AEC..... สร้างโอกาสหรือหมดโอกาส เกษตรกรไทย

[teeen2005]

(1)


(2)


(3) ผลไม้ไทยหลายชนิดที่ปลูกที่เวียดนาม

สวัสดีครับลุงคิม และสมช. ทุกท่าน

ผมไปเจอการเสวนาเรื่อง “อนาคตเกษตรกรไทยภายใต้เออีซี” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ตั้งข้อสังเกตว่า อาเซียนส่งออกสินค้าเกษตรไปทั่วโลกมาก แต่การค้าขายระหว่างอาเซียนด้วยกันเองกลับมีน้อยแค่ 25% ของการส่งออกไปนอกภูมิภาคยกเว้นการส่งออกอาหารที่ ไทยส่งออกให้อาเซียนมากถึง 47% โดยสินค้าที่ อาเซียนมีความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ข้าว, มันสำปะหลัง, ยาง, น้ำตาล (ไทย) น้ำมันปาล์ม (มาเลเซียและอินโดนีเซีย) และกุ้ง (ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย) เมื่อวิเคราะห์ไปถึงผลกระทบของข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC โดยการศึกษาของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ก็พบว่า ประเทศในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นประเทศยากจนและพึ่งเกษตรเป็นหลัก ได้รับระโยชน์จากข้อตกลง AECมาก ขณะที่ ไทยได้ประโยชน์น้อยที่สุด กลุ่มที่ได้ประโยชน์ของไทยคือ ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน และนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นมาก แต่มองว่าภาคเอกชนจะใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษด้านภาษีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากต้นทุนการค้าสูงกว่าส่วนต่างภาษี

กระนั้นในอนาคตมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนจะเพิ่มขึ้นตามรายได้ต่อหัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ที่ ผลิตในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยผู้ได้รับประโยชน์ ได้แก่ ผู้ส่งออกรายใหญ่ โรงงานแปรรูปอาหารรายใหญ่

เกษตรกรที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูง โดยเฉพาะเกษตรกรรายใหญ่ในพื้นที่ชลประทานและผู้บริโภค โดยผู้เสียประโยชน์จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเกษตรกรที่มีต้นทุนสูง แข่งขันไม่ได้ ทำให้อาจตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ

ซึ่งที่ผ่านมารัฐได้ตั้งกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตร หรือกองทุนเอฟทีเอตั้งแต่ปี 2547 วงเงิน 583 ล้านบาท ดำเนินโครงการ 14 โครงการ ในสินค้า 8 ชนิดแต่พบว่าไม่ได้ผล ความสามารถในการแข่งขัน น้ำตาลเป็นสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง สำหรับข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง มันสำปะหลัง และไก่ มีความสามารถในการแข่งขันทรงตัว อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขันเริ่มลดลงหลังนโยบายรับจำนำในเดือน ต.ค. 2554 ยิ่งไปกว่านั้น โครงการจำนำข้าวของรัฐทำให้ ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง อีกทั้งทุกวันนี้รัฐมีสต๊อกข้าวมากถึง 12 ล้านตัน เกิดคำถามตามมามากว่าจะนำไปขายให้ใครได้เพราะหลายฝ่ายประเมินกันแล้วว่า อนาคตตลาดส่งออกข้าวของไทยจะลดลง แต่เพิ่มที่ประเทศคู่แข่งแทน โดยเฉพาะผู้ส่งออกหน้าใหม่ พม่า ที่กำลังพยายามเปิดประเทศสู่ระบบการค้าของโลกมากขึ้น


อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/223#ixzz1xLtgyt4o
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=68614.0


สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ของการแข่งขันต่อไป คือการลดต้นทุนการผลิต ต้องผสมผสานระหว่าง อินทรีย์+เคมี หรือเกษตรอินทรีย์ 100% ไปเลย

สินค้าเกษตรจาก AEC จะไหลเข้าไทย(โรงงานต้องการของถูก) คล้ายแอบเปิ้ลจีนนั้นแหละ(สินค้าจีนก็ทะลัก ยังกะน้ำท่วม) เวลาเราตรวจสารตกค้างแล้วออกข่าว พี่จีนกระแอมนิดหนึ่ง TV ไทยก็หนาวเพราะเงามืดนี่แหละ เรานี่เป็นฮับหรือจุดรับสินค้าคน และไม่ใช่คนของ AEC โดยแท้

เกษตรกรรายย่อย จะทำอะไรกัน คิดหรือยัง เมื่อเปิด AEC จะปลูกข้าวขายโรงสีหรือครับ เมินซ่ะเถอะ(เขาเอาข้าวจาก ลาว เขมร เวียดนามมาทำแป้งแทนข้าวไทยแล้ว) ต่อไปก็ไม่มีประกันราคากันแล้ว จะออกมาปิดถนน เผาหุ่นเชิด คงจะลดลงมาก

ความภูมิใจเรื่องผลไม้ของไทยว่าเป็น 1 เรื่องนี้กำลังจะเป็นความหลัง เพราะเวียดนามเขาก็นำไปทดลองปลูก และพัฒนา(เช่นเราเอาของใต้หวันมาพัฒนานั้นแหละ) และจะมาปลูกแข่ง จากเวบความด้านล่าง มีหลายบทความที่น่าสนใจ

อ่านต่อ : http://www.buffalobow.com/sakda11FestTrai2.html

[DangSalaya]

สวัสดีครับลุงคิม คุณ teeen2005


เตรียมตัวช่วยตัวเองกันเถอะครับ เพราะภาครัฐมัวแต่จ้องจะแก้ พรบ นิรโทษกรรม ของ นายใหญ่ จนลืมพี่น้องประชาชน

วี๊แหว่ วี๊แหว่ วี๊แหว่ ..... ต๊ายแหน่ ต๊ายแหน่ ต๊ายแหน่





ฮี่ ๆ ฮ่า ๆ โฮ่ ๆ


เตรียมตัว เตรียมใจไว้พบกับ ราคาจำนำข้าว แว่ว ๆ มาแล้วจากโรงสี.....7,500 - 8,500

ใครที่ชอบใช้ ยากันเชื้อรา ยี่ห้อ..ฮาฮูเร่ ฉีดข้าวแล้วบอกว่า น้ำหนักดี นั่นน่ะ ราคา 6,500 จะได้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะยาตัวนี้ทำให้ข้าวมีความชื้นสูงงงงง

แล้วใครที่คิดหารถมือสองใช้ เตรียมรอได้เลยจาก ชาวสวนยาง .....ตอน กก. 120 เฮ ป้ายแดงทั้งนั้น.....พอมาถึง 80 ปิดถนน....พอเหลือ 60 มาแน่ ๆ
จะเอาที่ไหนมาผ่อน




ผมเจอป้ายประกาศอยู่อันนึง ของจริงครับ ใกล้บ้านลุงคิม มีใครสนหรือเปล่า โทรไปได้เลย บ้านน่ะพอจะ OK แต่ของแถมนี่ซิต้องคิดหนัก เสื้อสูบ คงหลวมน่าดู


.