วันนี้ที่ไร่กล้อมแกล้ม 14 AUG

[kimzagass]

วันนี้ที่ไร่กล้อมแกล้ม 14 AUG





1.
"แก้วลืมคอน" สุดยอดมะม่วงกินดิบ-ห่ามปากตะกร้อ อายุต้นขึ้นปีที่ 6 ให้ผลผลิตมาแต่แต่ปลูกปีแรก
หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อน-ฟื้นฟูสภาพต้น เรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาด้วย.....
ทางราก : ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 +เพิ่ม 25-7-7 (100 กรัม/ต้น) ..... ทางใบ :
ไบโออิ +เพิ่มยูเรีย +เพิ่มจิ๊บเบอเรลลิน ทุก 7-10 วัน..... ให้ทางราก 1 ครั้ง ให้ทางใบ 4 ครั้ง ระยะ
เวลาไม่ถึง 2 เดือน ได้ใบชุดใหม่เต็มต้น

ผลจากการบำรุงแบบ "สะสมความสมบูรณ์" สม่ำเสมอตลอดช่วงให้ผลผลิตรุ่นที่แล้ว ส่งผลให้การ
แตกใบอ่อนชุดใหม่ออกมาได้พร้อมกันทั้งต้น ทุกต้น แบบนี้น่าจะส่งผลไปถึงการออกดอก ติดผล
และคุณภาพของผลผลิตในรุ่นถัดไปด้วย






2.
ต้นไม้ "พูดด้วยใบ บอกด้วยราก" รูปลักษณ์ใบ ใหญ่-หนา-เขียวเข้ม-เส้นใบนูน-ข้อใบถี่-หูใบอ้อวน
นี่คือ "ความสมบูรณ์" ของต้นซึ่งพร้อมสำหรับการให้ผลผลิตในรุ่นถัดไป....อายุใบเพสลาดระดับนี้
หากต้องการบังคับด้วย "พาโคลบิวทาโซล" ก็สามารถทำได้





3.
"ทะวายใหญ่ หรือ แม่ลูกดก" ลงไว้ริมบ่อ อนาคตจะให้ยื่นกิ่งลงไปในบ่อ ออกดอกติดผลอยู่ในบ่อ ใคร
อยากกินพายเรือไปเก็บเอาเอง.....วันนี้ตัดกิ่งด้านบนฝั่งเพื่อบังคับให้กิ่งเจริญยาวข้างเดียวเข้าไปในบ่อ
กับเพื่อเปิดแสงแดดให้มะกอกฝรั่ง





4.
ฝั่งริมบ่อ วันนี้ใบเพสลาด ถ้าจะราดสารพาโคลบิวทาโซลก็ให้ลงมือได้เลย แต่หากไม่ราดสารก็ให้บำรุง
สารอาหารกลุ่ม ซี.เป็นหลักเข้าไว้ เดี๋ยวหมดฝน เปิดตาดอกด้วยไทเปได้เลย





5.
"เขียวใหญ่" ตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อน แล้วได้ใบอ่อนชุดใหม่เต็มต้น ทั้งนอกทรงพุ่ม ในทรงพุ่ม แบบนี้
ถือว่ามากเกินไป ที่เรียกว่า "บ้าใบ" นั่นแหละ ต้องตัดแต่งกิ่งรอบ 2 เอาใบอ่อนในทรงพุ่มออกให้
หมด กับเอากิ่งนอกทรงพุ่มที่ไม่เหมาะต่อการออกดอก เอาออกให้หมด




6.
ทรงพุ่มโปร่ง แดดส่องทะลุถึงพื้นดินโคนต้นได้ เข้าข่าย "ใบน้อย ลูกมาก" ไม่สิ้นเปืองน้ำเลี้ยง และ
โรคแมลงไม่ค่อยเข้ามาวอแวอีกด้วย





7.
ช่วงนี้ฝนชุก ต้องบำรุงด้วย "ไบโออิ + ธาตุรอง/ธาตุเสริม" เพื่ออาศัยพลังแม็กเนเซียม-สังกะสี เข้า
ไปสู้กับปริมาณไนโตรเจนที่มากับน้ำฝน หรือเพื่อรักษาระดับ ซี. กับ เอ็น. ให้เท่าๆกันไว้ก่อน แล้วรอ
จังหวะปรับ ซี.ให้มากกว่า เอ็น.เมื่อหมดฝน

