-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-แมลงก้นกระดก (แมลงน้ำกรด)
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - แมลงก้นกระดก (แมลงน้ำกรด)
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

แมลงก้นกระดก (แมลงน้ำกรด)

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
hearse
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 08/01/2010
ตอบ: 110

ตอบตอบ: 09/05/2012 10:53 pm    ชื่อกระทู้: แมลงก้นกระดก (แมลงน้ำกรด) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แมลงก้นกระดก (แมลงน้ำกรด)






เมื่อ 2-3 วันก่อน อยู่ๆ ก็มีผื่นขึ้นที่ขาพับ แรกๆก็คันนิดๆ นึกว่าคงโดนยุงกัด 2-3 ชั่วโมงต่อมาก็ลามแดงออกมาเรื่อย อาการคันกลายเป็นตึงๆ แสบๆ พร้อมกับมีหนองเกิดขึ้น อาการเหมือนแผลติดเชื้อไฟไหม้น้ำร้อนลวก และแสบมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็คิดว่าต้องแพ้อะไรซักอย่าง แล้วก็ไปเกาจนอักเสบ เลยไปหาหมอ พอหมอดุปั๊บ ก็บอกว่าโดนพิษแมงก้นกระดกมา

ลักษณะเด่นของอาการนี้ คือ มันจะเป็นแผล copy คือ ด้านบนและด้านล่างเหมือนกัน ถ้าแผลเปียกแล้วแตกออก หากไปสัมผัสผิวหนังตรงไหนก็จะเกิดตามกันมาเลย หมอเลยให้ยาแก้แพ้มากิน และยาทาเพื่อลดอาการอักเสบ และให้พยายามรักษาแผลให้แห้งไว้ อย่าไปสัมผัส จนกว่าแผลจะแห้ง ภาษาหนังสือพิมพ์เรียกว่า "แมลงเฟรชชี่" แต่ชาวบ้านร้านตลาดและนักศึกษาทั่วไปจะรู้จักมันในชื่อ "ด้วงก้นกระดก"

แมลงด้วงก้นกระดกนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paederus fuscipes และมีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Rove beetles โดยปกติแล้วเป็นแมลงที่มีประโยชน์ในฐานะตัวห้ำที่คอยกินแมลงตัวเล็กๆจึงพบมากในพื้นที่การเกษตร

นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในแถบชานเมือง ลักษณะเป็นแมลงตัวยาวๆสีดำสลับส้ม ในตัวมันจะมีสารที่เป็นพิษกับผิวหนังของคน ทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้ การอักเสบของผิวหนังที่เกิดขึ้นจะเริ่มจากเป็นรอยทางแดงๆ จากนั้นก็จะเริ่มมีตุ่มน้ำพองขึ้นมา บางคนที่เกามาก อาจจะเกิดเป็นรอยสีน้ำตาลแดงและตุ่มหนองขึ้นได้ ความรุนแรงของโรคความรุนแรงของโรคมักมีจำกัดครับ ส่วนมากแล้วมักจะอยู่แค่การเจ็บแสบร้อนผิวหนัง หากทิ้งไว้ระยะหนึ่งก็สามารถหายเองได้ยกเว้นก็แต่เข้าตา ถูกเป็นบริเวณกว้าง แพ้มาก หรือไปเกาจนติดเชื้อซ้ำซ้อนที่อาจจะเป็นปัญหาตามมาได้

