-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ข่าวเกษตร...ส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างโลกทัศน์ 6938-24-1800
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ข่าวเกษตร...ส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างโลกทัศน์ 6938-24-1800
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ข่าวเกษตร...ส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างโลกทัศน์ 6938-24-1800
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 14/04/2010 7:27 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หนุนรัฐแก้ภัยแล้ง

นายอนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับมาตรการของภาครัฐในการให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชฤดูแล้งอายุสั้นแทนในช่วงหน้าแล้งปีนี้ โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งพืชเหล่านี้สามารถปลูกในพื้นที่นาหน้าแล้งได้ เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการปลูกไม่เกิน 4 เดือน รวมทั้งใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว ยังเป็นการช่วยตัดวงจรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทั้งยังเป็นการบำรุงดินอีกด้วย ซึ่งการปลูกข้าวหน้าแล้งจะใช้น้ำต่อหนึ่งไร่ประมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตร แต่ถ้าปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชตระกูลถั่วทั้งหลายใช้น้ำเพียงแค่ 800 ลูกบาศก์เมตรต่อ 1 ไร่เท่านั้น


ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 14/04/2010 7:28 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปศุสัตว์เตือนภัยพิษสุนัขบ้า

นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ขณะนี้โรคพิษสุนัขบ้ากำลังระบาดหนัก มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 10 ราย นับเป็นสถิติที่สูงหากเทียบกับ ปี"52 ที่มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศเพียง 24 ราย ในขณะปี"51 มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ซึ่งจากการสอบสวนหาสาเหตุพบว่า ผู้เสียชีวิตทุกรายรับเชื้อมาจากการถูกสุนัขและแมวที่ไม่มีประวัติการฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อป้องกันภัยจากโรคพิษสุนัขบ้ากรมได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครนำสุนัขที่ไม่มีเจ้าของไปเลี้ยงยังศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดของหน่วยงานราชการ และเข้าร่วมกับกรุงเทพมหานครให้บริการฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงในพื้นที่ 50 เขตของกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 21-29 เม.ย.นี้ พร้อมทั้งเตรียมเสนอให้นำกฎหมายมาบังคับใช้เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้นำสุนัขมาปล่อยในที่สาธารณะ


ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

EU คุมเข้มนำเข้าผักจากไทย เจอยาฆ่าแมลง

"พาณิชย์" เผย อียูคุมเข้มนำเข้าผักไทย 3 ประเภทหลัก คือ คือตระกูลถั่ว มะเขือ และกะหล่ำ หลังเจอยาฆ่าแมลง 22 ชนิด..

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อเร็วๆนี้ สหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกมาตรการตรวจเข้มผักที่นำเข้าจากไทยทันที 50% ณ ด่านนำเข้า ซึ่งจะเป็นการตรวจหายาฆ่าแมลงตกค้าง 22 ชนิดในผัก 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ผักในตระกูลถั่ว มะเขือ และกะหล่ำ หลังจากที่ผ่านมา อียูมักตรวจพบยาฆ่าแมลงตกค้างเหล่านี้ในผักที่นำเข้าจากไทย เช่น อซีเฟต, คาร์บาริล, คาร์เบนดาซิม, คาร์บอ–ฟูแรน, อีเธียน, มาลาเธียน, เมทาแลกซิล, เมทามิโดฟอส, คลอร์-ไพริฟอส, คลอร์ไพริฟอส-เอธิล, โมโนโครโตฟอส, โพรธิโอฟอส, ไดโครโตฟอส ฯลฯ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.53

การกำหนดรายชื่อยาฆ่าแมลงที่ชัดเจน ที่ประเทศสมาชิกจะต้องสุ่มตรวจนั้น เชื่อว่าจะช่วยลดเวลา และบรรเทาภาวะการตรวจสอบที่เป็นภาระหนักของด่านนำเข้าทุกแห่งในอียู เพราะที่ผ่านมาอียูไม่เคยออกประกาศกำหนดรายชื่อยาฆ่าแมลงที่ชัดเจนเลยส่งผลให้ด่านนำเข้าต้องตรวจอย่างเข้มงวดในยาฆ่าแมลงทุกชนิด ซึ่งถือเป็นภาระหนักมาก นอกจากนี้ อียูยังได้ออกประกาศว่าด้วยการกำหนดค่าตกค้างสูงสุดของสารโอคาร์ทอกซิน เอในสินค้าเครื่องเทศและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หมักจากข้าว (liquorice) เพิ่มมากขึ้นด้วย.


ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผู้ส่งออกโวย ต่างชาติจ้องซื้อข้าวถูก

ขณะที่ตลาดอยู่ในภาวะซบเซา แทบไม่มีความเคลื่อนไหว เพราะผู้ซื้อต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อ เพื่อรอการขายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล...

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าข้าวไทยในขณะนี้ว่า ตลาดอยู่ในภาวะซบเซา แทบไม่มีความเคลื่อนไหว เพราะผู้ซื้อต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อ เพื่อรอการขายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลไทย ที่น่าจะมีราคาถูก เนื่องจากเกรงว่า หากซื้อก่อนจะขาดทุน ที่สำคัญ การขายข้าวของรัฐบาลไทยในปริมาณมากจะฉุดให้ราคาข้าวในตลาดลดลงไปอีก ดังนั้น รัฐบาลไทยควรหยุดการให้ข่าวว่ามีแผนจะขายข้าวในสต๊อก รวมถึงแผนการเดินทางไปหาตลาดข้าวในต่างประเทศ

ประกอบกับผลผลิตหลายประเทศเริ่มออกสู่ตลาด จึงไม่จำเป็นต้องนำเข้า เช่น ฟิลิปปินส์ ขณะที่อีกหลายประเทศหันไปซื้อธัญพืชอื่นที่มีราคาถูกกว่าแทน เช่น อินเดีย หันมาบริโภคข้าวสาลี เพราะมีราคาเพียงตันละ 190 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนแอฟริกา ซื้อข้าวโพด ที่ราคาเพียงตันละ 175 เหรียญฯแทน สำหรับราคาส่งออกข้าวสารของไทย ล่าสุดวันที่ 7 เม.ย.53 เปรียบเทียบกับวันที่ 31 มี.ค.53 ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 ตันละ 1,092 เหรียญฯ ลดจาก 1,095 เหรียญฯ ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 737 เหรียญฯ ลดจาก 739 เหรียญฯ ข้าว 100% ชั้น 2 ตันละ 510 เหรียญฯ ลดจาก 527 เหรียญฯ และข้าวขาว 5% ตันละ 478 เหรียญฯ ลดจาก 486 เหรียญฯ

"ตอนนี้ ผู้ส่งออกทำตลาดยากมากๆ ขนาดเวียดนามขายดัมพ์ราคาข้าวขาว 5% เพียงตันละ 360 เหรียญสหรัฐฯ ห่างจากของเรากว่าตันละ 100 เหรียญฯ ก็ยังขายไม่ได้ เพราะผู้ซื้อต่างรอว่าไทยจะเทขายข้าวในสต๊อก จึงรอช้อนซื้อของถูกดีกว่า ดังนั้น รัฐบาลต้องหยุดให้ข่าวว่าจะขายข้าวสักพัก เชื่อว่า ในอีก 2-3 เดือนตลาดน่าจะเริ่มเดินได้ ซึ่งจะช่วยดึงผลผลิตออกจากประเทศ แล้วราคาข้าวในประเทศก็จะกลับขึ้นมาได้อีก".


ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กษ. ดึงยางพารา สู่พืชยุทธศาสตร์ หลังเกษตรกรสนใจเพิ่มพื้นที่ปลูก

นางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันยางพาราแห่งชาติ ประจำปี 53 จังหวัดพะเยา ที่ผ่านมาว่า ยางพารานับเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สร้างมูลค่าการส่งออกสูงเป็น

อันดับหนึ่งในบรรดาสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย และเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า และจากราคาการรับซื้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรทั่วประเทศตื่นตัวและหันมาสนใจปลูกมากขึ้น เพราะเล็งเห็นว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ นับเป็นแหล่งปลูกยางแห่งใหม่ที่เกษตรกรให้ความสนใจ และมีพื้นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปัจจุบันมีประมาณ 600,000 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 3.6 ของพื้นที่ปลูกยางทั้งประเทศ เปิดกรีดยางได้ประมาณ 14,000 กว่าไร่ ให้ผลผลิต 3,700 ตัน ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 251 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปทั้งระบบ กระทรวงเกษตรฯจึงได้กำหนดให้ยางพาราเป็นพืชยุทธศาสตร์ ส่งผลให้ปัจจุบันนำไปสู่การแปรรูป การสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลผลิตยางพาราของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรชาวสวนยาง.

ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:41 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พริกสีหนาท...ทนแล้งร้อน รสชาติไม่เผ็ด ตลาดต้องการ

พริก...เป็นพืชอายุสั้น ที่สามารถใช้ประโยชน์ ได้ทั้งบริโภคสด และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พริกชนิดต่างๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก น้ำพริก เครื่องแกง พริกน้ำจิ้ม ฯลฯ

ดังนั้น...พริกจึงจัดได้ว่าเป็นพืชผักที่มีศักยภาพชนิดหนึ่ง...ในการผลิตพริกที่ดี จำเป็นจะต้องปรับระบบการผลิต ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม ในแต่ละพื้นที่เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ลดการใช้สารเคมีในการควบคุมศัตรูพืชและลดต้นทุน

ฉะนั้น...เกษตรกรต้องมีการจัดการที่ดีทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ลดความเสียหาย และได้รูปลักษณ์ที่ดีตรงตามมาตรฐานทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ

ผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรปลูก...พริกพันธุ์สีหนาท ซึ่งเป็นพริกที่ไม่มีรสเผ็ดทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดนั้น คือ...นายยศวัฒน์ ศิริอธิพันธ์ บอกว่า ผมมีที่ดินอยู่จำนวนหนึ่งใน ต.ยางซ้าย อ.เมือง จ.สุโขทัย เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วจึงเริ่มปลูกพืชไร่หลายชนิด ได้ผลบ้าง มีปัญหาบ้าง ก็เลยคิดค้นคว้าหาความรู้พร้อมกับเข้าอบรมสัมมนา และศึกษาดูงานตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ

"...แหล่งที่ผมศึกษาเรียนรู้ได้อย่างดี คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฯลฯ จนกระทั่งคิดได้ว่า พริก คือพืชที่มีศักยภาพมากที่สุด...จึงทดลองปลูกพริกหลายสายพันธุ์ แต่ก็มีปัญหามากมายทั้งเรื่องโรคแมลง อากาศ รวมทั้งโรงงานที่รับซื้อ ซึ่งต่อมาได้รับโจทย์จากโรงงานรับซื้อว่า...ต้องการ พริกที่มีรสชาติไม่เผ็ดและสีสวย จึงได้ศึกษาและได้พบกับ พริกพันธุ์สีหนาท ซึ่งนำเข้ามาจาก ประเทศอินเดีย เป็นพันธุ์ที่ ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี ทนต่อโรคเชื้อรา และใบหงิก ขนาดของเม็ดใหญ่ ประมาณ 20-25 ซม. สีสวย ผลผลิตต่อไร่สูงประมาณ 7-8 ตันต่อไร่ และรสชาติไม่เผ็ด จึงนำมาทดลองปลูกและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรรายอื่นๆอีกด้วย ทุกวันนี้มีกลุ่มเกษตรกรที่ ปลูกพริก 150 ราย มีพื้นที่รายละ 2-9 ไร่ หากรวมกันทั้งจังหวัดสุโขทัย ประมาณ 600 ไร่ จะได้ผลผลิตปีละประมาณ 5,760,000 กก." ยศวัฒน์ บอกอย่างนั้น

นายสุวิทย์ ปล้องทอง ประธานกลุ่มชาวไร่ ต.ทัพผึ้ง อ.เมือง จ.สุโขทัย เล่าให้ฟังว่า มีที่ดินอยู่ 15 ไร่ อาชีพหลักก็ทำไร่ยาสูบ ซึ่งมีกล้าพันธุ์ ยาปราบศัตรูพืช มีปุ๋ย จำหน่ายให้ โดยมีตลาดรับซื้อแน่นอน แต่เป็นระบบโควตา บางช่วงส่งขายได้บางช่วงส่งไม่ได้ ก็ดีแต่ก็มีปัญหาอยู่บ้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง...ยศวัฒน์เข้ามาเสนอให้ปลูกพริกโดยมีเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าโรคแมลง คำแนะนำระหว่างที่ปลูกแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น ที่มั่นใจมากคือมีการรับประกันราคารับซื้อ แรกๆก็กิโลกรัมละ 8 บาทไม่มีระบบโควตา แต่จะกำหนดโควตาให้ปลูกว่าเริ่มต้นกี่ไร่แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น

ตอนแรกทดลองปลูกแค่ 3 ไร่ พันธุ์พริกชื่อแม่ปิง ปลูก 3,200 ต้นต่อไร่ 3 ไร่ก็ 9,600 ต้น ต้องจ้างแรงงานเวลาเก็บพริกบ้าง ซึ่งเขารับซื้อหมดโดยไม่มีคัดเกรด จึงปลูกเพิ่มตอนนี้ปลูก 9 ไร่ จากนั้นได้ พัฒนามาปลูกพริกพันธุ์สีหนาท (เดิมปลูกพันธุ์แม่ปิงอย่างเดียว) เพาะกล้าเอง (35-45 วัน) ได้กล้าแข็งแรงมากกว่าเก่า ลงทุนไถพรวนแล้วปลูกด้วยระบบน้ำหยด ซื้ออุปกรณ์มาช่วยกันทำระหว่างกลุ่ม ประมาณไร่ละ 8,000 บาท รดน้ำ 3-4 วันต่อครั้ง ปลูกแล้วใช้พลาสติกคลุมป้องกันสองอย่าง ดินมีความชุ่มชื้นมากกว่า (ป้องกันการระเหย) และไม่ต้องกำจัดวัชพืชซ้ำซาก ต้นทุนการผลิต 9 ไร่ ประมาณ 230,000 บาท

...สุวิทย์ บอกอีกว่า คาดว่าปีนี้จะขายได้ 600,000 บาท...สำหรับพริกพันธุ์สีหนาท มีต้นแข็งแรง แตกยอดเก่ง ตกดอกและติดผลมากกว่า ฝักยาวใหญ่กว่า 20-25 ซม. สีแดงของฝักแดงกว่า ทนความร้อนได้ดีกว่าถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งบางปีที่สุโขทัยร้อนมากๆ และถือว่าพริกพันธุ์นี้มีความเหมาะสมมากที่สุด

หากชาวไร่ชาวนาที่สนใจหันเหชีวิต...มาปลูกพริกจนเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ กริ๊งกร๊างสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ยศวัฒน์ 08-9961-3423 ในเวลาที่เหมาะสม.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สกัดน้ำมันปาล์มระบบแห้ง ไทยทำสำเร็จเครื่องแรกของโลก

สถานการณ์ น้ำมันปิโตรเลียมกำลังจะหมดไปจากโลก...มนุษยชาติจึงหาพลังงานทดแทน หลายประเทศได้พึ่งปาล์มน้ำมัน ซึ่งในระบบการผลิตหรือสกัดนั้น....มักจะมี ปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ด้วยน้ำเสียจากขบวนการผลิต...

รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับทีมงานจึงได้ทำการวิจัย ออกแบบพัฒนาระบบสกัดน้ำมันปาล์มให้มีประสิทธิภาพสูง เป็นการเตรียมความพร้อมผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันระบบแห้งขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

แรงบันดาลใจที่ทำให้ทีมงานมุ่งเน้นในการวิจัยชิ้นนี้ รศ.ดร.พรชัย บอกว่า...เนื่องจากภาคใต้ เป็นแหล่งผลิตน้ำมันปาล์มมากที่สุดในประเทศไทย ประกอบกับการผลิตมักมีปัญหาต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งกระทบต่อชาวบ้านที่อยู่อาศัยใกล้เคียง จึงได้ร่วมกับ นายสมชาย สิทธิโชค เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ต.อ่าวลึกเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ คิดค้น...เครื่องสกัดน้ำมันปาล์ม Dry Process

"ซึ่งแตกต่างจากระบบเดิมที่เป็นแบบใช้ไอน้ำ (Stream Process) หลังกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์ม จะเกิดปัญหาน้ำเสียขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง ในการพัฒนา...เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มระบบแห้งหีบรวม (Dry Process) เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่..." รศ.ดร. พรชัย บอกอย่างนั้น

