-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-อัพเดท ทำนาข้าวรุ่น3
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร 17 AUG **มะพร้าวกลายพันธุ์, *หนอนสะระ แหน่, *ทุเรียนนครสวรรค์, *หมามุ่ยอินเดีย, *องุ่นกระถาง, *ซ่อนกลิ่นไม่ออกดอก, *สูตรยาหมามุ่ย, *แห้ว/กระ จับปลูกที่ไหน, *ดินชบา, *ขยายเชื้อจุลินทรีย์, *มะนาววงปูนต้นไม่โต
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร 17 AUG **มะพร้าวกลายพันธุ์, *หนอนสะระ แหน่, *ทุเรียนนครสวรรค์, *หมามุ่ยอินเดีย, *องุ่นกระถาง, *ซ่อนกลิ่นไม่ออกดอก, *สูตรยาหมามุ่ย, *แห้ว/กระ จับปลูกที่ไหน, *ดินชบา, *ขยายเชื้อจุลินทรีย์, *มะนาววงปูนต้นไม่โต

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11561

ตอบตอบ: 17/08/2014 9:04 pm    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร 17 AUG **มะพร้าวกลายพันธุ์, *หนอนสะระ แหน ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 17 AUG

AM 594 เวลา 08.10-09.00 & 20.05-20.30 ทุกวัน และ FM 91.0 (07.00-08.00 / วันอาทิตย์)

********************************************************************

สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตร และอาชีพเสริม
ผลิตรายการโดยกองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก

@@ สนับสนุนรายการโดย ...
... บ.นิมุติ เอ็นจิเนียริ่ง เครื่องย่อยเศษพืช (02) 322-9175-6

... ยิบซั่มธรรมชาติ เฟอร์มิกซ์, ธันเดอร์พลัส, ธันเดอร์แคล, เอ็ม.แคล--- ธาตุรอง/ธาตุเสริม มัลติแชมป์ (089) 144-1112

... และ บ.มายซัคเซส อะโกร--- ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กาวเหนียวดักแมลง มายฟิกส์, กลิ่นล่อแมลงวันทอง ฟลายแอต,
สารเสริมฤทธิ์สารสมุนไพร ไบโอเจ๊ต, ถังฉีดพ่นรุ่นใหม่ ใช้แบตเตอรี่ (081) 910-5034

กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 ฝากข้อความ-ฝากคำถาม ที่ (081) 913-4986

----------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวแทนจำหน่าย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า. (อินทรีย์ – เคมี)

1) ชมรม (ใหญ่) สีสันชีวิตไทย (089) 814-3204 ใกล้ไฟแดง สี่แยกบางแพ ราชบุรี
2) “คุณชาตรี” (081) 841-9874 ทรัพย์ทวีการเกษตร ชัฎป่าหวาย สวนผึ้ง ราชบุรี (ส่งทาง ปณ.)

3) ร.ต.ต.นันท์สุรัตน์ (089) 821-8273 ต.จรเข้เผือก ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี (ส่งทาง ปณ.)
4) “คุณล่า” (081) 944-8494 ทุกวันจันทร์ ตลาดนัดวัดอมรญาติ ดำเนินสดวก ราชบุรี

5) “คุณประเสริฐ” (080) 110-4645 บ.เขาดิน หนองแขม เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี
6) “คุณอรุณ” (085) 058-1737 ในร้านโครงการหลวง ตลาด อตก.

7) “คุณพรพรรณ” (089) 814-7944 พลชัยเกษตรชีวภาพ ตลาดนัดธนบุรี ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา
8 ) “คุณน้ำส้ม” (085) 055-7706 ชมรมฯ สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล พุทธมณฑลสาย 4 (ส่งทาง ปณ.)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

@@ สารอาหาร (ปุ๋ย) เพื่อการสื่อสาร :

** ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง : ส่วนผสมหลัก .... อินทรีย์/เคมี (กุ้งหอยปูปลาทะเล, เลือด,
ไขกระดูก, นม, ขี้ค้างคาว, น้ำมะพร้าว, ธาตุหลักตามพืช, แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม

** ไบโออิ : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม)
** ยูเรก้า : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (21-7-14, ไคโตซาน, อะมิโนโปรตีน)
** ไทเป : ส่วนผสมหลัก ..... อินทรีย์/เคมี (นม, ไข่, น้ำมะพร้าว, 13-0-46. 0-52-34)


มิได้มีเจตนาโฆษณาผลิตภัณฑ์ แต่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อง่ายต่อการสื่อสารข้อมูล เท่านั้น
.... ต้นพืชไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักเจ้าของสูตร .....
.... ไม่รู้เจ้าของคนปลูก ไม่ฟังโฆษณา .........
.... ต้นพืชรู้จักแต่ส่วนผสมหรือเนื้อใน .........

-----------------------------------------------------------



http://www.fm91bkk.com

------------------------------------------------------------------------

จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : มะพร้าวน้ำหอมไปปลูกที่นครสวรรค์ จะกลายพันธุ์หรือไม่.... ?
ตอบ :
- กลายพันธุ์ หรือ ไม่กลายพันธุ์ ไม่ได้อยู่ที่พื้นที่ปลูก เชียงรายถึงนราธิวาส อุบลถึงกาญจนบุรี ไม่ใช่สาเหตุของการกลายพันธุ์ อาการกลายพันธุ์มาจากแหล่งกำเนิดต่างหาก ถ้ากลายพันธุ์มาแล้วตั้งแต่แหล่งกำเนิด เอาไปปลูกที่ไหนก็ต้องกลายพันธุ์ ตรงกันข้าม ถ้าเป็นพันธุ์แท้มาจากแหล่งกำนิด เอาไปปลูกที่ไหนก็เป็นพันธุ์แท้

– กรณีพื้นที่ปลูก ไม่ใช่ปัญหาปลูกแล้วกลายพันธุ์หรือไม่กลายพันธุ์ ปัญหาอยู่ที่ ปลูกแล้วเจริญเติบโตหรือไม่ต่างหาก .... สังเกตุ จากมะพร้าวบนเกาะในทะเล มาถึงมะพร้าวบนแผ่นดินภาคไต้ มะพร้าวภาคตะวันออก มะพร้าวภาคกลางใกล้ทะเล เปรียบเทียบกับมะพร้าวภาคอิสาน มะพร้าวภาคเหนือ หรือมะพร้าวห่างทะเลมากๆ การเจริญเติบโตไม่เหมือนกันเพราะ ในทะเลมีสารอาหารบางอย่างที่มะพร้าวต้องการ สารอาหารนั้นส่วนหนึ่งมากับสายลม (ตากลมชายหาดแล้วตัวเหนียว เกิดจากอะไร) หรือมากับน้ำ (ลักจืดลักเค็ม) .... สรุป มะพร้าวชอบสารอาหาร แม็กเนเซียม. สังกะสี. โซเดียม. เป็นหลัก .... งานนี้เล่นง่ายๆ น้ำหมักชีวภาพที่ทำมาจากสัตว์ทะเลนั่นแหละ สารอาหารครบทุกอย่างสำหรับมะพร้าว แถมปาล์ม หมาก อีกด้วย

@@ ลักษณะทางธรรมชาติ
* มะพร้าวน้ำหอมอยู่ในกลุ่มมะพร้าวสายพันธุ์เตี้ย อัตราการเจริญเติบโตทางสูงค่อนข้างช้า ต้นอายุ 15-20 ปีความสูงประมาณ 10-12 ม.เท่านั้น

* ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกัน บานพร้อมผสมได้ในระยะเวลาเดียวกันหรือบานพร้อมๆกัน มีโอกาสได้ผสมกันเองมาก เมื่อนำผลไปขยายพันธุ์จึงมักไม่ค่อยกลายพันธุ์หรือกลายพันธุ์เพียงเล็กน้อย ยิ่งถ้าเป็นมะพร้าวน้ำหอมในสวนขนาดใหญ่จำนวนหลายๆ ร้อยต้น แม้จะผสมข้ามต้นแต่ก็ยังเป็นพันธุ์เดียวกันอยู่ดี นอกจากนี้ยังส่งผลมีผลดกอีกด้วย (สายพันธุ์เดียวกัน ผสมต่างต้น ดีกว่า ผสมในต้นเดียวกัน)

* ปลูกเตยหอมโคนต้นทั่วบริเวณทรงพุ่ม นอกจากช่วยสร้างความชุ่มชื้นหน้าดินเป็นผลดีแก่ต้นมะพร้าวแล้วยังได้เตยหอมไว้จำหน่ายอีกด้วย รากเตยหอมที่อยู่กันกับรากมะพร้าวจะช่วยให้มะพร้าวต้นนั้นมีน้ำหอมกว่าต้นที่ไม่มีเตยหอม

* พิสูจน์ต้นกล้ามะพร้าวน้ำหอมพันธุ์แท้ด้วยการใช้เล็บจิกปลายรากอ่อนหรือจิกโคนต้นอ่อน ชิมแล้วมีรสหวานและดมแล้วมีกลิ่นหอมน้ำมะพร้าวชัดเจน หรือสังเกตุก้านทางถ้าเป็นสีเหลืองเข้มหรือเหลืองอ่อน คือ พันธุ์แท้ ถ้าทางเป็นสีเขียวเป็นมะพร้าวกลายพันธุ์

* ในมะพร้าวน้ำหวาน ถ้าต้องการให้น้ำมีรสหวานจัดขึ้น ให้ปลูกแบบสวนพื้นราบหรือยกร่องแห้งลูกฟูก เพื่อความสะดวกในการควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้น ทั้งนี้ ช่วงก่อนเก็บเกี่ยวแต่ละทะลายควรให้ปุ๋ยเร่งหวานทั้งทางราก (8-24-24/1 รอบ) และทางใบ (0-21-74/1-2 รอบ) ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ให้น้ำเพื่อละลายปุ๋ยทางรากแล้วงดน้ำเด็ดขาด หลังจากเก็บเกี่ยวทะลายที่ต้องการแล้วให้กลับมาระดมให้น้ำเพื่อบำรุงผลรุ่นหลังต่อไป ซึ่งการจัดสวนแบบยกร่องน้ำหล่อไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินได้ ทำให้ไม่สามารถงดน้ำเพื่อเร่งความหวานให้เพิ่มขึ้นได้

* ให้เกลือแกง อัตรา 1/2 กก. /ต้น (ให้ผลผลิตแล้ว) /6 เดือน ควบคู่กับน้ำหมักเครื่องในปลาทะเล เป็นการเพิ่มธาตุโซเดียม หรือให้มูลค้างคาว 1-2 กำมือ /ต้น (ให้ผลผลิตแล้ว) /6 เดือน เป็นการเพิ่มธาตุฟอสฟอรัส.และโปแตสเซียม. นอกจากจะช่วยให้มะพร้าวน้ำหวานมีรสหวานจัดแล้ว ยังช่วยให้ออกดอกติดผลดีขึ้นอีกด้วย หรือให้ขี้แดดนาเกลือ 1-2 กก. /ต้น (ให้ผลผลิตแล้ว) /6 เดือน

* เพื่อให้ต้นมีความสมบูรณ์อยู่เสมอตลอดปี ควรให้ฮอร์โมนบำรุงราก 2-3 เดือน/ครั้ง และให้ไซโตคินนิน 1-2 เดือน /ครั้ง

* วิธีพูนโคนต้นให้สูงกว่าพื้นระดับ 30-50 ซม. กว้างเท่าพื้นที่ทรงพุ่มหรือล้ำออกไปนอกทรงพุ่ม ด้วยอินทรีย์วัตถุ ปีละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ออกดอกติดผลดีตลอดปี

* มะพร้าวน้ำหอม-น้ำหวาน ต้นที่สมบูรณ์ดีจะออกจั่นทุก 20 วัน และมีทางเกิดใหม่ทุก 20 วัน เมื่อได้ 1 ทางย่อมหมายถึงจั่น 1 จั่นเสมอ

