แรงจูงใจ

เปรียบเทียบ นาดำมือ-นาดำเครื่อง-นาหยอด-นาหว่าน :
นาดำมือ : เตรียมกล้า, ใช้แรงงานมาก
นาดำเครื่อง : เตรียมกล้า, หาเครื่องดำยาก, เครื่องดำราคาแพง, ซื้อต่างประเทศ
นาหยอด : ไม่ต้องเตรียมกล้า, ใช้แรงงานน้อย, หาเครื่องหยอดยาก, เครื่องหยอดราคาถูก, ไทยทำ
นาหว่าน : ไม่ต้องเตรียมกล้า, ใช้เมล็ดพันธุ์มาก, ใช้แรงงานมาก,

* ศูนย์การเรียนรู้ เกณฑ์คนมาเรียนรู้ 20คน 50คน ไถนาด้วยควาย, ทำเทือกด้วยลูกทุบ, ดำนาด้วยมือ, หว่านข้าวด้วยมือ, ภาพข่าวแพร่ไปทั่วโลก ก็ไม่รู้เหมือนกัน ชาวโลกเห็นแล้วเขาคิดยังไง

* ในเมื่อวันนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไถนา/ทำเทือกด้วยโรตารี่, นาหยอดเมล็ดลากด้วยรถไถ/ด้วยด้วยแรงงานคน,

ข้อคิดเห็น : ศูนย์การเรียนรู้ น่าจะ (เน้นย้ำ....น่าจะ) นำเสนอทั้ง เทคโนโลยีสมัยเก่า และเทคโนโลยีสมัยใหม่, ให้ผู้ประสบความสำเร็จ กับ ผู้ประสบความล้มเหลว มาเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเองเพื่อให้ผู้รับข้อมูลนำไป คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วนำไป ต่อยอด/ขยายผล/ปรับใช้ ให้เหมาะสมกับงานของตัวเอง

ความรู้ VS ความคิด :
แปลงเกษตรในมหาลัยเพื่อการศึกษา แปลงผัก กว้าง 2 ม. ยาว 10 ม. รวม 10 อย่าง ๆละ 2 ร่อง, เรือนเห็ด สูง 2 ม. ยาว 4 ม. 1 โรง

* ให้ น.ศ.รดน้ำด้วยสายยาง, ฉีดพ่นด้วยเป้สะพาย อ้างเหตุผลว่า แปลงขนาดเล็ก ทุกอย่างทำด้วยมือได้ จึงไม่แนะนำเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรง เช่น สปริงเกอร์/หม้อปุ๋ย, การใช้สารสมุนไพร, ไอพีเอ็ม, ฯลฯ ตามความเหมาะสม

* กรณี้นี้ถ้า น.ศ.มีแปลงผักของตัวเอง 10-20 ไร่ มีโรงเรือนเพาะเห็ด 5-10 โรง หรือรู้จักเกษตรกร
ที่ปลูกผักแปลงใหญ่ โรงเรือนเห็ดขนาดใหญ่ น.ศ.คนนั้นจะ ทำ/แนะนำ อย่างไร ?
**** ความรู้ ครูสอน – ความคิด ตัวเองสอน.... วิชาการ ครูสอน – ประสบการณ์ ตัวเองสอน....
**** ถึงยุคแล้วที่ต้อง ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ .... สร้าง ประสบการณ์ มากกว่า วิชาการ.... สร้าง ความคิด มากกวา ความรู้ ....

ลูกจ้างขี่คอ :
มช. : ลุงคิม ปรึกษาหน่อย ลูกจ้างฉัน ฉันบอกให้มันใส่น้ำหมักชีวภาพด้วย มันไม่ใส่ มันบอกว่า “เจ๊ แถวนี้ไม่มีใครเขาใส่กันหรอก เจ๊ใส่เองเถอะ...” ลูกจ้างแบบนี้ฉันควรทำยังไงคะ ?

ลุงคิม : ไม่มีคำตอบว่ะ ก็ถ้ายังยอมให้คนรับจ้างมันขี่คอแบบนี้ มึงก็จงเป็นหนี้ต่อไป

47. สมการปุ๋ยเคมี :
ปุ๋ยถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล

48. สมการสารสมุนไพร :
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชถูก + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังสอง
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังสาม
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชผิด + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังสี่
ตัวสมุนไพรผิด + ตัวศัตรูพืชผิด + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังห้า
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชถูก + วิธีใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลังห้า

49. สมการปุ๋ยอินทรีย์ :
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมถูก+จุลินทรีย์ถูก+วิธีทำถูก+เวลาถูก+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมถูก+จุลินทรีย์ถูก+วิธีทำถูก+เวลาผิด+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมถูก+จุลินทรีย์ถูก+วิธีทำผิด+เวลาผิด+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมถูก+จุลินทรีย์ผิด+วิธีทำผิด+เวลาผิด+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมผิด+จุลินทรีย์ผิด+วิธีทำผิด+เวลาผิด+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักผิด+วัสดุเสริมผิด+จุลินทรีย์ผิด+วิธีทำผิด+เวลาผิด+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องผิด = ไม่ได้ผล
วัสดุหลักถูก+วัสดุเสริมถูก+จุลินทรีย์ถูก+วิธีทำถูก+เวลาถูก+อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องถูก = ได้ผล

50. ลด-ละ-เลิก สารเคมี :
รอบที่ 1 ให้สารสมุนไพร + สารเคมี .............. ครั้งที่ 1
รอบที่ 2 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 1
รอบที่ 3 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 2

รอบที่ 4 ให้สารสมุนไพร + สารเคมี ............. ครั้งที่ 2
รอบที่ 5 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 3
รอบที่ 6 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 4

รอบที่ 7 ให้สารสมุนไพร + สารเคมี ............ ครั้งที่ 3
รอบที่ 8 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 5
รอบที่ 9 ให้สารสมุนไพร ครั้งที่ 6

51. ปฏิทิน ลด-ละ-เลิก สารเคมี :
วันที่ 1 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่น สารเคมี (ครั้งที่ 1) +สารสมุนไพร
วันที่ 2, 3, 4 (ในปฏิทิน) ..................................... เว้น

วันที่ 5 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 6, 7, 8 (ในปฏิทิน) ..................................... เว้น

วันที่ 9 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 10, 11, 12 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 13 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่น สารเคมี (ครั้งที่ 2) +สารสมุนไพร
วันที่ 14, 15, 16 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 17 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 18, 19, 20 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 21 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 22, 23, 24 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 25 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่น สารเคมี (ครั้งที่ 3) +สารสมุนไพร
วันที่ 26, 27, 28 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 29 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 30, 31, 32 (ในปฏิทิน) ................................ เว้น

วันที่ 33 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ
วันที่ 37, 38, 39 (ในปฏิทิน) ……………………………....... เว้น

วันที่ 40 (ในปฏิทิน) ฉีดพ่นสารสมุนไพรเดี่ยวๆ

* ใช้สารเคมี ครั้งที่ 1 ใช้เต็มอัตราในฉลาก
* ใช้สารเคมี ครั้งที่ 2 ใช้ครึ่งหนึ่งของครั้งแรก
* ใช้สารเคมี ครั้งที่ 3 ใช้ครึ่งหนึ่งของครั้ง 2
* ใช้สารเคมี 3 ครั้งแล้ว ถ้าเอาศัตรูพืชไม่อยู่ต้องพิจารณาสมการสารเคมี
* ใช้สารสมุนไพรตามอัตราการใช้ ทุกครั้งที่ใช้
* ให้ปุ๋ยทางใบร่วมด้วยเมื่อครบรอบการให้ปุ๋ย
หมายเหตุ :
- แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน,
- เลือกใช้ เคมี/สารสมุนไพร ถูกต้องตามสมการ
- สารสมุนไพร ใช้ร่วม/ไปร่วม กับปุ๋ยทางใบได้

52. แนวทางลดต้นทุน :
** ต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ............. เลิก/เปลี่ยน วิธีเดิมมาเป็นแบบสีสันชีวิตไทยแนะนำ
** ต้นทุนค่าสารเคมี ............ ใช้สารสมุนไพร+ปุ๋ยทางใบ
** ต้นทุนค่ายาฆ่าหญ้า ........ ใช้เครื่อง ตัด/พรวน, ไถพรวนด้วยโรตารี่, ย่ำเทือกประณีต
** ต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ …... ทำนาหยอด, ทำนาดำเครื่อง, ทำนาแบบล้มตอซัง
** ข้าวคุณภาพต่ำ ............... เลิก/เปลี่ยน วิธีเดิมมาเป็นแบบสันชีวิตไทยแนะนำ
** ข้าวราคาต่ำ .................... แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม, ขายแบบพันธะสัญญา
** ต้นทุนค่าเช่าที่ ................ แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ขายแบบพันธะสัญญา
** ต้นทุนค่าแรง ................. ใช้เครื่องทุ่นแรง, จ้างประจำ
** ต้นทุนสูง กำไรน้อย ...... ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ/ปริมาณ

- ต้นทุนค่ายาฆ่าแมลง ใช้วิธี ลด/ละ/เลิก สารเคมี, ป้องกัน/กำจัด, ใช้ร่วมกับปุ๋ยทางใบ, และ IPM
- จับหลัก "หัวใจเกษตรไท" *ปุ๋ย *ยา *เทคนิค *เทคโนฯ *โอกาส *ตลาด *ต้นทุน แล้วปรับทัศนคติ/ทัศนคติ/ค่านิยม/วัฒนธรรม/ประเพณี จากที่เคยทำแบบเดิมๆ มาสู่การทำแบบใหม่ ปลูกพืชตามใจพืช ไม่ใช่ตามใจคน

- อาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพอื่นใดก็สุดแท้ วันนี้ถึงยุคที่ต้อง “คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ” แล้วว่า ทำแบบเดิมคงไม่มีอะไรดีกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปในทาง “ลบ” เช่น ต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลง ปัจจัยพื้นฐานฯ

- เขียนรายการต้นทุนที่เป็นเงินขึ้นมาก่อน ทุกรายการ เพื่อเตือนสติ
- เขียนรายการต้นทุนที่ไม่ได้ซื้อขึ้นมาก่อน ทุกรายการ
- ประมาณการตลาดล่วงหน้าราคาขายว่า ขายแล้วจะได้เท่าไหร่
- คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ต้นทุนระหว่างทำเอง 100% กับ ทำเองครึ่งนึ่งซื้อครึ่งนึง
- ลงทุนแก้ปัญหาครั้งเดียว เพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว
- ใช้ เทคโนโลยีวิชาการ ผสมผสาน เทคโนโลยีชาวบ้าน
- ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ฉลาดวางแผน ฉลาดทำ เพื่อต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่ประสิทธิภาพเหนือกว่า
- ใช้เครื่องทุ่นแรง เพื่อประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน
- ฯลฯ

53. ประสิทธิภาพสปริงเกอร์ :
ที่ RKK แปลงไม้ผลแบ่งเป็นโซน ๆละ 50 ต้น ให้ น้ำ, น้ำ+ปุ๋ย, น้ำ+ยาสมุนไพร, น้ำ+ปุ๋ย+ยาสมุนไพร มีหม้อปุ๋ยประจำหน้าโซน ทำงานให้ทางใบครั้งละ 3-5 นาที ให้ทางรากครั้งละ 5-10 นาที ต่อการทำงาน 1 รอบ :

เปรียบเทียบ : ลากสายยาง 50 ต้น ๆละ 5 นาที = 250 นาที/ครั้ง VS สปริงเกอร์ 50 ต้น ใช้เวลา 5 นาที = 5 นาทีไฟฟ้า/ครั้ง

สรุป : ลงทุนครั้งเดียว ทำงาน 5ปี 10ปี 20ปี ต้นทุนค่าไฟฟ้า ค่างแรง ประสิทธิภาพประสิทธิผลเนื้องาน ความเครียดในการทำงาน เครดิตความน่าเชื่อถือ .... ต่างกันเท่าไหร่ ?

54. สปริงเกอร์สั่งได้ :
ตี.5 : ..................... ล้างน้ำค้าง ป้องกัน/กำจัด ราน้ำค้าง ราแป้ง ราสนิม
สาย : ..................... ให้ ปุ๋ย/ฮอร์โมน
เที่ยง : ……................ ป้องกัน/กำจัด เพลี้ยไฟ ไรแดง
ค่ำ : ....................... ป้องกันแม่สื้อเข้าวางไข่ ไข่แมลงฝ่อ ฆ่าหนอนที่ออกหากินลางคืน
กลางวัน-กลางคืน : ..... ฉีดพ่นสารสมุนไพรบ่อยๆ ทุกวัน วันต่อวัน วันเว้นวัน ทำได้ตามต้องการ
กลางวันฝนตก : ......... ก่อนฝนตกหรือหลังฝนหยุด ให้ปุ๋ยทางใบป้องกันการแตกใบอ่อน
กลางวันฝนตก : ..…..... ฝนหยุดแดดออก (ฝนต่อแดด) ล้างน้ำฝน ป้องกัน/กำจัด แอ็นแทร็คโนนส, ไม้ผลระยะสะสมตาดอก หรือ ปรับ ซี/เอ็น เรโช

นอกจากช่วงเวลาทำงานช่วงละครั้งแล้ว ยังสามารถทำงานได้วันละหลายช่วง เช่น เช้ามืดให้น้ำชะล้างน้ำค้าง ตอนสายหรือเที่ยงให้ ปุ๋ย/ปุ๋ย+ยา ทางใบได้อีกด้วย

55. เปรียบเทียบสปริงเกอร์ :
- ราคา
- อายุใช้งาน
- ต้นทุนแรงงาน (ทำเอง/จ้าง)
- ต้นทุนพลังงาน (ไฟฟ้า/น้ำมัน)
- ต้นทุนเวลาที่ทำงาน
- ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของเนื้องาน
- สุขภาพร่างกาย (คนใช้/คนกิน)
- เครดิตความน่าเชื่อถือ (สังคม/ทั่วโลก)

56. เกษตรโลก :
เยอรมัน ซื้อลิขสิทธิ์สารอะแซดิแร็คติน ในสะเดาจากไทย
ฝรั่งเศส ซื้อลิขสิทธิ์สารแค็ปไซซิน ในพริกจากไทย
อเมริกา ซื้อลิขสิทธิ์ราติโนน ในหนอนตายหยากจากไทย
เยอรมัน-ฝรั่งเศส-อเมริกา ..... ซื้อลิขสิทธิ์ไปทำอะไร ?
สารออกฤทธิ์ในสมุนไพรที่มีผลต่อศัตรูพืช คือ
กลิ่น (ทำให้แมลงไม่เข้าหาพืช) ........
รส (ทำให้ แมลง/หนอน ไม่กัดกินพืช) .......
ฤทธิ์ (ทำให้ แมลง/หนอนตาย, ทำให้เชื้อ รา/แบคทีเรีย/ไวรัส ตาย) .....
เสริมด้วย IPM (การ ป้องกัน/กำจัด แบบผสมผสาน .... กับดัก กาวเหนียว แสงล่อ ศัตรูธรรมชาติ พืชแซม เขตกรรม วิธีกล วิธีฟิสิกส์ ฯลฯ)

ในพืชที่สมบูรณ์แข็งแรงแมลงศัตรูพืชเข้าหาแล้วขยายพันธุ์ แพร่ระบาด หรือสร้างความเสียหายแก่พืชได้น้อยกว่าศัตรูพืชที่เข้าหาพืชที่อ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ (สมเด็จฟ้าชายชาร์ล แห่งอังกฤษ)

57. แรงบันดาลใจ :
- วังขนาย ทำอ้อยได้ 100 ตัน/ไร่ ..................... ขอแค่ 50 ตัน
- มิตรผล ทำอ้อยได้ 50 ตัน/ไร่ ......................... ขอแค่ 25 ตัน
- สุพรรณบุรี ทำสำปะหลังได้ 60 ตัน/ไร่ .......... ขอแค่ 30 ตัน
- ข้าวหอมมะลิ 105 ปลูกอิสานได้ 35 ถัง/ไร่ .... ปลูกลำพูน/พิจิตร/นครชัยศรี ได้ 80 ถัง/ไร่



เกษตรแจ๊คพ็อต :
มะลิ (หน้าหนาว-วันครู-วันแม่), กุหลาบวาเลนไทน์ (สีดำ สีม่วง แฟนซี),มะนาวหน้าแล้ง, กล้วยหอม/แก้วมังกร/ส้ม (ตรุษจีน-สาร์ทจีน-เชงเม้ง-ไหว้พระจันทร์), ผักชีหน้าฝน, บัวเข้าพรรษา, ชะอมหน้าแล้ง, ทุเรียนนอกฤดู (หมอนทอง ออกลูกตลอดปี), มะม่วงนอกฤดู, เงาะนอกฤดู, ลำไยนอกฤดู, แตงโมหน้าฝน, แตงโมสี่เหลี่ยม, ไผ่นอกฤดู

- ปลูกพืชราคาผลผลิตต่อ กก.แพงๆ ดีกว่า ปลูกพืชที่ผลผลิตราคาผลผลิตต่อ กก. ถูกๆ

แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม :
ข้าว (ข้าวกล้อง ข้าวฮาง จมูกข้าวแค็ปซูล น้ำมันรำแค็ลซูล) .... ผลไม้ (กวน ทอด ตาก อบ แป้ง คั้นน้ำ แยม แช่อิ่มในกระป๋อง) ....ไม้ดอก (กลิ่นอะโรม่า น้ำหอมดอกไม้) .... สมุนไพร (สด แห้ง พร้อมใช้ สำหรับคน-สัตว์-พืช)

คุณภาพ : ซูพรีม พรีเมียม เกรด เอ. จัมโบ้ คิวซี คิวอาร์ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง ออกนอกฤดู สีสวยสด รสจัดจ้าน ปลอดสารเคมี โดนตา โดนใจ คนนิยม

58. 1 ปี .... ขาย 1 vs 12 ครั้ง :
- ในรอบปี 12 เดือน ไม้ผลให้ผลผลิต ในฤดู/นอกฤดู ได้ขาย/ขายได้ 1 ครั้ง ....
- คิด/วิเคราะห์ จากขายได้ หาร 12 = เดือนละ ? .... จากเดือนละ หาร 30 = วันละ ? .... จากวันละ หาร จำนวนคนในบ้าน = รายได้ ต่อวัน ต่อคน

- แบ่งพื้นที่มาบางส่วน ปลูกพืชล้มลุก ไม่มีฤดูกาล เช่น...
**** เห็ดในโรงเรือน/กลางแจ้ง ผักไฮโดรโปรนิกส์
**** ผักสวนครัวกินผล (พริก มะเขือ ฯลฯ)
**** ไม้ผลล้มลุก เช่น แตงโม แคนตาลูป เมลอน แบ่งแปลงเป็นโซน ปลูกทุกวันที่ 1 ของเดือน จะมีผลผลิตให้เก็บทุกเดือน (12 โซน ได้เก็บ 12 ครั้งต่อปี)

**** ไม้ดอกประเภทต้องการแสงแดดน้อย แซมแทรกระหว่างต้นไม้ผล (หน้าวัว)
**** ผักประเภทต้องการแสงแดดน้อย แซมแทรกระหว่างต้นไม้ผล (ข่า ตะไคร้ ผักหวานป่า)
- เลือกพืชที่ราคาผลผลิตต่อหน่วย ราคาแพงๆ ถึง แพงมากๆ ทำแจ๊คพ็อต
- แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม
- การตลาดนำการผลิต


59. นาข้าว :
- หอมมะลิ ทุ่งกุลาฯ ได้ 35-40 ถัง/ไร่ เกวียนละ 15,000 .... 3 ไร่ ได้ 1 เกวียน = ได้ไร่ละ 5,000
- หอมมะลิที่ ลำพูน พิจิตร นครชัยศรี ได้ 80 ถัง/ไร่ ............ 1 ไร่ ได้ 1 เกวียน = ได้ไร่ละ 15,000
ข้าวอย่างอื่นเกวียนละ 10,000 .... 1 ไร่ได้ 1 เกวียน = ได้ไร่ละ 10,000
ข้าวเปลือกขายที่โรงสี ได้เกวียนละ 12,000 (-)
ข้าวเปลือกสีเป็นข้าวกล้อง ขายได้เกวียนละ 30,000-50,000 (+)
ข้าวเปลือกสีเป็นข้าวกล้องกาบา ขายได้เกวียนละ 100,000 (+)
ข้าวเปลือก 1 เกวียน ทำจมูกข้าวแค็ปซูล น้ำมันรำแค็ปซูล ขายได้ราคาหลายๆ แสน
ต้นทุน 195,000 VS 45,000 :
พ่อ ลูกชาย ลูกสะไภ้ จากฉะเชิงเทรา ด้วยปิ๊คอั๊พ 2 ตอน รุ่นล่าสุด มาที่ไร่กล้อมแกล้ม.... หลังทักทายกันตามวัฒนธรรมเรียบร้อย บทสนทนาก็เริ่มขึ้น

ลุงคิม : ตอนนี้ทำเกษตร ปลูกอะไรอยู่ล่ะ ?
สมช. : ทำนาข้าว 130 ไร่ ทำตามแนวลุงคิม ทำมา 3 รุ่นแล้ว รุ่นนี้ รุ่นที่ 4

ลุงคิม : อืมมม แนวลุงคิม แนวลุงคิม แนวลุงคิมไม่มีหรอกนะ มีแต่แนวธรรมชาติของต้นข้าว
สมช. : แต่ผมทำตามที่ลุงคิมบอก แม้แต่ปุ๋ยก็ใช้ปุ๋ยของลุง

ลุงคิม : ใช้ปุ๋ยลุงคิม คุณเอามาจากไหน ?
สมช. : (หัวเราะ....) สั่งซื้อจากร้านลูกสาว ร้านคุณน้ำส้ม

ลุงคิม : สั่งซื้อที่ร้านน้ำส้ม สั่งยังไง ?
สมช. : สั่งให้ส่งทางไปรษณีย์ นารุ่นนึงสั่ง 3 ครั้ง ครั้งละ 15,000

ลุงคิม : (พูดในลำคอ) ครั้งละ15,000 .... 3 ครั้งเป็นเงิน 45,000 .... นาข้าว 130 ไร่ ต้นทุนค่าปุ๋ย แค่ 45,000 ใครจะเชื่อ....

คิดในใจ....
นาข้าว 1 ไร่ ใช้ยูเรีย 1 กส. ๆละ 750, 16-20-0 (1 กส.) กส.ละ 750 = ใช้ปุ๋ย 2 กส. ราคา 1,500
นา 130 ไร่ ใช้ปุ๋ยเคมีเพียวๆ เป็นเงิน 130 ไร่ x 1,500 บาท = 195,000 บาท
เปรียบเทียบ :
ปุ๋ยเคมีเพียวๆ รุ่นละ 195,000 .... ปุ๋ยอินทรีย์-เคมี รุ่นละ 45,000

60. ชาวนา คิดใหม่ทำใหม่ :
ผลผลิตเพิ่ม :

ให้ปุ๋ยถูกสูตร ทางดินให้ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 + 16-8-8 ทางใบให้แม็กเนเซียม. สังกะสี. ยืนพื้น ....ปุ๋ยแต่ละสูตรที่ว่ามีผลต่อต้นข้าวโดยตรงยังไง บอกไว้ครบ....

ใช้ เทคนิค/เทคโนโลยี ให้ได้ผลผลิตต่อไร่มากที่สุด ให้ได้คุณภาพสูงสุด ไม่มีข้าวลีบ ไม่มีท้องไข่ เมล็ดแกร่งใส น้ำหนักดี ความชื้นน้อย ใช้ทำพันธุ์ได้ ....

ต้นทุนลด :
"ลดค่าไถ" .... ไถดะไถแปรไถพรวนตัดออกให้หมด ข้ามขั้นไปทำเทือกเลย ทำเทือกแบบประ ณีต ตีเทือกครั้งสุดท้าย ติดตั้งถังบรรจุปุ๋ย อินทรีย์น้ำ+เคมี ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 + 16-8-8 ปริมาณสำหรับ 1 ไร่ ..

ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 + 16-8-8 คนให้ละลายเข้ากันดี ติดก๊อกที่ก้นถัง เริ่มวิ่งรถย่ำเทือก เปิดก๊อกที่ก้นถังปุ๋ยที่หน้ารถ รถไถวิ่งไป น้ำผสมปุ๋ยหยดลงข้างหน้า ลูกทุบอีขลุบที่ท้ายรถจะกวาดละเลงเนื้อปุ๋ยกระจายทั่วแปลงนาทุกตารางนิ้วเอง แบบนี้จะช่วยให้ข้าวทุกต้นทุกกอได้รับปุ๋ยเท่ากันทั้งแปลง

ทั้งนี้ ปุ๋ยที่หว่านด้วยมือ เม็ดปุ๋ยลงไปที่กอข้าวไม่เสมอกัน ข้าวกอไหนได้ปุ๋ยกอนั้นเขียว กอที่ไมได้ปุ๋ยก็ไม่เขียว ชาวนาบอกก็ว่าอ่อนปุ๋ย ว่าแล้วหว่านยูเรียซ้ำอีก กส. นั่นเท่ากับหว่านยูเรีย 2 กส. 16-20-0 อีก 1 กส. รวมเป็นใส่ปุ๋ย 3 กส./ไร่ ถึงจะหว่านซ้ำแล้วก็ยังได้ไม่ทั่วแปลง บางกอได้ปุ๋ย บางกอไม่ได้ปุ๋ย สภาพต้นข้วยังเหมือนเดิม

คิดดู ข้าวกอที่ได้ปุ๋ยกับกอที่ไมได้ ผลออกมาจะต่างกันยังไง....ชัดเจน ย่ำเทือกใช้น้ำมันน้อยกว่าไถ
"ลดยาฆ่าหญ้า" .... กำจัดหญ้าวัชพืช ย่ำเทือกแบบประณีต 4 รอบ :
รอบแรก ย่ำวันที่ 1 ในปฏิทิน
รอบสอง ย่ำวันที่ 10 ในปฏิทิน
รอบสาม ย่ำวันที่ 20 ในปฏิทิน
รอบสี่รอบสุดท้าย ย่ำวันที่ 30 ในปฏิทิน

ก่อนลงมือย่ำรอบแรกสังเกตปริมาณหญ้าวัชพืชว่ามีเท่าไหร่ ก่อนลงมือย่ำรอบสอง-สาม-สี่ ก่อนย่ำสังเกตว่าหญ้าวัชพืชลดลงเท่าไหร่แล้ว ถ้าจุดไหนยังมีหญ้าวัชพืชหลงเหลืออยู่หรือลดลงน้อยให้ย่ำซ้ำ

หญ้าวัชพืชงอกจาก“ไหล/หัว/เหง้า” ถ้าไม่มีใบก็จะกินอาหารที่สะสมไว้ใน “ไหล/หัว/เหง้า” เมื่อใบถูกทำลายซ้ำ ๆๆ ก็ต้องกินอาหารที่สะสมจนหมด เมื่อไม่มีอาหารสะสมต้นก็ตายสนิทไปเอง ลงท้ายเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์

ผานอัจฉริยะ .... ออกแบบสร้างผานโรตารี่สำหรับใช้กับรถไถใหญ่คนนั่งขับ ไม่ใช่เดินตาม รูปแบบ-ทำงาน เหมือนผานธรรมดาๆนี่แหละ แต่มีผานโรตารี่ 3 อันหมุนพร้อมกัน อันแรกกับอันที่สามหมุนไปข้างหน้าตามรถไถ อันกลางหมุนย้อนกลับหลัง

คิดดู.... ผานโรตารี่ 3 อัน สองอัน “หน้า-หลัง” หมุนไปหน้า หนึ่งอันกลาง “หมุนย้อน” แบบนี้ทั้งหญ้า วัชพืช ดิน จะป่นละเอียดสุดๆ ผานสามอันทำงานวิ่งรอบเดียวเท่ากับผานเดี่ยววิ่ง 3 รอบ

นี่คือ ประหยัดเวลา แรงงาน น้ำมันรถไถ อารมณ์...
"จุลินทรีย์ดี" ....ใช้ยาฆ่าหญ้า หญ้าไม่ตายแค่ใบไหม้ เดี๋ยวก็งอกใหม่งามกว่าเก่า นั่นคือ หญ้าไม่ตายแต่จุลินทรีย์ตาย

เลิกใช้ยาฆ่าหญ้าแต่ฆ่าหญ้าด้วยวิธี “ย่ำ-ไถกลบ-หมัก” หญ้าตาย ตายสนิท ไม่งอกใหม่ แถมจุลินทรีย์ทั้งเก่าและใหม่ ไม่ตาย

เชื่อหรือไม่ จุลินทรีย์ คือ แม่ครัวของพืช จุลินทรีย์ช่วยสร้างสารอาหารให้พืช จุลินทรีย์ช่วยกำจัดเชื้อโรคพืช จุลินทรีย์ช่วยปรับ กรด/ด่าง ให้กับดิน

61. ปุ๋ยนาข้าว :
ยูเรีย :
ทำให้ข้าวเขียวตองอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ต้นหลวม อ่อนแอ โรคแมลงมาก เมล็ดลีบมาก เป็นท้องปลาซิวมาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ข้าวปลูกไม่ดี

แม็กเนเซียม : สร้างคลอโรฟีลด์ ทำให้ข้าวเขียวทน ใบหนา สังเคราะห์แสงดีสมบูรณ์ แข็งแรง ต้นแข็ง ต้นไม่ล้ม โรคแมลงน้อย

สังกะสี : สร้างแป้ง ช่วยให้ข้าวไม่เป็นเมล็ดลีบ ไม่เป็นท้องปลาซิว เมล็ดแกร่งใส น้ำหนักดี บดแล้วไม่ป่น ทำพันธุ์ข้าวปลูกดี
*** คนเดียว “ซื้อ+ทำเอง” = ต้นทุนลด ขายได้เท่าเดิม นั่นคือ กำไรเพิ่ม
*** รวมกลุ่ม “ซื้อ+ทำเอง” = ต้นทุนลด ขายได้เท่าเดิม นั่นคือ กำไรเพิ่มเพิ่ม
*** ปุ๋ย ยา เทคนิค เทคโนฯ โอกาส คือ หัวใจ ของหัวใจ ของการเกษตร ของชีวิตของชีวิต

เปรียบเทียบปริมาณผลผลิต นาดำ VS นาหว่าน :
* พื้นที่ 1 ตร.ศอกแขน .... นาดำ : ข้าว 1 เมล็ด = 1 กอ แตกกอได้ 50 ลำ ลำใหญ่เท่าหลอดดูดเฉาก๊วย .... 1 ลำ = 1 รวง, 1 รวง = 100 เมล็ด, .... 1 กอ 50 ลำ/รวง = 5,000 เมล็ด.

ต้นทุน.... นาดำ ๆด้วยรถดำนา (เมล็ดพันธุ์, กล้า, ค่าจ้าง).... นาหยอด ๆด้วยเครื่องหยอด (เมล็ดพันธุ์, กล้า, ค่าจ้าง) ต้นทุนต่ำกว่านาหว่าน

* พื้นที่ 1 ตร.ศอกแขน .... นาหว่าน : ข้าว 10 เมล็ด = 10 กอ ไม่แตกกอได้ 10 ลำเท่าเดิม ลำใหญ่เท่าหลอดดูดยาคูลท์ .... 1 ลำ = 1 รวง, 1 รวง = 100 เมล็ด, .... 10 เมล็ด 10 ลำ/รวง = 1,000 เมล็ด

ต้นทุน .... นาหว่าน (มือ เครื่อง) เมล็ดพันธุ์, ค่าจ้าง สูงกว่านำดำ นาหยอด
- ช่วงเวลา 9 โมงเช้า ใบธงอ่อนลู่ลง แสดงว่ายูเรียเกิน แต่ขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม อย่างรุนแรง
- ใช้วิธีธรรมชาติร่วมด้วย เช่น ....
.... ปล่อยน้ำท่วม หรือปล่อยหน้าดินแห้ง กำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล,
.... เลี้ยงหญ้าบนคันนา ให้แมลงธรรมชาติอาศัยแล้วไปทำลายแมลงศัตรูพืช
.... ใช้แสงไฟล่อแมลงให้ตกลงไปในน้ำ หรือเข้ามาติดกับดักกาวเหนียว
.... บำรุงต้นข้าวให้สมบูรณ์แข็งแรง เกิดเป็นภูมิต้านทานสู้กับศัตรูพืชในตัวเองได้
.... งดใช้ “ยูเรีย” เด็ดขาด เพราะยูเรียทำให้ต้นข้าวอวบ ล่อเพลี้ยกระโดดเข้ามาหา
.... งดใช้สารเคมี เพราะเป็นอันตรายต่อแมลงธรรมชาติ ประเภท “ตัวห้ำ-ตัวเบียน”
.... ไถกลบฟาง ได้ซิลิก้า (หินภูเขาไฟ) ช่วยใช้ผนังเซลล์ต้นข้าวแข็ง แมลง เพลี้ยกัดไม่เข้า


62. ข้าวหอมพันธุ์พื้นบ้าน :
หอมหาง. หอมเศรษฐี. หอมนายพล. หอมแดงน้อย. หอมลาย. หอมนางมล. หอมพวง. หอมเม็ดเล็ก. หอมเขมร. หอมทุเรียน. หอมมาล่า. หอมไผ่. หอมครัว. หอมใบ. หอมโพ. หอมบาว.หอมนางนวล. หอมนวล. หอมสวน. หอมอุดม. หอมแพ. พะโล้. หอมดอ. หอมหวน. หน่วยเขือ. เล้าแตก. ก่ำเปลือก. ดำช่อขิง. มันเป็ด. ปะกาอำปึล. หอมทุ่ง. ป้องแอ๊ว. หอมมะลิหรือขาวดอกมะลิ. หอมปทุมธานี. หอมคลองหลวง. หอมสุพรรณ. หอมพิษณุโลก. หอมกุหลาบแดง. หอมนิล.

63. ข้าวพันธุ์ GI. :
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง. ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี. ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้. ข้าวเหลืองปะทิวชุมพร. ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้. ข้าวหอมมะลิสุรินทร์. ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์. ข้าวก่ำล้านนา. ข้าวลืมผัว.

64. งานส่งเสริมเกษตรในฝัน :
- เกษตรจังหวัด จัดรายการเกษตรทางวิทยุ สถานีวิทยุชุมชน มอบหมายให้เกษตร อำเภอ/ตำบล รับผิดชอบวันละ 1 อำเภอ ไม่จำกัดการมีผู้สนับสนุนรายการ

- วิทยุคลื่นหลัก AM/FM สังกัดกองทัพ บก/เรือ/อากาศ/ตำรวจ มีสถานีวิทยุในความรับผิดชอบ จัดรายการเกษตรทางวิทยุ ด้วยกำลังพลของตน ไม่จำกัดการมีผู้สนับสนุนรายการ .... เป็นวาระแห่งชาติ ภารกิจและวัตถุประสงค์เพื่อ ปลูกฝัง/เสริมสร้าง/ปรับเปลี่ยน พฤติกรรม ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี กระแส สติ กระแส คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ฯลฯ แก่เกษตรกร และ/หรือ ผู้เกี่ยวข้อง

- TV เกษตร ช่องหอยม่วง NBT ช่องนกปีกฉีก TBS (ของรัฐ) มีรายการเกษตร ทุกคืน 2-4 ทุ่ม นำเสนอเรื่อง พืช, สัตว์, แปรรูป (OTOP SME), ตลาด, ปชส., ข่าว, ฯลฯ ในประเทศ เน้น H. มากกว่า W. แถมด้วยสารคดีเกษตรต่างประเทศตามความเหมาะสม .... รายการนี้เป็นรัฐสวัสดิการ (เหมือนรถเมล์ รถไฟ) ไม่ต้องมี SPONSOR โดยรัฐจ่ายเงืนเดือนให้ผู้ผลิตรายการ (ข้าราชการ) กับเปิดช่องทางให้จิตอาสาเข้ามาร่วมรายการได้

- รัฐบาลให้งบ 100 ล้าน ส่งเสริม/แจกฟรี กาวเหนียวดักแมลง ถึงระดับตำบล มอบหมายให้ จนท.เกษตรตำบล รับผิดชอบ/วางแผน/ปฏิบัติการ/ประเมินผล/แก้ปัญหา/แผนการปฏิบัติในอนาคต/ปชส./ฯลฯ

- รัฐส่งเสริมโรงงานรูปบริษัท SME OTOP ผลิต/จำหน่าย/เผยแพร่/ปชส./ส่งออก/ฯลฯ สารสมุนไพร ป้องกัน/กำจัด ศัต


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/01/2024 8:07 am, แก้ไขทั้งหมด 20 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 2:54 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
65. MADE IN THAILAND :
ที่บึงกาสาม หนองเสือ ปทุมธานี ทำปุ๋ยน้ำทางใบส่งตาม 1ล. 5ล. ออร์เดอร์เดือนละ 20,000 ล. ขึ้นเรือที่ระยอง ไปขึ้นเรือใหญ่ต่อที่แปซิฟิค ที่เรือใหญ่บรรจุขวดเล็ก แล้วติดยี่ห้อเป็นภาษาประเทศที่ส่ง
ส่งฟิลิปปินส์ ....................... ติดฉลากภาษาฟิลิปปินส์
ส่งไต้หวัน .......................... ติดฉลากภาษาไต้หวัน
ส่งจีน ............................... ติดฉลากภาษาจีน
ส่งอินโดเนเซีย ..................... ติดฉลากภาษาอินโดเนเซีย
ส่งมาเลเซีย ........................ ติดฉลากภาษามาเลเซีย
ส่งเวียดนาม ........................ ติดฉลากภาษาเวียดนาม
ไม่รู้ว่าส่งมาไทยหรือเปล่า ......... กำลังจะบอกว่า แบบนี้บ้านคุณก็ทำได้
ปุ๋ยน้ำทางใบในตลาด รวมทั้ง ไบโออิ. ยูเรก้า. ไทเป หัวโต ไบโต. ทำไต้ถุนบ้าน ทั้งนั้น

66. โรคมีเชื้อ :
เกิดจากเชื้อโรค (วัฏจักรชีวิต) กลุ่ม รา แบคทีเรีย ไวรัส พลาสม่า ....
การปฏิบัติ :
- บำรุงต้นสร้างความสมบูรณ์สะสมเป็นภูมิต้านทาน
- ใช้สารเคมีเดี่ยวๆ หรือสารสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือ สารเคมี+สารสมุนไพร
- ใช้มาตรการ ป้องกัน/กำจัด อย่าง เหมาะสม/ถูกต้อง
- ใช้จุลินทรีย์มีประโยชน์
- ยึดหลักสมการยาสมุนไพร
- ไอพีเอ็ม

67. โรคไม่มีเชื้อ :
เกิดจากต้นพืชขาดสารอาหาร หรือปัจจัยพื้นฐาน (ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ-ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค) ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่เหมาะสม
การปฏิบัติ :
- ลดปุ๋ยเคมี เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ และสารปรับปรุงบำรุงดิน
- ลดธาตุหลัก เพิ่มธาตุรอง/ธาตุเสริม และฮอร์โมน
- จับหลักสมการปุ๋ย
- จับหลักสมการยา
- บริหารปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูกที่ ถูกต้อง/เหมาะสม
- บำรุงพืช สร้างความสมบูรณ์สะสมให้เป็นภูมิต้านทานศัตรูพืช

68. เทคโนฯ เครื่องทุ่นแรง-1 :
- งานอุตสาหกรรมพยายามเสาะแสวงลงทุน เปิดรับ เทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงใหม่ๆ เสมอ
- งานเกษตรกรรม“ปิดรับ” เทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงทุกชนิด อย่างสิ้นเชิง
- งานอุตสาหกรรม พยายามสร้างผลผลิตให้ ล้ำหน้า คู่แข่ง 1 ก้าวเสมอ
- งานเกษตรกรรม ทำตามคนอื่นๆ ถึงขนาดบอก “แถวนี้ไม่มีใครทำ”
- งานอุตสาหกรรมเอาความรู้วิชาการมา“บริหาร-จัดการ” เสมอ ตั้งเริ่มต้นจนจบ
- งานเกษตรกรรม “บริหาร-จัดการ” แบบเดิมๆ ตามประเพณี ตามข้างบ้าน ตามโฆษณา
- สวนยกรองน้ำหล่อ รดน้ำด้วยเรือปากเป็ด ใช้เวลาเช้ายันเที่ยงบ่าย ให้น้ำได้อย่างเดียว ให้ ปุ๋ย/ยา ต้องสะพายเป้ลากสายยางต่างหาก งานนี้ ค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำมัน/ค่าแรง/ค่าเวลา/คาเนื้องาน/ค่าเครดิต/ค่าโอกาส/ค่าอารมณ์ เท่าไหร่ ?

- คิดใหม่-ทำใหม่ ปรับร่องเป็นน้ำเลี้ยงปลา ปลาละร่องๆ เลี้ยงผักบุ้งทอดยอดเย็นตาโฟ เลี้ยงผักกะเฉด ทำค้างคร่อมร่องปลูกมะระฟักเขียวบวบ ได้พื้นที่ คืน/เพิ่ม อีกไม่น้อย

- ติดสปริงเกอร์ หัวสปริงเกอร์อยู่เหนือยอด (ไม้พุ่ม) หรืออยู่เหนือค้าง (ไม้ขึ้นค้าง) น้ำสัมผัสใบแล้วหล่นลงพื้น เท่ากับได้ 2 เด้ง .... บนสันแปลงติด สปริงกอร์-หม้อปุ๋ย ช่วยประหยัด ค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำมัน/ค่าแรง/ค่าเวลา/ค่าเนื้องาน/ค่าเครดิต/ค่าโอกาส/ค่าอารมณ์

69. เทคโนฯ เครื่องทุ่นแรง-2 :
- ติดสปริงเกอร์ หัวแรกออกแรง หัวกลางออกกลาง หัวท้ายออกค่อย ใช้รดน้ำอย่างเดียวยังไม่ 100% ปล่อย ปุ๋ย/ยา ไปกับสปริงเกอร์ไม่ได้ แบบนี้ถือว่าไม่คุ้มค่า

- ลูกจบปริญญา มีสวนไม้ผลขนาดใหญ่ ปล่อยพ่อแม่ทำ ติดสปริงเกอร์เฉพาะโคนต้นให้น้ำ แต่ลากสายยางฉีดพ่นทางใบต่างหาก ต้นทุน ค่ากตัญญู/ค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำมัน/ค่าแรง/ค่าเวลา/ค่าเนื้องาน/ค่าเครดิต/ค่าโอกาส/ค่าอารมณ์ หมดไปอย่างไม่สมเหตุสมผล

- แอร์บลาสส์คันละล้าน (ตัวแอร์บลาสส์ 5 แสน ตัวแทร็คเตอร์ลาก 6 แสน) ต้องเว้นพื้นสวนให้เป็นถนน (เสียพื้นที่) ทำงานได้เฉพาะเวลาเท่านั้น ค่าน้ำมัน/ค่าแรง/ค่าเวลา/ค่าเนื้องาน/ค่าเครดิต/ค่าโอกาส/ค่าอารมณ์ มากกว่าสปริงเกอร์

- โดรนคันละแสน บรรทุกน้ำผสม ปุ๋ย/สารเคมี/สารสมุนไพร ได้ครั้งละ 10 ล. ปริมาณน้ำเท่านี้ ทำงานฉีดพ่นได้ครั้งละไม่กี่ ตร.ว. หรือเนื้อที่ 10 ไร่ (สมมุติ) ต้องสั่งโดรน ขึ้น-ลง กี่ครั้ง ค่าไฟฟ้า/ค่าแรง/ค่าเวลา/ค่าเนื้องาน/ค่าเครดิต/ค่าโอกาส/ค่าอารมณ์ ไม่ใช่น้อย

ไม่คิด ไม่ยอมรับ ทั้งๆที่รู้ ใช้หม้อปุ๋ยฉีดพ่นสารสมุนไพรอย่างเดียว รุ่นเดียว ก็คุ้มต้นทุน

70. นา 2 รุ่น ล้างหนี้ 1 ล้าน เหลือ 2 ล้าน :
นาข้าว 200 ไร่ ของชาวนาย่านบ้านแพรก อยุธยา วันนั้นในปี 51 มีหนี้ในธนาคารอยู่ 1 ล้าน ด้วยคำพูดในรายวิทยุเพียงคำเดียว “ต้นทุนท่วมราคาขาย” ทำให้ต้องคิดหนักค้นหาแนวทางใหม่ เพราะที่ทำมา ทั้งของตัวเองและของเพื่อนบ้านข้างเคียงว่า “มันไม่ใช่-มันไม่ใช่” ตัดสินใจสั่งซื้อปุ๋ยจากบริษัทร่มทอง ที่โฆษณาใน รายการวิทยุ ซื้อทุกตัวแบบครบวงจร ตั้งแต่เตรียมดินจนถึงวันเกี่ยว

ปีนั้นแม้จะเป็นปีแรก ที่เปลี่ยนวิธีการทำนาข้าวจากแบบเคมีเพียวๆ ทั้งหว่านทั้งฉีดมาเป็อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหาะสมของต้นข้าว ลดการหว่านปุ๋ยทางดิน มาเป็นฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ ผลที่ออกมาเห็นชัดว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 100 (-) ถัง/ไร่ เหนืออื่นใด ผลผลิตที่ได้ เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และคุณภาพกับต้นทุนที่ลดต่ำกว่าเดิม 50-70% ไม่น่าเชื่อว่า นาข้าว 2 รุ่น สามารถล้างหนี้ธนาคาร 1 ล้านได้

จากรุ่นแรกเมื่อเริ่มอ่าน LINE ของนาข้าวออก นาข้าวปี 53 ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 100(+)/ไร่ กับต้นทุนต่ำจากเดิมมาอีกด้วย นาข้าว 2 รุ่น/ปี ตัวเลขเงินฝากในธนาคารเปลี่ยนจากตัวแดงเป็นตัวดำด้วยเงินกว่า 1 ล้าน.... ปี 54 เกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ นา ข้าวแปลงนี้หยุดสนิท ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นอนกินมาม่าด้วยความสบายใจ ....

ปี 55 เริ่มใหม่อีกครั้งด้วยความมั่นใจสูงขึ้น ผลผลิตเพิ่ม-ต้นทุนลด-อนาคตดี วันนี้ครอบครัวนี้มีเงินสดในธนาคารกว่า 2 ล้าน ..... ล้านแล้วจ้าาาา

71. เกษตรทาง ทีวี. :
เกษตรกร : ทำเกษตรอินทรีย์....ทำเกษตรอินทรีย์....

ทีวี. : ไม่ถามเพิ่มเติมเพื่อเจาะลึกรายละเอียด .... อินทรีย์หมายถึงปุ๋ยใช่ไหม ? ชนิดแห้งหรือน้ำ ? ทำจากอะไร ? วิธีทำอย่างไร ? ทำแล้วได้สารอาหารอะไร ? ประเภทให้ทางใบหรือทางราก ?
ผู้ชม : ได้สาระแค่ W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY) ไม่ได้ H. (HOW TO)

เกษตรกร : ไม่ใช้สารเคมี....ไม่ใช้สารเคมี ....
ทีวี. : ไม่ถามเพิ่มเติมเพื่อเจาะลึกรายละเอียด .... ไม่ใช้สารเคมีแล้วใช้อะไรกำจัดแมลง ? ใช้อะไรกำจัดหนอน ? ใช้อะไรกำจัดโรค ? เอามาจากไหน ? วิธีใช้อย่างไร ?
ผู้ชม : ได้สาระแค่ 5W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY) 1 H. (HOW TO)

ชาวนาพันธุ์แท้ :
ชาวนา : โฮ้ยยย ทำนาน่ะ มันไม่ได้อะไร อย่างดีก็แค่พอกินไปวันๆ เท่านั้นแหละคุณเอ๊ย
ทีวี. : อ้าว แล้วลุงทำ ทำไม่ล่ะครับ ?

ชาวนา : ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีใครมาสอนมาส่งเสริม
ทีวี. : วันนี้มีหนี้ซักเท่าไหร่ครับ ?

ชาวนา : ก็มากโขอยู่นะ บางปีก็ได้ส่งดอก บางปีก็ไม่ได้ส่ง แต่ต้นยังอยู่
ทีวี. : ลุง...ขอโทษนะ อย่าหาว่าแช่งเลย ถ้าลุงตายปุบตายปับไปเลย หนี้สินนี่ จะจัดการให้ลูกหลานยังไง

ชาวนา : (หัวเราะ...) ก็มีกระดาษให้มันแผ่นนึง เป็นมรดกไง
ทีวี. : กระดาษอะไรครับ ?

ชาวนา : สัญญาเงินกู้ไงล่ะ
ทีวี : หมายความว่าไงลุง ?

ชาวนา : ก็หมายความว่า ปล่อยให้ลูกหลานมันจัดการของมันเอง
ทีวี : เอางั้นนะลุง.....

ผู้ชม : ได้สาระแค่ 5W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY) 1 H. (HOW TO) เช่นอยากรู้ ขาดทุนแบบนี้เป็นมากี่รุ่นแล้ว ? ลูกหลานคิดยังไงไหม ? ทำนารุ่นหน้ามีแผนการยังไงไหม ? ลูกหลานว่ายังไง ?

เทพชัย หย่อง : สื่อมวลชนทำหน้าที่นักข่าว อย่าคิดแค่ทำหน้าที่แล้วถือว่าเสร็จ แต่ให้ตระหนักเสมอว่า ผู้บริโภคข่าวได้สารประโยชน์อะไรจากข่าวนั้นบ้าง แม้วันนี้ยังไม่ได้นำเสนอด้วยข้อจำกัดบางประการ ก็ขอให้หาโอกาสนำเสนอซ้ำก็ได้

ศัพท์วิชาผู้สื่อข่าว :
หมากัดคนไม่เป็นข่าว แต่คนกัดหมาเป็นข่าว ..... ก่อนไปทำข่าว ต้องทำการบ้านเรื่องนั้นๆ....

72. สารเคมียาฆ่าแมลง :
- คนใช้รับ 9 ใน 10 ส่วน …. คนกินรับ 1 ใน 10 ส่วน
- คนป่วยไม่น้อยที่แพทย์หาสมุหฐานโรคที่แท้จริงไม่ได้ ในความเป็นจริง อาการป่วยเกิดจากร่างกายรับสารเคมีมากเกินไป แพทย์จึงสั่งแก้ไขโรคนั้นด้วยการบำรุงร่างกายสร้างภูมิต้านทาน

- สารเคมี 1 อย่าง สำหรับศัตรูพืช 1 ชนิดเท่านั้น
- สารเคมีเป็นกรด การใช้ต้องปรับ กรด/ด่าง ของน้ำให้เป็น “กรด” ก่อนทุกครั้ง
- ปรับน้ำเป็นกรดแล้ว ใช้สารเคมีเพียง “10%” ของอัตราใช้ที่กำหนดก็พอ
- สารเคมีตัวหนึ่งมี“ฤทธิ์” กำจัดศัตรูพืชเฉพาะตัวหนึ่งแต่ยังมี“กลิ่น-รส” ไล่ศัตรูพืชตัวอื่นได้อีก
- สารเคมีหลายตัว ทดลอง/ทดสอบ ในประเทศไทย แล้วเอาผลไปจดทะเบียนที่สหรัฐอเมริกา
สารเคมีเป็นกรด น้ำเป็นด่าง ........... กรด + ด่าง = เกลือ + น้ำ (เสื่อม-วิชาเคมี)
ทฤษฎีนี้ คนขายสารเคมีไม่บอก .... คนใช้ก็ไม่ถาม

73. ขั้นตอนบำรุงไม้ผลยืนต้น :
1. ตัดแต่งกิ่ง
2. เรียกใบอ่อน .... (ฟื้นฟูสภาพต้น เรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา)
3. ตรวจสอบผลการเรียกใบอ่อน
4. เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
5. เรียกใบอ่อนรอบ 2
6. ตัดแต่งกิ่งรอบ 2
7. สะสมตาดอก ..... (สะสมแป้งและน้ำตาล)
8. ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนปรับ ซี/เอ็น เรโช
9. ปรับ ซี/เอ็น เรโช ....(เพิ่ม ซี. ลด เอ็น.)
10. ตรวจสอบความพร้อม ซี/เอ็น เรโช
11. ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเปิดตาดอก
12. เปิดตาดอก
13. บำรุงดอก (ฝน-แล้ง)
14. บำรุงผลเล็ก
15. ตัดแต่งผลเล็ก
16. บำรุงผลกลาง
17. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว (ฝน-แล้ง)
18. ให้ ปุ๋ย/ฮอร์โมน-ทางใบ/ทางราก ป้องกันศัตรูพืช ทุกระยะ ตามหลักสมการ
หมายเหตุ :
- ปุ๋ยส่งเสริมการออกดอก คือ สังกะสี. (ไปคู่กับแม็กเนเซียม), โบรอน (ไปคู่กับแคลเซียม), น้ำ
ตาลทางด่วน
- ปุ๋ยทางใบให้ประสิทธิภาพสูงกว่าปุ๋ยทางราก 5-8 เท่า
- ปุ๋ยสร้างสีสดสวย รสจัดจ้าน คือ ธาตุรอง/ธาตุเสริม ทางใบ

74. บำรุงไม้ผลตามระยะ :
...... ทางใบ .......................... ระยะ......................... ทางราก .....
.... 25-5-5 ….................... เรียกใบอ่อน .................... 25-7-7 ....
.. 20-20-20 …................เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ ............... 25-7-7 .....
....0-42-56 .................... สะสมตาดอก ................... 8-24-24 ....
. ธาตุรอง/ธาตุเสริม ............ ปรับ ซี/เอ็น เรโช ................... งดน้ำ .......
.... 0-42-56 ................... บำรุงดอก (ฝน) ................. 8-24-24 ....
... 15-45-15 .................. บำรุงดอก (แล้ง) ................ 8-24-24 .....
... 21-7-14 .................... บำรุงผลเล็ก-กลาง .............. 21-7-14 .....
... 0-21-74 ….................. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว........ 13-13-21....

75. ตรวจสอบจุลินทรีย์น้ำ :
สี
…... น้ำตาลอ่อน ถึง น้ำตาลไหม้ แต่ไม่ถึงกับดำ ขึ้นอยู่กับปริมาณกากน้ำตาล
กลิ่น … หวานอมเปรี้ยว ออกฉุดนิดๆ ดมแล้วไม่เวียนหัว ไม่น่ารำคาญ
กาก … ส่วนที่อ่อนนิ่ม ถึง เละ จะนอนก้น ส่วนที่แข็งหยาบจะลอยหน้า
ฝ้า ….. สีขาวอมเทา พวกนี้เป็นจุลินทรีย์กลุ่ม “รา” ที่ตายแล้ว เมื่อคนลงไปจะกลายเป็นสารอาหารของพวกที่ยังไม่ตาย

ฟอง … ปล่อยวางนิ่งๆ จะมีฟองเล็กๆ ละเอียดๆ ผุดขึ้นมาจากด้านล่าง เกิดจากกระบวนการจุลินทรีย์ ฟองผุดบ่อยๆ ฟองขนาดใหญ่ แสดงว่าจุลินทรีย์มากและแข็งแรง ถ้าไม่มีฟองก็แสดงว่าไม่มีจุลินทรีย์

รูปลักษณ์ ….. ขุ่น ใส มีตะกอนละเอียดแขวนลอย
กรด-ด่าง …...ค่า พีเอช 4.0- 6.0

ทดสอบ :
กรอกใส่ขวดแล้วปิดปากขวดด้วยลูกโป่ง ทิ้งไว้ในร่ม อุณหภูมิห้อง ไม่คนไม่เขย่า นาน 24 – 48 – 72 ชม. สังเกต.....

1. ลูกโป่งพอโต โตมากแสดงว่ามีจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศจำนวนมาก แข็งแรง พองน้อยจุลินทรีย์น้อย ไม่พองเลยก็แสดงว่าไม่มีจุลินทรีย์

2. ช่วงแรกที่ลูกโป่งพอโต ต่อมาลูกโป่งยุบแล้วถูกดูดเข้าไปในขวด กรณีนี้เกิดจากจุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศ ก็แสงดงว่าจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศตายหมดแล้ว จุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศเกิดขึ้นมาแทน

3. บรรจุขวดพลาสติกเปล่า ปิดฝาสนิท แน่น วางทิ้งไว้ ถ้าขวดบวมพอง แสดงว่าเป็นจุลินทรีย์ดีเป็นจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศ ถ้าขวดไม่พองหรือพองน้อย หมายถึงจุลินทรีย์เหมือนกัน แต่น้อยกว่า

4. บรรจุขวดช่วงแรกขวดพอง ต่อมาขวดยุบบุบบู้บี้ แสดงว่า จุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศตายหมดแล้ว จุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศเกิดขึ้นมาแทน

หมายเหตุ :
- จุลินทรีย์แบบ แห้ง/ผง ให้นำมาแช่น้ำก่อน ทิ้งไว้ให้จุลินทรีย์ ตื่น/ฟื้น แล้วจึงตรวจสอบ
- ประเภทต้องการอากาศ ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีอากาศ ถ้าไม่มีอากาศจะตาย
- ประเภทไม่ต้องการอากาศ ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่มีอากาศ ถ้ามีอากาศจะตาย
- การบรรจุในขวดปิดสนิทแน่น อากาศเข้าไม่ได้ จุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศจะใช้อากาศที่พอมีอยู่ในขวดนั้นเพื่อการดำรงชีวิต ช่วงนี้จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศจะยังไม่เกิด ครั้นเมื่ออากาศในขวดหมด จุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศขาดอากาศจึงตาย พร้อมกันนั้นจุลินทรีย์ กลุ่มไม่ต้องการอากาศก็เริ่มเกิดแล้วเจริญเติบโต

- จุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศ อาศัยอยู่บริเวณผิวดินที่อากาศผ่านได้ ส่วนจุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศอาศัยอยู่ใต้ดินลึกบริเวณที่อากาศลงไปไม่ถึง

- จุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศมีพลังในการย่อยสลายสูงกว่าจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศ

76. รู้ลึกเรื่องปุ๋ย :
- ปุ๋ย คือ ธาตุ/สาร อาหารพืช ประกอบด้วย ธาตุหลัก (N P K) ธาตุรอง (Ca Mg S) ธาตุเสริม (Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na) ฮอร์โมน (ออกซิน. จิบเบอเรลลิน. ไซโตไคนิน. เอทิลิน. แอบไซซิค)

- ปุ๋ยเคมี คือสารอาหารพืชมาจากการสร้างโดยมนุษย์ เลียนแบบธรรมชาติ ประกอบด้วย ธาตุหลัก (N P K) ธาตุรอง (Ca Mg S) ธาตุเสริม (Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na) ฮอร์โมน (ออกซิน. จิบเบอเรลลิน. ไซโตไคนิน. เอทิลิน. และแอบไซซิค) แน่นอน....สารอาหารนี้เรียกว่า “เคมีสังเคราะห์”

- ปุ๋ยอินทรีย์ คืออาหารพืชที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากสิ่ง มีชีวิต/ไม่มีชีวิต ประกอบด้วย ธาตุหลัก (N P K) ธาตุรอง (Ca Mg S) ธาตุเสริม (Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na) ฮอร์โมน (ออกซิน. จิบเบอเรล
ลิน. ไซโตไคนิน. เอทิลิน. แอบไซซิค) เช่นกัน สารอาหารนี้เรียกว่า “เคมีชีวะ”

ปุ๋ยอินทรีย์....
ทางราก :
ชนิดแห้ง พืชสามารถนำไปใช้ได้เมื่อจุลินทรีย์ (ประเภท และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม) ย่อยสลายให้แล้ว .

ทางใบ : ชนิดน้ำ พร้อมใช้แล้วสามารถใช้ทางดิน (ราก) ได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้ทางใบได้ เพราะผ่านปากใบไม่ได้เนื่องจากโมเลกุลมีขนาดใหญ่....

กรณีจะให้ทางใบ ต้องปรับโมเลกุลขนาดใหญ่ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก หรือโมเลกุลเดี่ยวก่อน โดยต้มเดือด 100 องศา ซี. นาน 4 ชม. ต่อด้วยต้มไอกรุ่นๆ 2 ชม.

ปุ๋ยเคมี ....
ทางราก :
ชนิดเมล็ด พืชสามารถนำไปใช้ได้เมื่อจุลินทรีย์ (ประเภท และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม) ย่อยสลายให้แล้ว
ทางใบ : ชนิดน้ำหรือเกร็ด (จี เกรด) พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันทีเพราะมีโมเลกุลขนาดเล็ก

- ปุ๋ยอินทรีย์ (แห้ง/น้ำ) : +ปุ๋ยเคมีก่อนให้หรือหว่าน +ปุ๋ยเคมีตามหลัง เพราะถึงอย่างไรทั้งสองอย่างก็ต้องไปพบ หรือรวมกันที่ดินอยู่แล้ว

- ปุ๋ยเคมี+ปุ๋ยอินทรีย์ ทางใบ : .. ปุ๋ยเคมี ชนิด เกร็ด/น้ำ (จี เกรด) ประเภทให้ทางใบ
- ปุ๋ยอินทรีย์ (น้ำ) : …. ปรับให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว พร้อมให้ทางใบแล้ว +ปุ๋ยเคมีทางใบ

77. ปุ๋ย-จุลินทรีย์ :
ปุ๋ย คือธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ไม่มีชีวิต ขยายพันธุ์ไม่ได้ ได้แก่ N P K Ca Mg S Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na พืชใช้ธาตุในการพัฒนาตัวเอง เหมือนอาหารพัฒนาร่างกายคน

จุลินทรีย์ เป็นสัตว์เซลล์เดียว มีชีวิต เกิด กิน แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์ได้ ได้แก่ คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า. แอ็คติโนมัยซิส. อะโซโตแบ็คเตอร์. บาซิลลัสส์ ซับติลิส. บาซิลลัสส์ ทูรินจิสซิส. บีที. เอ็นพีวี. ฯลฯ

จุลินทรีย์ มีหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุ (เศษซากพืชและสัตว์) ให้กลายเป็นสารอาหารพืช

N P K Ca Mg S Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na ที่มนุษย์สร้างเรียกว่า เคมีสังเคราะห์ (ปุ๋ยเคมี/วิทยาศาสตร์) ส่วนที่จุลินทรีย์สร้าง เรียกว่า เคมีชีวะ (ปุ๋ยชีวภาพ)

เคมีสังเคราะห์ จัดสูตรและควบคุมปริมาณได้ ..... เคมีชีวะ จัดสูตรและควบคุมปริมาณไม่ได้

78. รูปแบบแปลงเกษตร :
1. เกษตรทฤษฎีใหม่ (กำเนิดเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9)
2. เกษตรไร่นาสวนผสม ................................... 3. เกษตรผสมผสาน
4. เกษตรพอเพียง …....................................... 5. เกษตรทางเลือก
6. เกษตรวนเกษตร …...................................... 7. เกษตรยั่งยืน
8. เกษตรป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ................. 9. เกษตรธรรมชาติ
10. เกษตรดาดฟ้า ......................................... 11. เกษตรที่เหมาะสม

12. เกษตรอินทรีย์ ......................................... 13. เกษตรแผนใหม่
14. เกษตรโซนนิ่ง ......................................... 15. เกษตรมือใหม่
16. เกษตรวันหยุด …....................................... 17. เกษตรเชิงนิเวศน์
18. เกษตรเชิงอนุรักษ์ ..................................... 19. เกษตรในฝัน
20. เกษตรเชิงเดี่ยว ........................................ 21.เกษตรอุตสาหกรรม

22. เกษตรท่องเที่ยว ....................................... 23.เกษตรบ้านเล็กในป่าใหญ่
24. เกษตรแปลงเล็ก ....................................... 25. เกษตรแปลงเล็กในแปลงใหญ่
26. เกษตรพึ่งตนเอง ........................................ 27. เกษตรประณีต
28. เกษตรครบวงจร ......................................... 29. เกษตรอารมณ์ดี
30. เกษตร 1 ไร่ 1 แสน ..................................... 31. เกษตรยังชีพ

32. เกษตรชีวภาพ …......................................... 33. เกษตรก้าวหน้า
34. เกษตรบ้านจัดสรร ....................................... 35. เกษตรคอนโด
36. เกษตรโรงเรือน .......................................... 37. เกษตรไฮโดรโปรนิกส์
38. เกษตรในวัสดุปลูก ....................................... 39. เกษตรแจ๊คพ็อต

40. เกษตรพันธะสัญญา ...................................... 41. เกษตรออร์แกนิกส์
42. เกษตรปลอดภัย .......................................... 43. ปุ๋ยอินทรีย์ ข้อดี/ข้อด้อย
44. ปุ๋ยเคมี ข้อดี/ข้อด้อย .................................... 45. เกษตรแม่นยำ
46. เกษตรวิชญา .............................................. 47. เกษตร SMART FARM
48. เกษตร STARTUP FARM ............................... 49. เกษตร 4.0
50. เกษตร 9101 ............................................. 51. เกษตรโคกหนองนา

ที่มาของชื่อโครงการ หรือชื่อรูปแบบการทำการเกษตร :
- พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และ ร.10
- จากรัฐบาล และภาคราชการ
- จากภาคเอกชน (มูลนิธิ สมาคม ชมรม กลุ่ม) และจากภาคบุคคล (ประชาชนทั่วไป)
ปล.
* ทุกรูปแบบเกษตร เมื่อปลูกพืช พืชนั้นย่อมต้องมีปัจจัยพื้นฐาน ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค เหมือนกันทั้งสิ้น
* การปลูกพืชต้องมีหัวใจเกษตร ปุ๋ย ยา เทคนิค เทคโนฯ โอกาส ตลาด ต้นทุน

79. เกษตรพอเพียง :
* ปลูกไว้กิน ไม่ได้ปลูกไว้ขาย .... ไม่ขาย แล้วเอาเงินไหนเข้าบ้าน ? ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าลูกไปโรงเรียน ? ค่า ฯลฯ ?

* ปลูกไว้กิน เหลือกินก็ขาย .... ขายที่ไหน ? ราคาเท่าไหร่ ? ส่วนที่ปลูกไว้กิน ซื้อกินถูกกว่าไหม ?

* ปลูกไว้ขาย.... ปลูกอะไร ? ได้ผลผลิตเท่าไหร่ ? ผลผลิตที่ได้เกรด เอ. หรือเกรดฟุตบาท ? ต้นทุน/กำไร เป็นอย่างไร ?

* ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี .... แล้วเอาอะไรเป็นสารอาหารให้พืชกิน ?
* ไม่ใช้สารเคมี .... แล้วใช้อะไร ? ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืช ?
* ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ .... ทำมาจากอะไร ? ทำอย่างไร ? มีสารอาหารอะไร ? ชนิดน้ำหรือแห้ง ? ให้ทางใบหรือทางราก ?

* ผลผลิตที่ได้ เกรด เอ.จัมโบ้. หรือเกรดฟุตบาธ
* อะไรคือ กิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง กิจกรรมเสริม ?
* มีการบริหารหัวใจของงานเกษตร ปุ๋ย-ยา-เทคนิค-เทคโนฯ-โอกาส-ตลาด-ต้นทุน อย่างไร ?

ปรัชญาเกษตรพอเพียง....
1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ ไม่น้อย/ไม่มาก เกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

3. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

เงื่อนไข “ความรู้” ประกอบด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน มีความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในการปฏิบัติ

เงื่อนไข “คุณธรรม” ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

80. เกษตร SMART FARM :
1. ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต มีเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ และดูแล
2. เพิ่มคุณภาพมาตรฐานการผลิต ผลผลิต การตลาด มาตรฐานสินค้า ความปลอดภัย และรับผิดชอบต่อ สังคม/สิ่งแวดล้อม

3. ลดความเสี่ยงอันเกิดจากการระบาดของศัตรูพืช และจากภัยธรรมชาติ
4. นำเทคโนโลยีสารสนเทศจากการวิจัยมาประยุกต์สู่การพัฒนาในทางปฏิบัติเป็นข้อมูล และมีความภาคภูมิใจในความเป็นเกษตรกร

81. นวัตกรรมเกษตร :
INNOVATION หรือ INNOVARE หรือนวัตกรรม หรือนวกรรม หมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่ได้มาจากการ คิดค้น/ค้นพบ วิธีการใหม่ๆ หรือการปรุงแต่งของเก่าให้ใหม่และเหมาะสม และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทดลองพัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้

- นวัตกรรมเกษตร หมายถึง การบูรณาการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย เข้ากับเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม เพื่อเพิ่มผลผลิต ปริมาณ คุณภาพ ประสิทธิภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐศาสตร์ ของผลผลิต .... บูรณาการ หมายถึง การรวมการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาปฏิบัติการด้วยกัน กรณีนาข้าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ได้แก่ ก. เกษตร, ก.พานิช, ก.วิทยาศาสตร์, ก.เทคโนโลยี, ก.สาธารณสุข, ก.มหาดไทย, ก.กลาโหม, และ ฯลฯ

นวัตกรรมเกษตร :
นวัตกรรมเกษตร คือ การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัยต่างๆ เข้ากับเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลของต้นพืช สภาพแวดล้อม และฐานข้อมูลด้านการเกษตร ที่เชื่อมโยงถึงกันเป็นเครือข่าย มาประมวลผลด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยการตัดสินใจปรับปัจจัยการผลิตและการดูแลรักษาต้นพืช รวมถึงการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อคงคุณภาพเอาไว้ให้นานที่สุด

82. ปุ๋ยทางใบ :
ข้อดี
..
- ช่วยให้พืชรับเข้าสู่ต้น ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
- เพื่อชดเชยธาตุอาหารที่ขาด หรือเพิ่มเติมเพื่อเร่งการเจริญเติบโตแก่พืชได้
- ใช้ผสมร่วมไปกับสารเคมี หรือสารสกัดสมุนไพร อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างได้ เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน

- ใช้กับพืชที่มีปัญหาเกี่ยวกับดิน เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินทรายจัด ดินเหนียวจัด หรือดินที่มีปัจจัยแวดล้อมขวางการดูดใช้ธาตุอาหารทางระบบราก

- พืชสามารถดูดธาตุอาหารโดยทางใบได้มากกว่า และเร็วกว่าการดูดทางราก
- ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็วหลังจากชะงัก เนื่องจากกระทบแล้งหรือถูกโรคแมลงทำลาย
- ปุ๋ยชนิดน้ำมีความสม่ำเสมอของเนื้อปุ๋ยแน่นอนกว่าปุ๋ยชนิดแข็งและปุ๋ยชนิดเกล็ด มีปริมาณเนื้อปุ๋ยรวม (N + P2O5 + K2O) สูงกว่าปุ๋ยเม็ด ทำให้ได้ประสิทธิภาพเหนือกว่า

- ปุ๋ยชนิดน้ำผลิตง่าย และเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสูตรได้ง่าย จึงผลิตได้มากสูตรกว่าปุ๋ยชนิดแข็งหรือชนิดเกล็ด

ข้อเสีย ..
- การให้ปุ๋ยทางใบเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืชได้ จึงควรให้ทั้ง 2 ทาง คือ ทางใบและทางราก หรือใช้ควบคู่กัน

- การให้ปุ๋ยทางใบควรให้ปุ๋ยบ่อยครั้งตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ
- ให้ในระดับความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้พืชใบไหม้
- ปุ๋ยชนิดน้ำควบคุมคุณภาพได้ยากกว่าปุ๋ยเม็ด และปุ๋ยเกล็ด
- ปุ๋ยชนิดน้ำไม่สามารถทำให้มีเปอร์เซ็นต์เนื้อปุ๋ยสูงๆ ได้ โดยทั่วไปมักมีปริมาณของธาตุอาหารหลัก (N + P2O5 + K2O) รวมไม่เกิน 30 %

- ปุ๋ยชนิดเกล็ด มักมีคุณสมบัติดูดความชื้นจากอากาศได้ง่ายกว่าปุ๋ยเม็ด แม้จะมีการใส่สารป้องกันความชื้นแล้ว จึงทำให้เสื่อมคุณภาพเร็ว

- ราคาของปุ๋ยชนิดเกล็ดสูงกว่าปุ๋ยชนิดเม็ดมาก

8. ปุ๋ยชนิดน้ำละลายธาตุอาหารเสริมและธาตุอาหารรองได้น้อย ยกเว้นปุ๋ยชนิดน้ำที่ใช้แม่ปุ๋ยในรูปของโพลิฟอสเฟต และสารคีเลต

วัตถุประสงค์ ปุ๋ยทางใบ :
- เพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร
- เพิ่มคุณภาพ และปริมาณผลผลิต
- เพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวจากปัญหาความขาดแคลนในบั้นปลาย
- ชดเชย หรือเพิ่มเติม ธาตุอาหาร กรณีที่ต้นรับจากทางรากไม่ได้
- เปรียบเทียบ “ต้นทุน กับ ประสิทธิผล” พบว่า ปุ๋ยทางใบเหนือกว่าปุ๋ยทางรากมาก

83. ปุ๋ยทางดิน :
ข้อดี
.
- มีปริมาณธาตุอาหารพืชต่อน้ำหนักปุ๋ยสูง ใช้ปริมาณเล็กน้อยก็เพียงพอ
- ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชได้เร็ว
- ราคาต่อน้ำหนักของธาตุอาหารพืชมีราคาต่ำ สะดวกต่อการขนส่งและเก็บรักษา
- หาซื้อง่าย เพราะเป็นผลิตผลที่ผลิตได้จากโรงงาน สามารถผลิตได้จำนวนครั้งละมากๆ

ข้อด้อย ..
- ไม่มีคุณสมบัติในการปรับปรุงคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดิน คือ ไม่ช่วยทำให้ดินโปร่ง
- ปุ๋ยเคมีบางชนิด เช่น ปุ๋ยแอมโมเนีย ถ้าใช้ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ดินเป็นกรดมากขึ้น ต้องแก้โดยการใส่ปูนขาว

- ปุ๋ยเคมี ฟอสฟอรัส ตกค้างในดินมากๆ จะตรึงปุ๋ยตัวอื่นไมให้ต้นนำไปใช้ได้
- ปุ๋ยทางดิน ต้นพืชจะนำไปใช้ได้ ต้องผ่านกระบวนการ ENZIME โดยจุลินทรีย์ก่อน
- การใช้ปุ๋ยเคมีต้องระมัดระวัง เพราะปุ๋ยเคมีทุกชนิดมีความเค็ม ถ้าใส่มากหรือใส่ติดโคนต้นพืชจะเป็นอันตรายต่อต้นพืชและการงอกของเมล็ด

- ต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องปุ๋ยพอสมควร จึงจะใช้อย่างได้ผลตอบแทนคุ้มค่า

84. ลักษณะอาการพืช ขาดธาตุอาหาร :
อาการขาดธาตุอาหาร และอาการเป็นพิษ จากการได้รับมากเกิน ....
1. ไนโตรเจน :
อาการขาด :
การเจริญเติบโตหยุดชะงัก และใบมีสีเหลืองซีดจากการขาดคลอโรฟีลล์ บริเวณใบแก่ใบอ่อนยังคงมีสีเขียวนานกว่า ในพืชพวกข้าวโพดและมะเขือเทศ ลำต้น ก้าน ใบ ผิวใบด้านล่างเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้

อาการเป็นพิษ : พืชมีสีเขียวเข้มรวมกับอาการเฝือใบ ระบบรากถูกจำกัด ในมันฝรั่งมีหัวเล็กลงการออกดอกออกผลของพืชช้าลง (พืชแก่ช้า)

2. ฟอสฟอรัส :
อาการขาด :
พืชจะแคระแกร็นและมีสีเขียวเข้ม มีการสะสมสารสีของแอนโทไซยานิน อาการ ขาดเบื้องต้นจะเกิดในใบแก่และทำให้พืชแก่ช้า

อาการเป็นพิษ : บางครั้งอาการที่ปรากฏคล้ายกับอาการขาดธาตุทองแดงและสังกะสี หาก ได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป

3. โพแทสเซียม :
อาการขาด :
ในเบื้องต้นสังเกตที่ใบแก่ .... ในพืชใบเลี้ยงคู่ใบมีสีซีด ระยะต่อมาพบจุดสีเข้มที่เนื้อใบตายกระจายเป็นจุด .... ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหลายชนิด บริเวณปลายใบและเส้นใบ จะตายก่อน .... อาการขาดโพแทสเซียมในข้าวโพด ลำต้นอ่อนแอ

อาการเป็นพิษ : เนื่องจากพืชมักจะดูดใช้โพแทสเซียมมากเกินไปในส้ม ผลส้มมีผิวหยาบ เมื่อพืชดูดใช้โพแทสเซียมที่มากเกินไปจะชักนำให้พืชมีอาการขาดแมกนีเซียม และเป็นไปได้ว่าขาด แมงกานีส, สังกะสี, และเหล็ก

4. กํามะถัน :
อาการขาด :
ไม่ค่อยพบมากนัก แต่ถ้าเกิดอาการขาดโดยทั่วไปใบมักมีสีเหลือง โดยเกิดที่ใบอ่อนก่อน

อาการเป็นพิษ : ลดการเจริญเติบโตและขนาดของใบ ซึ่งยากต่อการสังเกต บางครั้งพบว่า ใบเหลือง หรือใบไหม้

5. แมกนีเซียม :
อาการขาด :
เกิดอาการซีดในพื้นที่ใบที่อยู่ระหว่างเส้นใบ ในขณะที่เส้นใบยังคงเขียวอยู่ อาการซีดเกิดที่ใบพื้นที่บริเวณใกล้เส้นกลางใบก่อน แล้วลามไปที่ปลายใบ โดยเกิดในใบแก่ก่อน

อาการเป็นพิษ : มีข้อมูลน้อยมาก เนื่องจากยากต่อการสังเกต

6. แคลเซียม :
อาการขาด :
การพัฒนาของตายอดชะงักการเจริญเติบโต และปลายรากตาย เกิดในใบอ่อนก่อนใบแก่ และเส้นใบบิดเบี้ยว มีจุดแห้งตายของใบ

อาการเป็นพิษ : ยากต่อการสังเกต มักเป็นร่วมกันกับอาการเป็นพิษจากคาร์บอเนต

7. เหล็ก :
อาการขาด :
อาการซีดคล้ายกับอาการขาดแมกนีเซียม แต่เกิดขึ้นในใบแก่
อาการเป็นพิษ : ในสภาพธรรมชาติมักไม่พบชัดเจนนัก แต่เมื่อมีการฉีดพ่นเหล็กกับพืชทดลองปรากฏเป็นเนื้อเยื่อมีลายเป็นจุด ๆ

8. คลอรีน :
อาการขาด :
ใบมีอาการเหี่ยวแล้วค่อยๆเหลือง แล้วตายเป็นลำดับ หรือบางครั้งมีสีบรอนด์เงินรากจะค่อยๆแคระแกรน และบางลงใกล้ปลายราก

อาการเป็นพิษ : ปลายใบหลังเส้นใบไหม้เป็นสีบรอนด์ ใบเหลือง ใบร่วง และซีด ขนาดใบเล็กลง อัตราการเจริญเติบโตลดลง

9. แมงกานีส :
อาการขาด :
อาการแรกมักซีดตรงระหว่างเส้นใบในใบอ่อนหรือแก่ขึ้นอยู่กับชนิดพืช แผลเนื้อเยื่อตายและใบร่วงในเวลาต่อมา คลอโรพลาสต์ไม่ทำงาน

อาการเป็นพิษ : บางครั้งมีสีซีดๆ อาการคล้ายกับขาดธาตุเหล็กในสับปะรด คือ คลอโรฟีลล์ ไม่กระจายตัว การเจริญเติบโตลดลง

10. โบรอน :
อาการขาด :
อาการผันแปรตามชนิดของพืช ลำต้นเนื้อเยื่อเจริญปลายรากมักตาย ปลายรากมักบวมมีสีซีด ในเนื้อเยื่อพืชมักมีสีซีด ไม่ทำงาน (โรคใบเน่าของพีท) ส่วนใบแสดงอาการต่างไป ประกอบด้วยใบบาง แตกง่าย (ผุ) ใบหงิก เหี่ยวเฉาและเป็นจุดสีซีด

อาการเป็นพิษ : ปลายใบเหลืองตามด้วยเนื้อเยื่อ ใบตายจากปลายใบหรือเส้นใบไปยังแกนใบ

11. สังกะสี :
อาการขาด :
ข้อปล้องของพืชสั้น ขนาดใบเล็ก เส้นใบมักบิดหรือย่น บางครั้งซีดระหว่างใบ
อาการเป็นพิษ : เกิดอาการซีดจากเหล็กเป็นพิษในพืช

12. ทองแดง :
อาการขาด :
การขาดทองแดงในสภาพธรรมชาติหายาก ใบอ่อนมีสีเขียวแก่ และบิดหรือผิดรูป มักพบจุดแผลตายบนใบ

อาการเป็นพิษ : การเจริญเติบโตลดลง ตามด้วยสีซีดจากเหล็กเป็นพิษ แคระแกรน ลดการแตกพุ่ม รากมีสีเข้ม และยางผิดปกติ

13. โมลิบดินั่ม :
อาการขาด :
สีซีดในพื้นที่ระหว่างเส้นกลางใบหรือทั้งเส้นกลางใบ ในใบแก่คล้ายกับอาการขาดไนโตรเจน บางครั้งแกน ใบไหม้เกรียม
อาการเป็นพิษ : ยากต่อการสังเกต ใบมะเขือเทศมีสีเหลืองทอง กะหล่ำดอกเปลี่ยนเป็นสีม่วง
http://www.maejohydroponics.org/pdf/symtom.pdf

85. สารพัดสูตรสารสมุนไพร :
สูตรเฉพาะ :
หมายถึง สมุนไพรตัวหนึ่ง ที่มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ ตอนทำก็ทำแยกถัง ตอนใช้ก็ใช้ทีละอย่างตามต้องการ เช่น สะเดา หนอนตายหยาก หางไหล กลอยน้อยหน่า ซาก มันแกว มะลินรก ขอบชะนาง ฯลฯ ต่างก็มีสารออกฤทธิ์ต่อ “หนอน” โดยเฉพาะ เลือกใช้สมุนไพรเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวในการ ป้องกัน/กำจัด หนอน

สูตรรวมมิตร : หมายถึง สมุนไพรหลายตัว แต่มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดเดียวกัน ตอนทำก็ทำแยกถัง แต่ตอนใช้ เอาหลายๆอย่างมารวมกันแล้วใช้ เช่น

- สะเดา หนอนตายหยาก หางไหล กลอย น้อยหน่า ซาก ขอบชะนาง มะลินรก ฯลฯ มีสารออฤทธิ์ต่อ “หนอน” โดยเฉพาะ

- สาบเสือ ดาวเรือง บอระเพ็ด พริก ยาสูบ ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ มีสารออกฤทธิ์ต่อ “แมลง” โดยเฉพาะ

- ว่านน้ำ. กานพลู. ตะไคร้. กระเทียม. ข่า. ขิง. ขมิ้น. กระชาย มีสารออกฤทธิ์ต่อ “โรค” โดยเฉพาะ

สูตรสหประชาชาติ : หมายถึง สมุนไพรหลายตัว แต่ละตัวต่างก็มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดนั้น แล้วเอามารวมกัน ทำพร้อมกัน ในถังหรือภาชนะเดียวกัน เช่น สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด หนอน+สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด แมลง+สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด โรค แล้วใช้รวมกัน หรือพร้อมกัน

สูตรหนามยอกหนามบ่ง : หมายถึง สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด ในพืชสมุนไพร เช่น
- สะเดา โดนหนอนทำลาย ใช้น้อยหน่า ป้องกัน/กำจัด
- น้อยหน้าโดนหนอนทำลาย ใช้สะเดา ป้องกัน/กำจัด
- สาบเสือโดนเชื้อรา ใช้พริก

สูตรผีบอก : มิได้หมายถึงสมุนไพรโดยตรง แต่หมายถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตหรือวงจรชีวิตของศัตรูพืช กระทั่งทำให้ศัตรูพืชนั้นตายได้

สูตรข้างทาง : เช่น สาบเสือ ผกากรอง สะเดา กระเพาผี
สูตรในสวน : เช่น สบู่ต้น โด่ไม่รู้ล้ม ว่านน้ำ หญ้าหนวดขาว ตะบองเพชร ส้มเช้า
สูตรในครัว : เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย กระเพา โหระพา แมงลัก พริกเครื่องแกง ถัวเน่า
สูตรในบ้าน : เช่น ยาฉุน ลูกเหม็น น้ำยาล้างจาน สบู่เหลว ปูนกินหมาก ปูนขาว ขี้เถ้า น้ำมันก๊าด น้ำมันขี้โล้

งานวิจัย Grainge and Ahmed (1988) :
ในโลกนี้มีพืช 2,400 ชนิด มีสารออกฤทธิ์ใช้ ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืชได้ .... คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้ว สรุปได้เป็น 3 คือ กลิ่น-รส-ฤทธิ์ ในพืชที่เรียกว่า “สารสมุนไพร หรือสารออกฤทธิ์ หรือตัวยา” มีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ศัตรูพืชนั่นเอง

86. สัญชาติญาณแมลงศัตรูพืช :
- สัญชาติญาณของแมลงในการเข้าหาพืชเป้าหมายด้วยการตาม “กลิ่น” (แมลงไม่มีจมูก แต่มีตุ่มรับกลิ่นที่ข้างลำตัว) หากกลิ่นของพืชเป้าหมายเปลี่ยนไป แมลงไม่รู้ คิดว่านั่นไม่ใช่พืชเป้าหมายตาม
ต้องการ ก็จะไม่เข้าหาพืชนั้น .... ผลรับ : พืชรอดพ้นจากเข้าหาของแมลง

- ประสาทสัมผัสกลิ่นของแมลงสูงกว่าคน 500,000 เท่า (สารคดีดิสคัพเวอรี่)
- แมลงเข้าหาพืชเป้าหมายเพื่อกินเป็นอาหาร (ปากกัด ปากดูด) แล้วกินพืชนั้น แต่ “รส” ของพืชเป้าหมายที่เคยกินเปลี่ยนไปจากเดิม แมลงจึงคิดว่านั่นไม่ใช่พืชเป้าหมายตามต้องการ ก็จะไม่กินพืชนั้นอีก .... ผลรับ : พืชรอดพ้นจากการดูดกินของแมลง

- แมลงเข้าหาพืชเป้าหมายเพื่อกินเป็นอาหาร (ปากกัด ปากดูด) กินพืชนั้นแล้วตายเพราะมี “ฤทธิ์” บางอย่างอยู่ที่พืชนั้น .... ผลรับ : พืชรอดพ้นจากการดูดกินแมลง

- แมลงเข้าหาพืชเป้าหมายเพื่อวางไข่ แล้วปล่อยให้ไข่ฟักตัวออกเป็นหนอน (หนอน คือ ทายาทของแมลง) เมื่อหนอนเกิดมาแล้วกินพืชนั้นเป็นอาหาร ในอาหารนั้นมี “ฤทธิ์” หนอนจะตายทันที หรือยังไม่ตายแต่ไม่เข้าดักแด้ ไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน .... ผลรับ : พืชรอดพ้นจาการกัดกินของหนอน

- แมลงวันทอง หลงกลิ่น .... แมลงศัตรูพืช กลางวัน เข้าหาสีเหลือง .... แมลงศัตรูพืช กลางคืน เข้าหาแสง.... แมลงธรรมชาติ (ผึ้ง ชันโรง ผีเสื้อสวยงาม) ไม่หลงสี ไม่หลงแสง

87. ขายข้าว 1 แสน เหลือเงิน 40 บาท :
“ทิดมั่น” คทาชายนายหนุ่มใหญ่ อายุ 50 ขึ้น นิวาสสถานไม่ห่างจากไร่กล้อมแกล้มมากนัก ยึดอาชีพทำนาข้าว 15 ไร่ บนที่เช่ามาตั้งแต่กำเนิด ทำนาอย่างเดียว ปีละ 2 รุ่น มีหนี้ในบ้านเท่าไร ไม่รู้

รู้แต่ว่า ตะวันโพล้เพล้วันนั้น ทิดมั่นส่งเสียงดังโขมงโฉงเฉงตั้งแต่หน้าวัดได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครสนใจ กระทั่งทิดมั่นเข้าบ้าน เสียงทิดมั่นเงียบไป แต่เสียง “ยัยแม้น” ผู้เป็นเมียดังขึ้นมาแทน ถึงไม่ถามก็รู้ว่า ยัยแม้นโกรธจัด แล้วที่ต้องออกมาด่าผัวนอกบ้านก็เพราะโนผัวเตะนั่นเอง ..... เสียงยัยแม้นร้องด่าง ใครๆ ก็ได้ยิน

“อั้ยชิบหาย ขายข้าวได้ตั้งแสน เหลือเงินมาให้กูแค่ 40 บาท แล้วทีนี้จะเอาอะไรแดกกัน....”