ปัญหาที่เกี่ยวกับโรคนี้โรคนี้โดยตัวมันเองไม่ใคร่รุนแรงนัก แต่มีปัญหาว่า คนจะเข้าใจผิดว่ามันเป็นโรคอื่น ซึ่งทำให้ต้องไปรักษาอย่างไม่จำเป็นโรคที่เข้าใจผิดได้บ่อยๆก็คือเรื่องงูสวัด และแพ้ยา ซึ่งบางทีมาหาหมอด้วยเรื่องว่าหลังจากเป็นแล้วไปเป่าน้ำมนต์พ่นยาเขียว หลังจากนั้นแผลอักเสบติดเชื้อหนองไหลเยิ้ม ... เกิดโรคตามมาโดยไม่จำเป็นงูสวัด มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองใสได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของมันจะขึ้นตามแนวเส้นประสาท หรือ dermatome (เพราะเชื้อพวกนี้เดินตามแนวเส้นประสาท) แพ้ยาก็ต้องมีอาการหลังการกินยาหรืออาหารที่ต้องสงสัยบางคนมาที่รพ.ด้วยปัญหากลัวเป็นงูสวัด แต่รอยที่ปรากฎเกิดเป็นทางยาวไม่ตรงตามแนวเส้นประสาท กลับไปเหมือนรอยตัวอะไรบางอย่างโดนบี้เป็นทางยาว อย่างนี้หมอก็มักไม่จ่ายยาต้านเชื้อไวรัสงูสวัดให้สรุปว่า หากมีตุ่มน้ำพอง แสบร้อนขึ้น ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นเริม งูสวัด หรือไปโดนสัมผัสสารเคมี-สารก่อภูมิแพ้ ก็ลองไปพบแพทย์ดูก่อนเพื่อการวินิจฉัยและรักษาต่อไปครับ...

และอีกปัญหาที่เกี่ยวกับโรคนี้คือ จะพบคนที่เป็นโรคนี้ได้มากในโรงงานอุตสาหกรรมที่เปิดทำงานล่วงเวลา และมักก่อปัญหาความเข้าใจผิดในโรงงานให้พนักงานคิดว่าตนเองแพ้สารเคมีในโรงงานครับ การรักษาอย่างที่บอกครับ ตอนโดนมักไม่ค่อยรู้ตัว ดังนั้นอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ...

ในระหว่างที่ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ก็อาจจะใช้ยาแก้ปวด ประคบเย็น แล้วไปพบแพทย์หรือถ้าเห็นชัดๆว่าไปบี้แมลงพวกนี้เข้า ก็ให้รีบไปล้างด้วยน้ำสบู่ โดยทั่วไปไม่ต้องใช้ยา อาจจะใช้ยาแก้แพ้แก้คัน หรือประคบเย็นก็ได้ ......

ในรายที่แมลงพวกนี้เข้าตา ลักษณะของผื่นนี้จะมีสีแดงจัด ขอบเขตชัดเจน ส่วนใหญ่อยู่บริเวณนอกร่มผ้า ผื่นลักษณะเหมือนเราส่องกระจกเงาไปที่ผื่นอันแรก (mirror image) ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคจากโรคอื่นๆ ภาวะนี้เรียกว่า Paederous dermatitis หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า ผื่นที่เกิดจากแมลงก้นกระดก หรือ แมลงเฟรชชี่ (อันหลังนี้เข้าใจว่าเกิดจากภาวะนี้เกิดในช่วงเปิดมหาวิทยาใหม่ๆ หรือช่วงรับน้องใหม่) ในรูปแสดงตัวแมลงตัวที่ว่า ดูแล้วน่ากลัว บางคนคิดว่าคงโดนแมลงนี้กัดเอา แต่สาเหตุที่เป็นต้นตอทำให้เกิดผิวหนังแสบร้อนนี้คือ ของเหลวที่แมลงตัวนี้ปล่อยออกมาเวลาที่โดนปัดโดยคน (หรือบางคนบอกว่าเวลาแมลงตกใจ ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าแมลงตกใจ) คือ สาร pederin ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดการระคายที่ผิวหนังที่โดนสารนี้ ทำให้เกิดเป็นผื่นระคายชนิดหนึ่ง (หรือ irritant contact dermatitis)

บางครั้งถ้าแมลงตัวใหญ่มาก สารที่ว่านี้จะมีปริมาณมากทำให้มีผื่นที่มีความรุนแรงมาก ทำให้เกิดแผลเป็นได้ครับ