มะพร้าวน้ำหอม :
เป็นสายพันธุ์ที่น้ำมีกลิ่นหอมชัดเจน แต่ความหวานอาจจะน้อยกว่ามะพร้าวน้ำหวาน กรณีนี้ถ้าต้องการเพิ่มความหวานสามารถทำได้โดยใส่ปุ๋ยเร่งหวาน ทั้งทางใบ ทางราก และงดน้ำ ก่อนเก็บเกี่ยว

มะพร้าวน้ำหวาน :
เป็นสายพันธุ์ที่น้ำมีกลิ่นหอมน้อยกว่าพันธุ์น้ำหอม แต่มีรสหวานมากกว่าพันธุ์น้ำหอม กรณีนี้ถ้าต้องการเพิ่มกลิ่นให้ดีขึ้น ให้บำรุงด้วยธาตุอาหารที่มีส่วนประกอบของฟอสฟอรัส-โปแตสเซียม และกำมะถัน

พันธุ์ผลยาวหรือผลเล็ก :
เป็นพันธุ์ที่มีผลขนาดเล็ก ยาวรี หัวแหลมท้ายแหลม รสชาติไม่ค่อยอร่อยจึงไม่นิยมปลูก

พันธุ์ผลก้นกลมหรือก้นป้าน :
เป็นพันธุ์ที่มีผลขนาดใหญ่และเปลือกบางที่สุดในบรรดามะพร้าวน้ำหอมด้วยกัน ทรงผลกลมได้สัดส่วน ส่วนก้นผลกลมมน ให้ผลดกสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นอายุน้อยถึงอายุมาก

พันธุ์ผลก้นจีบ :
เป็นพันธุ์ที่มีรูปทรงและขนาดอยู่ระหว่างพันธุ์ก้นกลมมนกับพันธุ์ผลยาว ที่ก้นผลมีร่องคล้ายจีบ 3-4 ร่อง ช่วงต้นอายุยังน้อยจะให้ผลดกเหมือนพันธุ์ผลก้นกลมมน แต่เมื่ออายุต้นมากขึ้นความดกของผลจะลดลง

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : สะระแหน่ปลูกในกระถาง หนอนกัดกินใบ แก้ไขอย่างไร....?
ตอบ :
- โถ.... สะระแหน่งในกระถางคงไม่กี่กระถาง ใช้มือบี้เอาก็ได้มั้ง แต่ถ้าปลูกไว้ 200-300 กระถางค่อยว่ากันใหม่....

– สะระแหน่กินใบสด คุณจะเอาสารเคมีฆ่าหนอนไปฉีดเหรอ แม้แต่เอาสารสมุนไพร หนอนตายหยาก หางไหล ใบน้อยหน่า ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด กับอีกหลากหลายอย่าง ไปฉีดใบสะระแหน่ คุณกล้ากินเหรอ....

– หนอนเกิดจากไข่ของแม่ผีเสื้อ แม่ผีเสื้อวางไข่ไว้ที่ใบสะระแหน่ เมื่อไข่ฟักออกมาเป็นตัวหนอน หนอนจะกินใบสะระแหน่เป็นอาหารเพื่อการเจริญเติบโต การเจริญเติบโตคือ วงจรชีวิตของหนอน หรือของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้ (วงจรชีวิต ได้แก่ เกิด กิน แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์) .... หากวงจรชีวิตช่วงใดช่วงหนึ่งถูกตัดขาดหรือทำลาย สกุลหนอนก็จะหมดไปในโลก

- มนุษย์ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ พบหนอนต้องฆ่าแต่หนอนเท่านั้น .... คิดดู ถ้าไม่มีแหล่งอาหารสำหรับทายาทแม่ผีเสื้อจะวางไข่มั้ย หรือถ้าแม่ผีเสื้อไม่วางไข่จะเกิดหนอนมั้ย หรือถ้าไข่ฝ่อฟักเป็นตัวไม่ได้จะเกิดหนอนมั้ย แล้ววิธีไหนที่ง่ายที่สุด ได้ผลที่สุด และดีที่สุดด้วย

– อยากแนะนำหลากหลายวิธี แต่ว่า แต่ละวิธีไม่คุ้มกันเลยกับสะระแหน่แค่กระถางสองกระถาง ซื้อกินน่าจะถูกกว่ามั้ง .... สะระแหน่แค่นี้คงไม่ใช่ปลูกเพื่อขายหรอก คงปลูกไว้กินมากกว่า ถามจริง ที่บ้านกินสะระแหน่ทุกมื้อเลยเหรอ ?

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ทุเรียนหมอนทอง ปลูกที่นครสวรรค์ได้หรือไม่....?
ตอบ :
- ได้..... ถ้าปัจจัยพื้นฐานเพื่อการปลูกทุเรียน คือ “ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล/สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค” เหมาะสมสำหรับทุเรียน ปลูกทุเรียนได้แน่นอน

– กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ ทุเรียนลับแล อุตรดิษฐ์, ทุเรียนที่พิษณุโลก, ทุเรียนที่ อ.สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นภาคเหนือ เหนือกว่านครสวรรค์ ยังปลูกได้ นับประสาอะไรนครสวรรค์จะปลูกบ้างไม่ได้

- กรณีนครสวรรค์ปลูกไม่ได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานฯ ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ไม่เหมาะสมสำหรับทุเรียนมากกว่า

- ทุเรียนชอบดินประเภท ดินดำร่วน หรือดินทรายร่วน ความหนาเนื้อดิน 1.5 - 2 ม. มีอินทรีย์วัตถุ .... ดินนนทบุรีเป็นดินดำร่วน ประเภท “น้ำไหลทรายมูล” เนื้อดินลึกกว่า 3 ม. เป็นดินที่น้ำพัดพาเศษซากดินมาถมทับกัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับเป็น 100-1,000 ปี .... เคยเห็นเขาขุดร่องระบายน้ำ ผนังร่องตั้งฉากกับพื้น ณ ความลึกที่ 3 ม.นั้น พบเห็นเศษใบไม้ชัดๆ วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นห่างกัน 1 ศอกแขน นี่คืออินทรีย์วัตถุบำรุงดินทั้งสิ้น นอกจากอินทรีย์วัตถุแล้วยังมีจุลินทรีย์อีกด้วย

- ไร่ก้ลอมแกล้ม ดินปราบเซียน .... ดินหน้าดินไม่อุ้มน้ำ หลังให้น้ำโชกๆ เพียง 3-4 ชม. หน้าดินแห้งสนิท .... ดินด้านล่าง ลึกแค่ 30 ซม. เป็นดินเหนียว เหนียวสุดๆ ไม่มีอินทรีย์วัตถุ ดินแบบนี้ทุรียนไม่ชอบ

- ไม้ผลอย่างอื่นที่พิสูจน์ (ทำกับมือ) มาแล้วว่าปลูกไม่ได้ ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มังคุด กิ่งตอนกิ่งทาบ อายุ 6-8 เดือนหลังปลูก เมื่อระบบรากเจริญยาวไปถึงดินชั้นล่างซึ่งเป็นดินเหนียวจัดๆ เริ่มเกิดอาการไม่แตกยอดใหม่ ยอดเดิมไหม้ ใบไหม้แห้งเกรียม ตรวจสอบรากโดยแหวกดินดูก็พบว่า ปลายรากเน่าทั้งต้น วัดค่ากรดด่างของดินได้ 6.0 ก็ปกติดี .... ลองแก้ไขด้วยการปลูกต้นกล้าเพาะเมล็ด พบว่าเงาะเพาะเมล็ดเจริญเติบโตดีมาก อายุต้น 2 ปี เริ่มให้ผลผลิต แต่ก็ไม่วายมีอาการปลายใบไหม้อยู่บ้างในบางครั้ง .... ส่วน มังคุด-ทุเรียน เพาะเมล็ด อายุหลังปลูกโตได้เพียง 3-4 เดือนแรกโตได้ จากนั้นจะนิ่งแล้วเกิดอาการยอดไหม้ ใบ้ไหม้ กระทั่งยืนต้นตายใน 1-2 ปี หลังปลูกเท่านั้น .... แสดงว่า ระบบรากแก้วของเงาะสู้กับดินล่างเหนียวได้ แต่มังคุดกับทุเรียน แม้แต่ระบรากแก้วก็ยังสู้กับดินเหนียวไม่ได้เลย

- ทับทิม น้อยหน่า ปกติชอบดินลูกรังแดงร่วน มีอินทรีย์วัตถุ พอเจอดินไร่กล้อมแกล้ม อยู่ได้เพียง 3-4 ปี แม้จะให้ผลผลิตทุกปีดี แต่สภาพต้นไม่โชว์อาการเจริญเติบโตต่อเลย ทะยอยยืนต้นตายทีละต้น ๆๆ ให้เห็น

** อย่ากังวลเรื่องเอาผลผลิต แต่ให้ดูเรื่อง “ดิน” ก่อนว่า ปลูกได้หรือไม่ ปลูกได้แล้วค่อยว่ากันใหม่
** เรารักทุเรียน แต่ทุเรียนไม่รักเรา ..... ไหวเหรอ ?

ปล.
- ปลูกทุเรียน คิดให้ไกล คิดให้กว้าง คิดให้ลึก .... คิดเป็น ทำเป็น ขายเป็น รวยเพราะทุเรียนได้แน่นอน

- ปลูกทุเรียน ทำงานทั้งปีได้ขายครั้งเดียว เพราะฉะนั้นขายครั้งเดียวต้องได้มากๆ เช่น ให้ได้ แกรด เอ. จัมโบ้. โกอินเตอร์. ขึ้นห้าง. ออกนอกฤดู. คนนิยม.... สายพันธุ์ทุเรียนหมอนทองบำรุงออกทั้งปีได้ ..... บำรุงให้ได้ไซส์ใหญ่สุด 12 กก. ทำทุเรียนทอดกรอบ

– ก้านยาวนนทบุรี บำรุงแนว อินทรีย์นำ เคมีเสริม ได้ 102 ผล/ต้น ผลละ 2 กก. ราคาขายหน้าสวน กก.ละ 500

– ทุเรียนพวงมณี เป็นสายพันธุ์ผลดกที่สุดในบรรดาทุเรียน ให้ผลผลิต 200 ลูก/ต้น บำรุงแนว อินทรีย์นำ เคมีเสริม ลูกใหญ่ไซส์ 2 กก. เนื้อหนา เมล็ดลีบ กลิ่นรสดี

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : เมล็ดพันธุ์หมามุ่ยอินเดีย หาซื้อได้ที่ไหน....?
ตอบ :
- โดยส่วนตัวไม่มีข้อมูลเรื่องนี้เลย เพราะฉะนั้น ขอให้ใช้วิจารณาญานต่อข้อมูลจากสองแหล่งที่ว่าน่าจะเชื่อถือได้มากที่สุด เอาเองก็แล้วกัน

* ความแตกต่างของหมามุ่ยสายพันธุ์อินเดียกับไทย :
หมามุ่ยสายพันธุ์อินเดียซึ่งลักษณะต้นมีลักษณะคล้ายกับหมามุ่ยของไทยแต่แตกต่างที่ลักษณะฝักและเมล็ด ที่มีขนาดใหญ่ และขนสั้นและไม่คันเวลาสัมผัสมีเมล็ดสี 2 ลักษณะ คือ สีขาวและสีดำ แต่หมามุ่ยไทยมีฝักขนาดเล็กและขนฝักขนาดยาวและคันเวลาสัมผัสขนฝัก มีทั้งเม็ดเล็กและใหญ่แต่มีสีดำเพียงสีเดียว หมามุ่ยไทยเป็นคนละสปีชีส์กับหมามุ่ยในจีนและอินเดียที่มีผลวิจัยรับรอง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จาก ฝั่งประเทศจีนและอินเดีย เมล็ดหมามุ่ยมีสารที่เพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้จริง แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ หมามุ่ยในจีนและอินเดียเป็นหมามุ่ยคนละสปีชีส์กับหมามุ่ยที่ขึ้นอยู่ในประเทศไทย