เหตุผลก็คือ ทิดมั่นต้องเอาเงินที่ขายข้าวได้ไปจ่ายค่าเครดิต ปุ๋ย-ยา ให้เถ้าแก่เส็ง ร้านหน้าวัด ไม่งั้นรุ่นหน้าจะไปเครดิตอีกไม่ได้นั่นเอง.....งานนี้ ยัยแม้น กลับเข้าบ้านตอนไหน แหล่งข่าวไม่ได้แจ้ง

88. เกษตรต่างแดน :
* สหรัฐ อเมริกา ฉลอง 200 ปี กำเนิดประเทศ พร้อมกับ กรุงเทพฯ ฉลอง 200 ปี (พ.ศ. 2325) นั่นคือ สหรัฐ อเมริกา มีอายุเท่ากับกรุงเทพ แต่สหรัฐ อเมริกา เจริญกว่าไทย 200 ปี

* เกาหลีไต้ สิ้นสุดสงคราม พ.ศ. 2496 แล้วเริ่มพัฒนาประเทศ เคยส่งเกษตรกรมาดูงานทำนาประเทศไทย วันนี้ชาวนาเกาหลีล้ำหน้าชาวนาไทย 60 ปี เท่าระยะเวลาเกาหลี “เริ่ม” พัฒนาประเทศ

* สิงค์โปร์ กำเนิดประเทศหลังจากอังกฤษคืนเอกราชให้มาเลเซียเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มาเลเซียไม่เอาสิงค์โปร์เพราะทั้งเกาะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเลย ด้วยเวลาเพียง 50 ปี สิงค์โปร์ล้ำหน้าประเทศไทย 50 ปี

* ไต้หวัน กำเนิดประเทศตอนที่ เจียง ไค เชค พาพลพรรคหนี เหมา เจ๋อ ตุง ไปอยู่เกาะฟอร์โมซา แล้วตั้งเป็นประเทศไต้หวัน เมื่อ 50 ปีที่แล้ว วันนี้ไต้หวันล้ำหน้าไทย 50 ปี

* วันนี้ประเทศคู่แข่งที่กำลังหายใจรดบ่าไทย คือ เวียดนาม …..

89. เกษตรธรรมชาติ คิวเซ :
เกษตรธรรมชาติคิวเซ เป็นทฤษฎีเกษตรธรรมชาติหนึ่งที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยระบบเกษตรธรรมชาติคิวเซเป็นระบบเกษตรรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย เกษตรธรรมชาติคิวเซ อาศัยหลักการและปรัชญาของโมกิจิ โอกาดะ โดยมีพื้นฐานของการทำเกษตรธรรมชาติ คือ การเรียนรู้พลังของธรรมชาติ เน้นการดูแลรักษาดินให้ดีอยู่เสมอตามหลักปรัชญาที่ว่า
“เกษตรธรรมชาติ คือ การทำให้ดินมีชีวิต” และทำระบบการผลิตทางการเกษตรให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของมนุษย์ และมีความยั่งยืน

โมกิจิ โอกาดะ เป็นชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งองค์กรศาสนาเซไค คิวเซเคียว โดยมีกิจกรรมการส่งเสริมระบบเกษตรธรรมชาติ คิวเซ เป็นหลัก มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดทุกข์ของมวลมนุษยชาติ เขาได้ศึกษาค้นคว้าวิธี การทำเกษตรธรรมชาติอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี และได้ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพอาหารของมนุษย์ในอนาคตจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร โดยได้
คาดการณ์ไว้ว่า “ในอนาคตผักผลไม้ที่มีจำหน่ายอยู่จะไม่เหมาะสมที่จะนำมาบริโภค” และมลพิษที่จะ เกิดขึ้นในโลก อันได้แก่ มลพิษทางดิน มลพิษทางน้ำ และมลพิษทางอากาศ จะส่งผลเสียต่อมนุษย์และสิ่ง แวดล้อม ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการปฏิวัติเขียว (The Green Revolution) ซึ่งมีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชเป็นจำนวนมากและแพร่หลายในการผลิตอาหารเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคของมนุษย์ โดยเริ่มต้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ความต้องการสารเคมีทางการเกษตรก็ทวีจำนวนมากขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ รวมถึงในประเทศญี่ปุ่นที่มีนโยบายการผลิตทางการเกษตรด้วยการใช้สารเคมีต่างๆ เช่นเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลผลิตในปริมาณที่เพียงพอต่อการเลี้ยงประชากรในประเทศ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้แพ้สงครามและถูกสั่งปิดประเทศ โมกิจิ โอกาดะ ได้ประกาศตั้งองค์การเกษตรธรรมชาติ คิวเซ ขึ้นในปี 2478 โดยได้ปฏิบัติตามแนวทางเกษตรธรรมชาติในที่ดินส่วนตัว แต่ก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเคยถูกทางการญี่ปุ่นจับกุมตัวในฐานที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ รูปแบบเกษตรธรรมชาติตามแนวคิดของ โมกิจิ โอกาดะ ให้ความสำคัญกับดินเป็นอย่างมาก เขาได้สังเกตดินโดยใช้ดินป่าธรรมชาติเป็นต้น
แบบ ซึ่งพบว่าผิวดินนั้นมีความสำคัญแตกต่างเป็นชั้นๆ ดังนี้

ชั้นที่ 1 เป็นใบไม้ กิ่งไม้แห้ง ปกคลุมทั่วไป
ชั้นที่ 2 เป็นส่วนที่ใบไม้ กิ่งไม้แห้งที่เริ่มผุพัง
ชั้นที่ 3 เป็นส่วนที่ใบไม้ กิ่งไม้แห้งผุพังเน่าเปื่อยปนกับดิน
ชั้นที่ 4 เป็นดินดานที่ไม่มีอินทรียวัตถุ

ส่วนที่มีใบไม้ กิ่งไม้ผุเน่าปะปนอยู่กับดินนั้น มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดินส่วนนี้จะมีรากพืชส่วนที่เป็นรากฝอยและรากขนอ่อนอยู่มาก เมื่อนำดินส่วนนี้มาดมจะพบว่ามีกลิ่นหอมเหมือนเห็ด เขาเรียกดินส่วนนี้ว่า “ดินที่มีชีวิต”

โมกิจิ โอกาดะ มีเป้าหมายการทำเกษตรธรรมชาติดังนี้ :
1. เป็นการเกษตรที่ให้ผลผลิตคุณภาพดีและไม่ทำลายสุขภาพมนุษย์
2. เป็นการเกษตรที่ไม่ทำลายดิน และได้ผลผลิตของพืชเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
3. เป็นการเกษตรที่ให้ผลผลิตเท่าเทียมกับเกษตรเคมี และสามารถทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกรดีขึ้น

หลักการส่งเสริมแนวทางดังกล่าวในช่วงแรกของการทำเกษตรธรรมชาตินั้น เป้าหมายที่ 1 และ 2 บรรลุผล แต่เป้าหมายที่ 3 ไม่ประสบความสำเร็จ การทำเกษตรธรรมชาติไม่สามารถให้ผลประโยชน์ทาง ด้านเศรษฐกิจได้เท่าเทียมกับการทำเกษตรเคมีเพราะในช่วงแรกมีต้นทุนที่สูงกว่า ได้ผลผลิตต่ำกว่าเกษตร เคมี และไม่สามารถป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชได้ ดังนั้นเกษตรธรรมชาติ คิวเซ จึงยังไม่แพร่ หลายทั่วโลก

ทฤษฎีเกษตรธรรมชาติ คิวเซ :
การเกษตรของโมกิจิ โอกาดะมีเกณฑ์หรือหลักในการดำเนินการยึดตามแบบอย่างของดินและระบบนิเวศในป่าธรรมชาติ โดยมีหลัก การดำเนินงาน 3 ประการ คือ

1. หลักการคลุมดิน การคลุมดินในแปลงผัก และแปลงไม้ผลให้ประโยชน์หลายประการ ได้แก่
1.1 รักษาความชื้นในดินและรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้าง
1.2 ช่วยกำจัดวัชพืชได้บางส่วนและทำให้ถอนวัชพืชง่าย
1.3 ส่งเสริมให้จุลินทรีย์ทำงานได้ดี
1.4 อินทรียวัตถุที่ใช้คลุมดินจะถูกย่อยสลายเป็นธาตุอาหารพืชได้ง่าย

2. การไม่ไถพรวนดิน การไถพรวนดิน จะทำลายสภาพการทำงาน และสภาพแวดล้อมของจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ดินแห้งและการกลับหน้าดิน ซึ่งอาจทำให้ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำพลิกกลับมาอยู่บนผิวดิน อย่างไรก็ตามบางครั้งก็จำเป็นต้องไถพรวนบ้างเพื่อกำจัดวัชพืช และช่วยยกแปลงให้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากบางครั้งดินบริเวณแปลงจะแข็งและมีวัชพืชมาก

3. การไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตร การไม่ใช้สารเคมีมีความสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นจุดเริ่มของการคืนสภาพความเป็นธรรมชาติแก่โลกหรือดิน เมื่อดินเป็นธรรมชาติพลังงานของดินจะให้ประโยชน์แก่พืชทั้งหลายโดยธรรมชาติอย่างถาวร และโมกิจิ โอกาดะ ได้ให้แนวคิดว่า หากใช้เคมีผสมผสานกับเทคนิคเกษตรธรรมชาติ จะทำให้การคืนสภาพดินสู่ธรรมชาติไม่สมบูรณ์ยั่งยืน

โมกิจิ โอกาดะ ได้พยายามปฏิบัติและพัฒนาการทำเกษตรธรรมชาติ คิวเซ มาตลอดระยะเวลา 40 ปี แต่ก็ไม่สามารถทำให้เป้าหมายข้อ 3 ประสบผลสำเร็จได้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 เขาได้ผู้ร่วมงานคือ ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิหงะ จบจากมหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่นและได้ค้นพบเทคนิคการใช้ “อีเอ็ม” (Effective Microorganism : EM) ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพจำนวน 80 สายพันธุ์ จึงสามารถบรรลุเป้าหมายการทำเกษตรธรรมชาติของโมกิจิ โอกาดะ ทำให้เกษตรธรรมชาติคิวเซเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง โดย “อีเอ็ม” ทำให้ดินดีขึ้นอย่างเห็นชัด และสามารถลดต้นทุนการผลิต ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชได้ในเวลาเดียวกัน

EM ได้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและช่วยบำรุงดิน ทำให้โครงสร้างของดินดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดน้ำเสีย และ กลิ่นเหม็น การสุขาภิบาลในฟาร์มปศุสัตว์ และใช้ผสมในอาหารสัตว์ทำให้เจริญเติบโตดีอีกด้วย

การศึกษาค้นคว้าพัฒนาจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติหลายกลุ่มมาเลี้ยงรวมกัน โดยเน้นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ทำให้ดินดี ใช้เวลายาวนานถึง 15 ปี จนได้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) ประกอบด้วยจุลินทรีย์ต่างๆ มากกว่า 80 สายพันธุ์ เช่น จุลินทรีย์กลุ่มผลิตกรดแลคติก ยีสต์ แอคติโนมัยซีต จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง และเชื้อราที่ช่วยในการหมัก เป็นการค้นพบวิธีการทำเกษตรธรรมชาติแนวใหม่ โดยใช้จุลินทรีย์มาช่วยในระบบการผลิต

การเผยแพร่เกษตรธรรมชาติ คิวเซ ในประเทศไทย :
ปี พ.ศ. 2511 คาซูโอะ วาคุกามิ ชาวญี่ปุ่นได้เดินทางมาเผยแพร่กิจกรรมทางด้านศาสนาในประเทศไทยและได้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2531 ใช้ชื่อว่า “มูลนิธิบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา” โดยมีความตั้งใจที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย เนื่องจากเป็น
ประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ และต้องการให้เกษตรธรรมชาติ คิวเซ เผยแพร่ไปอย่างกว้าง ขวางในหลายประเทศ

อีเอ็ม (EM) ถูกนำเข้าประเทศไทยในปี พ.ศ.2529 และในปี พ.ศ.2531ได้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและเผยแพร่เกษตรธรรมชาติคิวเซขึ้น ณ อ.แก่งคอย สระบุรี ภายใต้มูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “อีเอ็ม” ได้เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยมีการใช้ในการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเกษตรของประเทศไทย เช่น กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ยอมรับการใช้ “อีเอ็ม” ทางการเกษตร เนื่องจากยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนและจำแนกสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน “อีเอ็ม” กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจของประเทศไทยยอมรับเทคโนโลยีเกษตรธรรมชาติและนำไปใช้ รวมถึงนำไปส่งเสริมอย่างแพร่หลายต่อเกษตรกรและชุมชน โดยในปัจจุบันถือว่าเกษตรธรรมชาติ คิวเซ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับผู้สนใจไม่น้อยกว่า 30,000 คนต่อปี

ที่มา : เกษตรธรรมชาติประยุกต์ รศ.ดร.อานัฐ ตันโช ศูนย์ข้อมูลเกษตรธรรมชาติแม่โจ้

90. เกษตรเกษตรอิสราเอล : ได้เรียนรู้อะไรใน Arava Farm
* เรียนรู้คนและการจัดการคน
* เรียนรู้งานและการจัดการงาน
* เรียนรู้ตัวเองและการจัดการตัวเอง
* เรียนรู้ทักษะเกษตร
- การปลูกพืชให้ออกสู่ตลาดทุกวัน
- การปลูกพืชด้วยระบบน้ำหยด
- การแก้ไขปัญหาระบบน้ำหยด
- การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
- การจัดการศัตรูพืช โดยวิธีการแบบ IPM (Integrated Pest Management)
http://aravafarm.blogspot.com
อิสราเอลมีแต่ทรายทั้งประเทศ แต่อิสราเอลสามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรส่งออกต่างประเทศได้เป็นว่าเล่น

อิสราเอลประชากรน้อย ขาดแรงงานอย่างรุนแรง คนไทยไปช่วยทำงานในฟาร์มเกษตร คนอิสราเอลพอใจมากถึงขนาด THANK YOU คนไทย

- นิทัศน์การงานเกษตรที่อิสราเอล มีบู๊ธขายผลิตภัณฑ์และบู๊ธวิชาการเหมือนของไทย แต่คนอิสราเอลมุ่งเข้าแต่บู๊ธวิชาการ บางครั้งกำหนดจัดงาน 7วัน 10วัน คนไม่เลิกสนใจ ต้องเพิ่มระยะเวลาจัดงาน ในขณะที่งานเกษตรไทย คนเข้าแต่บู๊ธซื้อผลิตภัณฑ์ ไม่สนใจบู๊ธวิชาการ ....

- เกษตรกรอิสราเอลปลูกพืชอายุสั้นในถุง ใช้วัสดุปลูกเป็นทรายล้วน เป็นทรายฆ่าเชื้อด้วยความร้อนกำจัดสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งจุลินทรีย์มีประโยชน์และจุลินทรีย์เชื้อโรค เกษตรกรไม่พึ่งพาจุลินทรีย์สร้างสารอาหารแต่เป็นคนให้สารอาหารทุกอย่างแก่พืชเอง เพราะเกรงว่าจะมีจุลินทรีย์เชื้อโรคแฝงเข้ามาอยู่ด้วย....

เหมือนไฮโดรโปรนิกส์ ที่มีแต่สารอาหารจากฝีมือคน ไม่มีสารอาหารจากฝีมือจุลินทรีย์เลย

- เกษตรกร 1 ราย สนใจปลูกแคนตาลูป (สมมุติ) ไปปรึกษา จนท.เกษตร ทางราชการพร้อมสนับสนุนแต่มีข้อแม้ว่า ต้องมีจำนวน สมช.เกษตรกรปลูกมากกว่านี้ เมื่อปลูกแล้วต้องได้ผลผลิตระดับส่งออกได้ เพราะการส่งออกหมายถึงรายได้ของประเทศ เกษตรกรต้องไปรวม สมช. รวมพื้นที่ได้ตามเกณฑ์ แล้ว จนท.เกษตรจะเปิดอบรมเทคนิคการทำแคนตาลูปตามต้องการก่อน ระหว่างการปลูกก็จะตามไปดูแล ให้คำแนะนำ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเก็บเกี่ยว

- เกษตรกรอิสราเอล ปลูกมะเขือเทศเอาเมล็ดพันธุ์ เอาไปขายที่อเมริกาได้ กก.ละ 125,000 $ อเมริกาซื้อเมล็ดแล้วปลูกเอาผลผลิต ต้องได้ผลผลิตมะเขือเทศ 2 ตู้รถไฟจึงจะได้มูลค่าเท่ากับเมล็ดพันธุ์ 1 กก. ....

(ประเทศไทย : ปลูกผักบุ้งจีนเอาเมล็ดที่กาญจนบุรี ได้เมล็ดแล้วใส่กระสอบปุ๋ยไป PACKAGING ที่เมืองจีน แล้วกลับมาประเทศไทยอีกที คราวนี้ขาย 1 ซอง 50 เมล็ด 50 บาท .... ปลูกผักกาด ผักคะน้า ฯลฯ ที่เชียงราย เอาเมล็ด ได้เมล็ดแล้วใส่กระสอบปุ๋ยไป PACKAGING ที่เมืองจีน แล้วกลับมาประเทศไทยอีกที คราวนี้ขาย 1 ซอง 20 เมล็ด 50 บาท)

- คนไทยนับหมื่นคนไปทำงานที่อิสราเอล ได้รู้ได้เห็นได้ใช้ เทคโนโลยีใหม่ๆ สไตล์อิสราเอล แต่พอกลับมาเมืองไทย ยังเผาฟางเหมือนเดิม

- นักวิชาการไทย ทำปริญญาเอกด้านเกษตรที่อิสราเอล กลับมาเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เล่าว่า ได้ถามเกษตรกรอิสราเอลถึงปุ๋ยทางใบที่ใช้ “สูตรว่าอย่างไร ?” เกษตรกรอิสราเอลตอบว่า “บอกไม่ได้ เป็นความลับของชาติ”....

- นศ.ไทย ไปฝึกงานที่อิสราเอล กลับมาเรียนต่อในเมืองไทย จบปริญญาแล้วกลับไปทำเกษตรของตัวเองที่บ้านก็ยังทำเกษตรแบบเดิมๆ แบบที่พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนบ้านทำแล้วมีแต่หนี้ แม้แต่จะรวมกลุ่มกันเป็น “กิ๊บบุต” แบบอิสราเอลก็ไม่ทำ ....

91. เกษตรไต้หวัน :
(รู้จากคนไทยทำธุรกิจ ไทย-ไต้หวัน)
อุดมการณ์แห่งชาติ เกษตรกรต้องทำเพื่อ “ส่งออก” เท่านั้น นั่นคือเศรษฐกิจของชาติที่โตขึ้น เมื่อเศรษฐกิจชาติโต เศรษฐกิจประชาชนก็จะโตด้วย ในทางกลับกัน ถ้าประชาชนมีแต่หนี้ แล้วเศรษฐกิจชาติจะโตได้อย่างไร .... ไต้หวันมุ่งมั่นอย่างเดียวต้องเหนือ “จีน” แผ่นดินใหญ่ให้ได้ มิฉะนั้น โดนจีนแผนดินใหญ่ยึดคืนแน่

เกษตรกรทำผลผลิตแล้วส่งออกได้ จะนำตัวเลขที่ส่งออกได้นั้นมาขอรับการช่วยเหลือจากราชการ เช่น ปุ๋ย น้ำมัน หรือพัสดุภัณฑ์เพื่อการเกษตรทุกชนิดได้

ประชาชนไต้หวันยอมรับ ซื้อ/กิน ผลผลิตทางการเกษตรแบบตกเกรดด้วยความยินดี นัยว่า ของดีๆ ให้ส่งออกต่างประเทศเพื่อเอาเงินเข้าประเทศ ปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ของไต้หวัน คือ จีนแผนดินใหญ่ โดยเฉพาะฮ่องกง มาเก๊า

เกษตรกรบางรายทำผลผลิตได้ไม่ถึงเกรดส่งออก ไปร้องขอความช่วยเหลือ “ปุ๋ย น้ำมัน หรือพัสดุภัณฑ์เพื่อการเกษตร” จากราชการบ้าง อ้างว่า คนที่ส่งออกได้มีรายได้ดีแล้ว แต่คนที่ส่งออกไม่ได้ มีรายได้น้อย งานนี้ราชการรู้ว่า นี่คือเกษตรกรประเภท “มิจฉา ทิฐิ” จึงแนะนำ (สั่งแกมบังคับ) ให้ไปดูแปลงของคนที่เขาทำส่งออกได้ แล้วให้ทำตามนั้น

92. เกษตรเกาหลี :
เมื่อยุค ปาร์ค จุง ฮีย์ พ่อของ ปาร์ค กึน ฮีย์ ประธานาธิบดี (หญิง) เกาหลีคนปัจจุบัน เมื่อครั่งพ่อเป็นประธานาธิบดี ได้ส่งเกษตรกรชาวนาข้าวเกาหลี 200 คน มา เรียน/รู้ วิธีการทำนาข้าวกับชาวนาไทย ไปกินนอนอยู่ที่บ้านชาวนาไทย ตั้งแต่เริ่มทำเทือกจนถึงวันเกี่ยว เอาข้าวไปขายส่งที่โรงสีกันเลย

กลับไปแล้วเอาปรับใช้กับนาข้าวของตัวเอง พร้อมกับ แนะนำ/ส่งเสริม/สอน ชาวนาบ้านข้างเคียงด้วย ชาวนากลุ่มนี้จะได้รับการช่วย เหลือ/สนับสนุน จากรัฐบาลหลายรายการจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ มีชาวนาบางคนไม่ยอมรับ อ้างว่า นั่นข้าวไทย ไม่ใช่ข้าวเกาหลี ไม่ยอมทำตามแบบข้าวไทยที่เพื่อนบ้านแล้วประสบความสำเร็จ

จนท.ราชการ จึงสั่งแกมบังคับ (สไตล์ไต้หวัน) ให้ทำตามชาวนาข้างบ้าน ถ้าไม่ประความสำเร็จ ราชการจึงจะช่วย
http://www.hayhaytv.vn

93. เกษตรสิงค์โปร์ :
การเกษตรคอนโด หรือเกษตรแนวตั้ง หรือ Vertical Farm หมายถึง การปลูกพืชเป็นชั้น ๆ มีการให้น้ำ อาหาร และแสงโดยการควบคุมจากมนุษย์ ปลูกในโรงเรือนที่มีหลังคา มีตาข่ายป้องกันแมลงเข้ามากัดกินผลผลิต ปลูกพืชได้โดยไม่จำกัดฤดูกาล และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ บริษัท Skygreens ในประเทศเพื่อนบ้านสิงคโปร์ของเรา ได้เริ่มมีการทำฟาร์มแนวตั้งเพื่อป้อนผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว โดยในสิงคโปร์มีพื้นที่ทำการเกษตร 250 ไร่ เป็นพื้นที่การ เพาะปลูกแบบธรรมดา ซึ่งไม่สามารถให้ผลผลิตได้เพียงพอต่อผู้บริโภค จึงได้มีแนวคิดในการจัดทำ ฟาร์มเกษตรแนวตั้งขึ้น โดยฟาร์มแห่งนี้สามารถป้อนผลผลิตเข้าสู่ตลาดได้มากถึงวันละ 1 ตัน ซึ่งมากกว่าฟาร์มปกติ 5-10 เท่า โดยเปรียบเทียบจากพื้นที่ขนาดเดียวกัน

โดยฟาร์มแห่งนี้ทำงานด้วยระบบไฮโดรลิค ใช้พลังงานและน้ำน้อยมาก มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า A-Go-Go โดยโครงสร้างจะเป็นเสา 2 เสาค้ำกันคล้ายกับรูปตัว A แต่ละเสามีความสูง 6 เมตร มีการหมุนเพื่อให้พืชได้รับน้ำและแสงแดดในปริมาณที่เท่ากัน ระบบหมุนไม่ต้องใช้ไฟฟ้า เพราะใช้ระบบเติมน้ำเพื่อหมุนรอก น้ำก็จะวนกลับไปกลับมา น้ำเสียจากพืชก็จะนำไปหมักแล้วสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ หลังคาเป็นพลาสติก พีวีซี.ใส สามารถปลูกพืชที่ชอบอากาศร้อนได้ตลอดทั้งปี ซึ่งการเพาะปลูกแบบปกติในพื้นที่เปิดจะทำไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านฤดูกาล และปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในการสูบน้ำ มีค่าไฟฟ้าเพียง 105 บาทต่อเดือนต่อ 1 โครงสร้างตัว A เท่านั้นเอง
Cr : www.theguardian.com ,www.techinsider.io

94. เกษตรมาเลเซีย :
เที่ยวเมืองแห่งธรรมชาติ คาเมรอน เพลินชมไร่ชา....สตรอเบอรี่ มาเลเซีย
(รู้จากคนมาเลเซีย มาท่องเที่ยวเมืองไทย)
มาเลเซียทั้งประเทศไม่มีภูเขาหัวโล้นแต่ก็ไม่มีภูเข่าป่าไม้ ในมาเลเซียมีแต่ภูเขา ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่รัฐบาลสั่งให้ปลูกเพื่อให้ประชาชนเข้าไปถือครองแบบ “เช่า แต่ไม่ซื้อ”

ต้นยางพารา ต้นปาล์มน้ำมัน ก็เป็นไม้ป่าขนาดใหญ่ สร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอาหาร และเป็นแหล่งต้นน้ำได้เช่นเดียวกับไม้ป่าธรรมชาติ

กฎหมายมาเลเซียไม่ให้ประชาชนมีสิทธิครอบครองที่ดิน หรือที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ เหมือนประเทศจีน รัฐบาลเข้าไป บริหาร/วางแผน การใช้พื้นที่ทำการเกษตร หรือทุกกิจการ แล้วให้ประชาชนที่มีความประสงค์เข้าไปทำ เช่น รัฐบาลกำหนดพื้นที่ปลูกยางพารา หรือปาล์มน้ำมัน หรือพืชไร่ หรือไม้ผล หรือผักสวนครัว โดยการลงทุนให้ก่อน จากนั้นจึงให้ประชาชนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วเข้าไปทำ นี่คือการ ZONING พื้นที่การเกษตรแบบบูรณาการที่ดีที่สุด ทั้งเกษตรกรผู้รับการสนับสนุนและรัฐบาลผู้สนับสนุน พบกันครึ่งทางลอดเวลา
http://www.photoontour9.com ..... http://smart-farm.blogspot.com

95. เกษตรออสเตรเลีย :
(รู้จากข่าว ทีวี.)
เมื่อครั้ง REFUGEE จากเวียดนามไต้ไปอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยการช่วยเหลือของรัฐบาลนั้น รัฐบาลออสเตรเลียไม่ต้องการให้ REFUGEE เหล่านั้นทำงานในเขตเมือง เพราะจะเป็นแย่งงาน และเกิดปัญหาสังคมแก่ประชาชนของตัวเอง แต่ต้องการ REFUGEE ไปทำงานเกษตรในเขตทะเลทราย โดยรัฐบาลสนับสนุนทุกอย่าง ตั้งแต่เงินค่าครองชีพประจำวัน (เงินเดิม) อุปกรณ์และพัสดุภัณฑ์เกี่ยวกับการเกษตร ไปถึงระบบตลาดรับซื้อผลผลิต ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาลออสเตรเลียต้องการ คือ เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นป่า ซึ่ง REFUGEE ทุกคนต่างก็พอใจ

ป่าไม้หรือไม้ป่าที่ออสเตรเลียส่งเสริมให้ REFUGEE ปลูกอย่างหนึ่ง คือ “ทุเรียน” โดยเฉพาะทุเรียน หมอนทอง ก้านยาว ชะนี ฯลฯ รวมทั้งผลไม้ดีๆ จากประเทศไทย รวมไปถึงจากประเทศข้างเคียงกับประเทศไทย ซึ่งออสเตรเลียนำเข้าต้นพันธุ์เฉพาะทุเรียนจากประเทศไทยรวมกว่า 100,000 ต้น เมื่อทุเรียนเหล่านั้นโตขึ้น ให้ผลผลิตแล้วปรากฏว่า “กินไม่ลง” เพราะเนื้อเป็นเสี้ยนแข็ง นี่คือ “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โลก” (GI) นั่นเอง
http://www.tnamcot.com/content/192248

96. เกษตรเยอรมัน :
(ข้อมูล : สารคดีดิสคัพเวอร์รี่)
เกษตรกรจากจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ไปดูงานข้าวสาลีที่เยอรมัน เนื่องจากเทคโนโลยีของเยอรมันทำให้ได้ผลผลิตมากกว่าของอเมริกาถึง 4 เท่า ทั้งๆที่ไม่ใช่ GMO หรือการดัดแปลงพันธุกรรมใดๆ เป็นไปตามธรรมชาติของข้าวสาลีแท้ๆ แต่ที่ได้ผลผลิตมากเพราะเป็นผลมาจากดิน ส่วนที่เพิ่มขึ้น 75% หรือ 3 ใน 4 ที่เหลือ 25% หรือ 1 ใน 4 มาจากปัจจัยอื่น คือ น้ำ แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค

เยอรมันใช้วิธี ไถโรตารี่ตีป่นหน้าดิน ที่มีเศษซากรากเหง้าของต้นข้าวสาลี พร้อมกับปล่อยจุลิน ทรีย์ ลงไปคลุกกับดิน หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์แล้วก็บำรุงตามปกติทุกประการ

หลังจากเกษตรกรจอร์เจียกลับมาทำในแปลงของตัวเองที่อเมริกาแล้ว ก็ได้ผลผลิตเพิ่มจากปกติที่เคยได้เหมือนที่เยอรมันเป๊ะ เกษตรกรเยอรมันที่เคยถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้ ได้มาเยี่ยมแปลงข้าวสาลีที่อเมริกา เห็นผลงานจากแปลงนี้แล้วบอกว่าไม่แปลกใจ แต่ที่สงสัยอย่างมากๆก็คือ ทำไมแปลงข้างเคียงไม่เอาบ้างเท่านั้นแหละ

ถึงวันนี้ ยืนยันนั่งยันนอนยันตีลังกายัน อเมริกา ยุโรป ทำเกษตรแบบ อินทรีย์นำ-เคมีเสริม ไม่เผาเศษซากพืชในแปลง แต่ใช้วิธีไถกลบหรือนำมาบดป่นก่อน ทั้งที่ไถกลบทันทีกับที่นำมาปดป่นก่อน ต่างก็ทำให้เป็น “ซุปเปอร์” ด้วยการใส่ เสริม/เติม-เพิ่ม/บวก สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ได้แก่ สารอาหารอินทรีย์ (ปุ๋ยคอก) สารอาหารสังเคราะห์ (ปุ๋ย เคมี) และจุลินทรีย์เป็นผู้ดำเนินการแปลงให้ทั้งสิ่งที่มีอยู่ในดินเดิม กับส่งที่ใส่ลงไปใหม่ เปลี่ยนเป็นสารอาหารพืช

เกษตรกรหรือประเทศที่ไม่เผาฟางเผาเศษซากพืช แต่ ปรับ/เปลี่ยน ให้เป็นอินทรีย์ วัตถุบำรุงดินส่งผลไปถึงพืชที่ปลูก นอกจาก ยุโรป อเมริกา และ อาฟริกา แม้แต่อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ก็ไม่เผาฟางเผาเศษซากพืช ที่ไม่รู้ก็คือ พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ติมอร์ ว่าเผาฟางเผาเศษซากพืชหรือไม่ ส่วนอินโดเนเซียมีข่าวเผา เผาแบบปรับพื้นที่ ไม่ใช่เผาฟาง

ทำไมผู้ส่งเสริมจึงไม่ “ส่งเสริม เชิงรุก” (เน้นย้ำ....เชิงรุก) ด้วยการใช้สื่อทุกชนิดที่มี สร้าง ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นในการไถกลบเศษซากอินทรีย์วัตถุเพื่อปรับปรุงบำรุงดินก่อนการเพาะปลูก
http://www.bloggang.com

97. เกษตรอเมริกา : (สายตรงจากอเมริกา)
ราว พ.ศ. 2540 เมื่อรายการสีสันชีวิตไทย แจกเอกสารฟรี “ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม” เอกสารชุดหนึ่งไปโผล่ที่อเมริกา ที่ SURPRISE อย่างมากๆก็คือ เอกสารชิ้นหนึ่งไปอยู่ในมือของเพื่อเรา อดีตทหารอเมริกัน SERGANT TOMMY นักรบสงครามเกาหลีด้วยกัน มันจำได้ สายตรงจาก SANFRAN-CISCO มาทันที่ บอกว่า “อเมริกันรู้จักน้ำหมักชีวภาพ แล้วก็ทำใช้มาตั้ง 50 ปีแล้ว ประเทศไทยเพิ่งตื่นเหรอ...ฯลฯ...”

- หลุยส์ เซียร์น่า รัฐเดียวของอเมริกา ใหญ่กว่าปะเทศไทยทั้งประเทศ รัฐนี้ทำนาปลูกข้าวทั้งรัฐ ชาวนาบางรายมีที่แค่ 100 เฮกต้า (700 ไร่) ถือว่าเป็นแปลงขนาดเล็ก แต่ชาวนาทั้งรัฐ หรืออาจจะทั้งประเทศไม่เผาฟาง แล้วเขาทำนาทันได้อย่างไร .... “?” ….

- กรณีเผาฟาง เผาวัชพืชในไร่นา ขนาดอินโดเนเซียเผาไร่ควันท่วมประเทศ ข้ามมามาเลเซีย ต่อมาถึงสิงค์โปร์ ภาคเหนือของเมียนมาเผาไร่ ควันลอยข้ามมาไทย ภาคเหนือของไทยเผาไร่ ควันลอยข้ามไปถึงลาว แค่เผาไร่เผาวัชพืชแปลงเล็กๆ ควันยังไปไกลขนาดนี้ แล้วถ้าหลุยส์ เซียร์น่า ของอเมริกาเผาฟางบ้าง จะเกิดควันขนาดไหน แสดงว่าชาวนาของอเมริกาไม่เผาฟาง ไม่เผาวัชพืช แต่ใช้วิธีไถกลบนั่นเอง

- ชาวนาหลุยส์ เซียร์น่า ใช้เทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงทุกชนิด ที่นั่นเตรียมดินเตรียมแปลงโดยใช้รถแทรคเตอร์ขนาดใหญ่ หน้ารถมีแทงค์ขนาดใหญ่บรรทุกปุ๋ยอินทรีย์ (สูตรตามพืช) แห้งผงละเอียด โรยผงปุ๋ยอินทรีย์ลง ช้าหรือเร็วควบคุมได้ ไต้ท้องรถตรงกลางมีผานจานทำหน้าที่ไถดะ ท้ายรถมีผานโรตารี่ทำหน้าที่ไถพรวน ทำหน้าที่ผสมดินกับผงปุ๋ยอินทรีย์ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยเวลาเพียง 1 วัน แรงงานคนเดียว ทำงานได้เนื้อที่กว่า 100 ไร่

- สับปะรดฮาวายกินสดไม่ได้เพราะเนื้อหยาบต้องทำสับปะรดกระป๋องเท่านั้น อุตส่าห์เอาสับปะรด ปัตตาเวีย-ศรีราชา ไปปลูก ปลูกได้แต่โตขึ้นมากินไม่ได้ แม้แต่ ทุเรียน-มังคุด-เงาะ-ลำไย-ส้มเขียวหวาน-ส้มโชกุน กับอีกหลายผลไม้ บางอย่างปลูกไม่ได้เลย บางอย่างปลูกได้แต่มีผลผลิตออกมากินไม่ได้ แม้แต่ข้าว “หอมมะลิ” ไทย เป็น ได้แค่ “แจ๊สแมน” เท่านั้น เช่นกัน อีก 500 ปี ประเทศไทยก็ปลูกถั่วเหลืองอย่างอเมริกาไม่ได้ (ไทยได้น้อยกว่าอเมริกา 3-4 เท่า ต่อพื้นที่เท่ากัน) เพราะโซนภูมิศาสตร์โลกระหว่างวอเมริกากับไทยต่างกันนั่นเอง....นี่คือ แม้อเมริกาจะสูงส่งทางด้านเทคโนโลยีเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้

- รัฐบาลรับจำนำ ข้าว/ถั่ว จากเกษตรกรแล้ว ไม่ต้องการให้ไถ่ถอน เพราะจะเอาไปช่วยประเทศอื่นๆ

98. เกษตรญี่ปุ่น :
โซนภูมิศาสตร์โลกเพื่อการเกษตรของญี่ปุ่นมีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชน้อย (เน้นย้ำ...น้อย) กว่าโซนภูมิศาสตร์โลกเพื่อการเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก แต่เกษตรกรญี่ปุ่นปลูกพืชแล้วได้มูลค่ามากกว่าด้วย เทคโนโลยี (ชั้นสูง) ที่เหมาะม-การตลาดนำการผลิต-แปรรูปสร้างมูลคาเพิ่ม บนเงื่อนไขการผลิต ผลผลิตเพิ่ม-ต้นทุนลด-อนาคตดี โดยรัฐช่วยครึ่งหนึ่ง เกษตรกรช่วยตัวเองครึ่งหนึ่ง

ประเทศญี่ปุ่น เมืองหนาว ใน 1 ปี 12 เดือนปลูกพืชเพียง 4 เดือน จึงปลูกได้แต่พืชล้มลุก อายุสั้น ฤดูกาลเดียว (นาข้าว ผักสวนครัว) กรณีไม้ผลอายุยืนนานหลายปีปลูกได้เพียงไม่กี่ชนิด

นาข้าวญี่ปุ่นรัฐบาลส่งเสริมอย่างมากๆ ข้าวญี่ปุ่นจาปอนนิก้าจากต่างประเทศรวมทั้งจากไทย (ปลูกที่ภาคเหนือ) จะนำเข้าญี่ปุ่นต้องเสียภาษีแพงมากเพื่อไม่ให้แย่งตลาดข้าวญี่ปุ่น

คนญี่ปุ่นจะซื้อข้าวญี่ปุ่นในตลาดญี่ปุ่นแท้ๆ ต้องซื้อข้าวไทยพ่วงด้วย ข้าวไทยหุงแล้วคนไม่กินก็ให้หมากิน

99. เกษต AEC. :
(รู้จากข่าว ทีวี.)
ใน 2-3 ปีข้างหน้า จับตาดูผลผลิตทางการเกษตรใน เขมร ลาว พม่า ให้ดี ลำพังประชาชนใน 3 ประเทศนี้คงไม่เท่าไหร่ แต่นายทุนจาก จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้วัน สิงค์ ที่มาเช่าที่ดินด้วยสัญญาเช่า 99 ปี ต่างหาก นายทุนเหล่านี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่เหนือกว่าเกษตรกรไทย ด้วยแรงงานท้องถิ่นที่ราคาถูก กับตลาดที่เป็นประเทศของตัวเอง นี่คือความเหนือกว่าเกษตรไทยชนิดปฏิเสธไม่ได้เลย

พม่า ลาว เขมร มีข้าวพันธุ์ดี ดีกรีชนะเลิศระดับโลกเหมือนข้าวหอมมะลิไทย (เมล็ดพันธุ์ไปจากไทย) ถ้าจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงค์โปร์ ปลูกที่พม่า ลาว เขมร แล้วส่งกลับไปขายยังประเทศตัวเอง .... ไทยจะทำยังไง

พม่า ลาว เขมร ปลูกผลไม้ชั้นดีแบบไทยด้วยพันธุ์จากไทย ถ้าจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงค์โปร์ ปลูกแล้วส่งกลับไปขายยังประเทศตัวเอง .... ไทยจะทำยังไง

100. ปรัชญาเกษตร :
ปรัชญา แปลว่า หลักแห่งความรู้ ความจริง อย่างเป็นเหตุ และเป็นผล :

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ........................ โคกกะเทียม วิทยาลัย ลพบุรี
คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ต่อยอด ขยายผล ฟันธง ............. สีสันชีวิตไทย
*** รวยกระจุก ..... รวยเพราะ เปิดใจรับ เทคนิค/เทคโนโลยี
*** จนกระจาย ..... จนเพราะ ปิดใจรับ เทคนิค/เทคโนโลยี
* เทคโนโลยี คือ การนำ “แนวทาง/ความคิด/ความรู้/หลักการ/วิชาการ/กระบวนการ” ที่เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ นำมาใช้ในการทำงาน

* เทคนิค คือ ศิลปะและวิธีการ ในการปฏิบัติ

เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรด้านพืช :
*** ปัจจัยพื้นฐาน : ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์/โรค ....
*** ปัจจัยสำคัญ : ปุ๋ย-ยา-เทคนิค-เทคโนฯ-โอกาส-ตลาด-ต้นทุน-บริหาร-จัดการ-คุณภาพ-ปริมาณ-พันธะสัญญา-ปชส. ....

*** ซูพรีม พรีเมียม เกรด เอ. จัมโบ้ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง นอกฤดู สีสวยสด รสจัดจ้าน ปลอดสารเคมี เครดิตสูง แปรรูป คนนิยม จองล่วงหน้า ส่งออก .... เกรดฟุตบาท

*** ทำอย่างเดิม แย่กว่าเดิม เพราะสภาพแวดล้อม และสังคมเปลี่ยนแปลง
*** ทำตามคนที่ล้มเหลว ล้มเหลวยิ่งกว่า เพราะอยากเอาชนะ เขาใส่ปุ๋ย 1 เราใส่ 2 เขาฉีดยา 1,000 เราฉีด 2,000

*** ทำตามคนที่สำเร็จ สำเร็จยิ่งกว่า เพราะเอาของเขามาต่อยอดขยายผล
*** กะรวยกว่า กะรวยคนเดียว ไม่รวย .... กะรวยด้วยกัน รวยทุกคน
*** ตลาดควบคุมไม่ได้ .... ต้นทุนคุมได้
*** ราคาขาย – ต้นทุน = กำไร
*** ตัวเองช่วย + รัฐบาลช่วย = ได้ 2 เด้ง
*** สมการเกษตร (ปุ๋ย ยา เทคนิค เทคโนฯ โอกาส ตลาด ต้นทุน ฯลฯ)
*** หลักการเกษตร (วิชาการ ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด)
*** การเกษตร ยาก/ง่าย อยู่ที่ใจ
*** ยึดหลักกู ไม่เอาหลักการ
*** ขยันแต่ทำผิด = ไม่ได้อะไร
*** หัวใจนักปราชญ์ ฟัง คิด ถาม เขียน .... อ่าน ดู ทำ ใช้ คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบ
*** ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
*** ความรู้ คู่ความคิด
*** เรียนรู้ด้วยตัวเอง เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก เรียนรู้จากโรงเรียน
*** โรงเรียนเกษตรที่ดีที่สุด คือ แปลงเกษตร (ของเรา ของเขา อดีต ปัจจุบัน อนาคต)
*** ครูเกษตรที่ดีที่สุด คือ คนในกระจก
* ทำทั้งปี ได้ขายรอบเดียว VS ทำทั้งปี ได้ขายหลายรอบ
* แจ๊คหม่า มีประเทศเดียว ..... แจ๊คหม่ำ มีทั่วโลก
* ความเก่งคนเท่าๆกัน แต่ แพ้/ชนะ กันที่โอกาส ..... ใช้สมอง แทนกำลัง
* ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ..... ความรู้ท่วมตัว เอาหัวไม่รอด
- คนบ้าไม่มีหนี้ คนดีหนี้เต็มบ้าน....
- พ่อครับ แม่ครับ นาเราต้นทุนท่วมราคาขายแล้วนะ....
- จบเกษตรทำนา ได้ข้าว ขายข้าวให้โรงสี....
- จบวิศวะทำนา ได้ข้าว ขายข้าวให้ร้านขายข้าวปลูก...

101. ใครเป็นครูของลุงคิม ? :
สมช. : ผู้พันเป็นทหาร ไม่ได้เรียนเกษตร แต่มีความรู้เกษตร ขอทราบว่าใครเป็นครูของผู้พัน
ลุงคิม : แน่นอน ไมมีใครในโลกที่เกิดมาแล้ว “รู้” ทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้แต่พระศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องเรียน.... คนที่เป็นครูของลุงคิม คือ
ดร.อรรถ บุญนิธี
อ.สำรวจ ดอกไม้หอม
ดร.สุริยา ศาสนรักษ์กิจ
มาซาโอะ ฟูกูโอกะ (ญี่ปุ่น)
ดร.โช (เกาหลี)
คนเขียนหนังสือเกษตร ฯ
สมช.สีสันชีวิตไทย
เกษตรกรไทย/เทศ ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว
ฯลฯ

การเป็นศิษย์ของครูเหล่านี้ ทำได้ทั้ง “ฟัง” ท่าน พูด/สอน, “อ่าน” เรื่องที่ท่านเขียน, “ดู” งานที่ท่านทำ .... ฟัง-อ่าน-ดู แล้ว เอามา คิด-วิเคราะห์-เปรียบเทียบ-ปรับ เป็นของตัวเอง

สมช. : วันนี้ยังติดต่อกับครูอยู่หรือเปล่า ?
ลุงคิม : ไม่ได้ติดต่อเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ทุกท่านอยู่สุขสบายดีไฉนด้วย

สมช. : ถ้าผมจะบอกว่า ผู้พันก็คือครูของผมเหมือนกันจะได้ไหมครับ ?
ลุงคิม : เรื่องนี้ไม่มีลิมิต มันอยู่ที่ใจของแต่ละคนเท่านั้น แต่อยากจะบอกว่า มีครูเยอะๆน่ะดี อย่าสร้างกรอบล้อมตัวเอง อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว อย่าสร้างกับดักดักตัวเอง ต้องเปิดตัวเปิดใจรับข้อมูลความรู้ การเรียนรู้ต้องทำตลอดชีวิต อีกเยอะแยะภาษิต 24 ล้อ...

102. แคลเซียม โบรอน ทำเอง (1) :
เหตุเกิดที่ชมรมสีสันชีวิตไทย บางแพ ราชบุรี.....
ลูกค้า : ซื้อชุดทำแคลเซียม โบรอน 4 ชุด
คนขาย : 4 ชุด ชุดนึงทำได้ 20 ล. 4 ชุดทำได้ 80 ล. ..... ทำเกษตรแปลงใหญ่ กี่ไร่น่ะ ?

ลูกค้า : แปลเล็กๆ ธรรมดาๆ แค่ 2 ไร่
คนขาย : แล้วทำไมทำเยอะจัง

ลูกค้า : ทำใช้เองนิดหน่อย ที่เหลือทำขาย
คนขาย : ทำขาย.... ขายลิตรละเท่าไหร่ล่ะ ?

ลูกค้า : 200
คนขาย : ดีจัง .... ดี ขายสิ่งที่ถูกต้อง ได้เงิน ได้บุญ

แคลเซียม โบรอน ทำเอง (2) :
เหตุเกิดจากเด็กหนุ่มไปซื้อชุดทำแคลเซียม โบรอน ในงานสัญจร เล่าสูฟัง....
เด็กหนุ่ม : วันก่อนผมไปซื้อชุดทำแคลเซียม โบรอน ที่ในจังหวัด
ลุงคิม : แล้วไง ?

เด็กหนุ่ม : ถามคนขาย เจ๊ มีแคลเซียม ไนเตท 15-0-0 จี เกรด ไหม?
คนขาย : ไม่มีหรอก

เด็กหนุ่ม : เจ๊มี โบรอน เกรด 10 โมเลกุลน้ำไหม ?
คนขาย : ไม่มีหรอก....เอาไปทำอะไรเหรอ ?

เด็กหนุ่ม : เอาไปทำแคลเซียม โบรอน....
คนขาย : ทำเองเหรอ ?

เด็กหนุ่ม: ทำเอง
คนขาย : (นิ่งคิดชั่วครู่) ทำเองได้แล้วฉันจะขายอะไร ?


แคลเซียม โบรอน ทำเอง (3) :
เหตุเกิดในงานอบรมเรื่องเกษตรที่ไร่กล้อมแกล้ม....
ลุงคิม : อันดับต่อไปจะสาธิตการทำแคลเซียม โบรอน ให้ดู
สมช. : อื้อฮือ .... ทำเองได้ด้วย

ลุงคิม : ได้ซี่ แล้วอั้ยที่เขาวางขายในท้องตลาดน่ะ เขาเอามาจากไหน ?
สมช. : (ตอบซื่อๆ สมช.คนอื่นๆ นิ่งอึ้ง) ไม่รู้ซี

ลุงคิม : (หัวเราะในลำคอ) ทำไต้ถุนบ้านทั้งนั้นแหละ
สมช. : (ตีหน้าซื่อ ถามต่อ) แล้วปุ๋ยอย่างอื่นล่ะ ?

ลุงคิม : ขึ้นชื่อว่า ปุ๋ยทางใบ ชนิดน้ำ ทั้งขายตรง ทั้งวางเอเย่นต์ แม้แต่ไบโออิ ยูเรก้า ที่นี่ ทำไต้ถุนบ้านทั้งนั้นแหละ
สมช. : ในโรงปุ๋ยนี่ใช่ไหม ?

ลุงคิม : ไม่รู้ซี .... คิดเอง

103. ปรับ C/N RATIO :
ธาตุอาหารกลุ่ม C ได้แก่ P K Ca Mg S Fe Cu Zn Mn Mo B Si Na
ธาตุอาหารกลุ่ม N ได้แก่ N
ปุ๋ยพื้นฐานต่อการออกดอก คือ Zn (ไปคู่กับ Mg), B (ไปคู่กับ Ca) น้ำตาลทางด่วน
จากหลักการที่ว่า จะเปิดตาดอกในไม้ผลยืนต้นให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม้ผลต้นนั้นจะต้องได้รับการบำรุงทั้งสารอาหารกลุ่ม C (กลุ่มสร้างดอก-ผล) และสารอาหารกลุ่ม N (กลุ่มสร้างใบ-ต้น)ทั้งสองกลุ่มเท่าๆ กันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อน ทั้งนี้สังเกตได้จากสภาพความสมบูรณ์ของต้นไม้ผล

ต้นที่สะสมสารอาหารทั้งกลุ่ม C และกลุ่ม N ไว้ในอัตราส่วน C เท่ากับ N เมื่อเปิดตาดอกจะออกทั้งดอกและใบ หรือมีดอกแซมใบ

ไม้ผลต้นที่สะสมสารอาหารทั้งกลุ่ม C และกลุ่ม N ไว้ในอัตราส่วน C มากกว่า N เมื่อเปิดตาดอกจะออกดอก ไม่มีใบ

ไม้ผลต้นที่สะสมสารอาหารทั้งกลุ่ม C และกลุ่ม N ไว้ในอัตราส่วน C น้อยกว่า N เมื่อเปิดตาดอกจะออกเป็นใบ ไม่มีดอก

ดังนั้น เพื่อความมั่นใจก่อนลงมือเปิดตาดอก หรือเมื่อให้ปุ๋ยสูตรเปิดตาดอกแล้ว ไม้ผลต้นนั้นจะต้องออกดอก จึงต้องมีวิธีการจัดการเพื่อปรับอัตราส่วนระหว่า C กับ N อย่างถูกต้อง นั่นคือ ปรับเพิ่ม C และ ปรับลด N ....โดยการปฏิบัติดังนี้

- เปิดหน้าดินโคนต้นจนถึงพื้นให้แสงแดดส่องทั่วบริเวณทรงพุ่ม
- ใส่ปุ๋ยทางราก 8-24-24 อัตรา 2 กก./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. โดยละลายน้ำราดรดบริเวณชายพุ่มพอหน้าดินชื้น จากนั้นงดให้น้ำเด็ดขาด

- ให้ปุ๋ยทางใบสูตร “0-42-56 (400-500 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (100 ซีซี.) + น้ำ 100 ล.” สลับครั้งกับ “นมสด 100-200 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 300-500 ซีซี. + น้ำ 100 ล.” (นมสด C/N RATIO เท่ากับ 39:1.... อ้างอิง : สวพ.ชัยนาท) แต่ละครั้งห่างกัน 3-5 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ ไม่ควรให้ลงถึงพื้นโคนต้นเพราะจะกลายเป็นการให้น้ำ ช่วงเช้าแดดจัด

- รมควันโคนต้นช่วงหลังค่ำระหว่างเวลา 19.00-20.00 ครั้งละ 10-15 นาที รวม 2-3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-3 วัน

ลักษณะอาการของต้นไม้ผลที่แสดงว่าการปรับเพิ่ม C และปรับลด N ได้ผลก็คือใบยอดคู่สุดท้ายที่ปลายกิ่งแก่จัดเขียวเข้ม ใบแก่โคนกิ่ง เส้นใบหนานูน เนื้อใบหนาส่องแดดไม่ทะลุ หูใบอวบอ้วน ข้อระหว่างใบสั้น กิ่งเปราะ .... ด้วยมาตรการงดน้ำเด็ดขาดนี้จะให้ต้นเกิดอาการใบสลด ให้สังเกตอาการใบสลด ถ้าใบเริ่มสลดเมื่อเวลาประมาณ 11.00-12.00 น. แล้วเริ่มชูตั้งตรงอย่างเดิมราว 16.00 น. ติดต่อกัน 3 วัน ให้ลงมือเปิดตาดอกด้วยสูตรเปิดตาดอก (ให้ทั้งทางใบและทางราก) ได้ทันที....แต่ถ้าใบสลดช่วงประมาณบ่ายโมงแล้วกลับชูตั้งตรงอย่างเดิมราว 16.00 น. ถือว่ายังไม่พร้อมจริง ให้งดน้ำควบคู่กับให้ทางใบต่อไป .... ปัญหางดน้ำไม่ได้ผลประการหนึ่ง คือ น้ำใต้ดินโคนต้น ซึ่งจะต้องหามาตรการป้องกันหรือควบคุมให้ได้

104. บัญชีข้างฝา :
แขวนไวท์บอร์ดข้างฝา ข้างจอ ทีวี. 2 แผ่น แผ่นขวาเขียนด้วยหมึกสีดำ แผ่นซ้ายเขียนด้วยหมึกสีแดง แผ่นขวาจดบันทึกรายการจ่าย (เงิน) จริง เพื่อให้รู้ว่าได้จ่ายหรือลงทุนไปแล้วเท่าไหร่....แผ่นซ้ายจดบันทึกรายการทำเอง (ไม่จ้าง) เทียบกับจ้าง นั่นคือ ต้องจ่าย ซึ่งก็คือต้นทุนที่ต้องจ่ายอีกรายการหนึ่ง

เมื่อ ทีวี.โฆษณา เงยหน้าขึ้นอ่านรายการบันทึกบนไวท์บอร์ดก็จะรู้ (เตือนสติ.... เน้นย้ำ เตือนสติ)ว่า กิจกรรมเกษตร รุ่นนี้/รอบนี้ ลงทุนไปแล้วเท่าไหร่ ขายได้เท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ รอบนี้/รุนนี้ เท่านั้น รุ่นก่อนๆ ต่อๆไปรุ่นหน้า ทั้งของเรา ของข้างบ้าน ก็จะเกิดสติ คิดใหม่ทำใหม่ .... หักลบลงทุนกับขายได้แล้วจะเหลือ กำไร/ขาดทุน เท่าไหร่ แล้วก็คงไ บัญชีฟาร์ม เขียนในสมุด เขียนเสร็จยังลงลิ้นชัก บัญชีนี้คนเขียนรู้คนเดียว หยิบขึ้นมาอ่าเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น ไม่หยิบ-ไม่อ่าน-ไม่รู้ ที่สำคัญ ใครอ่านใครรู้ ใครไม่อ่านก็ไม่รู้

ที่ RKK บ่ายวันหนึ่ง 3 พ่อแม่ลูกชาย นั่งพบเพียบกับพื้นดินลูกรัง พ่อนั่งอยู่ข้างซ้าย แม่กับลูกชายนั่งอยู่ข้างขวา ข้างลุงคิมที่นั่งบนเก้าอี้ ไม่รู้ว่านัดกันล่วงหน้าไว้ก่อนหรือเปล่า พลันทั้ง 3 พ่อแม่ลูกก้มกราบที่ตักลงคิมพร้อมกัน

ลุงคิม : (ยกตัวนั่งตั้งตรง สองมือจับบนไหล่คนที่กราบบนตัก) เฮ่ยๆ ๆๆ นี่อะไรกัน ใจเย็นๆ ลุกขึ้นๆ ๆๆ
ทั้ง 3 ขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าแววตาบ่งบอกความ พอใจ/ประทับใจ ชัดเจน ผู้แม่มองหน้าลูกชาย แล้วทำหน้าที่ตัวแทนครอบครัว

ผู้แม่ : ครอบครัวเราต้องการ ขอบคุณ อย่างมาก ๆๆ ค่ะ
ลุงคิม : อืมมม เรื่องของเรื่อง มันคืออะไร เล่าสู่ฟังหน่อยซิล่ะ
ผู้แม่ : บัญชีข้างฝา บัญชีข้างฝ่าค่ะ
ลุงคิม : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวัน


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 21/11/2023 3:59 pm, แก้ไขทั้งหมด 12 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 3:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
106. THAILAND ประเทศเกษตร (4) :
รัฐบาลส่งเสริม วิจัย/ผลิต/ใช้/ซื้อ/ขาย/แจก ....
- เครื่อง ตรวจ/วัด สารพิษบน ผัก/ผลไม้ แบบพกพา
- เครื่อง ตรวจ/วัด ค่าความหวาน/ความสุก ของผลไม้ แบบพกพา
- ชุดตรวจอัตรา C/N RATIO บนต้น แบบพกพา
- ฮม.ทาบกิ่ง/เสียบยอด ต่าง SPECIE ( ตัวอย่าง : ยอดทุเรียน เสียบ/ทาบ/ติดตา บนตอมะม่วง, ยอดเงาะ เสียบ/ทาบ/ติดตา บนตอขนุน, ฟักทอง เสียบ/ทาบ/ติดตา บนตอฟักเขียว, ฯลฯ)

- ปุ๋ย/ฮม. สูตรตามพืช แทงเข้าต้น
- ปุ๋ย/ฮม. ต้นข้าว ให้มีกลิ่นข้าวหอมมะลิ กข105
- ผลิต อุปกรณ์/เครื่องมือ ทางการเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยตัวเองแล้วส่งเสริมเข้าไปในประเทศ AEC


UNHCR ออสเตรเลีย ประจำสหประชาชาติ สาขาประเทศไทย มอบให้เพื่อการประสานงานที่ราบรื่น

ด้วยเงื่อนไขในการรับผู้อพยพระหว่าง สหรัฐ-แคนนาดา-ฝรั่งเศส กับออสเตรเลีย ต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้เกิดอาการสงสัยใคร่รู้

คำเกิด : ทำไมออสเตรเลียถึงยินดีรับผู้อพยพมากมายขนาดนี้
UNHCR : ออสเตรเลียต้องการให้โอกาสชีวิตเขาใหม่

คำเกิด : อืมม ออสเตรเลียประเทศใหญ่ ใหญ่มาก ระดับทวีป แล้วออสเตรเลียได้อะไรจากงานนี้
UNHCR : ได้ซี่ ได้ทั้งออสเตรเลียและผู้อพยพ ผู้อพยพนอกจากจะได้สิทธิประโยชน์เทียบเท่าประชาชนออสเตรเลีย ยังได้ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น ในขณะที่ออสเตรเลียได้ประชาชนกลุ่มใหม่สร้างแผ่นดิน

คำเกิด : สร้างแผ่นดิน.... หมายความว่างไง ?

บรรยากาศยามนั้นเงียบกริบ ทุกสายตาจ้องจับที่คู่สนทนา ไทย-ออสซี่ เป็นตาเดียว ด้วยความสนใจ โดยเฉพาะคำถามนี้

UNHCR : หมายความว่า เราให้ผู้อพยพทั้งหมดที่เป็นคนชาติเดียวกัน หรือผู้อพยพชาติอื่นด้วย ถ้ามีนะ ไปอยู่ที่เมืองเพิร์ธด้วยกัน เมืองนี้เป็นทะเลทราย เราจะเปลี่ยนทะเลทรายเป็นป่าไม้ แล้วให้เป็นเมือง เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีสาธารณูปโภคสมบูรณ์แบบ
คำเกิด : ว้าววว .... ทะเลทราย ป่าทรายเป็นป่าต้นไม้ ถึงวันนี้คืบหน้าไปเท่าไหร่แล้ว ?

UNHCR : วันนี้มีผู้อพยพจากเวียดนามไต้ไปอยู่แล้วกว่า 10,000 คน ผู้อพยพจากลาวไปแล้วกว่า 2,000 คน
คำเกิด : ได้เมืองขนาดใหญ่หรือยัง ?

UNHCR : ใหญ่ ยอมรับว่าใหญ่มาก
คำเกิด : มีปัญหาไหม ?

UNHCR : ตั้งแต่เริ่มต้นมา ปีนี้เป็นปีที่ 4 ยังไม่เคยมีปัญหาเลย ผู้อพยพทุกคนเรียบร้อยดี
คำเกิด : ที่น่าสนใจอย่างมาก คือ ทะเลทราย ทะเลทรายคือความแห้งแล้ง แล้วออสเตรเลียทำการเกษตรได้หรือ

UNHCR : ได้ ในเมื่อความแห้งแล้ง คือไม่มีน้ำ เราก็ส่งน้ำเข้าไป ส่งไปให้ถึงทุกบ้าน ถึงพืชทุกต้น จุดไหนของพื้นที่นั้นมีน้ำไต้ดินเราก็เจาะสูบขึ้นมาเสริม ปัจจุบันพื้นที่ๆเป็นป่าหายจากความแห้งแล้งแล้ว
คำเกิด : อื้อฮือ ยอมรับ ยอมรับ....แล้วพันธุ์ไม้พันธุ์พืชล่ะ เอามาจากไหน ?

UNHCR : อันนี้ต้องฝากขอบคุณรัฐบาลไทยเป็นอย่างสูง ที่มอบพันธุ์ไม้โดยเฉพาะผลไม้จากประเทศไทยเป็นที่พอใจของผู้อพยพเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดาย....
คำเกิด : เสียดายอะไรเหรอ ?

UNHCR : ต้นไม้ผล ออกผลมาแล้วกินไม่อร่อยเลย ไม่เหมือนผลไม้จากประเทศไทยโดยตรง เพราะโซนภูมิศาสตร์โลกของออสเตรเลียไม่เหมือนของประเทศไทย
คำเกิด : แล้วออสเตรเลียจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ?

UNHCR : ให้ปลูกไม้ผล ผลไม้ของออสเตรเลียแทน
คำเกิด : O.K. GOOD IDEA THANK YOU


107. THAILAND ประเทศเกษตร (5) :
รัฐบาลส่งเสริม วิจัย/ผลิต/ใช้/ซื้อ/ขาย/แจก ....
- ส่งเสริมตั้ง ร.ง.ผลิตยางนอกมอเตอร์โซด์ที่ จ.บึงกาฬ แล้วส่งออกไปเวียดนาม ลาว กัมพูชา โดย ระยะแรกลดภาษีเพื่อให้ ร.ง.อยู่ได้

- ส่งเสริมตั้ง ร.ง.แปรรูปสำปะหลังที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา แล้วส่งออกไปกัมพูชา ลาว เวียดนาม โดยระยะแรกลดภาษีเพื่อให้ ร.ง.อยู่ได้

- ส่งเสริมตั้ง ร.ง.อุตสาหกรรม บนพื้นที่แห้งแล้ง (ไม่เหมาะต่อการทำเกษตร) ในเขตภาคอิสาน และภาคเหนือ แล้ว ย้าย/ลด ร.ง. ในเขตภาคกลาง และภาคตะวันออก (พื้นที่เหมาะต่อการทำเกษตร) ไปอยู่ภาคเหนือ และภาคอิสาน กรณีนี้ สังคมชนบทจะไม่ล่มสลายเพราะแรงงานยังอยู่ในพื้นที่ กับสังคมเมือง (รอบที่ตั้งโรงงาน) ไม่เสื่อมทราม

- ส่งเสริมการทำเกษตรแบบ “ผลผลิตเพิ่ม (คุณภาพ ปริมาณ) ต้นทุนลด (ทำเอง/ซื้อ เทคนิค เทคโนฯ) อนาคตดี (พันธะสัญญา)” อย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยให้ “เงิน/พัสดุภัณฑ์” เป็นรางวัล

- ไม่ห้าม/ไม่ส่งเสริม เกษตรเคมี (ปุ๋ยเคมี สารเคมี) อย่างออกนอกหน้า แต่ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ (ปุ๋ยอินทรีย์ สารสมุนไพร ไอพีเอ็ม) อย่างสมบูรณ์แบบ ครบวงจร เป็นรูปธรรม .... รัฐบาลเจรจาประเทศจำหน่าย ปุ๋ยเคมี/สารเคมี ให้รับซื้อสินค้าเกษตรไทยในราคาแพงขึ้น

- ส่งเสริม ราชการ/เอกชน ขุดลอกพื้นดินก้น ห้วย/คลอง/บึง/ห้วย เพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำ ดินที่ขุดลอกไปนี้เป็แบบให้ฟรี

- ส่งเสริมให้สูบบาดาลไต้ คลอง/หนอง/บึง ขึ้นมาเติมน้ำใน ห้วย/คลอง/หนอง/บึง นั้น
- ส่งเสริมโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า จากแหล่งน้ำขนาดใหญ่ (ตัวอย่างริมแม่โขง) สูบน้ำส่งไปจุดพักน้ำแก้มลิง จากแก้มลิง 1 ต่อไปแก้มลิง 2 - 3 ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั่วประเทศ

108. ประสบการณ์ตรงสารสมุนไพร :
1. ตัวยา ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืชที่แท้จริง คือ กลิ่น-รส-ฤทธิ์
2. วิธีเลือกสมุนไพรที่ดีที่สุด คือ ใช้มากๆ ๆๆ อย่าง ดีกว่าน้อยอย่าง
3. วิธีทำที่ดีที่สุด คือ แช่ในน้ำร้อน
4. สารเร่งให้ตัวยาออกมาเร็ว คือ แอลกอฮอร์ และน้ำส้มสายชู
5. วิธีใช้ที่ดีที่สุด คือ กันก่อนแก้ และฉีดพ่นบ่อยๆ
6. สู้กับศัตรูพืชโดย บำรุงต้นให้สมบูรณ์เป็นภูมิต้านทาน และใช้การป้องกันแบบผสมผสาน
7. ใช้กับดัก กาวเหนียว/แสงไฟ/กลิ่นล่อ ช่วยกำจัด และช่วยให้รู้ล่วงหน้า
8. ไม่มีพืชใดในโลกนี้ ไม่มีศัตรูพืชประจำตระกูล หรือเผ่าพันธุ์
9. ไม่มี ยาสมุนไพร และยาเคมีใดในโลกนี้ ช่วยให้พืชที่ถูกทำลายไปแล้ว ฟื้นคืนดีอย่างเดิมได้
10. สมการยาสมุนไพร
ยาถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล,
ยาผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล,
ยาถูก + ใช้ถูก = ได้ผล

109. ไม่ขายทหาร (1) :
เมื่อพลทหารณรงค์ ลิ้มชุณหนุกูล จบจากการฝึกเบื้องต้น ศูนย์ฝึกทหารใหม่ เป็นพลทหารประจำการสมบูรณ์แบบ ขึ้นสังกัดกองร้อยที่ 1 ปตอ.2 พัน.4 โดยลุงคิม ยศร้อยโท เป็น รอง ผบ.ร้อย.... ที่ บก.ร้อย วันนั้น พลทหารณรงค์ฯ เข้ามาหา....

พลฯ ณรงค์ : รองฯ ครับ ผมอยากกลับไปอยู่บ้านครับ
รอง ผบ.ร้อย : กลับไปอยู่บ้าน กลับไปได้ไง ในเมื่อมาเป็นทหารก็ต้องอยู่ที่กองร้อยไม่ใช่เหรอ ?

พลฯ ณรงค์ : ใช่ครับ แต่ผมขอสมัครใจเป็นทหารรับใช้รองฯ ผมจะกลับไปอยู่บ้าน แล้วให้รองฯ รับเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนผมทั้งหมดเลยครับ
รอง ผบ.ร้อย : อ๋ออออ เข้าใจละ นี่เขาเรียกว่า “ขายทหาร” โว้ย คืองี้ อย่างมึงนี่ถือว่ายังเหลือเวลาเป็นทหารเกณฑ์อีก 2 ปีเต็ม มึงต้องจ่ายเงินสด 2 หมื่น แล้วให้เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนของมึงทุกเดือน จนกว่าจะปลดประจำการ ไม่ใช่เหรอ ?