สำหรับ Dry Pro-cess กระบวนการเริ่มจากนำ ทะลายปาล์มมาตัดฉีกแยกผลปาล์มออกด้วยเครื่องมือพิเศษ จากนั้นนำ ผลปาล์มที่ได้ไปเข้าเครื่องสั่นเพื่อแยก... สิ่งแปลกปลอม ให้เหลือเฉพาะผลปาล์ม...แล้วนำ เข้าเครื่องอบความร้อนด้วยท่อหมุน...เพื่อให้เกิดการ เผาผลาญปริมาณน้ำให้ออกจากผลปาล์มจนหมดสิ้น ก่อนที่จะนำมาตัดแยกเป็น เนื้อปาล์ม เมล็ดในและกะลา แล้วนำไปบีบน้ำมันเท่านี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการ เครื่องจักรชุดนี้ มีขนาดเล็ก ใช้พื้นที่น้อย ใช้งบลงทุนต่ำ และ ใช้เชื้อเพลิง จาก เศษเหลือทะลายปาล์ม กะลาปาล์ม เป็นแหล่งกำเนิดความร้อน

หลังทดลองเสร็จสิ้นพบว่า...กำลัง การผลิตเท่ากับ 2.5 ตันต่อชั่วโมง โดยสามารถ ขยายกำลังการผลิตได้ถึง 5 ตันต่อชั่วโมง และมี เปอร์เซ็นต์ น้ำมันปาล์ม ที่หีบ มากกว่า 22% ขึ้นไป ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าระบบเดิม สามารถรองรับผลผลิต ปาล์มน้ำมันได้ตั้งแต่ 3,000 ไร่ขึ้นไป

...เมื่อผลงานวิจัยเสร็จสมบูรณ์แล้วจะนำไปติดตั้ง เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันจากแปลงวิจัยในพื้นที่...ทั้งยัง นำไปพัฒนาและต่อยอดในกระบวนผลิตไบโอดีเซลของชุมชน...

...ถือว่าเป็น เครื่องสกัดน้ำมันปาล์มเครื่องแรกของประเทศไทย และ หนึ่งเดียวในโลก อีก ด้วย ใครสนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกริ๊งกร๊างหา รศ.ดร.พรชัย 08-9758-2900 หรือไปดูเครื่องผลิตด้วยตาตนเองที่ จ.กระบี่ ติดต่อสมชาย 08-9553-1999 ในเวลาที่เหมาะสม.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน


ที่มา : ไทยรัฐ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 18/04/2010 9:46 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วท.รุก ดึงนักวิจัยสมองไหลกลับไทย

กระทรวงวิทยาศาสตร์ เตรียมเดินหน้าโครงการสมองไหลกลับ จ่อ ดึงนักวิจัยไทย ใน สหรัฐฯ กลับมาทำงานในประเทศไทย...

เมื่อวันที่ 9 เม.ย.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมกับผู้บริหารกระทรวง จะเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-19 เม.ย.นี้ เพื่อไปเยี่ยมนักเรียนไทย และนักวิจัยไทยที่ทำงานอยู่ในสหรัฐฯ พร้อมกับเยี่ยมชมหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญๆ ในสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความร่วมมือกันในอนาคต ทั้งนี้ มีนักเรียนไทยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักวิจัยไทยที่ทำงานอยู่ในสหรัฐฯ จำนวนหลายพันคน ดังนั้น วท.มีแผนใช้ช่วงวันหยุดสงกรานต์ไปทำให้พวกเขาได้รู้จักกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มากขึ้น และสิ่งสำคัญคือ วท.ต้องการชักชวนให้นักวิจัย กลับมาทำงานวิจัยในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้ วท.มีโครงการสมองไหลกลับ และขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็มีการส่งเสริมการลงทุนวิจัยในประเทศไทยมากขึ้น ส่วนเงื่อนไขเรื่องของค่าตอบแทน ไม่ใช่ปัญหาเพราะเจรจากันได้ ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทต่างชาติทั้งด้านพลังงาน อุตสาหกรรม เป็นต้น เข้ามาลงทุนทำวิจัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้มีอาชีพรองรับบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าแต่ก่อน

รมว.วท.กล่าวอีกว่า ที่สำคัญการเดินทางไปครั้งนี้ จะไปยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ สถาบันสมิธโซเนียน เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือหรือการแลกเปลี่ยนนิทรรศการและบุคลากรระหว่างพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ สถาบันสมิธโซเนียน และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และจะไปหารือกับผู้บริหารพิพิธภัณฑ์ฯ เพื่อที่จะนำนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา ในปี 2554 ไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน เนื่องจากพระองค์ประสูติในสหรัฐฯ และทรงเป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์

ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

รมว.เกษตร จัดระบบปลูกข้าวตามช่วงเวลาใหม่

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้เร่งจัดทำโครงการจัดระบบการปลูกข้าวตามช่วงเวลาใหม่ แบ่งเป็น 4 ระบบ คือ 1.ระบบการปลูกข้าว ข้าวรอบที่1ปลูกข้าวรอบที่2 และปลูกพืชหลังนา 2.ระบบการปลูกข้าว ข้าวรอบที่ 1 ปลูกข้าวรอบที่ 2 เว้นระยะปลูกข้าว 1 รอบ 3.ระบบการปลูกข้าวรอบที่ 1 ปลูกพืชหลังนา ปลูกข้าวรอบที่ 2 และ 4.ระบบการปลูกข้าวรอบที่ 1 เว้นปลูก 1 รอบ หลังจากนั้นจึงปลูกข้าวรอบที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อให้มีการปลูกข้าวปีละไม่เกิน 2 ครั้ง เพื่อให้มีการใช้น้ำไม่เกินปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการตัดวงจรการระบาดของศัตรูข้าว และรักษาระบบนิเวศน์ในนาข้าวให้มีความสมดุล ดำเนินการระยะแรกในพื้นที่ 22 จังหวัด

รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โครงการจัดระบบการปลูกข้าวตามช่วงเวลาใหม่ โดยมีเกณฑ์ที่ใช้เป็นกรอบในการคัดเลือก ต้องมีพื้นที่ตั้งแต่ 1 แสนไร่ขึ้นไป เป็นพื้นที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หรือพื้นที่บริเวณใกล้เคียง รวมทั้งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทานตั้งแต่ 1.5 แสนไร่ สามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี จากจำนวนพื้นที่ดำเนินการจัดระบบการปลูกข้าวทั่วประเทศ 9,532,672 ไร่ สำหรับขั้นตอนการจัดโครงการก่อนที่จะดำเนินงานจะนำเสนอคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการผลิตพิจารณา รวมทั้งจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกรทั้ง 22 จังหวัด ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติและ ครม.พิจารณาต่อไป

ที่มา : ไทยรัฐ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อย่าตัดทุเรียนขายก่อนกำหนด เกษตรฯ เตือนส่งผลกระทบราคา
ยันพร้อมรับผลไม้ ตอ.เข้าตลาด


นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า ในแต่ละปีภาคตะวันออกจะมีผลไม้สำคัญ 4 ชนิด คือ ทุเรียน เงาะ มังคุดและลองกอง จากแหล่งผลิตสำคัญ 3 จังหวัด คือ จันทบุรี ระยอง และตราด ซึ่งในปีนี้โดยภาพรวมผลไม้มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเพียงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 1.5 หากพิจารณาแต่ละชนิดพืชจะพบว่า เฉพาะทุเรียนเท่านั้นที่มีแนวโน้มการผลิตลดลง เนื่องจากการโค่นทิ้งเพราะเป็นโรคโคนเน่า ต้นอายุมากทรุดโทรม และด้วงเจาะลำต้น ส่วนผลไม้ชนิดอื่นในภาพรวมแล้วผลผลิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นปัญหาที่คาดว่าจะเกิด คือ ผลผลิตออกมากระจุกตัวมากในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน

สำหรับ ทุเรียน มีปริมาณผลผลิตรวม 332,160 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 11,131 ตัน คิดเป็นประมาณ 3% สำหรับสถานการณ์แนวโน้มด้านราคาทุเรียนในปีนี้คาดว่าจะมีราคาที่สูงขึ้นจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง อาจส่งผลให้เกษตรกรเร่งรีบตัดผลผลิตที่ยังไม่ได้คุณภาพออกมาจำหน่าย ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งเข้าไปสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกรคัดเลือกทุเรียนที่ได้คุณภาพนำเข้าสู่ตลาดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพราคา

มังคุด มีปริมาณผลผลิตโดยรวม 125,650 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15,144 ตัน แต่จากสภาพความแห้งแล้งในปัจจุบันเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ผลผลิตร่วง ทำให้ขณะนี้มังคุดยังไม่ออกสู่ตลาดมากเท่าที่ควร จึงพบว่ายังมีแนวโน้มระดับราคาที่สูงอยู่ สำหรับเงาะในปีนี้พบว่า ปริมาณผลผลิตโดยรวม 230,846 ตัน เพิ่มขึ้น 6,431 ตัน ส่วนลองกองปริมาณผลผลิต 63,876 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,834 ตัน หรือประมาณ 5%ระยะนี้อยู่ในช่วงออกดอก ดอกบาน และติดผลเล็กบ้างบางส่วน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ในภาพรวมแนวโน้มด้านราคาของผลไม้ภาคตะวันออกจะอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากไม่ใช่ช่วงผลผลิตกระจุกตัว แต่กระทรวงเกษตรฯได้เตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์เอาไว้แล้ว โดยขอสนับสนุนงบประมาณจาก คชก. ซึ่งได้รับการอนุมัติเงินจ่ายขาดจำนวน 116.724 ล้านบาทให้ จ.จันทบุรี ระยอง ตราด และกรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินการตามโครงการบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออกปี 2553 ใน 2 มาตรการหลัก คือ 1) การบริหารจัดการคุณภาพผลผลิต วงเงิน 2.724 ล้านบาท และ 2) การรวบรวมและกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต วงเงิน 114 ล้านบาท


ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 7:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปรับบทบาทเกษตรจังหวัด กษ.ระดมสมองเพิ่มความชัดเจนเนื้องาน หวังผลปฏิบัติ

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าจากการที่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2552 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเพิ่มขึ้น คือ อำนาจหน้าที่ด้านดำเนินการโครงการพิเศษ โครงการพระราชดำริ งานช่วยเหลือเกษตรกร งานภัยพิบัติ การเตือนภัยการระบาดและเฝ้าระวัง และเตือนภัยสินค้าเกษตรในจังหวัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การพัฒนา การเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัด ให้เป็นศูนย์ข้อมูลและศูนย์แม่ข่ายด้านการเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัด

ขณะเดียวกัน สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายภารกิจให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ดำเนินการด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ด้านการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัด การติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตรจังหวัดการบูรณาการ โครงการร่วมกับหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัด ประสานงานและติดตามการดำเนินงานโครงการที่สำคัญๆ ภายในจังหวัด

ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดบรรลุตามแผนปฏิบัติ จึงได้จัดให้มีการสัมมนา เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินงาน เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่า บทบาทและภารกิจของเกษตรและสหกรณ์จังหวัดหลายเรื่องยังไม่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถผลักดันงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันในการปฏิบัติงานที่เป็นอยู่บางกิจกรรมก็มีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นเป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในภาพรวม ดังนั้นการสัมมนาแนวทางการปฏิบัติงานของเกษตรและสหกรณ์จังหวัดในวันนี้ จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เกษตรและสหกรณ์จังหวัดทุกท่านรวมทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติจะได้มาทบทวน ซักซ้อม ทำความเข้าใจถึงบทบาท ภารกิจ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน


ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 8:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สศข.10 หนุนเกษตรกรราชบุรี แปรรูปสับปะรดแก้ราคาตกต่ำ

นายอนุสรณ์ พรชัย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 10 ราชบุรี (สศข.10) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพกลุ่มแปรรูปสับปะรดบ้านหนองจอก ต.หนองพันจันทร์ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ว่า สถานการณ์ตลาดที่ผ่านมา เกษตรกรในพื้นที่ประสบกับปัญหาด้านราคาที่ตกต่ำ จึงมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรแปรรูปสับปะรดโดยนำผลผลิตการเกษตรให้มีการขับเคลื่อน ทั้งแผนงาน โครงการ และงบประมาณตามแผนพัฒนาจังหวัด รวมทั้งผลักดันสู่เป้าหมายการพัฒนากลุ่มเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

ส่วนการแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกนั้น เนื่องจากสับปะรดของจังหวัดมีความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติและเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปในความหวาน และอร่อยไม่เป็นรองใคร อันเป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดแข็งของ อ.บ้านคา ดังนั้น จะเน้นการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้มีการบริโภคสับปะรดสดและส่งเสริมพื้นที่ปลูกสับปะรดสดเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมให้ผลผลิตมีการกระจายออกตลอดทั้งปี ซึ่งทาง อ.บ้านคา จะมีการจัดงานสับปะรดหวานในเดือนพฤษภาคม 2553 นี้ จึงขอเชิญชวนเที่ยวงานเพื่อลองชิมสับปะรดหวานได้

ดังนั้น การบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนและเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพกับสถาบันเกษตรกร ก่อเกิดการพัฒนาการผลิต การตลาด การอบรม และการศึกษาดูงาน ตลอดจนการรวมกลุ่มรูปแบบสหกรณ์เกษตร และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานในการจัดหาแหล่งน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 8:02 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กรมข้าวผวาปัญหาเพลี้ยบานปลาย ชาวนาเมินคำเตือนห้ามทำนาปรังรอบสอง

ขณะนี้ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้ทำการปลูกข้าวนาปรังรอบสองไปแล้วกว่า 2 ล้านไร่ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรฯ จะมีการประกาศห้ามไม่ให้มีการปลูกข้าวในฤดูนาปรังในรอบสองเด็ดขาด เนื่องจากในปีนี้มีปัญหาแล้งจัด มีน้ำที่ค่อนข้างน้อยกว่าทุกปี ขณะเดียวกันยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมทั้งโรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก อันเกิดจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นพาหะที่ยังเป็นปัญหาในปัจจุบัน ที่ทางภาครัฐค่อนข้างหนักใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว กล่าวถึงการแก้ปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลทำลายนาข้าวว่า ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว จะมีการรณรงค์ และให้ความรู้ทุกวิถีทางเพื่อให้เกษตรกรร่วมมือกันทำลายและตัดวงจรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โดยการฉีดพ่นยา รวมไปถึงการไถกลบนาข้าวที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ที่มีการระบาดไปมากกว่า 6 แสนไร่ และรัฐบาลเองก็จ่ายค่าชดเชยให้ แต่ก็ได้รับความร่วมมือค่อนข้างน้อย โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพียง 6 หมื่นไร่เท่านั้น เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ยอมเสี่ยงที่จะปลูกข้าวต่อไป เพราะหวังว่าจะได้รับผลผลิตบ้างถึงแม้จะน้อยกว่าปกติ

สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าค่อนข้างเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่เก็บเกี่ยว และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแก่เต็มวัย หากมีการปลูกข้าวนาปรังรอบสอง โดยไม่ยอมพักแปลงนาเพลี้ยก็จะกระโดด ไปที่นาบริเวณใกล้เคียงที่มีการปลูกใหม่ทันที ที่สำคัญหากเข้าสู่ฤดูนาปี หากยังไม่สามารถกำจัดปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดได้ อาจส่งผลให้เกิดมหันตภัยจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและอาจรุกลามไปทั่วประเทศได้ เพราะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะปลิวไปตามลม จากอีกจังหวัดหนึ่งไปยังหวัดหนึ่งและรุกลามไปไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจส่งผลให้ผลผลิตข้าวในพื้นที่ที่มีการระบาดลดลงกว่าร้อยละ 30 ของผลผลิตที่เคยได้ ซึ่งหมายถึงต้นทุนการผลิตข้าวจะสูงขึ้นไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ หากมีการระบาดหนักตามที่มีการวิตกกังวลของหลายฝ่ายก็อาจเกิดปัญหาการขาดแคลนข้าวได้ในอนาคต

"ถึงแม้ว่า กรมการข้าวจะแนะนำทางด้านวิชาการและมีการรณรงค์ขนาดไหน หากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไม่ให้ความร่วมมือในการหยุดการแพร่ระบาดร่วมกัน ด้วยการหยุดปลูกข้าวและพักแปลงนาสักหนึ่งเดือน เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาด และค่อยปลูกต่อในช่วงนาปี ซึ่งใกล้จะถึงแล้ว ก็เป็นการยากที่จะหยุดการแพร่ระบาดได้ ผมเองยอมรับว่าค่อนข้างเป็นห่วงเพราะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะแพร่กระจายไปกับลม ซึ่งหากเข้าสู่ฤดูฝนขณะที่ยังมีการปลูกข้าวนาปรังรอบสองไม่ยอมหยุดเมื่อมีการแพร่ระบาดอยู่ ลมอาจพาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจากภาคกลางไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนั้นจะลำบากกันทั้งประเทศ