หมามุ่ย ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ไม่ใช่หมามุ่ยสายพันธุ์ไทยนะครับ เป็นหมามุ่ยสายพันธุ์อินเดีย เมื่อก่อนถ้าพูดถึงหมามุ่ย คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะหากสัมผัสหมามุ่ยจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน หรือถึงขั้นปวดแสบปวดร้อน บวมแดง แต่วันนี้ผู้เขียนจะแนะนำให้รู้จักประโยชน์ของหมามุ่ยในอีกมุมหนึ่ง หมามุ่ยมีชื่อวิทยาศาสตร์ Mucuna pruriens DC. เป็นพืชเถาซึ่งมีขนที่ฝัก อันที่จริงแล้วทั่วโลกมีหมามุ่ยประมาณ 100 ชนิด โดยมีทั้งชนิดที่คันและไม่คัน โดยหมามุ่ยที่พบในประเทศไทยมีลักษณะใบรูปร่างคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ปนขนมเปียกปูน โคนใบอาจมีทั้งมน กลม หรือหน้าตัดก็ได้ ตัวใบบางและมีขนทั้งสองด้าน ดอกสีม่วงดำ

* อย่ากินหมามุ่ยสุ่มสี่สุ่มห้า :
จากกรณีกระแสข่าว “เมล็ดหมามุ่ย” คั่วรับประทานช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศสุภาพบุรุษ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ออกโรงเตือนรับมีรายงานทางวิทยาศาสตร์จากอินเดีย และจีน แต่เป็นหมามุ่ยคนละสปีชีส์กับเมืองไทย แนะอย่ากินสุ่มสี่สุ่มห้า รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ได้เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า “เมล็ดหมามุ่ย” เมื่อนำมาคั่วรับประทาน จะออกฤทธิ์เพิ่มสมรรถภาพทางเพศแก่ผู้ชายว่า ยอมรับว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จากฝั่งประเทศจีนและอินเดีย เมล็ดหมามุ่ยมีสารที่เพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้จริง แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ หมามุ่ยในจีนและอินเดียเป็นหมามุ่ยคนละสปีชีส์กับหมามุ่ยที่ขึ้นอยู่ในประเทศไทย

http://www.velvetbeancapsule.com/


มหัศจรรย์'หมามุ่ย' ไวอากร้าพันธุ์ไทย-บำรุงกำลัง
เมธาวี มัชฌันติกะ

หมามุ่ย หรือ หมามุ้ย เป็นพืชลุ้มลุกตระกูลถั่ว มีชื่อคุ้นหูคนไทยเรามานานแล้ว แต่เมื่อจินตภาพถึงก็อาจไม่ค่อยชวนยิ้มเท่าไหร่ เพราะจะไปโยงถึงอาการคันคะเยอ แพ้เป็นผื่นบวมแดงเวลาโดนเพื่อนแกล้งเอาหมามุ่ยมาโยนใส่ แต่ล่าสุด 'หมามุ่ย' กำลังผงาดขึ้นมา สร้างคุณประโยชน์สรรพคุณทางยาที่สำคัญ ภายหลังจากนักวิจัยไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สามารถสกัดเอาสารตามธรรมชาติในหมามุ่ยมาผลิตเป็นยาสมุนไพรบำรุง สเปิร์ม และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้กับคุณผู้ชายทั้งหลาย!

'หมามุ่ย' มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Mu cuna pruriens (L.) DC. ชื่อวงศ์ FABA CEAE มีชื่ออื่นๆ ในภาษาถิ่น คือ กลออื้อแซ โพล่ยู มะเหยือง และหมาเหยือง

ความสำเร็จในการ นำหมามุ่ยมาวิจัยต่อยอดสร้างยาสมุนไพรเสริมสร้าง 'สุข ภาพทางเพศ' ให้กับบุรุษนั้นแถลงข่าวและเปิดเผยกันอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งปีนี้จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด 'ยาไทย เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี Herb for All' ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2554 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ภายในงานดังกล่าวมีการจัดประชุมวิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก จัดแสดงนิทรรศการยาไทย ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาไทยทุกภาค หลากตำรับ ตรวจสุขภาพเด็ก วัยรุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทย แผนจีน และแพทย์ทางเลือก เป็นต้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีการชูความพิเศษของสมุนไพรไทยอย่างสม่ำเสมอ

ภญ. ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยรายละเอียดการวิจัยหมามุ่ยครั้งนี้ว่า หมามุ่ย เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยที่ใช้อย่างแพร่หลายในอดีต ปัจจุบันมีการใช้ลดลง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากหมามุ่ย เป็นเถ้าที่เมื่อขึ้นแล้วขนจะปลิวไปทำให้เกิดความคัน เมื่อพบ..จึงโดนทำลายทิ้งเสียเป็นส่วนมาก

อย่างไรก็ตาม หมามุ่ยมีประโยชน์มากมายโดยที่คนส่วนใหญ่แทบไม่เคยรู้ และคุณประโยชน์ของสมุนไพรแสนคันตัวนี้ มีมากกว่าที่คิดไว้ โดยเฉพาะคุณสมบัติบำรุงกำลัง ช่วยการมีบุตรยาก ทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น!

ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า ลักษณะทั่วไปของหมามุ่ย เป็นไม้เลื้อยล้มลุก ลำต้นเล็กเหนียวคล้ายเชือก ดอกออกเป็นช่อห้อยลง สีม่วงแก่ถึงม่วงออกดำ ผลเป็นฝักยาว รูปร่างคล้ายถั่วลันเตา ปกคลุมด้วยขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดงหรือสีทองอมแดง ที่เป็นพิษและหลุดร่วงง่าย ภายในฝักมีเมล็ดรูปไข่ ความพิเศษของหมามุ่ย อยู่ตรงขนอ่อนที่ปกคลุม เพราะเป็นขนที่เต็มไปด้วยสารชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'สารซีโรโทนิน' (Serotonin) เมื่อโดนจะทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง ซึ่งฝักจะออกมากในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง และปลิวตามลม ชาวบ้านทั่วไป เมื่อพบจึงมักทำลายเถ้าหมามุ้ยทิ้ง

"ปัจจุบันประชาชนทั่วไปหันมาใช้ยาแผนปัจจุบันของตะวันตกจำนวนมาก ซึ่งหากมีสิ่งที่สามารถลดปริมาณการใช้ยาได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งสมุนไพรไทยหลายชนิดสามารถนำมาใช้ทดแทนได้ และสามารถต่อยอดสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้" ภญ.ผกากรอง ระบุ เภสัชกรชำนาญการ ร.พ.จ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ในอดีตหมอยาแผนโบราณค้นพบวิธีนำหมามุ่ยมาใช้หลากหลายตำรับด้วยกัน โดยนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ ราก ใบ ฝัก เม็ด เช่น ใช้รากแก้คัน ใช้ถอนพิษ ล้างพิษ เม็ด ใช้ทั้งกินเม็ดคั่ว นึ่ง และบด เป็นผง เพื่อบำรุงกำลัง เพิ่มน้ำเชื้อ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ในประเทศอินเดีย พบว่า มีพืชวงศ์เดียวกับหมามุ่ยของไทย ซึ่งปลูกเพื่อนำไปแปรรูปอย่างจริงจัง เพราะมีการศึกษา วิจัย อย่างเป็นระบบ กระทั่งสกัดเป็นยา เพื่อเพิ่มความต้องการทางเพศ คลายเครียด และเพิ่มการเผาผลาญและมวลของกล้ามเนื้อสาเหตุที่หมามุ่ยเป็นที่น่าสนใจอีกประการ เนื่องจากโรคเกี่ยวกับการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การมีลูกยาก ถือเป็นโรคที่หลายประเทศมีอัตราการใช้สูงเพิ่มมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า เราใช้เงินซื้อ 'ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ' ของตะวันตกไปกว่าร้อยล้านบาท ในขณะที่ทั่วโลกมีอัตราการใช้อยู่ที่ประมาณห้าหมื่นล้านบาท จากรายงานทางการแพทย์ มีการทดลองในสัตว์ พบว่าสารธรรมชาติในหมามุ่ย ทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น เพิ่มความถี่ในการผสมพันธุ์ได้เป็นสิบเท่า รวมทั้งยืดระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธŒทำให้ชะลออาการหลั่งเร็วได้ และเพิ่มปริมาณฮอร์โมนทางเพศ

ในปี 2550 'K.K.Shukla' รายงานการวิจัยที่ทำในผู้ชายอินเดีย 75 คน ซึ่งประสบปัญหาการมีบุตรยาก เนื่องจากความเครียด พบว่า หลังจากให้เม็ดหมามุ่ยทานในปริมาณ 5 กรัมต่อวันนาน 3 เดือน ระดับความ เครียดลดลง และคุณภาพปริมาณของ 'อสุจิ-น้ำเชื้อ' เพิ่มขึ้น

จากการวิจัย พบว่า เม็ดหมามุ่ย มีสารแอลโดปา (L-Dopa ) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์โดพามีน (Dopamine) หรือสารที่มีอิทธิพลสูงต่อระบบสืบพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นสารสื่อประสาท ซึ่งใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสันอีกด้วย แต่ต้องใช้ในรูปแบบของการผ่านวิธีการ 'สกัด' มาเป็น 'ยาเม็ด' เพราะร่างกายไม่สามารถได้รับสารในรูปแบบของเมล็ดแปรรูป หรือสดได้

ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า ประชาชนทั่วไปก็สามารถนำเม็ดหมามุ่ยมาเป็นยาสมุนไพรทานเองได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เพราะการเก็บหมามุ่ย ต้องรู้วิธีเพื่อไม่ให้คัน

วิธีการเก็บ คือ เลือกจากต้นที่ฝักแก่ สังเกตง่ายๆ คือ เม็ดฝักเหมือนจะปริแตก แล้วฉีดน้ำให้เปียก เพื่อป้องกันขนอ่อนที่ฝักฟุ้งกระจาย สวมถุงมือป้องกันแล้วเก็บเม็ดมาคั่วไฟ แล้วนำไปล้างน้ำ ก่อนนำไปคั่วไฟอีกรอบ

สําหรับข้อควรระวังในการทานเม็ดหมามุ่ย คือ ต้องคั่วให้สุก เพราะหากไม่สุก จะเกิด 'สารพิษ' บางอย่างขึ้นทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้ เพราะในเม็ดหมามุ่ยมีสารแอลโดปา ที่จะทำให้สารสื่อประสาทเกิดความไม่สมดุลได้

นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยบางโรคที่ไม่ควรกิน เช่น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ที่ต้องใช้ยาทางจิตเวช รวมทั้งเด็ก และหญิงตั้งครรภ์

ส่วนปริมาณที่แนะนำ ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ได้มีปัญหาการมีบุตรยาก หรือสมรรถภาพทางเพศ แนะนำให้กินวันละประมาณ 3 เม็ดต่อวัน จะทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่หากมีปัญหา แนะนำให้กินวันละ 5 กรัม หรือ 25 เม็ด ไม่เกิน 3 เดือน