พลฯ ณรงค์ : ใช่ครับ ผมรู้ครับ
รอง ผบ.ร้อย : มึงรู้มาจากไหน ?

พลฯ ณรงค์ : ลูกพี่ลูกน้องกันบอก เขาทำมาแล้วครับ.... รองฯ ตกลงไหมครับ ?
รอง ผบ.ร้อย : มึงกลับไปบ้าน กลับไปทำอะไร ทำไมไม่หาประสบการณ์ชีวิตทหารบ้าง

พลฯ ณรงค์ : ผมมีงานสำคัญครับ
รอง ผบ.ร้อย : งานสำคัญ งานอะไร ? ความลับไหม ? บอกได้ไหม ?

พลฯ ณรงค์ : ไม่ใช่ความลับหรอกครับ คือว่า บ้านผมเป็นสำนักพิมพ์ ทำหนังสือวารสารขาย พี่ชายผมโดนคดีล้มละลาย ผมจะไปตามทวงหนี้ตามเอเย่นต์ร้านขายหนังสือทั่วประเทศให้พี่ชายครับ

รอง ผบ.ร้อย : (อืมมม คิด... เพื่อตัวเอง ขึ้นชื่อว่าเงิน ใครๆ ก็อยากได้ ขายทหาร ขายทหาร ที่นายทหารสัญญาบัตรหลายคนทำ ทุกคนอยู่สบายดี กับ ไม่ขายทหารเพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาติทหาร เอาอย่างไหน) .... เรื่องนี้ ด่วนไหม ?

พลฯ ณรงค์ : ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ เพราะเอเย่นต์ไม่ได้ส่งเงินมาร่วม 3 เดือนแล้วครับ
รอง ผบ.ร้อย : พ่อแม่พี่น้องว่าไงบ้าง ?

พลฯ ณรงค์ : ทุกคนฝากอนาคตครอบครัวไว้กับรองฯ คนเดียวครับ
รอง ผบ.ร้อย : ยังงั้นเชียวเหรอ ?

พลฯ ณรงค์ : จริงๆ ครับรองฯ ให้พี่ชายผมมาช่วยพูด เอาเงินมาจ่ายด้วยก็ได้ครับ
รอง ผบ.ร้อย : อย่าเพิ่ง อย่าใจร้อน นี่เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวที่โรงเลี้ยงก่อน กลับมาแล้วมาคุยกันใหม่

พลฯ ณรงค์ : ครับ

เกือบบ่าย 3 โมงของวันนั้น ลุงคิมกลับมาที่โต๊ะทำงาน เห็นพลทหารณรงค์ฯ รออยู่หน้าห้องจึงเรียกให้เข้าไปคุยต่อในห้องรอง ผบ.ร้อย

รอง ผบ.ร้อย : (พูดช้าๆ ชัดๆ เสียไม่ดังนัก)... รงค์ฯ กูคิดได้แล้ว กูจะให้โอกาสมีงกลับไปกู้ฐานะให้ครอบครัว เงินสด 2 หมื่นไม่ต้องมาจ่าย เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนประจำเดือนเป็นเบี้ยเลี้ยงบุคคล รับเต็มๆ ไม่หักค่าอาหารทุกเดือน อันนี้มึงต้องมารับเอง รับแล้วเอาไปเลยกับต้องมารายงานด้วยว่า แต่ละเดือน ไปทำอะไรที่ไหน ? สำเร็จหรือไม่สำเร็จแค่ไหน ? อย่างไร ? ด้วย
พลฯ ณรงค์ : รองฯ ครับ ผมอยากให้เงินรองฯ ทั้งเงินก้อน เงินเบี้ยเลี้ยง ส่วนที่จะให้ผมมารายงานตัวทุกเดือนนั้น ผมมาได้ครับ

รอง ผบ.ร้อย : อืมมม บอกไม่เอาก็ไม่เอาซิวะ
พลฯ ณรงค์ : รองฯ ครับ.....

รอง ผบ.ร้อย : เอาละ ไม่ต้องพูดมาก เดี๋ยวกูจะบอก ผบ.ร้อย แล้วก็จะให้จ่ากองร้อยดำเนินการ
พลฯ ณรงค์ : ครับ ขอบคุณครับ...


110. กำเนิด KIM ZA GASS :
หลังอนุมัติพลทหารณรงค์ ลิ้มชุณหนุกูล เป็นทหารประจำตัวแล้ว ราว 1 เดือน ลุงคิม รอง ผบ.ร้อย ไปที่สำนักพิมพ์ชุณหสาส์น วารสารสมภูมิ ที่นั่นญาติพี่น้องของพลทหารณรงค์ฯ พร้อมหน้ากันมาต้อนรับ ด้วยสีหน้าแววตาน้ำเสียงบ่งบอกถึงความ “ขอบคุณ” อย่างจริงใจ ชัดเจน แสดงว่า ภารกิจที่เราทำแก่เขานั้นถูกต้องและพอใจ

ที่ห้องรับแขก ลุงคิมได้รับเกียรติให้เป็นไข่แดงนั่งหัวโต๊ะ บนโต๊ะมีวารสารของสำหนักพิมพ์ อาทิ สมรภูมิ, เทคนิคแต่งรถ, รวมแพทย์, การ์ตูน, พ็อคเก็ตบุ๊ค, รอบโต๊ะมีคุณชาญ ลิ้มชุณหนุกูล ผู้จัดการใหญ่ (พี่ใหญ่ของบริษัท), คุณสมพงษ์ นนท์อาสา หน.บรรณาธิการ, ผช.บรรณาธิการ, นักข่าว กับคนที่เกี่ยวข้อง 3-4-5 คน ยกเว้นพลทหารณรงค์ฯ เพราะไปทำงาน ตจว. ด้วยบรรยากาศอบอุ่น เชื่อมั่น

ผจก. : ณรงค์ฯ บอกว่า ผู้หมวดเคยไปรบที่สงครามเกาหลีมาแล้ว
รอง ฯ : อ๋อออ เคยไปเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นนายสิบ ยศสิบโท

ผจก. : สงครามเกาหลี รบหนักไหมครับ ?
รอง ฯ : ตอนที่รุ่นผมไปนี่เขาหยุดรบแล้ว แต่รุ่นก่อนๆละก็หนักแน่ กองร้อยทหารไทย กองร้อยทหารอเมริกา กองร้อยทหารเกาหลี ละลายตายกันทั้งกองร้อยก็เคย

ผจก. : ขนาดนั่นเชียวเหรอ ?
รอง ฯ : ครับ อย่างกองร้อยทหารไทยที่พ็อคช็อป 1 กองร้อย 120 คน เจอทหารเกาหลีเหนือ 1 กองพัน 1,200 คน แลกชีวิตกัน 1 ต่อ 1 แล้วเราจะเหลืออะไร

ผจก. : โอ้โฮ ! เห็นภาพเลยผู้หมวด
รอง ฯ : แม้แต่กองร้อยทหารอเมริกัน รถถัง 50 คัน โดนทหารเกาหลีเหนือ สนธิกำลังกับทหารจีนแผ่นดินใหญ่ 3,000 คน รถถัง 200 คัน ปืนใหญ่ 2 ฐาน 24 กระบอก ขนาดอเมริกันใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีฐานปืนใหญ่ ฐานรถถัง ก็ยังคุ้มกันพวกตัวเองไม่ได้ ลงท้ายทหารอเมริกันตายละลายทั้งกองร้อย ไม่
เหลือแม้แต่คนเดียว

ผจก. : อื้อฮือ ! ขนาดนี้เชียวเหรอ ?
รอง ฯ : ทหารไทยที่หมู่บ้านอารีดัง ที่เพลงไทยคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ร้อง โอ้อารีดัง ก่อนยังเคยชื่นบาน ทุกคืนวันรื่นรมย์สมใจ .... อยู่มาไม่นานก็มีทหารไทย มิตรเมืองไกลต่างแดน แคว้นฉันอยู่ เขามาเพื่อชาติเพื่อริราชศัตรู .... อะไรประมาณนี้ ที่นั่นทหารไปไปช่วยพัฒนาหมู่บ้าน ป้องกันเกาหลีเหนือคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกแซง ที่หมู่บ้านนี้สร้างความประทับใจระหว่างคนเกาหลีกับทหารไทย ประ เทศไทยเป็นอย่างมาก

ผจก. : สมัยนั้นมีทหารจากประเทศอื่นไปรบด้วยไหมครับ ?
รอง ฯ : มีครับ เท่าที่เคยเห็นหน้ากันก็มี อังกฤษ ฟิลิปปินส์ แคนนา ออสเตรเลีย เอธิโอเปีย …. อังกฤษนี่ไม่ใช้กำลังทหารของตัวเองโดยตรง แต่ใช้กำลังทหารอาสาสมัครจากประเทศเนปาล อาณานิคมเก่า พวกนี้ถือว่าเป็นทหารอังกฤษ กินเงินเดือนอังกฤษ เป็นหน่วยกล้าตาย ทำตามคำสั่งของผู้บังคับ
บัญชาที่เป็นทหารอังกฤษโดยเฉพาะเท่านั้น

ผจก. : ตอนนั้นเกาหลีเหนือบุกเกาหลีไต้ บุกได้ไกลแค่ไหน หมายถึง ยึดเกาหลีไต้ได้ไหม ?
รอง ฯ : เกือบได้นะ ขนาดเกาหลีเหนือบุกถึงชานกรุงโซล เมืองหลวงเลยแหละ ตอนนั้นแม็คอาร์เธอร์ นายพล 4 ดาว ผบ.ทหารอเมริกัน ส่งทหารจากทะเลขึ้นบกเกาหลีเหนือ เหนือเส้นขนาน 38 เส้นแบ่งเขตเกาหลีเหนือเกาหลีไต้ วางแผนตัดพื้นที่ขวางประเทศเกาหลีเหนือเกาหลีไต้ แล้วระดมกำลังทั้งทางบก ทางอากาศ ป้องกันกำลังเสริมจากจีน กับปล่อยเดี่ยวทหารเกาหลีเหนือที่ยังอยู่ในเกาหลีไต้

ผจก. : ได้ผลไหมครับ ?
รอง ฯ : จะว่าได้ผลก็ได้ผลนะ เพราะเกาหลีเหนือถอนกำลังกลับกันหมด ที่จริงตอนนั้น แม็คอาร์เธอร์เสนอแผนใช้ระเบิดปรมณูโจมตีเกาหลีเหนือแบบโจมตีญี่ปุ่นที่ฮิโรชิมา นางาซากิ ด้วย แต่ประธานา ธิบดีไม่อนุมัติ แถมปลดนายพลแม็คอาร์เธอร์ แล้วเรียกกลับประเทศด้วยซ้ำ

ผจก. : อันนี้เพิ่งรู้ว่านายพลแม็คอาร์เธอร์มีแผนนี้
รอง ฯ : แม็คอาณ์เธอร์นี่ ไม่ใช่มีประวัติผลงานการรบแค่ที่เกาหลีประเทศเดียวนะ ที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่เบาเหมือนกัน ที่ฟิลิปปินส์นั่นรบกับญี่ปุ่น

คุณสมพงษ์ นนท์อาสา นิ่งฟังอยู่นาน พลันวิญญาณคนหนุ่ม ตำแหน่งบรรณาธิการวารสารสมรภูมิ ถามขึ้นมา

บก. : สมัยผู้หมวด ตอนนั้นมีประวัติการสู้รบแบบจังๆ เลยไหมครับ ?
รอง ฯ : สมัยผม รุ่นผม กองร้อยอิสระ (เกาหลี) ผลัด 19 มันยุติการรบแล้ว การรบจริงๆ ชนิดเลือดอาบสนามรบเลยน่ะ ประมาณผลัดที่ 4 หรือผลัดที่ 5 หลังจากนั้นมาเป็นแค่ตรึงกำลังกันธรรมดาๆ ระหว่างทหารสหประชาชาติ ฝ่ายโลกเสรี กับทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ เท่านั้น

บก. : ผู้หมวดมีข้อมูลการรบเป็นจุดๆ หรือเป็นฉากๆ ไหมครับ ?
รอง ฯ: ก็พอมีนะ แม้ว่าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่เรารู้เรื่องจริงจากบันทึกประวัติศาสตร์ทางทหาร ประกอบกับได้สัมผัสกับสถานที่จริงๆ อันนี้ก็พอเล่าสู่กันฟังได้

บก. : ผู้หมวดเล่ามาอีกซิครับ
รอง ฯ : เอางั้นเลยเหรอ ....ที่จริงเกาหลีนี่ไม่ใช่สนุกแต่รบอย่างเดียวนะ ที่รบก็รบกันไป ที่ไม่รบก็ไม่ต้องรบ

บก. : อ้าววว ไม่รบแล้วทำอะไรล่ะครับ ?
รอง ฯ: ก็ เมียเช่า กินเหล้า เข้าบาร์ ค้าตลาดมืด ซีครับ

ผจก. : โอ้โฮ น่าสนใจทั้งนั้นเลย
วันนั้นคุยกันถึงเที่ยง คุยกันแบบไม่พักเวลา มื้อเที่ยงกินก๋วยเตี๋ยวบนโต๊ะที่คุยกันนั้น บางครั้งเล่าเรื่องทั้งๆที่ยังเคี้ยวลูกชิ้นอยู่ในปาก จำได้ว่าเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับสงครามเกาหลีกว่า 10เรื่อง 10ตอน 10ฉาก สมควรเวลาจึงขอตัวลากลับ ....กลับมาแล้ 3-4 วัน ผจก. ขอเชิญไปที่บริษัทอีกครั้ง มีเรื่องสำคัญขอคุยด้วย

ผจก. : ผู้หมวดครับ ที่เราคุยกันเมื่อวันก่อน คุณสมพงษฯ อัดเทปไว้ คิดว่าจะถอดเทปเอามาพิมพ์ลงในวารสารสมรภูมิ เรื่อง สงครามเกาหลี แต่ถอดเป็นข้อความออมาแล้วเนื้อเรื่องไม่ต่อกัน บางทีโดดไปโดดมา คนถอดเทปจับจุดไม่ถูก ทาง บก.อยากให้ผู้หมวดถอดข้อความในเทป หรือเขียนขึ้นมาใหม่เลย เป็นตอนๆ เอาลงวารสาร อันนี้ทางเรามีค่าเหนื่อยเป็นค่าเขียนให้ด้วยนะครับ
รอง ฯ : (ได้ยินคำว่า “ค่าเหนื่อย” เท่านั้น กำลังใจทันที) ได้ครับ จะลองดู ขอเวลาซักระยะหนึ่งก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน ดีหรือไม่ดีก็ยังไม่รู้

ผจก. : ไม่รีบร้อนครับผู้หมวด
รอง ฯ: (มองหน้า บก.) .... มีคำแนะนำไหมครับ คุณ บก.

บก. : ผมคิดว่า ผู้หมวดทำได้ครับ เท่าที่ฟังลีลาเรื่องราวแล้ว ใช้ได้เลยครับ
รอง ฯ : เอาวะ คุณสมพงษ์ฯ คุณชาญฯ จะลองดู ไม่ลองไม่รู้ ว่ามั้ย
ราว 2 อาทิตย์ ย้อนกลับไปสำนักพิมพ์อีกครั้ง พร้อมกับเปเปอร์ถอดข้อความ “สงครามเกาหลี” 4 ตอน ตอนละ 5 หน้าพิมพ์ กระดาษเอ.4 ยื่นให้บรรณาธิการ ประมาณ 15 นาที คุณสมพงษ์ฯ แค่อ่านตอนแรกจบ กับทั้งๆที่อีก 3 ตอนยังไม่ได้อ่าน ยิ้มกว้าง ให้คำตอบ

บก. : ใช่เลยครับผู้หมวด
รอง ฯ : หา.... ยั่งงี้น่ะเหรอ ที่วารสารต้องการ ?

ผจก. : ใช่ครับ สนุกครับ ทุกตอนเห็นภาพ.....ผู้หมวดครับ ขอนามปากกา ด้วยครับ
รอง ฯ : (คิด....นามปาก นามปาก)... ก็ได้ งั้นเอาชื่อ “คิม ซา กัสส์” ก็แล้วกัน

บก. : ได้ครับ ชื่อนี้มีที่มา หรือมีความหมายเฉพาะไหมครับ
รอง ฯ : ชื่อนี้เป็นชื่อนักร้องผู้ชายเกาหลี สุรพล สมบัติเจริญ เคยเอาทำนองเพลงของเขามาแปลเป็นภาษาไทยร้อง จำชื่อเพลงไม่ได้ แต่ชื่อนี้ทหารไทยที่เคยไปรบเกาหลี รู้จัดดี

บก. : ได้ครับ ดีครับ เห็นด้วยครับ
รอง ฯ : เฮ่ ! สมพงษ์ .... นี่ผมเป็นนักเขียนแล้ว นามปากกา คิม ซา กัสส์ ........ เย่ !

111. ไม่เป็น พ.อ. :
ครองยศพันโท (พ.ท.) ตำแหน่งนายทหารประชาสัมพันธ์ (น.ปชส.) สังกัดกองกิจการพลเรือน (กกร.) หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก (นปอ.ทบ.) เต็มขั้นแล้วยังเหลือเวลารับราชการอีกกว่า 10 ปี จึงเกษียณ

เวลาอายุรับราชการที่เหลือ หากยังรับราชการอยู่ เงินเดือนไม่ขึ้น ยศไม่ขึ้น เรียกว่า “ขั้นทะลุ” ได้ก็แค่อายุวันรับราชการเอาไปคิดบำเหน็จบำนาญเท่านั้น บางคนจึงลาออก เอาบำเหน็จบำนาญ กับเอาเวลาชีวิตไปประกอบอาชีพอิสระ

กับคนที่ “ขั้นทะลุ” แล้วไม่ลาออกแต่อยู่ต่อเพราะ เพื่อศักดิ์ศรี ไม่มีอาชีพอิสระ มีอาชีพเสริม .... กรณี พ.ท.คิม ซา กัสส์ ไม่ลาออกเพราะ ได้ทำงานตามตำแหน่งทางราชการ (น.ปชส.) และมีรายได้จากงานที่ทำ (รายการวิทยุ) นั้น

ทำรายการวิทยุ หน่วยมีรายได้จากค่าเวลาสถานีวิทยุ (สปอนเซอร์ จ่าย) ผู้ดำเนินรายการได้ค่าตัว (สปอนเซอร์ จ่าย) .... สรุป : ได้ทั้งเงิน ทั้งกล่อง

กำลังพลที่กำเนิดมาจากนักเรียนนายสิบ (นนส.) ในหน่วยกำลังรบหลักสามารถครองยศได้ถึงพันเอก (พ.อ.) เพียง 2 ตำแหน่ง คือ นายทหารสารบรรณ กับนายทหารฝ่ายปลัดบัญชี เท่านั้น ซึ่งทั้งสองตำแหน่งนี้ต้องมีประสบการณ์ในการทำงานมาตั้งแต่เป็นนายสิบ นั่นหมายความว่า พ.ท.คิม ซา กัสส์. หมดโอกาสที่จะได้ยศพันเอกจากหน่วยนี้ ....

หากต้องการไต่ยศขึ้นไปเป็นพันเอกก็ต้องย้ายไปอยู่หน่วยสนับสนุนการรบ หรือหน่วยบริการช่วยรบ นั่นคือ ย้ายตัวเองไปอยู่ กองบัญชาการทหารสูงสุด (บก.ทหารสูงสุด) หรือกระทรวงกลาโหม (กห.) เท่านั้น

ตอนนั้นเพื่อนนายทหารที่ไต่ชั้นยศตั้งแต่นายสิบจนขึ้นเป็นร้อยตรีพร้อมกันแล้วย้ายไปอยู่หน่วยอื่นกระทั่งได้ยศพันตรี จากนั้นขอย้ายตัวเองไปอยู่กองบัญชาการทหารสูงสุดกระทั่งได้ยศ พ.ท. ...ในขณะที่ คิม ซา กัสส์ อยู่หน่วยเดิม ที่ตั้งเดิม ไต่ชั้นยศจนถึงพันโทได้เหมือนกัน

โอกาสชีวิตทหารยังมี เมื่อครั้ง พล.อ.สำเภา ชูศรี เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ได้พบกับอดีตเพื่อนนายทหารนั้น ด้วยความที่รู้ว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน กับด้วยความรักและความผูกพันที่เคยร่วมงานกัน ผบ.ทหารสูงสุด ถามถึง คิม ซา กัสส์ ชวนไปอยู่ บก.ทหารสูงสุด แล้วจะได้ยศพันเอก.

คิม ซา กัสส์ คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ .... ย้ายไปอยู่ บก.สูงสุด ได้เป็น พ.อ. ตำแหน่งอะไรก็ว่าไป แต่ที่ใหม่ไม่มีงาน “วิทยุ” ให้ทำ งานนี้จึงเท่ากับ “มีแต่ยศไม่มีจะยัด ไม่ได้ยัดแล้วยึกยัก พวกนี้....แย่”

เป็นพันเอก ได้เงินเดือนเพิ่มเดือนละ 500 แน่นอน .... เป็นพันโท อยู่หน่วยเดิม ตำแหน่งเดิม เงินเดือนเท่าเดิม แต่ได้เงินจากจัดรายการวิทยุ .... มหาศาลลลล :


112. ไปราชการพิเศษ พัน.นนส. :
ยามนั้นยศร้อยโท ทำหน้าที่ รอง หน.ศูนย์ฝึกทหารใหม่ ปตอ.พัน.4 …. ตำแหน่ง รองหน.ศูนย์ฯ แต่งานที่ทำจริงๆเป็น หน.ศูนย์ฯ .... ตำแหน่งเป็น หน.ไม่ได้เพราะตัวเองกำเนิดมาจาก รร.นนส.

ขณะตรวจการฝึกทหารใหม่ในสนามอยู่นั้น พ.ต.ธนวัฒน์ ชั้นบุญ นายทหารยุทธการและการฝึก (ฝอ.3) ปตอ.พัน.4 เดินคู่กับนายทหารจากต่างหน่วย ท่าทางสนิมสนมกัน ตรงรี่เข้ามาหา

ฝอ. 3 : (ทักทายเรียกชื่อจริง) เฮ่ย นี่ พ.ท.วันชัยฯ เสธ. (เสนาธิการ) กรมนักเรียน จาก รร.ป. (โรงเรียนทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน ลพบุรี)
รท.คิมฯ : (ชิดเท้าดังเป๊ะ วันทยหัตถ์ ทำเคารพแข็งแรง ทั้ง 2 ท่าน) ครับ

ฝอ. 3 : งานเข้าว่ะ ตอนนี้ รร.ป.ขยายหลักสูตรฝึกนักเรียนนายสิบเพิ่มเป็น 9 กองร้อย ต้องขอยืมตัวนายทหารเหล่า ป. จากทั่วประเทศ 18 คน ตอนนี้ได้แล้ว 17 คน หน่วยเขาส่งมาเอง
รท.คิมฯ : ครับ

ฝอ. 3 : ที่เหลืออีก 1 คน เสธ.กรมนักเรียน ท่านเจาะจงเอามึงว่ะ ขนาดลงทุนมาขอตัวด้วยตัวเองเลยนะมึง
รท.คิมฯ : (ยิ้มจืดๆ เสียงแผ่วๆ) ครับ

ฝอ. 3 : นี่เพราะฝีมือการฝึกของมึงนี่แหละ กิติศัพท์ไปไกลว่ะ
รท.คิมฯ : (ก็ยังไม่เข้าใจ) ครับ

ฝอ. 3 : ขัดข้องไหม .... วันจันทร์หน้ารายงานตัวที่หน่วยใหม่เลยนะ
รท.คิมฯ : ขออนุญาติครับ ช่วยราชการงานนี้ไปนานไหมครับ ?

ฝอ. 3 : อันนี้ต้องถามหน่วยใหม่เอาเองว่ะ
รท.คิมฯ : (มองหน้า เสธ.กรมนักเรียน) ครับ....

เสธ.กรมฯ : (เสธ.ชิงตอบ) หลักสูตรเร่งรัด โครงการจริงๆ 4 รุ่น ๆละ 6 เดือน รวม 2 ปีนะ
รท.คิมฯ : ครับ

เสธ.กรมฯ : (ยิ้มนำ แล้วถาม) ขัดข้องไหม ?
รท.คิมฯ : ไม่ขัดข้องครับ

เสธ.กรมฯ : ภารกิจนี้มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษด้วยนะ หรือจะย้ายขาดไปอยู่ กรมนักเรียนก็ได้นะ ที่นั่นตำแหน่งไกล อย่างคุณนี่ต่อไปถึง พันตรี. พันโท. สบายเลย
รท.คิมฯ : ขอบคุณครับ

ฝอ.3 : เอาวะ งานนี้เดี๋ยวกูบอกผู้พันเอง
รท.คิมฯ : ครับ ขอบคุณครับ


113. นนส.ป. สวนสนาม ลพบุรี :
ทหาร กทม.สวนสนามที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พื้นลานพระรูปเป็นคอนกรีต ทหารสวนสนามติดเกือกม้าที่พื้นรองเท้าคอมแบ็ท เวลาเดินตบเท้าจึงมีเสียงดัง สร้างความสนใจต่อประชาชนที่ชมอยู่

ทหารลพบุรี สวนสนามที่สนมแข่งม้า พื้นสนามเป็นดิน มีหญ้าคลุม ทหารเดินสวนสนามจึงไม่มีเสียงตบเท้าเรียกความสนใจ แต่ทหารที่ลพบุรีก็ยังตบเท้าแรงๆ แม้ไม่มีเสียงแต่มีความเข้มแข็งเป็นจุดโชว์

แต่นักเรียนนายสิบต้องทั้งสร้างความเข้มแข้ง และความน่าสนใจอยางอื่น นั่นคือ ให้ทหาร 20 คนแถวกลาง (ปกติแถวสวนสนาม ตอนเรียง 12 กว้าง 12 คน ลึก 12 คน) ใช้เท้างัดฝุ่นให้ปลิวฟุ้งขึ้นมา แล้วให้ทหารที่เหลือทั้งหมด ตบเท้าตบฝุ่น ตบให้แรงที่สุด ปรากฏว่าเกิดมีฝุ่นฟุ้งออกมาข้างแถวทหารยาวตลอดเส้นทางที่เดินสนามผ่าน เหมือนดาวหาง ตั้งแต่เริ่มเดินก้าวแรกจนเสร็จสิ้นรอบสนามม้า

ประชาชนที่ชมการเดินสวนสนามติดข้างทางเดินต้องถอยหนีฝุ่นตลอดทั้งแถว ประธานพิธีบนเวทีรับการเคารพต้องทนยืนกินฝุ่นเพราะไม่อาจลงจากเวทีได้

งานนั้นสร้างเสียงฮือฮา ทั้งทหารที่สวนสนามด้วยกัน และประชาชนผู้ศรัทธาทหาร กองพันนักเรียนนายสิบทหารปืนใหญ่สวนสนามเข้มแข็ง แข็งแรงที่สุด

114. ไปราชการลับพิเศษ :
อาชีพทหารของไทยที่ถือว่าประสบความสำเร็จ หาใช่เพราะ “ยศขึ้น” อย่างเดียว การได้ไปราชการพิเศษ (ปกติ รบ) ทุกสาขาก็ถือเป็น “ดีกรี” เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ให้ความเป็นทหารเข้มข้นขึ้น

ทหารอเมริกันไปรบต่างประเทศตามคำสั่ง ต้องไปพร้อมกันทุกคนทั้งหน่วย หน่วยไหนมีคำสั่งให้ไปที่ไหนต้องไปที่นั่น เลือกไม่ได้ เพราะอเมริกัน คือ ตำรวจโลก ยุคนั้นประเทศที่ทหารอเมริกันต้องการไปมากที่สุดตามลำดับ คือ เยอรมัน ญี่ปุ่น ไทย ลาว เวียดนาม ทหารอเมริกันไปรบเยอรมัน ร้องว้าว ! พอใจ แต่ไปเวียดนามร้องเฮลล์ ! นรก บอกตายลูกเดียว

ทหารไทย กองทัพไทย ต้องการไปราชการพิเศษ (รบ-ไม่รบ) ต่างประเทศ ในประเทศ ต้องวิ่งเต้นเล่นเส้น ถึงจะต่างหน่วยต่างเหล่าก็ไปได้ ถ้า ผบ.หน่วยต้นสังกัดอนุมัติ

เวลา 7 โมงเช้ากว่านิดหน่อย ลุงคิมออกจากบ้านพัก แฟลต ปตอ. จะไปทำงานปกติที่กองร้อย บนเส้นทางนี้ต้องผ่านบ้านพักนายทหารชั้นผู้ใหญ่ บ้าน พล.อ.จุทัย แสงทวีป ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) รับผิดชอบงานข่าวลับด้านประเทศลาว ภายไต้การสนับสนุนของ CIA ภารกิจ “ต่อต้าน/บ่อนทำลาย/จารกรรม/วินาศกรรม/โจรกรรม” ต่อคอมมูนิสต์

พล.อ. : (ยืนอยู่ระเบียงบ้าน กำลังแปรงฟัน แปรงสีฟันอยู่ในปาก) .... อื้ยๆ อั้ยๆ อู้ๆ อ้าๆ ?
ลุงคิม : (หยุด ทำความเคารพ วันทยหัตถ์) .... ครับ

พล.อ. : โอ้ๆ เอ้อๆ เอ๊ะๆ อ๊ะๆ
ลุงคิม : (ก็ยังไม่รู้เรื่อง) .... ครับ

พล.อ. : (พยักหน้าเข้าใจ) .... เอ้อๆ เอ้าๆ
ลุงคิม : (มือลงจากท่าวันทยหัตถ์) .... ครับ

ออกเดินต่อจนถึงกองร้อย ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า ผบ.ศปก.ทบ สั่งการว่าอะไร กระทั่งบ่ายวันรุ่งขึ้น เสธ.พล.ปตอ. เรียกพบ

เสธ. : คุณวิ่งเต้นไปราชการพิเศษ ศปก.ทบ. เหรอ ?
ลุงคิม : ศปก. ศปก.ทบ. คืออะไรครับ

เสธ. : (อ่านกระดาษโน้ต) นี่ไง ผบ.ศปก.ทบ.309 พล.อ.จุทัย แสงทวีป ท่านฝากโน้ตมา ถึง ผบ.พล.ปตอ. แล้ว ผบ.พล. ให้ผมดำเนินการ งานนี้เขาขอตัวคุณไปราชการพิเศษ
ลุงคิม : (คิด ทบทวนความจำ แล้วเล่าเรื่องความเป็นมา) .... ผมเข้าใจแล้วครับ เสธ. เช้าวันก่อนผมผ่านหน้าบ้าน ผอ.ศปก.ทบ. ท่านกำลังแปรงฟังอยู่พอดี ท่านกวักเมืองเรียกผม แล้วท่านก็พูด ทั้งๆที่แปรงสีฟันยังอยู่ในปาก ท่านคงพูดเรื่องนี้ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องแล้วก็ไม่ได้ถามซ้ำท่านอีก ก็เท่านี้แหละครับ

เสธ. : (อึ้ง เงียบ) .... เรื่องมันง่ายขนาดนี้เชียวหรือวะ แล้วคุณรู้เรื่องไหมว่าหน่วย ศปก.ทบ. 309 เขาทำอะไรกันบ้าง
ลุงคิม : ไม่เคยทราบเลยครับ ขนาดชื่อหน่วย ก็เพิ่งทราบนี่แหละครับ

เสธ. : เป็นหน่วยข่าวลับ ภารกิจงานด้านลาว ไปทำงานที่นี้แล้วจะได้สิทธิ์พิเศษหลายอย่าง ได้ พ.ส.ร. (เงินเพิ่มพิเศษจากการสู้รบ) ด้วย ....คุณอยากไปไหม ?
ลุงคิม : (ยิ้ม ดีใจ ใจเต้นตุ้บๆ ๆๆ) .... ไปครับ ผบ.พล.ท่านจะอนุมัติไหมครับ ?

เสธ. : มันอยู่ที่ผม จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ คุณนี่โชคดี หรือฝีมือดีวะ ? คงต้องอนุมัติแหละนะ ระดับกองทัพบกระบุตัวมาแบบนี้ ขัดไม่ได้หรอก... ถามหน่อย คุณรู้จัก ผบ.ศปก.ทบ. เป็นการส่วนตัวไหม ?
ลุงคิม : ไม่รู้จักเลยครับ

เสธ. : เอ้... แล้วท่านรู้จักคุณได้ไง ผมละงง เอาละ คุณไปบอกผู้การกรมของคุณให้ท่านรู้เรื่อง พรุ่งนี้คุณไปรายงานตัวได้เลย แล้วคำสั่งส่งตัวจะตามไปทีหลัง อันนี้ ผบ.ศปก.ทบ. ท่านสั่งตรงมา
ลุงคิม : ครับ

115. เผาเมืองปากซัน :
เมืองปากซัน แขวงบริคันไช ตรงข้ามฝั่งโขงกับ อ.บึงกาฬ ประเทศไทย ที่ อ.บึงกาฬ บก.ข่าวลับ ตั้งอยู่ที่บ้านคุ้มเหนือ ต.บึงกาฬ จ.หนองคาย

ด้วยภารกิจ “ต่อต้าน/บ่อนทำลาย/จารกรรม/วินาศกรรม/โจรกรรม” กำลังจะเริ่มขึ้นเมื่อ “ท้าวคำเกิด สีอินปัน” (คิม ซา กัสส์) หน.หน่วยข่าว เรียก สมช. ปะติกานลาวกู้ชาติ ระดับแนวหน้า 4 คน ที่ศูนย์อพยพคนลาว จ.หนองคาย เข้ามารับคำสั่ง

ท้าวคำเกิด : 4 คนมาครบแล้ว อเมริกามอบหมายมาให้โจมตีเมืองปากซัน พร้อมกับเมืองอื่นๆ อีก 12 เมือง ทั่วประเทศลาว .... ใครไม่พร้อมบ้าง ?
ท้าวบุนโฮม : เริ่มเมื่อไหร่ครับหัวหน้า

ท้าวคำเกิด : เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อาวุธ เงิน พร้อมแล้ว
ท้าวแสงโน : มื้อหน้าเลยหัวหน้า

ท้าวคำเกิด : คนอื่นว่าไง
ท้าวบุนตา : พร้อมครับ

ท้าวคำเกิด : คนอื่น
ท้าวสอนดี : อาวุธพร้อม เงินพร้อม คนก็พร้อม

ท้าวคำเกิด : O.K. ท้าวบุนโฮม เป็นหัวหน้า เอาระเบิด ทีเอ็นที. ระเบิด ซีโฟร์. ชนวน. นาฬิกา. สายไฟ. อันนี้สำหรับเผาหอประชุม ศาลากลางเมืองปากซัน วาง 4 จุด 4 ด้าน ตั้งชนวนถ่วงเวลาให้ระเบิดทำงานตอน 6 ทุ่มตรง …. หัวหน้าบุนโฮม ลูกน้องลูกมือทำไหวไหม
ท้าวบุนโฮม : (มองหน้าลูกทีม) .... ไหวครับ

ท้าวคำเกิด : ดี งานนี้ อเมริกาให้เงินค่าแรงงคนละ 2 พัน เดี๋ยวรับไปเลย
ท้าวสอนดี : จ่ายเงินงวดเดียวเลยหรือครับ

ท้าวคำเกิด : เออ แม่นแล้ว หัวหน้าสปอร์ตยังงี้ เจ้าซิสปอร์ตไหม ?
ท้าวบุนตา : สปอร์ตครับ ขอบใจหัวหน้าหลายๆ

3 วันผ่านไป เที่ยงคืนของคืนนั้น ที่บึงกาฬ ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นทางฝั่งเมืองปากซัน 2 ครั้ง กับอีก 3 วัน เสียงวิทยุแห่งประเทศลาวก็ออกข่าว จับประเด็นได้ว่า
“…. บักคำเกิด บักลาวขายซาด สบคบปะติกาน ทำการระเบิดเมืองปากซัน ตำรวจเมืองปากซันสามารถจับปะติกานได้ 4 คน พร้อมอุปกรณ์ทำระบิดครบถ้วน .... ขอให้ประชาชนจงร่วมมือกับรัฐบาลในการรักษาบ้านเมือง...”


116. ล่องโขง งมหอย :
เมื่อเสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น ผจก.นิตยสารสมรภูมิ ยกหูขึ้นรับสาย "สวัสดีครับ นิตยสาร สมรภูมิ ครับ"

"สวัสดีครับ ผมร้อยตำรวจโท..?.. สารวัตรสอบสวน สอภอโขงเจียม อุบลราชธานี ขอเรียนสายกับนักเขียนในหนังสือสมรภูมิ ที่ใช้นามปาก คิม ซา กัสส์ ด้วยครับ"

"ครับ คอยซักครู่ครับ" ผจก.สมรภูมิ เอาปิดช่องปากพูด มองหน้าคิม ซา กัสส์ ยิ้มจืดๆ เหมือนไม่แน่ใจอะไรซักอย่าง

"พี่ เขาบอกว่าเขาเป็น ร้อยตำรวจโท สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรโขงเจียม อุบล จะคุยกับพี่" ผจก.นิตยสารสมรภูมิบอก
"O.K." คิม ซา กัสส์ รับหูโทรศัพท์จากมือ ผจก.

คิม ซา กัสส์ : ฮัลโลครับ ผม คิม ซา กัสส์ พูดครับ
สารวัตร : ครับ สวัสดีครับ คิม ซา กัสส์ ผมร้อยตำรวจโท..?.. สารวัตรสอบสวน สภ.โขงเจียม อุบลราชธานี มีธุระราชการ ขอปรึกษาด้วยครับ

คิม ซา กัสส์ : (คิ้วย่น มองหน้า ผจก. เหมือนอยากปรึกษา) เชิญครับ
สารวัตร : ขอบคุณครับ ขอโทษ คิม ซา กัสส์ เป็นทหารเก่า เป็นทหารผ่านศึกด้วย ใช่ไหมครับ ?

คิม ซา กัสส์ : (นึกในใจ จะมาไม้ไหน...วะ) ครับ
สารวัตร : คือว่า ผมมีผู้ต้องหาคนหนึ่ง ผมตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่หาหลักฐานเกี่ยวกับคนตายไม่ได้เลย ผมไปค้นที่บ้านผู้ต้องหาแล้วพบว่า เขาอ่านหนังสือสมรภูมิรายสัปดาห์ กับอ่านนิยายเรื่องที่ คิม ซา กัสส์ เขียนมาก คงอ่านมานานแล้วด้วย ที่น่าสงสัยคือ เขาขีดเส้นไต้ในหนังสือที่อ่าน ตรงที่เกี่ยวกับการฆ่าคนแล้วปล่อยไปตามแม่น้ำโขง ศพลอยไปกับน้ำแล้วหายสาบสูญไปเลย ตรงนี้แหละครับ ที่ผมอยากถาม คิม ซา กัสส์ ว่า เขาทำยังไง....ขอโทษ เข้าใจคำถามไหมครับ ?

คิม ซา กัสส์ : (คิด....บุคคลในสายโทรศัพท์ขณะนี้เป็น จนท.ตำรวจจริงหรือ ถ้าเป็นจริงจะให้ความร่วมมือ บอกวิธีการให้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นสวมรอยมา ลวงถาม แล้วเราบอกไป มิเป็นการเสียจรรยาบรรณนักเขียน หรอกรึ) เอาเป็นว่า ผมไม่ทราบดีกว่านะ
สารวัตร : (สายทางสารวัตรเงียบไปชั่วครู่ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง) บอกตรงๆ ไม่ได้ บอกใบ้ก็ได้ครับ

คิม ซา กัสส์ : ก็ได้ ใช้วิธีล่องโขง กับงมหอยครับ
สารวัตร : ล่องโขง... งมหอย ....

คิม ซา กัสส์ : บอกใบ้ไง บอกได้แค่นี้แหละครับ
สารวัตร : ขอบ คุณ ครับ

เรียน สมช.เพื่อทราบ
ฆาตกรรมริมโขงละเมียดละมัย ประณีตบรรจง กว่าที่คิด ปฏิบัติการแล้วจะให้มี หรือไม่ให้มี "ศพหลักฐาน" สามารถทำได้ ง่ายกว่ากระดิกปลายนิ้ว อยากจะบอกว่า ฆาตกรรมฆ่าแล้วทิ้งแม่น้ำ 3 วันศพลอยโผล่ขึ้นให้เห็นแล้ว เห็นปุ๊บรู้ปั๊บเลยว่า ศพนั้นชื่ออะไร นั่นมันฝีมือนักฆ่าระดับเด็กๆ

เรื่องแบบนี้ การแสดงตัวว่าเป็นผู้รู้ พูดมาก พูดละเอียด เกิดมีคนเอาไปทำมันจะไม่ดี การไม่พูด ไม่บอก คือ "จรรยาบรรณ" ของ นักเขียน-นักล่าสังหาร-นักข่าวลับ คร้าบบบบบ

117. รับม้ง ภูหมาเฒ่า ภูเขาควาย :
COMMO : หัวหน้าครับ ข่าวด่วนจาก บก.ครับ
หน.ทีม : รับกระดาษเขียนข่าวจาก พนง.วิทยุประจำทีม
“ข่าวสลับสุดยอด...ด่วนที่สุด”
1. ให้ตั้ง ว. ติดต่อตรง 8302. 8308 แล้วช่วยเหลือนำทาง
2. ให้เตรียมรับ ม-63 เมื่อมาถึงฝั่งโขง แล้วช่วยข้ามมา
3. นำ ม-63 ไปส่ง ม-17 ให้เรียบร้อย
หน.ทีม : ถอดรหัสซิวะ
COMMO : ครับ.... 8320 คือ พ.ต.หวัง ไก วื, 8308 พ.ต.หว่าง เซ้ง ว่าง ม-63 คือ ม้งจากภูหมาเฒ่า, ม-17 คือ ศูนย์รับผู้อพยบชาวม้ง บ้านวินัย อ.ปากชม จ.เลย ครับ

หน.ทีม : ข่าววิทยุกับหวัง ไก วื, - หว่าง เซ้ง ว่าง, ยังติดต่อได้ปกติไหม ?
COMMO : ได้ครับ

หน.ทีม : ข่าวครั้งสุดท้าย ว่าไง ?
COMMO : ม้งภูหมาเฒ่า ของหวัง ไก วื. กับม้งภูเขาควาย ของหว่าง เซ้ง ว่าง. กำลังโดนลาวแดงเวียดกงกวาดล้างอย่างหนัก อเมริกาเลยเอาเยลโล่เรน (ฝนเหลือง) ไปโรยดักทางลาวแดงเวียดกงไม่ให้ตามม้งได้

หน.ทีม : งั้นเหรอ.... ถามหวัง ไก วื. หว่าง เซ้ง ว่าง. รึเปล่าว่า หลบลาวแดงเวียดกงได้ผลไหม ?
COMMO : ถามแล้วครับ ได้ผลครับ ตอนนี้ลาวแดงเวียดกงเปลี่ยนทางไล่ ต้องอ้อมข้ามเมืองเชียวขวาง แล้ววกลงมาทางใต้ทีหลัง คาดว่าไม่น้อยกว่า 2 อาทิตย์ถึงจะตามม้งทัน

หน.ทีม : แล้วหวัง ไก วื. กับหว่าง เซ้ง ว่าง. เขาบอกหรือเปล่าว่ามีแผนจะข้ามโขงตรงจุดไหน ?
COMMO : ข้ามตรงดอนแตง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคายครับ ....

หน.ทีม : ดอนแตง ดอนของไทยในน้ำโขง เขตหนองคาย .... เอาวะ ยังทัน
COMMO : หวัง ไก วื. บอกว่าต้องเดินทางกลางคืนอย่างเดียว เพราะกลัวลาวแดงจะตรวจการณ์ทางอากาศแล้วเจอน่ะครับ

หน.ทีม : งั้นเหรอ ม้งนี่เก่งเรื่อง รบนอกแบบ รบตอนกลางคืน อยู่แล้ว ว่ามั้ย
COMMO : ครับ

หน.ทีม : ถามซิ จำนวนคน เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง คนหนุ่ม คนแก่ คนป่วย อย่างละซักเท่าไหร่
เก็บรายละเอียดมาให้หมด
COMMO : ครับ

หน.ทีม : อาวุธ อาหาร มีมากไหม ?
COMMO : ครับ

หน.ทีม : O.K. ตรงนี้เสร็จแล้ว ส่งข่าวไปศูนย์วินัย ให้เตรียมคนผู้ชายหนุ่มไว้ 20 คน อาหาร ยารักษาโรคกับเชือกเส้นใหญ่ๆ ขนาดข้อมือ ต่อกันยาวข้ามแม่โขงได้ เชือกนี่เอาไว้ให้คนเกาะข้ามแม่โขง
COMMO : เตรียมเรือด้วยไหมครับ ?

หน.ทีม : อันนี้เดี๋ยวเราไปยืมชาวบ้านไทยที่ริมโขงก็ได้
COMMO : ครับ

หน.ทีม : ส่งรายละเอียดแผนการปฏิบัติถึง บก. กับขอทราบการปฏิบัติเพิ่มเติมด้วย
COMMO : ครับ.... แจ้งจังหวัด, นปข, ตำรวจน้ำ. ด้วยไหมครับ
หน.ทีม : อันนี้เราไม่ต้องแจ้ง แต่ทางหน่วยเหนือจะพิจารณาแจ้งเอง กับถ้าหน่วยเหนือจะให้เราปฏิบัติอะไรเพิ่ม ก็จะแจ้งมาที่เราโดยตรงเลย

COMMO : ครับ
เสียงวิทยุสนามเครื่องหนึ่งดัง ต๊อดต๊อด ต๊อดต๊อด ฯลฯ ด้วยฝีมือ COMMO พนง.วิทยุเข้ารหัสสัญญาณลับส่งข่าวไป บก.ใหญ่ที่ “ตึกขาว” (ร.13) อ.เมือง อุดรธานี ก่อน จากนั้นตึกขาวจะส่งต่อถึง “ศปก.ทบ.309” (กทม.) อีกทอด ตามระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.)....

กับเสียงวิทยุสนามอีกเครื่องหนึ่งส่งสัญญาณรหัสตัวเลข 23890 67920 83012 ฯลฯ ด้วยคำพูด สำเนียงภาษาลาว ส่งข่าวถึงศูนย์ข่าวม้งที่ภูเขาควาย ภูหมาเฒ่า ประเทศลาว

ภารกิจใหญ่กำลังเริ่ม ลุงคิมในคราบ “ท้าวคำเกิด สีอินปัน” จดๆจ้องๆอยู่หน้าแผนที่สถานการณ์ มาตรส่วน 1 : 50,000 แล้วเขียนสัญลักษณ์ เครื่องหมาย ด้วยดินสอไข สีแดง สีน้ำเงิน สีดำ ตามหลักวิชาการรบ ยุทธการ (ฝอ.3) – การข่าว (ฝอ.2) – กิจการพลเรือน (ฝอ.5)

สิริรวมเวลาได้ 3 วัน 3 คืน ภายใต้เสียงสัญญาณวิทยุ ทั้งรหัสสัญญาณ และรหัสคำพูด ที่ รับ-ส่ง ข่าวกัน เน้นย้ำ ... .ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ งบประมาณ-วัสดุอุปกรณ์ โดยการสนับสนุนของ CIA ยกเว้น “บุคลากร” เท่านั้น ที่ต้องใช้คนของพื้นที่เพื่อความเนียนในงานสายลับ

COMMO : หัวหน้าครับ ม้งส่งข่าวมาแล้วว่า พรุ่งนี้กลุ่ม พ.ต.หว่าง เซ้ง ว่าง ถึงบ้านบอนสวน ห่างจากฝั่งโขงที่ดอนแตง 2 กิโล กับกลุ่ม พ.ต.หวัง ไก วื ถึงบ้านโนนแดง ห่างจากฝั่งโขงที่ดอนแตง 1 กิโล ตอนนี้กำลังรอคำสั่งจากเราให้ข้ามน้ำครับ
หน.ทีม : มีข่าวทหารลาวแดงเวียดกงไหม ?

COMMO : สัญญาดักฟังวิทยุลาวแดงเวียดกง บอกว่าตอนนี้ยังอยู่ที่เชียงขวางครับ
หน.ทีม : เอาวะ งานนี้คงปลอดภัยจากลาวแดงเวียดกงนะ เหลืออยู่แต่ว่า .... เฮ้ยยยย กูสงสัย ม้งอยู่แต่บนภูเขา ม้งว่ายน้ำเป็นเหรอวะ.... ?

COMMO : (หัวเราะ) ไม่เป็นไรมั้งครับหัวหน้า ว่ายน้ำไม่เป็นก็เกาะเชือกแทน คงข้ามได้ครับ

เที่ยงตรงของวันนั้น หน.คำเกิด สีอินปัน กับลูกทีม 2 คน พร้อม PRC.25 วิทยุสนามเคลื่อนที่ เดินทางถึงริมโขง เขต อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มองเห็นดอนกลางลำน้ำห่างจากฝั่งไทยราว 200 ม. ห่างจากฝั่งลาวราว 300 ม. ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ระบุ ดอนนี้ช่วงหน้าแล้ง กว้าง 150 ม. ยาว 480 ม. ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย อาจมีบางวันบางครั้งที่ชาวประมงหาปลาแวะพัก

ม้งอพยบ 20 คน ชายหนุ่มล้วนจากศูนย์อพยบ มารอก่อนแล้วตั้งแต่วันวาน พร้อมด้วยเชือกเส้นใหญ่ขนาดข้อมือเด็กกองพะเนิน กับเรือไฟเบอร์เล็กๆ 2 ลำกับพายลำละ 2 อัน ทั้งหมดทุกอย่าง ทั้งคนทั้งสิ่งของ อยู่ภายใต้การ “พราง” อย่างดี ป้องกันการรู้เห็นจากสายตาภายนอก ม้งกลุ่มนี้รู้จักกับ หน.คำเกิด สีอินปัน เป็นอย่างดีเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว

คำเกิด : งานนี้ใครเป็นหัวหน้า ?
ม้งอพยบ : ผมครับ ผมชื่อ หน่ำ ซา กวง เป็นหัวหน้า

คำเกิด : วางแผนงาน จะเริ่มขึงเชือกตอนไหน เวลาไหน ?
ม้งหน่ำ : ดอนฝั่งไทยจะเริ่มตอนค่ำ รอให้มืดก่อน วางเชือกทั้งคืนได้เลย เพราะดอนฝั่งไทยตอนกลางคืนไม่มีเรือแล่น .... ดอนฝั่งลาวจะเริ่มวางเชือกตอนก่อนสว่าง เพราะฝังลาวไม่แน่ใจว่าช่วงกลางคืนจะมีเรือแล่นไหม แต่ก่อนสว่างไม่มีเรือแล่นแน่ๆ

คำเกิด : (หัวเราะในลำคอ)....ระหว่างที่คนกำลังเกาะเชือกลอยคออยู่ในน้ำ แล้วมีเรือแล่นมา จะทำยังไง
ม้งหน่ำ : เราจะสั่งเรือหยุดไว้ก่อน เรือชาวบ้านไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรือทหารลาวแดงเวียดกง ก็ต้องสู้กัน

คำเกิด : เอางั้นนะ....ทุกคนพร้อมมั้ย ?
ม้งหน่ำ : พร้อมครับ

ถึงกำหนด วัน ว. เวลา น. ก่อนค่ำวันนี้ปฏิบัติการขึงเชือกข้ามโขงฝั่งไทย 4 เส้น ห่างกันเส้นละ 20 ม. ทุกเส้นเสร็จพร้อมใช้งาน กับเมื่อเวลาราว ตี.5 ของวันรุ่งขึ้น ปฏิบัติการขึงเชือกข้ามโขงฝั่งลาว สไตล์เดียวกันกับฝั่งไทยก็เสร็จพร้อมใช้งาน

เวลา 06.00 น.ตามเวลาประเทศลาว เสียงวิทยุ PRC.25 เป็นสำเนียงม้งดังชัดเจน

คำเกิด : ข่าวส่งมาว่าไง
ม้งหน่ำ : ท่านหวัง ไก วื. กับท่านหว่าง เซ้ง ว่าง. ถึงจุดนัดหมายแล้ว ทุกอย่างพร้อม ทุกคนปลอดภัย ครับ

ม้งศูนย์อพยบ 10 คนชุดรับผิดชอบริมโขงฝั่งไทย แบ่งเป็น 2 ชุดเล็ก ชุดหนึ่ง 5 คนประจำแผ่นินริมโขงฝั่งไทย กับ 5 คนประจำริมดอนฝั่งไทย .... ม้งจากศูนย์อีก 10 คนก็แบ่งเป็น 2 ชุดเล็ก ชุดหนึ่ง 5 คนประจำแผ่นดินริมโขงฝั่งลาว กับ
5 คนประจำริมดอนฝั่งลาว

หลังสัญญาณเสียงวิทยุไม่กี่นาที แสงจากพระอาทิตย์ยังไม่เข้ม เพียงแค่มองเห็นรำไรๆ ม้งกลุ่มแรกก็ปรากฏร่างให้เห็นจากแผ่นดินริมโขงฝั่งไทย 5 คนแรกเท่าจำนวนเชือกเกาะเชือกมา 5คนที่สอง 5คนที่สาม ทีสี่ ทีห้า ตามมาเรื่อยๆ .... มือหนึ่งจับเชือก อีกมือหนึ่งจับบ่าคนข้างหน้า บางคนมีเด็กเล็กผูกผ้าไว้ข้างหน้า บางคนผูกไว้ด้านหลัง คนแก่มีคนหนุ่มคอยช่วยจับ ทุกคนเงียบเสียง แต่มีเสียงจากน้ำที่ถูกเท้าเตะกระทุ่มน้ำ เชือกทุกเส้น มีคนเกาะเรียงกันมาติดๆ

ภายใต้สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ตลอดเวลาตั้งแต่กำเนิดลำน้ำโขง แม้ปฐมภูมิของชนชาติม้งจะว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่มีอุปสรรคมากนัก

ด้วยระยะเวลาไม่เต็ม 1 ชั่วโมง ม้งคนสุดท้าย พ.ต.หวัง ไก วื, พ.ต.หว่าง เซ้ง ว่าง, ก็ขึ้นแผ่นดินฝั่งไทยได้สำเร็จ เรียบร้อย

คำเกิด : ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ท่านหวัง ไก วื. ท่านหว่าง เซ้ง ว่าง.
หวัง ไก วื : ซำบายดี ขอบใจหลายๆ
หว่าง เซ้ง ว่าง : ซำบายดี ขอบใจหลายๆ

คำเกิด : คนของท่านรอดมาได้ ท่านละกี่คน
หวัง ไก วื : ของข้าเจ้า รอดมา 245 คน คนเฒ่าตกน้ำ ลอยน้ำไป 2 คน
หว่าง เซ้ง ว่าง : ของข้าเจ้า รอดมา 184 คน คนเฒ่าตกน้ำ ลอยน้ำไป 4 คน

คำเกิด : อาวุธ ทรัพย์สินของมีค่า มีอะไรบ้าง
หวัง ไก วื : ของข้าเจ้ามีปืน 24 กระบอก ระเบิด 30 ลูก
หว่าง เซ้ง ว่าง : ของข้าเจ้ามีปืน 20 กระบอก ระเบิด 20 ลูก

คำเกิด : ของพวกนี้ท่านเก็บรักษาไว้เองนะ เพราะอนาคตท่านจะต้องใช้มัน....แล้วทรัพย์สินของมีค่าอย่างอื่นล่ะ ?
พ.ต.ม้ง หน.กลุ่มทั้ง 2 กลุ่ม เหลียวกลับไปส่งภาษาตัวเองต่อลูกกลุ่มว่า ให้ทุกคนนำเครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ที่ติดตัวมา ทุกชิ้น ทุกคน มากองรวมกัน ให้เป็นสมบัติของส่วนรวม ม้งลูกกลุ่มให้ความร่วมมือ หยิบสมบัติติดตัวมายื่นส่งให้ด้วยความยินดี .... พ.ต.ม้ง ทั้ง 2 คน จัดการรวมเครื่องเงินให้รวมกันเป็น 1 กองก่อน แล้วแบ่งเป็น 2 กอง ท่ามกลางสายตาทุกคน

หวัง ไก วื : หัวหน้า กองนี้มอบให้สำหรับหัวหน้า เป็นสิ่งขอบใจ
หว่าง เซ้ง ว่าง : กองนี้ข้าเจ้าขอเก็บไว้ใช้งานกู้ชาติ

สายตาและน้ำเสียงของม้งหัวหน้าทั้งสองบ่งบอกถึงความจริงใจอย่างชัดแจ้ง สรรพเสียงใดๆ ไม่วี่แววออกมาจากปากม้งลูกกลุ่มแม้แต่แอ๊ะเดียว ทุกสายตาจับนิ่งที่ หน.คนไทย

คำเกิด : ท่านหวัง ไก วื. ท่านหว่าง เซ้ง ว่าง. เราเป็นทหารเหมือนกัน เราอยู่บ้านเรา เรามีเงินเดือนกิน ท่านมาอยู่บ้านเรา ท่านไม่มีเงินเดือนกิน แต่ท่านต้องใช้เงิน เราตั้งใจช่วยท่านอย่างแท้จริง เรายังมีภารกิจเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน เพื่ออุดมการณ์ ที่จะต้องร่วมงานกันต่อไปอีกมากอีกนาน เพราะฉะนั้นขอให้ท่านเก็บทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดนี้ไว้เองเถิด


หวัง ไก วื : ท่านไม่รับ
หว่าง เซ้ง ว่าง : ท่านไม่เอา
คำเกิด : ถูกต้อง ท่านเก็บไว้เถอะ .... นะพวกเรา เก็บไว้ใช้เถอะนะ

พ.ต.ม้งทั้ง 2 ท่าน นำเปลี่ยนท่านั่งเดิมเป็นคุกเข่าก่อน พลันม้งลูกกลุ่มทั้งหมดเปลี่ยนท่านั่งเดิมเป็นคุกเข่าตามเหมือนกันหมด เหมือนหัวหน้า แล้วเอ่ยวาจาพร้อมกัน

หวัง ไก วื : ขอบใจหลาย ขอบใจหลายๆ ขอบใจหลายๆ
หว่าง เซ้ง ว่าง : ขอบใจหลาย ขอบใจหลายๆ ขอบใจหลายๆ
ลูกกลุ่ม : ขอบใจหลาย ขอบใจหลายๆ ขอบใจหลายๆ

เที่ยงตรงวันเดียวกันนั้น รถบัสโดยสาร 10 คัน มาถึงตามแผนที่นัดหมายไว้ล่วงหน้า ม้งทั้งหมดได้รับการนำส่งศูนย์อพยพชาวม้ง บ้านวินัย อ.ปากชม จ.เลย ภายใต้การสนับสนุนของ CIA อย่างเรียบร้อยตามวัตถุประสงค์แห่งภารกิจทุกประการ

118. ผกค.ไทยในลาว :
COMMO : หัวหน้าครับ มี หขส. จาก 309 ครับ
ลุงคิม : หขส. หขส. (หัวข้อข่าวสาร) ว่ามาเลย

COMMO : ครับ....
พิสูจน์ทราบ ผกค. :
1. ผกค. ค่ายปากกะดิ่ง (ค่ายโซเวียต)
2. ผกค. ค่ายหางดง (บ้านนาเจริญ)
3. ผกค.ไทย จากนาแก สกลนคร ไปอยู่ที่ไหน
4. รายงานใน 15 พ.ย.
ลุงคิม : อืมมม พิสูจน์ก็ต้องมีรายละเอียน 5W. 1H. มีเวลา 1 เดือน เอาวะ

แผนงานเริ่มขึ้นจากความทรงจำเดิม ....
“ปากกะดิ่ง” คือพื้นที่ปากแม่น้ำกะดิ่ง ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ตรงข้ามบ้านบุ่งค้า อ.บึงกาฬ .... ค่ายปากกะดิ่ง คือพื้นที่งานของโซเวียต ที่มาช่วยเหลือลาวสร้างสะพานข้ามแม่น้ำกระดิ่ง แหล่งข่าว (สายลับ) ฝั่งลาวคือ ท้าวปรารถนา ฝั่งไทยคือ นายทองกวาว

“หางดง” คือที่ตั้งค่ายทหารเวียดนามในลาว ตรงข้ามกับไทยที่บ้านนาเจริญ อ.บึงกาฬ แหล่งข่าว (สายลับ) ฝั่งลาวคือ ท้าวบันชู ฝั่งไทยคือ นายสมพร

สายๆ วันนั้นลุงคิมปรากฏตัวที่บ้านสายลับฝั่งไทย บ้านบุ่งค้า งานนี้ไม่ต้องหว่านล้อมอะไรให้ยุ่งยาก เพราะทำงานกันมานาน เครดิตเรื่องเงินซื้อข่าวเชื่อถือได้ ....พบหน้าสั่งงานได้เลย ทั้งสายลับลาว สายลับไทย
คำเกิด : ทองกวาว ให้ปรารถนาเอารายละเอียด ผกค.ไทย ในค่ายปากกะดิ่ง
ทองกวาว : ละเอียดแค่ไหนครับ

คำเกิด : ชื่อ นามสกุล พื้นความรู้ บ้านเดิมเมืองไทย ความศรัทธาคอมมิวนิสต์ แผนการใช้ชีวิตในอนาคต ญาติพี่น้องในเมืองไทย จำนวน ผกค.ที่เป็นคนไทยในค่าย รัสเซียอบรมเรื่องอะไรบ้าง...ไหวมั้ย ?
ทองกวาว : (หัวเราะ) สบาย ผกค.ในค่ายออกไปกินข้าวกับท้าวปรารถนาบ่อยๆ เขารู้จักกันดี

คำเกิด : เฮ่ย ๆๆ ๆๆ แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าท้าวปรารถนาเป็นใคร
ทองกวาว : อ๋อออ เรื่องนี้ไม่รู้หรอกครับ ขืนให้รู้ ตำรวจตาแสงจับตัวแน่

คำเกิด : เรื่องอะไร ?
ทองกวาว : ท้าวปรารถนาจะขอเอาหมากแหน่ง ข้ามมาแล้วเอาไปส่งที่ปากคาด ซัก 100 กิโล แค่กระสอบเดียวเท่านั้น จะได้ไหมครับ ?

คำเกิด : เอาเลยทองกวาว หมากแหน่งก็แค่ลูกเร่วธรรมดาๆ เขาเอาไปทำยา ประเทศไทยส่งต่อไปสิงค์โปร์หมด ไม่ใช่ยาเสพติด เอามาซัก 200 กิโลเลยก็ได้ ระวังก็แต่ด่านศุลกากรเท่านั้นแหละ
ทองกวาว : ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้ท้าวปรารถนารู้ดีอยู่แล้ว

คำเกิด : ส่งที่ปากคาดได้ กก.ละเท่าไหร่ ?
ทองกวาว : ที่ตกลงกันก็ 120 บาทครับ

คำเกิด : ราคาเมืองไทย 120 ราคา ที่สิงค์โปร์ 1,200 ทำไมราคาต่างกันจังเลยวะ....

เสร็จภารกิจกับสายลับทองกวาว ตกเย็นก่อนค่ำวันเดียวกัน ลุงคิมก็ปรากฏตัวที่ บ้านนาเจริญ อ.บึงกาฬ พบกับแหล่งข่าว (สายลับ) ฝั่งไทยคือนายสมพร

คำเกิด : เดือนนี้เจอกับท้าวบันชูบ้างไหม ?
สมพร : เจอครับ เขามาเมื่อวานนี้เอง นี่เอาข่าวมาส่งด้วย พรุ่งนี้ผมว่าจะเอาไปส่งให้หัวหน้า พอดีหัวหน้ามาผมเลยไม่ต้องไป

รับกระดาษโน้ตเล็กๆ ยับยู่ยี่ แต่ข้างในมีอักษรภาษาลาวชัดเจน .... ทำงานสายลับลาวใช้ชื่อภาษาลาว อ่านหนังสือลาว เขียน/พิมพ์ ภาษาลาว พูดภาษาลาว รู้เรื่องข่าวสารประเทศลาว ประเทศที่เกี่ยวข้องกับลาว .... เหลือบสายตามองแว้บเดียวก็รู้ถึงความเร่งด่วนของข่าวแล้ว

คำเกิด : อยากให้ท้าวบันชูหารายละเอียด ผกค.ไทย ในค่ายหางดงให้หน่อย
สมพร : ละเอียดแค่ไหนครับ ?

คำเกิด : ชื่อ นามสกุล พื้นความรู้ บ้านเดิมเมืองไทย ความศรัทธาคอมมิวนิสต์ แผนการชีวิตในอนาคต ญาติพี่น้องในเมืองไทย จำนวน ผกค.ที่เป็นคนไทยในค่าย ทหารเวียดนามอบรมเรื่องอะไรบ้าง แล้วก็จำนวนทหารเวียดนามที่มีด้วยนะ ...ไหวมั้ย ?
สมพร : ได้ครับ ผมว่ารายละเอียดพวกนี้ ท้าวบันชูเขารู้อยู่แล้ว เพราะเขาเข้าออกเอาอาหารไปส่งให้ทหารเวียดนามในค่ายหางดงประจำ

คำเกิด : ดี เริ่มเลยนะ.... ฝากเงินค่าข่าวงวดนี้ 1,000 บาท ไว้ให้ท้าวบันชูด้วย กับค่าข่าวของสมพร 2,000 บาท
สมพร : ขอบคุณครับ

สรุปรายละเอียดใน หขส. :
ผกค.ไทยในค่ายปากกะดิ่ง :
- จำนวน 12 คน (ชื่อ-นามสกุล...ขอปิดลับ)
- พื้นความรู้ มัธยม 10 คน ปริญญา 2 คน,
- บ้านเดิมเมืองไทย อิสาน 4 คน กลาง 6 คน เหนือ 2 คน
- ความศรัทธาคอมมิวนิสต์ ยึดมั่นแนวเหมา เจ๋อ ตุง
- แผนการใช้ชีวิตในอนาคต เป็นผู้นำชนชั้นกรรมชีพ
- ญาติพี่น้องในเมืองไทย ไม่ทราบ
- จำนวน ผกค.ที่เป็นคนไทยในค่าย 12 คน
- รัสเซียอบรมเรื่องอะไรบ้าง ไม่มีอบรม

ผกค.ไทยในค่ายหางดง :
- จำนวน 6 คน (ชื่อ-นามสกุล...ขอปิดลับ)
- พื้นความรู้ระดับมัธยม
- บ้านเดิมเมืองไทย อิสาน 4 คน กลาง 2 คน
- ความศรัทธาคอมมิวนิสต์ ยึดมั่นแนวเหมา เจ๋อ ตุง
- แผนการใช้ชีวิตในอนาคต เป็นผู้นำชนชั้นกรรมชีพ
- ญาติพี่น้องในเมืองไทย ไม่ทราบ
- จำนวน ผกค.ที่เป็นคนไทยในค่าย 6 คน

คำเกิด : ค่ายหางดงเป็นค่ายทหารเวียดนามโดยเฉพาะ ในค่ายมีทหารเวียดนามทั้งหมดแล้วกี่คน
สมพร : ค่านี้เป็นค่ายใหญ่ มีทหารเวียดนาม 80 คน ทหารลาว 20 คน เท่านั้น

คำเกิด : ไหนว่า มีทหารเวียดนาม 200 กว่าคน นั่งรถมาคันละ 20 คน วันละ 4-5 เที่ยว แล้วทำไมถึงบอกว่ามีแค่ 80 คนล่ะ ?
สมพร : (หัวเราะ) คืองี้ครับหัวหน้า เวียดนามใช้วิธีลวง เขาบรรทุกทหารเข้ามาที่ค่ายตอนกลางวัน วิ่งมาช้าๆ วิ่งแบบเปิดเผยให้คนเห็น เห็นมากๆด้วย .... ตกกลางคืนจะให้ทหารแอบนอนหมอบบนรถทำเป็นรถเปล่าวิ่งออกไป ไปไหนไม่รู้ พอสายวันรุ่งขึ้น ทหารชุดนี้จะนั่งรถแบบเปิดเผยให้คนเห็น คนเห็นไม่รู้อะไรลึกๆ ก็หลงคิดว่าเป็นทหารเวียดนามชุดใหม่ ชุดใหม่มา ชุดใหม่มาหลายชุด แต่ชุดเก่าไม่เคย
ออกไปเลย แบบนี้เลยเป็นว่าทหารเวียดนามมากไงล่ะ

คำเกิด : เล่นกันง่ายๆ ยังงี้นะมึง
สมพร : เขาเล่นมานานแล้ว หัวหน้าเพิ่งรู้เหรอครับ

119. ม้งสู่ประเทศที่ 3 :
COMMO : หัวหน้าครับ มี หขส. จาก 309 ครับ
ลุงคิม : ว่ามาเลย

COMMO : ครับ....
1. ให้ ม.8320, ม.8308, ม.17, ท.18, อ.75,
(8320 คือ พ.ต.หวัง ไก วื, 8308 คือ พ.ต.หว่าง เซ้ง ว่าง, ม 17 คือ ศูนย์รับผู้อพยพชาวม้ง จ.เลย, ท 18 คือ จนท.ไทย, อ 75 คือ จนท.UNHCR สหประชาชาติ)
2. อ 75 จะไปคัดเลือกม้งอพยบที่ ม 17 ไปประเทศที่ 3
3. อ 75 เอาอาหารไปส่งสำหรับม้งอพยบ
4. ท 18 จะไปสำรวจจำนวนม้งอพยบปัจจุบัน
5. ประสานทางลับ 8320, 8308
6. ประเทศที่ 3 สหรัฐ แคนนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส
7. รายงานผลเมื่อเสร็จ

สรุปเรื่องประชุมที่น่าสนใจ :
* สหรัฐ แคนนาดา ฝรั่งเศส รับประเทศละ 200 คน มีข้อแม้ 2 ข้อ คือ 1 มีชนชาติเดียวกันเคยอพยพไปอยู่ก่อนแล้ว และ 2 พร้อมทำงานประเภทใช้แรงงาน หรือลูกจ้างทุกสาขาอาชีพ

* ออสเตรเลียรับไม่อั้น สำหรับคนที่พร้อมทำงานด้านการเกษตร ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล โดยมีหลักเกณฑ์

- ครอบครัวละไม่น้อยกว่า 100 เฮกต้า (1 เฮกต้า = 6.25 ไร่)
- เลือกกิจกรรมเกษตร (นา ไร่ สวน สัตว์เลี้ยง) อย่างเดียวหรือหลายอย่างตามใจชอบ
- รัฐบาลสนับสนุน เครื่องจักรกลการเกษตรทุกอย่าง
- รัฐบาลสนับสนุนแหล่งน้ำและส่งน้ำให้ถึงทุกแปลง
- รัฐบาลสนับสนุกกล้าพันธุ์พืชทุกชนิดตามต้องการ
- รัฐบาลสนับสนุนข้อมูลความรู้ จนท.ทางวิชาการ และเทคโนโลยีทุกรูปแบบ
- รัฐบาลสนับสนุนสหกรณ์รับซื้อผลผลิต
- รัฐบาลสนับสนุนเงินค่าครองชีพจนกว่าจะมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลลิต
- อื่นๆ ตามสถานการณ์โลก หรือสภาวะธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง

หัวหน้า “คำเกิด สีอินปัน” (เบื้องหลัง พ.ต.กองทัพบกไทย) อ่านรายละเอียดที่ อ 75 คือ จนท.



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 09/12/2023 8:57 am, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 3:31 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
120. ผวจ.หนองคาย VS ผวจ.เวียงจันทน์ :
ต้นเหตุของเรื่อง :

วันสงกรานต์ 13 เม.ย. ไทย-ลาว พี่น้องกัน จึงไม่แปลกที่คนไทย 14 คนจากฝั่ง อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จะข้ามโขงไปเยือนเพื่อนลาวที่เมืองปากซัน แขวงบริคันไช การข้ามฟากโขงไปมาหากันระหว่าง 2 เมืองนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว

แล้วเหตุการณ์ไม่ปกติเยี่ยงธรรมดาก็อุบัติขึ้น เมื่อตำรวจลาวจากเมืองหลวงแขวงวียงจันทน์มาตรวจราชการที่เมืองปากซัน แล้วพบคนไทยทั้ง 14 คน จึงเข้าจับกุมพร้อมตั้งข้อหาลักลอบเข้าประเทศลาวโดยไม่ได้ขออนุญาต

เมืองปากซัน อยู่ตรงข้าม อ.บึงกาฬ .... ปากซัน-เวียงจันทน์ ใช้เวลาเดินทาง 12 ชม. แขวงเวียงจันทน์ อยู่ตรงข้าม จ.หนองคาย .... บึงกาฬ-หนองคาย ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม.

คนไทยที่ถูกจับกุมออกเดินทางจากปากซัน บ่าย 3 โมง ตกกลางคืนต้องแวะกลางทาง กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางต่อถึงเวียงจันทน์บ่าย 3 โมง แล้วนอนคุกลาว 1 คืน

วันรุ่งขึ้นมีหนังสือด่วนจาก ผวจ.เวียงจันทน์ ผ่าน ผวจ.หนองคาย แจ้งเรื่องคนไทยลักลอบเข้าแผ่น ดินลาวโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้กระทรวงต่างประเทศไทยดำเนินการตามแบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน

ทันทีที่ ผวจ.หนองคาย รับทราบ เรียกหาคนขับรถแล้วสั่งการ “ไปรับคุณคำเกิด ที่บึงกาฬ มาหาด่วน...”

ด้วยรถตำรวจมีสัญญาณไฟแว้บๆ บนหลังคา ขณะวิ่งผ่านกลางตลาดมีการเปิดเสียงหวอเป็นครั้งคราว....ถึงจวนผู้ว่าก็พบ ผกก.ตำรวจภูธร รอง ผวจ.ฝ่ายทหาร ผบ.นปข. ผบ.ตร.น้ำ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

ผวจ. : คุณคำเกิด เกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
คำเกิด : ขออนุญาตครับ เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ ?

ผวจ. : คนไทยเรานี่แหละ ไม่รู้ไปพิศวาสประเทศลาวอะไรมันนักหนา ข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวแล้วถูกตำรวจจากเวียงจันทน์จับ
คำเกิด : ครับ

ผวจ. : ทางเวียงจันทน์ขอให้เรารายงานกระทรวงต่างประเทศแล้วให้ดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ .... ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ยาวไปถึงรับรัฐบาล เราน่าจะว่ากันเองระหว่างเมืองกับเมืองได้ .... คุณคำเกิดมีแผนการอะไรไหม ?
คำเกิด : ไม่น่าจะยากนะครับท่าน

ท่ามกลางความเงียบงันนั้น พลันสายตาทุกคู่พุ่งเป้ามาที่อาคันตุกะจากบึงกาฬเป็นตาเดียว รอฟังคำตอบอย่างระทึก

ผวจ. : ว่ามาเลยคุณคำเกิด
คำเกิด : ครับ วันนี้เรามีแม่ของท่านคำเพ้า วงพะจัน ผู้ว่าเวียงจันทน์ มารักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.หนองคาย ตอนนี้ให้น้ำเกลือกับอาการยังหนักอยู่ กับญาติผู้ใหญ่จากกรุงเวียงจันทน์มารักษาตัวที่ ร.พ.หนองคายเหมือนกัน อี 4-5 ราย ทั้งหมดนี้ก็เข้าประเทศไทยแค่แจ้งผู้ว่าราชารจังหวัดเท่านั้น ไม่ได้แจ้งหรือขออนุญาตผ่านกระทรวงต่างประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะส่งคนป่วยทั้งหมดนี้ คืน แล้วให้ส่งมาใหม่ผ่าน
กระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะแม่ของผู้ว่าเวียงจันทน์ ดูซิว่า ท่านคำเพ้า วงพะจัน จะว่ายังไง

ผวจ. : โอ้โฮ โป๊ะเชะเลยคุณคำเกิด.... เอาโทรศัพท์มาซิ โทรสายตรงหาคำเพ้า วงพะจัน เลย

แล้วการเจรจาแบบไม่ใช่การทูตระหว่างประเทศก็เริ่มขึ้น ด้วยสำเนียงการพูดที่ไม่มธุรสวาจานั

ผวจ. หนองคาย : ท่านคำเพ้า เรื่องที่ท่านจับคนไทยไปน่ะ ขอเวลาผมดำเนินการหน่อย แต่วันนี้ วันนี้เลยนะ ผมจะส่งแม่ของท่านที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาลบาลหนองคาย กับคนป่วยคนอื่นๆที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองคาย กลับคืนประเทศลาวทั้งหมด ภายในวันนี้เลย
ผจว.เวียงจันทน์ : อย่าฟ่าว อย่าฟาวเด้อ (อย่ารีบ)

ผวจ. หนองคาย : ไม่ได้นะท่านคำเพ้า เรื่องนี้ใหญ่ระดับประเทศ ผมต้องรีบทำ
ผวจ.เวียงจันทน์ : อย่าฟ่าว อย่าฟ่าว ทางลาวจะส่งคนไทยคืนเดี๋ยวนี้เลย

ผวจ.หนองคย : ก็ได้ จะคอย.... คุณคำเกิด ขอบคุณ ขอบคุณ ที่ช่วยทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้.....ขอบคุณจริงๆ
คำเกิด : ขอบคุณครับ

121. เรือโซเวียตหลุดมาไทย :
ต้นเหตุของเรื่อง :

ที่ปากแม่น้ำกะดิ่ง (แม่น้ำกะดิ่ง ไหลลงสู่แม่น้ำโขง) เขตเมืองปากซัน แขวงบริคันไช ที่ตั้งค่ายทหารช่าง รัสเซีย ภายใต้โครงการช่วยเหลือประเทศลาว สร้างสะพานข้ามแม่น้ำกะดิ่ง แม่น้ำส่วนนี้กว้าง 100 ม. ลึก 50 ม. สร้างมาแล้ว 4 ปี ปักเสาเข็มได้แค่ 4 ต้น

ระหว่างการก่อสร้างต้องใช้เรือแพขนานยนต์ขนาดใหญ่ บรรทุกได้ตั้งแต่รถยนต์ถึงรถถังในการข้ามลำน้ำ โดยมี จนท.ลาวเป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบ

แล้ววันดีคืนดี (ฝ่ายเรา) วันร้ายคืนร้าย (ฝ่ายลาว/รัสเซีย) ก็อุบัติขึ้น....