จึงอยากขอร้องให้เกษตรกรหยุดปลูกข้าวและยอมพักแปลงนาเสียแต่ตอนนี้ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยรวม และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้หยุดปลูกสักระยะหนึ่ง เพราะเห็นชัดกันแล้วว่า เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมีการเคลื่อนย้ายตามลม จะเห็นชัดจากกรณีที่เดิมเคยพบแค่พื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และเมื่อมีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดมา จากเดิมที่ชัยนาทและสิงห์บุรี ไม่เคยเกิด ณ วันนี้มีการเคลื่อนย้ายการแพร่ระบาดตามทิศทางลม กระทรวงเกษตรฯ จึงมีความกังวลมาก เพราะห้ามปลูกไม่ได้ก็ ที่ทำได้ตอนนี้คือให้ความรู้ตามหลักวิชาการที่พอทำได้เท่านั้น" นายประเสริฐ กล่าว


ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 8:04 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปัญหาดินเสื่อมโทรมทวีรุนแรง เร่งงัดกฎหมายพัฒนาที่ดินสกัด

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า จากการติดตามตรวจสอบสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินในปัจจุบัน ยังพบปัญหาความเสื่อมโทรมของดินได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติลดลง ดินมีการปนเปื้อนสารเคมีและมีการขยายตัวของดินเค็ม ทั้งยังมีการนำพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งเหมาะสมในการทำเกษตรกรรมไปใช้เพื่อกิจกรรมอื่นๆ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้มีการนำพื้นที่ลาดชันและพื้นที่สูง มาใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรโดยปราศจากระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ก่อให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินอย่างรุนแรงจนถึงขั้นดินถล่มตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ ซึ่งนอกจากสร้างความเสื่อมโทรมของดินแล้ว ยังทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐและประชาชน โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯโดยกรมพัฒนาที่ดินได้เร่งสร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องและเกษตรกร ในการนำพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดินพ.ศ. 2551 ตามที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบเพิ่มเติม มาเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและแก้ไขความเสื่อมโทรมของดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศให้ใช้ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 มีทั้งหมด 25 มาตรา มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อลดการชะล้างพังทลายของดินและป้องกันการเกิดดินถล่ม รวมถึงการห้ามกระทำการใดๆ ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อดิน หรือทำให้สภาพดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 8:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ข้าว-สิ่งทอไทยหนาว อียู จ้องทำ เอฟที เวียดนาม

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเดือนมี.ค.สหภาพยุโรป (อียู) และเวียดนามประกาศที่จะเจรจาเอฟทีเอร่วมกัน ซึ่งจะมีผลให้ อียูยกเลิกภาษีนำเข้าและขยายโควตาภาษีให้แก่สินค้าส่งออกจากเวียดนาม ซึ่งสินค้าเวียดนามหลายรายการเป็นชนิดเดียวกันหรือคล้ายกับสินค้าส่งออกของไทย จึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยุโรป เช่น รองเท้า เสื้อผ้า และข้าว เป็นต้น เพราะเวียดนามสามารถส่งออกโดยไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีต่ำกว่าไทย หรือส่งออกได้ในปริมาณโควตาที่มากกว่า

นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารเงินช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารเงินช่วยเหลือฯ ครั้งที่ 2/53 เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือแก่โครงการที่เสนอขอรับความช่วยเหลือ 3 โครงการ วงเงินรวม 24.68 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการพัฒนาคุณภาพด้านการผลิตและการตลาดเพื่อการส่งออกสับปะรดผลสดไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น ภายใต้สิทธิประโยชน์ทางการค้าตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปป้า) 8.25 ล้านบาท

2.โครงการวิจัยสร้างขีดความสามารถกลุ่มเกษตรกรและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกและข้าวฮาง หนองบัวลำภู 7 ล้านบาท และ

3.โครงการเพิ่มศักยภาพชาวนาไทย เพื่อรองรับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน 9.43 ล้านบาท

โดยขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ช่วยเหลือผู้ผลิตและผู้ประกอบการไปแล้ว 24 โครงการ เป็นเงิน 182.28 ล้านบาท คงเหลือเงินอีก 31.75 ล้านบาท

ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 15/04/2010 8:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มะกัน-ญวน ฉุดราคาข้าวตก

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงปัญหาข้าวราคาตกต่ำว่า ราคาข้าวเปลือกมีราคาลดลง เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกข้าว เช่น เวียดนาม และสหรัฐ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดในไทยราคาลดลง สำหรับแนวทางแก้ไขนั้นกระทรวงพาณิชย์ออก มาตรการไปแล้ว 6 มาตรการ เช่น มาตรการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าว ซึ่งมีโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ ถึง 83 แห่ง มาตรการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกใน 57 จังหวัด ซึ่งทั้ง 2 มาตรการนี้ค่อนข้างได้ผลดี โดยเปิดจุดรับซื้อข้าวในจุดที่มีผลผลิตมาก เพื่อช่วยให้เกษตรกรเข้ามาขายไม่ถูกกดราคา หากมาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นก็จะใช้มาตรการซื้อนำตลาดจากเกษตรกร นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแลกเปลี่ยนข้าวสารใน สต๊อกรัฐบาล นำข้าวใหม่มาแลกข้าวเก่า ซึ่งเชื่อว่าเป็นมาตรการที่น่าจะช่วยได้เพิ่มขึ้นแต่ต้องมีแรงจูงใจด้วย

ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 5:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผลผลิตผลไม้ปี 53 ภาคตะวันออก ...... ส่งออกเวียดนามผ่านระบบสหกรณ์

เมื่อฤดูผลผลิตผลไม้ภาคตะวันออกของไทยออกสู่ตลาดปี 2552 ณ ช่วงนั้น ประเทศกัมพูชาและเวียดนามได้นำเข้า ผลไม้จากประเทศไทยเป็นจำนวนมากและทุกชนิด โดยเฉพาะเงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง และส้ม ซึ่งแต่ละวันตลาดมีการส่งออกประมาณ 200-400 ตัน โดยซื้อจากเกษตรกรในพื้นที่ จ.ตราด จันทบุรี และระยอง โดยราคามังคุดรับซื้อกันที่กิโลกรัมละ 11-15 บาท เงาะกิโลกรัมละ 13-15 บาท ทุเรียนกิโลกรัมละ 10-13 บาท สูงขึ้นกว่าราคาในท้องตลาดของไทยประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม

ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนชาวกัมพูชาและเวียดนาม นิยมชมชอบรสชาติของผลไม้จากประเทศไทย เนื่องจากมีรสหวานและมีคุณภาพดีกว่าผลไม้ที่เพาะปลูกในกัมพูชาหรือเวียดนาม ที่ส่วนใหญ่จะมีรสชาติออกไปทางเปรี้ยว

สำหรับฤดูกาลผลผลิตผลไม้ของไทยในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดประจำปี 2553 นี้เพื่อให้ผลประโยชน์จากการจำหน่ายผลไม้ได้ถึงมือของเกษตรกรอย่างเต็มที่ ทางสหกรณ์การเกษตร และเกษตรกรชาวสวนผลไม้ในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือทางการค้าผลไม้กับตัวแทนบริษัท ผู้ส่งออกผลไม้ ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อวันก่อนโดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองและตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้กว่า 500 คน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า พิธี ลงนามครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้คุณภาพของจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด รวมทั้งเพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ให้สามารถผลิตและรวบรวมผลไม้คุณภาพเพื่อส่งออก ต่างประเทศ รองรับการแก้ไขปัญหาผลไม้ล้นตลาดในระยะยาวและราคาตกต่ำ

นอกจากนี้การลงนามดังกล่าว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างกัน บนหลักการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและผลประโยชน์ร่วมกันอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงในอาชีพ ของเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ โดยที่การลงนาม ร่วมกับตัวแทนบริษัทผู้ส่งออกครั้งนี้ มีการตั้งเป้ายอดส่งออกในปี 2553 นี้ รวม 1,500 ตัน โดยส่งไปตลาดประเทศเวียดนาม

ทั้งนี้ทางกรรมการพิจารณาแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ ได้มอบหมายให้ 3 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด จัดทำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ของจังหวัดเองโดยให้เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางกระจายผลผลิตภายในประเทศ เน้นอำนวยความสะดวกแก่พ่อค้าหรือผู้รับซื้อผลไม้ทั้งในและนอกพื้นที่ พร้อมส่งเสริมให้สหกรณ์การเกษตร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ศูนย์คัดแยกผลไม้ชุมชนและเครือข่ายเกษตรกร ช่วยรวบรวมผลผลิตป้อนให้กับผู้รับซื้อกลุ่มต่าง ๆ พร้อมอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออก รวมทั้งเร่งเจรจาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สินค้า ผลไม้ไทยผ่านเข้า-ออกได้สะดวกและจะขยายการส่งออกผ่านชายแดนไปยังประเทศกัมพูชาและเวียดนาม

นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในการให้การช่วยเหลือเกษตรกรต่อการกระจายผลผลิตประจำฤดูกาลออกสู่ตลาดภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

kasettuathai@dailynews.co.th

ที่มา : เดลินิวส์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 5:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำไมถึงลดความชื้นเมล็ดพันธุ์

ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า ทำไมถึงลดความชื้นเมล็ดพันธุ์ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีการหายใจและมีการกินอาหารเหมือนกับสัตว์ทั่วไป แต่เมล็ดพันธุ์นั้นมีการหายใจมีความสัมพันธ์กับความชื้นของเมล็ดยิ่งมีความชื้นสูงยิ่งทำให้อัตราการหายใจของเมล็ดสูงขึ้น ทำให้อาหารที่สะสมไว้ในเมล็ดจะถูกนำมาย่อยสลายเปลี่ยนไปเป็นพลังงานและความร้อน น้ำหนักของเมล็ดจะลดลงและมีการเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น รวมทั้งเกิดความร้อนสะสมในกองเมล็ด ซึ่งเป็นพิษต่อเมล็ดทำให้เมล็ดมีอายุสั้นลง

ดังนั้นในความเป็นจริง เมื่อเก็บเกี่ยวจากแปลงจะมีความชื้นสูงมาก ประมาณ 14-20% หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น การลดความชื้นเมล็ดพันธุ์ก็คือ การนำเอาน้ำออกจากเมล็ดพันธุ์ เป็นวิธีที่ปฏิบัติที่ปลอดภัยต่อคุณภาพความมีชีวิตของเมล็ดพันธุ์นั้น คือ ขบวนการระเหย ซึ่งเป็นขบวนการทางธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ถ้าความดัน ความชื้นในเมล็ดมีอยู่มากกว่าภายนอก ความชื้นในตัวเมล็ดก็จะถูกปล่อยออกมาในบรรยากาศภายนอกโดยธรรมชาติ เช่น การตากแดด หรือผึ่งลม และอีกวิธีหนึ่ง คือ การปรุงแต่งสภาพอากาศเป็นวิธีลดความชื้นที่มีประสิทธิ ภาพมาก สามารถควบคุมได้ตามกำหนด

ชาวนาท่านใดสนใจวิธีการลดความชื้นเมล็ดพันธุ์โปรดติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บริการชาวนาได้ โทร. 0-5343-1752.

ที่มา : เดลินิวส์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 5:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กองทัพบก อาสานำประชา สู่ความพอเพียง

"กองทัพบกอาสานำประชาสู่ความพอเพียง” เป็นโครงการทางการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นผลงานการฝึกปฏิบัติทำแผนประชาสัมพันธ์ โดยนายทหารนักเรียนหลักสูตรนายทหารประชาสัมพันธ์ รุ่นที่ 28 ด้วยการกำกับดูแลของแผนกวิชาประชาสัมพันธ์ โรงเรียนกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือนทหารบก โดยคาดหวังให้เป็นโครงการที่ต่อยอดการดำเนินงานจากโครงการ “กู้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกองทัพบกได้เริ่มดำเนินงานไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2552

กองทัพบกเป็นหน่วยงานหนึ่งที่น้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มีการประสานการปฏิบัติ กับทุกภาคส่วน และประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเผยแพร่และร่วมเรียนรู้ ร่วมปฏิบัติกับทุกภาคส่วน ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า “กองทัพบกเพื่อ ประชาชน” จึงได้จัดทำโครงการ “กองทัพบกอาสานำประชาสู่ความพอเพียง” โดยนายทหารนักเรียนหลักสูตรนายทหารประชาสัมพันธ์ รุ่นที่ 28 ได้เดินทางเข้าพื้นที่การฝึก ณ หมู่ 1 บ้านนาหืก หมู่ 2 บ้านสะลวงใน ตำบลสะลวง และ หมู่ 6 บ้านวังป้อง ตำบลเหมืองแก้ว และ อบต. ดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

โดยภายในงานได้มีการจัดนิทรรศ การและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ การผลิตก๊าซชีวภาพ จากมูลสุกร การทำไบโอดีเซล การทำผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ขด การทำกล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ และการนำสมุนไพรมาบำบัดโรคและสปา นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการทำข้าวกล้อง การทำขนม ดอกจอก การทำขนมทองม้วน การทำปุ๋ยอัดเม็ด และการผลิตน้ำดื่ม

สำหรับความน่าสนใจในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะได้พบเห็นการทำงานของคณะนายทหารนักเรียนหลักสูตรนายทหารประชาสัมพันธ์ รุ่นที่ 28 แล้ว ก็ยังได้พบเห็นการแสดงออกถึงบทบาทหน้าที่ของ นายทหารนักเรียนฯ ที่ต้องทำหน้าที่ในการ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจและทำให้เกิดการยอมรับระหว่างทหารกับประชาชน เพื่อก้าวไปสู่ความร่วมมือร่วมใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการทำประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจและก่อให้เกิดการยอมรับ รวมทั้งพร้อมที่จะให้ความร่วมมือที่ดีระหว่างทหารกับประชาชนต่อไป

การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการลดช่องว่างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ยังเป็นการต่อเติมส่วนที่ขาดหายไประหว่างทหารกับประชาชนที่มีต่อกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเสมือนมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป จึงนับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ทหารกับประชาชนจะนำพาชุมชน สังคม และประเทศชาติ ดำรงอยู่ได้บนพื้นฐานของความพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นับเป็นอีกหนึ่งมิติของกองทัพบกในการทำหน้าที่เพื่อสังคม แบบเดินไปพร้อม ๆ กันกับสังคมและผู้คนในสังคม ในการที่จะอาสานำประชาสู่ความพอเพียง ภายใต้ชื่อโครงการที่ว่า “กองทัพบกอาสานำประชาสู่ความพอเพียง” ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบทางการประชาสัมพันธ์ โดยหวังให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงกระบวนทางการประชาสัมพันธ์ ของกองทัพบกให้มีประ สิทธิภาพ เพื่อบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของกองทัพบกต่อไป ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า “กองทัพบกเพื่อประชาชน” นั่นเอง.

kasettuathai@dailynews.co.th


ที่มา : เดลินิวส์
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 6:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เคนซิงตัน ไพรด์....สุดยอดมะม่วงออสเตรเลีย

จริงอยู่การปลูกมะม่วงของ ชาวสวนมะม่วงไทยในเชิงพาณิชย์ปัจจุบันนี้ แทบทั้งหมดจะปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เนื่องจากผลิตเพื่อการส่งออกเกือบทั้งหมด โดยมีการส่งไปขายในรูปแบบของผลสด, แช่แข็ง, ดายฟรีซ ฯลฯ

เป็นที่สังเกตว่าพื้นที่ผลิตมะม่วง น้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออกหลัก ๆ จะอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์, อุดรธานี, พิจิตร ฯลฯ ยังมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติมขึ้นอีกมากโดยเกษตรกรไม่มีการตรวจสอบเรื่องการตลาดในอนาคตให้ดีเสียก่อน ในขณะที่มีเกษตรกรบางรายปลูกมะม่วงหลายสายพันธุ์สุดท้ายได้เปลี่ยนยอดเป็นมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูทั้งสวน เพราะมีพ่อค้ามารับซื้อเพื่อการส่งออกทั้งหมดและได้ราคาดีไม่แพ้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง อีกทั้งมีราคาดีตลอดฤดูกาลแม้จะเป็นช่วงที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิต ออกสู่ตลาดมาก ๆ

หลายคนยังไม่ทราบว่ามะม่วงพันธุ์ "อาร์ทู อีทู" เป็นมะม่วงของประเทศออสเตรเลียที่ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย แต่เป็นสายพันธุ์ที่บังคับให้ออก นอกฤดูได้ยากกว่าพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองแม้จะมีการใช้สารราด เพื่อบังคับก็ตาม แต่มีจุดเด่นตรงที่ ถ้าออกดอกแล้วช่อดอกใหญ่และดอกสมบูรณ์เพศทำให้ มีการติดผลได้ง่าย มาก