การทานเม็ดหมามุ่ยก็มีหลายวิธี :
ทั้งการป่นเป็นผง และกินผสมกับกาแฟ หรือชา ก็ไม่เสียรสแต่อย่างใด หรือจะชงกินกับน้ำร้อนเปล่าๆ ก็จะออกรสเปรี้ยวนิด มันหน่อยๆ หรือกินเม็ดคั่วกับข้าวเหนียว หรือเคี้ยวเม็ดที่คั่วแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงตำรายาโบราณ ที่มีหมามุ่ยอยู่ในตำรับด้วยนั้นมีด้วยกันหลายตำรับด้วยกัน อาทิ ตำรับตาเพ็ง จะนำเม็ดมาคั่ว ทิ้งให้เย็นแล้วบด หรือ กินทั้งเมล็ด โดยนำไปแช่น้ำก่อนแล้วค่อยเคี้ยวกินเช้า เย็น หรือ บดแล้วใช้ครั้งละ 1 ช้อนแกง โดยห่อผ้าขาวบาง แช่ในน้ำ 1 แก้ว นาน 30 นาที รับประทานเช้าเย็น ตำรับนี้ว่าไว้ว่า เสริมกำหนัดและเสริมแรงผู้ชาย จะออกฤทธิ์ใน 2-3 วัน ทำให้หลับสบาย จิตใจเบิกบานแจ่มใส แต่ห้ามกินต่างน้ำ หรือกินเยอะเกินไป

ตำรับพ่อประเดิม ส่างเสน หมอยาอำเภอฝาง ระบุว่า ให้เอาเม็ดหมามุ่ยแก่จัดมาตากแดดให้แห้งแล้วตำเป็นผง ใช้น้ำผึ้งเป็นกระสาย ทำให้เป็นลูกกลอน กิน 3 เวลา 7 วัน ตำรับนี้ว่าไว้ว่า รักษาอาการนกเขาไม่ขัน เป็นยาบำรุงกำลัง

ตำรับพ่อกอยะ หมอยาบ้านต้นฮุงหัวฝาย ระบุว่า ให้ใช้เม็ดแก่จัดใส่ในหม้อนึ่งข้าว พอข้าวสุก เม็ดหมามุ่ˆยก็สุกด้วย โดยกินครั้งละ 1 เม็ด พร้อมข้าว 3 เวลา

ตำรับพ่อพลายแสง บ้านสินชัย ระบุว่า ใช้รากหมามุ่ยตากแห‰ง 1 กิโลกรัม เมล็ดผักชี 3 ขีด เมล็ดผักกาด 5 ขีด นำทั้งหมดมาตำรวมกันเป็นผง ผสมน้ำผึ้งป่า หมักไว้ 3 เดือน แล้วใช้กินก่อนนอนทุกวัน โดยเวลากินให้กินในปริมาณขนาดเท่าผลมะเขือพวง จะแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน

ตำรับหมอยาเมืองเลย ระบุว่า สามารถนำรากต้ม กินแก้ไอ ใช้เมล็ดตำเป็นผง พอกแก้พิษแมง ป่องกัดได้

"หากทำวิจัยอย่างครบวงจร และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตเพื่อนำมาต่อยอด จะสามารถฉวยให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจได้ เพราะปัจจุบันแม้แต่อินเดีย ที่วิจัยในเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลิตออกขายเชิงอุตสาหกรรมประเทศไทยจึงถือว่ามีโอกาสที่จะเร่งพัฒนายาสมุนไพรตัวนี้ได้" ภญ.ผกากรอง กล่าว

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพรหมามุ่ยให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์และคลินิก เพื่อนำไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยอาจทำเป็น 2 รูปแบบ คือ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมั่นใจว่าจะนำพืชหมามุ่ยมาต่อ ยอดเศรษฐกิจในเชิงอุตสาหกรรมได้

ภูมิปัญญา-สมุนไพรไทย ยังเป็นของมีคุณค่าเสมอ !

http://www.abhaithaiherb.com
--------------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : องุ่นในกระถางมีดอก บำรุงลูกให้โตอย่างไร....?
ตอบ :
- ทำไมไม่ถามเรื่องบำรุงดอกก่อน วันนี้ดอกจะรอดหรือร่วงยังไม่รู้ จะบำรุงผลแล้วเหรอ
– บำรุงดอกหน้าฝนให้ .... ทางใบ : 0-52-34 (2 รอบ) สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน .... ทางราก : ให้ 8-24-24 (1 ช้อนแกง) ครั้งเดียวก็พอจนถึงเป็นผล

- องุ่นในกระถาง พื้นที่สำหรับรากมีจำกัด รากจะออกไปนอกกระถางเพื่อหาอาหารธรรมชาติกินเองไม่ได้ อาหารธรรมชาติจะเข้าไปหารากองุ่นก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เหมือนนกในกรงต้องรออาหารจากคนทางเดียว แล้วอาหารที่คนให้ทั้งองุ่นและนกมีสารอาหารครบบริบูรณ์เหรอ

- ไม้ใหญ่กินผล อายุหลายสิบปี ในกระถางควรให้อินทรีย์วัตถุ บำรุงดิน บำรุงจุลินทรีย์ ด้วยยิบซั่ม, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ ทุก 3 เดือน ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรที่มีสารอาหาร +ปุ๋ยเคมีตามระยะเดือนละครั้ง ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น

- งานนี้ ถ้าดอกรอดจนเป็นผลได้ค่อยว่ากันใหม่

---------------------------------------------------------



จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ซ่อนกลิ่น 2 ปีแรกโตดี ออกดอกดี ตอนนี้ไม่โต ไม่ออกดอก แก้ไขอย่างไร....?
ตอบ :
- ช่วงแรกๆ ต้นโต ออกดอกดี แสดงว่า “ดินดี”
- อยู่ๆไป ใส่โน่นใส่นี่หวังเร่งให้โตเร็วๆ ออกดอกมากๆ โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี เลยทำให้ดินเสีย

- รู้หรือไม่ว่า ซ่อนกลิ่นเป็นพืชพันธุ์พื้นเมือง ไม่ตอบสนองหรือไม่ชอบปุ๋ยเคมี แต่ตอบสนองต่อปุ๋ยอินทรีย์ .... ปุ๋ยเคมีเป็นกรด ใส่ลงไปในดินแล้วต้นพืชเอาไปกินไม่หมด เหลือตกตค้างอยู่ในดิน จึงทำให้ดินเป็นกรด เรื่องนี่คนขายปุ๋ยไม่พูดไม่บอก แล้วคนซื้อคนใช้ก็ไม่ถาม เพราะยึดติดปุ๋ยเคมีไงล่ะ

- ว่างๆ แหวดดินดูรากซิจะเห็นว่ารากเน่า ช่วงนี้ฝนตกบ่อย น้ำขังค้างก็ทำให้ดินเป็นกรดได้เหมือนกัน

** การปฏิบัติ ณ วันนี้ ใส่ยิบซั่ม, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ, ผสมกันโรยบางๆ แล้วพรวนดินพูนดินโคนต้น ทำช่องทางระบายน้ำอย่าให้น้ำขังค้างโคนต้น รอดคือรอด ไม่รอดคือตาย เพราะอาการโคม่าแล้ว .... หรือ ถอนแยกหน่อปลูกใหม่ รุ่นใหม่ปลูกใหม่ให้ระวังเรื่องดิน

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : หมามุ่ยปรุงยากินเอง ทำอย่างไร....?
ตอบ :
- ไม่พูด ไม่บอก ถ้าพูดไปบอกไป ทำผิด กินแล้วตายจะมาโทษตาคิม แนะนำให้ไปขอข้อมูลที่ ร.พ.อภัยภูเบศร์ เอาเอง.... ที่นี่ เอาแต่ยาพืชอย่างเดียว ยาสัตว์ยาคนไม่เอา

- จำได้ว่า เขาเอาชาเมล็ดหมามุ่ยไปชงให้ สส. สว. ในสภากินกันเกรี๊ยวกร๊าว หมามุ่ยบำรุงเซ็กส์ หมามุ่ยปลูกเซ็กส์ เพราะ สส. สว. เซ็กส์จัดนี่เอง ถึงได้บริหารประเทศฉิบหายวายป่วงกันเป็นแถบๆไงล่ะ

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : แห้ว กระจับ ปลูกที่ไหน....?
ตอบ :
- ศรีปะจันต์ สุพรรณบุรี ขึ้นชื่อที่สุด มีบ้างย่านปทุมธานี

“กระจับ”
* เป็นพืชน้ำ อายุสั้นฤดูกาลเดียว เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ๆมีน้ำตลอดปีและสามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำได้บ่อยๆหรือ ทุกครั้งเมื่อต้องการเพราะกระจับจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำใสสะอาด ปลูกได้ตลอดปีและทุกพื้นที่ของประเทศขอแต่ให้มีน้ำเท่านั้น

- เจริญเติบโตขึ้นมาจากตอที่พื้นดินใต้น้ำ ระดับความลึกน้ำประมาณ 50-80 ซม. ลำต้นเป็นเถายาวมีข้อและปล้องชัดเจนภายในมีช่องอากาศ ส่วนยอดของลำตันมีกลุ่มใบเป็นกระจุก ก้านใบพองคล้ายฟองน้ำสำหรับช่วยพยุงตัวให้ลอยน้ำได้

- เหง้าที่อยู่ในดินสามารถแตกหน่อได้จำนวนมาก แต่ละหน่อเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ถึงผิวน้ำก็จะเกิดกระจุกใบจำนวนมากเช่น กัน

- ในแปลงปลูกต้องไม่มีวัชพืชประเภทสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายข้าเหนียว แหน และหญ้า
- ดอกสีขาวออกตามซอกใบ เป็นดอกเดี่ยว เมื่อดอกพัฒนาเป็นผลแล้วกลีบดอกจะกลายเป็นเขา

- อายุตั้งแต่เริ่มปลูกถึงออกดอกนาน 3 เดือน ระยะออกดอกถึงฝักแก่ 2 เดือน หรือตั้งเริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวนาน 5 เดือน

- ฝัก โตและแก่ไม่พร้อมกัน หลังจากเริ่มเก็บฝักแก่ชุดแรกแล้ว 7-10 วัน จะเก็บชุดที่สองได้ แล้วเก็บไปได้เรื่อยๆ 5-6 รุ่นต้นจึงโทรม

- เนื้อที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิตประมาณ 60,000 - 70,000 ฝัก
- กระจับเป็นพืชน้ำที่ออกดอกติดผลเองได้เมื่อถึงช่วงอายุต้นและมีความสมบูรณ์พอ แต่ดอกที่ออกเองจะออกไม่พร้อมกันส่งผลให้มีผลผลิตหลายรุ่น แต่ละรุ่นมีคุณภาพไม่เหมือนกัน การที่จะให้กระจับออกดอกติดผลเป็นรุ่นเดียวกันทั้งแปลงจึงจำเป็นต้องปฏิบัติ บำรุงตามขั้นตอน

หมายเหตุ :
ธรรมชาติของกระจับสามารถออกดอกติดผลได้เอง เพียงการเตรียมดินให้สมบูรณ์พร้อมเท่านั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการปริมาณผลผลิตและคุณภาพเพิ่มขึ้นก็ต้องปฏิบัติบำรุงตามขั้น ตอนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ควรเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนกับผลผลิตที่ได้รับเป็นตัวตัดสินใจ

สายพันธุ์
พันธุ์ 4 เขา, พันธุ์ 2 เขาแหลมปลายโค้ง, และพันธุ์ 2 เขาปลายทู่ ซึ่งมีผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์ 2 เขาโค้งปลายแหลม......นิยมปลูกพันธุ์เขาแหลมปลายโค้ง

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์จากเถา : เลือกเถาที่ยังอ่อน ใบบางเล็ก สีน้ำตาลปนแดง ซึ่งเป็นเถาที่ได้หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์จากฝัก : นำฝักกระจับลงเพาะในกระบะเพาะแกลบดำเหมือนการเพาะเมล็ดพืชทั่วไป ใส่น้ำในกระบะเพาะพอท่วมฝักเล็กน้อย ตั้งกระบะเพาะไว้กลางแดด เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกสูงขึ้นก็ให้ค่อยๆเพิ่มปริมาณน้ำตาม ประมาณ 1 เดือนก็สามารถถอนแยกไปปลูกในแปลงจริงได้