ทองกวาว : หัวหน้าครับ เรือแพขนานยนต์รัสเซีย ที่ฝั่งลาวหลุดมาไทยครับ
คำเกิด : ที่ปากกะดิ่งน่ะเหรอ

ทองกวาว : ใช่ครับ มาเมื่อคืนนี้ตอนซัก 6 ทุ่มครับ
คำเกิด : แล้วทางลาวรัสเซีย จัดการยังไง

ทองกวาว : แพขนานยนต์ลำนี้ใหญ่มาก ขนาดบรรทุกรถถังได้ครั้งละ 4 คัน ทางลาวไม่มีเรือใหญ่ๆมาลากกลับหรอกครับ
คำเกิด : อ้าว แล้วลาวรัสเซียจะทำยังไงล่ะ

ทองกวาว : เดี๋ยวเขาก็จะขอจ้างเรือไทยไปลากครับ
คำเกิด : อืมมม งานนี้ ลาวต้องติดต่อผ่านจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนอนุมัติ .... เอาวะ ยังพอมีเวลาทำอะไรเล่นก่อนแหละวะ

ทองกวาว : หัวหน้าจะทำอะไรครับ ? ระเบิดเรือเหรอ ?
คำเกิด : คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก.... ไป ไปดูด้วยกัน
สั่งการ COMMO ส่งข่าวเบื้อต้นถึง บก. 309 ก่อน รายละเอียดจะส่งตามทีหลัง....

เกือบเที่ยงไปถึงจุดเกิดเหตุ ริมโขงฝั่งไทยมีคนไทยแค่ 2-3 คนยืนมอง คนที่นั่นไม่สนใจเพราะเรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว จนเป็นเรื่องธรรมดา มองข้ามโขงไปฝั่งลาว ที่นั่นไม่มีคนสนใจเลย โดยเฉพาะ จนท.ฝ่ายลาวที่น่าจะคึกคักกว่าที่เป็น นั่นก็เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วอีกนั่นแหละ

แพขนานยนต์ถูกผูกไว้กับเสาผูกเรือริมตลิ่ง นี่คือความหวังดีจากไทยสู่ลาวโดยแท้ การผูกเรือไว้เท่ากับป้องกันเรือไม่ให้ไหลตามน้ำลอยไปไกลกว่านี้

คำเกิด สีอินปัน หน.หน่วยข่าวลับ ชวนทองกวาว สายข่าว กับชาวบ้าน 2-3 คนลงเรือ ไปดูใกล้ๆ ให้เห็นกับตา แล้วงาน “ก่อวินาศกรรม” ก็เริ่มขึ้น

คำเกิด : กวาว.... วานให้ใครไปซื้อน้ำตาลทรายที่ร้านหน้าวัดมาให้ซักกิโลซิ
ทองกวาว : ครับ.... หัวหน้าจะเอามาทำอะไรครับ

หัวหน้าหน่วยข่าวยังไม่ให้คำตอบ แต่กวาดสายตาไปทั่วลำเรือเพื่อค้นหาจุดต่างกับเรือแพขนานยนต์ของไทย กระทั่งเห็นว่า ทุกอย่างเหมือนๆกัน....น้ำตาลทรายที่สั่งมาแล้ว

คำเกิด : กวาว.... เทน้ำตาลทรายลงไปในช่องเติมน้ำมันเครื่อง เทลงไปให้หมดเลย แล้วปิดฝาให้สนิทแน่นอย่างเดิม
ทองกวาว : ใส่ทำไมครับหัวหน้า.....

คำเกิด : เอาน่า ใส่ไปก่อน....บอกใครเอากุญแจเลื่อนมาให้ซักอันซิ....

กุญแจเลื่อนมาแล้ว คนรับคำสั่งฉลาดมาก ในเมื่อไมรู้ว่าจะเอามาทำอะไร จึงหยิบมา 2 ขนาด เล็กกับใหญ่ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาไปเอาใหม่

คำเกิด : กวาว....ไขน็อต เอาฝาทองเหลืองบอกยี่ห้อเรือแพขนานยนต์ลำนี้ออกมา จะส่งไป บก.ใหญ่ นี่คือหลักฐาน....

ภารกิจก่อวินาศกรรมเรือแพขนานยนต์วันนั้นใช้เวลาปฏิบัติการจริงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

คำเกิด : กวาว.... น้ำตาลทรายนี่แหละจะทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด จนพังทั้งเครื่องเลย เพราะน้ำตาลทรายที่ไปกับน้ำมันหล่อลื่น ถ้าไปถึงเครื่องยนต์ส่วนที่หมุนหรือเคลื่อนที่ เครื่องยนต์ส่วนนั้นจะร้อนจนละลายได้ทันที โดยเฉพาะลูกสูบ ชาร์ฟ จะละลาย นี่แหละน้ำตาลทรายไทยละ รู้แล้วปิดลับไว้ .... ส่งข่าวไปถึงท้าวปาดถะนา ให้ติดตามข่าวเรือลำนี้แล้วแจ้งด้วย
ทองกวาว : ครับ

122. ลาวขอตัวท้าวคำเกิด :
COMMO : หัวหน้าครับ มี หขส. จาก 309 ครับ
ลุงคิม : ว่ามาเลย

COMMO : ครับ....
1. กำหนดประชุมทีมประจำปี วัน ว. เวลา น.
2. ปัญหา และการแก้ไข ของภารกิจห้วงที่ผ่านมา
3. แผนการปฏิบัติภารกิจในอนาคต
4. เตรียม วัสดุ/อุปกรณ์ หลักฐานการข่าว (ถ้ามี) มายืนยันด้วย
5. ห้ามบุคคลที่ 3 ร่วมเดินทางมา บก.
6. ห้ามเดินทางไปที่อื่นก่อนแล้วย้อนมา บก.ทีหลัง
7. แจ้งล่วงหน้ากำหนดเวลาเดินทางถึง บก.
8. ห้ามนำรถส่วนตัวเดินทางมา บก.
9. อื่นๆ จะแจ้งหรือไม่แจ้งก็ได้

นาม “ตึกขาว” มิได้หมายถึงอาคารหลังหนึ่งที่มีสีขาวตามชื่อ แต่เป็นอาคาร สังกะสี + เหล็ก สไตล์อเมริกัน ชั้นเดียว สร้างโดย CIA (หน่วยข่าวกรองกลาง Central lntelligence Agency) ที่ตั้งภายในบริเวณ ร.13 อ.เมือง อุดรธานี เป็นสถานที่ทำงานของ “ทหารสายลับ” ที่คัดกรองมาจากกองทัพบกทั่วประเทศ ร่วมกับ “กรมประมวลข่าวกลาง” จนท.ทุกคนต้องเขียนบันทึกการลาออกจากราชการแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นหลักฐานการแทรกแซงจากรัฐบาลไทย ทุกคนแต่งกายแบบพลเรือน เหมือนประชาชนทั่วไป แต่ สนง. แห่งนี้มีป้อมยาม ที่ป้อมยามมีสารวัตรทหาร (สห.) ในเครื่องแบบประจำตลอด 24 ชม. เป็นที่กังขาของประชานย่านนั้น

ชาวบ้าน : พี่ๆ พี่ทำงานที่นี่เหรอ ?
สายลับ : ใช่

ชาวบ้าน : พี่ทำงานอะไร ? บอกได้ไหม ?
สายลับ : ขายถ่าน....

ชาวบ้าน : ขายถ่าน.... ขายถ่านทุกคนเลยเหรอ ?
สายลับ : ใช่

จากสายลับรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทุกชั้นยศ (ภายในส่วนตัว) พูดเหมือนกันเพราะบอกต่อๆกันมา จนกลาย เป็นประเพณี แต่ก็ยังเป็นความลับสำหรับประชาชนในละแวกนั้น นี่คือการ “อำพราง” ที่สายลับทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเท่าชีวิตนั่นเอง....(นี่คือเศษเสี้ยวหนึ่งของเรื่องจริงเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แม้วันนี้ไม่มีตึกขาวแล้ว แต่ความลับของคนขายถ่านก็ยังเป็นคามลับอยู่....)

ภายในห้องประชุม “กล้า” (ชื่อพราง....ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว รถชนที่ กทม.) หัวหน้าใหญ่ โครงการข่าวลับประจำประเทศลาว นั่งตำแหน่งประธานของที่ประชุม มอบหมายให้ “หน.ฝ่ายปฏิบัติการ” (หน่วยปกติ คือ ฝอ.3…. นายทหารยุทธการและการฝึก) เป็นผู้ชี้แจงตามลำดับในแผนการแก่สายลับระดับหัวหน้าทีมทั้ง 32 ทีม ทั้งประเทศ ตั้งแต่ อ.เชียงแสน เชียงราย ถึง อ.โขงเจียม อุบลราชธานี....

ทีมเชียงแสน : ขอรายงานเพิ่มเติมกรณีเรือขนอาวุธพม่าปะทะทหารลาว ที่สามเหลี่ยมทองคำ อาวุธนั้นเป็นของทหารพม่า กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ หรือกลุ่มค้ายาเสพติดไทย หรือของใคร

ทีมด่านซ้าย : ขอรายงานเพิ่มเติมกรณีไม้เถื่อน ที่ศึกร่มเกล้า ชาติตระการ พิษณุโลก

ทีมบึงกาฬ : คำชมเชยจาก บก. จำนวนข่าวเข้าในรอบปีมากที่สุด...คำชมเชยจาก CIA กรณีภารกิจก่อวินาศกรรม 6 ครั้งประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ .... คำชี้แจงจากกองทัพไทย กรณีทางการลาวขอให้ส่งตัว ท้าวคำเกิด สีอินปัน ชาวลาวอพยพอยู่ในไทย ที่ส่งกลุ่มปะติกาน (ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล) ไปบ่อนทำลายในประเทศลาว กรณีนี้กองทัพบกได้ชี้แจงผ่านกระทรวงการต่างประเทศว่า ท้าวคำเกิด สีอินปันไม่ใช่คนไทย จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆได้

ทีมโพนแพง : ขอรายงานเพิ่มเติมกรณีการเคลื่อนไหวของเวียดนามอพยพ ขอตัวเลขยืนยันว่า ณ วันนี้มีผู้อพยพใหม่เข้ามาเท่าไหร่

ทีมโขงเจียม : ขอรายงานเพิ่มเติมกรณี ทหารเขมรกลุ่มพอลพต กับทหารเวียดนาม บริเวณที่พื้นที่รอยต่อสามประเทศ ขอยืนยันที่ตั้ง กำลังพล อาวุธ และงบประมาณสนับสนุนการรบ

ทีมนครพนม : ห้ามนำบุคคลภายนอกเข้าทีม แม้แต่ลูกเมียเพื่อนฝูงก็ไม่ได้เพื่อไม่ให้เสียลับ

ทีมน่าน : กรณีส่งตัวลูกทีมกลับหน่วยต้นสังกัด ข้อหาผิดวินัย กรณีนี้ไม่อนุมัติแต่ให้ หน้าทีมไปดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยแล้วรายงานด้วย

ทีมเชียงของ : ใช้งบพัฒนาสัมพันธ์มากกว่างบการข่าว เทียบกับจำนวนข่าวที่ได้ ถือว่าน้อยมาก ขอให้ปรับปรุงวิธีการบริหารใหม่

งานประชุมประจำปีงวดนั้นจบลงจะเป็นแบบ กร่อย/ตื่นเต้น/ปกติ ไม่มีใครใส่ใจ เพราะนี่คือประเพณีวัฒนธรรมปฏิบัติของทหารอยู่แล้ว แม้ทั้งกว่า 50 คน จะมาจากต่างหน่วย ต่างชั้นยศ ต่างสถาบัน และอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหา หัวใจทุกดวงพร้อมรับภารกิจใหม่อยู่เสมอ นี่คือ สายเลือด จิตรวิญญาณและปณิธาน ของลูกผู้ชาย ชายชาติทหาร

123. นักย่อยข่าว :
หลังการประชุมประจำปีเสร็จสิ้น เหล่าสายลับ CIA หลายคน หลายคู่คุยกันด้วยความสนิทสนมส่วนตัว โอกาสนั้น หน.ทีมบึงกาฬ คำเกิด สีอินปัน กับ หน.ทีมด่านซ้าย บุนโฮม แสงโสม นั่งจิบเบียร์เบาๆ คุยกันที่มุมห้องสโมสร

บุนโฮม : เฮ้ย คำเกิด ถามจริง เพื่อนทำข่าวยังไงถึงข่าวเยอะจนได้ที่ 1 ทั้งรอบ 3 เดือน รอบ 6 เดือน นี่รอบปีก็ยังได้อีกด้วย
คำเกิด : อ้าววว เพื่อนต้องออกไปหาข่าวซี่ อย่ารอให้ข่าวมันมาหา ถึงจะได้ข่าวมาทำข่าว

บุนโฮม : พูดง่ายทำยากว่ะ ใจคอจะให้สายข่าวไปกินไปนอนกับแหล่งข่าวเลยเหรอ ?
คำเกิด : เฮ่ยยย ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อย่าซิว่า แหล่งข่าวที่เป็นคน คนมีชีวิต ต้องเกิด กิน แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์ ต้องไปต้องมา ต้องทำต้องไม่ทำ อะไรๆก็เป็นข่าวได้ทั้งนั้น

บุนโฮม : (ตีหน่าคิ้วย่น) ยกตัวอย่างซิเพื่อน เอาอย่างที่เพื่อนทำนั่นแหละ
คำเกิด : O.K. งานดักฟังข่าววิทยุทหารลาว ทหารเวียดนาม ยังทำได้ดีไหม ?

บุนโฮม : ก็ดี ไม่มีปัญหา
คำเกิด : เอ้า.... เราเริ่มจับหน่วยทหารที่เข้ามาวางกำลังตรงไหนก่อนก็ได้ ทั้งทหารลาว ทหาร เวียดนาม วันนี้มันมา อีกวันสองวันรุ่งขึ้นมันก็ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ ไปเที่ยว ไปลาดตระเวน หรือปฏิบัติภารกิจอะไรซักอย่าง เพราะหน่วยเหนือของมันคงไม่ปล่อยทหารนอนเฉยๆหรอก ว่ามั้ย

บุนโฮม : เออ อันนี้เข้าใจ
คำเกิด : เราก็มาอ่านแผนในแผนที่ซี่ว่า รอบๆจุดทั้งตั้งตรงนั้นมีหมู่บ้านไหม มีตลาดไหม มีสี่แยกสามแยกใหญ่ไหม หรือว่ามีจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆไหม ?

บุนโฮม : แล้วไง ?
คำเกิด : เราก็อาจจะสั่งแหล่งข่าวให้ไปดักดูซักครั้งนึง หรือถอดรหัสลับในข่าวดักฟัง หรือสอบถามคนลาวที่ข้ามมาเมืองไทย ว่าเคยเห็นทหารหน่วยนี้ไหม ทำได้ทั้งนั้น อันนี้จะทำให้เรารู้วงรอบในการปฏิบัติภารกิจของทหารหน่วยนั้นอีกด้วย

บุนโฮม : นี่มันข่าวเดานี่นา ไม่ใช่ข่าวกรอง
คำเกิด : แต่มันก็จริงไม่ใช่เหรอ การที่จะเอาแต่ข่าว ก-1 คนรายงานไปเห็นมากับตา กับ เอ-1 เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าเลยน่ะ มันไม่มีหรอก

บุนโฮม : แบบนี้ก็ได้ทีละหลายๆข่าวน่ะซี
คำเกิด : แน่นอน ยิ่งทหารหน่วยไหนอยู่นาน การเคลื่อนไหวการปฏิบัติการย่อมมีมากตาม แถมมีข่างความเคลื่อนไหวจากหน่วยเหนือ จากหน่วยอื่น ข่าวประชาชน ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวน้ำไหลไฟดับ ข่าวข่มขืน ข่าวอย่างอื่นตามมาอีกเยอะแยะ นั่นใช่ข่าวไหมล่ะ

บุนโฮม : อือว่ะ
คำเกิด : เอาน่า ถ้าอ่านเกมส์ออกนะเพื่อน ทหาร 1 หน่วย ปักหลักนาน 1 เดือน เอาไปเลย จำนวนทหาร คูนด้วย 10 ขี้คร้าน COMMO จะเคาะส่งข่าวไม่ทันซะอีกแน่ะ

บุนโฮม : งั้นกลับไปคราวนี้กูเอาบ้างวะ
คำเกิด : ก็น่าจะเอามาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เหรอ ?

บุนโฮม : อืมมม ว่ะ
คำเกิด : มึงจะไปอินังขังขอบอะไรกับ CIA อเมริกานัก มัยไม่ใช่พ่อเรานี่หว่า....

124. ปา เก๊า เย้ากู้ชาติ :
COMMO : หัวหน้าครับ มี หขส. จาก 309 ครับ
ลุงคิม : ว่ามาเลย

COMMO : ครับ....
ขอให้ส่งข้อมูล กกต. กลุ่มปา เกา เฮ่อ. และยืนยันความน่าเชื่อถือ ....
1. พิกัดที่ตั้งฝั่งลาว
2. ลักษณะภูมิประเทศที่ตั้ง
4. จำนวน กตต. ในฐาน และนอกฐาน
5. พื้นที่ปฏิบัติการในลาว
6. จำนวนและท่าทีประชาชนที่สนับสนุน
7. การกวาดล้างจากฝ่ายรัฐบาล
8. ความต้องการการสนับสนุนจากนอกประเทศ
9. แผนการในอนาคตของกลุ่ม
10. ขีดความสามารถของกลุ่มนี้
ลุงคิม : (อ่านซ้ำข้อความยืนยันคามน่าเชื่อถือ 2-3 รอบ)....โอ้โฮเฮ้ย นี่ใช้กูคุ้มเลยนี่หว่า
COMMO : หมายความว่าไงครับหัวหน้า

ลุงคิม : จะหมายความว่าไงซะอีกล่ะ รายละเอียดยืนยันข่าวสารระดับนี้ ต้อง ก1 เอ1 เลยนะมึง
COMMO : (ทวนคำตอบ ก1 รายงานข่าวด้วยตัวเอง เอ1 สัมผัสข่าวด้วยตัวเอง)....หัวหน้าจะทำยังไงต่อครับ

ลุงคิม : คงต้องข้ามไปฝั่งลาวแหละวะ ไม่งั้นจะพิสูจน์ยืนยันความน่าเชื่อถือระดับ ก1 เอ1 ได้ไง
COMMO : (ลูกทีม 2 คน เข้ามาร่วมฟังด้วย).... เสี่ยงนะหัวหน้า ถ้าลาวจับได้ละก็เรื่องใหญ่ระดับโลกแน่

ลุงคิม : อืมมม เรื่องนี้ขอไปคุยกับปา เกา เฮ่อ. ก่อนนะ

ต้นเหตุของเรื่อง :
บ้านคนอยู่อาศัย สร้างโดย CIA หน่วยข่าวลับจากอเมริกา ปฏิบัติภารกิจต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์สายเหนือ บ้านใหญ่ขนาด 20 ห้อง ตั้งอยู่บนลาดเอียงริมน้ำโขง มีที่จอรถรับได้ 10 คัน บนบกพื้นราบ

พื้นเดิมคือ “บ้านหัวเวียง” หมู่บ้านหนึ่งในเขตเทศบาล อ.เชียงของ เชียงราย ความที่มีหลากหลายหน่วยราชการ อาทิ ตชด. ทหาร. กอ.รมน. หน่วยข่าวกรอง. ฯลฯ เข้าออกเพื่อประสานงาน จึงถูกขนานนามว่า “ค่ายหัวเวียง” ฉะนี้

ปีนั้น พ.ศ.นั้น จนท.CIA จากอเมริกา คนหนุ่ม ชื่อ มร.บิลล์ พูดภาษาไทยเหนือ ไทยภูเขาได้หลายเผ่า ชื่อพรางงานข่าวลับภาษาไทยว่า “สุบิน”

คำเกิด : บิน .... มึงนี่เก่งนะ พูดภาษาชาวเขาได้ตั้งหลายภาษา
บิลล์ : THANK YOU

คำเกิด : แต่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง
บิลล์ : (ตีหน้างง) .... ภาษาคนพูดยังไง

คำเกิด : นี่แหละที่ว่าไม่รู้เรื่องละ....งานส่งข้าวสาร กตต. (กลุ่มต่อต้าน) งวดหน้าแล้วก็ต่อๆไปทุกงวดด้วย เอาข้าวสารลงที่บ้านนี้กระสอบนึง เสบียงอย่างอื่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋อง อย่างละลัง โอ.เค.ไหม ?
บิลล์ : ไม่ โอ.เค. เพราะภาษาคนไม่รู้เรื่อง.... O.K. ?

คำเกิด : NO …. กูไม่ได้เอาไว้กินเองแต่จะเอาไปให้ กตต.เย้า กลุ่มปา เกา เฮ่อ ในศูนย์อพยพกิน
บิลล์ : O.K. อันนี้รู้เรื่อง .... จัดให้

ค่ายหัวเวียงอยู่ตรงข้ามเมือห้วยซาย แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว กับที่ตั้งทหารลาว “ค่ายสิบ” มีทหารลาประจำการ 1 กองร้อย (30 คน)

บ้านหาดไคร้ ชายหาดริมโขง แหล่งจับปลาบึกที่มีชื่อเสียง
คำสาบ....คราที่พระเจ้าชัยเชษฐาธิราช กษัตริย์ลาว เยือนไทยเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี แล้วถูกฝ่ายกบฏยึดอำนาจ เมื่อพระเจ้าชัยเชษฐาธิราชเสด็จกลับลาวไม่ได้ จึงลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย ได้สร้างพระธาตุศรีสองรักษ์ อ.ด่านซ้าย เลย เป็นสักขีพยาน กับสาปแช่งไว้ว่า

@@ “ให้ลาวเจริญรุ่งเรืองแค่ช้างกระพือหู งูแลบลิ้น” ....หลักฐานพยานยืนยันเรื่องนี้ไม่ปรากฏ
@@ “ให้ไทยซาว ให้ลาวได้ 1” …. หลักฐานพยานยืนยัน คือ ประมงไทยกับประมงลาวร่วมจับปลาบึกที่บ้านหาดไคร้ด้วยกัน เมื่อไทยจับปลาบึกได้ 20 ตัวแล้วลาวจึงจะจับได้ 1 ตัว เป็นเยี่ยงนี้เสมอมากระทั่งปัจจุบัน (ปีที่ทำงานสายลับ)....

ที่ศูนย์อพยพ อ.เชียงของ เชียงราย เป็นแหล่งรับผู้หนีภัยสงครามจากลาวเตรียมลี้ภัยไปประเทศที่ 3 ภายไต้การสนับสนุนของ CIA …. ลาวภูเขาเผ่าเย้า เป็นกลุ่มใหญ่สุดในจำนวนผู้อพยพทั้งหมด โดยท้าวปา เกา เฮ่อ. เป็น หน.ใหญ่

คำเกิด : (ทักทายก่อนด้วยความสนิมสนม)....ซำบายดี ปา เก๊า.
ปา เกา เฮ่อ : ซำบายดีหัวหน้า อาทิตย์ก่อน ฝรั่งหัวหน้าบิน. มาที่นี่

คำเกิด : (หน.กลุ่มม้งรายงาน ม้งระดับรอง 3-4 คนเข้ามาสมทบ) .... เขาว่าไงบ้าง
ปา เกา เฮ่อ : หัวหน้าบิน.บอกให้รายงานกลุ่มม้งกู้ชาติ แล้วจะให้เงินกับอาวุธสนับสนุน

คำเกิด : (ปา เกา เฮ่อ. ยื่นกระดาษบันทึกตัวหนังสือภาษาลาวส่งให้ อ่านดูแว้บเดียวก็รู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับใน หขส.) ....ก็ดีนะปา เกา. แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ
ปา เกา เฮ่อ : ฝรั่งหัวหน้าบิน. ต้องการความจริงทั้งหมด ต้องมีหลักฐานด้วย...

คำเกิด : หลักฐาน.... หลักฐานอะไรบ้าง
ปา เกา เฮ่อ : (ปา เกา เฮ่อ. ยกมือพนมไหว้ รอง หน.อีก 3 คนไหว้ตาม) .... หัวหน้าครับ อนาคตของเผ่าม้ง ประเทศลาว ต้องฝากไว้กับหัวหน้า ช่วยพิสูจน์ยืนยันความจริงของม้งกู้ชาติ

คำเกิด : พิสูจน์ ยืนยัน .... ทำยังไง
ปา เกา เฮ่อ : หัวหน้าต้องข้ามไปประเทศลาว ไปดูให้เห็นกับตาแล้วมาบอกฝรั่งหัวหน้าบิน.แบบนี้เท่านั้นที่ฝรั่งหัวหน้าบินจะเชื่อ

คำเกิด : อันนี้ปา เกา. คิดเอง หรือฝรั่งหัวหน้าบินคิดให้ ?
ปา เกา เฮ่อ : ปา เกา. คิดเอง

คำเกิด : (สูดลมหายใจเข้าปอดลึก).... เปา เกา. เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะ งานนี้ถ้าทหารลาวจับได้ เรื่องใหญ่เชียวนะ
ปา เกา เฮ่อ : จับหัวหน้าไม่ได้หรอก ถ้าหัวหน้าถูกจับ ปา เกา.ขอตายแทน

คำเกิด : เฮ่ยยยย มันตายแทนกันได้ที่ไหน อย่างดีก็ตายทั้งสองคน...
ปา เกา เฮ่อ : ไม่ตายครับหัวหน้า ม้งจะคุ้มกันหัวหน้าด้วยชีวิต หัวหน้าอยู่ตรงไหน ตรงนั้นจะมีม้งล้อมรอบอย่างน้อย 50 คน หัวหน้านอนที่ไหน จะมีม้งล้อมรอบบ้านหัวหน้า 100 คน ถ้าทหารลาวเข้ามา ม้งจะเข้าหาทหารลาว เอาชีวิตแลกกับทหารลาวทันที .... ขอสาบาลว่า ทุกคนจะยอมตายแทนหัวหน้า

คำเกิด : (คิดอยู่นาน)....O.K. งั้นขอรายละเอียดงานนี้ซิ
ปา เกา เฮ่อ : ตกลงครับหัวหน้า เราจะขึ้นฝั่งแม่โขงไปลาวที่ทางไต้ของเมืองห้วยซาย 20 กิโล ขึ้นฝั่งไปแล้วเดินทางต่อ 20 กิโล เดินทางกลางคืนแค่ครึ่งคืนก็ถึง กับตลอดเส้นทางเดินทางตั้งแต่ริมแม่โขงจนถึงบ้านม้งจะมีม้งกู้ชาติรักษาเส้นทางให้ด้วย

คำเกิด : เส้นทางที่ไป ผ่านหมู่บ้านไหม
ปา เกา เฮ่อ : ไม่มีครับหัวหน้า เส้นทางในป่าทั้งหมด ป่าพื้นนี้นี้ม้งเดินมาตั้งแต่เกิดแล้ว ทุกคนชำนาญมาก

คำเกิด : พอไหววะปา เกา. ออกเดินทางเมื่อไหร่ดีล่ะ ...
ปา เกา เฮ่อ : (ได้ยินคำนี้ ม้งหัวหน้า กับม้งรอง ยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความรู้สึกขอบคุณ).... แล้วแต่หัวหน้า

คำเกิด : ขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ 3 วัน เอาวันเดือนมืดก็แล้วกัน
ปา เกา เฮ่อ : ครับ

แล้ว THE LONGEST DAY วันพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี เยอรมัน ตรงกับวันกระบวนการกู้ชาติลาวข้ามโขงพอดี ราวพระเจ้าลิขิต ทันทีที่เท้าพ้นพื้นน้ำริมโขงเหยียบลงพื้นดินก็รู้ทันที่ว่านั่นคือเชิงเขา จากตีนเขาไต่สูง สูงขึ้นเรื่อยๆ ๆๆ กระทั่งถึงยอดเขา ทุกย่างก้าวไปอย่างไม่รีบร้อน ปา เกา เฮ่อ. หัวหน้าม้ง เดินประกบหัวหน้าหน่วยข่าวลับ คอยตรวจสอบสัญญาณกับรองหัวหน้าถึงม้งอารักขาตลอดเวลา เส้นทางเดินจากเขายอดแรกไปตามสันเขาถึงยอดต่อๆไป แม้จะเป็นแค่ทางเดินเท้าแต่ราบเรียบ บ่งบอกว่า เส้นทางสันเขาเส้นนี้มีคนใช้สัญจรอยู่ประจำ

การเดินทางค่ำคืนนั้น หัวหน้าม้งสั่งหยุด หยุดแล้วเดิน แล้วตรวจสอบความแน่ใจจากหน่วยอารักขาทุกระยะ 1 กิโล

ตี.4 บรรลุที่หมาย ม้งระดับรองหัวหน้า 4 คน แยกย้ายไปตรวจพื้นที่ด้านที่ได้รับมอบ เพื่อกำกับกำลังม้งอารักขาตามจุดที่วางแผนไว้อย่างเคร่งครัด บรรยากาศยามนั้นเงียบยิ่งกว่าป่าช้า

รุ่งเช้า แสงสว่างโพล้เพล้ๆ เริ่มมองเห็นหน้ากันชัดเจน ตรงนั้นเป็นบ้านไม้ไผ่ ยกพื้นสูงระดับหัวเข่า หลังคามุงหญ้าแฝก พื้นไว้กระดาน ทั้งหลังมีห้องเดียวโล่ง ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีห้องครัว

ในบ้าน ณ เวลานี้มีเพียง ปา เกา เฮ่อ. หัวหน้าม้งกู้ชาติ รองหัวหน้าม้ง 2 คน กับท้าวคำเกิด. หัวหน้าข่าวลับเท่านั้น นั่งคุยกันอยู่เงียบๆ แต่จริงจังเกี่ยวกับข้อมูลพิสูจน์ยืนยันที่ ซีไอเอ. ต้องการจนกระทั่งค่ำ

ปา เกา เฮ่อ : หัวหน้า คืนนี้หัวหน้านอนบ้านนี้ ผมจะไปนอนบ้านหลังโน้น .... หัวหน้า ปา เกา. ขอตอบแทนหัวหน้า คืนนี้จะมีผู้สาวมาให้หัวเลือก 3 คน หัวหน้าเลือก 1 คน แล้ววันพรุ่งนี้กับวันต่อไปก็จะมีมาให้เลือกอีก
คำเกิด : (คิ้วย่น ไม่ค่อยเข้าใจนัก) .... ก็ลองดู

แล้วคำตอบก็มาเมื่อเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หัวหน้าข่าวลับอยู่คนเดียวในบ้าน แม้ไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงหรือเทียนไข แม้จะมืดสลัวแต่ก็พอเห็นลางๆว่า ผู้หญิงสาว 3 คนเข้ามาหา นั่งเรียงกันอยู่ข้างหน้า

สาวม้ง : ท่านปา เกา. สั่งให้มา แล้วให้ท่านเลือก 1 คน
คำเกิด : อ๋ออออ เข้าใจแล้ว เอางี้ทั้ง 3 คนกลับไปเถอะนะ เราไม่เอาหรอก...

สาวม้ง : ไม่ได้ .... ท่านปา เกา. สั่ง
คำเกิด : ตอนนั้นท่านปา เกา. สั่งให้มา แต่ตอนนี้เราสั่งให้ไป เจ้าจะทำตามคำสั่งใคร...

สาวม้ง : คำสั่งท่านค่ะ...

ม้ง 3 สาว คุกเข่า สองมือยันพื้น แล้วโค้งตัวก้มหัวลงสัมผัสพื้น แสดงการเคารพอย่างสุดซึ้งพร้อมกับเอ่ยวาจาภาษาม้งเบาๆ แปลว่าอะไรไม่รู้

คืนนั้นเหตุการณ์ปติ หัวหน้าข่าวลับหลับสบาย เช้าวันรุ่งขึ้นพบหน้า ปา เกา เฮ่อ. ก็ไม่ได้ปริปากพูดเรื่องส่งคืนสาวม้ง... ตกคืนที่ 2 ปา เกา เฮ่อ. ต้อนรับอย่างเดิม

สาวม้ง : ท่านปา เกา. สั่งให้มา แล้วให้ท่านเลือก 1 คน
คำเกิด : (ม้งวันนี้สาวกว่าเมื่อวาน) .... ทั้ง 3 คนกลับไปเถอะนะ เราไม่เอาหรอก

สาวม้ง : ไม่ได้ค่ะ .... ท่านปา เกา. สั่ง
คำเกิด : ตอนมาท่านปา เกา. สั่งให้มา มาแล้วเราสั่งให้ไป เจ้าจะทำตามคำสั่งใคร

สาวม้ง : คำสั่งท่านค่ะ...

ตกคืนที่ 3 ปา เกา เฮ่อ. ต้อนรับอย่างเดิม
สาวม้ง : ท่านปา เกา. สั่งให้มา แล้วให้ท่านเลือก 1 คน
คำเกิด : (ม้งวันนี้สาวกว่าวันแรก แต่แก่กว่าวันวาน) ทั้ง 3 คนกลับไปเถอะนะ เราไม่เอาหรอ

สาวม้ง : ไม่ได้ค่ะ .... ท่านปา เกา. สั่ง
คำเกิด : ตอนมาท่านปา เกา. สั่งให้มา มาแล้วเราสั่งให้ไป เจ้าจะทำตามคำสั่งใคร

สาวม้ง : คำสั่งท่านค่ะ

ภารกิจเสร็จสิ้นบรรลุวัตถุประสงค์ทุกประการ กระทั่งเดินทางกลับถึงศูนย์รับผู้อพยพ ที่ประเทศไทย ปา เกา เฮ่อ. เพิ่งถึงบางอ้อว่า สาวบรรณาการทั้ง 3 นั้น หัวหน้าข่าวลับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

ปา เกา เฮ่อ : ปา เกา ขอบใจหัวหน้าหลายๆ หัวหน้าเป็นคนดีหลายๆ ขอให้หัวหน้าเจริญหลายๆ

125. สายลับ เบอเลอะ-เบอเต๋อ :
เชียงของ อ.เล็กๆ ห่างจากตัวจังหวัดเชียงรายกว่า 100 กม. ทั้งอำเภอมีร้านอาหารระดับ 5 ดาว รับแขก “VVIP” ได้เพียงร้านเดียว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่

เย็นวันนี้เช่นเดียวกับวันก่อนที่ทางร้านมีโอกาสรับแขก เด็กเสิร์ฟถือจานอาหารเดินวนไปรอบร้าน แต่เลือกโต๊ะวางอาหารไม่ได้ ต้องกลับเข้าไปแคชเชียร์ ผู้จัดการใหญ่เห็น...สงสัย

ผจก. : อีนาง ทำไมไม่เอาอาหารไปเสิร์ฟ ?
เด็กเสิร์ฟ : เสิร์ฟใครคะผู้จัดการ ?

ผจก. : เสิร์ฟโต๊ะหัวหน้า

เด็กเสิร์ฟถือจานอาหารเดินออกไปอีกครั้ง เดินจนรอบร้านครบทั้ง 20-30 โต๊ะ แต่หาโต๊ะหัวหน้าไม่เจอจึงกลับเข้ามาหาผู้จัดการ

เด็กเสิร์ฟ : ผู้จัดการคะ เสิร์ฟโต๊ะหัวหน้าไหนคะ ?
ผจก. : หัวหน้าก็หัวหน้าซิวะ จะหัวอะไรอีกล่ะ ?

เด็กเสิร์ฟ : หัวหน้าเต็มร้านเลยค่ะ หัวหน้าคนไหนคะ ?
ผู้จัดการเกิดอาการงง เดินออกมาสำรวจหน้าร้านแล้วอุทาน

ผจก. : อุแม่เจ้า....หัวหน้าข่าว. หัวหน้าตำรวจ. หัวหน้า ตชด. หัวหน้า นปข. หัวหน้าป่าไม้. หัวหน้าศุลกากร. หัวหน้า ตม. หัวหน้าด่านสัตว์. หัวหน้าอนามัย. … จะอี้มันหัวหน้าเบอเลอะ เบอเต๋อ เน้อออออ

126. สมุนไพรไม่แรง :
สมช. : สารสมุนไพรไม่แรง หนอนแมลงไม่ตาย
ลุงคิม : ใช้สมุนไพรอะไร ? ทำแบบไหน ? วิธีใช้ ใช้ยังไง ?

สมช. : ใช้สะเดา ทำแบบที่เขาแนะนำ ใส่กากน้ำตาล ใส่จุลินทรีย์ ใช้ 50 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ล.
ลุงคิม : นั่นข้อมูลจากแหล่งส่งเสริมทั่วไป ทำไมไม่เอาข้อมูลองค์การเภสัชกรรม ร.พ.อภัยภูเบศร์

สมช. : ทำยังไงครับ ?
ลุงคิม : หมัก/ต้ม ต้มธรรมดา ต้มเคี่ยว ใช้สะเดาอย่างเดียว ใช้หลายๆอย่าง ได้ทั้งนั้น ที่แน่ๆ ไม่ใส่กากน้ำตาล ไม่ใส่จุลินทรีย์แต่ใส่เหล้าขาว ใส่น้ำส้มสายชู เป็นสารเร่งให้ตัวยาออกมาเร็วๆ มากๆ

สมช. : คนส่งเสริมไม่เคยแนะนำแบบนี้เลย
ลุงคิม : โทษคนส่งเสริมฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ ปัญหาก็คือ ทำไมคนรับการส่งเสริมจึงไม่ถาม ล่ะ คนรับการส่งเสริมไม่มีความรู้พื้นฐานก็ถามไม่เป็น เป็นธรรมดา นั่นคือ ต้องหาความรู้ไว้เป็นพื้นฐานให้กับตัวเอง .... เรื่องความรู้นี่สำคัญมาก ตราบใดที่เรายังทำการเกษตรอยู่ จำเป็นที่เราต้องสืบเสาะหาความ
รู้ไว้ โดยเฉพาะเรื่องเกษตร ยา ปุ๋ย พวกนี้เราต้องใช้ตลอดชีวิต ไม่ใช่เหรอ ?

สมช. : ใช่ครับ
ลุงคิม : เรื่องยาสมุนไพร ไม่ใช่แค่นี้นะ นอกจากรู้วิธีทำแล้ว ต้องรู้จักวิธีใช้ด้วย อย่างที่บอก ยาถูกแต่ใช้ผิด ยาผิดถึงจะใช้ถูก ไม่ได้ผลทั้งนั้น

สมช. : ครับ
ลุงคิม : ยาแรงไม่แรง ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าไม่แน่ใจว่ายาเราแรงไหม แรงมากหรือแรงน้อย เราฉีดพ่นบ่อยๆซี่ ฉีดมันวันละ 3 เวลา เช้าสายค่ำ ฉีดวันต่อวัน วันเว้นวัน แบบนี้เชื่อเถอะ หนอนแมลงอะไรก็อยู่ไม่ได้ นอกจากยาสมุนไพรแล้วยังมีวิธีการอื่นๆอีก เช่น ไอพีเอ็ม. บำรุงพืชสร้างภูมิต้นทาน.... เรื่องทำนองนี้ไม่ยากหรอกนะ ทุกอย่างมาจากใจเรานี่แหละ ลองถ้าใจไม่เอาซะอย่างอะไรๆก็ทำไม่ได้

127. 20 ปี ไม่รวย :
สมช. : ผมฟังผู้พันมาตั้งแต่โฆษณาไบโอคิงส์แน่ะครับ
ลุงคิม : ตั้งแต่ไบโอคิงส์ .... แสดงว่าฟังมานาน 20 ปีแล้ว

สมช. : ใช่ครับ
ลุงคิม : 20 ปี 20 ปี รวยรึยัง ?

สมช. : ยังครับ แค่ปลดหนี้ได้
ลุงคิม : อืมมมม ปลดนี้ได้แล้ว ชีวิตกลับมาที่ศูนย์แล้ว มันน่าจะรวย แล้วรู้ไหมว่าทำไมไม่รวย

สมช. : ไม่รู้ซีครับ
ลุงคิม : จะบอกให้ เพราะไม่ ต่อยอด/ขยายผล ยังไงล่ะ

สมช. : หมายความว่าไงครับ
ลุงคิม : ก็สูตรปุ๋ย สูตรยา สูตรฮอร์โมน สารพัดสูตรที่บอก เอาไปทำ ทำแล้วลองใช้ ใช้ไปปรับไป แก้ไขไป จนกระทั่งเห็นทาง เราก็ใส่อะไรต่อมิอะไรแบบ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก เข้าไปอีก ที่บอกว่า “ตาคิมเปอร์” ไงล่ะ

สมช. : ใช่ครับ
ลุงคิม : นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า “นักวิชาการชาวบ้าน”

สมช. : ครับ
ลุงคิม : ปัญหางานส่งเสริมตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พอจะเห็นแล้วว่า ตัวปัญหาจริงๆ อยู่ที่ “ใจ” ของเกษตรกร ไม่ใช่ “ความรู้” อะไรๆที่บอกไป ถ้าลองทำ ลองใช้ ครั้งสองครั้งก็จะเห็นช่อง จากช่องแรกต่อไปช่องสอง ช่องสาม ได้เอง....

นี่มั้ย “กับดักรายได้ปานกลาง” คนไทย เกษตรไรไทย สร้างกับดักขึ้นมาแล้วเข้าไปอยู่ในกับดักนั้นเอง .... มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่เป็นความเชื่อมั่นที่ผิด

128. ศึกร่มเกล้า :
เมื่อคราวศึกร่มเกล้า นปอ. (หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ....ส่วนแยก) ไปปฏิบัติการที่ อ.ท่าลี่ จ.เลย พื้นที่รอยต่อ ทภ.2 กับ ทภ.3 ภารกิจเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของอากาศยาน ทั้งของฝ่ายไทยและข้าศึก ....

งานนี้ลุงคิมรับหน้าที่ PLOT ตำแหน่งเครื่องบินในพื้นที่การรบรอบเนิน 1428 บ้านร่มเกล้า นครไทย พิษณุโลก (บันทึกประวัติศาสตร์....การรบระหว่างไทยกับลาวที่มีการสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด)

ขณะกำลังบันทึกการเคลื่อนไหวของเครื่องบิน (F-5 ไทย, MIG-19 ลาว) จากการ ตรวจ/รายงาน ของสถานี RADAR ที่ดอยอินทนนท์ อยู่นั้น พล.ท.อิสระพงษ์ หนุนภักดี มทภ.2 สังเกตการณ์อยู่

มทภ.2 : (ชี้ที่ PLOT BROAD ตำแหน่งสนามบินวัดไต เวียงจันทน์) ที่ MARK ลงไปนี่คืออะไร ?
ลุงคิม : ครับ .... นี่คือตำแหน่งปัจจุบันที่เครื่องบิน F-5 ของลาว ขั้นจากวัดไต เวียงจันทน์ มุ่งหน้าไปซำเหนือครับ

มทภ.2 : (ชี้ที่ PLOTER BROAD ตำแหน่งเนิน 1428) นี่ล่ะ คืออะไร ?
ลุงคิม : ครับ.... FLIGHT PATH อันนี้คือตำแหน่งปัจจุบันที่เครื่องบิน F-5 ของไทย กำลังปฏิบัติการครับ

มทภ.2 : (ตีหน้าคิ้วย่น เม้มริมฝีปาก กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก) F-5 กำลังปฏิบัติการในพื้นที่การรบ แล้วทำไม MIG-19 ไม่มาที่ 1428 แต่กลับบินไปซัมเหนือ มันคนละทิศละทางกันเลยนะ
ลุงคิม : ครับ อันนี้แสดงว่า ลาวยังไม่พร้อมรบกับไทย แต่เป็นการเตรียมความพร้อมเท่านั้น สังเกตจากเส้นทางการบินของลาว จากวัดไตไปซัมเหนือ ระยะทางบินเท่าๆกันกับจากวัดไตมา 1428

มทภ.2 : สังเกตจากอะไร ? อะไรเป็นสิ่งบอกเหตุ ? มีอีกไหม ?
ลุงคิม : ทุกครั้งที่ F-5 ขึ้นแล้วมาที่ 1428 MIG-19 ก็จะขึ้นด้วยทุกครั้ง แต่ไปทางซัมเหนือครับ นั่นหมายความว่า ถ้าลาวต้องการตอบโต้เรา MIG-19 จะพร้อมทันทีครับ

มทภ.2 : (มทภ.2 คิดต่อ) เครื่องบิน 2 ยี่ห้อนี้ สู้กันกลางอากาศจะเป็นยังไงไหม ?
ลุงคิม : คงยากที่จะสู้กันครับ เพราะ F-5 เก่งเฉพาะบินระดับสูงๆ แต่ MIG-19 เก่งเฉพาะบินระดับต่ำๆ ครับ อันนี้เราไม่รู้ว่านักบินของทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจ หรือได้รับคำสั่งยังไงครับ

มทภ.2 : (พลิกกระดาษสำเนา PLOT BROAD เก่า แล้วสั่งการทันที) แจ้งเรื่องนี้ไปที่ มทภ.3 บอก ให้ถอนกำลัง F-5 ด่วน เพราะถ้าลาวมันฮึดขึ้นมา คราวนี้ไม่ใช่พิพาทชายแดนธรรมดาๆ แต่มันจะเป็นศึกระหว่างประเทศ เผลอๆ เวียดนามเหนือ โซเวียต ลงมาเล่นด้วยละก็เรื่องใหญ่แน่ ...... (มทภ.2 พล.ท. อิสระพงษ์ หนุนภักดี กับ มทภ.3 พล.ท.ศิริ ทิวะพันธุ์ เป็นเพื่อนทหารจบ จปร.รุ่นเดียวกัน พูดคุย มึง-กู กันได้)

ลุงคิม : ขออนุญาตครับ แล้วภารกิจของผมยังทำต่อไปไหมครับ ?
มทภ.2 : ทำซี่ ทำต่อ ทำต่อไป แล้วรายงานด่วนให้ทราบทุกครั้ง

ลุงคิม : ครับ

129. แฟนนิยาย KIM ZA GASS :
นักบิน :

ช่วงไปเรียนหลักสูตรชั้นนายพันธุ์ ที่ รร.ป. ศป. (โรงเรียนทหารปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่) ค่ายพหลโยธิน ลพบุรี หลักสูตรนี้ต้อง เรียน/กิน/นอน นาน 6 เดือน ภารกิจหนึ่งที่เว้นไม่ได้ คือ เขียนนวนิยายสงครามส่งให้วารสารสมรภูมิ ทุกเดือน ๆละ 4 ตอน สำหรับตีพิมพ์ 1 เดือน ทุกครั้งเมื่อวารสารส่งไปถึง เพื่อน นทน. (นายทหารนักเรียน) นักบิน ศบบ. (ศูนย์การบินทหารบก) จะขอยืมไปอ่านก่อน และทุกครั้งจะเปิดคอลั่มน์นิยายสงครามอันดับแรก

KIM ZA GASS : ชอบอ่านนิยายสงครามเหรอ ?
นักบิน : อือออ มันมันโม้ดีว่ะ

KIM ZA GASS : อ้าววว โม้แล้วอ่านทำไมล่ะ ?
นักบิน : มันโม้มีหลักการว่ะ

วันนั้น ค่ำแล้ว ขณะกำลังเขียน (พิมพ์ โดยไม่ร่างไว้ก่อน) ในห้องพัก เพื่อนนักบินจะเข้ามาคุยด้วย พอเห็นต้นฉบับที่พิมพ์แล้ว 10 กว่าแผ่น (ตอนละ 5 แผ่น กระดาษ เอ 4) วางข้างๆพิมพ์ดีด จึงหยิบขึ้นไปอ่าน อ่านที่พิมพ์แล้วจบแล้ว ชะโงกมาอ่านบนเครื่องพิมพ์ดีดอีก ....

ยังไม่พูดอะไร กลับไปที่ห้องพักตัวเองแล้วหยิบวารสารสมรภูมิเล่มเก่าที่สำนักพิมพ์ส่งมาให้ วางทับบนต้นฉบับที่กำลังพิมพ์ใหม่

นักบิน : นี่มันเรื่องเดียวกันนะ ?
KIM ZA GASS : ใช่

นักบิน : (ถามซ้ำ 2-3 ครั้ง เหมือนเพื่อยืนยัน แล้วตอบ) ตกลง มึงเป็นคนเขียนเหรอ ?
KIM ZA GASS : เออ ทำไมเหรอ ?

นักบิน : ไม่ทำอะไรหรอก กูเลิกอ่านละ
KIM ZA GASS : (หัวเราะในลำคอ) อ้าวแล้วกัน ลูกค้าหายไปหนึ่งคนว่ะ

นักปฏิวัติ :
คราวครั้งปฏิวัติ “พฤษภาทมิฬ” มีคำสั่งด่วนมาก ให้ “คิม ซา กัสส์” ไปช่วยราชการที่ บก. คณะปฏิวัติ ทราบภายหลังว่า มีคำสั่งแบบเดียวกันนี้ไปถึง “กระจกฝ้า” (พล.ท. อุทาน สนิทวงษ์ ณ อยุธยา) ด้วย .... ภารกิจ “เขียน” บทความต่อต้านฝ่ายตรงข้าม ผ่านสื่อทุกชนิดที่มีในกองทัพบก งานนี้

กระจกฝ้า เขียน คิม ซา กัสส์ ตรวจ/แก้ .... คิม ซา กัสส์ เขียน กระจกฝ้า ตรวจ/แก้ ....

ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่า ใครเป็นเขียน และใครอยู่เบื้องหลัง
ขณะสองนักเขียนบทความปลุกระดมกำลังร่างสคริป เตรียมส่ง ทีวี., สถานีวิทยุสังกัด ทบ. อยู่นั้น พล.ท. บัญชร ชวาลศิลป์. เดินเข้ามา ในมือถือหนังสือเล่มนึง ก้มหน้าอ่านเอาจริงเอาจัง เข้ามาใกล้ๆ จึงรู้ว่าเป็นหนังสือนิยายสงครามที่ คิม ซา กัสส์ เขียน

พล.ท. อุทาน : ชอบอ่านนิยายสงครามเหมือนกันเหรอ ?
พล.ท. บัญชร : ครับพี่ นิยายเรื่องนี้ เค้าโครงมาจากเรื่องจริง ก็ให้สงสัยเหมือนกันว่า คนเขียนเป็นทหารบก หรือนักบิน เอฟ-4 กันแน่

จังหวะนั้น คิม ซา กัสส์ ต้องออกนอกห้องไปพบและรับคำสั่ง หน.ฝ่ายเสธ. ไม่ถึง 5 นาทีก็กลับมา

พล.ท. บัญชร : (ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า เดินหน้าเขามาหา พูดนำเสียงดังลั่น) คิม ซา กัสส์ ดีใจจริงๆที่ได้รู้จัก นึกแล้วเชียวว่า คิม ซา กัสส์ ต้องเป็นทหารบก เหล่าปืนใหญ่ด้วย อันนี้ดูจากการขอยิงปืนใหญ่ .... ยินดี ยินดีด้วยจริงๆ

เหลือบสายมองไปทาง พล.ท.อุทาน เชื่อว่าเป็นคนบอกความจริงทั้งหมด ไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามกลับยินดีด้วยซ้ำ เพราะทุกเรื่องไม่ใช่ความลับ พล.ท.บัญชร ยื่นมือขวามาขอ SHAKE HAND แล้วเขย่าแรงเต็มที่

คิม ซา กัสส์ : ขอบคุณครับ

นักรบ :
ตอนเที่ยงของวันหนึ่งแห่ง “ศึกร่มกล้า” นครไทย พิษณุโลก สายตาทหารอาชีพ ทหารพราน กว่า 200 คู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง จับจ้องสลับบนฟ้ามองหาเครื่องบิน เอฟ-5 กับ เนิน 1428 ภูเขาลูกตรงข้าม ห่างราว กม.กว่าๆ พื้นที่หรือภูพิพาท มีทหารลาว 1 กองร้อย (20 คน) ฝังตัวอยู่บังเกอร์ คงรู้ตัวดีว่า เอฟ-5 จะต้องทิ้ง BOMB อย่างแน่นอน

ทหารพรานคนหนึ่งเอ่ยเสียงออกมา “แบบนี้มันน่าจะให้จ่าดาวเหนือมาจัดการ ว่ามั้ย ?” หมายถึง “จ่าดาวเหนือ NORTH STAR SERGEANT” หัวหน้าชุดล่าสังหาร นวนิยายสงครามในวารสารสมรภูมิ

ลุงคิม กับนายสิบลูกน้องราว 10 คน นั่งเชียร์ เอฟ-5 อยู่ข้างหลัง ทุกคนรู้จักชื่อ “จ่าดาวเหนือ” ดี ไม่พูดอะไร ได้แต่หัวเราะในลำคอ....

130. เข็ม ปปร. :
พ.อ.พิชัย ฉินโสต ผบ.ปตอ.1 โดยส่วนตัวมีความใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน ร.7 จึงได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึก “ปปร” ประดับที่ฝากระเป๋าเสื้อ (ซ้าย) เครื่องแบบปกติ จำนวน 20 อัน โดยมอบอำนาจแก่ พ.อ.พิชัยฯ มอบต่อให้แก่ทหาร (บุคคล) หรือหน่วยทหาร ที่มีคุณต่อแผ่นดิน

เข็มที่ระลึก 20 อันแรก ที่รับพระราชทานตรงจากพระหัตถ์ ได้มอบให้แก่ทหารสังกัดหน่วย พล.ปตอ. เฉพาะระดับผู้นำหน่วย (ผบ.พล., ผบ.กรม, ฝ่าย เสธ., ผบ.พัน.) เท่านั้น

พ.ต.วีระ ใจหนักแน่น ฝอ.2 (นายทหารการข่าว - ฝอ.2) ปตอ. 2 พื้นฐานตำแหน่งทางทหาร ไม่ ใช่ ผบ.หน่วย ไม่ใช่ฝ่าย เสธ. กำเนิดชีวิตทหารจากนักเรียนนายสิบ (ไม่ใช่จบจาก จปร.) ได้รับพิจารณาจาก พ.อ.พิชัยฯ ให้ได้รับเข็มที่ระลึก ในชุดที่รับ “พระราชทานตรงจากพระหัตถ์” นี้ด้วย

เหตุการณ์ต่อมา พ.อ.พิชัยฯ ได้ขอพระราชทานอนุญาตมอบเข็มที่ระลึก “ปปร” นี้แก่นายทหารสังกัด พล.ปตอ. ทุกนาย กระทั่งปัจจุบัน

131. สายลับ VS หลวงพ่อ :
ปี พ.ศ.นั้น คำเกิด ศรีอินปัน หน.หน่วยข่าวลับ ทีมบึงกาฬ หนองคาย วันที่ 10 ก.พ. วันชิงหมาเกิด ออกปากชวนสาวใหญ่ช่างเสริมสวย (กิ๊กหัวหน้าทีมข่าวลับ บึงกาฬ หนองคาย รุ่นพี่) ไปทำบุญที่วัดภูกระแต ท้ายตลาดบึงกาฬ ราว 7 โมงเช้าถึงวัด พบหลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่งอยู่บนกุฎิองค์เดียวจึงขึ้นไปกราบนมัสการ แล้วแจ้งความประสงค์ ขอถวายอาหาร กับขอพรวันเกิด

หลวงพ่อ : (ถามนำ) วันนี้โยมไม่ไปทำงานเหรอ ?
คำเกิด : (มองหน้าหลวงพ่อ) ไปครับ เสร็จงานนี้แล้ว ถึงจะไปครับ

หลวงพ่อ : ดีนะ ทำเถอะ เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ความตั้งใจดี มีพระคุ้มครองนะโยม

เสร็จงานทำบุญ ขณะนั่งรถออกจากวัด....
สาวใหญ่ : คุณคำเกิด รู้จักกับหลวงพ่อมาก่อนเหรอ ?
คำเกิด : หมายความว่าไงครับ ?

สาวใหญ่ : เห็นหลวงพ่อทักคุณแบบนั้น แสดงว่า ท่านต้องรู้จักคุณคำเกิด แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณคำเกิดทำงานอะไร ?
คำเกิด : อืมมม ไม่ได้รู้จักมาก่อนหรอกครับ แล้วผมก็เพิ่งมาที่นี่ ครั้งนี้ครั้งแรกด้วย

สาวใหญ่ : งั้นย้อนกลับไปถามหลวงพ่อดีไหม ?
คำเกิด : อย่าเลย ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก.....

132. VISION เกษตรสร้างประเทศ (1) :
จะ ดีมั้ย ? ได้มั้ย ? เอามั้ย ? ถ้า.....

- ย้ายหน่วยทหารย่าน บางเขน, สนามเป้า, สะพานแดง, เกียกกาย, แจ้งวัฒนะ, ไปอยู่ต่างจังหวัด แล้วใช้พื้นที่นั้นสร้างสวนสาธารณะ นอกจากจะได้ภูมิทัศน์รองรับรัฐสภา (เกียกกาย) แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาประชนล้นเมืองและ กทม. จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีสวนสาธารณะใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

- ปรับภูมิทัศน์บริเวณวัดใหม่ทองเสน (กลางป่า) หรือวัดแก้วฟ้าจุฬามณี (ริมแม่น้ำเจ้าพระยา....บริเวณสี่แยกเกียกกาย) แล้วสร้างโบสถ์ทรงโบสถ์วัดเบญจมบพิตร ....

หมายเหตุ : ผู้สันทัดกรณี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โบสถ์วัดเบญจมบพิตร สวยกว่าทัสมาฮาล เพราะ ภูมิทัศน์รอบโบสถ์วัดเบญจมบพิตรไม่สวย แต่ภูมิทัศน์รอบทัสมาฮาลสวยกว่าเท่านั้น

- ย้ายท่าเรือคลองเตยไปอยู่ต่างจังหวัดชายทะเล แล้วปรับปรุงท่าเรือคลองเตยเป็นศูนย์รองรับเรือยอร์ชระดับโลก

- ย้ายหน่วยชลประทาน ศรีย่าน ไปอยู่กรมชลประทาน ปากเกร็ด แล้วสร้างเป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา

- ย้ายหน่วยทหารที่สวนรื่นฤดีฯ ไปอยู่ บก.ทบ. ราชดำเนินกลาง แล้วมอบพื้นที่ให้ สน.สามเสน สำหรับประชาชนที่มาติดต่อกับตำรวจ

- สร้างรถไฟไต้ดิน หัวลำโพง-รังสิต เพื่อลดปัญหาจราจร
- ย้ายมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ไปอยู่กำแพงแสน นครปฐม กับ ย้ายราชการเกษตรทุกสาขาในรั้วเกษตรบางเขนเดิม ไปอยู่ต่างจังหวัด แล้ว ปรับ/เปลี่ยน พื้นที่เป็นสวนสาธารณะ หรือสร้างบ้านเอื้ออาธร สำหรับผู้มีรายได้น้อย

133. HOTLINE นาข้าว กับ ยูเรีย :
“ตา รับโทรศัพท์-ตา รับโทรศัพท์....ตา รับโทรศัพท์-ตา รับโทรศัพท์.....ตา รับโทรศัพท์-ตา รับโทร....” เสียงสัญญาณเรียกเข้าโทรศัพท์ดังลั่น ได้ยินไกลเกินสนามฟุตบอล ข้าวของโทรศัพท์ตีหน้างง ยิ้มเล็กๆที่มุมปาก พูดเสียงในลำคอ “คนไหนวะ เปลี่ยนสัญญาโทรศัพท์กู” หมายถึงหลานคนใดคนหนึ่งใน 3 คน แอบจัดการเปลี่ยนสัญญาณเรียกเข้าในโทรศัพท์ของตา ตามประสาเด็กรุ่นใหม่ในโลก IT ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เด็กที่ทำเป็นนั่นแหละฉลาด แต่เด็กที่เฉยๆ ไม่ใช่เด็กพับเพียบเรียบร้อยหรอก ทำไม่เป็นไม่เป็น คือไม่รู้ซะมากกว่า....นี่คือ เทคโนโลยีรุ่นใหม่ ที่คนรุ่นใหม่ต้องรู้

ลุงคิม : (รีบกดปุ่มรับสาย) ฮัลโลครับ
... ? … : ฮัลโหลลลล ลุงคิมหรือคะ ?

ลุงคิม : อืมม์ ลุงคิมตายแล้ว
... ? … : (หัวเราะนำ....) ตายเมื่อไหร่ แล้วนั่นใครพูด ฉันจำเสียงด้ายยย..

ลุงคิม : ตายเมื่อเช้านี้ เสร็จรายการแล้วตายเลย นี่ผีลุงคิมพูด
... ? … : (หัวเราะดังกว่าเก่า) ผีพูดได้ไง ? .... ไม่เชื่อ

ลุงคิม : อ้าว คนที่พูดกับผีได้ ก็ต้องเป็นผีเหมือนกันไง เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว บอกว่าลุงติมตายแล้ว หัวเราะแบบนี้แสดงว่าชอบใจใช่มั้ย น่าจะถามย้อนนะว่า ตายแล้วเหรอ ? เพิ่งตายเหรอ ?
... ? … : (หัวเราะดังกว่าเก่า) เข้าใจเล่นมุกนะลุง

ลุงคิม : เอ้า เอ้า เอ้า ..... มีอะไรว่ามาเลย
... ? … : อยากปรึกษาเรื่องนาข้าวน่ะ

ลุงคิม : จะขายเหรอ ?
... ? … : เปล่า ขายได้ไง พ่อแม่ให้มา ขายแล้วจะเอาอะไรทำกินล่ะ

ลุงคิม : ทำนาที่ไหน ? กี่ไร่ล่ะ ?
... ? … : อยู่รอยต่ออยุธยา ลพบุรี นา 100 ไร่

ลุงคิม : รู้เบอร์โทรลุงคิมได้ไงเนี่ย ?
... ? … : ฟังวิทยุนี่แหละ ฟังทุกวัน ทั้งเช้าทั้งค่ำเลย

ลุงคิม : (นึกในใจ.... นี่คงอีหร็อบเดิมอีกแน่ พูดเรื่องนาข้าวแทบทุกวัน นาข้าวเหมือนกัน แต่ไม่ใช่นาฉัน ฉันไม่รับรู้....) นาข้าว 100 ไร่ งั้นถามก่อน ตอนนี้เป็นหนี้เท่าไหร่ ?
... ? … : เดิมมีหนี้อยู่ 8 แสน ปี 54 น้ำท่วมหนัก นา 2 รอบ ขาดทุนไป 6 แสน ปีนี้ 55 รุ่นแรกเสียหายไปแล้ว 3 แสน ตอนนี้จะเริ่มทำรุ่น 2 เลยโทร มาปรึกษาลุงคิมนี่แหละ ทำไงดีคะ ?

ลุงคิม : (....คิดเลขในใจ รวมหนี้ 17 แสน โอ ! พระเจ้า…) เป็นหนี้ หนี้ค่าอะไรน่ะ ?
.. ? .. : ก็ค่าจ้าง ค่าปุ๋ย ค่ายา นี่แหละค่ะ

ลุงคิม : เอาละ เอาละ ฟังดีๆ .... ค่าจ้าง ถ้าไม่มีแรงงานในบ้านก็ต้องจ้าง แต่จ้างให้ทำอะไร ทำอย่างไร ล่ะ .... ค่าปุ๋ย อันนี้ต้องใช้ แต่ต้องใช้ให้ถูกสูตร ถูกอัตรา แล้วใช้วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย .... ส่วนค่ายา อันนี้ทำเองได้ 100 เปอร์เซ็นต์ สมุนไพรไง ไม่ต้องซื้อ .... ที่จริงลุงคิมก็พูดอยู่ทุกวัน ซื้อครึ่งนึง ทำเองครึ่งนึง ไม่ใช่เหรอ.
.. ? .. : ก็ฟังอยู่ค่ะ แต่ไม่เข้าใจ แล้วก็ทำไม่เป็นด้วย

ลุงคิม : งั้นค่าจ้าง ไม่ถามละ จะถามต้นทุนค่าปุ๋ยก่อน นา 100 ไร่ ใส่ปุ๋ยรุ่นละกี่สอบล่ะ ?
.. ? .. : ใส่ยูเรียไร่ละ 2 สอบ บางรุ่นเพิ่ม 16-20-0 อีกไร่ละสอบ

ลุงคิม : โอ้โฮ ! นา 100 ไร่ ใส่ยูเรีย 200 กระสอบ กระสอบละ 900 เป็นเงินแสนแปด ถ้าซื้อแบบเครดิต ขายข้าวแล้วไปจ่ายก็สอบละ 1,000 เพราะเขาต้องรวมดอกเบี้ยด้วยใช่ไหม นี่เป็นเงิน 2 แสน .... ใส่ 16-20-0 อีก 100 กระสอบ กระสอบละ 900 ซื้อเครดิต ตอนจ่ายต้องรวมดอกเบี้ยด้วยตกสอบละ 1,000 นี่ก็เป็นเงินอีก 1 แสน …. เบ็ดเสร็จรวมค่าปุ๋ยอย่างเดียว 3 แสน…..ใช่ไหม ?
.. ? … : (เสียงอ่อยๆ) ใช่จ้ะ....

ลุงคิม : ถามอีกหน่อย ชาวนาแถวนั้นมีหนี้เยอะไหม ?
.. ? .. : ทุกบ้านแหละลุง ไม่มีบ้านไหมไม่มีหนี้หรอก แปลงใหญ่หนี้มาก แปลงน้อยหนี้น้อย ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่า ค่าจ้าง....จ้างไถ จ้างทำเทือก จ้างหว่าน จ้างฉีดยาฆ่าหญ้า จ้างฉีดยาเคมี จ้างสูบน้ำ จ้างเกี่ยว จ้างทุกอย่างนั่นแหละลุง ....

ลุงคิม : อืมม์ อั้ยรายการจ้างพวกนี้ มันเป็นเรื่องจำยอมนน เมื่อเราไม่ทำเองเพราะไม่มีคนก็ต้องจ้าง ถ้าคิดจะทำนาต่อไป ว่ามั้ย.... แล้วเคยคิดไหมว่า ถ้าลดต้นทุนบางอย่างลงได้ อย่าง ค่าปุ๋ย-ค่ายา ถ้าลดลงได้ แค่สองรายการนี้เท่านั้น ต้นทุนรวมทั้งหมดก็จะลดลงด้วย เอาแค่สองรายการนี้ก่อน ส่วนต้นทุนอย่างอื่นก็ค่อยๆหาวิธีการ วิธีคิดแบบนี้ พอจะคิดออกไหม ?
.. ? .. : นี่แหละที่ฉันคิดละ อยากจะลดต้นทุนค่าปุ๋ย 2-3 แสนลง อยากเลิกยูเรีย เลิก 16-20-0 แล้วเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยล่ะคะลุงคิม.....ลุงคิมช่วยคำนวณต้นทุนให้หน่อยซี่...

ลุงคิม : ก็ได้ เฉพาะต้นทุนค่าปุ๋ยอย่างเดียว ต้นทุนค่าจ้างอย่างอื่นไม่เกี่ยวนะ......นา 100 ไร่ ยูเรีย กับ 16-20-0 รวมกัน 3 แสน เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยลุงคิมที่โฆษณาโย้วๆ อยู่ทุกค่ำทุกคืนน่ะ แต่ 6 หมื่น เท่านั้น.....จาก 3 แสน ลดเหลือ 6 หมื่นเท่านั้น เอามั้ย..... ขอบ่นหน่อยนะ ชาวนานี่คิดยังไง ใส่ยูเรีย 2 สอบ ใส่ 16-20-0 อีก คิดแล้วใส่ปุ๋ย 150 กก.ต่อไร่ แต่ได้ปุ๋ยแค่ตัวหน้ากับตัวกลาง 2 ตัวเท่านั้น ทั้งๆที่ต้นข้าวต้องการปุ๋ย 14 ตัว นี่มันขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง ชาตินี้ชาติหน้า 100 ชาติก็ขาดทุน เป็นหนี้เขาอยู่อย่างนี้
แหละ.....ลูกหลานจะทำยังไง (วะ) น่า
.. ? .. : จริงๆค่ะ ฉันละคิดเรื่องนี้มาตลอด

ลุงคิม : อืมม์ มีอยู่คนนึงนะ...... แถวๆบ้านแพรก อยุธยา ไกล้บ้านคุณนั่นแหละ เขาทำนา 200 ไร่ เดิมมีหนี้เกือบ 2 ล้าน พอเปลี่ยนมาทำตาม แนว ลุงคิม นาข้าว 2 รุ่นปีเดียว ใช้หนี้ได้หมด แล้วทำแนวนั้นต่อมาอีก ตอนนี้ เขามีเงินฝาก ธนาคารเกือบ 2 ล้าน…...เคยรู้เรื่องไหม ?
.. ? .. : รู้ซิคะ รู้จักกัน ฉันไปคุยกับเขามา เขายังบอกให้เลิกยูเรีย เลิกปุ๋ยเคมี เลิกสารเคมี แล้วมาทำตามแนวลุงคิมนี่แหละ

ลุงคิม : (นึกในใจ ฟังเราทุกวัน ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ ต้องเพื่อนบ้านพูดให้ฟัง ถึงรู้เรื่อง เข้าใจ......ฮึ).... ดีละ อย่างน้อยก็ทำตามเจ้านั้นไปก่อนเพราะ ประวัติดินเขาประวัติดินเรา น้ำเขาน้ำเรา ความเข้าใจเรื่องข้าวของเขากับความเข้าใจของเรา อะไรๆมันไม่เหมือนกันนะ อย่างที่บอกนั่นแหละว่า ธรรมชาติไม่มีตัวเลข ไม่มีสูตรสำเร็จ ยังไงๆ ก็อย่ามุ่งแต่ผลผลิตที่จะได้มากๆ แต่ให้ห่วงเรื่องต้นทุนไว้ก่อน ระวัง ต้นทุนท่วมราคาขาย แล้วมันจะไม่เหลืออะไรเลย
.. ? .. : นั่นแหละค่ะ ว่าแต่ ถ้าสั่งซื้อจากลุงคิม แล้วส่งด้วยได้ไหมคะ ?

ลุงคิม : เรื่องซื้อ-เรื่องส่ง ไม่สำคัญ ว่าแต่ว่า ปุ๋ยลุงคิมไม่ใช่ปุ๋ยวิเศษนะ ทำยังไงก็ได้ ต้องได้ 100 ถังแน่ๆ มันไม่ใช่ยังงั้นนะ
.. ? .. : แล้วมันยังไงล่ะคะ ?

ลุงคิม : ถามก่อน เผาฟางหรือไถกลบ
.. ? .. : เผาค่ะ

ลุงคิม : เลิกได้ไหม เปลี่ยนมาเป็นไถกลบแทน
.. ? .. : ได้ค่ะ รุ่นนี้กะไถกลบอยู่แล้ว อาทิตย์หน้านี้จะเริ่มแล้ว

ลุงคิม : คุมน้ำในนาได้ไหม ?
.. ? .. : ถ้าน้ำไม่ท่วมอย่างปี 54 กับเหมือนต้นปีนี้ ก็คุมได้ค่ะ

ลุงคิม : พร้อมฉีดปุ๋ยทางใบ ทุก 10 วันไหม ? 10 วันฉีดทางใบครั้งนึง
.. ? .. : พร้อมค่ะ

ลุงคิม : เอาคนฉีดมาจากไหน ?
.. ? .. : คนในบ้าน กับจ้างเขาค่ะ

ลุงคิม : อืมม ถ้าคนในบ้านพอมี ก็น่าจะฉีดพ่นเอง ทยอยๆฉีดไปก็ได้ จะได้ลดต้นทุนค่างจ้าง.....ว่ามั้ย
.. ? .. : จะลองค่ะ.....ลุงคิมช่วยอธิบายวิธีใช้หน่อซิคะ ?

ลุงคิม : ใจเย็นๆ ว่าแต่ว่า คุณรู้มั้ย ยูเรียน่ะทำให้ต้นข้าวเขียวก็จริง แต่เขียวลวงตา เขียวได้แค่ 3 วัน 5 วันก็หายเขียวแล้ว เขียวก็เขียวตองอ่อน ขนาดใบบาง ใบเล็ก ทำให้ต้นอวบอ้วน สูงใหญ่ แล้วก็ล้ม ต้นอ่อนแอโรคแมลงชอบ ออกรวงมาก็เป็นเม็ดลีบ......ส่วน 16-20-0 ไม่มีตัวท้าย ทำให้เมล็ดข้าวไม่แกร่ง น้ำหนักไม่ดี ...แม็กเนเซียม ถึงต้นจะเขียวช้ากว่ายูเรีย แต่จะเขียวทนเขียวนาน เขียวถึงวันเกี่ยว ใบใหญ่ หนา โรคแมลงไม่ชอบ.....เคยได้ยินลุงคิมพูดเรื่องนี้มั้ย ทางวิทยุน่ะ ?
.. ? .. : ฟังค่ะ พูดเหมือนในวิทยุเลย

ลุงคิม : อีกเรื่องนึง อั้ยที่หว่านปุ๋ยลงไป หว่านกันสุดแรงเกิดน่ะ เคยคิดเคยสังเกตไหมว่า เม็ดปุ๋ยแต่ละเม็ดตกลงที่โคนกอข้าวทุกกอ กอละเม็ดสองเม็ด เท่ากัน เหมือนกันทุกกอไหม นี่แหละ กอไหนได้กอนั้นงาม กอไหนไม่ได้ ไม่งาม ก็หาว่าอ่อนปุ๋ย ว่าแล้ว ต้องใส่ซ้ำอีก 1 สอบ ใช่ไหม ? …...ที่จริงต้นข้าวกินปุ๋ยธาตุหลัก ตัวหน้าตัวกลางตัวท้ายแค่ 10 โลต่อไร่เท่านั้น คนขายปุ๋ยเคมีบอกว่า ปุ๋ยเคมีเพิ่มผลผลิต-ปุ๋ยเคมีเพิ่มผลผลิต ให้ชาวนาใส่ 50 โลต่อไร่ไปเลย คิดดู ในเมื่อใส่ปุ๋ยมากกว่า 5 เท่า แล้วทำใมไม่ได้ผลผลิดมากกว่า 5 เท่าด้วย แต่แน่ๆ จ่ายมากกว่า 5 เท่า ใช่ไหม ?
.. ? .. : แล้วจะแก้ปัญหานี้ยังไงคะ ?

ลุงคิม : เรื่องง่ายๆ แต่เพราะใจไม่เอา คิดอย่างเดียว แถวนี้ไม่มีใครทำ พ่อแม่ไม่เคยนำทำอยู่แค่นี้ เรื่องมันถึงได้ยากไงล่ะ ว่าแต่กล้าบ้าอย่างลุงคิมมั้ยล่ะ ?
.. ? .. : ฉันจะบ้าให้ยิ่งกว่าอีกค่ะ คนบ้าไม่มีหนี้ คนดีหนี้เต็มบ้าน ฉันยอมบ้าค่ะ

ลุงคิม : (หัวเราะ) ระวังนะ จะบ้าต้องบ้าให้เป็น ถ้าบ้าไม่เป็นมันจะบ้าเหมือนที่เขาว่า โทรหาลุงคิมบ่อยๆ ทุกๆระยะ จะได้แนะนำวิธีทำแต่ละขั้นตอน เอาเถอะ 3 รอบนั่นแหละถึงจะเห็นทาง
.. ? .. : ค่ะ

ลุงคิม : เอ้าลุย....ทำเทือกก่อนนะ เริ่มจากเอาน้ำเข้านาให้ท่วมฟาง แล้วเอาน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 สองลิตร +16-8-8 สิบโล ผสมน้ำเท่า ไหร่ก็ได้ เดินสาดให้ทั่วแปลง 1 ไร่ แล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น 7 วัน จังหวะนี้ จุลินทรีย์ในน้ำหมัก กับจุลินทรีย์ประจำถิ่น จะช่วยย่อยสลายฟางให้ก่อน....

ครบ 7 วันแล้ว เอาอีขลุบหรือลูกทุบลงทำเทือกเลย ย่ำเทือกประณีตๆหน่อย เพราะจะเป็นการกำจัดหญ้าวัชพืชไปในตัว…..

ย่ำรอบแรกแล้ว ทิ้งไว้อีก 7 วัน ให้ย่ำรอบสอง ย่ำให้ประณีตที่สุด ย่ำถี่ๆ เพราะจะเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วยในตัว ....

อีก 7 วัน ย่ำรอบ 3 ย่ำให้ประณีตเหมือนเดิม ตอนนี้ให้สังเกตหญ้าวัชพืชจะเหลือน้อยมากๆ นี่เป็นการกำจัดหญ้าวัชพืชโดยอ้อม แบบนี้นอกจากประหยัดค่ากำจัดวัชพืช ทั้งยาฆ่ายาคุม ทั้งค่าจ้างคนฉีดแล้ว ยังเป็นปุ๋ยบำรุงดินอีกด้วย ย่ำเทือก 3 รอบ ใช้เวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น
.. ? .. : ไม่ต้องไถก่อนเหรอลุง ?

ลุงคิม : ไม่ต้องไถ ย่ำเทือกเลย ลุงคิมยืนยัน ก.ทำกับมือมาแล้ว ย่ำครบ 3 รอบแล้วคอยดูที่ขี้เทือก รับรองดีกว่าไถซะอีก.....นี่ประหยัดค่าจ้างไถมัย
.. ? .. : ค่ะ

ลุงคิม : บอกก่อนนะ ย่ำเทือกเสร็จ จะย่ำกี่รอบก็แล้วแต่ ก่อนหว่านหรือดำเราต้องปรับเรียบหน้าเทือกครั้งสุดท้าย ใช่ไหม จังหวะนี้สำรวจขี้เทือกซิ ถ้าขี้เทือกลึกแค่ตาตุ่ม อย่าหว่านอย่าดำเลย ขืนหว่านดำไปก็ไม่ได้ผล ต้นข้าวไม่โตหรอก แก้ไขโดยการใส่ระเบิดเถิดเทิงซ้ำลงไปอีก ซ้ำเฉพาะตรง ที่ขี้เทือกตื้นก็ได้ ใส่แต่ระเบิดเถิดเทิงเปล่าๆ ไม่ต้อง + ปุ๋ยเคมีเพิ่ม หมักดินต่ออีก 7 วัน 10 วัน แล้วสำรวจใหม่ ที่เห็นๆมา ขี้เทือกลึกขึ้นเลยนะ...

แต่ถ้า หลังทำเทือกรอบสุดท้าย ปรับเรียบหน้าเทือก ได้ขี้เทือกลึกครึ่งหน้าแข้งแล้ว ก็ให้หว่านหรือดำไปเลย...

อย่าลืมว่า ขั้นตอนทำเทือกนี่ ถือว่าสำคัญที่สุดขอการทำนานะ อย่ารีบร้อน อย่าใจร้อน เทือกลึกข้าวโต เทือกตื้นข้าวเล็ก.....จำไว้
.. ? .. : ค่ะ ...... ลุงคะ ตรงที่ขี้เทือกตื้น ใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วยช่วยได้ไหมคะ ?