หรืออาจจะกล่าว ง่าย ๆ ว่า ถ้าออกดอกแล้ว โอกาสติดผลมีสูงมาก ในขณะที่พื้นที่ปลูกมะม่วงในประเทศออสเตรเลียเองจะมีการปลูกมะม่วงหลัก ๆ อยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ "เคนซิงตัน ไพรด์" และพันธุ์ "อาร์ทู อีทู" ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าคนออสเตรเลียนิยมบริโภคมะม่วงพันธุ์เคนซิง ตัน ไพรด์ มากที่สุด ผลผลิตมะม่วงสายพันธุ์นี้มีผลผลิตเฉลี่ยประมาณปีละ 1.65 ล้านกิโลกรัม มีผลผลิตในแต่ละปีมากกว่ามะม่วงอาร์ทู อีทู ที่ปลูกในออสเตรเลียหลายเท่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักมะม่วงสายพันธุ์นี้ ทั้งที่จัดเป็นมะม่วงที่มีเนื้อละเอียดและรสชาติอร่อย ไม่มีกลิ่นขี้ไต้และสามารถปลูกให้ผลผลิตดีในประเทศไทย

ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร ซึ่งได้ยอด พันธุ์มาจากประเทศออสเตรเลีย ที่ผ่านมาได้มีการบังคับให้มะม่วงเคนซิงตัน ไพรด์.ออกดอกและติดผลนอกฤดู ผลปรากฏว่าเป็นพันธุ์ที่ตอบสนองดีเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง และให้ผลผลิตดกมาก มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 300 กรัมต่อผล

ในอนาคตมะม่วงพันธุ์ "เคนซิงตัน ไพรด์ " ซึ่งเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ปลูกมากที่สุดในออสเตรเลียจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการส่งออกมะม่วงไทยเพราะตอบสนอง ต่อการบังคับให้ออกนอกฤดู.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

ที่มา : เดลินิวส์


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 18/04/2010 9:35 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 6:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เคลื่อนยุทธศาสตร์พืชพลังงาน วางสาธาณูปโภคพื้นฐาน
ส่งเสริมผลิตทดแทนน้ำมัน


กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าปลูกพืชพลังงานทดแทน 3 ชนิด เตรียมแผนส่งเสริมการปลูกในพื้นที่เหมาะสม พร้อมวางระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานเอื้อต่อการเพิ่มผลผลิตพืชน้ำมันของประเทศ

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านพลังงาน ภายใต้คณะกรรมการนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า กระทรวงเกษตรฯเตรียมแผนส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน ซึ่งประกอบไปด้วยมันสำปะหลัง อ้อย และปาล์มน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยพบว่ามีพืชที่สามารถนำมาปลูกเป็นพืชพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอีก ได้แก่ ข้าวฟ่างหวาน สบู่ดำ และอ้อยชีวมวล ซึ่งที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยมีอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธาน ซึ่งมีหน้าที่ในการนำแผนยุทธศาสตร์การปลูกพืชพลังงานทดแทนในรายสินค้ามาวิเคราะห์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นายยุคลกล่าวต่อว่า สำหรับการแผนยุทธศาสตร์การปลูกพืชพลังงานทดแทนที่เป็นพืชหลัก อาทิ มันสำปะหลัง ทางกระทรวงเกษตรฯ มีแผนที่จะผลิต 30 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ดีเนื่องจากในปีนี้นี้มันสำปะหลังประสบปัญหาเพลี้ยระบาด สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ประเมินว่าผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศจะลดลงเหลือประมาณ 23 ล้านตัน ซึ่งได้มอบให้คณะทำงานไปทบทวนในส่วนของตัวเลขผลผลิตมันสำปะหลังของปีนี้อีกครั้งหนึ่ง ในส่วนอ้อยตั้งเป้าการผลิตประมาณ 65-80 ล้านตันต่อปี ได้ให้มีการสำรวจพื้นที่ปลูกเพื่อประเมินผลผลิตที่ชัดเจน อย่างไรตาม พืชพลังงานทั้ง 3 ชนิดจำเป็นต้องใช้น้ำ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต รวมทั้งการใช้ปุ๋ยและการกำหนดพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องมีการจัดระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับการเพาะปลูกพืชพลังงาน ซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดแผนการผลิตที่เหมาะสมได้ ในเรื่องนี้คณะทำงานจะได้มีการประสานด้านข้อมูลกับฝ่ายวิชาการ เพื่อจัดทำแผนการผลิตและกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกที่เหมาะสมต่อไป


ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 6:13 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ชะตากรรมหอมมะลิไทย

รู้ว่า ราคาข้าวหอมไทยในตลาดต่างประเทศแพงกว่าข้าวหอมคู่แข่ง แต่ไปเจอคำให้สัมภาษณ์ของคุณเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอุทัยโปรดิวซ์ ผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิรายใหญ่ของไทยในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

บอกได้คำเดียวว่า หนาว

คุณเจริญบอกว่า เวลานี้กำลังหันเหไปทำธุรกิจโรงแรมที่กาญจนบุรี เพราะมีอนาคตกว่าธุรกิจค้าข้าว ซึ่งปีที่ผ่านมาส่งออกข้าวหอมได้ 1.7-1.8 แสนตันเทียบกับปีที่ดีที่สุดทำได้ถึง 2.5-2.6 แสนตัน เนื่องจากมีการแข่งขันกันมากขึ้น คู่แข่งไม่ใช่ใครอื่นไกล เวียดนามกับเขมรนั่นเอง

ผมเคยเขียนหลายครั้งว่า อย่าลำพองใจว่า เรามีข้าวหอมมะลิ แล้วคนอื่นไม่สามารถพัฒนาได้ จริงๆในบรรดาข้าวหอมด้วยกัน ยังมีข้าวบัสมาติของอินเดีย-ปากีสถานที่ราคาดีที่สุด หอมมะลิเป็นอันดับ2ก็ว่าได้

หอมมะลิมีคู่แข่งที่ประกาศตัวเป็นทางการต่อสาธารณชนคือแจ๊สแมนของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งวางตลาดไม่นาน แต่คู่แข่งซุ่มเงียบจะเป็นข้าวหอมจากเวียดนามและเขมร นี่คือตัวสินค้า

ถัดมาเป็นเรื่องราคา ตรงนี้แหละที่กำลังสั่นคลอนหอมมะลิไทย ปีที่ผ่านมายอดส่งออกหอมมะลิไทยไปฮ่องกงลดลง 10% ไปสิงคโปร์ลดลง 20% โดยมีข้าวหอมจากสองประเทศเป็นตัวสอดแทรก มิหนำซ้ำยังเข้าไปตีตลาดสหรัฐฯและแคนาดาด้วย

คุณเจริญยกตัวอย่างราคาข้าวหอมมะลิไทยกำลังเป็นปัญหาด้านการแข่งขัน เช่น ในตลาดฮ่องกง ข้าวหอมเวียดนาม ตันละ 600 เหรียญสหรัฐ ข้าวหอมเขมร ตันละ 800 เหรียญ ข้าวหอมมะลิไทย 1,000 เหรียญ ทั้งนี้คุณภาพข้าวหอมเขมรไม่ได้แตกต่างจากหอมมะลิไทยเท่าใดนัก ซึ่งก็น่าจะจริง เผลอๆอาจมีต้นทางสายพันธุ์มาจากหอมมะลิไทยด้วยก็เป็นได้

ผมมองตลาดข้าวไทยด้วยความเป็นห่วง ผลผลิตข้าวในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้าจะเพิ่มมากมหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ การที่ไทยประกาศจะเข้าสู่ตลาดบนด้วยการผลิตข้าวคุณภาพดีอย่างหอมมะลิ ก็ใช่ว่าจะราบเรียบ สวยหรู เราเพลินกินบุญเก่าจากหอมมะลิจนไม่ขยับพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเลยก็ว่าได้ วันนี้วันที่จะสู้รบกันจริงจัง เราก็ช้าไปแล้วดังกรณีข้าวหอมนะแหละ

ยิ่งราคาข้าวค้ำประกันโดยรัฐบาล ซึ่งอาจดีกับชาวนา แต่ขัดแย้งกับการแข่งขันในตลาด สุดท้ายไทยคงไม่โชคดีเป็นแชมเปี้ยนได้อีกยาวนานนัก

จริงอยู่ข้าวเป็นพืชระยะสั้น ผลิตได้เร็ว แต่การจะผลิตให้มีผลผลิตสูง ต้นทุนต่ำ แข่งกับคนอื่นได้ พูดได้ง่าย แต่ทำได้ยากยิ่งกว่า เพราะมีองค์ประกอบหรือเหตุปัจจัยเพียบ...เพียบ ไม่ว่าพันธุ์ ปุ๋ย น้ำมันเชื้อเพลิง กระบวนการผลิต รวมถึงต้นทุนเรื่องน้ำ