-----------------------------------------------


แห้ว :
* เป็นพืชน้ำ อายุสั้นฤดูกาลเดียว รูปร่างและรูปทรงต้นเหมือนหญ้าทรงกระเทียม สูงประมาณ 90 ซม. – 1 ม. ปลูกได้ทุกทุกภาค ทุกพื้นที่ และทุกฤดูกาลที่มีน้ำบริบูรณ์ เจริญเติบโตดีในดินดำร่วน มีอินทรีย์วัตถุมากๆ และน้ำสะอาดสามารถเปลี่ยนถ่ายได้

* แปลงปลูกแห้วเรียกว่า นาแห้ว เหมือนกับ นาบัว. นากะเฉด. ในแปลงปลูกต้องมีน้ำหล่อลึก 30-50 ซม. ตลอดอายุ การใส่ปุ๋ยทางรากทำเหมือนให้ปุ๋ยกระจับ หรือนาบัว

* นิยมปลูกในช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. แล้วเก็บเกี่ยวในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค. หรืออายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว 10-11 เดือน

* เริ่มต้นปลูกด้วยหัว 1 หัว เมื่อเจริญเติบโตขึ้นจะแตกรากและหัวเกิดขึ้นใหม่ล้อมรอบหัวแม่จำนวนมาก กลายเป็นหัวแห้งให้เก็บเกี่ยวต่อไป

* วิธีเก็บเกี่ยวไม่จำเป็นต้องตัดหรือเกี่ยวต้นออกทิ้ง แต่ให้เกี่ยวแบบล้มต้นแล้วปล่อยแช่นำให้เน่าอยู่ในแปลงนั้นให้กลายเป็นปุ๋ยสำหรับปลูกแห้วรุ่นต่อไปได้ หลังจากล้มต้นแล้ว จะเก็บแห้ว (งมแห้ว) ให้แหวกเศษต้นน่าออกแล้วล้วงที่ผิวหน้าดินตื้นก็จะพบหัวแห้ว

สายพันธุ์ :
แห้วจีน. แห้วกระดาน. แห้วไทย. เพื่อให้เข้าใจง่ายจึงตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่เป็น พันธุ์หัวกลม และ พันธุ์หัวแบน

ขยายพันธุ์ :
- เตรียมกระบะเพาะเมล็ด ใส่แกลบดำ (เก่าค้างปี) หนา 15-20 ซม. ปรับเรียบ อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก น้ำไม่ท่วม

- คัดหัวพันธุ์แก่จัด ขนาดเท่าๆ กัน แช่ในไคตินไตโตซาน หรือธาตุรอง/ธาตุเสริมเจือจาง 12-24 ชม. ครบกำหนดแล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง 2 วัน จากนั้นจึงนำวางลงบนแกลบดำในกระบะเพาะระยะห่าง 2-3 ซม. คลุมทับด้วยแกลบดำอีกชั้นหนา 5-10 ซม. ปิดด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ รดน้ำ 2-3 วัน/ครั้ง

- ประมาณ 25-30 วัน หัวพันธุ์ก็จะเริ่มงอก เลี้ยงไว้จนได้ความสูง 20-30 ซม. จึงนำไปปักดำในแปลงปลูกเหมือนดำนาข้าว

เตรียมแปลง เตรียมดิน และอินทรีย์วัตถุ :
1. ระบายน้ำในแปลงปลูกออกให้เหลือพอเฉอะแฉะหน้าดิน
2. ปรับระดับหน้าดินให้เรียบเสมอกันเพื่อให้ได้ระดับน้ำลึกเท่ากันตลอดทั่วแปลง

3. ใส่ปุ๋ยคอก. ยิบซั่ม. ปุ๋ยอินทรีย์, กระดูกป่น. ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี หว่านให้ทั่วสำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพ 5-10-40 (2 ล.) แล้วตีดินด้วยรถไถจอบหมุน (โรตารี่) หลายๆรอบ เหมือนทำเทือกนา

4. หมักดินทิ้งไว้ 10-15 วัน เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์ได้ปรับสภาพดิน
5. ก่อนปลูกกล้ากระจับ ให้ตีเทือกอีก 1 รอบ

วิธีปลูก :
นำต้นกล้าที่พร้อมปลูกลงปักดำพอมิด แล้วโกยดินข้างๆ กลบตอพอท่วมโคนกอ ในแปลงปลูกให้มีน้ำเพียงเฉอะแฉะหน้าดิน

ระยะปลูก
ระยะห่างระหว่างต้น 70 ซม. x 1 ม.

ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อแห้ว
ฯลฯ

---------------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ชบาชอบดินแบบไหน ....?
ตอบ :
- ชบาไทย หรือชบาฮาวาย น่าจะบอกมาหน่อย .... ความลับเหรอ ?
- ชบาไทย ดอกสีแดง ขนาดฝ่ามือ กลีบดอกชั้นเดียว ปลูกริมรั้ว ชอบดินน้ำขัง แฉะ-ชุ่ม ออกดอกทั้งปี

– ชบาฮาวาย ดอกสีเหลือง ชมพู น้ำเงิน ฟ้า ขนาดฝ่ามือกาง กลีบชั้นเดียว หรือดอกซ้อน แปลูกในแปลงหรือกระถางเหมือนไม้ประดับ ชอบน้ำระดับ “ชื้น” ออกดอกทั้งปีได้เหมือนกัน
- ทั้งสองชบาตอบสนองฮอร์โมนไข่ดีมากๆ

---------------------------------------------------------


จาก : (089) 723-57xx
ข้อความ : ลุงคิมครับ ขอวิธีขยายเชื้อจุลินทรีย์จอมปลวกด้วยครับ ผมจะใช้ย่อยสลายฟางครับ.... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- หัวใจจุลินทรีย์เพื่อการเกษตร คือ อินทรีย์วัตถุ ความชื้น อากาศ เรียกว่า “สภาพแวดล้อม” .... สภาพแวดล้อมดี จุลินทรีย์อยู่ได้ ขยายพันธุ์ได้ .... สภาพแวดล้อมไม่ดี จุลินทรีย์อยู่ไม่ได้ ขยายพันธุ์ไม่ได้... อินทรีย์วัตถุได้แก่ ยิบซั่ม, ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ,

– ทดสอบพลังจุลินทรีย์ด้วยลูกโป่ง ถ้าผลการทดสอบเป็นที่พอใจ ได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์จอมปลวกเข้มข้น” พร้อมใช้งาน

- อัตราใช้ และวิธีใช้ ให้ “หัวเชื้อ 2-5 ล. + น้ำตามความจำเป็น” สาดทั่วแปลงนา เนื้อที่ 1 ไร่ จุลินทรีย์จะไปขยายพันธุ์เพิ่มจำนวน และช่วยย่อยสลายเศษซากพืช (ปุ๋ยพืชสด) ทุกชนิดเอง

* จุลินทรีย์จาวปลวก :
น้ำ (พีเอช 6.5-7.0) ..................... 10 ล.
กากน้ำตาล ................................ 1 ล.
จาวปลวก ใจกลางจอมปลวก สดใหม่ ...... 1 กก.
น้ำมะพร้าว ................................. 1 ล.
ยูเรีย ....................................... 100 กรัม

คนเคล้าส่วนผมทุกอย่างให้เข้ากันดี เติมออกซิเจน (ปั๊มออกซิเจนปลาตู้) ตลอด 24 ชม. นาน 7-10 วันได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้น ใช้ "หัวเชื้อ 1-2 ล." ผสมน้ำตามความเหมาะสม สาดให้ทั่วแปลงนา 1 ไร่ ช่วงหมักฟาง หรือใส่กองปุ๋ยอินทรีย์หมัก 1 ตัน


@@ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์เพื่อการเกษตร (คัดลอกจากหนังสือ ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม ทำเอง) :

9. อาหารที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ คือ "รำละเอียด" และ "สารรสหวาน" เช่น กากน้ำตาล น้ำตาลในครัว น้ำหวานในเครื่องดื่มต่างๆ ในอัตราที่เหมาะสม ปริมาณของสารรสหวานมีผลต่อการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ทั้งสองชนิด กล่าวคือ

- สารรสหวานปริมาณมากเกินจะยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ทั้งจุลินทรีย์ดี และจุลินทรีย์โทษ

- สารรสหวานปริมาณที่น้อยเกินไปจะยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ดีและส่งเสริมการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์โทษ

- สารรสหวานปริมาณที่พอดีจะส่งเสริมการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ดี และยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์โทษ

- ทดสอบจุลินทรีย์โดยการใส่จุลินทรีย์น้ำลงไปในขวด ใช้ลูกโป่งไม่มีลมสวมปากขวดรัดให้แน่น ทิ้งไว้ 2-5 วัน ถ้าลูกโป่งค่อยๆ พองโตขึ้นแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมากสมบูรณ์ แข็งแรงดี แต่ถ้าลูกโป่งพองโตช้าหรือไม่พองโตก็แสดงว่ามีจุลินทรีย์น้อยและไม่สมบูรณ์แข็งแรง

28. ในกากน้ำตาลมีสารพิษต่อ 18 ชนิด ก่อนใช้งานขยายเชื้อจุลินทรีย์ควรนำขึ้นความร้อน 70 องศา ซี. นาน 30 นาทีก่อน ความร้อนจะช่วยสลายฤทธิ์ความเป็นพิษในกากน้ำตาลได้

ตรวจสอบจุลินทรีย์น้ำ : (สี. กลิ่น. กาก. ฝ้า. ฟอง. รูป. กรด-ด่าง)
สี ....... น้ำตาลอ่อน ถึง น้ำตาลไหม้ แต่ไม่ถึงกับดำ ขึ้นอยู่กับปริมาณกากน้ำตาล
กลิ่น .... หวานอมเปรี้ยว ออกฉุดนิดๆ ดมแล้วไม่เวียนหัว ไม่น่ารำคาญ ถ้ามีกลิ่นเหม็นเน่า นั่นคือ จุลินทรีย์กลุ่มแบคทีเรีย (เชื้อโรค)

กาก ..... ส่วนที่อ่อนนิ่ม ถึง เละ จะนอนก้น ส่วนที่แข็งหยาบจะลอยหน้า
ฝ้า ...... สีขาวอมเทา พวกนี้เป็นจุลินทรีย์กลุ่ม "รา" ที่ตายแล้ว เมื่อคนลงไปจะกลายเป็นสารอาหารของพวกที่ยังไม่ตาย

ฟอง ..... ปล่อยวางนิ่งๆ จะมีฟองเล็กๆ ละเอียดๆ ผุดขึ้นมาจากด้านล่างของภาชนะหมัก เกิดจากกระบวนการจจุลินทรีย์ (ไม่แน่ใจว่าจุลินทรีย์หายใจหรือเปล่า เพราะจุลินทรีย์ไม่มีปอด) ฟองผุดบ่อยๆ ฟองขนาดใหญ่ แสดงว่าจุลินทรีย์มากและแข็งแรง ถ้าไมมีฟองก็แสดงว่าไม่มีจุลินทรีย์

รูปลักษณ์ .... ขุ่น ใส มีตะกอนละเอียดแขวนลอย
กรด-ด่าง .... ค่า พีเอช 4.0- 6.0

http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=1848


1. จุลินทรีย์ธรรมชาติ
หลักการและเหตุผล
- การที่จะรู้ว่าพื้นดินหรือแหล่งปลูกพืชบริเวณใดมีจุลินทรีย์ประเภทใดได้นั้น สังเกตจากการเจริญเติบโตของต้นพืชที่ขึ้นในบริเวณนั้นหรือใกล้เคียงเป็นหลัก ถ้าต้นพืชเจริญเติบโตดีแสดงว่ามีจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ แต่ถ้าต้นพืชไม่เจริญเติบโตแสดงว่ามีจุลินทรีย์ประเภทไม่มีประโยชน์

- ประเภทของจุลินทรีย์ธรรมชาติในแหล่งธรรมชาติ
*** รากหญ้าแฝก หญ้าขน หญ้าประเภทหน้าแล้งตายหน้าฝนฟื้น มีจุลินทรีย์อะโซโตแบ็คเตอร์
*** ปมรากถั่วลิสง มีจุลินทรีย์คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า.
*** รากมะกอกน้ำ มีจุลินทรีย์บาซิลลัส
*** รากกล้วย มีจุลินทรีย์แอ็คติโนมัยซิส
*** รากพืชตระกูลถั่วยืนต้น เช่น สะดา เหลียง มะขามเทศ พุทรา ทองหลาง
*** เศษใบไม้ เศษกิ่งไม้ ผุเปื่อย
*** ดินผิวดินที่ประวัติเคมีมีเห็ดธรรมชาติเกิดประจำ

วิธีขยายเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ :
น้ำ (พีเอช 6.7-7.0)................. 10 ล.
กากน้ำตาล............................. 1 ล.
น้ำมะพร้าว.............................. 1 ล.
วัสดุจุลินทรีย์เริ่มต้นหลายๆอย่าง......... 1-2 กก.