ลุงคิม : ได้ ..... กากน้ำตาลเดี่ยวๆก็ได้ กากน้ำตาลจะไปเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ประจำถิ่นเอง แล้วจุลินทรีย์นี่แหละที่เป็นตัวทำเทือกที่แท้จริงละ
.. ? .. : ค่ะ....ขั้นตอนต่อไปล่ะ

ลุงคิม : เตรียมเมล็ดพันธุ์.....เอาเมล็ดพันธุ์แช่ใน น้ำ 100 ล. ยูเรก้า 30 ซีซี. ไบโออิ 30 ซีซี. แคลเซียม โบรอน 30 ซีซี. แช่นาน 24 ชม. แล้วเอาขึ้นมาห่มต่ออีก 24 ชม. อย่าห่ม นานเกินนี้นะ เพราะรากจะงอกยาวมาก จนหว่านไม่ออกเพราะรากมันเกี่ยวกัน
.. ? .. : ค่ะ.....ขั้นตอนต่อไปค่ะ

ลุงคิม : ระยะกล้าเลย.....ช่วงข้าวอายุ 20 วัน 30 วัน 40 วัน ให้น้ำ 200 ล, ไบโออิ 200 ซีซี. 18-38-12 หนึ่ง กก. ยูเรีย จี เกรด ครึ่ง กก. จะฉีดได้ 5 ถึง 7 ไร่ ให้ 3 รอบตามอายุ ทุกครั้งที่ฉีดพ่นทางใบ ให้ +สารสมุนไพรไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา.....แค่นี้ทำได้มั้ยเนี่ย ฉีดบ่อยครั้งจนเกินไปไหม
.. ? .. : ทำได้ค่ะลุง อันนี้ ถ้าเราเอาเงินค่าปุ๋ย 2 กระสอบ มาจ้างคนฉีดก็ยังถูกกว่า

ลุงคิม : ถูกต้อง นี่แหละ นอกจากส่วนของต้นทุนที่ลดลงแล้ว ต้นข้าวยังได้ปุ๋ยสูตรถูกต้องครบ 14 ตัวอีกด้วย แบบนี้ถูกต้องกว่ายูเรียตัวเดียวนะ
.. ? .. : ขั้นตอนต่อไปค่ะลุง

ลุงคิม : ระยะต้นกลม แต่งตัว แล้วแต่จะเรียกกัน.....ให้สำรวจต้นข้าว ถ้าลำต้นกลม แน่น ใบตั้งตรง ปลายใบแข็งแทงท้องแขนแล้วรู้สึกเจ็บ แสดงว่าปุ๋ยธาตุหลักพอแล้ว ให้ใส่ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 รอบ 2 อีก 2 ล.ต่อไร่ ไม่ต้อง +ปุ๋ยเคมี คราวนี้ต้องใช้สายยางหรือสะพายเป้ฉีดนะ ฉีดผ่านต้นลงหน้าดินไปเลย....

แต่ถ้าสำรวจแล้ว ลำต้นแบน นิ่ม ใบเล็กบาง ใบโค้งงอลงตอนเช้า ปลายใบอ่อนแทงท้องแขนไม่รู้สึกเจ็บ แสดงว่า อ่อนปุ๋ยธาตุหลัก ให้ใส่ระเบิดเถิด 30-10-10 อีก 2 ล. แล้ว +16-8-8 อีก 10 กก. ฉีดผ่านต้นลงดินไปเลยเหมือนกัน....

สรุปแล้ว ถ้าใส่ปุ๋ยครั้งเดียวจะใช้ปุ๋ยเคมีจริงๆแค่ 10 กก.ต่อไร่เท่านั้น ถ้าใส่ 2 ครั้งก็เท่ากับ 20 กก.ต่อไร่ แต่ต้นข้าวโตได้ โตดีกว่ายูเรียซะอีก....

ทุกครั้งที่ฉีดปุ๋ย อย่าลืม +สารสมุนไพรด้วยล่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว .... สูตรนี้คิดง่ายๆ ค่ายูเรีย ค่า 16-20-0 เอามาจ้างคนฉีดไงล่ะ แบบนี้ลดต้นทุนไหม ?
.. ? .. : ลดแน่นอนค่ะลุง ขั้นตอนต่อไป

ลุงคิม : เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว บอกแล้วไง อย่าใจร้อน อั้ยที่ร่ายยาวมาทั้งหมดเนี่ย เอาแค่ฉีดพ่นทางใบบำรุงต้นอย่างเดียว ฉีดพ่นกี่ครั้ง ?
.. ? .. : (มีเสียงคนนั่งข้างๆแว่วมาในสาย เป็นเสียงนับ 1-2-3.....) ข้าวอายุ 20-30-40 วัน 3 รอบ กับใส่ระเบิดเถิดเทิง + 16-8-8 อีก 2 ครั้ง….ครบไหมคะ

ลุงคิม : ใครนั่งอยู่ข้างๆ น่ะ ?
.. ? .. : ลูกสาวค่ะ เขาช่วยจดตอนที่ลุงคิมบอก

ลุงคิม : งั้นเหรอ.....สุดยอด
.. ? .. : ลุงคิมพูดต่อเลยค่ะ

ลุงคิม : เอ้าต่อ ..... คราวนี้ระยะตั้งท้อง ออกรวง น้ำ 200 ลิตร ฮอร์โมนไข่ไทเป 200 ซีซี. ปุ๋ยทางใบ 0-52-34 หนึ่งโล ยูเรียครึ่งโล ยาสมุนไพรด้วย 200 ซีซี. เริ่มฉีดรอบแรกตอนที่ข้าว 1 ใน 4 ของแปลง เริ่มแทงรวงออกมาเป็นหางแย้ให้เห็น อีก 5 วัน ฉีดรอบสองสูตรเดิมซ้ำอีกครั้ง…..อืมม์ 0-52-34 นี่ช่วยหยุดความสูงของต้นข้าวนะ ต้นข้าวจะไม่สูงต่อแต่โตออกทางข้าง อันนี้ดี เพราะจะทำให้ต้นข้าวไม่ล้ม ส่วนยูเรียเป็นสาร ลมเบ่งช่วยให้การออกรวงดี ออกพร้อมกันทั่วทั้งแปลง ระวังหน่อยนะ ถ้าข้าวตากเกสรแล้ว อย่าฉีดพ่นอะไรเชียว ถ้าเกสรเปียกเขาจะผสมไม่ติด เพราะฉะนั้นกะช่วงระยะเวลาให้ดีๆ ต้องฉีดก่อนตากเกสรให้ได้ ทั้งปุ๋ย ทั้งยาสมุนไพร...... โอ.เค.มั้ยลูกสาว บันทึกทันรึเปล่า ?
.. ? .. : (มีเสียงหัวเราะเบา) ทันค่ะ....ต่อเลยค่ะ

ลุงคิม : ก็ได้.....ระยะน้ำนม คราวนี้ น้ำ 200 ลิตร ไบโออิ 100 ซีซี. ยูเรก้า 100 ซีซี. สมุนไพร 200 ซีซี. ถ้าอยากให้ต้นข้าวเขียวขึ้นอีกก็ให้เพิ่มยูเรีย จี เกรด ครึ่งโล.....สูตรนี้ให้ฉีดพ่น 4 ครั้ง แบ่งเวลาดีๆ.....โอ.เค. มั้ย
.. ? .. : ต่อเลยค่ะ

ลุงคิม : หมดแล้วมั้ง ก็แค่นี้แหละ ไง .... ยากไหม ?
.. ? .. : แค่นี้เองเหรอคะ....ลุงคิมคิดต้นทุนให้หน่อยได้ไหมคะ ?

ลุงคิม : เอางั้นเหรอ เอ้า .... บอกลูกสาวเตรียมจด
นา 100 ไร่ ใช้ระเบิด เถิดเทิง 2 รอบ รอบละ 200 ล. ต้องใช้ 400 ลิตร ราคาลิตรละ 100 ก็รวมเป็นเงิน 40,000 ....

ไบโออิ ระยะกล้า 3 ครั้ง ใช้ครั้งละ 5 ล. คิดง่ายๆ 1 ลิตรฉีดได้ 20 ไร่ เพราะฉะนั้น 100 ไร่ก็ต้องใช้ 5 ลิตรต่อครั้ง เท่ากับ 15 ลิตรต่อ 100 ไร่ ราคาลิตรละ 200 เป็นเงิน 3,000 ....

ไบโออิ ระยะน้ำนม 4 ครั้ง ทุกอย่างเหมือนระยะกล้า นั่นคือ 5 ลิตรต่อครั้ง เท่ากับ 20 ลิตรต่อ 100 ไร่ ราคาลิตรละ 200 เป็นเงิน 4,000 ....

ไทเป ระยะออกรวง 2 ครั้ง ครั้งละ 5 ล. เท่ากับ 10 ล.ต่อ 100 ไร่ เป็นเงิน 2,000
ยูเรก้า ระยะน้ำนม 4 ครั้ง ใช้ 20 ลิตรต่อ 100 ไร่ ราคาลิตรละ 400 เป็นเงิน 8,000

คราวนี้รวมทั้งหมด.....
ระเบิดเถิดเทิง 400 ลิตร ลิตรละ 100 เป็นเงิน 4,000...
ไบโออิ 35 ลิตร ลิตรละ 150 เป็นเงิน 7,000 .....
ไทเป 10 ลิตร ลิตรละ 150 เป็นเงิน 2,000 ....
ยูเรก้า 20 ลิตร ลิตรละ 400 เป็นเงิน 8,000 ....
สรุป 4,000 + 7,000 + 2,000 + 8,000 รวมเป็น 14,000


นี่เฉพาะปุ๋ยจากลุงคิมนะ.....
ส่วน ยูเรีย จี เกรด โลละ 100, 18-38-12 โลละ 100, 0-52-34 โลละ 100 หาซื้อเอาเอง ร้านแถวบ้าน หรือที่กองคาราวารลุงคิม ก็ว่าไป กะว่าใช้เงินอีกซัก 5,000 รวมค่าน้ำมันรถด้วยก็น่าจะพอ....ปุ๋ยลุงคิม 55,000 + ปุ๋ยซื้อต่างหาก 5,000 รวมเป็น 60,000 ..... นี่ถ้าจ้างเขาทำ เอาชนิดทำนาแบบเจ้าพระ ยา ที่เจ้าของนั่งชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวอยู่ริมคันนา ไตhร่มไม้ จิบน้ำมะตูม รวมค่าจ้าง เบ็ดเสร็จจนถึงเกี่ยวซัก 40,000 เอาไปรวมกับค่าปุ๋ยลุงคิม 60,000 เป็นเงินแค่ 100,000 ก็ยังน้อยกว่า 300,000 นั่นเท่ากับเหลือเงินตั้ง 200,000 ไม่ดีกว่าเหรอ....

คิดดีๆ จ่าย 60,000 ได้สารอาหารครบ 14 ตัว แต่ที่เคยจ่าย 300,000 ได้แต่ ไนโตรเจน กับฟอสฟอรัส แค่ 2 ตัวเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วอย่างไหนคุ้มกว่ากัน คิดไม่ออก ถามลูกสาว
.. ? .. : (แว่วเสียงลูกสาวอุทานแม่ ถูกจัง...ดังมาในโทรศัพท์ เหมือนตอกย้ำความมั่นใจของคนเป็นแม่) ตกลงค่ะลุงคิม แต่บ้านฉันไม่มีตังค์นี่ซิคะ ทำไงดี ?

ลุงคิม : หมายความว่าไง ?
.. ? .. : ขอเครดิตก่อนได้ไหมคะ ?

ลุงคิม : อ๋ออออ ตอบไม่คิดเลยนะ ไม่ตกลงหรอก คิดดู เราไม่เคยรู้จักกัน คุณก็ไม่ได้เอาโฉนดมาวางกับลุงคิมด้วย ทีเถ้าแก่เส็ง คุณยังต้องใช้โฉนดวางประกันเลย จริงไหม ?
.. ? .. : แล้วฉันจะทำยังดีคะ ?

ลุงคิม : เอางี้ เวลาคุณไปซื้อเครดิตกับเถ้าแก่เส็ง คุณทำนา 4 เดือน เกี่ยวข้าวแล้วต้องไปจ่ายเขา 300,000 พร้อมดอกเบี้ย .... ถ้างั้นงานนี้คุณไปยืมกำนัน แค่ 4 เดือนใช้คืน 60,000 พร้อมดอกเบี้ยเหมือนกัน .... ระหว่างใช้หนี้เถ้าแก่เส็ง 300,000 กับใช้หนี้กำนันแค่ 60,000 คุณจะเลือกแบบไหน
.. ? .. : เอาที่กำนันแหละค่ะ....ลุงคิมส่งถึงที่ด้วยนะคะ ฉันเอาตามลุงคิมว่า แล้วเอาปุ๋ยสูตรอะไรต่ออะไรนั่นด้วย เอาทุกสูตร สูตรละ 20 กิโล ได้ไหม คะ ?

ลุงคิม : อืมม์ เห็นใจนะ เงินตั้ง 60,000 มันก็หนักอยู่สำหรับคนไม่มี เอางี้ไหม แบ่งซื้อเป็น 2 งวด งวดแรกเอาระเบิดเถิดเทิง.ไปทำเทือกกับไบโออิ. ไปบำรุงระยะกล้าก่อน ถึงช่วงออกรวงกับน้ำนมแล้วค่อยเอาอีกงวด แบบนี้จะตกงวดละ 30,000 ประมาณนี้พอช่วยตัวเองไหวไหม ?
.. ? .. : ไหวค่ะ ไหวค่ะ ลูกสาวบอกให้ลุงคิมส่งด้วยนะคะ

ลุงคิม : นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ วันนี้ลุงคิมยังไม่ขายให้คุณหรอก ลุงคิมพูดซะยาวเหยียด มันจะกลายเป็นพูดยาวๆ เพื่อหลอกขายของนะ
.. ? .. : อ้าวววว....แล้วจะทำยังไงล่ะคะ ?

ลุงคิม : คุณกับลูกสาวรวมคนในบ้านด้วย ช่วยกันคิดทบทวนใหม่ ว่าปุ๋ยราคาถูกๆ ขนาดนี้มันจะได้ผลเหรอ ที่สำคัญ ต้องฉีดหลายครั้งด้วย คิดแล้วค่อยโทรมาใหม่ ตกลงไหม ?
.. ? .. : แต่ฉันไปดูนาแปลงที่บ้านแพรกมาแล้ว ทุกคนในบ้านก็ไปดูด้วย ทุกคนเห็นแล้วยอมรับค่ะ ที่ฉีดบ่อยๆนั่นก็ดี เพราะจะได้ฉีดยาสมุนไพรด้วย

ลุงคิม : เอาน่า ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน เอาตามลุงคิมว่าก่อนก็แล้วกัน คิดดีๆ จะเอาใจออกมาจากกระสอบยูเรียมั้ย ? เลิกวิธีใส่ปุ๋ย 300 สอบ ดีมั้ย ?
.. ? .. : (เสียงแผ่งลง) ตก ลง ค่ะ.....

ลุงคิม : โชคดีนะ
.. ? .. : ขอบคุณค่ะ

134. ทุเรียนนนท์ :
ร.ต.ต.สุชิน แห่ง สน.พระราชวัง ทำสวนทุเรียนที่บ้านเกิดย่านบางกรวย นนทบุรี มีโอกาสพูดกับ ผู้พันคิม ในกองคาราวานที่วัดส้มเกลี้ยง ใกล้โรงกรองประปามหาสวัสด์ ว่าด้วยเรื่อง “ทุเรียนทุเรียนทุเรียน” ตามประสาตำรวจทหาร ว่า....

(ฉาก 1)
ผู้หมวด : ผู้พันครับ ก้านยาวบางกรวย ได้ต้นละ 10 ลูกก็บุญโขแล้ว
ผู้พัน : 10 ลูกเอง เอาไหม 100 ลูก ต้นละ 100 ลูกนะ ลูกโคนลูกยอดพูเต็มด้วย

ผู้หมวด : (หัวเราะในแววตา) ได้ก็ดีน่ะซีครับ
ผู้พัน : ผมรู้แล้วว่าชาวสวนเล่นทุเรียนยังไง อัดแต่สูตเสมอ ธาตุรองธาตุเสริมฮอร์โมนไม่เคยให้

ผู้หมวด : (แววตาแสดงความสนใจขึ้นมาทันที) ทำยังไงครับ ?
ผู้พัน : เอางี้นะผุ้หมวด ตอนนี้นี้ทุเรียนบนต้นลูกขนาดไข่ไก่ กำลังดีเลย ไม่ใช่แค่ก้านยาวนะ หมอนทอง ชะนี กำปั่น ทุกพันธุ์ในบางกรวยนี่แหละ

ผู้หมวด : (ล้วงสมุดโน้ตออกมาเตรียมจด ตอบสั่นๆ) ครับ ?
ผู้พัน : (ขยับท่านั่ง เตรียมร่ายยาว) เอาทางดินก่อนนะ วันนี้ใส่ได้เลย ซื้อที่กองคาราวานี่แหละ .... ใส่ยิบซั่ม กระดูกป่น หว่านให้ทั่วทรงพุ่มบางๆ ใส่มากเปลืองเปล่าๆ หาหญ้าแห้งใบไม้แห้งคลุมหนาหน้าดินๆ ช่วยรักษาความชื้นหน้าดิน แบบนี้รากชอบ .... เสร็จแล้วหว่านปุ๋ย 21-7-14 ให้ต้นละ 1 กก. หว่านบางๆให้ทั่วเขตทรงพุ่ม เน้นชายพุ่มมากๆหน่อยดี เพราะปลายรากดูดสารอาหารของเขาอยู่ที่นั่น หว่านปุ๋ยแล้วรดตามด้วยน้ำหมักระเบิเถิดเทิง 21-7-14 ใช้ 1 ล./10 ต้น ผสมน้ำเท่าไหร่ก็ได้ กะให้พอต่อ 10 ต้นก็แล้วกัน อันนี้เพื่อเอาสารอาหารกับจุลินทรีย์ในน้ำหมักช่วยบำรุงดิน .... การให้ปุ๋ยทุเรียน กะแบ่งช่วงเวลาให้ดีๆ แบ่งเป็น 4 รอบ ห่างกันรอบละ 1 เดือน รอบแรกให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง +21-7-14 ไปแล้ว รอบที่ 2 กับรอน 3 ให้แต่ 21-7-14 อย่างเดียว น้ำหมักฯไม่ต้อง จนกระทั่งรอบที่ 4 เดือนสุดท้ายของอายุผลบนต้นก็ให้ใส่ 13-13-21 เพื่อเร่งหวาน....สรุปก็คือ ใส่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงครั้งแรกรอบเดียว รอบ 2 รอบ 3 ใส่ 21-7-14 เดี่ยวๆ จนถึงเดือนสุดท้ายก็ให้ 13-13-21 เดี่ยวๆเหมือนกัน .... ยากไหมเนี่้ย

ผู้หมวด : (ยิ้ม ก้มหน้าก้มตาจด อ่านซ้ำดังๆเหมือนทบทวน) ทางใบละครับ
ผู้พัน : ต่อเลยเหรอ ได้.... ทางใบเอาน้ำมา 200 ล.นะ ใส้น้ำส้มสายชูในครัวลงไปก่อน 200 ซีซี. คนให้เข้ากันดีๆ แล้วใส่น้ำดำไบโออิ 100 ซีซี. ตามลงไป คนให้เข้ากันดีๆอีก แล้วใส่น้ำเขียวยููเรก้าตาม 100 ซีซี. คนให้เข้ากันดี ฉีดทางใบได้เลย ฉีดให้เปียกใบทั่วๆทรงพุ่ม สูตรนี้ให้ 10 วัน/ครั้ง ให้น้ำดำ + น้ำเขียว 2 ครั้งแล้ว ให้น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 200 ซีซี. เป็นครบสูตร ให้แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเก็บเกี่ยวได้เลย

สรุป....ให้ ไบโออิน้ำดำ+ยูเรก้าน้ำเขียว 2 รอบ สลับด้วยแคลเซียม โบรอน 1 รอบ สำหรับทุเรียนห่างกันรอบละ 7 วัน ทุกครั้งที่ให้ +สารสมุนไพรรวมไปด้วยก็ได้ จะได้ไม่เสียเที่ยว

ผู้หมวด : ปุ๋ยเร่งหวานทางใบ ไม่ให้เหรอครับ ?
ผู้พัน : (อืมมม์ แสดงว่ามีพื้นฐานเรื่องปุ๋ยอยู่เหมือนกัน) เร่งหวานทางใบ ให้ก็ได้ไม่ให้ก็ได้ ทางใบไม่ได้ให้ ให้แต่ 13-13-21 ทางรากอย่างเดียวก็พอ แต่ถ้าจะให้เร่งหวานทางใบก็ให้ 0-21-74 ตัวเดียวเดี่ยวๆ ละลายน้ำให้ทางใบไปเลย ระวังนะ พูดแล้วจะว่าคุย ทุเรียนจะหวานจนแสบคอกินไม่ได้ แถมทางใบที่ให้คราวนี้ก้านยาวจะลูกใหญ่ เตะตาโดนใจคนซื้อ ....

ที่จริงไม้ผลทุกตัวที่ไร่กล้อมแกล้มไม่เคยให้ปุ๋ยหวานเลย ทั้งทางรากทางใบ รสชาติยังดีได้เรียกว่า รสจัดจ้าน อันนี้เป็นผลมาจาก ธาตุรอง/ธาตุเสริม กับ แคลเซียม โบรอน ที่ให้ประจำนั่นแหละ ทุกอย่างดีเอง

ผู้หมวด : ก้ายาวลูกใหญ่ขายไม่ค่อยออกนะครับ
ผู้พัน : เฮ่ยยยย ไม่ได้ใหญ่ขนาดหมอนทองหรอกนะ อย่าดีก็ใหญ่กว่าไซส์มาตรฐานสายพันธุ์ 20-30% เท่านั้น เรียกว่า “ใหญ่กว่าเป็นต่อ” ไงล่ะ แต่ที่แน่ๆ ลูกยอดไม่เป็นพูหลอก เปลือกบาง เมล็ดเล็ก เนื้อมาก สีดี กลิ่นรสจัดจ้าน แล้วต้นก็จะไม่โทรมสำหรับเอาผลรุ่นหน้าด้วย

ทบทวนรายละเอียดการปฎิบัติ กับซักซ้อมทำความเข้าใจให้รู้จักกับสารอาหารต่างๆที่ต้องให้ทั้งทางใบทางราก จนแน่ใจ กับกำชับว่า โทรมารายงานผลบ่อยๆเพื่อกันพลาด หรือแก้ปัญหาที่ไม่คาดคิด

วันนี้นผู้หมวดตำรวจซื้ออะไรต่อมิอะไรสำหรับทุเรียน 100 ต่้นเต็มคันรถ บอกว่าซื้อครั้งเดียวไปเลย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องใช้อยู่แล้ว .... 4-5 เดือนผ่านไป หลังเสร็จงาน “มหกรรมทุเรียนนนท์” ผู้หมวดตำรวจส่งข่าว

ผู้หมวด : ผู้พันครับ สุดยอดครับ ผมเอาทุเรียนไปฝากไว้ที่ร้านลูกสาว ได้รับหรือยังครับ
ผู้พัน : ขอบคุณมากผู้หมวด ได้รับแล้ว อร่อยสไตล์ก้านยาวจริงๆ

ผู้หมวด : ยอมรับครับ “ใหญ่กว่าเป็นต่อ” จริงๆ ปกติก้ายาวลูกละโลกว่าๆเท่านั้น ปีนี้ผมได้ไซส์ 2 โลกว่า กว่า 50% ที่เหลือเป็นไซส์ใหญ่กับไซส์รอง ไซส์ฟุตบาธแทบไม่มีเลย ลูกยอดไม่เป็นพูหลอกด้วย
ผู้พัน : O.K. แล้วแม่บ้านว่าไงบ้างล่ะ

ผู้หมวด : หน้าบานซิครับ เขายังสั่งผมเลยว่า อย่าไปบอกใครว่าใช้ปุ๋ยผู้พัน
ผู้พัน : งั้นเหรอ บอกแม่บ้านไปเลย ถึงคุณไม่บอก ผมก็บอกทางอากาศอยู่แล้ว...ทุเรียนในงานนนท์ปีนี้โลเท่าไหร่น่ะ ?

ผู้หมวด : ของผมขายโลละ 500 เอง สวนข้างบ้านเขาบ่นผมทุกวันเลย หาว่าผมดั๊มราคาลง เขาขายโลละ 1,000
ผู้พัน : อืมมม เราก็น่าจะเอามั่งนะ นี่คือโอกาสของเกษตรกร ทุเรียนนนท์ลูกละ 10,000 เขาก็กล้าซื้อไม่ใช่เหรอ ?

ผู้หมวด : ก็อยากเอาอยู่หรอกครับ แต่ผมเหมือนผู้พันตรงที่ โหดไม่พอ น่ะครับ
ผู้พัน : เอางั้นนะ.....

ฉาก 2
ปี 54 น้ำท่วมใหญ่ (ใหญ่ครึ่งประเทศ) ลึก (บางกรวยน้ำถึงเอว) ทุเรียนผู้หมวดสุชินฯ ทั้ง 100 ต้น เก็บเกี่ยว


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 21/11/2023 2:11 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 3:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
135. ทุเรียนจันท์ :
คุณ EDDY (061) 334-03xx สมช.จันทบุรี อดีตเคยทำงานที่เท็กซัส รู้จักลุงคิมในอินเตอร์เน็ตบอก ให้ลูกชายบำรุงทุเรียนตามแนวในเน็ตเกษตรลุงคิมดอทคอม. ปีแรกที่ทำตามเน็ต มาซื้อและรับปุ๋ย ทั้งทางใบทางรากครบสูตรที่ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล ได้ปุ๋ยไปแล้วใช้ตามคำแนะนำในเน็ตเป๊ะๆ ปีนั้นปีแรกก็ได้ผลเกินคาด ชนิดที่ตั้งแต่ทำมาไม่เคยได้ผลผลิตสูง ทั้งปริมาณ คุณภาพ และต้น ทุนต่ำขนาดนี้มาก่อน ปีที่สองทำซ้ำ สั่งซื้อปุ๋ยสูตรเดิมจากชมรมฯ ก็ได้ผลเช่นเคย

2 ปี 2 รอบการผลิตของสวนของคุณ EDDY ข้างบ้าน สวนติดกัน ชอบพอกัน รู้และเห็นกับตากระทั่งกินกับปากมาตั้งแต่แรก กอร์ปกับได้รู้ข้อมูลทางวิชาการจากเน็ตฯ จากปากเพื่อนบ้านที่เล่าสู่ฟัง รู้แล้ว “คิด-วิเคราะห์-เปรียบเทียบ” สู่กันระหว่างเพื่อนบ้านกับสวนข้างบ้าน บังเกิดเป็นความเชื่อมั่นอย่าง เป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาได้ ปีนี้สวนข้างบ้านจึงขอร่วมด้วย

ขึ้นปีที่ 3 ที่รู้จักกัน (ทางเน็ต) คุณ EDDY กลับมาเมืองไทยก็เลยมาทำความรู้จักตัวจริงเสียงจริงกันที่ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล แม้เพิ่งปะหน้ากันครั้งแรก แต่การสนทนาปราศรัยราบ รื่นเหมือนร้องเพลงเดียวกัน เพราะความความสำเร็จในสวนเป็นตัวเชื่อมประสานนั่นเอง

และขึ้นปีที่ 3 (2560) ของการใช้ปุ๋ย RKK คุณ EDDY พร้อมกับ สมช.จันทบุรี สวนติดกันร่วมมารับปุ๋ยสูตรตามสั่งที่บ้านพุทธมณฑลสาย 3 ด้วย เหมือนเพื่อยืนยันตัวตนลุงคิมจริงๆ

สวนคุณ EDDY ประจักษ์ผลการใช้มาแล้ว 3 รุ่น 3 รอบการผลิต กับสวนติดกันประจักษ์ผลชัดเจน 1 รุ่น 1 รอบการผลิต

ขึ้นปีที่ 4 (พ.ค. 2561) ราว 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว คุณ EDDY กับ สมช.เก่า สวนติดกันเจ้าเดิม รวม 2 เจ้าหรือ 2 สวน สั่งซื้อปุ๋ย RKK ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10, 8-24-24, 21-7-14, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า, แคล เซียมโบรอน. แบบซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอดรอบการผลิตของปี 61 เลย ....

ปีนี้ปีที่ 4 ของการใช้ปุ๋ย RKK ทั้ง 2 สวน +ข้างบ้านฝากซื้ออีกเจ้าละ 2 สวน จึงรวมเป็น 6 สวน มาซื้อปุ๋ยตรงที่ RKK …. สูตรเดียวกันเดี๊ยะ ทุกสูตร

กรณีศึกษา 1 :
- สอบถามประสบการณ์การใช้ปุ๋ยที่ซื้อจากร้านขายปุ๋ย (เฉพาะปุ๋ยอย่างเดียว) ของทั้ง 2 สวนในแต่ละรุ่นการผลิต (สอบถาม-ซักถาม-ยืนยัน-นอนยัน-นั่งยัน-ตีลังกายัน-ตอกย้ำ-เน้นย้ำ เอาจะความจริงเพื่อเอามาปรับของเรา) คำตอบคือ เมื่อก่อนเคยซื้อปุ๋ยจากร้านค้า 200,000-250,000 /รุ่น /ปี /สวน ประจำเป็นเยี่ยงนี้มานาน กระทั่งเกิดหนี้เกิดสินเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มประเทศ

- มาปีนี้ ทั้ง 6 สวนซื้อปุ๋ย RKK ครบสูตรรวมกันเป็นเงิน 130,000 /รุ่น /ปี /6 สวน หรือ = 20,000 (+) /รุ่น /ปี /สวน นั่นเอง

- ไปปีหน้าปีถัดไป ถ้าทั้ง 6 สวนทำเอง ตามสูตรในหนังสือหัวใจเกษตรไท ต้นทุนย่อมลดลงอีกแน่นอน

กรณีศึกษา 2 :
* ไบโออิ. บำรุงต้น สร้างความสมบูรณ์สะสม .... แม็กเนเซียม.สร้างคลอโรฟีลด์ คลอโรฟีลด์.สังเคราะห์อาหาร, สังกะสี.สร้างแป้ง แป้งคือเนื้อของผลและน้ำตาล .... ต้นได้รับแป้งและน้ำตาล สม่ำเสมอตลอดปี ทั้งช่วงมีผลและไม่มีผลบนต้น ถึงฤดูกาลออกดอกก็จะออกดี .... กรณีหมอนทองกลายเป็นทะวายออกดอกติดผลตลอดปี

* ยูเรก้า. บำรุงผล-ขยายขนาด-หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ .... เปลือกบาง ขนาดผลใหญ่กว่ามาตรฐานสายพันธุ์ กรณีเมล็ดเล็กลีบ ลัษณะอาการที่เมล็ดเล็กลงกับขนาดผลที่ใหญ่ขึ้น คือ เนื้อของผลมากขึ้นนั่นเอง

* แคลเซียม โบรอน. สร้างคุณภาพ .... สร้าง กลิ่น/รส ป้องกันผลแตกผลร่วง
* ทุเรียน ก้านยาว-ชะนี-นกกระจิบ-พวงมณี เมล็ดเต็ม กลายเป็นเมล็ดลีบเหมือหมอนทอง
* บำรุงทางใบ ช่วงมีผล : ให้ทุก 7-10 วัน 2 รอบ สลับด้วยแคลเซียม โบรอน 1 รอบ .... หาโอกาสฉีดพ่นสารสมุนไพรบ่อยๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อ “กันก่อนแก้”

* บำรุงทางใบ ช่วงไม่มีผล : ให้ทุก 15-20 วัน 2 รอบ สลับด้วยแคลเซียม โบรอน 1 รอบ .... ในรอบ 2 เดือน หาโอกาสหรือช่วงจังหวะให้น้ำตาลทางด่วน 1 รอบ .... หาโอกาสฉีดพ่นสารสมุนไพรบ่อยๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อ “กันก่อนแก้”

* บำรุงทางราก : ให้ปุ๋ยเคมีสูตรตามระยะพืช เดือนละ 1 ครั้ง ให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 3 เดือน/ครั้ง (ให้ปุ๋ยเคมีเดี่ยวๆ 2 รอบ ให้น้ำหมักฯ +ปุ๋ยเคมี 1 รอบ)

136. ทุเรียนเขาคิชกูฎ :
ประสบการณ์ตรง :

สวนทุเรียนหมอนทองที่ อ.เขาคิฌกูฏ จ.จันทบุรี อายุต้น 5-10 ปี ให้ผลผลิตแล้ว เตรียมดินโดยการใส่ยิบซั่ม กระดูกป่น มูลวัว+มูลไก่ ทุก 6 เดือน คลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นด้วยเศษใบไม้แห้ง ใบหญ้า หนาประมาณประมาณ 50 ซม. เต็มพื้นที่ทรงพุ่ม ปีละครั้ง ....

บำรุงต้นตามขั้นตอนทุกประการ ปรากฏว่าต้นสมบูรณ์มากเมื่อแหวกเศษพืชคลุมโคนต้นออกดู พบว่ามีรากจำนวนมากชอนไชขึ้นจากพื้นดินมาอยู่ในเศษพืชแห้งนั้น รากอวบใหญ่ยาวสวยมาก ....

หลังจากให้ผลผลิตรุ่นนั้นแล้ว หมอนทองต้นนั้นออกดอกต่อ แล้วก็ออกต่อเรื่อยๆ จนกลายเป็นทุเรียนทะวายออกดอกติดผลไม่มีรุ่น ทำให้การบำรุงยุ่งยากมาก จึงตัดสินใจ “ลุย” บำรุงด้วยสูตร “สะสมตาดอก-บำรุงผล-ฮอร์โมนน้ำดำ-สาหร่าย + ไคติน ไคโตซาน + แคลเซียม โบรอน” ทั้ง 4 สูตร สลับกันสูตรละอาทิตย์ (ตอนนั้นยังไม่มีฮอร์โมนไข่) ....

ผลจากการบำรุงด้วยสูตร “ขยายขนาด-หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ” ทำให้ได้ผลขนาดใหญ่กว่า 8-10 กก. และไม่สามารถบำรุงด้วยสูตร “ปรับปรุงคุณภาพก่อนเก็บเกี่ยว หรือ เร่งหวาน” ได้ ทุเรียนทำท่าจะไม่มีคุณภาพ

แนวทางแก้ไข คือ ขายทุเรียนดิบ สำหรับทำทุเรียนทอดกรอบ คนซื้อนอกจากเหมารุ่นนี้หมดสวนแล้วยังจองรุ่นหน้าและรุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย

- การทำให้ทุเรียนพันธุ์หมอนทองดอกดอกติดลูกตลอดปีแบบไม่มีรุ่นได้นั้น ขึ้นอยู่กับการบำรุง ทั้งทางใบทางราก สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง สร้างความสมบูรณ์สะสมตลอดทั้งปี

- ทุเรียนก้านยาว บางกรวย นนทบุรี ของ ร.ต.ท.สุชินฯ สน.พระราชวัง ให้ผลผลิตสูงสุดถึง 102 ผลต่อต้น ไซส์ลูกละ 2 กก. ราคาหน้าสวน กก.ละ 500 ไม่พอขาย ....

สองพ่อลูก ปากเกร็ด นนทบุรี ไปหาที่ไร่กล้อมแกล้ม ยืนยันทำตามแนวที่แนะนำ คือ ทำแบบของผู้หมวดสุชินฯ ก้านยาวต้นเดียวก็ได้กว่า 100 ลูกเหมือนกัน ....

137. การตลาด นำการผลิต :
“นายต่าย” ปากท่อ ราชบุรี ย่านนั้น ทุกบ้านทุกแปลงนับ 100 ไร่ ปลูกหอมแบ่งพร้อมกันหมด ผลรับคือ ออกตลาดพร้อมกัน ล้นตลาด ... แต่คุณต่ายฯ ใช้ปุ๋ยลุงคิมครบสูตร ไปซื้อที่ RKK เช่าที่ปลูกหอมแบ่ง 2 ไร่ จับ 2 หลัก ....
1. ปลูกก่อนข้างบ้าน 15 วัน ....
2. ปลูกหลังข้างบ้าน 15 วัน ....

ผลรับ : ปลูกก่อน ออกตลาดก่อนข้างบ้าน 15 วัน กับปลูกหลัง ออกหลังข้างบ้าน 15 วัน เป็นวันที่หอมแบ่งในตลาดมีน้อย ราคาจึงดี .... ใช้เวลา 2 ปี ซื้อที่เช่าแปลงนั้นมาเป็นของตัวเองได้.... อีก 2 ปีต่อมา ซื้อที่ข้างบ้านได้อีก 5 ไร่.... นิยาย/เรื่องจริง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ปลูกเป็นทำเป็นขายเป็นมีแต่รวยกับรวย ปลูกเป็นทำเป็นแต่ขายไม่เป็น นอกจากไม่รวยแล้วยังเป็นหนี้อีกด้วย

“คุณภิรมย์ฯ” อ.เมือ ปทุมธานี ใช้ปุ๋ยของผลปุ๋ยรุ้ง ปลูกผักกาด ผักคะน้า ผักบุ้ง ส่งตลาดสี่มุมเมือง ไปถึงตลาด เดินดูคนกลางที่รับซื้อก่อน ถ้าคนกลางรับซื้อยังปล่อยผักในมือไม่หมด คุณภิรมย์ฯ จะยังไม่ขนผักลงจากรถ เพราะผักราคากำลังลง แต่ถ้าผักในมือคนกลางหมด นั่นแหละถึงขนผักลง เพราะแม่ค้าคนกลางไม่มีผักในมือแล้วแต่ตลาดยังไม่วายก็จะให้ราคาแพงขึ้น

2 ปี คุณภิรมย์ฯ ถอยปิ๊คอั๊พป้ายแดงได้ วันแรกที่ออกรถ เอารถมาให้ลุงคิมเจิมถึงที่บ้าน ทั้งๆ ที่บอกว่า “กูไม่ใช่พระ เจิมได้ไงวะ...” ภิรมย์ฯ บอกอีกว่า “ลุงไม่ใช่พระ แต่ขลังกว่าพระ...” ลุงคิมเลยตบบนฝากระโปรงให้ 3 ครั้ง ตอนนั้นสองคนผัวเมียยกมือพนมด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ....

138. สารสมุนไพร ภูมิปัญญาพื้นบ้าน :
1. หมักน้ำเปล่า

เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและสภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก. น้ำที่ออกมาอย่าทิ้งใส่ลงในถังพลาสติก เติมน้ำเปล่า 10-20 ล. คนให้เข้ากันดี

ทิ้งไว้ 24-48 ชม. ระหว่างนี้ให้คน 2-3 รอบ ครบกำหนด 24-48 ชม. ก็จะได้สารสกัดสมุนไพรเข้ม
ข้น พร้อมใช้งาน

หมักต่อไป 15-20 วัน หรือเมื่อเห็นว่าพืชสมุนไพรเปื่อยยุ่ย นอนก้นถังดี ให้กรองเอากากออก เก็บน้ำใสไว้ใช้งานจะดีมาก กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูก หรือโรยหน้าดิน ช่วยป้องกันแมลงในดินได้เป็นอย่างดี

สูตรนี้ไม่แนะนำให้เก็บไว้นานเพราะจะเน่าหรือบูด กรณีพืชสมุนไพรประเภทหัว ซึ่งมีแป้งเป็นส่วนผสมหลักจะบูดเน่าเร็วกว่าสมุนไพรประเภทใบ/ดอก/ผล ดังนั้นจึงควรทำครั้งละเพียงพอต่อการใช้ 1 ครั้ง แต่หากต้องการเก็บนานให้เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์ อัตรา 1 ล. ต่อน้ำสกัด 10 ล. แอลกอฮอร์จะช่วยแก้อาการบูดเน่าได้

2. สูตรหมักเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์
เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและสภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก. น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใส่ลงในถังพลาสติก เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์ (อย่างใดอย่างหนึ่ง)1-2 ล. เติมน้ำส้มชายชู 1 ล. อัตราเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์กับน้ำส้มสายชูให้ได้พอท่วมสมุนไพร ถ้าไม่ท่วมให้เติมน้ำเปล่าเพิ่ม จนกระทั่งพอท่วม คนเคล้าให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ 24-48 ชม.ระหว่างนี้ให้คน 2-3 รอบ เพื่อให้แอลกอฮอร์กับน้ำส้มสายชูจะสกัดเอาสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรออกมา ครบกำหนด 24-48 ชม.แล้วให้เติมน้ำเปล่า 10-20 ล.ก็จะได้สารสกัดสมุนไพรเข้มข้น พร้อมใช้งาน

หมักต่อไป 15-20 วัน หรือเมื่อเห็นว่าพืชสมุนไพรเปื่อยยุ่ย นอนก้นถังดี ให้กรองเอากากออก เก็บน้ำใสไว้ใช้งานจะดีมาก กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูกหรือโรยหน้าดิน ช่วยป้อง
กันแมลงในดินได้เป็นอย่างดี

3. สูตรแช่น้ำร้อน :
เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและสภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก. น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใส่ลงในถังพลาสติกที่มีน้ำต้มเดือดแล้ว 10-20 ล. คนให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ 24-48 ชม. ระหว่างนี้ให้คน 2-3 รอบ ครบกำหนด 24-48 ชม. ก็จะได้สารสกัดสมุนไพรเข้มข้น พร้อมใช้งาน

หมักต่อไป 15-20 วัน หรือเมื่อเห็นว่าพืชสมุนไพรเปื่อยยุ่ย นอนก้นถังดี ให้กรองเอากากออก เก็บน้ำใสไว้ใช้งานจะดีมาก กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูกหรือโรยหน้าดิน ช่วยป้องกันแมลงในดินได้เป็นอย่างดี

สูตรนี้ไม่แนะนำให้เก็บไว้นานเพราะจะเน่าหรือบูด กรณีพืชสมุนไพรประเภทหัว ซึ่งมีแป้งเป็นส่วนผสมหลักจะบูดเน่าเร็วกว่าสมุนไพรประเภทใบ/ดอก/ผล ดังนั้นจึงควรทำครั้งละเพียงพอต่อการใช้ 1 ครั้ง แต่หากต้องการเก็บนานให้เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์ อัตรา 1 ล.ต่อน้ำสกัด 10 ล. แอลกอฮอร์จะช่วยแก้อาการบูดเน่าได้

4. สูตรต้มพอร้อน :
เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและสภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก.น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใส่ลงในถังโลหะ (ปี๊บ) ที่มีน้ำ 10-20 ล. คนให้เข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไฟ ต้มพอเดือด เสร็จแล้วยกลงปล่อยให้เย็น ก็จะได้สารสกัดสมุนไพรเข้มข้น พร้อมใช้งาน

เมื่อน้ำต้มเย็นลงแล้วให้กรองเอากากออก เก็บน้ำใสไว้ใช้งาน กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูก หรือโรยหน้าดิน ช่วยป้องกันแมลงในดินได้เป็นอย่างดี

สูตรนี้ไม่แนะนำให้เก็บไว้นานเพราะจะเน่าหรือบูด กรณีพืชสมุนไพรประเภทหัว ซึ่งมีแป้งเป็นส่วนผสมหลักจะบูดเน่าเร็วกว่าสมุนไพรประเภทใบ/ดอก/ผล ดังนั้นจึงควรทำครั้งละเพียงพอต่อการใช้ 1 ครั้ง แต่หากต้องการเก็บนานให้เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์ อัตรา 1 ล.ต่อน้ำสกัด 10 ล. แอลกอฮอร์จะช่วยแก้อาการบูดเน่าได้

5. สูตรต้มเคี่ยว :
เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและสภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก. น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใส่ลงในถังโลหะ (ปี๊บ) ที่มีน้ำ 10-20 ล. ยกขึ้นตั้งไฟ

ต้มครั้งที่ 1 ..... ให้เดือดจัด เสร็จแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้มแล้วออกทิ้งไป ใส่สมุนไพรตัวเดิม ปริมาณเท่าเดิมลงไปแทน เตรียมต้มรอบ 2

ต้มครั้งที่ 2 .... เดือดจัดแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้มแล้วออกทิ้งไป ใส่สมุนไพรตัวเดิมปริมาณเท่าเดิมลงไป เตรียมต้มรอบ 3

ต้มครั้งที่ 3 .... เดือดจัดแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้มแล้วออกทิ้งไป ใส่สมุนไพรตัวเดิมปริมาณเท่าเดิมลงไปแทน แล้วต้มจนเดือดจัดเป็นครั้งสุดท้าย เสร็จแล้วยกลง ปล่อยให้เย็น แล้วให้กรองเอากากออกก็จะได้หัวเชื้อน้ำต้มสมุนไพรเข้มข้นพร้อมใช้งาน

กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูก หรือโรยหน้าดิน ช่วยป้องกันแมลงในดินได้เป็นอย่างดี

สูตรนี้ไม่แนะนำให้เก็บไว้นานเพราะจะเน่าหรือบูด กรณีพืชสมุนไพรประเภทหัว ซึ่งมีแป้งเป็นส่วนผสมหลัก จะบูดเน่าเร็วกว่าสมุนไพรประเภทใบ/ดอก/ผล ดังนั้นจึงควรทำครั้งละเพียงพอต่อการใช้ 1 ครั้ง แต่หากต้องการเก็บนานให้เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์ อัตรา 1 ล. ต่อน้ำสกัด 10 ล. แอลกอฮอร์จะช่วยแก้อาการบูดเน่าได้

หมายเหตุ :
สูตรต้มเคี่ยวทำได้ 2 แบบ คือ
แบบที่ 1
....... ต้มเคี่ยวครบ 3 รอบแล้วกรองเอากากออกได้น้ำใสเท่าไรก็ได้เท่านั้น ใช้งานได้เลยความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์มีเท่าไรก็มีเท่านั้น

แบบที่ 2. .. ต้มเคี่ยวครบ 3 รอบ กรองเอากากออกจนได้น้ำใสแล้ว ให้ต้มเคี่ยวต่อโดยไม่ต้องเติมพืชสมุนไพรอีก ต้มเคี่ยวจนกระทั่งน้ำระเหยไปไอหายไป เหลือ 1 ใน 4 ของครั้งแรก เสร็จแล้วปล่อยทิ้งให้เย็นความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์จะแรงขึ้น

6. สูตรกลั่น
ถังกลั่น :

- เป็นถังโลหะทรงสูง
- ใส่น้ำเปล่าก้นถัง ปริมาณตามความเหมาะเมื่อเทียบกับปริมาณของพืชสมุนไพรที่จะกลั่น ไม่ควรเกิน 1 ใน 4 ของความสูงถัง

- มีตะแกงติดในถัง ณ ระดับความสูง 3 ใน 4 จากก้นถังของความสูงถัง
- มีฝาปิดสนิทป้องกันไอระเหยออกได้
- ที่ฝาปิดมีท่อให้ไอระเหยผ่านไปสูงระบบควบเย็นได้สะดวก
- ท่อนี้จะผ่านระบบควบเย็น ส่วนปลายดัดแปลงให้แทงเข้าไปในถังกลั่น เพื่อให้ไอระเหยที่ถูกควบเย็นจนกลายเป็นน้ำแล้วกลับเข้าไปกลั่นซ้ำในถังอีกครั้ง

ส่วนผสมและวิธีทำ :
เลือกพืชสมุนไพรประเภทสกัดด้วยวิธีกลั่นโดยเฉพาะ มีสารออกฤทธิ์ตรงกับชนิดศัตรูพืช สดหรือแห้ง สับเล็กหรือบดละเอียด การกลั่นทำได้ 2 แบบ

แบบที่ 1 ....... กลั่นแบบต้มเหล้าป่า (ชาวบ้านแอบทำ /เหล้าเถื่อน)หรือเหล้าขาว (รัฐบาลทำ)การกลั่นแบบนี้ต้องอาศัยความร้อนสูง น้ำที่ต้มเพื่อเอาไอระเหยต้องเดือดจัด 100 องศา ซ. ทำให้ได้ "น้ำ + สารออกฤทธิ์" ซึ่งจะมีน้ำ 70% สารออกฤทธิ์ 30% ถ้าน้ำที่ต้มเพื่อเอาไอระเหยร้อน 60-70 องศา ซ. จะทำได้เปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์สูงขึ้น อัตราส่วน น้ำ 30% สารออกฤทธิ์ 70% แต่เนื่องจากความร้อนเพียงเท่านี้ไอน้ำจะไม่พุ่งออกมาสู่ระบบควบเย็นได้ แก้ไขโดยการใช้ตัวดูดไอระเหย (แว็คกั้ม)....... สารออกฤทธิ์ที่ได้ใช้งานได้เลย หากต้องการเก็บนานให้เติมแอลกอฮอร์ 10-20% ของน้ำกลั่นสารออกฤทธิ์

แบบที่ 2 .. กลั่นซ้ำ เป็นการกลั่นแบบให้ความร้อนสูงเดือดจัด ไอระเหยที่ถูกควบเย็นแล้วผ่านท่อที่ดัดแปลงเป็นการเฉพาะไหลกลับเข้าไปในหม้อกลั่นอย่างเดิมรวมกับน้ำก้นถังกลั่นอีกครั้ง แล้วถูกต้มกลายเป็นไอระเหยสูงขึ้นสู่ระบบควบเย็นซ้ำโดยอัตโนมัติ น้ำจะถูกกลั่นเป็นไอน้ำ ถูกควบเย็นเป็นน้ำไหลกลับเข้าถังกลั่น หมุนเวียนซ้ำอย่างนี้จนเป็นที่พอใจ น้ำก้นถังกลั่น คือ น้ำกลั่นสารออกฤทธิ์ มีน้ำกับสารออกฤทธิ์ 1 : 1 ใช้งานได้เลย

แบบที่ 3 .. กลั่นด้วยเครื่องกลั่นเฉพาะแบบ "แยกน้ำ-แยกน้ำมัน" น้ำมันที่ได้เป็นสารออกฤทธิ์ 100% ไม่มีน้ำปน สารออกฤทธิ์ที่ได้ใช้งานได้เลย และเก็บนานได้โดยไม่ต้องเติมแอลกอฮอร์

หมายเหตุ :
สำนักตักศิลา .... สอนวิชาแพทย์แผนโบราณ วิธีการตรวจสอบ ความรู้/ความคิด ของศิษย์ ให้ศิษย์เดินไปข้างหน้า 20 วา แล้วหยิบหาอะไรที่ไม่ใช่ “ยา” มาให้ ศิษย์บางคนหยิบมามาก ไม่ใช่ยาทั้ง
นั้น แต่ศิษย์คนหนึ่ง กลับมามือเปล่า บอกว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ยาเลย ทุกอย่างเป็นยาได้ทั้งนั้น แม้แต่ “ดิน” ที่เราเหยียบก็เป็นยาได้ .... ศิษย์คนนี้ “สอบได้” .....

139. โชคชน :
รายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม กำเนิดขึ้นมาได้ด้วย “รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด” เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามตำแหน่ง ชกท. (ความชำนาญการทางทหาร) .... 3 ปีแรกของภารกิจแม้ไม่มี SPONSOR ก็ไม่รู้สึกใดๆที่บ่งบอกถีงความต๊อแต๊ ตรงกันข้าม ทุกลมหายใจเปี่ยมล้นด้วยความ สนุก-ภูมิใจ-มุ่งมั่น ในการพัฒนาให้ดีขึ้น ๆๆ

โบราณสอนว่า อยากได้อะไร ไปหาอันนั้น แล้วจะได้อันนั้นมา กรณี SPONSOR รายการวิทยุล่ะ ต้องไปหาจึงจะได้มา ยังงั้นมั้ย ? คำตอบคือ “ไม่แน่” เพราะวันดีคืนดี BIOKING ปุ๋ยเคมีน้ำทางใบหลากหลายสารพัดสูตรก็เข้ามาเป็น SPONSOR ยินดีจ่ายทั้ง ค่าเวลาสถานีวิทยุ ค่าตัว ดีเจ. กับทั้ง ค่าเหนื่อยคราออกสัญจรไป บรรยาย/สอน เกษตรกร ถึงพื้นที่

สาบาล ! .... วิทยุรายการนี้ไม่เคยออกไปหา SPONSOR มีแต่ SPONSOR เข้ามาหา มาหาเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโชคจะ “วิ่งชน” อย่างนี้ไปอีกกี่สมัย

4 ปีแรกกับ BIOKING ต่อด้วย 6 ปีหลังกับ ผลปุ๋ยรุ้ง รวม 10 ปี .... และวันนี้อีก 10+ ปี สีสันชีวิตไทย รายการวิทยุยังอยู่ อยู่กับ SPONSOR รายใหม่....

ค่าตัว ดีเจ. :
วิทยุ พล.ปตอ. (กทม. รายการสด) เดือนละ “-??,???-”......... SPONSOR BIOKING จ่าย
วิทยุยานเกราะ (กทม. เทปคลาสเซ็ต) เดือนละ “-??,???-” ...... SPONSOR BIOKING จ่าย
วิทยุเสียงอดิศร (สระบุรี. เทปคลาสเซ็ต) เดือนละ “-??,???-”.... SPONSOR BIOKING จ่าย
วิทยุ สทร.(จันทบุรี. รายการสด) เดือนละ “-??,???-” ............ SPONSOR BIOKING จ่าย
วิทยุ มก. กทม. (เทปคลาสเซ็ต) เดือนละ “-??,???-” ........... SPONSOR BIOKING จ่าย

รวม เดือนละ “-??,???-” x 5 สถานี = “-???,???-” /เดือน นาน 4 ปี = 4 ปี x 12 เดือน x “-???,???-” = “-?,???,????- ”

งานสีสันสัญจรไปบรรยาย ตจว. เดือนละ 2 ครั้ง ได้ค่าตัวครั้งละ “-??,???-“ = “-???,???-“ /เดือน
สัญจร 4 ปี (48 เดือน x “-???,???=” = “-???,???-”)
รวมรายได้ 4 ปีแรก ดีเจ “-?,???,???-” + สัญจร “-?,???,???-” = “-??,???,???-”

6 ปีหลังกับผลปุ๋ยรุ้ง รายได้เดือนละ “-??,???-” SPONSER จ่าย นาน 6 ปี
รวมรับ 6 ปี (72 เดือน) = 72 เดือน x เดือนละ “-??,???-” = “-??,???,???-”

รวมรายได้ 4 ปีแรก (BIOKING) + 6 ปีหลัง (ผลปุ๋ยรุ้ง) = “-?,???,???-” + “-?,???,???-” = “-??,???,???-”

รายการวิทยุจิตอาสา :
วิทยุ อสมท. อาทิตย์ละ 1 วัน รายการสด .............. ฟรี
วิทยุจราจร สวพ.91 อาทิตย์ละ 1 วัน รายการสด ...... ฟรี

กำไรจากขายหนังสือเกษตร วารสารราย 3 เดือน ฉบับละ “-??,???-” (4 ฉบับ/ปี)
กำไรจากขายหนังสือเกษตร POCKET BOOK 10 เรื่อง ๆละ “-??,???-”
POCKET BOOK หัวใจเกษตรไท “-?,???-” เล่ม ๆละ “-??,???-” = “-?,???,???-”

ทำงานคนเดียว รับเงินคนเดียว :
- เนื้อหาในหนังสือได้มาจากข้อมูลที่ใช้ออกอากาศประจำวัน (เขียนล่วงหน้าไว้ในคอม.)
- ทำเทป ไม่เอ่ย วัน ว. เวลา น., ไม่เอ่ยชื่อสถานี, เรื่องเดียวกันออกอากาศพร้อมกันได้ทุกสถานี
- เนื้อหาเรื่องเดียวกัน สปอนเซอร์เดียวกัน ดีเจ.คนเดียวกัน
- มีห้องบันทึกเสียงส่วนตัวที่บ้าน (ลงทุนเครื่องบันทึกเสียง 10,000)
- บันทึกเทปคลาสเซ็ทได้ครั้งละ 10-20 ม้วน, ทำงานบันทึกเทป 1 ครั้ง ออกอากาศได้ 7 วัน วันละม้วน, ส่งเทปทาง ปณ. อาทิตย์ละครั้ง

ปัจฉิมลิขิต :
- ไม่บอกตัวเลข เพราะกลัวสรรพากรไม่เชื่อ
- ไม่บอกตัวเลข เพราะกลัว สมช. ผู้ฟัง/ผู้อ่าน ไม่เชื่อ
- ไม่บอกตัวเลข เพราะกลัว สมช.ทำตามแล้วได้ น้อยกว่านี้/เท่านี้/มากกว่านี้

140. รางวัลเกียรติยศ :
เมื่อกองทัพบกมีคำสั่งถึง นขต. (หน่วยขึ้นตรง) กองทัพบก ให้หน่วยค้นหากำลังพลในสังกัดที่มีความสามารถในการเขียนนิยายสงคราม ให้เขียนนิยายเข้าประกวดในนามกองทัพบก งานนี้ พล.ท.สำเภา ชูศรี ผบ.นปอ. (ยศขณะนั้น....ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ) รับคำสั่งจาก ทบ. ผู้พันคิมจึงถูกเรียกตัวเข้าพบ

ผบ.นปอ. : เฮ่ยยยย คิม ซา กัสส์ งานเข้าว่ะ
คิม ซา กัสส์ : ครับ

ผบ.นปอ. : ตอนนี้มึงยังเขียนนิยายสมรภูมิอยู่หรือเปล่า ?
คิม ซา กัสส์ : (นายรู้ได้ไง สงสัย ตอบเสียงอ่อยๆ) ยังเขียนอยู่ครับ

ผบ.นปอ. : มีเรื่องต้นฉบับที่เขียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งให้บริษัทไหม ?
คิม ซา กัสส์ : มีครับ

ผบ.นปอ. : คืองี้ กองทัพบกให้หน่วยที่มีนักเขียน เขียนนิยายสงครามเข้าประกวดในนามกองทัพบก หน่วยเราก็เห็นมีแต่มึงนี่แหละ
คิม ซา กัสส์ : ผมต้องทำยังไงบ้างครับ ?

ผบ.นปอ. : เขียนนิยายขึ้นมาซักเรื่อง ความยาว 20-30 หน้า จบในเรื่อง ได้ไหม ?
คิม ซา กัสส์ : ขออณุญาตครับ ด่วนไหมครับ ?

ผบ.นปอ. : อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ไหวไหม ?
คิม ซา กัสส์ : (คิดหนัก) พอไหวครับ

ผบ.นปอ. : เรื่องแบบไหน บอกได้ไหม ?
คิม ซา กัสส์ : ที่เขียนไว้แล้วเป็น POCKET BOOK ความยาวประมาณ 500 หน้า ตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า “พิลาปเปื้อนเลือด” ถ้าจะเอาเร่งด่วนก็ต้องย่อเรื่องลงมาเป็นเรื่องสั้นครับ

ผบ.นปอ. : (หัวเราะ) พิลาปเปื้อนเลือด มันเป็นยังไงเหรอ ?
คิม ซา กัสส์ : เป็นเรื่องทหารปราบ ผกค. ออกภารกิจแล้วพบ ผกค.ที่เป็นคนไทย ไม่ฆ่า แต่แนะนำให้เขากลับบ้าน แต่ถ้าเป็น ผกค.ต่างชาติ อันนี้ต้องฆ่า

ผบ.นปอ. : เปื้อนเลือดต่างชาติ ไม่เป็นไรมั้ง
คิม ซา กัสส์ : ไม่ใช่แค่นั้นครับ ผกค.ต่างชาติที่เข้ามาเพราะมีคนไทยเป็นคนนำเข้ามา คนไทยเป็นระดับผู้นำครับ

ผบ.นปอ. : คนไทยแบบนี้ก็ต้องฆ่าซิวะ นี่ใช่ไหม พิลาปผู้รักสันติภาพต้องมาเปื้อนเลือด ?
คิม ซา กัสส์ : ประมาณนั้นครับ

ผบ.นปอ. : งั้นเอาเนื่องนี้ส่งประกวดเลย พร้อมใช่ไหม ?
คิม ซา กัสส์ : ขอเวลาเรียบเรียงใหม่ 1 อาทิตย์ครับ

จากวันนั้น สิริรวมเวลาได้ 3 เดือน ที่หอประชุมกองทัพบก บรรดานักเขียนนิยายสงครามสังกัดกองทัพบกจากทั่วประเทศได้มาชุมนุมกัน เพื่อฟังผลการประกวดและรับรางวัล

ผบ.นปอ. : เฮ้ย คิม ซา กัสส์ ของมึงได้ชนะเลิศ อันดับ 1 ว่ะ
คิม ซา กัสส์ : ขอบคุณครับ

รางวัลที่ได้รับวันนั้นเป็น รูปหล่อพระเจ้าตากสิน มหาราช ทรงม้าศึก ชูดาบขึ้นฟ้า สูง 1 คืบมือ .... ไม่ยักกะมีซองเงินรางวัล (ว่ะ) นึกเสียดายเล็กๆ (ได้แค่นึก) "พิลาปเปื้อนเลือด" เรื่องนี้ถ้าขายให้บริษัท ทำเป็น POCKET BOOK ได้แล้ว 25,000

141. ชิงตัวนักเขียน :
เมื่อครั้งสงครามระดับโลก เวียดนาม/ลาว/เขมร กำลังบูม กำลังทหารหลายๆชาติเข้าไปมีส่วนร่วมภายไต้ธงอเมริกัน ที่ขาดไม่ได้ คือ ROYAL THAI ARMY ถึงขนาด แข่งขัน/วิ่งเต้น/เล่นเส้น/เสียเงิน ไปสงครามกันเลยทีเดียว สร้างความฉงนให้กับทหารอเมริกันเป็นยิ่งนัก ....

เชื่อหรือไม่ :....ทหารอเมริกัน ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ต้องไปรบ ก็อย่าง เคียสเซียส เคล์ นักมวยแชมป์โลก ลงทุนเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม โมฮัมหมัด อาลี เพื่อไม่ต้องไปรบไง แม้แต่ไปรบแล้วทำผิดวินัยร้ายแรง ลงโทษให้อยู่รบต่อ.... แต่ทหารไทย ทำทุกวิถีทางให้ได้ไปรบ ไปรบแล้วทำผิดวินัยร้ายแรง ลงโทษส่งกลับ....

ท่ามกลางไฟสงครามนั้น สภาพเศรษฐกิจหลายตัวพรุ่งพรวดๆ ที่เห็นชัดอย่างหนึ่งในประเทศไทย คือ สิ่งพิมพ์ หนังสือเกี่ยวกับสงคราม นิตยสารสมรภูมิ คือ หนึ่งในวงการนี้ ด้วยการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม เวียดนาม/ลาว/เขมร ไม่ต้องอาศัยนักข่าวทุกประเภท เอาแค่ "นักแปล" คอยเปลี่ยนภาษา
อังกฤษจากนิตยสารต่างประเทศเป็นภาษาไทย พร้อมกับเอารูปประกอบเรื่องมาด้วยเท่านั้น

คิม ซา กัสส์ ในฐานะทหารผ่านศึก เกาหลี/เวียดนาม/ลาว/ผกค/CIA มีโอกาสสำแดงฝีไม้ลายเส้น เขียนเรื่องจริงอิงนิยายลงในนิตสารสมรภูมิ ทำให้เป็นนิตยสารที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในบรรดาสิ่งพิมพ์ประเภทเดียวกัน

เมื่อมีเรื่องธุรกิจการลงทุน ก็ต้องมีการใช้กลยุทธการตลาดด้วยมันสมอง หรือใช้เล่กะเท่ห์ล้มคู่แข่ง "จ้างฆ่า" ก็ต้องทำ

คู่แข่งธุรกิจ : (เสียงคฑาชายดังมาในโทรศัพท์) ขอพูดกับคิมซากัสส์ ครับ
คิมซากัสส์ : (เสียงนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน) กำลังพูดครับ

คู่แข่งธุรกิจ : ผมโทรจากหนังสือ “..?..” สำนักงานอยู่ตึกราชดำริ อาเขต ประตูน้ำ อยากคุยธุรกิจกับคิมซากัสส์ ครับ
คิมซากัสส์ : (นึกในใจ ก.เป็นทหาร เป็นนักธุรกิจได้ด้วยเหรอวะ) ธุรกิจอะไรครับ ขอโทษครับ

คู่แข่งธุรกิจ : ธุรกิจหนังสือ เหมือนหนังสือที่คุณคิมซากัสส์เขียนอยู่นั่นแหละครับ
คิมซากัสส์ : (คงหมายถึงนิตยสารสมรภูมิ เพราะเป็นนิตยสารแบบเดียวกับของคนที่โทรมา) ไม่เข้าใจครับ ขอรายละอียดมากกว่านี้หน่อยครับ

คู่แข่งธุรกิจ : ครับ ดีครับ พูดกันสั้นๆ พูดง่ายๆ คือว่า ผมอยากให้คุณคิมซากัสส์มาเขียนนิยายในหนังสือผม ผมมีค่าตัวให้ก้อนหนึ่ง กับให้ค่าเขียนเท่าเดิมที่คุณคิมได้รับอยู่
คิมซากัสส์ : (เริ่มเห็นช่องทาง) ค่าตัวก้อนหนึ่ง เป็นเงินเท่าไหร่ครับ

คู่แข่งธุรกิจ : ดีครับ พูดสั้นดี ผมให้ 1 แสน เงินสดครับ
คิมซากัสส์ : ค่าตัว 1 แสน ค่าเขียน ผมมีทั้งรายสัปดาห์ แล้วก็พ๊อกเก็ตบุ๊คด้วย

คู่แข่งธุรกิจ : อันนี้ผมรับแต่รายสัปดาห์ครับ เพราะผมไม่ได้ทำพ๊อกเก็ตบุ๊ค
คิมซากัสส์ : (เริ่มเห็นเค้า เราขาดทุน) อืมมม ค่าตัวนักเขียน 1 แสน คุณออกนิตยสารรายสัปดาห์แค่ 2 ฉบับก็ได้ทุนคืน ฉบับต่อๆไป คือ กำไรเนื้อๆ แต่รายได้ผม พ๊อกเก็ตบุ๊คมากกว่ารายสัปดาห์หลายเท่า

คู่แข่งใหม่ : คือว่า ต้นทุนของเรายังไมีน้อย อยากให้คุณคิมมาช่วยหน่อยน่ะครับ

คิมซากัสส์ : การขอความช่วยเหลือกัน เขาไม่ทำกันยังงี้ ไม่ใช่เหรอ ?

คู่แข่งธุรกิจ : งั้นผมขอโทษ แล้วผมต้องทำยังไงครับ ?
คิมซากัสส์ : (ขี้เหนียวหรือเงินน้อย ไม่รู้) เอาเป็นว่า ผมปฏิเสธงานนี้ก็แล้วกัน

เมื่อตอบปฏิเสธไปแล้ว 5 วัน เริ่มมีงานอุบัติขึ้น ที่ริมฟุตบาทถนนฝั่งตรงข้าม สนง.นิตยสาร สมรภูมิ ชายฉกรรจ์ 4 คน กับมอเตอร์ไซด์ 2 คัน มาจอดรอตั้งแต่สายๆ 10 โมงเช้า จนถึงบ่าย 2 โมงกว่าจึงกลับไป

วันรุ่งขึันแรก 10 โมงเช้ามาใหม่ คราวนี้มอเตอร์ไซด์ 2 คันเดิม แต่ 4 คนหน้าใหม่
วันรุ่งขึ้นที่สอง เวลาเดิม มอเตอร์ไซด์ 2 คันเดิมวันแรก แต่ 4 คนหน้าเดิมวันแรก
วันรุ่งขึ้นที่สาม เวลาเดิม มอเตอร์ไซด์ 2 คันเดิมวันแรก แต่ 4 คนหน้าเดิมวันที่สอง
วันรุ่งขึ้นที่สี่ เวลาเดิม มอเตอร์ไซด์ 2 คันเดิมวันแรก แต่ 4 คนหน้าเดิมวันแรก

คิม ซา กัสส์ คุยกับ ผู้จัดการสมรภูมิ เล่าเรื่องเจรจาซื้อตัว แล้วบอกว่า "นี่ไง แก๊งมือปืนรับจ้างฆ่า" งานนี้มีการแอบถ่ายภาพ มุมไกล มุมไกล้ มุมสูง ใบหน้าคนหัวจรดเท้า รูปรถมอเตอร์ไซด์ทั่วคันแต่ไม่มีป้ายทะเบียน

เลขาฯ ผู้จัดการสมภูมิ โทรศัพท์สอบถามธุรกิจกับ สนง.นิตยสารคู่แข่ง โดยไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึก กระทั่งรู้ที่ตั้ง สนง.

เมื่อ 8 โมงเช้าวันนั้น คิมซากัสส์ กับลูกน้อง 6 คน ทุกคนในเครื่องแบบสนาม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆประดับกายแม้แต่เข็มสักเล่ม ปรากฏตัวที่ชั้นล่างของอาคารราชดำริอาเขต สั่งลูกน้องให้ไปกินอาหารในร้านอาหาร เพื่อไม่ให้ใครสงสัยสนใจ ส่วนตัวคิมซากัสส์เข้าลิฟท์ กดปุ่มไปชั้น 18 ทันที

ช่วงเช้าธุรกิจยังไม่คึกคัก จึงไม่มีปัญหาที่คนเดียวเดี่ยวๆจะเข้าไปยืนอยู่หน้าโต๊ะคู่เจรจาที่ล้มเหลวทางโทรศัพท์ได้อย่างสดวกโยธิน

ชายกลางคน อายุราว 50 มาดนักธุรกิจมีระดับ บนหน้าโต๊ะมีป้าย "ผู้จัดการ" โชว์อยู่ โต๊ะข้างๆเป็นหญิง เห็นแว้บเดียวต้องยอมรับ ผู้หญิงคนนี้สวย สวยมากๆ

คู่แข่งธุรกิจ : (เงยหน้า ตีหน้าซื่อเพราะไม่รู้ว่าใคร) สวัสดีครับ
คิมซากัสส์ : (งานนี้รุกคาดทันที) ผมคิมซากัสส์ คุณคิดจะฆ่าผมเหรอ ?

คู่แข่งธุรกิจ : (ตีหน้าตะลึง) คุณเอาอะไรมาพูด
คิมซากัสส์ : (ล้วงรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋า) นี่คือหลักฐาน มอเตอร์ไซด์ 2 คันนี้จอดอยู่ข้างล่าง นี่เอง นี่คือมือปีน 4 คนที่สับเปลี่ยนหน้ากันไปปะกบผม คุณปฏิเสธเหรอว่านี่ไม่ใช่การจ้างฆ่า ?

คู่ขาสนทนา มองรูปแล้วตกใจเหมือนจนมุมต่อหลักฐาน อ้าปากหน้าซีด สองแขนห้อยลงข้างตัว คอเอียงทางขวาเต็มที่ พลอยทำให้น้ำหนักตัวเอนไปทางข้างอย่างรุนแรงฉับพลัน ส่งผลให้ร่างนั้นร่วงจากเอ้าอี้ลงไปกองกับพื้น

คู่แข่งธุรกิจ : คุณ.... ผม....
คิมซากัสส์ : (ยืนขึ้น มองแต่ไม่พูด)

คู่แข่งธุรกิจ : (ผู้หญิงนั่งข้างๆ ลุกมาช่วย จะประคองให้ลุกแต่ทำไม่ได้)
คิมซากัสส์ : (วิญญานนักล่าสังหารกลับมาอีกครั้ง) จัดการกันเองนะ กูไปละ

เมื่อ 5 วันผ่านไป สนง.สมรภูมิ สั่งให้เลขาโทรติดต่อธุรกิจกับสำนักพิมพ์คู่แข่งนั้นอีกครั้ง คำตอบที่ได้ คือ "ผู้จัดการไม่สบาย อยู่โรงพยาบาล...."

เมื่อ 5 วันที่สองผ่านไป สนง.สมรภูมิ สั่งให้เลขาโทรติดต่อธุรกิจกับสำนักพิมพ์คู่แข่งนั้นอีกครั้ง คำตอบที่ได้ คือ "ผู้จัดการตายแล้ว ศพอยู่วัดโสม...."

142. ลิขสิทธิ์งานเขียน :
เมื่อครั้งยังไม่เกษียณราชการ ในห้อง "ฝ่ายผลิตรายการ" สถานีวิทยุ พล.ปตอ. วันนั้นผู้พันคิมอยู่ในเครื่องแบบทหารยศพันโท ซึ่งนานๆจะแต่งซะที เพราะงานปกติในหน้าที่รับแต่บุคคลพลเรือนมากกว่าบุคคลทางทหารที่เป็นผู้บังคับบัญชา ขณะกำลังเพลินอยู่กับจอโน้ตบุ๊คนั้น ลูกน้องเข้ามาส่งข่าว

"ผู้พันครับ มีแขกมาขอพบ ตอนนี้อยู่ข้างล่างครับ" ลูกร้องรายงานเบาๆ เหมือนไม่กล้ารบกวนสมาธิ

"แขกอินเดีย แขกอาหรับ หรือแขกอิสลาม ยะลาปัตตานีวะ" เจตนาพูดโจ๊กมากกว่าเป็นจริงเป็นจัง แล้วออกคำสั่ง "ไปรับเขาขึ้นมาซี่..." ผู้พันคิมตอบ เสียงกลั้วหัวเราะ

เมื่ออาตันตุกะปรากฏขึ้นในสายตา ใจแว้บขึ้นมาทันที นึกถึงเมื่อกี้นี้พูดเล่นว่าแขกยะลาปัตตานี เกิดตาละปัดเป็นจริงขึ้นมาได้

เมื่อชายหนุ่ม 2 คน คนหนึ่ง รูปร่าง ผิวพรรณ ใบหน้า เหมือนคนไทยอิสลามภาคไต้ หรืออาจจะไปทางไทยอิสลามแถวๆ อยุธยาก็น่าจะใช่ กับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่น่าสงสัยเพราะมาดทุกกระเบียดนิ้ว คือ ไทยแท้ ไทยพุทธ

อาตันตุกะมาดไทยแท้เอ่ยปากขึ้นก่อน "สวัสดีครับผู้พัน ผมชื่อ..?.. ส่วนเพื่อนที่มาด้วยเป็นมาเลเซีย ชื่อ..?.. ต้องการมาคุยกับผู้พันเรื่องใน POCKET BOOK เล่มนี้ครับ"

ขณะลูกน้องกำลังเลื่อนเก้าอี้เพื่อรับแขก ผู้พันคิมในฐานะผู้รับการมาเยือนยิ้มกว้าง ยื่นมือขวาไปให้ชายมาเลเซีย CHECKHAND ตามวัฒนธรรมสากล แล้วเชิญทั้งสองอาคันตะกะนั่ง ชายมาดไทยแท้แปลเป็นภาษามาเลเซีย

"อืมมม ดูเหมือนคุณไม่ได้พูดภาษาอังกฤษนะ ขอโทษ นั่นภาษาอะไร ?" ผู้พันคิมถาม
"ภาษามาเลเซีย เมืองปีนัง เป็นภาษาประจำถิ่นครับ" ชายมาดไทยแท้บอก แล้วพูดเป็นภาษามาเลยเซียสั้นๆ ให้ชายปีนังรับรู้ด้วย

"วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้" คิดในใจ วันนี้ต้องทำหน้าที่ทูตสันทวไมตรีระดับประเทศซะมัง
"ขอบคุณครับผู้พัน" ชายมาดไทยแท้ตอบ แล้วพูดเป็นภาษามาเลยเซียให้ชายปีนังรับรู้ด้วย

ลูกน้องยกถ้วยกาแฟ พร้อมแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟรับแขก ชายมาดไทยแท้โชว์ห่อหนังสือ แล้วเริ่มเจรจาวัตถุประสงค์

"ผู้พันครับ นี่คือ POCKET BOOK เรื่อง ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม ทำเอง ที่ผู้พันเขียน ผมซื้อมาจากร้านที่สพานควาย 12 เล่ม เหมาหมดทั้งร้านเลย" ชายมาดไทยแท้ล้วง POCKET BOOK ทั้ง 12 เล่มมาวางบนโต๊ะให้เห็น

"คุณซื้อมาทำไมเยอะแยะน่ะ" ผู้พันคิมถาม ด้วยอาการคิ้วย่นนิดๆ
"เรียนตามตรงครับ ผมจะเอาไปแปลเป็นภาษามาเลเซียครับ" ชายมาดไทยแท้ตอบ "แปล แปลเป็นภาษามาเลเซีย ออกงงๆนะ ขอรายละเอียดหน่อย" ผู้พันคิมถามพร้อมกับเหลือบสายตามองหน้าชายมาดมาเลเซีย

"คือว่า ผมอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้แล้วแปลให้ฟังคุณ..?.. เขาสนใจมาก เขาบอกว่า เขาติดตามข้อมูลเรื่องปุ๋ยน้ำชีวภาพมานาน จากหนังสือของออสเตรเลย อเมริกา ก็มีรายละเอียดไม่มากเท่าหนังสือที่ผู้พันเขียน เขาเลยสนใจ"

"ปกติคุณ..?.. ทำงานอะไร ?" ผู้พันคิมถามถึงชายมาดมาเลเซีย
"เป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรประจำรัฐปีนัง เขาเป็นข้าราชการด้านเกษตร เหมือนเกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด บ้านเรานี่แหละครับ" ชายมาดไทยแท้ตอบพร้อมกับแปลเป็นภาษาปีนัง

"O.K. WELLCOME" ผู้พันคิมตอบเสียงดังชัดเจนสไตล์ทหารไทย พร้อมกับยืนมือออกไป CHECK HAND กับชายมาดมาเลเซียอีกครั้ง

"ผู้พันครับ คือว่า ที่มาวันนี้เพื่อจะมาบอกว่า ทีมงานเกษตรของมาเลเซียเขาสนใจหนังสือเล่มนี้มาก เขาให้มาถามเรื่องลิขสิทธิ์ เขาจะเอาไปตีพิมพ์เป็นภาษาของเขาน่ะครับ" ชายมาดไทยแท้ตอบพร้อมกับแปลเป็นภาษาปีนัง

"ลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์" ผู้พันคิมเอ่ยคำนี้ 2 ครั้ง เงียบไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ... "หนังสือเกษตรที่ผมเขียน ทุกเล่มไม่มีลิขสิทธิ์หรอก" ผู้พันคิมบอก

"ไม่มีลิขสิทธิ์ ถ้ามาเลเซียเขาแปลเป็นภาษาของเขาแล้วทำเป็นรูปเล่ม ... อ้อ ขอบอกก่อนครับ หนังสือเล่มนี้แปลแล้ว ทำเป็นเล่มแล้ว เขาไม่ได้ทำขายนะครับ เขาจะเอาไว้แจกเกษตรกร กับนักเรียนในโรงเรียนน่ะครับ" ชายมาดไทยแท้ตอบพร้อมกับแปลเป็นภาษาปีนัง ชายหนุ่มปีนังยิ้มพอใจ

"O.K. FOR MALAYSIA FROM THAILAND .... ROYAL THAI ARMY" ผู้พันคิมมองหน้าชายมาดมาเลเซีย พูดภาษาอังกฤษแล้วเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยกับชายมาดไทยแท้ "คุณบอกคุณ..?..เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้"

"ครับ ขอบคุณครับ" ชายมาดไทยแท้ตอบพร้อมกับแปลเป็นภาษาปีนัง ชายหนุ่มปีนังยิ้มพอใจ
"THANK YOU THANK YOU VERY MUCH" ชายมาดมาเลเซียยืนขึ้น ยิ้มเต็มหน้า แล้วยื่นมือไปขอ CHACKHAND กับผู้พันคิม

วันนั้นคุยกันยาวเรื่องเกษตรของเมืองปีนัง จึงรู้ว่าที่นั่นทำโครงการสวนเกษตรเพื่อการท่องเที่ยว ปลูกพืชล้มลุกอายุสั้นฤดูกาลเดียว ในโรงเรือน แบบอินทรีย์เคมีผสมผสาน อินทรีย์เพียวๆ ไม่ใช้สารเคมียาฆ่าแมลงทุกชนิดเด็ดขาด

เมื่อวันนั้น ยกลิขสิทธิ์หนังสือให้ไปแล้ว
เมื่อวันนี้ ไม่มีวี่แววหนังสือแปลซักเล่ม เงียบเหมือนเข้ากลีบเมฆ แม้แต่คนมาติดต่อ ทั้งไทย ทั้งมาเลเซียก็เงียบ ไม่รู้ว่าเขาเอาไปแปลจริงหรือเปล่า.... ไม่รู้จริงจริง สาบาล

143. งานเขียน ไทย VS อเมริกา :
เมื่อ สมช.ผู้เป็นพ่อเดินทางจากเท็กซัส สหรัฐอเมริกา มาเยี่ยมลูกชายที่จันทบุรี ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาศาลายา ในมือถือ POCKETBOOK สูตรฟันธง

ชายหนึ่งจากเท็กซัส กับชายหนึ่งอยู่เมืองไทย สองชายหน้าวัยเดียวกัน คิดอย่างเดียวกันได้พบกัน .... ตัดอารมภบทที่ทักทายซึ่งกันและกัน แล้วเข้าเนื้อหาเลย

สมช. : (โชว์ POCKETBOOK ในมือ) คุณคิมคงไม่ทราบว่า หนังสือเล่มนี้ถ้าจำหน่ายในอเมริกา คนเขียนจะได้เป็นล้านเลยครับ
คิม ซา กัสส์ : (ยิ้มเล็กๆ อาจเป็นได้ ญี่ปุ่น/อังกฤษ พิมพ์หนังสือออกมาครั้งละล้านเล่ม แต่ไทยแลนด์พิมพ์ครั้งละพันเล่ม) เป็นล้าน ได้ยังไงครับ ?