เดือน ก.ย.น่าจะ สมสมตาดอก-ปรับ ซี/เอ็น เรโช. แล้วเปิดตาดอกต่อ ถ้าเทวดาฟ้าฝนไม่ใจดำจนเกิน
ไป ถึง ต.ค. ต่อ พ.ย. ก็น่าจะออกดอกได้ นั่นคือ มะม่วงก่อนฤดูกาล 1-2 เดือนแล้ว ....เพี้ยงงงงงง ให้ได้ทีเหอะ





8.
"ตะกู" สวมเสื้อติดรังดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปจะผิดหมดจนสวมเสื้อเสร็จ....ปลูกตะกูว่าเป็นไม้โตเร็ว
ก็โตเร็วแหละนะ แต่หากวันนั้นไม่เอาตะกู เปลี่ยนเป็น "สัก" แทน ถึงวันนี้ความเป็นสักคงให้ความรู้สึก
ที่ดีกว่า...ว่ามั้ย




9.
ดินตรงนี้เป็นลูกรังอัดแน่น แน่นมากๆเพราะเลือกลูกรังถมที่โดยเพาะใส่ลงไป ดินตรงนี้ วันนี้ยังไม่มีแผน
ทำอะไร กอร์ปกับร่มเงาแสงแดดจากตะกูก็ไม่มากจนปลูกพืชแซมอะไรไม่ได้ ตัดสินใจทำแปลงไว้ก่อน




10.
กะทำแปลงยาว 25 ม. กว้าง 1 ม. สูง 1 คืบมือ ให้ได้ซัก 2-4 แปลง ....ใส่ขี้วัวไล่ทุ่ง 20 กส.ปุ๋ย,
ยิบซั่ม 1 กส., กระดูกป่น 1 กส., รดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 2 ล. .... 15 วัน หญ้าที่ติด
มากับขี้วัวไล่ทุ่งยังไม่งอก หญ้าพื้นที่ยังไม่โต ชัดเจนว่า "ดินยังไม่พร้อม" ....




11.
น้ำผักดอง สด-ใหม่ ตัวเร่งจุลินทรีย์ ทั้งจุลินทรีย์ใหม่ และจุลินทรีย์ประจำถิ่น อย่างดี....




12.
น้ำ + น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + นมหมัก + น้ำมะพร้าว ..... ให้เสร็จฝนตก น้ำฝนจะช่วยเร่ง
กระบวนการจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี





13.
ยังไม่ได้ติดสปริงเกอร์ ก็ต้อง "สปริงมือ" ไปก่อน....






14.
ปรากฏการณ์ใหม่.....ในบ่อมีลูกปลาตะเพียนเกิดใหม่ เกิดทุกปี ปีละมากๆด้วย ครั้นลูกปลาโตราว
นิ้วก้อยจะหายเกลี้ยง หะแรกก็คือว่า มันตาย กระทั่งรู้ความจริงว่า ตัวการที่แท้จริง คือ "ชะโด" ตัว
ขนาด 3-4 กก. จำนวน 5-6 ตัว จับกินหมดนั่นเอง

ตัดกิ่งไม้ใหญ่ริมบ่อ ทิ้งลงไปที่ริมตลิ่ง ชั่วไม่ถึงอึดใจเห็นลูกตะเพียนฝูงใหญ่เข้าไปอาศัย แสดงว่า นี่คือ
แหล่งหลบภัย ช่วยให้รอดพ้นจากสายตาชะโดได้

ปลาตเพียน (ตะเพียนทอง หางขาว ตัวใหญ่ - ตะเพียนหางแดงหรือกะแห ตัวเล็ก) เป็นปลา "ไข่ปล่อย"
โดยว่า ออกไข่แล้วปล่อยให้ลอยไปกับน้ำ ไปเกิดแล้วก็โตเองตามยถากรรม ไข่ปลาพวกนี้ลอยมากับน้ำ
ชลประทาน เข้าในบ่อของเราเอง เป็นประจำทุกปีของฤดูวางไข่....เทคนิครับลูกปลาพวกนี้ คือ ทำ
กระชังจับมันไว้ แล้วเลี้ยงในกระชังกระทั่งโตประมาณฝ่ามือ จึงปล่อยไปอยู่รวมกับปลาอื่น ลูกปลาที่
โตแล้วสามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดจากปากชะโดได้