คนเคล้าให้เข้ากันดี เติมอ๊อกซิเจนตลอด 24 ชม. ..... 7-10 วัน ได้ "หัวเชื้อ" พร้อมใช้งาน ใช้ "หัวเชื้อ 1 ล./น้ำ 500 ล." (1:500) ราดรดลงดิน หรือบนกองปุ๋ยอินทรีย์

หมายเหตุ :
การนำวัสดุที่เป็นแหล่งจุลินทรีย์ธรรมชาติ หลายๆอย่าง สับเล็ก ใส่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หมักในกอง ก็จะทำให้จุลินทรีย์จากแหล่งธรรมชาติที่ใส่ร่วมลงไปนั้นขยายเชื้อเพิ่มปริมาณได้


2. จุลินทรีย์ อีแอบ.
เตรียมเชื้อจุลินทรีย์เริ่มต้น :
- ใช้ “ปลาทะเลสดยังมีชีวิตทั้งตัวบดละเอียด 1 กก. + กากน้ำตาล 50 ซีซี. + หัวกระเทียมบดละเอียด 200-300 กรัม.” ผสมนวดให้เข้ากันดี

- นำเนื้อปลาที่นวดดีแล้วห่อด้วยใบตองหลายๆ ชั้น รัดห่อด้วยเชือกเป็นเปราะๆ เหมือนห่อหมูยอ แล้วเก็บไว้ในตู้กับข้าว ทิ้งไว้ 7-10 วัน ช่วงอุณหภูมิอากาศปกติ หรือ 15-20 วันช่วงอุณหภูมิอากาศเย็น ได้ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ." เข้มข้น พร้อมนำไปขยายเชื้อ

ขยายเชื้อจุลินทรีย์ :
- เตรียมน้ำต้มเดือดจัดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ปล่อยทิ้งให้เย็น 10 ล. ในภาชนะที่ไม่ใช่โลหะ สะอาด ใส่กากน้ำตาลลงไป 1 ล. หรืออัตราส่วน 10 : 1 คนให้เข้ากันดี

- นำก้อนเชื้อจุลินทรีย์ออกมาจากห่อ ใส่ลงไปในน้ำ ขยายเชื้อ คนเคล้าให้เข้ากันดี
- ใส่ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ลงไปแล้วช่วงการหมัก 24-48 ชม.แรกให้ปิดฝาสนิท อย่าให้อากาศเข้าได้ ผ่าน 24-48 ชม.ไปแล้วคลายฝาออกปิดพอหลวม ระวังอย่าให้สิ่งแปลกปลอมตกลงไป ติดปั๊มออกซิเจนเพื่อเติมอากาศให้แก่จุลินทรีย์

- ตรวจสอบประจำวันด้วยการสังเกตฟองที่เกิดขึ้นในถังขยายเชื้อ ถ้ามีฟองผุดขึ้นมามากแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมาก สมบูรณ์ และแข็งแรง แต่ถ้ามีฟองผุดขึ้นมาน้อยแสดงว่ามีจุลินทรีย์น้อยให้ใส่เพิ่ม “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์” พร้อมกับเติมกากน้ำตาลอีก อัตรา 1/4 ของที่ใส่ครั้งแรกกับน้ำมะพร้าวอ่อนเล็กน้อยลงไป คนเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้งแล้วหมักขยายเชื้อต่อไป

- หลังจากหมดฟองแล้วได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น” ให้นำออกใช้ทันทีในวันรุ่งขึ้น
- ขั้นตอนการหมัก การตรวจสอบ และการนำออกไปใช้ ให้ปฏิบัติเหมือนขยายเชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่น

หมายเหตุ :
- ไม่ควรเก็บจุลินทรีย์ที่ขยายเชื้อจนเจริญดีแล้วไว้ในน้ำขยายเชื้อนานเกินไป เพราะจะทำให้จุลินทรีย์กลุ่มแรก (จุลินทรีย์ที่ต้องการ) ซึ่งเกิดก่อนต้องตายแล้วเกิดจุลินทรีย์กลุ่มใหม่ (ไม่รู้จัก) ขึ้นมาแทน ทั้งนี้จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรส่วนใหญ่ต้องการความชื้นเพียง 30-70% เท่านั้น

- การควบคุมอุณหภูมิในถังขยายเชื้อหรือถังหมักให้อยู่ที่ 40 องศา ซี. อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้จุลินทรีย์เจริญและขยายพันธุ์ได้เร็วขึ้น

* ดร.สุริยา ศาสนรักกิจ. ตรวจสอบจุลินทรีย์ อีเอ็ม. ว่ามีจุลินทรีย์กลุ่มไหนบ้าง จากนั้นพยายามคัดสรรสารพัดวัสดุเพื่อนำมา เพาะ/ขยายเชื้อ จนกระทั่งพบว่า ปลาทะเล. ทำให้ได้จุลินทรีย์กลุ่มเดียวกันกับ อีเอ็ม. ทันทีที่พบถึงกับอุทานว่า "แอบ" อยู่นี่เอง และนี่คือที่มาของชื่อว่า "อีแอบ" ที่ลุงคิมตั้งให้เอง


3. จุลินทรีย์ อีแอบ. ซุปเปอร์
เตรียมเชื้อเริ่มต้น :
ใช้ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น” หมักนานจนพร้อมใช้งานแล้ว

การขยายเชื้อและวิธีใช้ :
- เตรียมน้ำขยายเชื้อเหมือนเดิม
- ใส่ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น + จุลินทรีย์ท้องตลาดหรือจุลินทรีย์อื่นๆ” ลงในถังขยายเชื้อ คนเคล้าให้เข้ากันดี
- กรรมวิธีการหมักขยายเชื้อเหมือนการทำจุลินทรีย์ อีแอบ.ทุกประการ

หมายเหตุ :
- จุลินทรีย์ท้องตลาดได้แก่ ยาคูลท์ โยเกิร์ต และร้านขายสินค้าเกษตรทั่วไป
- จุลินทรีย์อื่นๆ หมายถึง พด. จุลินทรีย์หน่อกล้วย. จุลินทรีย์ประจำถิ่น. ฯลฯ ที่พร้อมใช้งานดีแล้ว ซึ่งจะทำให้ในอีแอบ.มีจุลินทรีย์กลุ่มอื่นเพิ่มขึ้น


4. จุลินทรีย์หน่อกล้วย :
เตรียมเชื้อจุลินทรีย์เริ่มต้น :
- เลือกหน่อกล้วยความสูง 1 ม. จากพื้นถึงยอด เป็นหน่อชนิดที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรค เกิดจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรงให้ผลผลิตดี ทั้งต้นแม่และหน่ออยู่ในบริเวณที่ดินมีค่ากรด-ด่างเป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อนๆ .... ตัวจุลินทรีย์จริงๆ (แอ็คติโนมัยซิส) อยู่ที่รากกล้วยกับเปลือกเหง้ากล้วย ส่วนเนื้อในเหง้ากับเนื้อในส่วนลำต้นเป็นสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์

- ขุดหน่อขึ้นมาให้มีเหง้าติดรากมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สลัดดินทิ้งไปให้เหลือติดรากไว้เล็กน้อย ไม่ต้องล้างน้ำ

- สับเล็กหรือบดละเอียดทั้งต้น (ราก เหง้า ต้น ใบ) อัตราส่วน หน่อกล้วย 3 ส่วน : กากน้ำ ตาล 1 ส่วน (3:1) เติมน้ำมะพร้าวอ่อนพอเหลว บรรจุในภาชนะที่ไม่ใช่โลหะ คลุกเคล้าให้เข้ากันดี เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง คนบ่อยๆ เพื่อเร่งอากาศให้แก่จุลินทรีย์ หมักนาน 7-10 วัน กรองเอากากออก น้ำที่ได้คือ “น้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วยเข้มข้น” พร้อมใช้งานขั้นตอนการหมัก การตรวจสอบ และการนำไปใช้เหมือนจุลินทรีย์ประจำถิ่น อายุการเก็บนาน 6 เดือนหลังจากหมดอายุแล้วนำมาขยายเชื้อด้วยจุลินทรีย์เริ่มต้นชุดใหม่ได้

ประโยชน์ :
- ใช้ในการหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพ ฮอร์โมนพืช บ่มดิน ปรับปรุงดิน ฯลฯ
- ราดลงดินช่วยปรับโครงสร้างของดิน ทำให้ดินโปร่งร่วนซุยและกำจัดเชื้อโรคในดิน

- ผสมกับปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ให้ได้ความชื้น 50% ช่วยเร่งให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกใช้งานได้เร็วและดีขึ้น
- ช่วยย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุที่ใส่ลงไปในดินให้เกิด “ฮิวมิค แอซิด” ได้เร็วและจำนวนมาก

- ช่วยย่อยสลายฟางในนาข้าวที่ไถกลบช่วงทำเทือกให้เปื่อยยุ่ยเร็วขึ้น
- ฉีดพ่นทางใบช่วยกำจัดเชื้อรา ทำให้หนอนไม่ลอกคราบไม่กินอาหาร (ทำลายพืช) ทำให้ไข่ของแม่ผีเสื้อฝ่อจนฟักออกมาเป็นตัวหนอนไม่ได้ และขับไล่แม่ผีเสื้อไม่ให้เข้าวางไข่
- กำจัดเชื้อโรคในน้ำในร่องสวน สระกักเก็บน้ำ และคอกปศุสัตว์

หมายเหตุ :
- ในหน่อกล้วยมีจุลินทรีย์กลุ่ม “แอ็คติโนมัยซิส” ซึ่งมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายสูง
- ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วยทางใบให้ทั่วทรงพุ่มตอนกลาวันช่วงหลังฝนหยุด (ฝนต่อแดด) เพื่อล้างน้ำฝนออกจากต้นไม่ให้น้ำฝนแห้งคาต้นช่วยกำจัดเชื้อราแอนแทร็คโนส. ไม่ให้เข้าทำลายใบ ยอด ดอก ผล และส่วนต่างๆ ของพืชได้.....ฉีดพ่นตอนเช้ามืดเพื่อล้างน้ำค้างและหมอกออกจากต้นก่อนที่น้ำค้างและหมอกจะแห้งคาต้น ช่วยกำจัดเชื้อราน้ำค้าง. ราแป้ง. ราสนิม. ไม่ให้เข้าทำลายส่วนต่างๆ ของต้นพืชได้

- จุลินทรีย์กลุ่มแอ็คติโนมัยซิส. มีประสิทธิภาพในการกำจัดจุลินทรีย์เชื้อโรคพืชประเภทเชื้อราในดิน เช่น เชื้อไฟธอปเทอร่า. พิเทียม. ฟูซาเลียม. สเคลโรเทียม. และไรช็อคโธเนีย. ได้ ผลดีมาก

- ถ้าไม่ใช้หน่อกล้วยทั้งหน่อ สามารถใช้เฉพาะส่วนลำต้นของต้นกล้วยแก่ตัดเครือใหม่ๆ แทนก็ได้ ด้วยอัตราส่วนและวิธีการเดียวกัน