สมช. : สาระเนื้อหาครับ คนอเมริกันสนใจเรื่องอินทรีย์ชีวภาพมากๆ แต่หาข้อมูลทางวิชาการไม่
ได้ หรือมีน้อยมาก ในหนังสือเล่มนี้เล่มเดียวมีครบทุกอย่างเลยครับ
คิม ซา กัสส์ : แล้วตลาดหนังสือ เขาซื้อขายกันยังไงครับ

สมช. : ซื้อขายกันปกตินี่แหละ วางแผงในห้าง หรือ BOOK STORE ก็ได้
คิม ซา กัสส์ : อืมมม... เท่าที่ผมรู้มานะ หนังสือประเภทสาระเยื้อหาเป็นวิชาการ ต้องมี BOOK DOC-TOR ตรวจก่อน โดยเฉพาะหนังสือหรือเอกสารด้านการเกษตร แม้แต่แหล่งท่องเที่ยว จะต้องผ่านการรับรองจากภาคราชการก่อนตีพิมพ์เผยแพร่ ไม่ใช่เหรอ ?

สมช. : เอ... ข้อนี้ผมไม่รู้นะ อาจะเป็นอย่างที่คุณคิมว่าก็ได้
คิม ซา กัสส์ : (หัวเราะในลำคอ บนความรู้สึกขอบคุณ ที่มองทุกอย่างในแง่ดี แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย) พูดถึงเกษตรกรอเมริกา เมื่อครั้งก่อนที่ POCKETBOOK ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้มทำเองตีพิมพ์เป็นเล่ม ผมเคยแจกเอกสารปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม น่าจะถึงแสนแผ่นนะ ในจำนวนนี้มี สมช.ผู้ฟังวิทยุช่วย SEROX มาแจกด้วย บางรายช่วยครั้งละเป็นหมื่นๆ แผ่น เราก็แจกไปทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มีหลงไปถึงอเมริกา ที่ซานฟรานซิสโก เพื่อนทหารอเมริกันเคยไปรบเกาหลีรุ่นเดียวกัน มีโอกาสได้รับเอกสารนี้จากเพื่อคนไทยที่นั่นด้วย พอรู้ว่าคนเขียนในเอกสารคือ KIM ZA GASS เป็นคนเดียวกับที่เขียนนิยาย ศึกเกาหลี เฮฮาเกาหลี ถึงกับโทรข้ามทวีปมาคุยด้วย ยังจำได้แม่นที่เพื่อนทหารอเมริกันบอกว่า อเมริกันทำเรื่องนี้มานานกว่า 50 ปีแล้ว THAILAND JUST WACKUP เหรอ ?

สมช. : (อุทาน) OH GOD
คิม ซา กัสส์ : ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ THANKYOU THANKYOU

สมช. : ผมก็ต้องขอบคุณลุงคิมด้วย ปีนี้ปีที่สองแล้วที่สวนทุรียนของผมที่เมืองจันท ได้ผลผลิตดีมาก หลังจากเปลี่ยนเปลี่ยนแนวมาทำตามแนวลุงคิม
คิม ซา กัสส์ : อ้าววว แล้วเท็กซัส กับสวนทุเรียน จันทบุรี มันเกี่ยวข้องกันได้ยังไงครับ

สมช. : อ๋ออ ผมลืมบอกไป คือ ผมเป็นคนไทยไปทำงานที่เท็กซัส ผมมีสวนทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง อยู่ที่จันทบุรี 120 ไร่ วันนี้ให้ลูกชายดูแล เมื่อก่อนนี้ลงทุนซื้อปุ๋ยตามร้าน ตกปีละ 3-4 แสน แต่พอเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยของลุงคิม ต้นทุนค่าปุ๋ยลดลงมาเหลือแค่ไม่ถึงครึ่งแสน แถมคุณภาพผลผลิต สภาพต้น ก็ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
คิม ซา กัสส์ : อืมมม คุณใช้ปุ๋ยผม คุณซื้อที่ไหน ?

สมช. : (หัวเราะดัง) คุณบอย ลูกชายผมมาซื้อที่ร้านนี้ ร้านคุณน้ำส้มลูกสาวคุณคิมนี่แหละครับ
คิม ซา กัสส์ : อ๋อออ คุณบอย จำได้แล้ว บ้านอยู่บางแถวเสาอากาศ ทีวี.ช่อง 3 บางแค แฟนน้ำส้มเขาเอาไปส่งให้ที่บ้านบ่อยๆ

สมช. : นั่นแหละครับ ผมใช้ได้ผลแล้วก็พยายามบอกสวนข้างบ้านเอาไปใช้บ้าง บอกยังไงๆ รู้ก็รู้ เห็นก็เห็น เขาก็ไม่เอาตามครับ
คิม ซา กัสส์ : ปล่อยเขาเถอะ นี่แหละคนไทย

สมช. : ตอนนี้คุณคิมมีปุ๋ยตัวใหม่ออกมาอีกไหมครับ ?
คิม ซา กัสส์ : อืมมม คงไม่มีหรอกครับ นอกจากไม่ออกใหม่แล้ว จะลดตัวเก่าลงอีกแน่ะครับ

สมช. : ลด ลดยังไงครับ
คิม ซา กัสส์ : ก็ทำให้เหลือน้อยสูตรลงซิครับ ทำให้คนใช้สะดวกแล้วก็ประหยัดต้นทุนด้วย

สมช. : ผมจะคอยครับ
คิม ซา กัสส์ : ขอบคุณครับ

ถึงปีนี้ ปีที่ 4 รุ่นการผลิตของสวนนี้ สรุปต้นทุนค่าปุ๋ยปีละ 70,000 เท่านั้น
บางครั้งไปส่งให้ที่บ้านบางแค บางปีมารับกับมือลุงคิมที่บ้าน เลยได้พูดคุยสอบถามกัน

144. จบเกมส์วารสารเกษตรใหม่ :
เมื่อ วารสารเกษตรใหม่ ฉบับที่ 36 เดินไปถึงโกดังย่านถนนสุทธิสารฯ เพื่อออกสู่แผงในตลาดเหมือนอย่างเคย ปกติจะพบวารสารฉบับที่ 35 ที่เหลือกลับมาจากแผงรออยู่ แล้วส่งฉบับที่ 36 ลงไปแทน

วารสารเกษตรใหม่ ราคาหน้าปก 35 บาท ลงทุนฉบับละ 14 บาท เอเย่นต์เอาไป 7 บาท = 21 บาท นั่นคือเจ้าของได้รับ 14 บาท

ยอดจำหน่ายได้ฉบับละ 11,000 เล่ม = 11,000 x 14= 154,000

เฉพาะวารสารได้ 154,000 /ฉบับ /3 เดือน (ได้เดือนละ 50,000 มากกว่าเงินเดือนพันโท....ว่ะ) ต้นทุนจริงๆ มีแค่ค่าพิมพ์อย่างเดียว ไม่มีค่านักเขียน ค่านักข่าว ค่าสำนักงาน ฯลฯ

เพราะ KIM ZA GASS ทำคนเดียว ตั้งแต่บรรณาธิการ ลงไปถึงยามหน้าประตู

ถ้ามีสปอนเซอร์คงได้มากกว่านี้....ว่ามั้ย

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้น....
คิม ซา กัสส์ : เจ๊ เกษตรใหม่ ฉบับที่ 35 ส่งมาให้ตั้ง 3 เดือนแล้วยังไม่ส่งไปแผง แล้วฉบับที่ 36 จะวางแผงได้ไง มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ?

เอเย่นต์ : เอ้อออ ผู้พันคะ ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ คือว่า ช่วงนี้บริษัทเรากำลังย้ายโกดัง จากสุทธิสาร มาอยู่นวนคร ค่ะ

คิม ซา กัสส์ : แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเกษตรใหม่ ฉบับที่ 35 ครับ ?
เอเย่นต์ : คือว่า คนงานเป็นพม่า เขาอ่านภาษาไทยไม่ออก พูดไทยก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องของเรื่องก็คือ หนังสือเก่าที่เหลือกลับมาจากแผง กับหนังสือใหม่ที่จะไปวางแผง คนงานเขาวางผิดที่ เอาหนังสือใหม่ที่จะไปวางแผง ไปวางตรงที่หนังสือเก่ากลับมาจากแผง เลยทำให้หนังสือใหม่ไม่ได้วางแผง นี่แหละค่ะ

คิม ซา กัสส์ : แล้วค่าเสียหายล่ะ งานนี้เสียหายทั้งคุณทั้งผมนะ
เอเย่นต์ : เข้าใจค่ะ

คิม ซา กัสส์ : เอาวะ งานนี้เอางี้ก็แล้วกัน เอาฉบับที่ 36 วางแผงต่อ ส่วนฉบับเก่า ฉบับที่ 35 ผมเอากลับเอง
เอเย่นต์ : ได้ค่ะ ขอบคุณผู้พันมากค่ะ

คิม ซา กัสส์ : ฉบับที่ 36 เป็นฉบับสุดท้ายนะ บอกตามตรง เสียความรู้สึก
เอเย่นต์ : อย่าเพิ่งค่ะผู้พัน จะเลิกทั้งวารสาร ทั้ง POCKET BOOK เลยหรือคะ ?

คิม ซา กัสส์ : ทั้งสองนั่นแหละ ถ้ามีอย่างอื่นอีกก็ไม่เอา
เอเย่นต์ : (เงียบ...)

ไม่น่าเชื่อ....ภาพกองหนังสือในโกดังเอเย่นต์ส่งสินค้าสิ่งพิมพ์ที่เห็นประจำ....
วารสารเกษตรใหม่ วางแผงครั้งละ 12,000 เล่ม เหลือกลับจากแผง 1,000 เล่ม
วารสารประเภทโฆษณา 200 หน้า วางแผงครั้ง 6,000 เล่ม เหลือกลับจากแผง 3,500 เล่ม

วารสารเกษตรเกษตรใหม ไม่มีสปอนเซอร์ ถึงมือผู้บริโภค (ผู้อ่าน) ครั้งละ 11,000 เล่ม
วารสารเกษตรมีโฆษณา ถึงมือผู้บริโภค (ผู้อ่าน) ครั้งละ 2,500 เล่ม

วารสารเกษตรเกษตรใหม่ สปอนเซอร์เสนอให้หน้าละ 1,500-3,000 ต่อฉบับ
วารสารเกษตรมีโฆษณา เรียกจากสปอนเซอร์ 200 ตัว จ่ายหน้าละ 10,000 ต่อฉบับ

145. อยากเป็นนักเขียน :
สวัสดีค่ะ ลุงคิม
ยัยเฉิ่ม อ่านเรื่องราวต่างๆ ในช่วงนิยายสงครามของลุงแล้ว โอ้โห ! ลุงคิมทำได้ยังไงคะ ?

จากนายสิบ เป็นนายร้อย
จากนายพัน เป็นนักเขียนนิยาย
จากนักเขียนนิยาย เป็นนักจัดรายการวิทยุ
จากนักจัดรายการวิทยุ เป็นวิทยากรบรรยายเกษตร เขียนหนังสือเกษตร และลงมือทำเกษตร

ทั้งหมด เกิดขึ้นได้จากอะไร ลุงคิมมีแนวคิดอย่างไร ในการทำแต่ละอย่าง ?
COMMENT :
มีด้วยเหรอ คนที่มีความคิดแบบนี้ คือว่า เรื่องแบบนี้ มันน่าสนใจ น่าศึกษา เหรอ ? ที่ถามย้อนแบบนี้เพราะ มีคนถามแค่คนเดียว ทั้งๆที่ ....

- เว้บนี้ ในแต่ละวันมีคนเข้ามาอ่านไม่ใช่น้อย
- เว้บนี้ คนที่เข้ามาอ่าน ประเภท จริงจังจริงใจ กับชีวิตทั้งนั้น
- เว้บไหนๆ เค้าเอาเนื้อหาสาระมาใช้เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน มากกว่าให้เป็นกิจจะลักษณะ

คำถามนี้ไม่ใช่คำถามพื้นๆ หรือหาคำตอบได้ง่ายๆ เพราะมันมีความละเอียดลึกซึ้ง มีความเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเองที่พิสูจน์ได้ และเป็นของจริง .... พอจะสรุปคำตอบได้ดังนี้

* เริ่มจาก หัวใจนักปราชญ์ยุคโบราณ สุจิปุลิ คือ ฟังคิดถามเขียน ด้วยสมาธิแน่วแน่
* เสริมด้วย หัวใจนักปราชญ์ยุค IT คือ อ่าน/ดู/ทำ/ใช้ บนพื้นฐาน คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ เพื่อค้นหาคำตอบว่า ใช่หรือไม่ใช่ ? .... ใช่เพราะอะไร ? อะไรที่ไม่ใช่ ? .... ไม่ใช่เพราะอะไร ? อะไรที่ใช่ ?

ชีวิต/อาชีพ นักเขียนเริ่มเมื่อ....
วารสาร สมรภูมิ รายสัปดาห์ เริ่มฉบับที่ 5 ผู้หมวด คิม ซา กัสส์ ยศร้อยไท จาก ปตอ.พัน 4 นั่งคุยกับทีมงานวารสาร ในวงคุยเล่าเรื่อง "ทหารไทยในเกาหลี" คุยนานคุยยาวเป็นชั่วโมงๆ ๆๆ โดยไม่รู้ว่าทีมงานวารสารบันทึกเสียงไว้ด้วย มารู้ทีหลังเมื่อทีมงานบอกว่า

"เนื้อเรื่องในเทปมันต่อกันไม่ได้ อยากให้ผู้หมวดเอาไปถอดเทป แล้วเขียนใหม่ จะเอามาลงในวารสารสมรภูมิ ได้ไหม..." บรรณาธิการพูดยิ้มๆ

วันนั้นไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นนักเขียน หรืออะไรทั้งสิ้น แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่ลึกๆ คือ พอใจ จึงตอบกลับไป O.K.

อีก 1 อาทิตย์ ย้อนกลับไปที่สำนักพิมพ์ พบหน้าทีมงานวารสารสมรภูมิชุดเดิม บรรณาธิการ วารสารรับกระดาษ A4 ทั้งปึ๊ง 20 หน้าไปอ่าน ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้องเพื่อรอฟังผลการตัดสินใจของบรรณาธิการ

"ได้ครับผู้หมวด ใช้ได้ทั้งหมด ชุดนี้ลงได้ 4ตอน 4อาทิตย์ ผู้หมวดเขียนมาอีกซิครับ เรารับทั้งหมดเลย" บรรณาธิการพูดด้วยยิ้มเต็มใบหน้า

"ก็ได้ จะลองดู" ผู้หมวดคิม ซา กัสส์ ตอบ

"ไม่ใช่เขียนฟรีนะครับ ได้ค่าเขียนทุกตอนครับ" บรรณาธิการยืนยัน
"ก็ได้" ผู้หมวดคิม ซา กัสส์ ตอบเบาๆ

"ผู้หมวด ต้องมีนามปากกาด้วยนะครับ" บรรณาธิการบอก
"อืมม งั้นเอาชื่อ คิม ซา กัสส์ ก็แล้วกัน" ผู้หมวด ยศร้อยโทตอบ

"คิม ซา กัสส์ คิม ซา กัสส์ ภาษาเกาหลี ดีครับ แล้วมันแปลว่าอะไรเหรอครับ" บรรณาธิการถาม

"ไม่รู้คำแปลหรอก รู้แต่ว่า ชื่อนี้คือนักร้องเกาหลีที่ทหารไทยแทบทุกคนร้องได้ เพราะสุรพล สมบัติเจริญ เคยเอาทำนองของเขามาใส่เนื้อร้องภาษาไทย ที่คนไทยรู้จักดีนั่นแหละครับ..." ผู้หมวดนัก
เขียนใหม่ตอบ

"ผู้หมวด ร้องได้ไหมครับ ?" บรรณาธิการแกล้งถามเล่นๆ
"ซุกซาแง ซากา ซืกอ พังนัน ชัมชาลี...." ผู้หมวด อดีตนักรบไทยเกาหลี โชว์เพลงภาษาเกาหลีท่อนเดียว เพราะร้องได้แค่นั้น

นิยายสงครามลุงคิมมีจุดเริ่มต้นในการเขียนยังไง ?
COMMENT :
"ยาขอบ หรือ มานะ แพร่พันธุ์" เขียนนิยายเรื่อง "ผู้ชนะสิบทิศ" จากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์พม่าเพียง 7 บันทัดเท่านั้น

"พนมเทียน หรือ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ" เขียนนิยายเรื่อง "เพชรพระอุมา" เริ่มที่ความรู้เบื้องต้นเรื่อง "พรานป่า" จากคุณพ่อ + คุณตา เอามาจินตนาการ (เกี่ยวกับคน เป็นเรื่องจินตนาการแท้ๆ) สร้างเรื่องขึ้นมา เมื่อตลาดนิยม ภาคแรกจบแล้วจึงต่อภาค 2 (มรกตนคร) จบภาค 2 ต่อภาค 3 เมื่ออเมริกาว่างจ้างให้ค้นหาเครื่องบินที่บันทุกระเบิดปรมณูตกในป่า (จำชื่อตอนไม่ได้) แล้วดาวเทียมค้นหาไม่พบ....พนมเทียนเขียนเพชรพระอุมา ตั้งแต่อายุ 30 กว่า จนกระทั่งอายุ 60 กว่า บอกว่าเป็นนิยายที่ยาวที่สุดในโลก ที่ยาวได้เพราะมีคนนิยมอ่าน .... ถ้าพนมเทียนไม่ขี้เกียจ (เดา) คงจินตนาการต่อ อเมริกาอาจจะว่างจ้างให้ตามหาเครื่องบินที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แล้วต่อด้วยมาเลเซียว่าจ้างให้ตามหาเครื่องบินมาเล
เซียที่หายไปก็ได้

นิยายสงครามของลุงคิม....
บางเรื่องเริ่มที่ "ตอนกลางของเรื่อง" คือ เมื่อ "กระสุนนัดแรก" ดังขึ้น เราก็สร้างจินตนาการย้อนหลังจากกระสุดนัดแรก ถอยหลังมาที่ "คำสั่งปฏิบัติการ" (เรียกว่า ที่มา) ให้คนนั้นไปพบกระสุน .... จากกระสุนนัดแรกแล้วเกิดอะไรต่อไปอีก (เรียกว่า ที่ไป) ก็จินตนาการต่อ ต่อไปเรื่อยๆ จนจบภารกิจ

บางเรื่องเริ่มจาก "ตอนจบของเรื่อง" เราก็ "จินตนาการของเรา+เกร็ดเรื่องจริงของใครก็ได้" เอามาใส่ต่อกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน

บางเรื่องเริ่มจาก "ตอนเริ่มของเรื่อง" เราก็ "จินตนาการของเรา+เกร็ดเรื่องจริงของใครก็ได้" เอามาใส่ต่อกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน

จินตนาการ ........... เกิดเองตามธรรมชาติ พระเจ้าประทานมาให้ เรียกว่า "พรสวรรค์"
เกร็ดเรื่องจริง ......... เกิดจากคนเปิดใจรับ ตัวเองสร้างเอง เรียกว่า "พรแสวง"
ชีวิตนี้ 10 ส่วน ...... พรสวรรค์ 1 ส่วน แต่พรแสวง 9 ส่วน

เคยนะ .... นั่งรถไฟ ซื้อตั๋วไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุบล นั่งในตู้สะเบียงตั้งแต่ออกจาก กทม.ไปถึงอุบล แล้วนั่งรถไฟขบวนนั้นกลับ กทม. .... อยู่ในตู้สะเบียง ดื่มๆ กินๆ หลับๆ ตื่นๆ คนเดียว กลับถึง กทม.ได้นิยายมา 4 เรื่อง

บ่อยนะ .... คุยกับเพื่อนทหาร ต่างเหล่า ต่างหน่วย ทั้งเรื่องของตัวเขาเอง และเรื่องของเพื่อนเขา รู้เรื่องที่เขาเคยผ่านสนามรบ ขอเรื่องสั้นๆ แค่ 7 บันทัดแบบผู้ชนะสิบทิศก็ได้ เพราะคนเขียนมีพื้นอยู่แล้ว

ตอนนั้น .... ช่วยราชการ (การข่าว-ยุทธการ) ศปก.ทบ.315 รับผิดชอบงานการรบด้านเขมร กับช่วยราชการ (การข่าว-ยุทธการ) ศปก.ทบ.309 รับผิดชอบงานการรบด้านลาว ทุกหน่วย ทั่วประเทศ ต้องรายงานสถานการณ์ทุกวัน ไม่มีการปะทะให้รายงานว่าปกติ มีการปะทะให้รายงานการปฏิบัติ (รุก รับ รุ่นถอย) อย่าางละเอียด .... นี่ไง ข้อมูลการรบที่เป็นเรื่องจริง

ปล.
1. นักเขียนนิยายสงคราม นามปากกา "สยุมภู ทศพล" อดีตทหารเหล่าสื่อสาร นักวิ่งทีมชาติ เป็นอาสาสมัครไปรบลาว รุ่น SR (จำรุ่นไม่ได้) รบอยู่ 1 ปี ถูกเวียตนามเหนือจับไปเป็นเชลย 4 ปี กลับมาเมือง
ไทย เอาประสบการณ์ (ในสนามอย่างเดียว ไม่มีประสบการณ์ใน บก.) ในลาวที่เดียวมาเขียนเป็นนิยายรวมแล้วได้ไม่กี่เรื่อง เพราะมีข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ตรงด้านการรบแค่นั้น แต่ด้วยความมี "จินตนา
การ" เรื่องสงครามสูง จึงสร้างเรื่องขึ้นมา โดยจับนักรบจากประเทศอาฟริกาออกไปรบที่โน่นที่นี่ทั่วโลก

2. นักเขียนนิยายสงคราม นามปากกา "ก้องหล้า สุรไกร" ก่อนหรือรุ่นเดียวกัน กับสยุมภู ทิศพล รายนี้ไม่มีข้อมูลเฉพาะบุคคล กับรู้จักผลงานเขาน้อยมากๆ

3. นักเขียนนิยายสงคราม นามปากกา "คิม ซา กัสส์" เกิดหลังทั้งก้องหล้าฯ และสยุมภูฯ หลายปี

ทำไมลุงคิมถึงเขียนนิยายสงคราม ?
COMMENT :
แรงบันดาลใจ :

นิยายสงคราม เพราะ "ใจ + ประสบการณ์ตรง (ออกรบ-ตัวเอง/คนอื่น) + ประสบการณ์ตรง (งานวางแผน) + สำนักพิมพ์ต้องการ + เลือดบ้า + โอกาส + สถานการณ์โลก + ตลาด + เงิน"

นิยายอื่น เพราะ "ใจ + ชั่วโมงบิน + จินตนาการ + นักเขียนรุ่นพี่ + สำนักพิมพ์ต้องการ + เลือดบ้า + โอกาส + ตลาด + เงิน"

ถ้าอยากเขียนนิยายบ้างต้องทำอย่างไร ?
COMMENT :
อยากเขียนนิยาย ให้หัดเขียน จม.เล่าเรื่องยาวๆก่อน เขียนรอบแรกแล้วเขียนซ้ำรอบสอง โดยใส่เพิ่มเรื่องราวสอดแทรกที่กลางเรื่อง แต่เรื่องราวต่อกัน จะทำให้เรื่องนั้นยาวขึ้น ....

เขียนรอบสองแล้วเขียนซ้ำรอบสาม ใส่เพิ่มเรื่องราวสอดแทรกที่กลางเรื่อง แต่เรื่องราวต่อกัน จะทำให้เรื่องนั้นยาวขึ้นไปอีก ....

เขียนรอบสามแล้วเขียนรอบสี่ รอบห้า หกเจ็ดแปด ใส่สอดแทรกเข้าไปที่กลางเรื่อง แต่เรื่องราวต่อกัน เหมือน "โม้ให้หนัก" นั่นแหละ ....(อ้างอิง : ทมยันตี)

หลักนิยายที่ลุงคิมเขียน ประกอบด้วย ใคร? ทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? ทำไม? .... WHO WHAT WHEN WHERE WHY & HOW (5W 1H)

โคร ? ........ ชื่อสมมุติ-ชื่อจริง อันนี้อยู่ที่ความเหมาะสม และวัตถุประสงค์
ทำอะไร ? .... ขึ้นกับความสนใจของผู้อ่าน เรื่องในอดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต
ที่ไหน ? ..... พยายามใช้ชื่อสถานที่จริง เพื่อความขลัง ความสมจริง
เมื่อไหร่ ? .... พยายามใช้ชื่อเวลาจริง เพื่อความขลัง ความสมจริง
อย่างไร ? .... เขียน จริง 1 + ส่ายไข่ 5 + ส่ายนม 5 = 11 นั่นคือ "เหนือกว่า" คนอ่าน
ทำไม ? ...... เขียนตามความต้องการของคนอ่าน หรือ ตามใจคนเขียนขัดใจคนอ่าน

นิยายไม่ใช่เรื่องจริง ................... แต่ชีวิตจริงคือนิยาย
ได้/ไม่ได้ อยู่ที่ ........................... "ใจ"
ใครก็ทำได้ ยกเว้น ..................... "คุณ"

146. ตาย 1 เกิด 10 :
ด้วยคำสั่ง เด็ดขาด/รวดเร็ว/เรียบร้อย จาก CIA เพียงคำว่า “ฆ่า” สำหรับคอมมิวนิสต์และพวกพ้อง มิใยว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหยื่อสังหารเหล่านั้นจะมีใครที่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งและเขาจะรู้สึกอย่างไร ? เพียงใด ?

CIA ไม่ใส่ใจเลยว่า ยุทธวิธีนี้จะทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ “ตาย 1 เกิดใหม่ 10” นั่นคือ สังหารเหยื่อได้ 1 ราย แต่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงบริวารจะตามมาแก้แค้นนับ 10 ราย ส่งผลให้กลายเป็น“ศีกยืดเยื้อ” และขยายวงกว้างไปไม่สิ้นสุด

ขึ้นชื่อว่าสงครามทางอาวุธ นอกจากจะไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ตรงกันข้าม กลับพบกับความสูญเสียเหมือนๆกัน เท่าๆกัน ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ช้าก็เร็ว ไม่คนรุ่นนี้ก็คนรุ่นหน้า

อาทิ ....
- สงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมัน กับพันธมิตรยุโรป สูญเสียประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละหลายๆแสน เหมือนๆกัน ....

- สงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมัน-ญี่ปุ่น กับ อเมริกา-พันธมิตร สูญเสียประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละนับล้านคน เหมือนๆกัน ....

- สงครามอเมริกา กับ เวียดนาม สูญเสียประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายและนับแสน เหมือนๆกัน ....
- สงครามอเมริกา กับอิรัก สูญเสียประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละนับแสน เหมือนๆกัน ....
- สงครามเขมร พอลพต ฆ่าประชาชน 3 แสน ในขณะที่เขมรมีประชาชนทั้งประเทศ 7 แสน ....

ความสูญเสียที่มากมายไม่สามารถนับเป็นตัวเลขได้ คือ ขวัญ กำลังใจ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทหารอาชีพด้วย ขวัญ กำลังใจ แม้จะเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม แต่การปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดยังอยู่เหนือกว่า

ศึก ผกค. บริเวณรอยเชื่อมต่อไทยกับลาว คือ ลำน้ำโขง CIA ในฐานะผู้สนับสนุนทุกกรณี สั่งคำเดียว คือ “ฆ่า” เท่านั้น

หน่วยข่าวลับไทยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ อย่างสูงแค่ “แยก” เชื้อชาติว่าเป็นใคร โดยว่า ถ้าเป็น ผกค.ไทย ผกค.ลาว ให้ปล่อยไป ลงท้ายจึงเหลือ ผกค.เวียดกง สังหารเสร็จแล้วปล่อย “ล่องโขง - งมหอย” ไปตามลำน้ำ ...

147. ไม่ขายทหาร (2) :
เสียงโทรศัพท์ราชการบนโต๊ะดังขึ้น ลุงคิมหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ พ.ต.วีระ รับสายครับ”
“ผู้พันครับ ตอนนี้ผู้พันอยู่คนเดียวหรือเปล่าครับ ?”

“อยู่คนเดียว มีอะไรเหรอ ?”
“ผมมีเรื่องลับจะบอกผู้พันครับ”

“เรื่องลับอะไรเหรอ ?”
“เมื่อกี้นี้เองครับ เสธ.กำลังพล จะสอบสวนผู้พัน กับนายทหารคนอื่นๆ อีก 4 คนครับ”

“สอบสวน .... สอบสวนเรื่องอะไรเหรอ ?”
“เรื่องขายทหารประจำตัวครับ เสธ.กำลังพลบอกว่า ผู้พันกับนายทหาร 4 คน ปล่อยทหารประตัวแล้วบอกว่าจะสอบสวนผู้พันเป็นคนแรกครับ”

“อืมมม ปล่อยทหาร ปล่อยทหาร กูปล่อยทหาร กูขายทหารเหรอะวะ ?
“ครับ ชื่อผู้พันอยู่ในบัญชีนายทหารที่ขอทหารประจำตัวด้วยครับ”

“O.K. THANK YOY ว่ะ สอบให้สอบซีวะ”
“ผู้พันไม่กลัวเหรอครับ”

“ไม่กลัว มาเถอะ มาสอบเลย....ขอบใจนะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”

นายสิบรุ่นน้องหลายรุ่น ทำงานอยู่ในกองกำลัง บก.พล.ปตอ. มีความสนิทชอบพอกันเป็นส่วนตัวส่งข่าวด้วยความปราถนาดี .... เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีครับ พ.ต.วีระ รับสายครับ”
“O.K. วีระ นี่ผม หัวหน้ากองกำลังพลพูด”

“ครับ”

“เชิญที่กองกำลังพลหน่อย ด่วนเลยนะ”
“ครับ”

ราว 10 นาที พ.ต.วีระฯ ตำแหน่งนายทหารการข่าว (ฝอ.2) รักษาราชการนายทหารกิจการพลเรือน (ฝอ.5), นายทหารยุทธการและการฝึก (ฝอ.3) ในเครื่องแบบ ยืนตรงชิดเท้า โค้งทำความเคารพ หน.กพ.พล.ปตอ. ตามแบบธรรมเนียม .... ด้วยสายตาอดีตสายลับ CIA แว้บเดียวเห็นรายชื่อนายทหารคนอื่นที่ต้องคดีเดียวกันนี้อีก 4 คน บนเอกสารบนโต๊ะ

หน.กพ. : คุณวีระฯ เป็นหน้าที่ผมที่ต้องสอบสวนคนทำผิดระเบียบกองทัพบก คุณคือคนหนึ่งที่ผมต้องสอบสวน
คิม ซา กัสส์ : (ยิ้มในใจ) ครับ ยินดีครับ

หน.กพ. : เรื่องที่ต้องสอบสวนคือ เรื่องทหารประจำตัว
คิม ซา กัสส์ : ครับ

หน.กพ. : คุณได้ขอทหารประจำตัวไหม ?
คิม ซา กัสส์ : ขอครับ

หน.กพ. : วันนี้ทหารประจำตัวอยู่ที่ไหน ?
คิม ซา กัสส์ : อยู่กองร้อยครับ

หน.กพ. : (ตีหน้าคิ้วย่น เหมือนไม่เชื่อคำตอบที่ได้ยิน) หมายความว่าไง ทหารประตัวคือทหารรับใช้ส่วนตัวต้องอยู่ที่บ้านคุณซี่
คิม ซา กัสส์ : เข้าใจครับ ทราบครับ แต่ทหารประจำตัวของผมไม่ใช่ยังงั้นครับ

หน.กพ. : ไม่ใช่ยังงั้น แล้วมันยังไง ?
คิม ซา กัสส์ : ไม่มียังไงหรอกครับ ทหารประจำตัวผมอยู่ที่กองร้อยก็อยูที่กองร้อยครับ ส่วนทหารประจำตัวของนายทหารคนอื่นๆ ผมไม่ทราบครับ

หน.กพ. : ไม่เข้ใจ ไหนอธิบายรายละเอียดซิ ?
คิม ซา กัสส์ : ทหารประจำของผม ชื่อ พลทหารพานฯ สังกัดกองร้อย บก.ปตอ.2 เป็นพลทหารรุ่นล่าสุดเพิ่งขึ้นจากศูนย์ฝึกทหารใหมรุ่นที่แล้ว

หน.กพ. : แล้วไงต่อ ?
คิม ซา กัสส์ : พอพลทหารใหม่รุ่นใหม่สุดส่งตัวถึงกองร้อย ในคำสั่งส่งตัวมีประวัติเบื้องต้นเลยรู้ว่าพลทหารพานฯ มีภูมิลำเนาอยู่ จ.ชุมพร กับเมื่อ 3 เดือนที่แล้วมีข่าว จ.ชุมพร โดยพายุเกย์ทำลาย ความอยากรู้ว่าบ้านของพลทหารคนนี้ได้รับความเสียหายอะไรไหม เลยเข้าไปคุยกับมัน

หน.กพ. : แล้วไง ?
คิม ซา กัสส์ : ครับ บ้านพลทหารพานฯ เสียหายอย่างหนัก ไม่ใช่บ้านเดียวแต่เสียหายทั้งหมู่บ้าน รวมกว่า 100 หลังคาเรือน บ้านพลทหารพานฯ ทำสวนมะพร้าว ต้นมะพร้าว 200 กว่าต้น ล้มราบลงนอนกับพื้น ไม่มีลูกมะพร้าวให้เก็บ ทุกคนในบ้านเดือดร้อนมาก ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้อะไรเลย

หน.กพ. : แล้วไง ?
คิม ซา กัสส์ : สอบถามรายละเอียดทุกอย่าง คนในครอบครัว อาชีพ รายได้ เพื่อนพลทหารรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ ได้ฟังแล้วทุกคนสงสารพลทหารรุ่นน้องคนนี้มาก ผมเลยเสนอตัวช่วยพลทหารพานฯ โดยขอพลทหารพานฯ คนนี้มาเป็นทหารประจำตัวครับ

หน.กพ. : ช่วย .... ให้เป็นทหารประจำตัว มันช่วยได้ยังไง ?
คิม ซา กัสส์ : ผมช่วยโดยให้พลทหารพานฯ ได้รับเบื้ยเลี้ยงบุคลล เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนรับเต็ม ไม่หักค่าอาหารประจำวัน แล้วให้พลทหารพานฯ ส่งเงินเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนทั้งหมดไปให้ครอบครัวทุกเดือน
ครับ

หน.กพ. : แล้วพลทหารประจำตัวคนนี้ ตอนนี้ตัวอยู่ที่ไหน ที่บ้านคุณ หรือที่ไหน ?
คิม ซา กัสส์ : อยู่กองร้อยครับ อยู่ทุกวัน ทำงานที่กองร้อยตามคำสั่งเหมือนพลทหารทั่วไป วันเสาร์-อาทิตย์ รับจ้างเข้าเวรที่เพื่อนพลทหารใน กทม.ลากลับบ้านเป็นการหารายได้เพิ่มด้วยครับ

หน.กพ. : เรื่องนี้ผู้การกรมคุณรู้ไหม ?
คิม ซา กัสส์ : รู้ครับ ผมเรียนให้ท่านทราบก่อน แล้วขออนุมัติตามระเบียบทีหลังครับ

หน.กพ. : (เม้มริมฝีปากแน่น มองข้างฝาแล้วพูดแบบไม่มองหน้า) O.K. คดีนี้สรุปผลการสอบ
สวนคุณวีระฯ ไม่มีความผิด .... กลับไปได้
คิม ซา กัสส์ : ครับ

หลังเสร็จงานนี้ 3 วัน ลูกน้องคนเดิมทำงานอยู่กอง กพ.พล.ปตอ. แอบโทรมาบอก นายทหาร 4 คนที่โดนสอบสวนคดีขายทหารประจำตัว ได้รับโทษงดบำเน็จประจำปี กับให้คืนเงินขายทหาร แล้วให้พลทหารนั้นกลับมารับรชการที่หน่วยอย่างเดิม

148. CORRUPTION ไม่เป็น :
ปีที่ F-5 ตกที่สะพานพระราม 6 กทม. ตอนนั้น พ.ต.วีระฯ ตำแหน่งจริง ฝอ.2 (นายทหารการข่าว) ทำหน้าที่พิเศษ ฝอ.3 (นายทหารยุทธการ) ควบตำแหน่ง ฝอ.5 (นายทหารกิจการพลเรือน) ประจำ ศปภอ.ทบ. (ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางกาศ กองทัพบก) .... การทำหน้าที่พิเศษเพราะหน่วยขาดแคลนกำลังพล ที่ให้เป็น ฝอ.2 เพราะไต่เต้ามาจากนายสิบ และไม่ให้เป็น ฝอ.3 เพราะไม่ได้จบมาจาก จปร. ทั้งนี้ งาน ฝอ.2, ฝอ.3, ฝอ.5 มีความเกี่ยวพันกัน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

ภารกิจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ต่อการฝึกครั้งนี้ คือ ติดตาม-วิเคราะห์-แจ้งเตือน การเข้ามาทางอากาศของข้าศึก .... ระยะเวลาฝึก 30 วัน งบประมาณการฝึกเฉพาะกิจ (ลับเฉพาะ) 2,000,000 เสร็จสิ้นการฝึกทำรายงานสรุปผลการฝึกแจ้งให้ เสธ.กรม., รอง.ผบ.กรม., และ ผบ.กรม. ทราบ (รับทราบ) ตามลำดับสายการบังคับบัญชา แล้วผู้ปฏิบัตินำส่ง ผบ.พล.ปตอ. ด้วยตัวเอง

ฝอ.3 : (ทำความเคารพแล้ววางแฟ้มรายงานบนโต๊ะ) ขออณุญาตรายงานสรุปผลการฝึกครับ
ผบ.พล. : เออออ งานนี้ใช้งบไปเท่าไหร่ ?

ฝอ.3 : (คิดในใจ ทำไมถามเรื่องงบประมาณการใช้เงินก่อน แสดงว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าผลการฝึก) ใช้ไป 2 แสน ในนี้มีเอกสารหลักฐานการใช้งบครบทุกรายการครับ
ผบ.พล. : (ใบหน้าเครียด แววตาขมึงเอาจริงเอาจัง หยิบแฟ้มรายงานโยนลงพื้นหน้าผู้รายงาน พูดเสียงค่อนข้างดัง) งบ 2 ล้าน มึงใช้แค่ 2 แสน ถ้างั้นปีหน้ามึงเตรียมเอาแค่ 2 แสนเถอะ

ฝอ.3 : (งงกับการโยนแฟ้ม งงกับคำถาม) ขออณุญาตครับ ผมควรทำยังไงครับ ?
ผบ.พล. : มึงไปจำหน่ายมาให้เรียบร้อย

ฝอ.3 : ...(คิด จำหน่าย จำหน่าย จำหน่ายคืออะไร แล้วตอบตามความจริง) ขออณุญาตครับ ผมจำหน่ายไม่เป็นครับ
ผบ.พล. : (เม้มริมฝีปา อึ้งไปชั่วครู่แล้วโพล่งคำตอบ) เออ มึงไปได้แล้ว

ฝอ.3 : (โค้งทำคามเคารพตามแบบธรรมเนียมแต่ไม่เต็มใจ ไม่พูด ไม่ตอบ ไม่หยิบแฟ้มขึ้นวางบนโต๊ะ) ถอยหลังเดินออกจากห้องทันที

3-4-5 วันผ่านไป ช่วงชีวิตทั้งที่ทำงานและที่บ้านเต็มไปด้วยความเครียด กลับมาที่ บก.กรม. แล้วยังไม่ได้แจ้งผลให้ เสธ.กรม, รอง ผบ.กรม. และ ผบ.กรม. ทราบ .... ตัดสินใจโทรถามเพื่อนนายทหารรุ่นน้องที่ไต่เต้ามาจากนายสิบเหมือนกัน มีความชอบพอกันเป็นส่วนตัว อยู่กองการเงิน พล.ปตอ. รับทำหน้าที่ “จ่าย/โอน” งบประมาณที่ได้จากหน่วยเหนือไปยังหน่วยปฏิบัติโดยตรง

ฝอ.3 : (เล่าที่มาของเรื่องอย่างละเอียด ยกเว้นโยนแฟ้ม) พี่ควรจำหน่ายงบนี้ยังไง ?
จนท.การเงิน : โธพี่ ก็เอาเข้าบัญชีธนาคารซี่พี่

ฝอ.3 : บัญชีใคร เข้ายังไง ?
จนท.การเงิน : พี่ทำไม่ได้หรอก เพราะพี่ไม่ใช่เจ้านหน้าที่ ไม่ใช่ตำแหน่งของพี่โดยตรง

ฝอ.3 : แล้วเป็นหน้าที่ใคร (วะ) ?
จนท.การเงิน : หน้าที่ผม ตำแหน่งผมซีพี่ ผมจะเอาสรุปรายงานที่หน่วยใช้งบส่งมาโอนเข้าบัญชี

ฝอ.3 : บัญชีใคร บัญชีหน่วย หน่วยไหน ?
จนท.การเงิน : ไม่ใช่ทั้งนั้นเลยพี่ งานนี้เข้าบัญชีนาย บัญชีส่วนตัวครับ

ฝอ.3 : บัญชีส่วนตัว เงินราชการเข้าบัญชีส่วนตัว จากเงินราชการกลายเป็นเงินส่วนตัว นี่มัน CORRUPTION นี่หว่า...

จนท.การเงิน : แล้วแต่พี่จะเรียก เขาทำกันยังงี้ทั้งนั้น ทำมานานแล้ว แล้วก็เรียบร้อยทุกครั้งด้วย

ฝอ.3 : อพิโธ่ อพิถัง อั้ยเรารึตั้งใจทำงน ทำด้วยความบริสุทธิ์
จนท.การเงิน : ที่จริง ถ้าพี่จะเอาเอาบ้างก็ได้ ทำหลักฐานขึ้นมาเถอะ ได้ทั้งนั้น

ฝอ.3 : O.K. เข้าใจ แต่ไม่เอา (ว่ะ) ของคุณ

ไม่น่าเชื่อ.....หลังจากวันนั้นปีกว่าๆ ผบ.พล. ตาย ตายเพราะกินเหล้า อนุศาสนาจารย์ กองพล. บอกว่า “เจ้าพ่อปืนใหญ่” ลงโทษ....

KIM ZA GSS : สาธุ สาธุ สาธุ (เผาพริกเผาเกลือ ฉี่รดพริกรดเกลือ บ้วนน้ำลายทับ เท้าซ้ายเตะ เท้าขวาเหยียบ ไม่พูด แหงนหน้ามองฟ้า เดินจากไปไม่เหลียวกลับ....ไปไหว้เจ้าพ่อปืนใหญ่ ศาลอยู่ในกองพล ปตอ.)

149. งานสัญจร คนล้นงาน :
ที่เพชรบุรี พานิชจังหวัดประชุมเตรียมจัดงานแสดงสินค้าที อ.บ้านลาด อ.ทายาง เหมือนที่จังหวัดต่างๆเคยจัดกัน งานนี้มี สมช.รายการสีสันชีวิตไทยจะเข้าไปเปิดบู๊ธขายของด้วย 3 ราย ได้เสนอแนะพานิชจังหวัดให้จัดบู๊ธฟรี 1 เต็นท์ สำหรับรายการสีสันชีวิตไทย แล้วเชิญ คิม ซา กัสส์ มาพูดเรื่องการเกษตรสำหรับประชาชนทั่วใปที่สนใจเข้ามาฟัง เรียกคนได้ด้วย....

พานิชจังหวัดยินดีจัดให้ 1 บู๊ธ
สมช.รายการสีสันชีวิตไทยที่ไปเปิดบู๊ธบอก “บู๊ธเดียวไม่พอ”

พานิชจังหวัดยินดีจัดเพิ่มให้เป็น 2 บู๊ธ
สมช.รายการสีสันชีวิตไทยที่ไปเปิดบู๊ธบอก “2 บู๊ธก็ไม่พอ ถ้าเป็นบ้านลาด ทายาง 5 บู๊ธ ก็ไม่พอ”

พานิชจังหวัดงง ถามย้อน “คิม ซา กัสส์” คือใคร

วันงานมาถึง เกษตรกรย่าน ท่ายาง บ้านลาด เพชรบุรี รู้ข่าวจากวิทยุ รายการสีสันชีวิตไทย เจตนาไปเที่ยวงานแถมได้ฟังเรื่องราวการเกษตรสไตล์ คิม ซา กัสส์ จาก คิม ซา กัสส์ ตัวจริงอีกด้วย

เวลาแค่ช่วงเช้า ยังไม่สาย สมช.เข้าไปฟังในบู๊ธเต็มบู๊ธ เก้าอี้ 150 ตัวไม่พอให้นั่งต้องยืน ในบู๊ธที่เตรียมไว้เต็ม เต็มจนล้น ล้นไปบู๊ธข้างๆ เต็มบู๊ธข้างๆ 1 ต๊นท์ 2 เต็นท์ 3-4 เต็นท์

คิม ซา กัสส์ บรรยายไปแค่ชั่วโมงเดียว บอก สมช.ผู้ฟังที่เข้ามาฟัง

“ขอโทษนะ ขออภัย ขออภัยอย่างสูง งานนี้ วันนี้ ของดการบรรยายไว้ก่อน เนื่องจากสถานที่ไม่อำนวย บู๊ธข้างๆไม่ได้ขายของ เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาว่ากันใหม่ดีกว่านะ....ขอบคุณครับ

150. ประสบการณ์มะนาว :
*** ผู้หญิงแฟนรายการสีสันชีวิตไทย อยู่ที่ป่าเลาอู เหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อแก่งกระจาน เพรชบุรีใช้ "น้ำเชื้อหมู" 1 ถ้วยกาแฟ ผสมน้ำ 200 ล. ให้แก่มะนาวเดือนละ 1 ครั้ง ปรากฏว่ามะนาวออกดอกติดผลดกมาก..... มะนาว 20 ไร่ อายุต้น 5-6 ปี ขนาดต้นทรงพุ่มสูง 5 ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-7 ม. ให้ผลผลิต 4,000 ผล/ต้น หน้าแล้ง ราคาผลละ 4 บาท หน้าสวน......(หมายเหตุ : ในน้ำเชื้อหมูมีฮอร์โมนเอสโตรเจน. และในน้ำมะพร้าวก็มีฮอร์โมนเอสโตรเจน. ฮอร์โมนตัวนี้มีประสิทธิภาพส่งเสริมให้ดอกสมบูรณ์แข็งแรง ผสมติดเป็นผลได้ ดี....)

*** แฟนรายการสีสันชีวิตไทยที่ นครไชยศรี นครปฐม. ใช้กากมะพร้าวคั้นกะทิออกหมดแล้ว สาดใส่ต้นมะนาว-มะกรูด กากมะพร้าวส่วนใหญ่ร่วงลงไปที่พื้นดินโคนต้น บาง ส่วนค้างอยู่บนใบ ปรากฏว่าทั้งมะนาว-มะกรูด ออกดอกติดผลดกมากตลอดปี......(หมาย เหตุ : ในกากมะพร้าวมีเอสโตรเจนบางส่วนเหลืออยู่ จึงส่งผลให้มะนาว-มะกรูดออกดอกติดผลดี ได้.....)

*** แฟนรายการสีสันชีวิตไทย ดำเนินสะดวก ราชบุรี. ทำสวนมะนาวยกร่องน้ำหล่อ จำนวนทั้งหมด 20 ร่อง ในจำนวนนี้ 2 ร่องให้ "ลิโพ 1 ขวด/น้ำ 100 ล." ระยะ 2-3 อาทิตย์/ครั้ง ปรากฏว่ามะนาว 2 ร่องนี้ออกดอกติดผลดกดีมาก ต่างจากอีก 18 ร่อง ที่ไม่ได้ให้ นอกจากออกดอกติดผลไม่ดกแล้ว ยังชุกชุมไปด้วยโรคสาระพัด......(หมายเหตุ : ในลิโพ. มีกลูโคส ซึ่งน้ำตาลมีผลในทางส่งเสริมให้มะนาวออกดอกติดผลได้.....)

*** ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์. มีผลงานวิจัยการใช้สะเดาป้องกันกำจัดแมลง ปลูกมะนารว 20 ไร่ ที่ทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี ระยะเวลา 3 ปี หมดทุนค่าบำรุงมะนาวไปกว่า 3,000,000 ภายหลังทราบว่า ไม่ว่าจะหนอน. แมลง. โรค (รา-แบคทีเรีย-ไวรัส) ท่าน ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์.ใช้สะเดาป้องกันกำจัดศัตรูพืชมะนาวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น......สุดท้าย เลิกทำสวน แล้วให้คนเช่าที่ดินต่อ

151. ผักกางมุ้ง :
จาก : (091) 702-34xx
ข้อความ : อยากให้ลุงคิมเล่าประสบการณ์ตรงการปลูกผักกางมุ้งว่า สำเร็จหรือล้มเหลวย่างไร มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร มีที่อยู่สระบุรี 10 ไร่ น้ำบริบูรณ์ตลอดปี .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
กรณีผักกางมุ้งถือเป็นแค่ 1 ทางเลือกเท่านั้น นั่นหมายความว่ายังมีแบบ ปลูกผักในที่โล่ง ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์แบบน้ำวนน้ำนิ่ง ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ ให้เลือกได้อีก ใหม่ๆ ฮือฮากันมาก แทบทุกหน่วยงานส่งเสริม เชียร์ว่าผักกางมุ้งดียังงั้นดียังงี้ กางมุ้งแล้วจะไม่มีศัตรูพืชเลย ยังกับว่ามุ้งป้องกันศัตรูพืชได้แน่นอน 1,000% ประมาณนั้นนั่นแหละ ชาวสวนผักคล้อยตาม กางมุ้งกันยกใหญ่ แค่ปีสองปี มุ้งยังไม่ผุ สัจจะธรรมธรรมชาติก็ปรากฏออกมา ถึงวันนี้ ผลงานผักกางมุ้งไปไม่รอด ไม่ใช่เพราะมุ้งแต่เป็นเพราะโรค โรคในมุ้ง สารพัดโรครุมเร้ากันเข้าไปในมุ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่ส่งเสริมไม่มีข้อมูลหรือไม่รู้ว่า ภายในมุ้งน่ะ อุณหภูมิในดิน สูงกว่านอกมุ้ง 4 องศา ซ. อุณหภูมิที่สูงกว่าระดับนี้ ส่งเสริมให้เชื้อโรคในดินเจริญเติบโตขยายพันธุ์ดีกว่าภายนอกมุ้ง เป็นผลให้ผักกางมุ้งไม่มีโรคบนส่วนที่อยู่เหนือดิน แต่ส่วนที่อยู่ไต้ดิน ที่รากที่โคนต้น โรคเพรี่ยบ เมื่อมีเชื้อโรคในดินก็ต้องสารเคมีใช่ไหม

ในมุ้งน่ะ ไม่มีก็แต่หนอนเท่านั้น เพราะแม่ผีเสื้อบินเข้าไปวางไข่ในมุ้งไม่ได้ แต่ในมุ้งมีแมลงปากกัดปากดูด ประเภทตัวเล็กกว่าตาข่ายมุ้งเข้าไปได้ เพลี้ยไฟ-ไรแดง ไงล่ะ นี่ก็อุตส่าห์เอากับดักกาวเหนียวไปดัก ได้ผลดี

ถึงวันนี้ คนที่เคยส่งเสริมผักกางมุ้งพากันเงียบกริบ เหมือนส่งเสริมเสียบ ยอดส้ม/ยอดมะนาว บนตอมะสัง มะขวิด เลี้ยงได้แค่ปีสองปีกลายเป็นตีนช้าง ตอโตแต่ยอดตาย นั่นเป็นเพราะงานวิจัยยังไม่ได้สรุป รีบงัดออกมาส่งเสริม เหมือนกางมุ้งให้ผักนี่แหละ .... โถ ประเทศไทย

* ข้อดี :
- ป้องกันหนอนได้ เพราะแมลงแม่ผีเสื้อตัวใหญ่ เข้าวางไข่ไม่ได้
- ไม่ต้องฉีดสารเคมีกำจัดหนอน เพราะหนอนไม่มี
- เก็บรักษาความชื้นหน้าดิน ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ได้ดี
- โก้ น่าเชื่อถือ

* ข้อเสีย :
- ต้นทุนโรงเรือนสูง
- ป้องกัน เพี้ยไฟ-ไรแดง ไม่ได้
- ป้องกันแมลงมุดดิน เข้าไปในโรงเรือนไม่ได้
- ป้องกันโรคทางดินไม่ได้ เพราะอุณหภูมิในโรงเรือนสูงกว่านอกโรงเรือน
- ประเภทผักสลัด ตลาดแคบ เพราะคนกินน้อย
- ประเภทผักไทย น้ำหนักน้อย คุณภาพไม่ดี เพราะในโรงเรือนแสงแดดน้อย

* ใครได้ :
- คนขายมุ้ง
- คนขายสารเคมีกำจัด เพลี้ย/ไรแดง และเชื้อโรคในดิน

* ใครเสีย :
- คนปลูกผัก
- วันดีคืนไม่ดี พายุมา โรงเรือนไม่แข็งแรงจริง พังพาบกับพื้น
- เลิกปลูกผักแล้ว เอามุ้งไปทำอะไร

* ผักกางมุ้ง บ.ยักษ์ใหญ่ ที่เมืองกาญจน์ โรงเรือนหลังละล้าน ปลูกแตงโม มะเขือเทศ สารพัดโรคแมลงศัตรูพืชที่ ใบ-ยอด-เถา-ผล เต็มไปหมด ไม่เห็นก็แต่รากในดินเท่านั้น เลยไม่รู้ว่า กางมุ้งในโรงเรือนแล้วช่วยอะไรได้บ้าง ราคาโรงเรือนขนาดนั้น ปลูกแตงโม มะเขือเทศ กี่รุ่นถึงจะได้ทุนคืน

* ผักกางมุ้งที่บางแค เนื้อที่ 3 ไร่ กลางวันกางเสร็จ กลางคืนพายุมา มุ้งราคา 5 แสนลงไปกองเอ๊าะเยาะกับพื้น

* กะเพรา-โหระพา-แมงลัก ในโรงเรือน ที่ทับยายเท้า นครปฐม ส่งออกสวิสส์เซอร์แลนด์ ปกติเปิดข้างโรงเรือนเพี่อระบายอากาศ วันไหนบริษัทรับซื้อมาตรวจก็จะปิดโรงเรือน

* ผักกางมุ้งดอกเตอร์ที่รังสิต 5 ปี ขาดทุนกว่า 5 ล้าน เพราะผักถูกตีกลับเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ก็ไหนว่ากางมุ้งแล้วปลอดสารพิษไงล่ะ กับส่วนหนึ่งผักตกเกรด เพราะไม่ได้ไซส์ ที่ไม่ได้ไซส์เพราะไม่สมบูรณ์ ....

* แปลงผักของภิรมย์ อ.เมือง ปทุมธานี ทำผักแนว อินทรีย์นำ-เคมีเสริม ใช้สารสมุนไพร ไม่กางมุ้ง ส่งตลาดรังสิต แค่ 3 ปีถอยปิ๊คอั๊พป้ายแดง มาให้ลุงคิมเจิม ทั้งๆที่ลุงคิมไม่ใช่พระ .... ภิรมย์เล่าให้ฟังว่า ดอกเตอร์เอาผักที่แปลงนี่แหละไปส่งให้ลูกค้าตามสัญญา .... ดอกเตอร์เห็นสารสมุนไพรหมักในโอ่ง ถามว่า “มันจะได้ผลเหรอ ?” ภิรมย์ตอบว่า “ไม่รู้ซิครับ ผมก็ใช้ของผมอยู่เนี่ย...” ดอกเตอร์เหลือบไปเห็นคะน้าฮ่องเต้ กวางตุ้งฮ่องกง แล้วพูดว่า “ภิรมย์ นี่มันผักเมืองหนาวนะ ปลูกไม่ได้หรอก....” ภิรมย์ก็ว่า “ไม่รู้ซิครับ พรุ่งนี้แม่ค้ามารับ โลละ 45 ครับ...”

ระดับดอกเตอร์ รู้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ก็สมควรขาดทุน 5 ล้านหรอก .... ว่ามั้ย

152. อาถรรพ์ RKK :
ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจเรื่อง “ลุงคิม คนสอน - คุณ คนเรียน” ศัพท์เทคนิคในการเรียนการสอนเป็นแบบ "บ้านบ้าน" มากกว่า "ทางการ"

คนสอนอยากให้คนเรียน “ได้รู้มากๆ ได้รู้กว้างๆ ได้รู้จริงๆ” แต่คนสอนไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่า คนเรียนไม่รู้อะไร ? คนเรียนอยากรู้อะไร ? .... ทางแก้เรื่องนี้ คือ "คนเรียน ถาม....คนสอน ตอบ" นั่นเอง เพราะฉะนั้นขอให้ ถาม ถาม ถาม และถาม .... ขอบคุณล่วงหน้าที่ถาม

ที่นี่คนสอนจะพูด พูด พูด ตั้งแต่คุณลงจากรถ เท้าก้าวแรกเหยียบย่างลงที่นี่ แล้วก็จะพูด พูด พูด จนคุณก้าวสุดท้ายขึ้นรถ ยกมือบ๊ายบาย แต่ขอโทษที คุณไม่ได้อะไร ที่คุณอยากรู้ ที่คุณไม่รู้เลย เพราะ
คุณไม่บอก คุณไม่ถาม คุณไม่พูด คุณเอาแต่ฟังข้างเดียว

หลายครั้งคุณที่จะมาเรียน ติดต่อแจ้งข่าวล่วงหน้า ลุงคิมตอบยินดีต้อนรับทุกครั้งทุกคณะทุกกลุ่ม แล้วจะบอกว่าของให้เตรียม “คำถาม” มาด้วย ถ้ากลัวพูดไม่เก่ง กลัวเพื่อนล้อ ก็ให้ “เขียน” มาก็ได้ คำตอบคือ “ไม่มี” คำถามล่วงหน้าเลย

ที่น่าหนักใจที่สุด คือ คนเรียนไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองว่า ไม่รู้อะไร-อยากรู้อะไร แล้วคนสอนจะบอกได้ยังไง ถามด้วย วาจาปากเปล่า-SHOT NOTE-กลางปล้อง-หน้าห้องน้ำ ถามได้ทั้งนั้น

ที่นี่วัดรุ่นคน รุ่นใหม่รุ่นเก่า วัดที่ "ความคิด" ไม่ใช้วัดที่ “อายุ”
ที่นี่วัดกึ๋นคน เรียนแล้ว คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ที่ "คำถาม" ไม่ใช่เรียนมากๆ
คนเคยมาเรียนที่ไร่กล้อมแกล้ม หลายคนพูดว่า “ที่นี่ วิชาการสูง สูงมาก”
ลุงคิมเลยตอบว่า “วิชาการ ความรู้มันก็สูงเท่าเดิม อยากได้ต้องปีนขึ้นไปเอา ครั้นจะรอให้มันหล่นลงมาหาเราคงเป็นไปไม่ได้”

วิชาเกษตร ไม่ยากแต่หัวข้อเรียนรู้มันมาก เขาเรียน 4 ปี ป.ตรี 7 ปี ป.โท 10 ปี ป.เอก บางคนไปเรียนต่อเมืองนอกอีก ยังไมประสบความสำเร็จ เรามาเรียนแค่ 4 ชม.เรียนที่นี่ จะให้รู้ครบทุกเรื่องทุกหัวข้อย่อมไม่ได้

คนเคยมาเรียน ขณะอยู่ที่ไร่กล้อมแกล้ม บางคนพูดว่า “มาแล้วจะไม่มาอีก” กับที่กลับไปแล้วบาง
คนพูดว่า “ไปแล้วจะไม่มาอีก”
กับคนเคยมา 2 สไตล์ นี่คือ “อาถรรพ์” ไหม ?

เคยสังเกตุ :
ภาคอุตสาหกรรม ..... ตอบรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกเทคโนโลยีเสมอ
ภาคเกษตรกรรม ...... ปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกประเภท ทำด้วยมือก็เอา
จบปริญญา ทำสวนยกร่องน้ำหล่อ แล่นเรือปากเป็ดรดน้ำ ลากสายยางฉีดรดต้นไม้ ทั้งๆที่สิ้นเปลือง พลังงาน-แรงงาน-เวลา-โอกาส-ประสิทธิภาพ-ฯลฯ อย่างมากโดยใช่เหตุ

ไร่กล้อมแกล้ม เฉพาะมะม่วง10โซน 500ต้น ใช้สปริงเกอร์ แรงงานคนเดียว ชั่วโมงเดียวเสร็จ สวนยกร่องน้ำหล่อ ดัดแปลงร่องแรกเป็นสระน้ำแล้วติดสปริงเกอร์หม้อปุ๋ย ได้ไหม ? ดีกว่าไหม ?

ไร่กล้อมแกล้มกำเนิดมาถึงปีนี้ 10 (+) ปี :
*** ใช้ปุ๋ยชีวภาพ (แห้ง/น้ำ-อินทรีย์/เคมี-ทางใบ/ทางราก-ทำเอง/ซื้อ) ทุกสูตรมีหลักวิชาการรองรับยืนยัน
*** ปุ๋ยเคมี ไม่เคยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ ให้ทางใบมากกว่าทางราก
*** สารเคมียาฆ่าแมลงไม่เคยใช้ แต่ใช่สารสมุนไพรแทน
***

153. โรคกล้วยไม้ :
จาก : (089) 981-45xx
ข้อความ : ผู้พันครับ กล้วยไม้ 10 ไร่ เป็นโรคที่ชาวบ้านบอกว่าไอ้ฮวบเข้าทำลาย เสียหายมาก ใช้สารเคมีลิตรละ 2,000 ยังเอาไม่อยู่ ทางร้านแนะนำสารเคมีตัวใหม่ แพงกว่าเก่า แต่ผมไม่แน่ใจจึงขอถามผู้พัน อยากเปลี่ยนมาใช้สมุนไพร แต่ไม่รู้จะใช้ตัวไหน ช่วยแนะนำด้วยครับ....กล้วยไม้มือใหม่
ตอบ :
ไอ้ฮวบ หมายถึง “ทรุดฮวบ” ที่จริงคือ “บั่ว หรือ แมลงวันดอกกล้วยไม้” จากแมลงวางไข่เป็นตัวหนอนกัดกินกลีบดอกด้านใน ใกล้ๆบริเวณเกสร ทำให้กลีบดอกถูกทำลาย ดอกตูมจะชะงักการเจริญ



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/11/2023 11:40 am, แก้ไขทั้งหมด 6 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 3:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
153. โรคกล้วยไม้ :
จาก : (089) 981-45xx
ข้อความ : ผู้พันครับ กล้วยไม้ 10 ไร่ เป็นโรคที่ชาวบ้านบอกว่าไอ้ฮวบเข้าทำลาย เสียหายมาก ใช้สารเคมีลิตรละ 2,000 ยังเอาไม่อยู่ ทางร้านแนะนำสารเคมีตัวใหม่ แพงกว่าเก่า แต่ผมไม่แน่ใจจึงขอถามผู้พัน อยากเปลี่ยนมาใช้สมุนไพร แต่ไม่รู้จะใช้ตัวไหน ช่วยแนะนำด้วยครับ....กล้วยไม้มือใหม่
ตอบ :
ไอ้ฮวบ หมายถึง “ทรุดฮวบ” ที่จริงคือ “บั่ว หรือ แมลงวันดอกกล้วยไม้” จากแมลงวางไข่เป็นตัวหนอนกัดกินกลีบดอกด้านใน ใกล้ๆบริเวณเกสร ทำให้กลีบดอกถูกทำลาย ดอกตูมจะชะงักการเจริญเติบโต บิดเบี้ยว หงิกงอ แล้วมีอาการเน่าเหลือง ฉ่ำน้ำ หลุดร่วงจากช่อดอก

บั่วกล้วยไม้ในสกุลหวาย มีการระบาดตลอดทั้งปี ระบาดรุนแรงในช่วงฤดูฝน ถ้าหากเป็นสวนกล้วยไม้ ขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้บั่วขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก

บั่วกล้วยไม้เป็นแมลงขนาดเล็ก ในช่วงตัวเต็มวัยลำตัวจะมีสีดำ ปีกสีขาวใส 1 คู่ วางไข่ในเนื้อเยื่อของก้านช่อดอก จากนั้นหนอนจะฟักตัว ซึ่งหนอนเป็นตัวการที่สำคัญในการทำลายกล้วยไม้ ตัวหนอนมีขนาดเล็กมากประมาณ 0.5 มม. ในระยะแรกลำตัวมีสีใสระยะสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม ขนาดประมาณ 2 มม. ระยะหนอน 15-20 วัน อาศัยอยู่ในดอกตูมประมาณ 5-30 ตัวต่อดอกจากนั้นจะกลายเป็นดักแด้ สีน้ำตาล ระยะดักแด้ 7-14 วัน

การป้องกันและกำจัด เกษตรกรควรหมั่นสำรวจดอกกล้วยไม้ หากพบบั่วกล้วยไม้ให้รีบตัดทิ้งทำลาย ระวังหนอนจะดีดตัวออกจากดอกตูมเพื่อหลบเลี่ยงการถูกทำลาย แต่หากพบในช่วงการระบาดรุนแรง

บั่วหรือไอ้ฮวบ เป็นแมลงศัตรูสำคัญของกล้วยไม้ เป็นหนอนจะกัดกินกลีบดอกด้านในใกล้กับบริเวณเกสร ทำให้กลีบดอกเกิดอาการผิด ปกติดอกตูมชะงักการเจริญเติบโต บิดเบี้ยว และหงิกงอ ต่อมาดอกจะเน่าเหลือง ฉ่ำน้ำ และหลุดร่วงจากช่อดอก ถ้าพบระบาดรุนแรงดอกตูมจะหลุดร่วงอย่างรวดเร็วฮวบฮาบ จนเหลือแต่ก้านดอก บางครั้งจึงเรียกแมลงชนิดนี้ว่า "ไอ้ฮวบ"

เมื่อเริ่มสังเกตเห็นอาการที่เกิดที่ดอกตูม นั่นก็หมายความว่าดอกไม้นั้น ถูกทำลายไปเกือบทั้งสวนแล้ว อีกสองสามวันต่อมาก็จะเห็นกล้วยไม้ มีอาการ "ฮวบ" ไปทั้งสวน

การป้องกันกำจัด :
- กำจัดแมลงที่เข้ามาวางไข่ให้เกิดหนอน ใช้กับดักกาวเหนียวมายฟิกส์ ติดกับหลอดไฟฟ้า แขวนไม่ในแปลง แมลงมาตอนค่ำเห็นแสงไฟจะเข้าไปเล่นไฟ แล้วติดกาวเหนียวตาย ... กับดักกาวเหนียวตัวนี้ ถึงตอนกลางวันดับแสงไฟ เพลี้ยไฟมาตอนกลางวันเห็นสีเหลืองที่กาวเหนียวก็จะมาเล่นสีเหลือง แล้วติดกับดักกาวเหนียวตายอีกเหมือนกัน แบบนี้เรียกว่าได้ “2 เด้ง” นั่นแหละ

- กำจัดหนอนด้วยเชื้อ BT กำจัดหนอน เชื้อ BT คือ เชื้อโรคของหนอน หนอนดื้อทุกชิดที่ดื้อยา หมดสิทธิ์ดื้อต่อเชื้อ BT

ประสบการณตรง (1) :
“คุณสมี” อยู่บางเลน ทำเรือนกล้วยไม้ตระกูลหวาย 10 ไร่ ใช่สมุนไพรเผ็ดจัด “น้ำ 200 ล. + พริกขี้หนูสดๆ 1 กก. โขลกละเอียด” ผสมเสร็จฉีดใส่เรือนกล้วยไม้ทันที ทำทีใช้ทีไม่ต้องเก็บนาน กะเก็งสภาพอากาศ ฤดูกาลแบบไหนศัตรูพืชอะไรเข้ามาวอแวกล้วยไม้ ก็จะฉีดบ่อยๆ วันเว้นวัน หรือวันเว้น 2-3 วัน ก็เอาอยู่ แปลงข้างๆยังใช้สารเคมีอย่างเดิม เปลี่ยนยี่ห้อแล้วเปลี่ยนยี่ห้อเล่า เอาไม่อยู่ แต่ของคุณสมีไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นไอ้ฮวบ เพลี้ยไฟ ที่ว่าหนักๆ ตอนหลังมีการเสริม “กับดักกาวเหนียวสีเหลือง” ร่วมเข้าไปด้วย คราวนี้สบายหนักกว่าเก่า ดอกกล้วยไม้ส่งไปแหล่งรวม ไม่เคยถูกตีกลับ

ประสบการณตรง (2) :
วันนั้น ลุงคิมอยู่ที่สวนกล้วยไม้คุณสมี ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คุยกับ สมช. ผู้ฟังรายการวิทยุอีก 10 กว่าคน ขณะกำลังคุยกันถึงเรื่องศัตรูกล้วยไม้อยู่นั้น พลันมีชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ก้าวลงมาจากรถโตโยต้า แลนด์ครูเชอร์ ราคารุ่นนี้ล้านกว่า ด้วยมาดท่าทางภูมิฐาน แต่'ตัวใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวทับในกางเกง ติดรังดุมแขน เห็นหัวเข็มขัดทองคำ บนนิ้วมือมีแหวนเพชร มองที่รองเท้าเดาว่าคู่นี้ไม่ต่ำกว่า 3-5 พัน ทุกคนหยุดคุยแล้วมองเป็นจุดเดียวกันที่ชายผู้มาใหม่คนนั้น ลุงคิมเห็นมาดนี้แล้วยังต้องเปลี่ยนท่านั่งใหม่ จัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อยหน่อย คุณสมีเจ้าของบ้าน รักษามารยาทเจ้าของบ้าน หาเก้าอี้ให้ผู้มาใหม่นั่ง ....

ทันทีที่ก้นหย่อนลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มใหญ่ ขับแลนด์ครูเซอร์คนนั้น ยื่นขวดน้ำดื่มขนาด 1 ล. ข้างในมีหนอนบรรจุประมาณ 3 ใน 4 ของขวด ให้ดูแล้วถามว่า “....หนอนกล้วยไม้ครับ ใช้ยาตัวไหนดี ใช้มาแล้วทุกยี่ห้อ เอาไม่อยู่ ? ....”

ลุงคิมได้ยินคำถามแล้วหรี่ตานิดๆ เหลือบมอง สมช. เห็นมองมาทางลุงคิมเป็นตาเดียว เหมือนจะรอฟังคำตอบ ลุงคิมตอบทันที “.... แสดงว่า ยังใช้ไม่ครบทุกยี่ห้อจริง ถ้าใช้ครบแล้วต้องเอาอยู่ซี่...”

พูดจบมีเถียงกลับ “.... สวนกล้วยไม้ย่านสามพราน ไม่มีใครใช้ยาฆ่าหนอนมากเท่าผมอีกแล้ว หนอนเยอะมาก นี่ขนาดเก็บไม่ถึงครึ่งวัน ?....”

ลุงคิมตอบสวนทันที “คุณรู้เหรอว่า ในโลกนี้มียาฆ่าหนอน กี่ยี่ห้อ กี่อย่าง กี่ชนิด ?....”
คราวนี้ชายหนุ่มแลนด์ครูเซอร์ถึงกับอึ้ง ถามใหม่เสียงแผ่วลง “.... แล้วผมควรทำยังไงครับ ?....”

ลุงคิมมองหน้าเหมือนะจะหยั่งท่าที แล้วตอบไป “.... ที่นี่ ไม่ใช้สารเคมีเลย ใช้สมุนไพรจากพริกสดอย่างเดียว เกือบปีแล้วไม่มีหนอน ไม่มีแมลง เพลี้ยไฟก็ไม่มี....”

ชายหนุ่มมองไปทางเรือนกล้วยไม้ แล้วว่า “....จะเอาอยู่เหรอครับ ยาแรงๆ ยังเอาไม่อยู่เลย....”
คราวนี้ลุงคิม เอนตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ผ้าใบอย่างเก่า ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ไม่มองหน้าเจ้าของแลนด์ครูเซอร์ แล้วบอก “....ก็แล้วแต่คุณ...”

เมื่อรู้แน่ว่ายังยึดติดแต่ตัวยาในสารเคมี โดยไม่สนใจตัวยาในสารสมุนไพรแบบนี้ ก็เลิกคุย บรรยากาศเงียบไปประมาณ 10 นาที แลนด์ครูเซอร์ก็วิ่งออกจากบ้านคุณสมีไป.... งานนี้มารู้จากคุณสมีฯ ว่า เป็นเจ้าของเรือนกล้วยไม้ขนาด 20 ไร่ 3 แปลง ใช้สารเคมีแรงมาก วันนี้เมียไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะอายที่ตัวเองมีผิวเป็นเด็ดดักแด้ วันๆโทรหาแต่สาวมิสทีน ให้หาครีมมาบำรุงผิวเท่านั้น

- นิทานเรื่องนี้สอนให้คิด.... เรือนกล้วยไม้ ขนาด 20 ไร่ หลังคาามุงซาแลน อากาศไม่ถ่ายเท ลมไม่เข้า ฉีดสารเคมียาฆ่าแมลงแล้ว ตัวยาก็ตลบอบอวนอยู่ในเรือนหลังคาซาแลนนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ในนั้น คำตอบ คือ “ตาย ไม่ตายก็เป็นหนี้” ซิครับ ....


154. ซื้อที่ดิน RKK :
นับจากเริ่มจับงานส่งเสริมการเกษตร 10 ปี โดย พูดทางวิทยุ, เขียนหนังสือเกษตรใหม่, แจกเอกสารปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม, เสริมด้วยสัญจรเอาทุกเรื่องที่ส่งเสริมไปพูดให้ฟังแบบ MOUTH TO MOUTH FACE TO FACE สอนให้ “คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ฟันธง ทำใช้ ทำขาย ทำเททิ้ง” อะไรคือปัญหา แก้ไขได้ไหม ? แก้ไขอย่างไร ? ทำเกษตรปลูกพืชวันนี้ ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลด ขายได้เท่าเดิม คือ กำไรเพิ่ม ชัดเจนแน่นอน ได้สมญา “ทำเกษตรหลังไมค์ ทำเกษตรบนแผ่นกระดาษ” งานนี้เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง ขี่หลังช้างแล้วจะไม่ลงจากหลังช้าง ตัดสินใจแน่วแน่ต้องซื้อที่ดิน ซื้อที่ดิน ทำแปลงเกษตร ทำแปลงเกษตร ปรึกษากับ สมช.คาราวานสีสันชีวิตไทยราว 10 คน ชวนเดินทางไปดูแปลงเกษตรที่เป็นแปลงจริงแล้วขอซื้อ

แปลงแรก .... ใกล้น้ำตกไทรโยค กาญจนบุรี เนื้อที่ 25 ไร่ เข้าของชี้เขตที่ดิน ด้านนี้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ด้านนั้นต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ด้านโน้นต้นไม้ใหญ่ต้นโน้น จนครบทั้ง 4 ด้าน ที่ดินแปลงนี้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ตกลงราคา 2 แสน งานนี้ถ้าซื้อขายเปลี่ยนมือจะต้องมี จนท.ราชการ (ผญบ. กำนัน. อบต. อำเภอ, ฯลฯ) ลงชื่อสลักหลังเอกสารซื้อขายเป็นพะยาน นั้นหมายความว่า ต้องจ่ายมากกว่าราคาที่บอก แถมไม่อีกรู้ว่าอนาคตจะลงเอยอย่างไรหรือไม่ .... ตัดสินใจ “ไม่เอา” ....