15.
ตะเพียน 2-3 กก. จาระเม็ดน้ำจืด 5-6 กก. กะแห 1 กก. สวาย 15 กก. ยี่สกเทศ 1-2 กก. ชะโด
กา ชุมนมอยู่ในบ่อมานานตั้งแต่เริ่มเป็นบ่อ ปลาพวกนี้นานๆจะได้กินอาหารปลาโดยตรงซะที ส่วนใหญ่
กินหญ้า กินผัก กินผลไม้ กลางคืนมีแมลงที่มาเล่นไฟให้กิน จังหวะดีๆจะเห็นชะโดกระโดดสูงจับแมลง
กลางอากาศกินให้เห็น

อาหารหลัก คือ รากหญ้าริมบ่อ ปลาดึงรากหญ้าลงมากิน รากหญ้าก็ดึงต้นหญ้าลงมา แถมมีดินริม
ตลิ่งร่วงตามมาด้วย นี่คือ สาเหตุ "ตลิ่งพัง" แรกๆตลิ่งห่างจากน้ำราว 2 ม. วันนี้เหลือแค่ ครึ่ง-1 ม.
เท่านั้น

ในเมื่อเครื่องมือป้องกันตลิ่งพังป้องกันปลาขึ้นมาดึงรากหญ้าได้ นั่นคือ ปลาจะไม่มีอาหารกิน แนวคิด
ใหม่เกิดขึ้นมาทันที เลี้ยงหญ้า พืชทุกชนิด โดยเฉพาะผักบุ้ง ที่เป็นอาหารปลา ให้เลื้อยเฉพาะส่วน
ยอดลงไปในน้ำ เปิดโอกาสให้ปลากินยอด แต่รากพืชนั้นยังอยู่



16.
คิดอยู่เป็นนานสองนาน จะป้องกันตลิ่งพังได้อย่างไร หลากลายแนวคิด ทำเขื่อนคอนกรีตมีเสาเข็ม
ทำหินทิ้ง ทุกแนวคิดล้วนแต่ใช้เงิน ใช้แรงงงาน ใช้เครื่องมือหนัก และใช้ระยะเวลา ทั้งนั้น ที่สำคัญ
ต้องเอาไม้ริมตลิ่งออกก่อน อันนี้ "ไม่ยอม" แน่นอน

ไม่เอาต้นไม้ออก พื้นที่จำกัด จะเอาเครื่องมือหนักเข้าไปทำงานได้ยังไง....





17.
สังเกตุ : ซ้ายมือ คือ ตลุมพุก ตอกหลัก....ขวามือในน้ำ เสาคอนกรีตสี่เหลี่ยม ขนาด 2 นิ้ว ยาว 1 ม.
ราคาอันละ 45 บาท.....ใช้ตลุมพุกตอก 2 ที หัวเสาแตก สงสัยใส่ปูนน้อย แต่ใส่ทรายมาก

สรุป.... เสาคอนกรีต ตอกด้วยตลุมพุก ใช้ไม่ได้





18.
ใช้กระเบื้องลูกฟูที่ใช้มุงหลังคาบ้าน เลือกอย่างหนา 1 แผ่น วางนอนตามยาว ให้ชิดดินตลิ่ง แล้วปักหลัก
ยึดด้วย พีวีซี. 1 นิ้ว ที่ใช้ทำสปริงเกอร์นี่แหละ ตัดยาว 1 ม. ใช้ค้อนปอนด์ตอกลงไปลึกราว 50 ซม.
แน่นตึ๊บตอกไม่ลงอีก กระเบื้องบางแผ่นดักแต่ด้านนอก บางแผ่นอาจดักด้านในด้วย แล้วแต่ความตรงของ
แนวดินริมตลิ่ง





19
ระดับน้ำในบ่อ แน่นอนกว่าหวอดระดับก่อสร้าง วางกระเบื้องแต่ละแผ่นให้ขอบสูงกว่าระดับน้ำ 1 ลอน
ลูกฟูก แค่นี้ก็วิศวะแล้ว.....ว้าววววว