5. จุลินทรีย์เปลือกถั่วลิสง
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้ “เปลือกถั่วลิสงสดใหม่ผึ่งลมให้แห้ง บดละเอียด 10 กก. + ข้าวฟ่างสดใหม่บดละเอียดผึ่งลมให้แห้ง 1 กก. + มูลม้าสดใหม่บดละเอียดผึ่งลมแห้ง 1 กก. + รำละเอียดใหม่ 1 กก.” คลุก เคล้าให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วย “น้ำ 10 ล. + จุลินทรีย์ อีแอบ.ซุปเปอร์ หรือ จุลินทรีย์หน่อกล้วย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) 100 ซีซี.” ให้ได้ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์ ทำกองอัดแน่น คลุมด้วยพลาสติก ระหว่างหมักช่วง 5-7 วันแรกถ้าเกิดควันให้กลับกอง และกลับกองทุกครั้งที่มีควันขึ้น หมักไปจนกระทั่งอุณหภูมิในกองเย็นลง หมักนาน 3-6 เดือน ได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์เปลือกถั่วลิสงแห้ง” พร้อมใช้งาน

อัตราส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้ “หัวเชื้อเข้มข้น 1 กก. ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์หมักใหม่ 100 กก.” จุลินทรีย์ในเปลือกถั่วลิสงจะแพร่ขยายพันธุ์ในกองปุ๋ยอินทรีย์ชุดใหม่ หรือใส่ลงดินแล้วไถกลบ/คลุมด้วยอินทรีย์วัตถุก็จะแพร่ขยายพันธุ์ในดินเอง

หมายเหตุ :
ในเปลือกถั่วลิสงมีจุลินทรีย์กลุ่ม คีโตเมียม. ไรโซเบียม. และไมโครไรซ่า


6. จุลินทรีย์ก้นครัว
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้อาหารหมักดองที่ สี กลิ่น และรสชาติ พร้อมบริโภค เช่น แหนม. ส้มฟัก. ปลาส้ม. ผักดอง. เต้าเจี้ยว. เต้าหู้ยี้. ยาคูลท์. โยเกิร์ต. นมเปรี้ยว. ถั่วเน่า. กะปิ. สภาพสดใหม่ สะอาด สภาพดี รับประทานได้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน ขยำพอแหลก เป็น“จุลินทรีย์เริ่มต้น” ใส่ใน “น้ำขยายเชื้อ” แล้วดำเนินการหมักเหมือนการขยายเชื้อจุลินทรีย์ตามปกติ

วิธีใช้และอัตราใช้ :
- ใช้เป็นจุลินทรีย์เริ่มต้นในกองปุ๋ยหมักหรือในดิน

หมายเหตุ :
- ในมูลไก่ค้างคอน มูลสัตว์กินเนื้อ ขี้เพี้ยวัว/ควายสภาพสดใหม่ก็มีจุลินทรีย์ เมื่อนำมาขยายเชื้อในน้ำขยายเชื้อหรือผสมปุ๋ยอินทรีย์ใส่ลงดินก็จะได้จุลินทรีย์ที่ดีเช่นกัน

- น้ำผักดองที่อยู่ในไห คือ “หัวเชื้อเข้มข้น” พร้อมใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องนำไปขยายเชื้ออีก อัตราใช้ “น้ำผักดองในไห 1 ล./น้ำ 500 ล.” (1:500) ให้ทางดินหรือใส่ร่วมในปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก จุลินทรีย์ก็จะเจริญขยายพันธุ์ได้เอง

- ดร.อิงะ นักวิชาการเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น ศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์จากแหล่งต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอาหารหมักดองแล้วพัฒนาจนกลายเป็นจุลินทรีย์ อีเอ็ม.นำมาใช้อย่างได้ผลจน กระทั่งปัจจุบัน


7. จุลินทรีย์ฟังก์จัย :
วัสดุส่วนผสม :
ฟางเห็ดฟางที่เชื้อเห็ดเริ่มเจริญ ….. 10 กก.
มูลวัวไล่ทุ่งแห้งเก่าค้างปี ………...… 10 กก.
รำละเอียด ………………………..… 1 กก.
ข้าวฟ่างสดใหม่บดละเอียด …....... 1 กก.
ยิบซั่มธรรมชาติ …………………... 1 กก.

คลุกเคล้าวัสดุส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี ทำกองบนแผ่นพลาสติกหรือพื้นคอนกรีตน้ำเข้าไม่ได้ อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก

น้ำขยายเชื้อ :
น้ำต้มปล่อยให้เย็น ………….. 10 ล.
น้ำมะพร้าวอ่อน ……….……. 1 ล.
กากน้ำตาล …….…………… 1 ล.
นมสดสัตว์รีดใหม่ …….……. 1 ล.

ใส่ส่วนผสมตามลำดับ คนเคล้าให้เข้ากันดี

วิธีทำ :
คลุกเคล้าวัสดุส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วยน้ำขยายเชื้อให้ทั่วกองได้ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์เสร็จแล้วทำกองอัดแน่น ปิดทับด้วยพลาสติกให้อากาศเข้าได้น้อยที่สุด ช่วงการหมัก 5-7 วันแรกถ้ามีควันเกิดขึ้นให้กลับกองระบายอากาศ และให้กลับกองทุกครั้งเมื่อมีควันเกิดขึ้น หลังจากหมดควันแล้วให้กลับกองทุก 10-15 วัน จนกระทั่งเห็นว่าวัสดุส่วนผสมเย็น มีกลิ่นหอมรำข้าว เนื้อนุ่มเปื่อยยุ่ยสีน้ำตาลอมดำ ได้ "หัวเชื้อจุลินทรีย์ฟังก์จัยเข้มข้น" พร้อมใช้งาน

วิธีใช้และอัตราใช้ :
ใช้ "หัวเชื้อเข้มข้น 1 กระป๋องนม/พื้นที่ 1 ตร.ว." เป็นเชื้อเริ่มต้น หรือใช้ "หัวเชื้อเข้มข้น 10 กก.ผสมปุ๋ยหมัก 100 กก." เป็นเชื้อเริ่มต้น วิธีขยายเชื้อจุลินทรีย์

วัสดุผสมและวิธีทำ :
น้ำ 10 ล. ต้มเดือดจัดเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วทิ้งให้เย็น ใส่กากน้ำตาลต้มความร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที อัตรา 1 ล. คนเคล้าให้เข้ากันดี ใส่จุลินทรีย์ที่ต้องการขยายเชื้อลงไป 1 ล.หรือ 100 กรัม คนเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้งช่วงการหมัก 24 ชม.แรก ปิดฝาให้สนิทให้อากาศเข้าได้น้อยที่สุด ครบ 24 ชม.แล้วคลายฝาพอหลวม ติดปั๊มออกซิเจนเพื่อให้อากาศแก่จุลินทรีย์แบบตลอด 24 ชม. นานติดต่อกัน 7 วัน เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง ระวังอย่าให้ถูกแสงสว่างหลังจากให้ออกซิเจนครบ 7 วัน ให้ตรวจสอบโดยหยุดให้ออกซิเจน 2-3 วัน จากนั้นให้สังเกตฟอง.........ถ้ามีฟองเกิดขึ้น แสดงว่ามีจุลินทรีย์ดี จำนวนมาก ให้หมักต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องให้ออกซิเจน จน กว่าจะไม่มีฟองเกิดขึ้นหรือนิ่งหมดฟองก็จะได้ "หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น" พร้อมใช้งาน

วิธีใช้และอัตราใช้ :
ใช้เหมือนจุลินทรีย์ดั้งเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้นำมาขยายเชื้อ

เป้าหมาย :
เหมือนจุลินทรีย์ดั้งเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้ขยายเชื้อ
- ช่วงการหมักครบ 24 ชม.แรก ค่อยๆ เปิดฝาพร้อมกับสังเกตก๊าซที่พุ่งสวนออกมา ถ้าเสียงก๊าซพุ่งออกมาแรงแสดงว่ามีจุลินทรีย์มากและแข็งแรงดี ให้เปิดฝาแล้วเติมออกซิเจนได้เลย แต่ถ้าเสียงก๊าซพุ่งออกมาค่อยๆแสดงว่ามีจุลินทรีย์ไม่มากและไม่ค่อยแข็งแรง ให้ปิดฝาแน่นป้องกันอากาศเข้าต่อไปอีก 24 ชม. จากนั้นให้ตรวจสอบปริมาณก๊าซด้วยการเปิดฝาทุกๆ 24 ชม.เพื่อให้รู้ว่ามีจุลินทรีย์มากหรือน้อย

- ตรวจสอบจุลินทรีย์โดยการขยายเชื้อจุลินทรีย์ในขวดปากแคบ ใช้ลูกโป่งสวมปากขวดไว้ แล้วสังเกตลูกโป่ง ถ้าลูกโป่งพองดีแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมาก ถ้าลูกโป่งไม่พองหรือพองช้าก็แสดงว่าไม่มีจุลินทรีย์หรือมีจำนวนน้อย


8. จุลินทรีย์ ไอเอ็มโอ. :
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
- หุงข้าว (ข้าวใหม่ดีกว่าข้าวเก่า) ให้สุกปกติพอดีๆ ปล่อยให้เย็นคาหม้อหุง ตักใส่กระบะพลาสติก ยีข้าวให้แตกเมล็ดดีพร้อมกับโรยน้ำตาลทรายแดงบดละเอียดบางๆ อัตราส่วน ข้าว 1,000 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน (1,000 : 1) คนเคล้าให้เข้ากันดีปิดฝากระบะด้วยผ้า รัดขอบให้มิดชิด

- นำกระบะข้าวไปวางไว้ในสวนบริเวณร่มเย็น ความชื้นสูง (กลางกอกล้วย) ปลอดสารเคมี-ยาฆ่าหญ้าและสารเคมีอื่นๆ ทุกชนิด แล้วคลุมด้วยเศษพืชแห้งบางๆ โปร่งอากาศผ่านสะดวก

- ทิ้งกระบะไว้ 5-7 วัน เมล็ดข้าวสุกจะเริ่มเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนๆ บริเวณผิวหน้าก่อน เมื่อปล่อยไว้ต่อไปอีกเมล็ดข้าวสุกจะเป็นสีเหลืองอมเขียวทั้งหมดและมีน้ำใสๆ อยู่ที่ก้นกระบะนำกระบะข้าวสุกกลับมา ได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์ ไอเอ็มโอ. เข้มข้น” พร้อมใช้งาน

อัตราใช้และวิธีใช้ :
ใช้ “น้ำ 1,000 ล. + กากน้ำตาล 1 ล. + หัวเชื้อเข้มข้น 1 กก.” คนให้เข้ากันดี กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นทางใบแก่พืชช่วงหลังค่ำ อากาศไม่ร้อน หรือผสมปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ให้มากและแข็งแรงขึ้น


9. จุลินทรีย์นมสด :
วัสดุส่วนผสม วิธีทำ และวิธีใช้ :
นมโคสด รีดใหม่ จากฟาร์ม ............ 10 ล.
น้ำส้มสายชู 5% ...................... 100 ซีซี.
น้ำมะพร้าว ............................. 1 ล.
กากน้ำตาล ............................ 1 ล.
ยิสต์ทำขนมปัง ......................... 100 กรัม

คนเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันดี เติมอ๊อกซิเจน ตลอด 24 ชม. นาน 7-10 วัน ได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้น ใช้ "หัวเชื้อ 20 ซีซี./น้ำ 20 ล. ราดรดลงดิน


10. จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง :
วัสดถุส่วนผสม วิธีทำ และวิธีใช้ :
น้ำ (พีเอช 6.5-7.0) ...................... 10 ล.
เศษฟางเปื่อยยุ่ยเองตามธรรมชาติ ............ 1-2 กก.
กากน้ำตาล .................................. 1 ล.
น้ำมะพร้าว ................................... 1 ล.
ยูเรีย ......................................... 100 กรัม

คนเคล้าส่วนผมทุกอย่างให้เข้ากันดี เติมอ๊อกซิเจนตลอด 24 ชม. นาน 7-10 วัน
ได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้น ใช้ "หัวเชื้อ 1-2 ล." ผสมน้ำตามความเหมาะสม สาดให้ทั่วแปลงนา 1 ไร่ ช่วงหมักฟาง หรือใส่กองปุ๋ยอินทรีย์หมัก 1 ตัน

http://www.kasetloongkim.com

-------------------------------------------------------------


จาก : (091) 729-34
ข้อความ : มะนาวในวงปูน อายุต้น 5 ปี ต้นไม่ค่อยงาม ใบน้อย ทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยประจำแล้ว .... อุทัยธานี
ตอบ :
- คำถามเดิม คำตอบเดิม คนถามใหม่....