ฟังน้ำเสียงระทดระท้อของคุณเจริญแล้ว ภาวนาให้รัฐบาลได้ตระหนักด้วย..เพี้ยง

พอใจ สะพรั่งเนตร

ที่มา : แนวหน้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/04/2010 6:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ไตรมาส 2 เวียดนามเตรียมขายข้าวอีก 2.1 ล้านตัน

เวียดนามเน็ต – บริษัทส่งออกต่างๆ คาดว่าจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 2.1 ล้านตันในไตรมาสที่สอง (เม.ย.-มิ.ย.) ของปีนี้ ขณะที่สมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association) กล่าวว่า ปีนี้สถานการณ์ตลาดข้าวเปลี่ยนไปมาก เพราะมีหลายประเทศเสนอขายข้าวราคาถูกแข่งขันข้าวเวียดนาม

และเนื่องจากความต้องการในตลาดข้าวโลกยังไม่แน่นอน ทำให้เวียดนามต้องตั้งราคาจำหน่ายในระยะสั้น

ปัจจุบันเวียดนามยังคงต้องส่งออกข้าว จำนวน 800,000 ตันไปยังประเทศฟิลิปปินส์ให้ครบตามสัญญาเวียดนามข้าวผสมเมล็ดหัก 25% ผ่านคนกลางในต่างประเทศในราคาค่อนข้างต่ำ

นายฝั่มวันเบย (Pham Van Bay) รองประธานสมาคมอาหารเวียดนามกล่าวว่า ผู้ส่งออกในประเทศกำลังเผชิญกับการแข่งขันจากทั้งพม่าและปากีสถานที่เสนอขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่า

สถานการณ์ดังกล่าว ทางสมาคมฯ จะแนะแนวทางที่ยืดหยุ่นให้กับเกษตรกรและบริษัทต่างๆ เพื่อที่จะสามารถเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดโลกในช่วงเวลาที่จะถึง

สมาคมอาหารเวียดนามยังได้แนะนำบรรดาเกษตรกรว่า ไม่ควรรีบร้อนขายข้าวที่มีทั้งหมดของพวกเขาในราคาถูก ทำให้ยืนยันได้ว่า การรับซื้อข้าวโดยรัฐรอบที่ 2 จำนวน 500,000 ตัน จะมีขึ้นในช่วงเวลาที่ราคาข้าวยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ 4,000 ด่ง (ประมาณ 0.2 ดอลลาร์) ต่อข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม.

ที่มา : ผู้จัดการ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/04/2010 8:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

บุกขายผลไม้เวียดนาม

นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลไม้สดและแปรรูปให้ประเทศเวียดนามได้รู้จักและเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน รวมทั้งเป็นการขยายโอกาสทางการตลาดผลไม้สดและแปรรูป และต้องการรับทราบข้อมูลความต้องการของผู้บริโภค เพื่อนำมาใช้พัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรของไทย กรมได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลไม้ไทยในตลาดอาเซียน (Thai Fruit Fairs in ASEAN) ในระหว่างวันที่ 5-8 พ.ค.53 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ภายใต้ชื่องาน "Made in Thailand Outlet 2010" โดยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงฮานอย แนะนำสินค้าไทยรูปแบบใหม่ๆ แก่ผู้บริโภคและเป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค และอาหารไทย โดยเฉพาะปีนี้เป็นการร่วมเฉลิมฉลองกรุงฮานอยครบรอบ 1,000 ปี ซึ่งจะมีแขกระดับวีไอพีเข้าร่วม ส่วนกิจกรรมคือการจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีศักยภาพ เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด มะม่วง และกล้วยไข่ สาธิตการบริโภค การจัดชิม และแจกตัวอย่างผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ทั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำได้อีกช่องทางหนึ่ง


ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/04/2010 8:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สศก.หวั่นภัยแล้ง ฉุด จีดีพี ภาคเกษตรทรุด

กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางเมื่อวันที่ 2 เม.ย.53 มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 41,749 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 57% ของความจุอ่างฯทั้งหมด โดยสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการจัดสรรน้ำทั่วประเทศ ที่วาง แผนใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง รวมกันจำนวน 20,720 ล้านลูกบาศก์เมตร แยกเป็นเพื่อการอุปโภค-บริโภค 1,836 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการรักษาระบบนิเวศและอื่นๆ 5,539 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการเกษตรกรรม 13,176ล้านลูกบาศก์เมตรและเพื่อการอุตสาห- กรรม 169 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบัน (2 เม.ย.53) มีการใช้น้ำไปแล้ว 19,096 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 92% ของแผนจัดสรรน้ำ ยังเหลือปริมาณน้ำที่ใช้ได้จนถึงสิ้นเดือนนี้ ตามแผน 1,624 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 8%

ด้าน นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า นี้เกิดภาวะแล้งรุนแรงมากว่าทุกปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาในภาพรวม ประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทยที่รายงานว่ามีพื้นที่ประสบภัยทั้งสิ้น 45 จังหวัด พื้นที่เสียหายรวม 133,563 ไร่ ในภาพรวมเพิ่มขึ้น 38.73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ รายงานสถานการณ์ภัยแล้งตั้งแต่เดือนธ.ค.52-มี.ค.53 พบว่ามีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายประมาณ 223,546 ไร่

ทั้งนี้ สศก. ได้นำข้อมูลความเสียหายจากทั้ง 2 หน่วยงานมาประเมินเพื่อหาผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร หรือจีดีพี โดยใช้ตัวเลขความเสียหายคูณด้วยผลผลิตเฉลี่ยของแต่ละสินค้า และคูณด้วยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ แบ่งการวิเคราะห์เป็น 2 กรณี คือ 1.ตามข้อมูลความเสียหายที่กระทรวงเกษตรฯ รายงาน ที่พบความเสียหายครอบคลุมพื้นที่จำนวน 22,546 ไร่ คาดว่ามูลค่าของการผลิตทาง การเกษตรลดลงประมาณ 198 ล้านบาท จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจการเกษตรลดลงประมาณ 0.02%

ประกอบด้วยข้าวนาปรัง 11,205 ไร่ มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 70,881,665 บาท พืชไร่ที่เสียหายมากที่สุดคือข้าวโพด 8,736 ไร่ มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 34,098,906 บาท พืชสวน ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือมะม่วง 2,605 ไร่ มีมูลค่าความเสียหาย 27,717,200 บาท ปศุสัตว์ ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือกลุ่มโคและกระบือ 3,783 ตัว มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 65,374,023 บาท

สำหรับกรณีที่ 2.ตามการรายงานของกระทรวงมหาดไทยที่พบว่ามีพื้นที่เสียหายจำนวน 133,563 ไร่ มูลค่า 1,013 ล้านบาท จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจการเกษตรลดลงประมาณ 0.09% โดยข้าวนาปรังยังเป็นพืชที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด 48,126 ไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 304.44 ล้านบาท ประกอบด้วยพืชไร่ คือข้าวโพด ได้รับความเสียหายมากที่สุด 75,412 ไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 271.86 ล้านบาท มะม่วง ได้รับความเสียหายมากที่สุด 10,025 ไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 105.26 ล้านบาท โค กระบือ เสียหาย 19,191 ตัว มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 331.63 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การทำนาปรังมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯ จึงรณรงค์ให้งดทำนาปรังรอบที่ 2 ที่จะขาดน้ำในช่วงเดือนเม.ย.ของทุกปี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นจูงใจให้เกษตรกรยอมเสี่ยง

ขยายพื้นที่ปลูกมากถึง 15.7 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ให้ปลูกได้เพียง 9.5-12.5 ล้านไร่

ซึ่งในปีต่อไปกระทรวงเกษตรฯ จะจัดระบบการทำนาปรังใหม่ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบดำเนินการ โดยจะให้งดเว้นการทำนาปรังเป็นบางช่วงที่ขาดน้ำ แล้วปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ำน้อย หรือพักดินเอาไว้ระยะหนึ่ง วิธีการนี้จะช่วยตัดวงจรของโรคระบาดได้ด้วย

และเพื่อให้ระบบการทำนาปรังใหม่ดังกล่าวประสบผลสำเร็จ กระทรวงเกษตรฯ จะใช้มาตร การกึ่งบังคับด้วยวิธีการบริหารจัดการน้ำ และไม่ให้เข้าร่วมโครงการประกันรายได้ของภาครัฐ


ที่มา : ข่าวสด
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ถัดไป
หน้า 8 จากทั้งหมด 10

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©