แปลงที่ 2 .... ที่ดินบนเกาะในอ่างเก็บน้ำ เหนือเขื่อนเขาแหลม กาญจนบุรี ห่างจากตลิ่งราว 500 ม. เนื้อที่ทั้งเกาะทั้งหมด สนนราคาขาย 1 แสน บนเกาะกลางน้ำตอนนั้นปลูกกล้วย มะละกอ .... งานนี้ต้องเจรจา
ลุงคิม : คุณอยู่แล้วก็ปลูกไม้บนเกาะนั่นมานานรึยัง ?
คนขาย : นานแล้ว ตั้งแต่ทำเขื่อนเสร็จ มีน้ำเต็มอ่างเหนือเขื่อนนั่นแหละ

ลุงคิม : อืมมมม พูดตรงๆนะ เกาะในอ่างเหนือเขื่อนแบบบนี้ เจ้าของคือการไฟฟ้าผ่ายผลิต แล้วใครไปปลูกพืชทำอาชีพบนเกะ ไม่ผิดกฎหมายหรอกรื ?
คนขาย : ถ้าเป็นไม้อายุสั้นไม่เป็นไร

ลุงคิม : อ้อออ ถ้างั้นเราก็ปลูกได้แต่ไม้อายุสั้น ไม้อายุยาวอย่างมะม่วง ลำไย ก็ไม่ได้ซินะ
คนขาย : แอบปลูกซี่

ลุงคิม : งั้นเหรอ แล้วตอนที่จะลงไปสวนบนเกาะ ต้องจอดรถบนฝั่งแล้วนั่งเรือไปงั้นเหรอ ?
คนขาย : จอดรถฝากไว้ที่นี่ก็ได้

ลุงคิม : งั้นไม่เอาหรอกนะ ไม่อยากเป็นชาวเกาะ (ว่ะ)....

แปลงที่ 3 . ที่ดินบนภูเขาหัวโล้น +ล้าน +เลี่ยน +เตียน +โล่ง มองเห็นพื้นดินลูกรัง ไม่มีแม้แต่หญ้าขึ้นซักต้น อ.สวนผึ้ง ราชบุรี ภูเขา 2 ลูกติดกัน ที่ดินแปลงนี้วัดอยู่ใกล้เคียงเป็นผู้ดูแล

พระ : โยมจะซื้อที่ทั้ง 2 แปลงเลยเหรอ ?
ลุงคิม : อืมมม อยากได้ทั้ง 2 แปลงเลยครับ แปลงนึงเอาไว้เอง อีกแปลงนึงให้คนเช่า คิดค่าเช่าราคาถูกๆ เงินค่าเช่าถวายวัดทั้งหมด

พระ : โมทนาสาธุนะโยม
ลุงคิม : ที่ตรงนี้เมีเอกสารสิทธิ์อะไรไหมครับ ?

พระ : ไม่มีหรอกโยม เป็นที่ดินถือครองมานาน
ลุงคิม : (คิดในใจ ถ้ามาอยู่ที่นี่มีหวังเป็นชาวเขาแน่ ตอนนี้ในใจลึกๆ คือ ไม่ซื้อ) ครับ ขอเอาไปพิจาณาอีกครั้งก่อนนะครับ

แปลงที่ 4 . ที่ดินบนภูเขา เขตเขาใหญ่ โคราช ติดกับแปลงที่องค์มนตรีส่งคืนกรมป่าไม้ เนื้อที่ 40 ไร ที่ดินตรงนี้คือป่าสงวน

ลุงคิม : ที่ตรงนี้มีเอกสารสิทธิ์อะไรไหม ?
คนขาย : ไม่มี ที่ดินที่นี่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทุกคนถือว่าอยู่มานานเท่านั้น

ลุงคิม : ถ้ายังงั้น ที่ดินตรงนี้คือเขตป่าสงวน
คนขาย : ป่าสงวน แต่กรมป่าไม้ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ลุงคิม : อืมมม ไม่ว่าคือไม่ว่า ถ้ากรมป่าไม้ว่า เราจะตอบกรมป่าไม้ยังไง เอาเป็นว่าไม่ซื้อก็แล้วกันนะ

แปลงที่ 5 . ที่ดินแปลงนั้นอยู่ใจกลางป่า รอยต่อระหว่าง จ.เพชรบูรณ์ กับ จ.ลพบุรี เนื้อที่ 100 ไร่ วันนี้ปลูกไม้ผลยืนต้น พืชไร่

คนขาย : ที่ดินตรงนี้ระบบน้ำดีมาก มีน้ำตลอดปี
ลุงคิม : น้ำมาจกไหน

คนขาย : มีน้ำตกกลางที่เลย
ลุงคิม : น้ำตก.... ถ้างั้นที่ดินตรงนี้เป็นเขตป่าต้นน้ำ ซื้อขายไม่ได้นะ

คนขาย : เขาก็ซื้อขายกันนี่ ไม่เห็นเป็นไร
ลุงคิม : วันนี้ไม่เป็น อนาคตล่ะ ใครจะรู้ ไม่อยากเสี่ยง....เอาเป็นว่า ไม่ซื้อนะ

แปลงที่ 6 . ที่ดิน RKK วันนี้ เนื้อที่ 17 ไร่ครึ่ง เจ้าของเดิมจำนองไว้กับ ธ.ก.ส. จำนองขาดไม่เคยติดต่อ ไม่เคยต่อดอก จำนองแล้วย้ายบ้านไปอยู่หนองคาย การซื้อต้องซื้อแบบ ไถ่-ถอน จ่ายสดกับ ธ.ก.ส. ก่อน

จะซื้อขายจริง ธ.ก.ส.ยังติดต่อสอบถามขอคำยืนยันจากเจ้าของเดิมก่อนว่า “ไม่ไถ่ถอนแน่นะ ไม่ไถ่ถอนแน่นะ...” นั่นแหละการ ซื้อ-ขาย จึงเริ่มขึ้น ที่ดิน 17 ไร่ครึ่ง เอกสารสิทธิ์โฉนด ตราครุฑ รวมราคาเบ็ดเสร็จ 1 ล้าน 3 แสน 5 หมื่น เท่านั้น

หะแรกต้องการที่ราว 50 ไร่ ด้วยสภาวะจำเป็นต้องซื้อ 17 ไร่ ถึงวันนี้ ทำจริงแล้วจึงรู้ รู้งี้เอาแค่ 5 ไร่ก็พอ

155. หมอใหญ่-ผู้ว่าฯ VS เกษตรกร :
CASE 1 :

หลายปีแล้ว หมอใหญ่ ร.พ.บ้านโป่ง สงสัยๆ คนไข้ที่เป็นเกษตรกรมาตรวจโรคแล้วหาสมุหฐานของโรคไม่ได้ เชคไปเชคมาจึงรู้ว่า ระบบต่างๆในร่างกายมัน “เสีย/เสื่อม” หมดแล้ว สาเหตุเพราะสารเคมียาฆ่าแมลงนี่เอง โรคที่เกิดจากร่างกายสะสมสารเคมียาฆ่าแมลง ไม่มีตัวยาไหนรักษาโดยเฉพาะได้ ต้องใช้วิธีบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสำหรับขับสารพิษพวกนี้ออกจากร่างกายเองเท่านั้น นั่นคือ ต้องเลิกใช้สารเคมียาฆ่าแมลงเด็ดขาด

หมอใหญ่ ไปหา จนท. เกษตรประจำพื้นที่แล้วปรึกษาพูดคุยกัน ถึงวิธีการที่จะห้ามเกษตรกรใช้สารเคมียาฆ่าแลง คำตอบจาก จนท.เกษตร คือ “ห้ามไม่ได้” พยายามแล้วพยามอีก สารพัดสารเพวิธีการ เกษตรกรก็ไม่ยอมเลิกใช้ บางคนยังบอก “ตายเป็นตาย” ซะอีกแน่ะ หมอใหญ่จนปัญญา ปล่อยให้ไปอยู่จังหวัดเลย เลยตามเลย

ยังมีนิทานสอนให้คิดเรื่องสารเคมียาฆ่าแมลงอีกมาก กับเวลา 20 (+) ปี ที่สัมผัสมา แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีก

ฝากถึงชาวสวนแปลงผัก เมื่อคุณฉีดสารเคมียาฆ่าแมลงน่ะ คุณรู้ตัวไหมว่า คนฉีดรับตัวยาเนื้อๆเลย ฉีด 1 ครั้งรับ 1 ครั้ง ฉีด 3 ครั้งรับ 3 ครั้ง ฉีด 5 ครั้งรับ 5 ครั้ง รับประจำทุกครั้ง แต่คนกิน มื้อนี้กินผักจากแปลงคุณได้รับสารเคมีด้วย แต่มื้อใหม่ มื้อต่อๆมา อีกหลายๆมื้อ เขาไม่ได้กินผักจากสวนคุณ แล้วก็ไม่ได้กินผักอย่างเดิมซ้ำอีกด้วย ช่วงที่คนกินไม่ได้กินซ้ำนั้น ร่างกายเขามีโอกาสขับถ่ายสารพิษออกได้ ใช่ไหม ? แต่คนฉีดคนใช้ต่างหาก “รับเนื้อๆ” ใช่ไหม ? ไม่กลัวตายเลยเหรอ ?

CASE 2 :
ผู้ว่า กทม. ไปตรวจผักในตลาดในเขต กทม. พบว่า มีสารเคมีปนเปื้อนอัตราสูงมาก สอบถามแม่ค้าว่าผักนี้มาจากไหน แล้วทราบว่ามาจาก จ.ตาก ม้งไทยภูเขาเอามาส่ง ตัดสินใจเดินทางไปดูแปลงปลูกที่ จ.ตาก กระทั่งพบกับม้งไทยภูเขาเจ้าของแปลง

ผู้ว่าฯ : ปลูกผักมานานรึยัง กี่ปีแล้ว ?
ม้ง : ปลูกมาตั้งแต่เกิดครับ

ผู้ว่าฯ : ใช้สารเคมีมาตลอดเลยหรือ ?
ม้ง : ใช้ครับ ไม่ใช้ไม่ได้

ผู้ว่าฯ : ทำไมไม่ใช่ไม่ได้ ?
ม้ง : ปลูกผักส่งกรุงเทพ คนกรุงเทพชอบผักสวยๆ ต้องฉีดยามากๆ

ผู้ว่าฯ : รู้ไหมว่า ฉีดสารเคมีแล้วคนกินเป็นอันตราย ?
ม้ง : รู้

ผู้ว่าฯ : อ้าวววว รู้แล้วฉีดทำไม ตัวเองไม่กลัวอันตรายหรือ ?

ม้ง : ม้งไม่ได้กินผักแปลงนี้ ม้งปลูกต่างหาก ปลูกไว้กินเอง
ผู้ว่าฯ : (ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ออกเดินนำคณะที่ไปด้วย ขึ้นรถบึ่งแน่บกลับ กทม.ทันที....)


156. ส้มโอขาวใหญ่ :
- ส้มโอถูกกันดีมากๆกับ “ขี้แดดนาเกลือ” ในนั้นมีสารอาหารพืชที่มาจากน้ำทะเล โดยเฉพาะ แม็กเนเซียม. สังกะสี. แมงกานิส. โซเดียม.
- น้ำหมักชีวภาพที่ทำมาจาก กุ้ง/หอย/ปู/ปลา ทะเล ก็อีหร็อบเดียวกัน
- ส้มโอต้นโตเป็นสาวเต็มที่เมื่ออายุ 8 ปีขึ้นไป คุณภาพผลผลิตจะนิ่ง คือ คงที่

- ส้มโอเป็นไม้ผลไม่ชอบตัดแต่งกิ่ง ถ้าตัดแต่งกิ่ง แล้วเรียกยอดใหม่ ต้องเลี้ยงกิ่งใหม่นั้น 2-3 ปี จึงจะออกดอกติดผล หากต้นชิดกันมาก แนะนำให้ตัดต้นทิ้งไปเลย ปล่อยให้ต้นที่เหลือโตอิสระ ส้มโอต้นโตเต็มที่ให้ผลได้นับ 100 ผล/ต้น

- ผลส้มโอเก็บมาแล้ว “ลืมต้น” นานๆ นานนับเดือนได้ยิ่งดี รสชาดจะดีมาก .... การเลือกซื้อผลส้มโอ ให้เลือกผลที่ผิวเหี่ยวๆ หรือตะปุ่มตะปั่มเหมือนท้าวแสนปม รสชาดจะดีมาก เรียกว่า ข้างนอกขรุขระ ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ประมาณนั้น .... แต่ถ้าเลือกผลยังสดๆ ตัดลงมาใหม่ๆ มีใบติดอยู่ รสชาดจะไม่ชัดเจนนัก
- ส้มโอขาวใหญ่ของ ผญ.ชั้น / คุณเพ็ญฉวี เพ็งอุดม เหมืองใหม่ อัมพวา สมุทรสงคราม เป็นสวนยกร่องน้ำหล่อ ต่อมาเลิกน้ำหล่อทำการถมร่องด้วยเศษซากพืชทุกชนิด ต้นส้มให้ผลผลิตดีขึ้นชัดเจน

- ส้มโอขาวใหญ่ของ อ.สมทรง แสงตะวัน แห่งสมุทรสงคราม ใช้กากเต้าหู้ หมักข้ามปีจนหมดกลิ่น สาดไปตามพื้นแปลง ปีละ 1-2 ครั้ง ใส่ขี้แดดนาเกลือปีละครั้ง ต้นส้มให้ผลผลิตดี ทั้งคุณภาพและปริมาณ

- ส้มโอขาวใหญ่ ของดีเมืองสมุทรสงคราม ลักษณะพิเศษตัวกุ้งใหญ่ แห้งไม่ฉ่ำน้ำ หวานกรอบ ผิดกับ ขาวน้ำผึ้ง-ทองดี ที่ตัวกุ้งเล็ก ฉ่ำน้ำ

ประสบการณ์ตรง 1 :
ลุงคิมเคยเอาส้มโอ 5-6 สายพันธุ์ เขียนชื่อไว้ที่ก้นผล แล้วแกะเนื้อให้ทุกคนที่ไม่เคยรู้จักสายพันธุ์ส้มโอเลยได้ลองชิม หลังจากชิมแล้ว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ลูกนี้รสชาติอร่อยที่สุด" ส้มโอลูกนั้นก็คือ "ขาวใหญ่" นั่นเอง

ที่หน้าวิหารวัดพุทธชินราช พิษณุโลก (ไม่ไกลจากวัดสบสวาท) .....ปิ๊คอั้พเปิดท้ายขายส้มโอสารพัดสายพันธุ์ ลุงคิมถามคนขายว่า เคยเอา "ขาวใหญ่" มาขายไหม ? ได้รับคำตอบว่า "เคย" วันนี้ก็มีแต่ขายหมดแล้ว ทุกครั้งที่มา ขาวใหญ่จะหมดก่อนทุกๆสายพันธุ์

ประสบการณ์ตรง 2 :
ที่งานเกษตรประจำ จ.สมุทรสงคราม แม่กลอง ไฮซ้อจาก กทม. จะซื้อส้มโอบนแผง
ไฮซ้อ : แม่ค้า มีส้มโอขาวน้ำผึ้งไหม ?
คนขาย : มีค่ะ

ไฮซ้อซื้อส้มโอไป 4-5 ลูก แล้วกลับทันที วันรุ่งขึ้นย้อนไปที่แผงขายส้มโอเจ้าเดิมอีกครั้ง

ไฮซ้อ : แม่ค้า ขาวน้ำผึ้งที่ซื้อไปอร่อยจริงๆนะ วันนี้ขอซื้ออีก เอาขาวน้ำผึ้งนะ

คนขายจัดการให้ ไฮซ้อได้ส้มโอแล้วกลับทันที....วันรุ่งขึ้น ไฮซ้อคนเดิมมาทีแผงขายส้มโอเจ้าเดิมอีกครั้ง

ไฮซ้อ : ขาวน้ำผึ้งเมื่อวานนี้ทำไมไม่อร่อยเหมือนข้าวน้ำผึ้งวันก่อนล่ะ ?
คนขาย : มันเป็นยังไงคะ ?

ไฮซ้อ : ข้าวน้ำผึ้งวันก่อนรสจัด หวานอมเปรี้ยวนิดๆ พอรู้สึก เนื้อตัวกุ้งใหญ่ดี แห้งดี กรอบดี

คนขาย : (คิด ทบทวนความทรงจำ) อ๋ออออ จำได้แล้ว วันแรกที่คุณมาสั่งส้มโอขาวน้ำผึ้ง พอดีวันนั้นร้านเราไม่มีข้าวน้ำผึ้งแต่มีขาวใหญ่เลยเอาขาวใหญ่ให้ไป อีกวันคุณมาสั่งขาวน้ำผึ้ง พอดีเรามีขาวน้ำผึ้งเลยเอาข้าวน้ำผึ้งให้ไป ขาวน้ำผึ้งตัวกุ้งฉ่ำน้ำ แต่ขาวใหญ่ตัวกุ้งแห้ง ตกลงวันนี้คุณจะเอาขาวน้ำผึ้งหรือขาวใหญ่ล่ะ ?

ไฮซ้อ : (อ้อมแอ้มๆ ตอบ) เอาขาวใหญ่

ประสบการณ์ตรง 3 :
ส้มโอสวน ผญ.ชั้น-คุณเพ็ญฉวี เพ็งอุดม ปลูกส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ เก็บส้มโอจากแปลงมากองไว้ที่ไต้ถุนบ้าน รอ จนท.ห้างมารับ.... จนท.ห้างมาถึง จัดการ “คัด” ขนาดส้มโอ บอกว่าจะรับเฉพาะขนาดที่ต้องการ ขนาดเดียว เพื่อจะได้ขายราคาเดียวกันทั้งหมด ขนาดที่ต่างออกไปไม่เอา

คุณเพ็ญฉวีฯ นั่งอยู่ใกล้ๆ บอกว่า “ทำไมไม่เขียนราคาตามขนาดแต่ลูกล่ะ เขียนแปะไว้ที่ลูกทุกลูกนั่นแหละ”

จนท.ห้างบอกว่า “ยุ่งยาก”

คุณเพ็ญฉวีฯ ใช้เท้ากวาดกองสมโอกระจายไปทั่วบ้านแล้วว่า “ถ้างั้นก็อย่าเอามันเลย คุณเลือกลูกดีๆไปหมด แล้วที่เหลือจะขายให้ใคร.... เลิก ปีนี้ไม่ขาย ปีหน้าปีโน้นก็ไม่ขาย....”

จนท.ห้างยิ้มจืดๆ แล้วบอก “ก็ได้ครับ ตกลงผมรับทั้งหมด....ปีหน้า ไปต่อไปเอาด้วยครับ”

157. THAILAND ประเทศเกษตร (3) :
ลอกบึงบอระเพ็ด :
บึงบอระเพ็ดถือว่าเป็นบึงน้ำจืดใหญที่สุดในประเทศไทย กินพื้นที่ถึง 3 อำเภอ ระดับความลึกของน้ำ หน้าฝน 3-5 ม. หน้าแล้ง 0.5-1.5 ม. หากขุดลอกดินก้นบึงเพื่อเพิ่มความลึกจะช่วยให้การรับน้ำหน้าฝนได้ปริมาณที่มากขึ้น ยิ่งขุดลึกเท่าไรยิ่งมีพื้นที่รับน้ำได้มากเท่านั้น วิธีการคือ ....
1.ให้ดินฟรีแก่บริษัทสร้างบ้านจัดสรร...
2. นำดินก้นบึงไป ถม/แต่ง ริมตลิ่ง ป้องกันน้ำท่วม...
3. จัดสรรที่ดินริมบึงให้เกษตกรทำการเกษตร....
4. พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำในบึง สวนเกษตรริมบึง....
5. สูบน้ำบาดาลใต้ดินก้นบึงขึ้นมาเติมน้ำในบึงช่วงหน้าแล้ง ถ้าระดับน้ำลด ....
6. ฯลฯ
ทฤษฎีนี้หลักการนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ นำไปปรับใช้กับแหลงน้ำอื่นๆได้ทุกแห่ง ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ

แม่น้ำใหญ่สู่แก้มลิง : สูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า (โซล่าเซลล์) จากแม่ วางท่อส่งน้ำริมถนน มาสู่แก้มลิงขนาดกว้าง 1-2-3 ตร.กม. ลึก 2-3-5 ม. ตามความจำเป็นและเหมาะสม....

จากแก้มลิง 1 สูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า (โซล่าเซลล์) ส่งน้ำต่อไปแก้มลิง 2 ....
จากแก้มลิง 2 สูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า (โซล่าเซลล์) ต่อไปแก้มลิง 3 ...
จากแก้มลิง 3 สูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า (โซล่าเซลล์) ต่อไปแก้มลิง 4, แก้มลิง 5 ...
วางท่อส่งน้ำระหว่างแก้มลิงต่อแก้มลิง ขนาด 30-50 ซม. ฝังดินหรือเลียบข้างถนนเพื่อไม่ต้องเวนคืนที่ดิน....

ระหว่างทางท่อส่งน้ำไปยังแก้มลิงต่างๆ ให้มีจุด เปิด-ปิด น้ำเข้าสู่แปลงเกษตรได้เมื่อต้องการ.... แก้มลิงมีน้ำตลอดปีสามารถพัฒนาเป็นแหล่งเลี้ยงสัตว์น้ำได้อีกด้วย....

บางระกำโมเดล เลี้ยงปลากระชัง : ขุดลอกดินบริเวณที่ลุ่ม หรือพื้นที่รับน้ำช่วงหน้าฝน ครอบคลุมพื้นที่น้ำท่วมประจำ อาจจะ 100 หรือ 200 หรือ 500 ไร่ หรือมากกว่า ลึก 10-15 ม. เป็นบึงน้ำประดิษฐ์ขนาดใหญ่ นำดินที่ขุดลอกไปถมริมบึงป้องกันน้ำท่วม และ/หรือ จัดระเบียบพื้นที่ริมบึง

แบ่งสันพื้นที่บึงมีน้ำตลอดปีให้แก่ประชาชนที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินก่อนสร้างบึงเลี้ยงปลาในกระชัง (ตัวอย่าง ปลากระชังในแม่น้ำ จ.อุทัยธานี, ในทะเลสาบสงขลา)

โรงไฟฟ้าในป่าสงวน : อนุญาต+ส่งเสริม .... 1. สร้างโรงไฟฟ้ารีไซเคิลขยะ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในเขตป่าสงวน ลึกเข้าไปในป่าห่างไกลจากแหล่งประชาชน 5-10 กม. พนง.ประจำโรงไฟฟ้ามีเบี้ยเลี้ยงพิศษ สร้างแหล่งท่องเที่ยว/โฮมสเตย์ ริมถนนทางเข้าโรงไฟฟ้า ปชส. และ ฯลฯ

โรงไฟฟ้าในทะเล หรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ : ก่อสร้างเหมือนแท่นขุดเจาะน้ำมัน

โรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติ : ป้องกันมลภาวะทางอากาศ ....
1. โรงไฟฟ้า จาก ความร้อนไต้ดิน (ไต้บ่อน้ำร้อน) ....
2. พลังงานเชื้อเพลิงเกษตร เช่น ไบโอแก๊ซ (อ้อย), ไบโอแมสส์ (ปาล์มน้ำมัน), สบู่ดำ ฯลฯ ....
3. เครื่องยนต์ไฟฟ้า เช่น เครื่องยนต์ขนาดเล็ก รถยนต์ขนาดเล็ก ....

เกษตรใกล้โรงไฟฟ้าในป่าสงวน : อนุญาต+ส่งเสริม ให้ประชาชนเข้าไปอยู่ในป่าสงวนโดยมีข้อแม้....
1. ดูแล/บำรุง/รักษา ไม้ใหญ่ยืนต้นที่ทางราชการกำหนด ....
2. ให้ปลูก พืชอายุสั้น/ฤดกาลเดียว แซม/แทรก ระหว่างต้นไม้ใหญ่ ...
3. ให้ทำฟาร์มขนาดเล็กเลี้ยงสัตว์ ....
4. ให้ทำสวนเกษตรท่องเที่ยว ....
5. ฯลฯ

กังหันลมปั่นไฟฟ้า : หลักการและเหตุผล ....
1. ลมทะเลแรงกว่าลมบก ....
2. กังหันนาเกลือกำลังหมุนแรงมาก จะหยุดต้องใช้แรง 2 คนจึงจับหยุดได้ ....
3. ในทะเลลมดีตลอดปี ตลอด 24 1ชม. ....
4. ส่งเสริมให้ประชาชนที่บ้านติดกันอยู่ริมทะเลรวมกลุ่มทำกังหันลม ปั่นกระแสร์ไฟฟ้าใช้เองโดยมีอุปกรณ์ดังนี้

4.1 กังหันลมแบบนาเกลือ เล็กกว่า/เท่ากัน/ใหญ่กว่า ตามความจำเป็น
4.2 ไดชาร์จหรือไดนาโม ใช้ในรถ 10 ล้อ
4.3 เรคกูเรเตอร์ ตัวตัดไฟเมื่อไฟเต็มแบต ใช้ในรถ 10 ล้อ
4.5 แบตเตอรี่ ใช้ในรถ 10 ล้อ 4-6-8 หม้อ ต่อแบบอนุกรม
4.6 หม้อแปลงกระแสไฟจากแบบเตอรี่ 24 โวลท์ เป็น 220 โวลท์
4.7 เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก/ปรับ/เปลี่ยน ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น

หมายเหตุ :
บนรถทัวร์มีอุปกรณ์ไฟฟ้า (ทีวี. พัดลม ไมโครโฟน ฯลฯ) เหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน

เลี้ยงปลา-สงวนพันธุ์ปลา ทะเล : หลักการและเหตุผล เพราะเทคโนโลยีในการจับสัตว์น้ำ (ปลา) ประสิทธิภาพสูงมาก สามารถจับปลาได้ครั้งละมากๆ ทั้งปลาเล็ก ปลาใหญ่ และสารพัดปลา เป็นเหตุให้ปลาขยายพันธุ์และโตไม่ทัน ทางออกของปัญหาปลาโตและขยายพันธุ์ไม่ทัน คือ ปล่อยให้ปลา “เกิดและอยู่” ตามธรรมชาติ ... แนวทางปฏิบัติ คือ

- งดเด็ดขาดจับปลาในทะเลปกติ
- ให้สร้างและเลี้ยงปลาพร้อมจับในกระชัง
- เพาะพันธุ์ปลาเพื่อจำหน่ายลูกปลาให้ผู้เลี้ยงปลาในกระชัง

หมายเหตุ :
- เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี, ทะเลสาบสงขลา ฉะนี้จะเลี้ยงปลากระชังในทะเลอ่าวไทย หรือทะเลอันดามัน ไม่ได้หรือ ?

- เลี้ยงปลายักษ์ ราคาแพงในกระชัง ในมหาสมุทรแปซิฟิค แล้วลากกระชังเอาปลา สด/เป็น ไปขายที่ตลาดญี่ปุ่น

ผู้นำจิตรอาสา ลอกผักปอด : หลักการและเหตุผล สังคมยุคปัจจุบันเป็นที่ทราบนั่นชัดแล้วว่า กำนัน-นายก อบต. รวยกว่านายอำเภอ-ปลัดอำเภอ ทั้งกำนัน และนายก อบต. ต่างอาสา (เน้นย้ำ....อาสา) ประชาชนเข้ามาบริหารท้องถิ่นด้วยความเต็มใจทั้งสิ้น .... แนวทางปฏิบัติ คือ

- กำนัน และนายก อบต. ตั้งกองกฐินลอกผักปอด บริจาคคนละ 1 แสนเป็นกองทุนเริ่มต้น
- ประชาชนในพื้นที่ร่วมสมทบตามความสามารถ
- จ้างเครื่องจักรกลที่มีในพื้นที่
- จ้างแรงงานในพื้นที่

158. หน่อไม้ฝรั่ง :
ที่โพธาราม ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 30 ไร่ ยกร่องน้ำหล่อ ปกติใช้แรงงาน 2 คน แล่นเรือปากเป็ดรดน้ำ 2 ลำ ทำงานเช้าถึงเที่ยง พักเที่ยงขึ้นมากินข้าว บ่ายรดน้ำต่อถึง 4 โมงเย็น ทุกวัน หลังจากเจ้าของตัดสินใจติดสปริงเกอร์ ใช้เครื่องปิคอั๊พ 4 สูบ แบ่งแปลงเป็นโซน ๆละ 5 ไร่ ใช้เวลา 3 ชม. ด้วยแรงงานเจ้าของคนเดียว ส่วนคนงานให้ไปทำงานอย่างอื่น ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน ใช้งานมาแล้ว 4-5 ปี วันนี้ยังใช้การได้ดี

หน่อไม้ฝรั่ง สดใหม่ คั้นน้ำ เจือจางน้ำเปล่า 100 เท่า รดโคนต้นให้กับตัวมันอง ในน้ำคั้นหน่อไม้ฝรั่งมีไซโตไคนิน ช่วยขยายขนาดหน่อไม้ฝรั่งให้ใหญ่ขึ้นได้

เป็นโชคดีของชาวสวนหน่อไม้ฝรั่งที่มีผู้รับซื้อมาถึงสวน ทำให้มีตลาดแน่นอน ปัญหาจริงๆไม่ใช่อยู่ที่ผู้รับซื้อ แต่อยู่ที่ผู้ผลิต คือ ชาวสวนเองที่ไม่รักษาคุณภาพของหน่อไม้ฝรั่งให้ได้ตามที่ผู้รับซื้อกำหนด หรือไม่รักษากติกาที่ตกลงกันไว้ โดยเฉพาะสารเคมียาฆ่าแมลงปนเปื้อน ซึ่งสารเคมีได้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้รับซื้อมาไม่ใช่น้อย ในขณะที่ชาวสวนเองก็เสียหายเหมือนกัน เช่น ต้นทุนค่าสารเคมียาฆ่าแมลง การถูกตัดออกจากการเป็นสมาชิก เสียเครดิตความน่าเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศ วันนี้หน่อไม้ฝรั่งส่งออกญี่ปุ่นเป็นหลัก ที่จริงยังมีอีกหลายประเทศที่สนใจจะนำเข้าบ้าง อันนี้ชาวสวนเราน่าจะช่วยกันสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ .... ปัญหาหลักๆ ของผู้รับซื้อ ไม่ใช่อยู่ที่ปุ๋ยเคมี แต่อยู่ที่สารเคมียาฆ่าแมลงต่างหาก

หลักการสร้างคุณภาพ ปลูกหน่อไม้ฝรั่งต้องพูดภาษาหน่อไม้ฝรั่งเป็น, ปลูกหน่อไม้ฝรั่งตามใจหน่อไม้ฝรั่ง ไม่ใช่ตามใจคน

159. พิสูจน์ ปุ๋ย/ฮอร์โมน/จุลินทรีย์ ทำเอง :
จาก : (080) 712-66xx
ข้อความ : ผู้พันครับ ผมได้เศษปลาทะเลมา 50 กก. ทำน้ำหมักสูตรระเบิดเถิดเทิง ใส่กากน้ำตาล 10 ล. ใส่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ซื้อมาจากคาราวาน 10 ล. หมักนาน 6 เดือน ปลาเปื่อยแล้ว ผู้พันมีวิธีพิสูจน์อย่างไรว่ามี สารอาหาร จุลินทรีย์ ฮอร์โมน อะไรบ้าง มีมากหรือน้อยแค่ไหน .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- เศษปลาสด 50 กก. + กากน้ำตาล 10 กก. หมัก 6 เดือนปลาเปื่อย นี่คือ อัตราส่วนพอดี ผลจากการหมักที่ได้ คือ “ปุ๋ยอินทรียชนิดน้ำ” .... เท่าที่ทำๆกันอยู่นั้น ปลา 50 กก. + กากน้ำตาล 50 กก. อัตราส่วน 1:1 แบบนี้กากน้ำตาลมากเกิน ทำให้ไป STOP จุลินทรีย์ ผลก็คือกลายเป็น “ปลาแช่อิ่ม” ไม่ใช่ปุ๋ยชนิดน้ำ .

ปลาแช่อิ่มชิ้นโตละลายน้ำไม่ได้แต่ยังใช้การได้โดย “ฝัง” ลงดิน ปล่อยให้จุลินทรีย์ประจำถิ่นย่อยสลาย แล้วรอให้รากเจริญยาวมาดูดซับไปเอง

กากน้ำตาลน้อยก็ไม่พอสำหรับจุลินทรีย์ ทำให้ไม่มีพลังในการย่อยสลาย ปลาสดก็เน่าแล้วเกิดหนอนอีกต่างหาก ผลจากการหมักแล้วเหม็นมีหนอนก็คือ “เชื้อโรค” นั่นเอง

ในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงที่ซื้อมาจากคาราวาน ในน้ำหมักมีจุลินทรีย์กลุ่มย่อยสลายโปรตีนจากปลาทะเลโดยเฉพาะ ไม่ใช่จุลินทรีย์ พด. ไม่ใช่จุลินทรีย์ที่ซื้อมาจากท้องตลาด จุลินทรีย์พวกนี้เกิดเองจากการหมักปลาทะเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเอาจุลินทรีย์เดิมมาใช้ต่อก็เท่ากับเป็นการ “ขยายเชื้อ” นั่นเอง

1. พิสูจน์ :
1) สารอาหาร :
จากงานวิจัยและเอกสารทางวิชาการ ระบุว่า
- ปลาทะเล มีสารอาหารมากกว่าปลาน้ำจืด (ปลาทะเลมี แม็กเนเซียม. สังกะสี. แมงกานิส. โซเดียม. โอเมก้า. แต่ปลาน้ำจืดไม่มี)
- ปลาน้ำจืดมีสารอาหารมากกว่าหอยเชอรี่ (ปลามีกระดูก)
- หอยเชอร์รี่ มีสารอาหารมากกว่าผักผลไม้ (หอยมีโปรตีนจากเนื้อ)
- ผักผลไม้ มีสารอาหารน้อยกว่าหอยเชอร์รี่ แต่มีฮอร์โมนมาก (ฮอร์โมนในน้ำเลี้ยง)

สรุป :
- ในวัสดุมีสารอาหารอเไร ได้สารอาหารตัวนั้น
- กรรมวิธีในการหมัก ถูกต้อง = ได้มาก, ไม่ถูกต้อง = ได้น้อย
2. กรรมวิธีในการหมัก :
- เริ่มด้วยการบดทุกอย่างให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ในถังหมักก่อน ช่วงการหมักตอนแรกส่วนผสมบางตัวจมอยู่ก้นถัง บางส่วนลอยอยู่ที่ปากถัง ประมาณ 1 เดือน ทุกอย่างจะจมเนื่องจากถูกจุลินทรีย์ย่อยสลาย โดยที่ก้นถังมีจุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศ (ไม่ต้องคน) ปากถังมีจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศ (คนบ่อยๆ) เป็นตัวเอ็นไซม์ให้

จุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศมีพลังในการย่อนสลายสูงกว่าจุลินทรีย์ปรเภทต้องการอากาศ
- หมักนาน 3 เดือนได้ธาตุหลัก, หมักนาน 6 เดือนได้ธาตุรอง, หมักนาน 9 เดือนได้ธาตุเสริม, หมักนาน 12 เดือนได้ฮอร์โมน

- ช่วงหมักใหม่ๆ ส่วนผสมส่วนใหญ่จะลอยอยู่ที่ปากถัง จากนั้น 3-6 เดือนจึงจมลงก้นถังทั้งหมด เพราะระบบการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์สมบูรณ์แบบ

- ส่วนผสมทุกอย่างเหลวละเอียดเป็นน้ำ ไม่มีแม้แต่เกร็ดก้างกระดูกปลา
- การบดเนื้อปลาหรือส่วนผสมทุกอย่างให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ก่อน เพื่อเป็นการช่วยย่นระยะเวลาที่จุลินทรีย์ทำการย่อยสลายให้เร็วขึ้น ถ้าไม่บดละเอียดก่อน ใส่ปลาทั้งตัวหรือส่วนผสมทั้งดุ้นแล้วปล่อยให้จุลินทรีย์ย่อยสลายเอง ต้องใช้ระยะเวลานาน 3-6 เดือน นั่นส่วนผสมทุกอย่างทุกขั้นตอนการหมักต้อง O.K. นะ แต่ถ้าส่วนผสมไม่ถูกต้อง ขั้นตอนการหมักไม่ O.K. ละก็ นอกจากเนื้อปลาหรือส่วนผสมอื่นจะไม่ย่อยสลาย กลายเป็นปลาแช่อิ่มแล้ว ยังอาจเกิดหนอน มีกลิ่นเน่า (เน้นย้ำ .... เน่า) เหม็นตลบอบอวนไปแปดบ้านได้ และนั่นคือ เชื้อโรคไม่ใช่ปุ๋ยตามวัตถุประสงค์

3. สภาพภายนอกระหว่างการหมัก :
- “ สี” สีน้ำตาลอ่อน ถึง น้ำตาลไหม้
- “กลิ่น” มีกลิ่นเฉพาะตัว เป็นกลิ่นคาวปลาสดชัดเจน ไม่เหม็นเน่าหรือชวนปวดหัว
- “กาก” ทุกอย่างจมลงก้นถัง
- “ฝ้า” แท้จริงคือซากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เมื่อคนก็จะจมลงก้นถังไปเป็นอาหารให้แก่จุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตต่อไป

- “ฟอง” คืออากาศที่จุลินทรีย์หายใจ ฟองขนาดใหญ่ยังไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน ฟองละเอียดเหมาะสม และพร้อมใช้งาน
- “หนอน” ไม่มีหนอนเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ทำ ถึงวันใช้งาน
- “แมลงวัน” ไม่มีแมลงวันตอมตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำ ถึงวันใช้งาน
- “แมลงหวี่” มีตอมและวางไข่ แต่ไข่ฟักออกเป็นตัวไม่ได้ ถูกย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย
- “หนู/สุนัข” กินได้
- “ค่า pH, ค่า EC” ใช้เครื่องมือวัด
- “ค่า C/N RETIO, ชนิด และปริมาณสารอาหาร” ต้องตรวจในห้องปฏิบัติการเคมี (LAB) เท่านั้น

(น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงไร่กล้อมแกล้ม เคยตรวจที่กรมวิชาการเกษตรมาแล้ว 3 ครั้ง ผลการตรวจ "ผ่าน" ทั้ง 3 ครั้ง)

4. พิสูจน์จุลินทรีย์ :
- ดูในถังหมักมีฟองเกิดขึ้นมาที่ปากถัง ฟองมากหมายถึงจุลินทรีย์มากและแข็งแรง ฟองน้อยหมายถึงจุลินทรีย์น้อยและไม่แข็งแรง .... อากาศร้อน จุลินทรีย์เจริญพัฒนาดี อากาศหนาว จุลินทรีย์เจริญพัฒนาได้น้อย

- ทดสอบพลังจุลินทรีย์ โดยนำน้ำหมักที่ทำมานานระยะเวลาหนึ่งแล้ว ใส่ลงขวดแล้วปิดปากขวดด้วยลูกโป่ง เก็บไว้ในร่ม อุณหภูมิห้อง ทิ้งไว้ 3-5-7 วัน สังเกตุลูกโป่ง ถ้าลูกโป่งพองโตเร็วแสดงว่าจุลินทรีย์มากและแข็งแรง ถ้าลูกโป่งไม่พองหรือพองช้าแสดงว่าจุลินทรีย์ไม่มากและไม่แข็งแรง

- ลูกป่งพอโต คือ จุลินทรีย์ประเภทต้องการรอากาศ
- ลูกโป่งยุบลงไปในขวด คือ จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศ
- จุลินทรีย์มีเป็น "ล้าน" ชนิด ที่มนุษย์รู้จักและตั้งชื่อแล้วนี้เป็นเพียง "เศษเสี้ยว" หนึ่งเท่านั้น
- จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศ มีพลังย่อยสลายสูงกว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ

- กากน้ำตาลในน้ำหมัก เมื่อส่งลงไปในดินจะไปเป็นสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น

- จุลินทรีย์ดีมีประโยชน์กินกากน้ำตาล หรือสารรสหวานเป็นอาหาร จะเจริญเติบโตขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ในขณะที่จุลินทรีย์เชื้อโรคไม่กินนกากน้ำตาลหรือสารรสหวาน นอกจากไม่เจริญขยายเผ่าพันธุ์ได้แล้ว ยังอยู่ไม่ได้ คือ ตายนั่นเอง

5. พิสูจน์ความเป็นสารอาหาร :
น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงที่ไร่กล้อมแกล้ม วันดีคืนดีหนูลงไปกินน้ำหมักในถังแล้วขึ้นไม่ได้ ตกไปตาย เลยปล่อยไว้ในถังหมักอย่างนั้น กับบางครั้งเคยใช้ไม้พายคนแล้วยื่นให้หมากิน หมาเลียไม้พายหมับๆ อเร็ดอร่อย ทั้งหนูและหมากินแสดงว่าเป็น FOOD GRADE .... วันดีคืนดีอีกเช่นกัน หมาที่ไร่คาบไก่ตายมาจากฟาร์มไก่ ก็เลยจับไก่ยัดลงถังหมักทั้งตัว ราว 1-2-3 เดือน ทั้งหนู ทั้งไก่ ทั้งตัวละลายกลายเป็นน้ำ กลายเป็นโปรตีนบำรุงพืชไป

6. พิสูจน์ฮอร์โมน :
- รู้จากงานวิจัยที่ระบุว่าน้ำหมักชีวภาพที่หมักจากซากสัตว์ทะเลมีฮอร์โมน ฟลาโวนอยด์, ควินนอยด์, โพลิตินอล, จิ๊บเบอเรลลิน, อ๊อกซิน, ไซโตไคนิน, ท็อกซิก, ทั้งนี้สามารถวิเคราะห์จากวัสดุส่วนผสมที่ใช้ และกรรมวิธีในการหมักเป็นเบื้องต้น หากต้องการรู้จริงๆก็ต้องเข้าห้องปฏิบัติการเคมี

- มีคราบคล้ายน้ำมันพืชลอยอยู่ที่ผิวหน้า เมื่อคนแล้วจะหายไป นั่นคือ "ฮิวมัส" ซึ่งแม้ไม่ใช่ฮอร์โมนโดยตรง แต่ก็มีประโยชน์ต่อพืชเทียบเท่าฮอร์โมนเหมือนกัน

- มีเมือกสีขาวใสคล้ายวุ้น เกาะตามส่วนผสมที่ก้นถัง เมื่อคนแล้วจะละลายหายไปกับน้ำทันที นั่นก็คือ “ฮอร์โมน” พืชเช่นกัน

หมายเหตุ :
- ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้อยู่ภายไต้กรอบแบบ “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน มาตรฐานโรงงาน มีหลักวิชาการยืนยัน”

- อียิปต์. รู้จักการทำน้ำหมักชีวภาพจากปลามาตั้งแต่สมัยสร้างปิรามิด .... จีน. รู้จักมาตั้งแต่โบราณ เดาว่ายุคสมัยสร้างกำแพงเมืองจีน .... อเมริกาไม่เผาฟางแต่ใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปแล้วไถกลบ เจตนาทำฟางธรรมดาๆให้เป็นฟางซุปเปอร์

.... ชาวไร่อเมริกาเตรียมดินด้วยรถไถโรตารี่ หน้ารถมีแทงค์ขนาดใหญ่ บรรจุสารพัดอินทรีย์วัตถุแบบผงแห้ง โรยลงพื้นที่ด้านหน้ารถแล้วปล่อยให้ผานโรตารี่ที่ท้ายรถทำการไถกลบพร้อมกับเศษซากพืช นอกจากไถพรวนดินแล้วยังช่วยคลุกเคล้าสารพัดสารอินทรีย์ผงแห้งให้เข้ากับดินไปในตัว .... อเมริกาไม่เผาฟางแต่ใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปแล้วไถกลบ เจตนาทำฟางธรรมดาๆให้เป็นฟางซุปเปอร์

.... กรณีชาวไร่ ชาวนาไทย วางถัง 40 หรือ 100 ล. ที่หน้ารถไถ (วิ่งขับหรือเดินตาม) ในถังใส่ “น้ำหมักชีวภาพ + ปุ๋ยเคมี + น้ำมูลสัตว์ + ฯลฯ” คนให้เข้ากันดี ขอบก้นถังมีก๊อก 1-2 ก๊อก ซ้ายขวา ขณะวิ่งรถไถก็เปิดก๊อกให้น้ำหมักในถังไหลออกมาลงไปที่พื้นด้านหน้ารถไถ จะให้ไหลแรงหรือค่อย ไหลช้าหรือเร็ว ตั้งได้ที่ก๊อก เมื่อน้ำหมักไหลลงพื้นที่ด้านหน้ารถไถแล้วถูกผานที่ทายรถตีให้กระจุยกระจายไปทั่วแปลงทุกตารางนิ้วได้เอง....

- สารอาหารในน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง แม้จะหมักนานข้ามปีแล้วก็ยังไม่สามารถผ่านปากใบพืชได้ เพราะเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ หากต้องการให้โปรตีนนี้ผ่านปากใบได้ต้องเข้าสู่ขั้นตอน "เปลี่ยนโปรตีน เป็นอะมิโน โปรตีน หรือทำให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว" เสียก่อน .... แม้แต่การให้ทางดิน โปรตีนที่ได้จากปลายังเป็นโปรตีนธรรมดาๆ พืชดูดซึมไปใช้ทันทีไม่ได้ ต้องให้จุลินทรีย์ ENZIME ให้เสียก่อน ซึ่งเท่ากับเสียเวลา แนวทางแก้ปัญหาคือ เปลี่ยนโปรตีนธรรมดาๆ ให้เป็นอะมิโน โปรตีน แล้วจึงให้แก่พืช ซึ่งพืชรับได้ทันทีทั้งทางใบและทางราก

- นอกจาก กุ้ง/หอย/ปู/ปลา ทะเลแล้ว ยังมี เลือด/ไขกระดูก/นม/น้ำมะพร้าว/ขี้ค้างคาว เป็นส่วนผสมสำคัญที่หมักแยกอีกต่างหาก ฉะนี้แล้วปริมาณสารอาหารก็ยังไม่มากพอสำหรับพืชที่จะเจริญพัฒนาไปสู่ระดับเกรด เอ.ได้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มปุ๋ยเคมีร่วมเข้าไปด้วย นี่คือที่มาของคำว่า "อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสม" นั่นเอง....

- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 1 ล.(สมุติ) มี “น้ำ + สารอาหาร” อะไร มาก/น้อย ได้จากกรรมวิธีในการทำ หากทำให้ปริมาณน้ำลดลงแต่ปริมาณสารอาหารยังคงอยู่ นั่นคือ มีสารอาหาร “มากขึ้น” นั่นเองทำ

ปล.
ปุ๋ยเคมี คือ สารอาหาร.... สารเคมี คือ สารพิษ
อย่ากังวลกับชื่อ "ระเบิดเถิดเทิง" เพราะนั่นเป็นเพียง BRAND ธรรมดาๆ ที่ใช้ในการสื่อสารกันเท่านั้น

ใครทำ ใครจะตั้งชื่ออย่างไรก็ได้ ถ้าเนื้อในเหมือนกันใช้ชื่อเดียวกันยังได้ หรือจะชื่ออะไรไม่สำคัญ ของให้คุยกันแล้วรู้เรื่อง ก็แล้วกัน

ต้นไม้ต้นพืช ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่ฟังโฆษณา ไม่รู้จักกระทั่งเจ้าของที่เป็นคนทำ คนต่างหาก คิดเอง ถามเอง ตอบเอง ทั้งน้านนนนน

160. ส้มเขียวหวาน :
ส้มเขียวหวานบางมด ปลูกที่ จ.น่าน หรือ จ.แพร่ (ไม่แน่ใจ....ไม่ใช่ประเด็น) ปัจจุบันอายุต้นกว่า 40 ปี นอกจากยังไม่ตายแล้วยังให้ผลผลิตดีเหมือนเดิมเมื่อครั้งต้นยังสาว .... ส้มฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอายุต้นเกิน 100 ปี นอกจากยังไม่ตายแล้วยังให้ผลผลิตดีเหมือนเดิมเมื่อครั้งต้นยังสาว .... แล้วทำไม ต้นส้มย่าน รังสิต ธัญญะ หนองเสือ วิหารแดง ฯลฯ จึงมีอายุเพียง 4-8 ปี เท่านั้น หลังจากปลูกรุ่นแรกลงไปแล้ว เมื่ออายุต้นขึ้นที่ 4 ชาวสวนจะเริ่มปลูกส้มรุ่นน้องแซมแทรกระหว่างต้นรุ่นแรก นัยว่าเพื่อจะได้มีต้นส้มให้ผลผลิตต่อจากรุ่นพี่ แล้วก็ทำเช่นนี้เรื่อยๆ มา

เกษตรกรดีเด่นระดับชาติ เจ้าของฉายาระบบน้ำหยด แห่ง จ.ชุมพร ปลูกส้มโชกุน บอกว่า “สู้โรคไม่ไหว” โค่นทิ้งทั้งสวนแล้วลงลำไยแทน ก็ให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ไม่รู้จักโรคส้ม แล้วรู้จักโรคลำไยหรือ.....ส้มโชกุน.ก็คือพืชตระกูลส้ม เช่นเดียวกันกับ ส้มเขียวหวาน. ส้มโอ. มะกรูด. มะนาว. พวกนี้โรคเดียวกัน

ส้มเขียวหวานย่าน รังสิต. ธัญญะ. หนองเสือ. วิหารแดง. ฯลฯ มีต้นทุนค่า “ปุ๋ยและสารเคมี” ตกราว 100,000 บาท/ไร่/รุ่น บนเนื้อที่ย่านนี้กับย่านใกล้เคียงรวมกันกว่า 100,000 ไร่ เมื่อคิดรวม 100,000 x 100,000 = ? .... ถามว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปอยู่ในมือใคร ? ....ถ้าไม่จ่าย คือ อยู่ในมือชาวสวนไหม ?

เมื่อวันที่สวนส้มบางมดล่มสลายนั้น วิเคราะห์สาเหตุลึกๆ แล้วพบว่าเกิดจาก สารเคมี (ยาฆ่าหญ้า และสารเคมีกำจัดโรคและแมลง) และปุ๋ยเคมี. เป็นหลัก.... สวนล่มไปหลายปี วันหนึ่งเกิดอัศวินม้าขาว (กุนซือ แปะแบ๊) เข้ามากู้สถานการณ์ ส่งเสริมให้ปลูกส้มเขียวหวานบางมดอีกครั้ง คราวนี้ระมัดระวังในเรื่องของสารเคมีอย่างมาก แต่ก็ไปไม่รอดเพราะ “น้ำทะเล” เปลี่ยนแปลง (ส้มเขียวหวานบางมดชอบน้ำแบบ ลักจืดลักเค็ม) เปลี่ยนจากน้ำทะเลสะอาดเป็นน้ำทะเลเสีย เนื่องจากสภาพแวดล้อม แต่ก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้างไม่กี่สวนที่ยังยืนหยัดสู้น้ำทะเลเสียได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอึดไปได้สักกี่น้ำ

เมื่อครั้งชาวสวนส้มย่าน รังสิต ธัญญะ หนองเสือ วิหารแดง ฯลฯ ประท้วงโรงฟ้าฟ้าวังน้อย อยุธยา กล่าวหาว่าโรงไฟฟ้าเป็นต้นเหตุปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้า ออกมาทำให้ต้นส้มตาย เรียกร้องค่าเสียหายไร่ละ 20,000 บาท โดยมีน้องสาว สส.ใหญ่ แห่ง จ.ปทุมธานี เป็นแกนนำ ออกเรี่ยไรชาวสาวนส้มที่ได้รับความเสียหายให้ลงขันไร่ละ 50 บาท ถ้าใครไม่ลงขัน เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือก็จะไม่ได้รับเงินนั้น เบื้อหลังจริงๆ น้องสาว สส.ใหญ่ คนนี้มีสวนส้มเขียวหวานอยู่ที่ อ.วิหารแดง 3,000 ไร่

โรงไฟฟ้าวังน้อยในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ต้องร้องขอนักวิชาการจาก กรมวิชาการเกษตร. และกรมส่งเสริมการเกษตร. มาให้คำตอบถึงสาเหตุที่แท้จริง นักวิชาการจากทั้ง 2 กรม ไม่สามารถยืนยันถึงผลเสียจากโรงไฟฟ้าโดยตรงได้ เพราะไม่เคยมีงานวิจัยเรื่องนี้มาก่อน ทั้งงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ คำยืนยันจากปากนักวิชาการจึงออกมาแบบ อ้อมแอ้ม ๆ ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่ค่อนข้างจะเข้าข้างชาวสวนส้ม ซึ่งก็สร้างความพอใจให้แก่ชาวสวนส้มระดับหนึ่งถึงช่องทางที่จะมีโอกาสได้รับค่าชดชยความเสียหายไร่ละ 20,000 สุดท้ายจริงๆ ก็คือไม่มีข้อสรุป

โรงไฟฟ้าไม่อาจจ่ายค่าชดเชยความเสียหายทันทีโดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันได้ จึงร้องขอนักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. มาชี้ถึงสาเหตุที่แท้จริง คราวนี้นักวิชาการจาก 3 สถาบันหลักดังกล่าว ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันถึงสาเหตุต้นส้มยืนต้นตายเพราะ

1. ดินเป็นกรดจัด เนื่องจากชั้นดินตามธรรมชาติด้านล่างเป็นกรดจัด (กำมะถัน) การขุดร่องน้ำจึงเท่ากับเป็นการเจาะตาดินให้กำมะถันขึ้นมาได้

2. สภาพโครงสร้างดินชั้นบนเสียอย่างรุนแรง สาเหตุมาจาก น้ำในร่องแปลงปลูก. สะสมสารพิษจากยาฆ่าหญ้า. และสารเคมีกำจัดโรคและแมลง. อย่างต่อเนื่องยาวนานหลาย 10 ปี

3. ต้นขาดสารอาหารที่จำเป็น (แม็กเนเซียม. สังกะสี.) กับ ธาตุรอง/ธาตุเสริม และฮอร์โมน. อย่างรุนแรง ต่อเนื่องมานานหลาย 10 ปี ผลจากการวิเคราะห์ดินแล้วพบว่า ในดินมีฟอสฟอรัส. และโปแตสเซียม. ตกค้างสะสมอยู่ในปริมาณมากจนเป็นอันตรายแก่ต้นส้ม

4. ภายในต้นสะสมสารเคมีกลุ่ม “ค็อปเปอร์ ออกซี่ คลอไรด์” ที่ชาวสวนใช้กำจัดโรคแคงเคอร์.จำนวนมาก สารกลุ่มนี้เมื่อสะสมภายในต้นมากๆ จะยับยั้งขัดขวางระบบลำเลียงสารอาหารจากรากไปสู่ส่วนต่างๆของต้น ทำให้ต้นไม่ได้รับสารอาหารจึงตาย

5. น้ำในร่องสวนเป็นกรดจัด สาเหตุมาจากกำมะถันใต้ดินซึมขึ้นมา กับส่วนหนึ่งเกิดจากละอองสารเคมีฆ่าแมลงปลิวลงไป แล้วชาวสวนก็นำน้ำนั้นขึ้นมารดให้แก่ต้นส้ม

6. ต้นส้มส่วนใหญ่เป็นโรครากเน่าโคนเน่า (ไฟธอปเธอร่า) หรือ “รากถอดปลอก” สาเหตุมาจากดินเป็นกรดจัด

7. ต้นส้มส่วนใหญ่ปลายรากด้วนและเน่า สาเหตุเพราะเมื่อรากเจริญยาวไปถึงน้ำในร่องแล้วจะหยุดการเจริญยาว กลายเป็นรากด้วนไม่สามารถดูดซับสารอาหารได้

เมื่อแนะนำถึงสาเหตุพร้อมคำอธิบายอบย่างละเอียด มีหลักวิชาการรองบรับแล้ว ก็ได้แนะนำวิธีแก้ไข คือ
1. เปลี่ยนวิธีการให้ปุ๋ยโดย ลดธาตุหลัก แล้วเพิ่มธาตุรอง ธาตุเสริม และฮอร์โมน
2. ยกเลิกระบบน้ำหล่อในร่อง โดยนำน้ำออกให้หมด หรือลดระดับผิวน้ำให้ต่ำกว่าสันแปแลง 1-1.20 ม.
3. เลิกใช้ยาฆ่าหญ้า แล้วใช้วิธีตัดแทน
4. เลิกใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลงโดยเฉพาะ ค็อปเปอร์ ออกซี่ คลอไรด์. อย่างเด็ดขาด แล้วหันมาใช้วิธีป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชแบบ ไอพีเอ็ม. หรือสารสมุนไพร.แทน

จากคำแนะนำแบบมีเหตุมีผล ทั้งจากภาพลักษณ์ของนักวิชาการที่ไม่มีผลประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เคมีเพี่อการเกษตรเข้ามาเกี่ยวข้องนี้ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวสวนส้มเป็นอันมาก ถึงขนาดโห่ฮาขับไล่ แล้วไม่ยอมรับคำแนะนำแบบนี้อีกต่อไปอย่างเด็ดขาด

วันเวลาผ่านไปนานนับปี การชุมนุมเรียกร้องจากชาวสวนยังดำเนินไปหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะมีการเชิญนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร. และกรมส่งเสริเมการเกษตร. หน่วยเดิม แต่เปลี่ยนหน้าคนใหม่เท่านั้น ซึ่งคำแนะนำจากหน่วยงานทั้งสองก็ยังอ้อมแอ้มๆ ไม่เต็มปากเต็มคำ เข้าข้างชาวสวนเหมือเดิม

สุดท้ายของเกมส์นี้ :
1. โรงฟ้าฟ้าสนับสนุนให้ชาวสวนที่มีสวนอยู่ติดโรงไฟฟ้าให้ทำสวนส้มบางมด โดยมีนักวิชาการจาก พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร. จุฬาลงกรณ์. และธรรมศาสตร์. เป็นผู้ให้คำแนะนำ ด้วยระยะเวลาผ่านไปเพียง 1-2 ปี ส้มเขียวหวานบางมดสวนนี้เจริญเติบโตให้ผลผลิตดี ถึงวันนี้ที่เวลาผ่านไป 5-6 ปีแล้วก็ยังยืนต้นสมบูรณ์แข็งแรง ให้ผลผลิตดีทั้งคุณภาพและปริมาณ ทั้งๆที่อยู่ติดรั้วโรงไฟฟ้า

2. กลุ่มชาวสวนส้มที่เคยเรียกร้องความเสียหาย ได้อพยบไปหาเช่าที่ดินย่าน กำแพงเพชร. ขอนแก่น. ลพบุรี. ถึง ฝาง เชียงใหม่ รายละ 100-500-1,000 ไร่ แล้วทำสวนส้มเขียวหวานตามแบบเดิม (ยกร่องน้ำหล่อ. สารเคมี-ปุ๋ยเคมี) ทุกอย่าง สูตรเดิมวิธีเดิม ...... สวนส้มแหล่งใหม่บางรายอยู่ได้เพียง 2 ปี ส้มยืนต้นตายทั้งแปลง บางแปลงอยู่ 4 ปียังไม่ให้ผลผลิต หรือให้ผลผลิตไม่คุ้มทุน ...... ถึงวันนี้จริงๆ เหลือน้อยรายมากที่ยังคงทนทำต่อไป แต่ส่วนใหญ่กลับมา รังสิต. ธัญญะ. หนองเสือ. วิหารแดง. ฯลฯ กลับมาแล้วเห็นคนที่ไม่ได้อพยบไปต่างประสบความสำเร็จจากการปรับทัศนคติแนวคิดเรื่องทำการเกษตรใหม่บนแผ่นดินผืนเดิม เห็นแล้วอดกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้

161. ลำไยนอกฤดู :
จาก : (087) 930-48xx
ข้อความ : ผู้พันครับ ลำไยอยู่ลำพูน ตัวอยู่ กทม. ทำลำไยมาแล้ว 4 ปี ฟังผู้พันแล้วคิด เริ่มรู้ว่า ถ้าขืนทำตามแบบข้างบ้านต้องแย่กว่าบ้านข้างแน่ๆ เพราะลำไยข้างบ้านมีหนี้ค่าปุ๋ยค่ายาเคมี ซื้อเชื่อมาจากร้านเถ้าแก่เส็งกันทั้งนั้น ลำไยเราไม่ได้ซื้อเชื่อ ทุกอย่างซื้อสด ถึงไม่มีหนี้แต่ก็ได้กำไรน้อย เมื่อเทียบกับกำไรที่ควรจะได้ ปีหน้าจะเปลี่ยนใจมาทำแนวผู้พัน ต้องขอคำชี้แนะตั้งแต่เริ่มต้นเลย .... ลำไยมือใหม่ ขอบคุณครับ
ตอบ :
- ถือหลัก ปลูกลำไย “รู้ลำไย ให้กระจ่าง แต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยว ชาญเถิด จะเกิดผล” ... ปลูกลำไย รู้นิสัยลำไย พูดภาษาลำไย .... ปลูกลำไย ตามใจลำไยไม่ใช่ตามใจคน

- ความล้มเหลว เกิดจากความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทั้งๆที่ล้มเหลวก็ยังทำ ของตัวเองล้มเหลว ของข้างบ้านก็ล้มเหลว ยังไม่รู้ .... แปลก

บำรุงเพื่อ “สะสมความบูรณ์” :
ทางใบ :

- ตัดแต่งกิ่ง เรียกใบอ่อน ฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา เพื่อเตรียมเข้าสู่การผลิตรุ่นหน้า .... ให้ไบโออิ (Mg Zn TE) + ยูเรีย จี เกรด 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 10-15 วัน

ทางราก :
- ให้ปุ๋ยอินทรีย์ , กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่, ให้ 25-7-7 (1 กก.ต้นเล็ก, 2 กก.ต้นกลาง, 3 กก.ต้นใหญ่) /ต้น/เดือน, ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (1 ล.)/20 ต้น/2-3 เดือน, คลุมโคนต้นด้วยหญ้าแห้ง ใบไม้แห้งหนาๆ ทั่วพื้นที่ทรงพุ่ม

- ให้น้ำสม่ำเสมอ
* หมายเหตุ :
- ตรวจสอบ “ความสมบูรณ์สะสม” ต้นทุนในต้น ด้วยการสังเกตุใบอ่อนที่แตกใหม่ .... ถ้า ต้นแตกใบอ่อนพร้อมกันทั้งต้น ใบใหญ่ ใบมาก ใบหนา สีเขียวเข้ม เส้นใบชัดเจน หูใบอ้วน แสดงว่าต้นทุนความสบูรณ์ต้นดี .... ถ้า ต้นแตกใบอ่อนไม่พร้อมกันทั้งต้น ใบน้อย ใบเล็ก ใบบาง สีเขียวอ่อน เส้นใบบาง หูใบเล็ก แสดงว่าต้นทุนความสมบูรณ์ต้นมีน้อย

- ทั้งต้นที่สมบูรณ์ดี และไม่สมบูรณ์นัก ให้บำรุงทางใบด้วย ไบโออิ (Mg Zn TE) 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 15-20 วัน เป็นการบำรุงให้ต้นได้สะสมสารอาหารกลุ่มสร้างดอกไว้ ซึ่งจะส่งผลให้การออกดอกดี ดอกสมบูรณ์ ผสมติดเป็นผลได้มาก แล้วเป็นพื้นฐานต่อการบำรุงตามระยะบำรุงต่อไปอีกด้วย

ประสบการณ์ตรง :
- ลำไยพ่อเลี้ยง สุรชัย กิตติกรวัฒนา ที่บ้านหนองสมณะ ป่าซาง ลำพูน ติดสปริงเกอร์เหนือยอดและโคนต้น แล้วบำรุงเฟื้นฟูสภาพต้นเรียความสบูรณ์กลับคืนมาตามสูตรที่กล่าว จากนั้นบำรุงตามระยะอย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางใบทางราก .... ช่วงเดือน ก.ค. - ส.ค. มีฝนตกชุก ต้องป้องกันลำไยแตกใบอ่อนด้วยสูตร “กดใบอ่อนสู้ฝน .... น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 50 กรัม” ทุกครั้งหลังฝนหยุดใบแห้ง แม้จะต้องให้แบบวันต่อวันก็ต้องให้ ให้จนถึงขนาดปลายใบไหม้ทั้งต้น งานนี้กดใบอ่อนสำเร็จ ลำไยทั้งต้นมีอาการ “อั้นตาดอก” ชัดเจนมาก แล้วลำไยสวนนี้ก็ออกก่อนฤดูได้ ทั้งๆที่ไม่ได้ราดสารบังคับ .... สวนนี้ใช้เทคนิคฉีดปุ๋ยทางรากแบบ “แทงลงดิน” โดยตรง แทงลึก 20-30 ซม. ทุกระยะ 2 ม. เป็นวง 2 วงรอบทรงพุ่ม ทำให้ออกนอกฤดูเก็บเกี่ยวได้ก่อนลำไยปี 1 เดือน ผลผลิตเกรด 40/ลูก/กก. ปริมาณ 70-80%

- ลำไย (จำชื่อเจ้าของสวนไม่ได้) ที่ บ้านธิ ลำพูน ตัดแต่งกิ่งแล้ววางโคนต้น เสริมด้วยหญ้าแห้ง อินทรีย์วัตถุ ความหนาประมาณระดับเอว ประมาณ 2 เดือน ใบแห้งหญ้าแห้งย่อยสลายเหลือความหนาไม่ถึงระดับหัวเข่า สภาพต้นสมบูรณ์มาก .... จากการบำรุงตามขั้นตอนสม่ำเสมอ ทำให้ได้ผลผลิตเกรด 40 ลูก/กก. ปริมาณ 70-80%

หมายเหตุ : ทั้ง 2 กรณีศึกษาลำไยที่ลำพูน พอสรุปได้ว่า
- ความสมบูรณ์สะสมของต้นรุ่นที่แล้ว มีผลต่อการบำรุงรุ่นนี้
- มีอินทรีย์วัตถุในดินมากๆ
- ให้ปุ๋ยทางรากมาก ตามอายุต้นที่มากขึ้น[/color]

ขั้นตอน / วิธีทำ ลำไยในฤดูให้ออกดอกติดต่อกันทุกปี :
ขั้นตอนในการเตรียมต้น :

1. หลังการเก็บเกี่ยวต้องตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง คือ แต่งกิ่งประมาณ 60% ของทรงพุ่ม
2. ใส่ปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 10 กก.
3. ประมาณ พ.ย. ลำไยจะแตกใบใหม่ชุดแรก แล้วบำรุงต่อให้แตกใบอ่อนอย่างน้อย 3 ครั้ง 4. ให้มีการป้องกันศัตรูพืชเข้ามาทำใบอย่างสม่ำเสมอ

ขั้นตอน/วิธีการกระตุ้น ให้ลำไยออกดอก :
ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน (10-20 พย.) ฉีดพ่นด้วย “น้ำตาลกลูโคส (น้ำตาลทางด่วน) 1 กก. + ปุ๋ยสูตร 0-52-34 (1 กก.) + ปุ๋ยสูตร 0-0-52 (1 กก.) + น้ำ 200 ลิตร” ฉีดพ่น 2-3 ครั้งห่างกันทุก 7 วัน เพื่อเร่งให้ต้นลำไยสะสมอาหารและสร้างตาดอก ที่ต้องผสมปุ๋ยสูตร 0-0-52 เพื่อป้องกันไม่ให้ลำไยแตกใบใหม่ .... กลางเดือนธันวาคม (ประมาณวันที่ 10-20 ธ.ค.) ฉีดพ่นด้วยสาร “โปรแตส เซียม คลอเรท 4 ขีด + 0-52-34 (1 กก.) ต่อน้ำ 200 ลิตร” ฉีดพ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน จะสังเกตว่าพอพ่นครั้งที่ 2 ใบลำไยจะร่วงประมาณ 30% และจะร่วงติดต่อกันประมาณ 1 อาทิตย์ และประมาณต้นเดือนมกราคมก็จะเห็นลำไยแทงช่อดอกออกมา ซึ่งเราก็บำรุงต้นลำไยตามปกติต่อไป

จะเห็นว่าเทคนิควิธีการที่ทำให้ลำไยออกดอกในฤดูติดต่อกันทุกปี โดยฉีดพ่นสารบังคับทางใบ เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยเสริมธรรมชาติเพื่อกระตุ้นให้ลำไยออกดอก วิธีการนี้ไม่ทำไม่ทำให้ต้นโทรม ทำได้ติดต่อกันทุกปี เพราะระบบรากไม่ถูกทำลาย ต้นทุนในการทำต่ำแต่ให้ผลคุ้มค่า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากนายถาวร ธรรมตา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน โทร. (082) 183-2094

ผู้จัดทำ : นายถาวร ธรรมตา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ชำนาญการ สนง.เกษตรอำเภอแม่ทา ลำพูน

162. เยือน RKK :
งานนี้เริ่มเมื่อสมาชิกระดับผู้นำสหกรณ์ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ทัศนศึกษา RKK

คำพังเพยโบราณบอกว่า "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง คนตรงเมืองเพชร คนใจเด็ดลพบุรี คนดีศรีอยุธยา ...."

ตอนที่ลุงคิมเป็นร้อยเอก ทำราชการพิเศษอยู่ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพบก (ศปก.ทบ.309) หน้าที่รวบรวมรายงานจากทุกเหล่า บก-เรือ-อากาศ-ตำรวจ .... ที่น่าสนใจคือ สรุปรายงานข่าวอาชญากรรมจากฝ่ายตำรวจ บอกว่า จังหวัดที่ฆ่ากันตายมากที่สุด คือ นครศรีธรรมราช เฉลี่ยวันละ 2 ราย กับคนไต้ด้วยกันบอกว่า คนดุที่สุด คือ พัทลุง แล้วเพชรบุรีได้ฉายา "มือปืนเมืองเพชร" มาจากไหน ก็มาจากหนังสือพิมพ์ไงล่ะ

เมืองเพชร ประทับใจ 1 .... ผู้หญิง กลางสาวกลางแก่ ทำสวนมะนาว 10 ไร่ อยู่เชิงเขาที่แก่งกระจาน ต้นมะนาวอายุ 12 ปี สูง 5 ม. ทรงพุ่มกว้าง 6 ม. ใช้ปุ๋ยของที่นี่ทุกสูตร 3 ปีติดต่อกัน จนต้นสะสมความสมบูรณ์เต็มที่ ปีนั้นออกหน้าแล้ง เก็บได้ต้นละ 1,000 (+) ลูก เอาไปส่งตลาดหนองบ้วย ราคาลูกละ 6 บาท .... เพราะสวนที่ลาดเชิงเขา การควบคุมน้ำหน้าฝนสำหรับทำนอกฤดูจึงง่าย

[ เมืองเพชร ประทับใจ 2 . หนุ่มวัลลภ ทำสวนมะนาว 2 ไร่ อยู่บ้านลาด-ท่ายาง ติดสปริงเกอร์กะเหรี่ยงลอยฟ้า ต้นทุนไร่ละ 450 ใช้น้ำบาดาล สูบน้ำขึ้นมาแล้วส่งไปต้นมะนาวเลย ไม่ต้องผ่านบ่อพักใช้ปุ๋ยลุงคิมทุกสูตร 3 ปีมะนาวออกลูกไม่เลิก ร้อนหนาวฝนออกตะพึด

ลุงคิมไปเห็น บอก "ไอ้ลภ ปีนี้ถ้าไม่หยุดเอาลูกซักปี ให้เขาพักต้น มะนาวมึงตาย..." เจ้าของหัวเราะ ตอบหน้าตาเฉย "ตายก็ปลูกใหม่ครับ ปีนี้หน้าสวน 6 บาท ไปส่งหนองบ้วย 12 บาทครับ...จากนั้น 2ปี 3ปี มะนาวสวนนั้นก็ยังอยู่....ไอ้ลภฯ ได้แต่งงานกับสวยสวยหมวยอึ๋ม แม่ค้าเขียงหมูในตลาดหนองบ้วย สบายไป 8 ชาติ

เมืองเพชร ประทับใจ 3 สายตรง สมช. บ้านลาด ท่ายาง เพชรบุรี บอก ใช้ปุ๋ยเราทุกสูตร ซื้อกับขาตรีฯ กล้วยหอมลูกใหญ่เกิน ส่งสหกรณ์ไปญี่ปุ่นไม่ได้ เลยส่งห้างแทน ปรากฏว่าได้ราคาสูงกว่าส่งสหกรณ์ เล่นเอา สมช.สหกรณ์ หลายคนเปลี่ยนเข็ม เลิกทำส่งญี่ปุ่นแล้วมาทำส่งห้างแทน เดือดร้อนสหกรณ์ต้องขอร้อง เพราะไม่มีกล้วยหอมส่งตามสัญญา .... ลงท้าย ไม่รู้เหมือนกันว่า สหกรณ์แก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ ยังไง

เมืองเพชร ประทับใจ 4 .... ยัยพรม-ตาน้อย สองผัวเมีย อาชีพรับจ้างลูกสาวเลี้ยงหมาในบ้าน 1 ตัว ลูกสาวคนเดียวจบปริญญาโท ทำงานราชการ รักพ่อรักแม่มาก ไม่อยากให้ลำบาก ยกเงินเดือนให้แม่หมดเลย ยัยพรมฯ ใช้เชือกปอพลาสติกทำค้างถั่วฝักยาว ต้นทุนไร่ละ 35 บาท แถวนั้นใช้ไม้รวก ตะคัดตะข่ายทำค้าง ตกไร่ละ 3,500 พอมาเห็นค้างยัยพรมฯ ก็ว่า "ยัยพรมฯ บ้า...." ยัยพรมฯ โมโห ถกเขมรกางเกงสามส่วน ร้องตะโกนตอบ "เออออ คนบ้าไม่มีหนี้ คนดีหนี้เต็มบ้าน...."

สมช. : เพื่อนกัน ไปรบเกาหลีรุ่นเดียวกัน คุยกัน มึง-กู มากับเมีย ทำสวนมะนาว สอนใจหม้อปุ๋ยเวนจูรี่ เห็นแล้่วยืนข้อเสนอ 1) ขอซื้อ คิดราคาเท่าไร ? 2) ขอฟรี ให้ไหม ? คำตอบคือ "ไม่" ทั้ง 2 ข้อ แต่ให้ทำเอง จะเอากี่อันก็ว่าไป ทำเสร็จเอาไปเลย

สมช. : จนท.เกษตร เมืองกาญจน์ ด่านมะขามเตี้ย ท่านนึงมาที่นี่ ทำเองกับมือ ทำยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เอากลับไปทำต่อที่บ้าน ทำจนเสร็จเรียบร้อยไหม ? ทำแล้วใช้งานไหม ? ไม่รู้ ! ....
จนท.เกษตร ด่านช้าง สุพรรณบุรี อีกท่านนึงมาที่นี่ ทำเองกับมือจนเสร็จเรียบร้อย เอากลับไปแล้วใช้งานหรือ ?

สมช. : ก่อนทำหม้อปุ๋ยอันนี้ ลุงคิมเคยไปดูงานที่ไหน ? คำตอบคือ ถามย้อน ที่ไหนมีให้ดูบ้าง ลุงคิมคิดเองทำเองไม่ได้เหรอ ?

สมช. : อ.วิชัยฯ แห่ง สจล. พา นศ.ไปดูงานมาแล้วทั่วประเทศ ไปเห็นระบบสปริงเกอร์มาแล้วทั่วประเทศ บอกว่าระบบสปริงเกอร์ RKK ราคาต้นทุนต่ำที่สุด ประสิทธิภาพใช้งานสูงสุด ประโยชน์ที่ได้รับสูงสุด

สมช. : สปริงเกอร์ที่นี่เป็นแบบ "กะเรี่ยง" คือ ยาวตัด-สั้นต่อ/ไม่พอซื้อ-ไม่ดีรื้อทำใม่ ชิ้นส่วนที่ไม่มีทิ้ง เอามา REUSE ใช้ใหม่ได้ทุกชิ้น .... บางคนมาที่รู้วิธี REUSE อย่างเดียว บอกว่าคุ้ม เพราะที่บ้านมีชิ้นส่วนตักดทิ้งเป็นเข่ง

แปลงเกษตรที่นี่แบ่งเป็นโซนๆ เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังพ่นน้ำสปริงกอร์ กับเพื่อการเลือกสูตรปุ๋ยสำหรับไม้ผลในแต่ละโซน ตามระยะพัฒนาการของพืช เช่น แปลงนี้ต้องการบำรุงเร่งการเจริญเติบโตก็ให้ไบโออิ แปลงนี้ต้องการบำรุงสะสมตาดอกก็ให้ 0-42-56 แปลงนี้ต้องการบำรุงผลขนายขนาดก็ให้ยูเรก้า นั่นแหละ

สรุป : เพราะพืชแต่ละชนิด แต่ละระยะการเจิญเติบโต ไม่เหมือนกันจึงต้องให้ปุ๋ยหรือฮอร์โมนตามพืชนั้นๆ

163. มะม่วง มะม่วง และมะม่วง :
จาก : (090) 481-55xx
ข้อความ : มะม่วงรุ่นหลังขนาดปลายนิ้วก้อย รุ่นแรกขนาดไข่เป็ด บำรุงอย่างไรครับ .... ขอบคุณครับ
จาก : (089) 153-06xx
ข้อความ : มะม่วงแม่ลูกดก สวนลุงช้าง ออกลูกไม่เลิก ในต้นเดียวมีลูกหลายรุ่น บำรุงอย่างไร.... ขอบคุณครับ
จาก : (067) 942-59xx
ข้อความ : มะม่วงรุ่นแรกขนาดไข่ มีลูกเล็กออกตามมาอีก 2 รุ่น ใช้ปุ๋ยลุงคิมสูตรไหนครับ .... ขอบคุณครับ
จาก : (089) 167-32xx
ข้อความ : มะม่วงแฟนซี ต้นตอน้ำดอกไม้ อายุ 4 ปี เปลี่ยนยอดเป็น มันศาลายา มันขุนศรี อาร์ทูอีทู แก้วลืมคอน เขียวเสวยรจนา หนองแซง ขาวนิยม ทุกพันธุ์มาจากไร่กล้อมแกล้ม ตอนนี้อายุ 2-3 ปี ออกลูกทุกพันธุ์ เริ่มบำรุงตามสูตรลุงคิม .... ขอบคุณ ขอบคุณทุกอย่างที่ให้ครับ

จาก : (091) 167-62xx
ข้อความ : มะม่วงพวงเดียวกัน มีลูกเล็กลูกใหญ่ บำรุงอย่างไร ....
ตอบ :
มีผลหลายรุ่น ในต้นเดียวกัน .... บำรุง :
ทางใบ : ไบโออิ + ยูเรก้า 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน หาโอกาสหรือจังหวะ + สารสมุนไพรร่วมไปด้วย

ทางราก : ใส่ 21-7-14 (ต้นเล็ก ½ กก. ต้นใหญ่ 1 กก.) /ต้น /เดือน หว่านบริเวณปลายราก

หมายเหตุ :
คนถามใหม่ คำถามเก่า คำตอบเดิม .....
ศ.ดร.สัมฤทธิ์ เฟื่องจันทร์ แห่ง ม.ขอนแก่น ได้ทำการวิจัยการตอบสนองของมะม่วงต่อการใส่ปุ๋ยทางรากด้วยวิธีการต่างๆ แบ่งมะม่วงในแปลงเป็น 3 โซน เป้าประสงค์ต้องการให้มะม่วงได้รับปุ๋ยทางราก ต้นละ 3 กก./3 เดือน โดยแบ่งการให้ ดังนี้

โซนที่ 1 ใส่ต้นละ .5 กก. /15 วัน เท่ากับใส่ 6 ครั้ง ในรอบ 3 เดือน
โซนที่ 2 ใส่ต้นละ 1 กก./เดือน เท่ากับใส่ 3 ครั้ง ในรอบ 3 เดือน
โซนที่ 3 ใส่ต้นละ 3 กก./เดือน เท่ากับใส่ 1 ครั้ง ในรอบ 3 เดือน
ผลการวิจัยพบว่า....
โซนที่ 1 แสดงอาการเจริญเติบโตชัดเจนที่สุด และดีที่สุด
โซนที่ 2 แสดงอาการเจริญเติบโตน้อยกว่าโซนที่ 1 และดีกว่าโซนที่ 3
โซนที่ 3 แสดงอาการเจริญเติบโตน้อยที่สุด
สรุป :
การให้ปุ๋ยแบบ "ให้น้อย บ่อยครั้ง ตรงเวลา" ดีที่สุด

หมายเหตุ :
- เทคนิค เทคโนฯ เกี่ยวกับปุ๋ย .............................. ?
- ปุ๋ยทางราก VS ปุ๋ยทางใบ ................................ ?
- เครื่องทุ่นแรง ............................................. ?
- ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่อง เกี่ยวพัน เกี่ยวก้อย ..... ?