จาก : (084) 499-67xx
ข้อความ : ลุงคิมครับ แถวพระปะแดงปลูกมะนาวในวงปูนจะดีกว่าปลูกบนพื้นไหมครับ....
ขอบคุณครับ
ตอบ :
- พระปะแดง สมุทรปราการ อยู่ใกล้ทะเล โอกาสที่น้ำทะเลขึ้นถึงมีสูง การปลูกมะนาวในวงปูนจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เว้นเสียแต่น้ำทะเลขึ้นสูงจนท่วมบ้านก็ต้องยอม

– ปลูกในวงปูน ....
ข้อดี :
1) ควบคุมน้ำง่าย
2) บังคับให้เป็นมะนาวหน้าแล้งง่าย
3) ควบคุมวัชพืชง่าย

ข้อเสีย :
1) ระบบรากเจริญเติบโตได้อย่างจำกัด
2) ทำให้ได้รับสารอาหารจากธรรมชาติไม่เต็มที่
3) ต้นโตไม่เต็มที่ ทรงพุ่มไม่ใหญ่ ทำให้มีผลผลิตต่อต้นไม่มาก

@@ หลักการและเหตุผล มะนาวในวงปูน :
- วัตถุประสงค์ของการปลูกมะนาวในวงปูนเพื่อทำมะนาวหน้าแล้ง ซึ่งจะต้องงดน้ำในช่วงเดือน ก.ค. - ส.ค. ซึ่งเป็นหน้าฝนให้ได้ เพราะในวงปูนสามารถควบคุมหรืองดน้ำได้ค่อนข้างแน่นอน แล้วเปิดตาดอกช่วงเดือน ก.ย. แม้จะทำให้มะนาวออกดอกได้ แต่ดอกจะติดเป็นลูกหรือไม่ ติดเป็นลูกแล้วจะโตหรือไม่ โตแล้วจะมีคุณภาพหรือไม่ แม้กระทั่งต้นจะมีอายุยืนนานหรือไม่ เรื่องนี้เราต้องช่วยเขา 100% เขาช่วยตัวเองไม่ได้เลยก็ เพราะเจ้าวงปูนนี่แหละที่เป็นอุปสรรค

– พื้นที่เพื่อการดำรงชีวิตของมะนาวจำกัดอยู่ภายในวงปูนเท่านั้น สารอาหารธรรมชาติจากนอกวงปูนเข้าไปในวงปูนไม่ได้ ในขณะที่รากจะออกไปหาสารอาหารกินเองนอกวงปูนก็ไปไม่ได้เช่นกัน เปรียบเสมือน สัตว์เลี้ยงในคอกในกรงที่ต้องได้รับสาอาหารจากคนให้เท่านั้น ถ้าคนไม่ให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร .... เมื่อรู้เช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่ของคนปลูกที่ต้องหาสารอาหารให้ต้นมะนาวในวงปูนกิน

@@ มะนาวในวงปูน ปัญหาและการแก้ปัญหา :
1) ปัญหาระบบรากเจริญเติบโตได้เต็มที่ได้อย่างจำกัด .... แก้ไขโดยเลือกใช้วงปูนขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 2 ม.ขึ้นไป เป็นวงปูนสำเร็จรูปหรือสร้างขึ้นมาเฉพาะ เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับรากเจริญเติบโตได้เต็มที่

2) ปัญหาทำให้ต้นได้รับสารอาหารจากธรรมชาติไม่เต็มที่ .... แก้ไขโดยใส่คนใส่ให้ ได้แก่ ยิบซั่ม เฟอร์มิกซ์ (แม็กเนเซียม. สังกะสี), ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ, กระดูกป่น, ใส่ครั้งแรกช่วงเตรียมดินก่อนปลูก แล้วใส่เสริมทุก 3-4 เดือน

3) ปัญหาต้นโตไม่เต็มที่ ทรงพุ่มไม่ใหญ่ ทำให้ได้จำนวนผลไม่มาก .... แก้ไขด้วยการบำรุงตามหลัก อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของมะนาวอย่างแท้จริง เน้นการให้สาร อาหารทางใบเป็นหลัก

4) ปัญหาต้นเล็ก ทรงพุ่มเล็ก จึงให้ผลน้อยตามขนาด .... แก้ปัญหาด้วยการทำให้ได้ผลไซส์จ้มโบ้. เกรด เอ. ออกนอกฤดู. คนนิยม หรือแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม

5) ปัญหาต้นเล็ก ทรงพุ่มเล็ก .... แก้ปัญหาโดยปลูกมะนาวต้นคู่ ในวงปูนเดียวกัน เลี้ยงเอาผลผลิตไปก่อน 2-3-4 ปี กระทั่งต้นโตเต็มที่ มะนาว 2 ต้นเริ่มเบียดกันแล้วก็ให้ตัดออก 1 ต้น ช่วงแรกๆตีกินไปก่อน

ุ6) ปัญหาวงปูนต้องปิดก้นวงเพื่อป้องกันรากแทงออกมารับน้ำจากนอกวงปูนจนไม่สามารถงดน้ำในการทำนอกฤดูได้นั้น แม้จะได้ปิดก้นวงปูนสนิทดีจนรากออกมาไม่ได้ แต่น้ำในวงปูนก็ออกไม่ได้ด้วย การมีน้ำเหลือค้างในวงปูนนอกจากงดน้ำไม่ได้แล้ว น้ำนั้นอาจทำให้เกิดรากเน่าได้ กรณีนี้ .... แก้ไขโดย ควบคุมปริมาณน้ำให้ได้ กับเจาะรูที่ก้นวงปูน (ขอบด้านข้าง) 2-3 รู เพื่อให้น้ำไหลออกมาได้ แต่หากมีรากมะนาวออกมาที่รูนั้นก็ให้ตัดรากนั้นทิ้ง พร้อมกับแกะรากในรูระบายน้ำออก

มะนาวในวงปูนขนาดปากวง 80 ซม. ปิดก้นสนิทจนน้ำออกไม่ได้ น้ำขังค้างก้นวงปูน ทำให้เกิดรากเน่า ต้นมะนาวจึงตาย ทั้งๆที่อายุต้น 3-4 ปีเท่านั้น

ธรรมชาติมะนาวเป็นไม้ยืนต้น อายุต้น 40-50 ปี ต้นยิ่งอายุมากยิ่งให้ผลผลิตมาก บางต้นให้ผลถึง 1,000 ผล /ต้น


@@ หลักการบำรุงมะนาวในวงปูน :
- บริหารจัดการ “ปัจจัยพื้นฐาน (ดิน-น้ำ-แสงแดด/ฤดูกาล-สารอหาร-สายพันธุ์-โรค” ตามความต้องการของมะนาวในวงปูนอย่างแท้จริง
- บำรุงมะนาวแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของมะนาวในวงปูน
- ลดปุ๋ยเคมี เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ และสารปรับปรุงบำรุงดิน
- ลดธาตุหลัก เพิ่มธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และอื่นๆที่จำเป็น
- ให้สารอาหารครบสูตรทั้งทางใบและทางราก แบบให้น้อยบ่อยครั้ง สม่ำเสมอ

@@ บำรุงมะนาวในวงปูน :
.... ทางใบ : ให้สูตรสหประชาชาติไปเลย.... “น้ำ 200 ล. + ไบโออิ 60 ซีซี. + ไทเป 60 ซีซี. + ยูเรก้า 60 ซีซี.” 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วันฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งไต้ใบบนใบลงถึงพื้น .... ทุกครั้งที่ฉีดปุ๋ยทางใบ +สารสมุนไพรร่วมไปด้วยเพื่อไม่เสียเวลา

หมายเหตุ :
- อัตราให้ปุ๋ยทางใบ อย่าเกิน ! เพราะอาจทำให้ใบไหม้ ใบหงิกงอ แต่ขาดได้หรือลดลงได้ เช่น น้ำ 200 ล. ใส่ปุ๋ย 3 อย่างรวมกันแล้วได้ 180-150 ซีซี. ก็พอ แล้วถือโอกาสให้น้อยบ่อยครั้ง

- เกษตรกรหลายคนใจร้อน คิดว่าใส่มากๆแหละดี ต้นไม้จะได้มีกินมากๆ พอใช้เกินมากๆ แล้วเกิดปัญหาใบหงิก ใบเอ๋อ แล้วมาบ่นว่า "ปุ๋ยลุงคิมเต็มสูตรจริงๆ" ลุงคิมเลยตอบไปว่า "แสดงว่า ใช้ปุ๋ยยี่ห้ออื่น ใส่เกิน-ใส่แถม-ใส่เพิ่ม-ใส่เผื่อ แล้วไม่เป็นไรก็เพราะ เนื้อปุ๋ย (มวลสาร) น้อย นั่นมันน้ำละลายสีธรรมดาๆ..."

- ปุ๋ยทางใบลุงคิม ให้ใช้น้อยลงได้ เพื่อจะได้ไม่เปลือง ประหยัด ทั้งนี้ต้นไม้ต้นพืช ไม่มีคันเร่ง ไม่มีโวลลุ่ม ใจเย็นๆ ดูแลปัจจัยพื้นฐานทุกปัจจัยให้เหมาะสม เดี๋ยวทุกอย่างดีเอง

.... ทางราก : ใส่ยิบซั่ม เฟอร์มิกซ์. ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, ขี้วัวขี้ไก่, ทุก 4 เดือน หญ้าแห้งคลุมโคนต้นหนาๆ ทุก 3 เดือน, ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 + 8-24-24 (1 กำมือ) สลับเดือนกับ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 21-7-14 +21-7-14 (1 กำมือ) /20-30 วงปูน

หมายเหตุ :
- การใช้เครื่องทุ่นแรง สปริงเกอร์หัวพ่นทางใบ ใช้หัวแบบหัวคว่ำ ให้พ่นน้ำผ่านใบลงถึงพื้นเฉพาะวงปูน มีหม้อปุ๋ยหน้าโซน นอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลของเนื้องาน ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงาน อีกด้วย .... ติดสปริงเกอร์ฉีด สมุนไพรเดี่ยวๆ, ปุ๋ย/ฮอร์โมนเดี่ยวๆ หรือ สมุนไพร+ปุ๋ย/ฮอร์โมน เช้ารอบค่ำรอบค่ำรอบเช้ารอบ แถมหัวค่ำ แถมเช้ามืด ได้ทั้งบำรุงต้นมะนาว และป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้

- ไม้ผลตระกูลส้ม บำรุงแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของมะนาว อย่างแท้จริง สม่ำเสมอ อายุต้นยืนนาน 40-50 ปี ต้นยิ่งอายุมากยิ่งให้ผลดกและดี ปัจจุบันที่ปลูกๆกันอายุต้นอยู่ได้ 4-5-6 ปีก็ตาย นั่นเป็นเพราะบำรุงมะนาวตามใจคน (คนปลูก คนขายปุ๋ยขายยา) ไม่ใช่ตามใจมะนาว

--------------------------------------------------------------



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©