20.
จุดนี้ใกล้ๆเรือนปั๊ม เหลือตลิ่งแค่ 20 ซม. ก็คงต้องดูต่อไปว่ากระเบื้องจะกันตลิ่งพังต่อได้หรือไม่

สรุป : ขอบบ่อขนาดกว้าง 20 ม. ยาว 30 ม. (ประมาณด้วยสายตา) งานนี้ใช้แรงงาน 2 คน (คนงาน
ในไร่) กับใช้เวลา 1 วัน.....ร้อยเรียบ






21.
ตัวนี้เป็นตัวผู้ ชื่อ "แพนด้า" เกิดพร้อมหมีแพนด้า เชียงใหม่ เป็นหมาพันธุ์เรียกขะโมยเข้าบ้าน....ตอน
เล็กๆ อ้วนท้วนจ้ำม้ำ น่ารักน่ากอด วันนี้โตเต็มที่ ทำหมันแล้ว น่า "ต้มพะโล้" นะ....ว่ามั้ย





22.
: ตัวนี้เป็นตัวเมีย เป็นพี่น้องกับแพนด้า ทำหมันแล้ว ชื่อ "พัชรี" ตามคำร้องขอ....
: ตอนที่ตัวเล็กๆ มีหญิงสาว (สวย อวบ อั้น อั๋น อึ๋ม) เอ่ยปาก "ขอ" ได้ไหม
: คำตอบ คือ ไม่ได้"
: เลยขอใหม่ ไม่ขอตัวแต่ขอให้ตั้งชื่อว่า "พัชรี" ได้ไหม
: คำตอบคือ O.K. ทั้งๆที่ไม่รู้ที่มาของชื่อ



ก็เพราะไอ้เรามันคนใจง่าย รักทุกคนทั้งๆที่ไม่ได้ถามชื่อ มารู้ทีหลังว่า สาวสวยหมวยอึ๋ม คนนั้นเธอชื่อ "พัชรี" .....

เธอมาแล้วก็ไป เหมือน "พบเพื่อจาก" .....
นัยว่าเจตนา แม้วันนี้ไม่มีร่างเธอให้เห็น แต่ก็ทิ้งชื่อเธอไว้ให้เราเรียกหา....ประมาณนั้นมั้ย ....




เหมือนลุงคิม "เลวมาก" แค่คบกันฐานะ "คนเคยรู้จักกัน" ก็ไม่ได้......งั้นมั้ง
หรือมีอาถรรย์ ไร่กล้อมแกล้ม มาแล้วไม่มาอีก... ไปแล้วไม่ไปอีก.......งั้นมั้ย








.

[Yuth-Jasmine]

[cherm]

สวัสดีค่ะ ลุงคิม

ยัยเฉิ่ม เห็นด้วยกับคุณ yuth อย่าเสียใจไปเลยค่ะ วันหนึ่งๆ มีคนเค้ามาอ่านเวปลุง
เป็นหลักพัน หรือมากว่านั้น เพียงแต่่เค้าไม่แสดงความคิดเห็น

ลุงเป็นปุยชณีบุคคลเลยค่ะ วันหลังว่าจะทำรูปหล่อไว้บูชา คนอะไรให้โดยไม่ถามชื่อแซ่



เคารพรักลุงเหมือนกับทุกแหละค่ะ เพียงแต่ไม่แสดงออก

ยัยเฉิ่ม เจ้าค่ะ




.

[cherm]

สวัสด ึค่ะ


ยัยเฉิ่ม เห็นลูกน้องลุงคิมที่ไร่จากในรูป ขยันขันแข็งน่าดู ลุงทำยังไงน่า
มัดใจลูกน้องได้ขนาดนี้ มีอะไรดีบอกมั่งซี่ ลุงคิมมมม



.

[kimzagass]

"ปุยชณีบุคคล"

เวอร์ไป ยัยเฉิ่ม เวอร์ไป.....อะไรจะปานนั้น....

อย่าเวอร์ อายอั้ยญู้ดดดด มันมั่ง....


ตาคิมก็อั้ยแค่คนแก่ เหมือนไม้ (ผุๆ) ใกล้ฝั่งธรรมดาๆ เท่านั้นแหละ



.