หลักการและเหตุผล :
- อย่ากังวลกับตัวเลขนัก เพราะในความ "ได้ผล/ไม่ได้ผล" ของปุ๋ยเคมี มิใช่เกิดจากปุ๋ยเคมีเพียงลำพังเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นทั้งปัจจัยเสริม/ปัจจัยต้าน ประกอบอีกหลายรายการ อาทิ อินทรีย์วัตถุ, จุลินทรีย์, ค่ากรด-ด่าง, ค่า อีซี, ความชื้น, อุณหภูมิ, ฯลฯ บางครั้ง

ใส่ปุ๋ยมากแต่ในดินมีปัจจัยต้าน ประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่ก็ไม่เกิด (เกษตรกรเรียกว่า ดินไม่กินปุ๋ย) ในทางตรงกันข้าม ใส่ปุ๋ยน้อย แต่ในดินอุดมไปด้วยปัจจัยเสริม ประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่ย่อมเกิดได้เต็มร้อย

- นอกจากสูตรปุ๋ยแล้ว วิธีการใส่, เวลาที่ใส่, ช่วงพัฒนาการของต้น, ประวัติต้น, ประวัติดิน และอื่นๆ ทั้งทางเคมีและทางกายภาพล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการที่ต้นมะม่วงสามารถนำปุ๋ยไปได้ทั้งสิ้น

คิดนอกกรอบ แผลงๆแต่สร้างสรรค์ :
"น้ำ 100 ล.+ น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 250 ซีซี.+ 8-24-24 (10 กก.)" ฉีดด้วยสายยาง ลงบริเวณทรงพุ่ม เป็นจุดๆ แต่ละจุดห่างกัน 1 ม. ทำเป็นวงรอบทรงพุ่ม 1 จุดให้ได้ปุ๋ย 1/2-1 ล. ....

แบบนี้ ต้นอายุ 3 ปี ที่ขนาดทรงพุ่มเล็กกว่า จะได้ น้อยจุดกว่า ขณะที่ต้นอายุ 10 ปี ที่ขนาดทรงพุ่มใหญ่กว่าก็จะได้มากจุดกว่า....

สรุปก็คือ ต้นขนาดทรงพุ่มเล็กกว่าย่อมได้ปุ๋ยน้อยกว่าต้นที่ขนาดทรงพุ่มใหญ่กว่า ลงท้าย ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ ได้รับปุ๋ยทั่วทรงพุ่มเหมือนๆกัน

ถามปุ๋ยทางราก แล้ว ปุ๋ย/ฮอร์โมน ทางใบล่ะ....อย่าลืมนะ

ข้อดีของการใช้ปุ๋ยทางใบ :
1. ช่วยให้พืชรับเข้าสู่ต้น ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
2. เพื่อชดเชยธาตุอาหารที่ขาด หรือเพิ่มเติมเพื่อเร่งการเจริญเติบโตแก่พืชได้
3. ใช้ผสมร่วมไปกับสารเคมี หรือสารสกัดสมุนไพร อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง ได้ เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน

4. ใช้กับพืชที่มีปัญหาเกี่ยวกับดิน เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินทรายจัด ดินเหนียวจัด หรือดินที่มีปัจจัยแวดล้อมต่อต้านการดูดใช้ธาตุอาหารทางระบบราก

5. พืชสามารถรับธาตุอาหารโดยทางใบได้มากกว่า และเร็วกว่าการดูดทางราก
6. ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็วหลังจากชะงัก เนื่องจากกระทบแล้ง น้ำท่วม หรือถูกโรคแมลงทำลาย
7. ปุ๋ยชนิดน้ำมีความสม่ำเสมอของเนื้อปุ๋ยแน่นอนกว่าปุ๋ยชนิดแข็งและปุ๋ยชนิดเกล็ด มีปริมาณเนื้อปุ๋ยรวม (N + P2O5 + K2O) สูงกว่าปุ๋ยเม็ด ทำให้ได้ประสิทธิภาพเหนือกว่า

8. ปุ๋ยชนิดน้ำผลิตง่าย และเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสูตรได้ง่าย จึงผลิตได้มากสูตรกว่าปุ๋ยชนิดแข็งหรือชนิดเกล็ด

วัตถุประสงค์หลักในการให้ปุ๋ยทางใบ :
1. เพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร
2. เพิ่มคุณภาพและผลผลิต
3. เพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวจากปัญหาความขาดแคลนในบั้นปลาย
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6004


ในต้นเดียวมีผลหลายรุ่น มีดอกออกซ้อน .... บำรุง :
มะม่วงออกดอกไม่พร้อมกันทั้งต้น เมื่อดอกออกมาประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งต้น ช่อที่ออกมาแล้ว ยาวประมาณ 1-10 ซม. ....

วิธีที่ 1 : ให้เปิดตาดอก ซ้ำด้วยสูตรเดิม 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน ....
วิธีที่ 2 : เปิดตาดอกซ้ำด้วย สูตรเดิม 2 รอบ แล้วซ้ำด้วย 0-42-56 อีก 1 รอบ ....
ทั้ง 2 วิธี ถ้าต้นมีความสมบูรณ์พร้อม ยอดที่ยังไม่ออกดอกก็จะมีดอกออกมาให้เห็น แต่ถ้าดอกไม่ออกก็คือไม่ออก เนื่องจากต้นมีความสมบูรณ์ไม่พร้อมจริง (เน้นย้ำ....พร้อมจริง) ต้องรอรุ่นต่อไป

กรณีที่ 1. ตัดยอดที่เป็นใบด้วยกรรไกคมๆ เหลือส่วนตอไว้ประมาณ 1 ซม. แล้วสะสมตาดอกด้วย 0-42-56 เฉพาะยอดที่ตัด 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน จากนั้นเปิดตาดอกด้วย 13-0-46 + ไธโอยูเรีย อีก 2 รอบ คอยสังเกต มะม่วงกิ่งนั้นจะออกดอกที่กลางกิ่ง หรืออาจจะออกที่ปลายยอดได้ ถ้ายังมีตุ่มตาที่ปลาย ยอดที่เหลืออยู่ ....

ถ้าให้ 13-0-46+ไธโอยูเรีย ไป 2 รอบแล้วดอกยังไม่ออกให้ซ้ำด้วย 0-42-56 อีก 1 รอบ คราวนี้ ออกคือออก ไม่ออกคือไม่ออก ขึ้นกับความสมบูรณ์สะสมของต้น

กรณีที่ 2. อายุผลรุ่นแรกใหญ่ขนาดในภาพแล้ว โอกาสที่จะเปิดตาดอกยอดที่ยังไม่ออกนั้นค่อนข้างยากหรือทำไม่ได้เลย ....

เกมส์นี้เสี่ยงเพื่อหาคำตอบ ก. ทำกับมือ. เอาสูตรไต้หวันซี่ ....
ใช้ 13-0-46 + 0-52-34 (1:3) ฉีดพ่นใส่ เฉพาะยอดที่ยังไม่ออกดอก 3-4 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน เพื่อสะสมตาดอก จากนั้นสำรวจอาการอั้นตาดอก ถ้าเห็นว่าอั้นตาดอกดีก็ให้เปิดตาดอกด้วย "13-0- 46 + ไธโอยูเรีย" 2 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน ถ้าออกคือออก ถ้าไม่ออกฉีด ซ้ำด้วย 0-42-56 อีก 1 รอบ คราวนี้ เป็นรอบตัดสิน ออกคือออก-ไม่ออกคือไม่ออก

หมายเหตุ :
- ไม้ผลอย่างมะม่วงมีเกมส์ให้เล่นเยอะนะ ลองๆศึกษาดู
- ทำมะม่วงออกกลางต้น กลางกิ่ง ก็สามารถแก้ปัญหาไม่ออกที่ปลายยอดได้
- ทุกอย่างของความสำเร็จขึ้นอยู่กับ "ความสมบูรณ์สะสม" ของต้น และความสมบูรณ์สะสมของต้นขึ้นอยู่กับ "ปัจจัยพื้นฐาน"
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6078


164. บวชพลทหาร :
พลทหารพานฯ สังกัด ร้อย บก.ปตอ.2 ภูมิลำเนาเดิม จ.ชุมพร ปีที่เข้ามารับรับราชการทหารเป็นปีที่ จ.ชุมพร โดนพายุเกย์ เสียหายทั้งจังหวัด ครอบครัวนี้มีอาชีพทำสวนมะพร้าว เมื่อมะพร้าวเสียหายทั้งสวนจึงไม่มีรายได้เลย

ลุงคิมในฐานะ ฝอ.2 (ตำแห่งนายทหารการข่าว) เห็นใจจึงขอตัวมาเป็น “ทหารประจำตัว” เพื่อให้ได้รับ “เบี้ยเลี้ยงบุคคล” คือเงินเดือนที่ไม่ได้หักค่าอาหาร (เดือนละกว่า 5,000) แล้วให้พลทหารพานฯ ส่งไปให้พ่อแม่ที่ จ.ชุมพร ในขณะที่ตัวพลทหารพานฯ ยังคงอยู่ที่กองร้อย กับรับจ้างเพื่อนที่ลากลับบ้านวันเสาร์-อาทิตย์เข้าเวรเป็นการหารายได้พิเศษ วันว่างจากงานที่กองร้อย พลทหารพานฯ ก็จะขออณุญาต ผบ.ร้อย ไปกุ๊กกิ๊กๆอยู่ที่บ้านพักลุงคิมบ่อยๆ

กระทั่งปลดประจำการ กลับบ้านเดิม 3 เดือน พลทหารพานฯ ย้อนมาหาลุงคิมที่บ้าน
พลฯ พาน : ผู้พันครับ ผมมาขอความช่วยเหลือจากผู้พันครับ
ลุงคิม : ขอความช่วยเหลือ ขออะไรเหรอ ว่ามาซิ ?

พลฯ พาน : ผมอยากบวช อยากให้ผู้พันบวชให้ครับ
ลุงคิม : บวช บวชให้ บวชพระเนี่ยนะ

พลฯ พาน : ครับ บ้านผมไม่มีเงินเลย ผมอยากบวชซักพรรษาครับ
ลุงคิม : (คิดหนัก กึ่งพอใจ) อืมมม กูไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ได้บวชคนเป็นพระซักครั้ง ถือว่าบุญโขเลยนะ งานนี้เรื่องใหญ่ พูดกับมึงคนเดียวไม่ได้หรอก พ่อกับแม่มึงต้องพูดด้วย ต้องรู้เรื่องด้วย มึงพาพ่อกับแม่มาพูดด้วย เข้าใจไหม ?

พลฯ พาน : เข้าใจครับ ผมจะพาพ่อกับแม่มาพูดกับผู้พันครับ
พลทหารพานฯ หายไป 2 อาทิตย์ คราวนี้กลับมาพร้อมหน้าพ่อหน้าแม่ การเจรจารายละเอียดเรื่องงานบวชพลทหารพานฯ วันนั้นราบรื่นทุกอย่าง เช่น

บวชที่วัดบ้านพลทหารพานฯ
พิธีบวช (เครื่องบวช แจกการ์ด งานเลี้ยง ค่าใช้จ่าย) ทุกอย่างทำตามประเพณีของพื้นบ้านนั้น โดยลุงคิมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
แจกการ์ดเชิญแขกบอกบุญแล้วได้รับเงินช่วยทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ต้องเอามาให้ลุงคิม แต่ให้พ่อกับแม่เก็บไว้ทำทุนประกอบอาชีพต่อไป

งานบวชครั้งนั้นสรุปค่าใช้จ่ายตั้งแต่ทำขวัญนาค นาคเข้าโบสถ์ ถึงพระออกจากโบสถ์ เป็นอันเสร็จพิธี รวมทั้งสิ้น “แสนหย่อน” นิดๆ พระพลทหารพานฯ อยู่จนครบพรรษา ออกพรรษาแล้วรับกฐินตามประเพณี
ลุงคิมพอใจ ปลื้มใจ ที่สุดเมื่อทิดพลทหารพรานฯ สึกแล้วมากราบขอบคุณถึงบ้าน

165. รากวน :
เมื่อครั้งงานสีสันสัญจรที่ร้านมานพการเกษตร หน้าที่ว่าการ อ.กำแพงแสน นครปฐม ก่อนเริ่มงานบรรยาย นศ.เกษตรระดับมหาลัยหนุ่มสาวราว 10 คน เข้ามาคุยเชิงเล่าสู่ฟัง

นศ. : ลุงคิมครับ ที่ลุงบอกว่า การขุดหลุมปลูกไม้ผลยืนต้น กว้าง-ลึก 50 ซม.น่ะ พอไม้เริ่มยืนต้นได้ ระบบรากเริ่มเดิน รากที่เจริญยาวไปถึงผนังหลุม รากเส้นนั้นจะไม่เจริญยาวแทงผนังหลุมออกไปนอกหลุม แต่จะวกกลับมากลางหลุมแล้วยาวต่อไปถึงผนังหลุมฝังตรงข้าม ถึงผนังหลุมฝังตรงข้ามแล้วจะวกกลับ กลับมากลางหลุมแล้วต่อไปจนถึงผนังหลุมอีกฝั่งหนึ่ง ไปแล้วกลับ กลับแล้วไป กลับไปกลับมา
อยู่ในหลุม อันนี้แหละ “รากวน” .... แล้วลุงยังบอกอีกว่า ให้ขุดหลุมผสมดินในหลุมใหม่ ใส่อินทรีย์วัตถุ ทำหลุมปลูกแบบพูนเป็นโคก แล้วปลูกต้นกล้าบนโคก เมื่อรากเจริญเติบโตจะแทงยาวไปรอบทิศ
ทาง ยาวไปเรื่อยๆไม่มีการวกกลับ ไม่กลับๆไปกลับมาจนเกิดเป็นรากวน

ลุงคิม : แล้วไง ?
นศ. : (มองหน้าเพื่อน) พวกผมไปถามอาจารย์ เล่าเรื่องนี้ตามหนังสือที่ลุงคิมเขียน แล้วถามอาจารย์..?.. ว่า “ใช่ไหม ?”

ลุงคิม : อาจารย์ตอบว่าไง ?
นศ. : อาจารย์ตอบว่า “ใช่ ใช่ยิ่งกว่าใช่ซะอีก”

ลุงคิม : งั้นเหรอ ?
นศ. : ผมเลยถามอาจารย์อีกว่า แล้วทำไมหนังสือที่อาจารย์..?.. เขียน ให้ขุดหลุมกว้างล่ะครับ

ลุงคิม : อาจารย์..?..ตอบว่าไง ?
นศ. : อาจารย์..?.. บอกว่า ให้ไปถามอาจารย์..?.. ที่เขียนเองซี่

ลุงคิม : หัวเราะในลำคอ แล้วเดินขึ้นเวทีเตรียมบรรยาย

166. เกษตร ผสม-ผสาน-ผสม-ผเส-ปนเป-สะเปะ-สะปะ รวย :
สมช. : (ได้ฟัง สมช.ปรึกษาเรื่อง ฟักแซมมะเขือ พริก มาตลอด ช่วยยืนยัน) ฉันว่าทำได้นะลุง มะเขือกับพริกอยู่ไต้ค้างฟักเขียว ของฉันก็ทำอยู่

ลุงคิม : งั้นนะ
สมช. : ใช่ลุง ของฉันทำค้างฟัก ค้างถั่วฝักยาว เป็นแบบแผงทางตั้ง แผ่นเดียว เอาไม้ปักเป็นเสา ระยะห่างระหว่างเสา 3 ม. เอาตาข่ายขึงระหว่างเสาสำหรับให้เถาฟัก เถาถั่วเลื้อยขึ้นไป ค้างแบบนี้ไม่ต้องมีหลังคา ทำให้ยาวตามแนวแสงอาทิตย์ มันก็จะไม่ไปบังแสงแดดพืชอื่น

ลุงคิม : (มองหน้า สมช.คนปลูกฟักแซมมะเขือ พริก) แล้วพืชอื่นล่ะ
สมช. : ฉันน่ะทำเกษตรผสมผสานผสมผเสปนเปสะเปะสะปะ นึกจะปลูกอะไรตรงไหนก็ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กินได้

ลุงคิม : อะไรบ้าง บอกชื่อซิ
สมช. : ประเภทเถาเลื้อยมี ฟักเขียว ถั่วฝักยาว ถั่วพู ประเภทต้นมีพริกขี้หนูหอม พริกขี้หนูยอดสน พริกชี้ฟ้าเขียว พริกชี้ฟ้าเหลือง มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว ทุกอย่างที่กินได้นั่นแหละลุง

ลุงคิม : เนื้อที่กี่ไร่น่ะ ?
สมช. : 3 ไร่เองลุง

ลุงคิม : บำรุงยังไง ?
สมช. : ก็สูตรสหประชาชาติของลุง ซื้อจากลุงชาตรี เดือนครั้ง อย่างละลิตร ยาฆ่าแมลงยาเคมีฉันเลิกใช้มานานแล้ว ใช้สารสะเดา พริกแกง สาบเสือ สบู่ต้น ทุกอย่างที่ขึ้นรอบบ้านนั่นแหละลุง

ลุงคิม : สมุนไพร....อันนี้ต้องฉีดบ่อยๆนะ
สมช. : ทุกวัน วันละครั้ง ไปกับน้ำไปกับปุ๋ย

ลุงคิม : เอาเครื่องมืออะไรฉีดพ่น ?
สมช. : สปริงเกอร์ซี่ลุง ฉันน่ะ ลูกศิษย์ลุงตั้งแต่รุ่นแรกๆเลย

ลุงคิม : ยังงั้นเหรอ .... วันนี้รายได้ตรงนี้ซักเท่าไหร่ ?
สมช. : ทำกันสองคนผัวเมีย ไม่เคยจ้างแรงงาน บางส่วนส่งแม่ค้า บางส่วนเอาไปขายเองที่ตลาดนัดจร รายได้จริงๆ ก็ประมาณ 1,000 ถึง 3,000 ต่อวันแหละลุง
ลุงคิม : ต่อวัน ๆ ๆ ๆ

167. ครู-นักเรียน ยุคใหม่ :
จาก: (098) 783-01xx
ข้อความ : เรียนคุณตาคิม ซา กัสส์ กรุณนำเสนอเรื่องการทำนาข้าว ที่เป็นควมรู้กึ่งวิชาการ กึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้าน จะเอาไปเขียนรายงานส่งอาจารย์เกษตร กราบขอบพระคุณค่ะ....เด็กหน่อย สิงห์บุรี
ตอบ :
WELCOME ชาวนาคือเกษตรกรกลุ่มใหญสุดของประเท.... ชาวนรอด ประเทศไทยรอด คนทั้งโลกรอด

คนถามใหม่ คำถามเก่า คำตอบเดิม.....

จาก : (098) 138-62xx
ข้อความ : เรียนคุณตาผู้พัน หนูชื่ออ้อม เรียน ม.3 ร.ร. ..?.. จ.ฉะเชิงเทรา ต้องทำโครงงานเรื่องนาข้าวหอมมะลิ หัวข้อที่หนูรับผิดชอบ คือ ปุ๋ยที่จำเป็น มีอะไรบ้าง มีประโยชน์หรือผลเสียต่อต้นข้าวอย่างไรบ้าง และเรื่องอื่นๆที่น่ารู้ค่ะ .... กราบขอบคุณ คุณตาผู้พันอย่างสูงค่ะ

จาก : (065) 148-91xx
ข้อความ : ขอให้พูดซ้ำเรื่องข้อเสียของยูเรียต่อนาข้าว จะบันทึกเสียง .... ขอบคุณครับ
จาก : (084) 428-67xx
ข้อความ : ขอบคุณลุงคิม สมการปุ๋ย อินทรีย์ เคมี ทุกอย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลย ขอให้ลุงคิมต่อสู้ต่อไป ขอเป็นกำลังใจครับ .... จากชาวนา สุพรรณบุรี

จาก : (062) 394-01xx
ข้อความ : ผู้พันครับ ผมคิดว่า คนที่ทำตามแนวผู้พันมีมาก แต่ไม่พูดไม่เปิดตัว เพราะไม่อยากถูกโต้แย้งที่หาข้อมูลทางวิชาการมาอธิบายไม่ได้ .... ขอบคุณครับ

จาก : (086) 184-29xx
ข้อความ : อยากให้ลุงคิมสรุปข้อเสียของยูเรียต่อต้นข้าว เท่าที่ลุงคิมมีข้อมูล .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
สไตล์เกษตรลุงคิมดอทคอม ถาม 1 บรรทัดตอบ 1 หน้า ถาม 1 ข้อตอบ 10 ข้อ.... O.K. ?
ในหนังสือหัวใจเกษตรไท ห้อง 3 “เทคโนโลยี” เขียนไว้ว่า ....
** ขาดทุนเพราะเทคโนโลยีผิด หรือปฏิเสธเทคโนโลยี
** ซูพรีม พรีเมียม เกรด เอ. จัมโบ้ คิวซี คิวอาร์ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง สีสวยสด รสจัดจ้าน ปลอดสารเคมี ออกนอกฤดู คนนิยม จองล่วงหน้าข้ามปี
** เครื่องทุ่นแรง ประหยัดฯ เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลเนื้องาน
** นาข้าว 2 รุ่น ล้างหนี้ 1 ล้านแล้วยังเหลือ 2 ล้าน VS ขายข้าว 1 แสน เหลือเงิน 40 บาท
** ชาวนาญี่ปุ่น ต้นทุน 23,000 ขายได้ 100,000 VS ชาวนาไทย ต้นทุน 3,000 ขายได้ 100,000

- ยูเรีย ทำให้ข้าวเขียวตองอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ต้นหลวม อ่อนแอ โรคแมลงมาก เมล็ดลีบมาก เป็นท้องปลาซิวมาก ข้าวป่นมาก น้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ข้าวปลูกไม่ดี

- แม็กเนเซียม สร้างคลอโรฟีลด์ ทำให้ข้าวเขียวทน ใบหนา สังเคราะห์แสงดี สมบูรณ์ แข็งแรง ต้นไม่ล้ม โรคแมลงน้อย

- สังกะสี.สร้างแป้ง ช่วยให้ข้าวไม่เป็นเมล็ดลีบ ไม่เป็นท้องไข่ เมล็ดแกร่งใส น้ำหนักดี บดแล้วไม่ป่น ทำพันธุ์ข้าวปลูกดี

- ช่วงเวลา 7-9 โมงเช้า ใบธงจะอ่อนลู่ลง แสดงว่ายูเรียเกิน แต่ขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม อย่างรุนแรง

- ข้าวต้องการสารอาหารทั้งสิ้น 16 ตัว (หลัก/รอง/เสริม) การใส่ยูเรีย 1 กส. (50 กก.) หรือ 2 กส. (100) /ไร่ เท่ากับได้สารอาหาร N. เพียงตัวเดียวเท่านั้น .... นาข้าวบางแปลงใส่ยูเรีย 2 กส. (100 กก.) + 16-20-0 อีก 1 กส. (50 กก.) รวมใส่ปุ๋ย 150 กก./ไร่ แต่ข้าวได้ปุ๋ยเพียง 2 ตัว คือ N. กับ P. เท่านั้น

- ข้าวต้องการปุ๋ยครบสูตร (N-P-K) อัตราส่วน 3 : 1 : 1 (30-10-10) 2 : 1 : 1 (16-8-Cool อัตรา 10-20 กก./ไร่/รุ่น แล้วต้องการ ธาตุรอง/ธาตุเสริม ฮอร์โมน

- ข้าวต้องการและตอบสนองต่อปุ๋ยทางใบกับปุ๋ยทางรากเท่าๆกัน นั่นคือ ควรให้ปุ๋ยทางใบมากครั้ง หรือ 7-10 ครั้ง จะได้ผลดีกว่าการใส่ปุ๋ยทางรากอย่างเดียว

สรุป : ลดปุ๋ยทางราก เพิ่มปุ๋ยทางใบ...ลดปุ๋ยธาตุหลัก เพิ่มปุ๋ยธาตุรอง/ธาตุเสริม ละฮอร์โมน...ต้นทุนลดลงแต่ประโยชน์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ยูเรีย+16-20-0

อ้างอิง : บรรยายพิเศษ กลุ่มเกษตรกร อ.บางบาล จ. อยุธยา เรียนรู้ นาข้าว-สปริงเกอร์.
- ข้อเสียของยูเรีย.ที่ชาวนาไม่เคยถาม ไม่เคยสังเกต ..... คนขาย นักวิชาการเชิงพานิช ไม่เคยพูด ไม่เคยบอก คือ....

* ยูเรียต่อต้น .ทำให้ต้นข้าวเขียวอ่อน เขียวไม่ทน ใบบาง ใบอ่อน ต้นสูง ต้นล้ม ต้นหลวม ผนังเซลล์อ่อนแอ โรคมาก .... ฉายา ยูเรียล่อเพลี้ยกระโดด

* ยูเรียต่อเมล็ด .... เมล็ดไม่แกร่ง เมล็ดไม่ใส เมล็ดลีบมาก เป็นท้องไข่มาก ข้าวป่นมากน้ำหนักไม่ดี ทำพันธุ์ไม่ดี ถูกตัดราคา

* ยูเรียต่อสารอาหาร ความเข้มข้น (เปอร์เซ็นต์) ของสารอาหารในเมล็ดข้าวน้อยกว่าที่ระบุในงานวิจัย เพราะต้นข้าวได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

- ใส่ปุ๋ยเคมีแก่ต้นข้าวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 2 ช่วงเท่านั้น คือ ช่วงทำเทือก (เตรียมดิน) กับช่วงตั้งท้อง-แต่งตัว การใส่ปุ๋ยในช่วงอื่นๆ จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

- การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หรือใส่ปุ๋ยทันทีหลังปักดำ (นาดำ) หรือเมล็ดพันธุ์เริ่มงอก (นาหว่าน) ไม่เกิดประโยชน์ เพราะต้นกล้ายังไม่พร้อมรับและยังไม่มีความจำเป็นต้องให้ ทั้งนี้ระยะที่ต้นกล้างอกใหม่ๆ จะใช้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดตัวเอง (แป้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน ฯลฯ) เป็นหลัก

- การใส่ปุ๋ยเคมีที่มีอัตราส่วนไนโตรเจน.สูง ฟอสฟอรัส. และโปแตสเซียม.ต่ำ เช่น 16-8-8 หรือ 25-7-7 หรือ 46-0-0 + 16-16-16 อัตรา 1:1 จะช่วยให้ต้นข้าวแตกหน่อดีกว่าการใส่ไนโตรเจน. เดี่ยวๆ

- นาข้าวที่ได้ 100 ถัง จะมีฟางประมาณ 1,200 กก. ......ปริมาณฟาง 1 ตัน จะให้สารอาหารพืชประกอบด้วย ไนโตรเจน 6.0 กก. ฟอสฟอรัส 1.4 กก. โปแตสเซียม 17.0 กก . แคลเซียม 1.2 กก. แม็กเนเซียม 1.3 กก. ซิลิก้า 50.0 กก. (อ้างอิง : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

ถ้าได้ไถกลบเศษซากต้นถั่วเหลือง (เมล็ดพันธุ์ 12 กก./ไร่) ลงไปอีกก็จะได้ ไนโตรเจน 45 กก. เมื่อรวมฟางกับต้นถั่วเหลืองแล้วจะทำให้ได้ปุ๋ยสำหรับต้นข้าวมากมาย

ดินที่สภาพโครงสร้างดีตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดินระบุว่า เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปแต่ละครั้งต้นพืชได้นำไปใช้จริงเพียง 4 ส่วน แล้วเหลือตกค้างอยู่ในดิน 6 ส่วนเสมอ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเคมี 1-2 รุ่นแล้วเว้น 1 รุ่น ก็จะยังคงมีปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างจากการใส่แต่ละรุ่นที่ผ่านมาบำรุงต้นข้าวรุ่นปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

มาตรการบำรุงดินโดยปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ สารปรับปรุงบำรุงดินและจุลินทรีย์ อย่างสม่ำเสมอ-ต่อเนื่อง-รุ่นต่อรุ่น-หลายๆรุ่น-หลายๆปี ทำให้เกิดการสะสมอยู่ในเนื้อดิน ซึ่งจะส่งผลให้สภาพโครงสร้างของดิน ดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้นตามลำดับ

- ไม่ควรปลูกข้าวอย่างเดียวแบบต่อเนื่อง รุ่นต่อรุ่น หลายๆรุ่น หลายๆปี แต่ควรเว้นรุ่นทำนา 2-3รุ่นแล้วปลูกพืชตระกูลถั่ว 1 รุ่น นอกจากจะได้เศษซากพืชตระกูลถั่วไถกลบปรับปรุงบำรุงดินแล้วยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของแมลง และเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

- นาหว่านที่หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกร่วมกับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ต้นข้าวจะงอกและโตพร้อมๆกับต้นถั่วเขียว เลี้ยงต้นกล้าข้าวให้นานที่สุดเท่าๆกับได้ต้นถั่วสูงสุด จากนั้น จึงปล่อยน้ำเข้าท่วมนาจะทำให้ต้นถั่วตายแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน/จุลินทรีย์) สำหรับต้นข้าว

- นาดำหลังจากปักดำแล้วใส่แหนแดงหรือแหนเขียว อัตรา 2-3 ปุ้งกี๋/ไร่ หรือกระทงนา ปล่อยไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แหนจะแพร่ขยายพันธุ์จนเต็มกระทง ระดับน้ำที่เคยมีเมื่อตอนดำนาก็จะลดลงจนถึงผิวหน้าดินพร้อมๆกับแหนลงไปอยู่ที่ผิวดินด้วยแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน) พืชสดสำหรับต้นข้าว

- ดินที่อุดมสมบูรณ์ดี (ตามหลักวิชาการ) เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปจะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตทางใบ (บ้าใบ/เฝือใบ) ดีมาก แต่ผลผลิตกลับลดลง....แปลงนาข้าวที่มีอินทรีย์วัตถุ และสารปรับปรุงบำรุงดินมากจะให้ผลผลิตดีมากไม่เฝือใบ ทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยเคมีน้อยกว่า ต้นข้าวงามใบ (บ้าใบ) แก้ไขโดยการให้ “โมลิบดินั่ม +แคลเซียม โบรอน” 1 ครั้ง

- สภาพดินเหนียว ดินทราย ดินดำ ดินร่วน ฯลฯ ในดินแต่ละประเภทต่างก็มีสารอาหารพืชและปริมาณแตกต่างกัน สารอาหารพืชเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามกลไกทางธรรมชาติหรือ เกิดจากกระบวนการสารพัดจุลินทรีย์ย่อยสลายสารพัดอินทรียวัตถุ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/11/2023 1:23 pm, แก้ไขทั้งหมด 7 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/11/2023 3:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
173. เกษตรสไตล์สีสันชีวิตไทย :
ปรัชญาเกษตร :

* คือ หลักแห่งความรู้ และความจริงด้านการเกษตร
* ประเทศไทยมีกิจกรรมเกษตรให้เลือกทำมากที่สุดในโลก (+50 แบบ) แต่คนไทยไม่รู้จะทำอะไร ว่าแล้วทำตามข้างบ้าน

* ผู้ส่งเสริม มุ่งเน้นพุ่งเป้าไปที่ราคาในตลาด ไม่สนใจต้นทุนการผลิต .... ภาพลักษณ์ คือ ส่งเสริมธุรกิจ ขายปุ๋ย/ขายยา มากกว่า

* ผู้รับการส่งเสริม ต้นทุนสูงเพราะซื้อทุกอย่าง .... รู้ราคาตลาดล่วงหน้า แต่ไม่สนใจลดต้นทุนเพื่อเอากำไร

* งานส่งเสริม 5 W. (WHO WHAT WHEN WHERE WHY) ไม่มี 1 H. (HOW)
* งานส่งเสริม NATO (NO ACTION TALK ONLY)

* ข่าวเกษตร ทีวี. เกษตรอินทรีย์-เกษตรอินทรีย์ แต่ไม่บอกว่าอินทรีย์ที่ว่า คืออะไร ? ทำจากอะไร ? ใช้ยังไง ? ฯลฯ ? .... คนดูจึงไม่รู้อะไรเลย

* ข่าวเกษตร ทีวี. ไม่ใช้สารเคมี-ไม่ใช้สารเคมี แต่ไม่บอกว่า ใช้อะไรแทน ? ทำจากอะไร ? ใช้ยังไง ? ฯลฯ ? .... คนดูจึงไม่รู้อะไรเลย

* ทำตามคนที่ล้มเหลวย่อมล้มเหลวยิ่งกว่า .... ทำตามคนที่สำเร็จย่อมสำเร็จยิ่งกว่า
* ปลูกขาย 100 ปีไม่รวย .... ทำปุ๋ยขาย 1 ปีรวยได้
* ทำแล้วขาย ขายแล้วขาดทุน รุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่รู้จักโตซักที (นรม.)
* ก่อนทำ-ระหว่างทำ-ก่อนขาย คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ
* รู้คนละนิด เอามารวมกัน = รู้เยอะทุกคน
* กะรวยด้วยกัน จะรวยทุกคน .... กะรายกว่าคนอื่น จะจนอยู่คนเดียว
* ลิงญี่ปุ่น ปิดตา ปิดปาก ปิดหู .... ลิงไทย ปิดตา ปิดปาก ปิดหู ปิดใจ
* ยากหรือง่าย ทำได้หรือทำไม่ได้ อยู่ที่ใจ
* ความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่เชื่อมั่นในสิ่งที่ผิด ทำแล้วย่อมล้มเหลว
* ศึกษาส่วนที่จะเป็นปัญหาก่อน ศึกษาส่วนที่สำเร็จทีหลัง
* วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “ป้องกัน”
* ธรรมชาติ ไม่มีตัวเลข-ไม่มีสูตรสำเร็จ-ไม่มีโวลลุ่ม-ไม่มีคันเร่ง แต่มี “ตามความเหมาะสม”
* มนุษย์เอาชนะธรรมชาติไม่ได้แต่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ และแสวงประโยชน์จากธรรมชาติได้
*

ต้นทุน :
* รายจ่าย - ต้นทุน = กำไร
* ทำเอง VS ซื้อ
* ต้นทุนที่สูญเปล่า
* ต้นทุนท่วมราคาขาย
* ขาดทุน สาเหตุ/แก้ไข
* กำไร สาเหตุ/ขยายผล
* ที่นี่ที่เดียว ส่งเสริมลดต้นทุน ..... ที่อื่นทุกที่ ส่งเสริมราคาตลาด
* ยิ่งส่งเสริม เกษตรกรยิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้ แต่ พ่อค้าปุ๋ย-พ่อค้ายา ยิ่งรวย ๆ ๆๆ
*

ลงทุน :
* ลงทุนครั้งเดียว
* พื้นที่น้อย ผลิตสินค้า "ราคาแพง" = กำไรมาก
* ทำงานทั้งปีได้ขายรอบเดียว VS ทำงานทั้งปีได้ขายหลายๆ ๆๆ รอบ
* หวังผล ระยะสั้น-ระยะปานกลาง-ระยะยาว
* เป้าหมาย ผลผลิตเพิ่ม (คุณภาพ-ปริมาณ) ต้นทุนลด อนาคตดี
* คุณภาพ ซูพรีม พรีเมียม เกรด เอ. จัมโบ้ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง ออกนอกฤดู ปลอดสารเคมี พันธะสัญญา คนนิยม .... VS .... เกรด ฟุตบาท
*
ความรู้ :
* เพิ่มพูนได้ เป็นมรดกติดตัวไปตลอดชีวิต ถ่ายให้ลูกหลานได้
* ทำได้โดยการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
* ไม่ได้เรียนสาขาเกษตรโดยตรง แต่เรียนด้วยตัวเอง ย่อมมีความรู้สาขาเกษตรได้
* ความรู้เรียนทันกันหมด
* LEARNING ALL THE LIVE
* วิชาการสูง สูงเท่าเดิม คนต้องขึ้นไปหา
* ความรู้ไม่มาหาเรา เราต้องไปหาความรู้
* ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
* หัวใจนักปราชญ์ยุค IT สุจิปุลิ-ฟังคิดถามเขียน .... อ่าน ดู ทำ ใช้ ขาย แจก เททิ้ง
* เกษตร ยากกว่า วิศวะ + แพทย์
* มีความรู้แค่โฆษณา
*

ความสามารถ :
* ทำได้โดยทำด้วยมือตัวเอง
* พรสวรรค์มี 1 พรแสวงมี 99
* เฮง 1 ส่วน เก่ง 99 ส่วน
*

โอกาส :
* คนเรา แพ้/ชนะ กันที่โอกาส
* คนที่จะช่วยเราได้ คือ คนในกระจก
* หลักการและเหตุผล
* แจ๊คหม่า คือ จีนประเทศเดียว แต่แจ๊คหม่ำ คือ คนกินทั่วโลก
*

174. กับดักตัวเอง :
ต้นตอแท้จริง คือ พฤติกรรม ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ยึดติด กระแส สติ ไม่รู้ ไม่เรียน ไม่เชื่อ ไม่ลอง

ผลสำรวจกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง 20 ประเทศ ประเทศไทยมี “เทคโนโลยี-นวัตกรรม-ปัญญาประดิษฐ์” อันดับสุดท้าย เกษตรประเทศไทยทำแบบ “ทัศนคติ-วัฒนธรรม-ประเพณี” เดิมๆ ไม่ยอมรับว่าสูญเสียเพราะขาด “เทคนิค-เทคโนฯ” มหาศาล รุ่นต่อรุ่น รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต้นตอหนึ่งของปัญหาคือ....

ไม่มีข้อมูลทางวิชาการ ไม่มีข้อมูลทางวิชาการเพราะไม่ได้เรียน ไม่ได้เรียนในโรงเรียนก็ไม่เรียนด้วยตัวเอง คือ อ่าน อ่านหนังสือ ....

ปุ๋ย กี่สูตร, กี่ชนิด แห้ง/น้ำ, กี่ประเภท ทางใบ/ทางราก, ....
ยา สมุนไพร กลิ่น-รส-ฤทธิ์ ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืชแต่ละชนิด แต่ละอย่าง แต่ละประเภท ....
เทคนิค (วิธีการ) - เทคโนโลยี (วิชาการ) ....
เครื่องทุ่นแรง ประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน ....
เป้าหมาย ผลผลิตเพิ่ม (ปริมาณ คุณภาพ), ต้นทุนลด (ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง ค่าเวลา ค่าโอกาส), อนาคตดี (พันธะสัญญา), คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ เป็น, ความเชื่อมั่นในตัวเอง, ศักดิ์ศรีของตัวเอง ....

รายการสีสันชีวิตไทย ที่นี่ ส่งเสริมให้คนอ่านหนังสือ การอ่านทำให้คนมีความรู้อย่างถาวร การอ่านทำให้การซึมซับข้อมูลได้มากและดีกว่าสื่อทุกชนิด

หัวใจนักปราชญ์ สุ-จิ-ปุ-ลิ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก อ่าน-ดู-ทำ-ใช้-คิด-วิเคราะห์-เปรียบเทียบ .... 1 H. HOW แทน W. WHO.

นักเขียน “ทมยันตี” บอกว่า คนอ่านหนังสือคือปัญญาชนที่แท้จริง เพราะคนอ่านหนังสือรู้จริง รู้อย่างมีเหตุมีผล ปลุกระดมไม่ขึ้น โฆษณาชวนเชื่อไม่สำเร็จ

ในความเป็นจริง คนเราเมื่อมีความรู้ จะทำอะไรก็ได้ ทำผิดหรือทำถูกก็รู้ ทำแล้วขาย ๆแล้วขาดทุนเพระอะไร แก้ไขยังไง ทำแล้วขาย ๆแล้วกำไร ต่อยอดขยายผลให้ดีขึ้นไปอีก ....

ปีใหม่ ได้ฤกษ์ให้ของขวัญ เขียนลายเซ็นไว้ที่หน้าปก ทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่าน เห็นลายเซ็นก็จะระลึกถึงคนให้ ของขวัญชิ้นนี้อยู่ได้ตลอดชีวิตแถม เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานเหลนโหลนอีกด้วย .... ว่ามั้ย

หนังสือ “หัวใจเกษตรไท มินิ + ไม้ผลแนวหน้า” 2 เล่มราคาแค่ 800 บาท ถูกกว่า “หัวใจเกษตรไท” 1,000 บาท

175. ชาวนายุคใหม่ :
- เลิก....มุ่งแต่เอาปริมาณผลผลิตให้ได้มากๆ แต่ให้ระวังต้นทุน ลดต้นทุนให้ได้ทุกรูปแบบ
- เลิก....ทุ่มทุนซื้อทุกอย่าง แต่ให้ทำเองทั้งหมด หรือทำเองครึ่งหนึ่ง ซื้อครึ่งหนึ่ง
- เลิก....กะรวยคนเดียว แต่ให้กะรวยด้วยกันทั้งกลุ่ม ทั้งหมู่บ้าน
- เลิก....คิดคนเดียว ทำคนเดียว แต่จงระดมแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน
- เลิก....ทำแบบเดิมๆ แต่จงเปลี่ยนมาทำตามแบบคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วต่อยอด
- เลิก....ทำตามคนที่ล้มเหลว แต่จงเป็นตัวของตัวเอง ด้วยความมั่นใจ มีหลักวิชาการ
- เลิก....กลัวเสียเหลี่ยม เลิกมิจฉาทิฐิ แต่จงยอมรับความจริง แล้วแก้ไข ปรับเปลี่ยนประยุกต์
- เลิก....ปิดกั้นตัวเอง แต่จงเปิดโลก รับรู้ข้อมูลใหม่ๆ เสมอ
- เลิก....ตามใจคน แต่จงตามใจข้าว ข้าวต้องการอะไรให้อันนั้น ต้องการเท่าไหร่ให้เท่านั้น
- เลิก....ปล่อยวิถีชีวิตไปวันๆ แต่จงมุ่งรุ่นหน้าต้องดีกว่า ยิ่งทำยิ่งดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น
- เลิก....ทำตามประเพณี ทำตามกระแส แต่จง แม่นสูตร-แม่นหลักการ
- เลิก....เชื่อคนขายปุ๋ย-ขายยา แต่จงเชื่อซึ่งกันและกัน

176. เกษตรอินทรีย์ :
จาก : (093)204-10xx
จาก : (086) 198-43xx
ข้อความ : อยากทำผักสวนครัว แบบอินทรีย์แท้ ไม่ปุ๋ยเคมี ไม่สารเคมี ต้องใช้ปุ๋ยลุงคิมสูตรไหนบ้าง ....
ข้อความ : สารสมุนไพรสูตรใหม่ของลุง มีฤทธิ์อะไรบ้างครับ
ตอบ :
ปุ๋ย-ยา สูตรลุงคิม :
โอไฮโอ :
คือ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตร “ปรับโมเลกุล” ปริมาณสารอาหารอินทรีย์เพียวๆ มากกว่าปกติที่เคยมี 100-200% พืชรับได้ทั้งทางใบและทางราก เหมาะสำหรับผักอินทรีย์ที่ผู้ซื้อไม่ต้องการปุ๋ยเคมี

ยาน็อค : คือ “สารสมุนไพรสูตรยาน็อค” ส่วนประกอบสมุนไพร 20 ชนิด (สะเดา สาบเสือ ผกากรอง กลอย ซาก น้อยหน่า ส้มเช้า หนอนตายหยาก หางไหล ว่านน้ำ สบู่ต้น สบู่ดำ มันแกว พริก ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ตะไคร้ ดีปลี) คุณสมบัติ .... ไล่แมลงปากกัด/ปากดูด/วางไข่ ฆ่าและให้หนีไป, .... ทำให้ไข่แมลงฝ่อ ฟักออกเป็นตัวหนอนไม่ได้, .... ทำให้หนอนไม่ลอกคราบ ไม่เข้าดักแด้ แล้วตายไปเอง, .... ทำให้เชื้อ รา/แบคทีเรีย ตาย ไม่ขยายพันธุ์

หลักการและเหตุผล
สิ่งมีชีวิตไนโลก ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ พืช จุลินทรีย์ ทุกอย่างมีวงจรชีวิตเหมือนกัน คือ เกิด กิน แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์ ....

สิ่งที่พืชกิน คือ “อาหาร” เรียกว่า “ปุ๋ย” มี 2 อย่าง อินทรีย์ กับ เคมี .... อินทรีย์ คือ อาหารตามธรรมชาติหรือจากธรรมชาติ .... เคมี คือ อาหารที่มนุษย์สร้างขึ้น ความเข้าใจของเกษตรกรบางคนต่อคำว่า "เคมี" โดยว่า ปุ๋ยเคมี กับ สารเคมี คือตัวเดียวกันเพราะมีอักษรคำว่า "เคมี" เหมือนกัน ทั้งๆที่ในความเป็นจริง
มันไมใช่ ....

เมื่อไม่ให้อาหารที่เป็น "เคมี" ก็ต้องให้อาหารที่เป็น "อินทรีย์" แทน ด้วยชนิดตัวอาหารและปริมาณที่ทำให้ผลผลิตเกรด เอ.จัมโบ้ ด้วย

ปุ๋ยเคมี คืออาหารพืช ได้แก่ ธาตุหลัก/ธาตุรอง/ธาตุเสริม/วิตามิน/ฮอร์โมน ที่ มนุษย์-สัตว์-พืช-จุลินทรีย์ ได้รับแล้วทำให้ร่างกายให้เจริญเติบโต....เช่น N. P. K. Ca. Mg. S. Fe. Cu. Zn. Mn. Mo. B. Si. Na.

แคลเซียมจากกระดูก เรียกว่า แคลเซียมชีวะ
แคลเซียมในกระสอบ เรียกว่า แคลเซียมสังเคราะห์ หรือแคลเซียมวิทยาศาสตร์ หรือแคลเซียมเคมี

ทั้ง ชีวะ และ เคมี ต่างก็มี ข้อดี/ข้อด้อย ด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น ผู้ใช้ต้อง คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วฟันธงเลือกใช้ตามความเหมะสม

สารเคมี คือสารพิษ ได้แก่ ยาฆ่าแมลง-ยาฆ่าหนอน-ยาฆ่าเชื้อโรค-ยาฆ่าวัชพืช ที่ มนุษย์-สัตว์-พืช-จุลินทรีย์ ได้รับแล้วตาย เช่น ออร์แกโนฟอสเฟต ออแกโนคลอรีน คาร์บาเมต ไพรีทัม

ทั่วโลกต่อต้าน และ ปฏิเสธเด็ดขาด ต่อสารเคมี .....
ทั่วโลกต่อต้าน แต่ไม่ปฏิเสธ ต่อปุ๋ยเคมี .....
ทั้งสารสมุนไพร และ สารเคมี ต่างก็มี ข้อดี/ข้อด้อย ด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น ผู้ใช้ต้อง คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วฟันธงเลือกใช้ตามความเหมะสม

เกษตรอินทรีย์-เกษตรเคมี-เกษตรออร์เกนิค-ฯลฯ แบบการทำเกษตรชื่ออะไรก็แล้วแต่ เมื่อคุณปลูกพืช สิ่งที่ได้คือพืช แต่พืชที่ได้เป็นไปตามต้องการหรือไม่ คือ เกรด เอ. จัมโบ้ หรือเกรดฟุตบาท

ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีปัญหา ปัญหามีให้แก้ไม่ใช่มีให้กลุ้ม ก่อนแก้ปัญหาตีโจทย์ให้แตก แล้วตอบโจทย์ ทีละข้อ-ทีละประเด็น-ทีละเรื่อง อย่างมีหลักการและเหตุผล

ปลูกผักสวนครัวก็เหมือนกับการปลูกพืชอย่างอื่น ทุกชนิด ไม่มีพืชใดในโลกที่หลีกพ้นปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค ไปได้ หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีปัญหาหรือไม่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับพืชที่ปลูก ย่อมหมายถึงความล้มเหลว

ตัวความล้มเหลวจริงๆ คือ ไม่เจริญเติบโต ไม่ให้ผลผลิต ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ศัตรูพื รายละเอียดในคำถามที่หายไป :

“ผักสวนครัว ?”
- กินใบ กินผล กินยอด กินดอก กินหัว
- อายุสั้นฤดูกาลเดียว อายุยืนนานหลายปี
- แปลงเล็ก แปลงใหญ่

“แบบอินทรีย์แท้ ?”
- มีสารอาหารเพียงพอ ครบตัว/ครบสูตร/ปริมาณ ... ?
- ชนิด น้ำ/แห้ง, ประเภท ทางใบ/ทางราก .... ?
- เปอร์เซ็นต์เนื้อสารอาหารน้อย แก้ด้วยการให้บ่อยๆ

“ไม่ปุ๋ยเคมี ?”
- ใช้อินทรีย์ (น้ำ/แห้ง/ทางใบ/ทางราก) แทน
- ใช้ฮอร์โมนเขียว แทน-เสริม (ฉี่ปรับโมเลกุล, นมเหลือง, ขี้เพี้ย, น้ำก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว, น้ำคั้นไชเท้า/หน่อไม้, น้ำคาวปลา/ไส้เดือน, น้ำคั้นผัก) ตอนค่ำ ทางใบราดลงดิน

- สร้าง/สะสม ปุ๋ยอินทรีย์ไว้ในดินมากๆ

“ไม่สารเคมี ?”
- ใช้สารสมุนไพร (สูตรรวมมิตร = ป้องกัน, สูตรเฉพาะ = กำจัด)
- ฉีดพ่นบ่อยๆ วันต่อวัน วันเว้นวัน วันเว้นสองวัน (ให้พร้อมกับ น้ำ+ปุ๋ย เพื่อประหยัดเวลา)
- ไอพีเอ็ม. (กับดักกาวเหนียว แสงไฟล่อ, ปลูกพืชไล่ศัตรูพืชแซมแทรก)

“ใช้ปุ๋ยลุงคิมสูตรไหน ?”
ทางใบ :
ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพอินทรีย์เพียวๆ สูตรปรับโมเลกุล ฮอร์โมนธรรมชาติ
ทางราก : ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพอินทรีย์เพียวๆ สูตรเหมาจ่าย
เตรียมดิน-เตรียมแปลง : ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ พรวนดินให้คลุกเคล้าเข้ากันดี ยกแปลงเป็นลูกฟูก หญ้าแห้งคลุมสันแปลงหนาๆ รดด้วยน้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง อินทรีย์เพียวๆ สูตรปรับโมเลกุล ให้น้ำวัน เว้นวันพอหน้าดินชื้น ปล่อยทิ้งไว้ 15-20 วัน เพื่อบ่มดิน ระหว่างนี้ให้หมั่นถอนวัชพืช จึงลงมือปลูก

การบำรุง : ให้น้ำ 20 ล. + น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง อินทรีย์เพียวๆ สูตรปรับโมเลกุล (50 ซีซี.) + นมสด ปรับโมเลกุล 50 ซีซี. รดบนใบลงพื้นโคนต้นโชก ทุก 5-7 วัน ให้น้ำปกติวันเว้นวันพอหน้าดินชื้น .... ฉีดพ่นสารสมุนไพร สูตรรวมมิตร เพื่อป้องกัน ทุก 3-5 วัน ฉีดพ่นสารสมุนไพรสูตรเฉพาะศัตรู พืช เพื่อกำจัด ทุก 3-5 วัน

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช :
วิธีเขตกรรม :
หมายถึง การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชผสมผสาน ปรับปรุงบำรุงปัจจัยพื้นฐาน ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดู กาล-สารอาหาร-สายพันธุ์ ให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นพืชสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคได้ด้วยตัวเอ

ใช้สารธรรมชาติ : หมายถึง การใช้สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพร และ/หรือ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สารเคมียาฆ่าแมลง

ชีววิธี : หมายถึง การใช้เชื้อปฏิปักษ์ หรือเชื้อโรคของโรคพืช เช่น บูวาเลีย. บาซิลลัสส์. ไตรโคเดอร์ม่า. เอ็นพีวี. การใช้สัตว์ธรรมชาติกำจัดศัตรูพืช

วิธีกล : หมายถึง การใช้กับดักกาวเหนียว-แสงไฟล่อ กับดักกาวเหนียว-กลิ่นล่อ

หลักการและเหตุผล :
- สารอาหารสำหรับพืช คือ “ปุ๋ย” มี 2 อย่าง คือ ปุ๋ยอินทรีย์ กับ ปุ๋ยเคมี
- เมื่อคิดจะไม่ใช้สารอาหารจากปุ๋ยเคมีก็ต้องใช้สารอาหารจากแหล่งอื่นแทน ทั้งชนิดและปริมาณ ที่เพียงพอต่อการเจริญเติบ โตของต้นผัก ในกรณีที่จะได้เกรด เอ. จัมโบ้ ซูพรีม พรีเมียม

- ในอินทรีย์วัตถุก็มีสารอาหารพืช มีทั้ง ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน วิตามิน มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ชนิดของอินทรีย์วัตถุ วิธีทำ และวิธีการใช้

- จากสารอาหารที่เกิดเองตามธรรมชาติ สามารถนำมา เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก/ปรับ ให้เป็น “ซุปเปอร์” ตามความต้องการได้ด้วยวิธีการแบบธรรมชาติๆ โดยไม่ส่งผลเสียใดๆต่อพืช

- เกี่ยวกับอาหารพืชประกอบด้วย .... ธาตุหลัก/ธาตุรอง/ธาตุเสริม/ฮอร์โมนวิตามิน .... ประเภทให้ ทางใบ-ทางราก .... ชนิด น้ำ/เม็ด/เกร็ด/ผง .... สถานะทางวิทยาศาสตร์ เคมีชีวะ และเคมีสังเคราะห์

- เคมีชีวะ คือ ธาตุอาหารพืชที่เกิดเองตามธรรมชาติ มีชื่อเรียกและมีคุณสมบัติเป็นธาตุอาหารชัดเจน เกิดเองตามธรรมชาติ

177. ผักโรงเรือน :
* ข้อดี :

- ป้องกันหนอนได้ เพราะแมลงแม่ผีเสื้อตัวใหญ่ เข้าวางไข่ไม่ได้
- ไม่ต้องฉีดสารเคมีกำจัดหนอน เพราะหนอนไม่มี
- เก็บรักษาความชื้นหน้าดิน ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ได้ดี
- โก้ น่าเชื่อถือ
-
* ข้อเสีย :
- ต้นทุนโรงเรือนสูง
- ป้องกัน เพี้ยไฟ-ไรแดง ไม่ได้
- ป้องกันแมลงมุดดิน เข้าไปในโรงเรือนไม่ได้
- ป้องกันโรคทางดินไม่ได้ เพราะอุณหภูมิในโรงเรือนสูงกว่านอกโรงเรือน
- ประเภทผักสลัด ตลาดแคบ เพราะคนกินน้อย
- ประเภทผักไทย น้ำหนักน้อย คุณภาพไม่ดี เพราะในโรงเรือนแสงแดดน้อย
-
* ใครได้ :
- คนขายมุ้ง
- คนขายสารเคมีกำจัด เพลี้ย/ไรแดง และเชื้อโรคในดิน
-
* ใครเสีย :
- คนปลูกผัก
- วันดีคืนไม่ดี พายุมา โรงเรือนไม่แข็งแรงจริง พังพาบกับพื้น
- เลิกปลูกผักแล้ว เอามุ้งไปทำอะไร
-
* ผักกางมุ้ง บ.ยักษ์ใหญ่ ที่เมืองกาญจน์ โรงเรือนหลังละล้าน ปลูกแตงโม มะเขือเทศ สารพัดโรคแมลงศัตรูพืชที่ ใบ-ยอด-เถา-ผล เต็มไปหมด ไม่เห็นก็แต่รากในดินเท่านั้น เลยไม่รู้ว่า กางมุ้งในโรงเรือนแล้วช่วยอะไรได้บ้าง ราคาโรงเรือนขนาดนั้น ปลูกแตงโม มะเขือเทศ กี่รุ่นถึงจะได้ทุนคืน

* ผักกางมุ้งที่บางแค เนื้อที่ 3 ไร่ กลางวันกางเสร็จ กลางคืนพายุมา มุ้งราคา 5 แสนลงไปกองเอ๊าะเยาะกับพื้น

* กะเพรา-โหระพา-แมงลัก ในโรงเรือน ที่ทับยายเท้า นครปฐม ส่งออกสวิสส์เซอร์แลนด์ ปกติเปิดข้างโรงเรือนเพื่อระบายอากาศ วันไหนบริษัทรับซื้อมาตรวจก็จะปิดโรงเรือน

* ผักกางมุ้งดอกเตอร์ที่รังสิต 5 ปี ขาดทุนกว่า 5 ล้าน เพราะผักถูกตีกลับเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ก็ไหนว่ากางมุ้งแล้วปลอดสารพิษไงล่ะ กับส่วนหนึ่งผักตกเกรด เพราะไม่ได้ไซส์ ที่ไม่ได้ไซส์เพราะไม่สมบูรณ์ ....

* แปลงผักของภิรมย์ อ.เมือง ปทุมธานี ทำผักแนว อินทรีย์นำ-เคมีเสริม ใช้สารสมุนไพร ไม่กางมุ้ง ส่งตลาดรังสิต แค่ 3 ปีถอยปิ๊คอั๊พป้ายแดง มาให้ลุงคิมเจิม โถๆๆ ลุงคิมไม่ใช่พระ ภิรมย์เล่าให้ฟังว่า ดอกเตอร์เอาผักที่แปลงนี่แหละไปส่งให้ลูกค้าตามสัญญา .... ดอกเตอร์เห็นสารสมุนไพรหมักในโอ่ง ถามว่า “มันจะได้ผลเหรอ ?” ภิรมย์ตอบว่า “ไม่รู้ซิครับ ผมก็ใช้ของผมอยู่เนี่ย...” ดอกเตอร์เหลือบไปเห็นคะน้าฮ่องเต้ กวางตุ้งฮ่องกง แล้วพูดว่า “ภิรมย์ นี่มันผักเมืองหนาวนะ ปลูกไม่ได้หรอก....” ภิรมย์ก็ว่า “ไม่รู้ซิครับ พรุ่งนี้แม่ค้ามารับ โลละ 45 ครับ...”

ระดับดอกเตอร์ รู้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ก็สมควรขาดทุน 5 ล้านหรอก .... ว่ามั้ย

178. อินทรีย์เกาะขอบ ไม่ปุ๋ยเคมี ไม่สารเคมี :
เตรียมดิน :

ไถดะไถแปร ใส่ขี้วัวขี้ไกแกลบดิบ กระดูกป่น ..... ไถพรวนให้ละเอียด ชักร่องเป็นร่องลูกฟูก คลุมสันแปลงด้วยแห้งหนาๆ รดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี 2 ล. /ไร่ ปล่อยไว้ (บ่มดิน) 20-30 วัน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ปรับสภาพดิน และสร้างสารอาหารรอไว้ก่อน

เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- แช่เมล็ดพันธุ์ใน “น้ำอุ่น 50 องศา ซ. 1 ล. + แบลนด์ซุปไก่ 1 ซีซี.” นาน 8-12 ชม.
- ครบกำหนดแล้วนำขึ้นห่มชื้น 24-32-48 ชม. เมล็ดไหนเริ่มมีรากออกมาให้นำไปเพาะในกระบะเพาะ

- บำรุงกล้าในกระบะเพาะ ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี 1 ครั้ง

บำรุง :
- ให้ “น้ำ 20 ล. + น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี 20 ซีซี. +นมสด 20 ซีซี. + สารสมุนไพร 50 ซีซี.” ทุก 5-7 วัน

- ให้สารสมุนไพรเดี่ยว ทุกวันเว้นวัน รวมกับ ไอพีเอ็ม (กับดักกาวเหนียว กับดักแสงไฟ)
- ให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น

หมายเหตุ :
ผักกินใบ : ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี ฉีดอาบจากใบลงถึงพื้นดินโคนต้น

ผักกินผล : ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี ทางราก ทุก 15 วัน.... ให้ฮอร์โมนไข่ไทเป สูตรปรับโมเลกุล/ไม่ปุ๋ยเคมี ทางใบ ทุก 7 วัน

- ให้เสริมด้วยปุ๋ยธรรมชาติ เช่น เศษอาหารก้นครัว, น้ำมะพร้าว, นมเหลือง, เลือดสด, ขี้เพี้ย, น้ำล้างเขียงปลา, เต้าหู้, น้ำต้มกระดูก,

ป้องกันกำจัดศัตรูพืช :
- ติดสปริองเกอร์ หม้อปุ๋ยหน้าโซน หรือถังปุ๋ยที่ปั๊ม
- ให้ "น้ำเปล่า" หรือ "น้ำ + ปุ๋ย" หรือ "น้ำ + ปุ๋ย + ยาสมุนไพร" หรือ "น้ำ + สมุนไพร" บ่อยครั้งต่อวันเท่าที่ต้องการ

- ใช้ระบบ ไอพีเอ็ม. (กับดักกาวเหนียว + แสงไฟล่อ, ปลูกพืชกลิ่นไล่แซมแทรก,

179. นาข้าวไบโอไดนามิก :
ถาม : ลุงครับ ผมทำนา 100 ไร่ มีหนี้ล้านกว่า ควรเริ่มต้นยังไงดีครับ ?
ตอบ :
อืมมมม ที่บ้านแพรก รอยต่ออยุธยา บางปะหัน กับลพบุรี บ้านนั้นทำนา 200
มีเงินฝากธนาคาร 1 ล้าน

นาข้าวแบบไบโอไดนามิก เขียนไว้ในหนังสือ เกษตรานุสติ ฉบับนาข้าว, หัวใจเกษตรไท, นาข้าวแบบนี้เป็นแบบผสมผสานกันระหว่าง นาข้าวแบบประณีต กับ นาข้าวแบบเลยตามเลย

ไบโอ แปลว่า ธรรมชาติ, ไดนามิก แปลว่า พลัง ไบโอไดนามิก จึงแปลว่า พลังธรรมชาติ.... หลังจากนาข้าวแบบไบโอไดนามิกออกมาแล้ว 6 เดือน มีนักวิชาการทางเหนือนำเสนอการทำนาแบบ “ไบโอ แอร์โรบิก” ซึ่งความหมาย ชื่อ ก็คล้ายๆกัน หรือจะว่าเหมือนกันเลยก็ได้

ข้อมูลเรื่องนาข้าวแบบประณีต แบบไบโอไดนามิก แบบเลยตามเลยไหนไหนก็ไหนไหน ถ้าไม่มีหนังสือเอกสาร ให้ไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตที่เด็กๆไปเล่นเกมส์กันน่ะ แล้วร้านเขาปริ๊นออกมาให้ก็ได้ จะเอาเรื่องอะไร สูตรอะไร ในเว้บเกษตรลุงคิมดอทคอม มีทั้งนั้น

วันนี้ ที่นี่ คนเยอะ-เรื่องมาก-เรื่องยาว-เวลาน้อย ที่สำคัญบางเรื่องแค่ฟังอย่างเดียว ฟังครั้งเดียว มันไม่รู้เรื่องหรอก อันนี้ต้องแก้ด้วย

การอ่าน อ่านซ้ำ อ่านหลายๆรอบ หลายๆเที่ยว อ่านแล้วช่วยกัน คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ ถึงจะรู้เรื่อง เข้าใจดี

180. ส้มรังสิต
ส้มเขียวหวานบางมด ปลูกที่ จ.น่าน หรือ จ.แพร่ (ไม่แน่ใจ....ไม่ใช่ประเด็น) ปัจจุบันอายุต้นกว่า 40 ปี นอกจากยังไม่ตายแล้วยังให้ผลผลิตดีเหมือนเดิมเมื่อครั้งต้นยังสาว .... ส้มฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอายุต้นเกิน 100 ปี นอกจากยังไม่ตายแล้วยังให้ผลผลิตดีเหมือนเดิมเมื่อครั้งต้นยังสาว …. แล้วทำไม ต้นส้มย่าน รังสิต ธัญญะ หนองเสือ วิหารแดง ฯลฯ จึงมีอายุเพียง 4-8 ปี เท่านั้น หลังจากปลูกรุ่นแรกลงไปแล้ว เมื่ออายุต้นขึ้นที่ 4 ชาวสวนจะเริ่มปลูกส้มรุ่นน้องแซมแทรกระหว่างต้นรุ่นแรก นัยว่าเพื่อจะได้มีต้นส้มให้ผลผลิตต่อจากรุ่นพี่ แล้วก็ทำเช่นนี้เรื่อยๆ มา

เกษตรกรดีเด่นระดับชาติ เจ้าของฉายาระบบน้ำหยด แห่ง จ.ชุมพร ปลูกส้มโชกุน บอกว่า “สู้โรคไม่ไหว” โค่นทิ้งทั้งสวนแล้วลงลำไยแทน ก็ให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ไม่รู้จักโรคส้ม แล้วรู้จักโรคลำไยหรือ....ส้มโชกุน.ก็คือพืชตระกูลส้ม เช่นเดียวกันกับ ส้มเขียวหวาน. ส้มโอ. มะกรูด. มะนาว. พวกนี้โรคเดียวกัน

ส้มเขียวหวานย่าน รังสิต. ธัญญะ. หนองเสือ. วิหารแดง. ฯลฯ มีต้นทุนค่า “ปุ๋ยและสารเคมี” ตกราว 100,000 บาท/ไร่/รุ่น บนเนื้อที่ย่านนี้กับย่านใกล้เคียงรวมกันกว่า 100,000 ไร่ เมื่อคิดรวม 100,000 x 100,000 = ? ถามว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปอยู่ในมือใคร ?

เมื่อวันที่สวนส้มบางมดล่มสลายนั้น วิเคราะห์สาเหตุลึกๆ แล้วพบว่าเกิดจาก สารเคมี (ยาฆ่าหญ้า และสารเคมีกำจัดโรคและแมลง) และปุ๋ยเคมี. เป็นหลัก....สวนล่มไปหลายปี วันหนึ่งเกิดอัศวินม้าขาว (กุนซือ แปะแบ๊) เข้ามากู้สถานการณ์ ส่งเสริมให้ปลูกส้มเขียวหวานบางมดอีกครั้ง คราวนี้ระมัดระวังในเรื่องของสารเคมีอย่างมาก แต่ก็ไปไม่รอดเพราะ “น้ำทะเล” เปลี่ยนแปลง (ส้มเขียวหวานบางมดชอบน้ำแบบ ลักจืดลักเค็ม) เปลี่ยนจากน้ำทะเลสะอาดเป็นน้ำทะเลเสีย เนื่องจากสภาพแวดล้อม แต่ก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้างไม่กี่สวนที่ยังยืนหยัดสู้น้ำทะเลเสียได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอึดไปได้สักกี่น้ำ

เมื่อครั้งชาวสวนส้มย่าน รังสิต ธัญญะ หนองเสือ วิหารแดง ฯลฯ ประท้วงโรงฟ้าฟ้าวังน้อย อยุธยา กล่าวหาว่าโรงไฟฟ้าเป็นต้นเหตุปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้า ออกมาทำให้ต้นส้มตาย เรียกร้องค่าเสียหายไร่ละ 20,000 บาท โดยมีน้องสาว สส.ใหญ่ แห่ง จ.ปทุมธานี เป็นแกนนำ ออกเรี่ยไรชาวสาวนส้มที่ได้รับความเสียหายให้ลงขันไร่ละ 50 บาท ถ้าใครไม่ลงขัน เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือก็จะไม่ได้รับเงินนั้น เบื้อหลังจริงๆ น้องสาว สส.ใหญ่ คนนี้มีสวนส้มเขียวหวานอยู่ที่ อ.วิหารแดง 3,000 ไร่

โรงไฟฟ้าวังน้อยในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ต้องร้องขอนักวิชาการจาก กรมวิชาการเกษตร. และกรมส่งเสริมการเกษตร. มาให้คำตอบถึงสาเหตุที่แท้จริง นักวิชาการจากทั้ง 2 กรม ไม่สามารถยืนยันถึงผลเสียจากโรงไฟฟ้าโดยตรงได้ เพราะไม่เคยมีงานวิจัยเรื่องนี้มาก่อน ทั้งงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ คำยืนยันจากปากนักวิชาการจึงออกมาแบบ อ้อมแอ้ม ๆ ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่ค่อนข้างจะเข้าข้างชาวสวนส้ม ซึ่งก็สร้างความพอใจให้แก่ชาวสวนส้มระดับหนึ่งถึงช่องทางที่จะมีโอกาสได้รับค่าชดชยความเสียหายไร่ละ 20,000 สุดท้ายจริงๆ ก็คือไม่มีข้อสรุป

โรงไฟฟ้าไม่อาจจ่ายค่าชดเชยความเสียหายทันทีโดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันได้ จึงร้องขอนักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. มาชี้ถึงสาเหตุที่แท้จริง คราวนี้นักวิชาการจาก 3 สถาบันหลักดังกล่าว ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันถึงสาเหตุต้นส้มยืนต้นตายเพราะ

1. ดินเป็นกรดจัด เนื่องจากชั้นดินตามธรรมชาติด้านล่างเป็นกรดจัด (กำมะถัน) การขุดร่องน้ำจึงเท่ากับเป็นการเจาะตาดินให้กำมะถันขึ้นมาได้

2. สภาพโครงสร้างดินชั้นบนเสียอย่างรุนแรง สาเหตุมาจาก น้ำในร่องแปลงปลูก. สะสมสารพิษจากยาฆ่าหญ้า. และสารเคมีกำจัดโรคและแมลง. อย่างต่อเนื่องยาวนานหลาย 10 ปี

3. ต้นขาดสารอาหารที่จำเป็น (แม็กเนเซียม. สังกะสี.) กับ ธาตุรอง/ธาตุเสริม และฮอร์โมน. อย่างรุนแรง ต่อเนื่องมานานหลาย 10 ปี ผลจากการวิเคราะห์ดินแล้วพบว่า ในดินมีฟอสฟอรัส. และโปแตสเซียม. ตกค้างสะสมอยู่ในปริมาณมากจนเป็นอันตรายแก่ต้นส้ม

4. ภายในต้นสะสมสารเคมีกลุ่ม “ค็อปเปอร์ ออกซี่ คลอไรด์” ที่ชาวสวนใช้กำจัดโรคแคงเคอร์.จำนวนมาก สารกลุ่มนี้เมื่อสะสมภายในต้นมากๆ จะยับยั้งขัดขวางระบบลำเลียงสารอาหารจากรากไปสู่ส่วนต่างๆของต้น ทำให้ต้นไม่ได้รับสารอาหารจึงตาย

5. น้ำในร่องสวนเป็นกรดจัด สาเหตุมาจากกำมะถันใต้ดินซึมขึ้นมา กับส่วนหนึ่งเกิดจากละอองสารเคมีฆ่าแมลงปลิวลงไป แล้วชาวสวนก็นำน้ำนั้นขึ้นมารดให้แก่ต้นส้ม

6. ต้นส้มส่วนใหญ่เป็นโรครากเน่าโคนเน่า (ไฟธอปเธอร่า) หรือ “รากถอดปลอก” สาเหตุมาจากดินเป็นกรดจัด

7. ต้นส้มส่วนใหญ่ปลายรากด้วนและเน่า สาเหตุเพราะเมื่อรากเจริญยาวไปถึงน้ำในร่องแล้วจะหยุดการเจริญยาว กลายเป็นรากด้วนไม่สามารถดูดซับสารอาหารได้

เมื่อแนะนำถึงสาเหตุพร้อมคำอธิบายอบย่างละเอียด มีหลักวิชาการรองบรับแล้ว ก็ได้แนะนำวิธีแก้ไข คือ

1. เปลี่ยนวิธีการให้ปุ๋ยโดย ลดธาตุหลัก แล้วเพิ่มธาตุรอง ธาตุเสริม และฮอร์โมน
2. ยกเลิกระบบน้ำหล่อในร่อง โดยนำน้ำออกให้หมด หรือลดระดับผิวน้ำให้ต่ำกว่าสันแปลง 1-1.20 ม.
3. เลิกใช้ยาฆ่าหญ้า แล้วใช้วิธีตัดแทน
4. เลิกใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลงโดยเฉพาะ ค็อปเปอร์ ออกซี่ คลอไรด์. อย่างเด็ดขาด แล้วหันมาใช้วิธีป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชแบบ ไอพีเอ็ม. หรือสารสมุนไพร.แทน

จากคำแนะนำแบบมีเหตุมีผล ทั้งจากภาพลักษณ์ของนักวิชาการที่ไม่มีผลประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เคมีเพี่อการเกษตรเข้ามาเกี่ยวข้องนี้ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวสวนส้มเป็นอันมาก ถึงขนาดโห่ฮาขับไล่ แล้วไม่ยอมรับคำแนะนำแบบนี้อีกต่อไปอย่างเด็ดขาด

วันเวลาผ่านไปนานนับปี การชุมนุมเรียกร้องจากชาวสวนยังดำเนินไปหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะมีการเชิญนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร. และกรมส่งเสริเมการเกษตร. หน่วยเดิม แต่เปลี่ยนหน้าคนใหม่เท่านั้น ซึ่งคำแนะนำจากหน่วยงานทั้งสองก็ยังอ้อมแอ้มๆ ไม่เต็มปากเต็มคำ เข้าข้างชาวสวนเหมือเดิม

สุดท้ายของเกมส์นี้ :
1. โรงฟ้าฟ้าสนับสนุนให้ชาวสวนที่มีสวนอยู่ติดโรงไฟฟ้าให้ทำสวนส้มบางมด โดยมีนักวิชาการจาก พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร. จุฬาลงกรณ์. และธรรมศาสตร์. เป็นผู้ให้คำแนะนำ ด้วยระยะเวลาผ่านไปเพียง 1-2 ปี ส้มเขียวหวานบางมดสวนนี้เจริญเติบโตให้ผลผลิตดี ถึงวันนี้ที่เวลาผ่านไป 5-6 ปีแล้วก็ยังยืนต้นสมบูรณ์แข็งแรง ให้ผลผลิตดีทั้งคุณภาพและปริมาณ ทั้งๆที่อยู่ติดรั้วโรงไฟฟ้า

2. กลุ่มชาวสวนส้มที่เคยเรียกร้องความเสียหาย ได้อพยบไปหาเช่าที่ดินย่าน กำแพงเพชร. ขอนแก่น. ลพบุรี. ถึง ฝาง เชียงใหม่ รายละ 100-500-1,000 ไร่ แล้วทำสวนส้มเขียวหวานตามแบบเดิม (ยกร่องน้ำหล่อ. สารเคมี-ปุ๋ยเคมี) ทุกอย่าง สูตรเดิมวิธีเดิม .... สวนส้มแหล่งใหม่บางรายอยู่ได้เพียง 2 ปี ส้มยืนต้นตายทั้งแปลง บางแปลงอยู่ 4 ปียังไม่ให้ผลผลิต หรือให้ผลผลิตไม่คุ้มทุน .... ถึงวันนี้จริงๆ เหลือน้อยรายมากที่ยังคงทนทำต่อไป แต่ส่วนใหญ่กลับมา รังสิต. ธัญญะ. หนองเสือ. วิหารแดง. ฯลฯ กลับมาแล้วเห็นคนที่ไม่ได้อพยบไปต่างประสบความสำเร็จจากการปรับทัศนคติแนวคิดเรื่องทำการเกษตรใหม่บนแผ่นดินผืนเดิม เห็นแล้วอดกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้


181. รด.รร.วัดเขมาฯ :
.
.
182. นนส.ป. สอบตก :
.
.
183. รด.ขาดฝึก :
.
.
184. นนส.ป. ขว้างระเบิด :
.
.
185. กล้องเล็ง M.16 :
.
.

186. กล่องเก็บปลอก M.16 :
.
.
187. พลทหารศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย :
.
.
188. รายการวิทยุ รับทหารใหม่ :
.
.
189. เกษตรกรวันหยุด :
.
.
190. นนส.100 คน ตก 94 คน :
.
.
191. วังน้อย ภารกิจเฉพาะ :
.
.
192. เก่งเกิน :
.
.
193. 2 ขั้น ขั้นครึ่ง :
.
.
194. สถานการณ์ตัวกำหนด :
.
.
195. ปรัชญาเกษตร คิดได้ไง :
.
.
196. ปุ๋ยทางใบ ให้ทางใบ
.
.
197. ทำ VS ไม่ทำ :
.
.
198. เกษตรไนร่ม :
.
.
199. จับกวาง :
.
.
200. ส่วนลึกของใจ :
.
.
...........................................................................................................




.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 13/03/2024 7:26 am, แก้ไขทั้งหมด 8 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 14/01/2024 4:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©