สธ.เตือนภัยจากตัวด้วงก้นกระดก หรือด้วงก้นงอน อย่าจับเล่น ตีหรือบดขยี้ เนื่องจากมีสารพิษอันตรายทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ ทำให้ผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน ปวดแสบปวดร้อน เป็นแผลพุพอง รายที่แพ้รุนแรงอาจมีไข้ ปวดเส้นประสาทกล้ามเนื้อนานหลายเดือน หากพิษเข้าตา อาจตาบอดได้ แนะวิธีแก้ไขหากถูกพิษ ให้ใช้น้ำสะอาดล้างออกหรือใช้แอมโมเนียเช็ดออก

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงฤดูฝนนี้ มักจะมีด้วงก้นกระดก หรือที่เรียกว่า ด้วงปีกสั้น ด้วงก้นงอน (Rove beetle) ชุกชุมกว่าฤดูอื่น ซึ่งด้วงชนิดนี้เป็นแมลงที่มีประโยชน์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ แต่มีพิษทำให้เกิดผื่นแพ้ต่อผิวหนังอย่างเฉียบพลัน มีรายงานผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต โดยตัวด้วงกระดกจะมีพิษที่มีชื่อว่า เพเดอริน (Paederin) อยู่ทั่วตัว มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ หากคนโดนสารพิษดังกล่าว เมื่อถูกผิวหนัง จะเกิดอาการอักเสบ แสบร้อน พุพอง ส่วนใหญ่พิษจะมีในด้วงตัวเมีย การปล่อยน้ำพิษจะออกมาในกรณีที่ด้วงตกใจ ถูกตี ถูกบีบ หรือถูกบดขยี้ เพื่อป้องกันตัว ด้วง 1 ตัว จะมีสารพิษอยู่ในตัวประมาณร้อย 0.025 ของน้ำหนักตัว

ทั้งนี้หลังจากที่คนสัมผัสพิษด้วงกระดก อาการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณที่สัมผัสพิษ โดยหลังสัมผัสใน 24 ชั่วโมงแรก ผิวจะมีผื่นแดง คัน แสบร้อนผิวหนัง และเกิดเป็นแผลพุพองภายใน 48 ชั่วโมง และมีการอักเสบขยายวงใหญ่ขึ้น จากนั้นจึงตกสะเก็ดภายใน 8 วัน อาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ ในรายที่เป็นรุนแรง ผิวหนังจะอักเสบหลายแห่ง คล้ายงูสวัด อาจมีอาการไข้ ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน เป็นผื่น บวมแดงติดต่อกันหลายเดือน หากพิษเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้

สำหรับด้วงก้นกระดกชอบเล่นไฟในยามค่ำคืน มีมากในฤดูฝน ลักษณะด้วงก้นกระดกจะมีขนาดเล็ก ความยาวเพียง 4-7 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นแมลงตัวยาวๆ ส่วนหัวมีสีดำ ปีกสีน้ำเงินเข้ม ลำตัวมีสีดำสลับส้ม และมักจะกระดกส่วนท้องขึ้นๆ ลงๆ เมื่อเกาะบนพื้น ชอบอาศัยตามกองมูลสัตว์ กองไม้และบินเข้ามาเล่นแสงไฟในบ้านเรือน พบด้วงชนิดนี้ได้ทั่วโลก มากที่สุดที่อเมริกาเหนือ ซึ่งมีถึง 3,100 ชนิด
สำหรับประเทศไทยคาดว่ามีประมาณ 20 ชนิด ตามปกติ ด้วงก้นกระดก จะไม่กัดหรือต่อยคน แต่คนจะได้รับพิษหากไปสัมผัส จับมาเล่น หรือ ตบตี บี้จนน้ำพิษแตกออกมา

ประเทศไทยเคยมีรายงานระบาดใน พ.ศ.2536 พบในโรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ เกิดอาการผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน มีผู้ป่วย 27 ราย ครั้งที่ 2 พบที่จังหวัดนครสวรรค์ ใน พ.ศ. 2549 ที่หอพักนักศึกษาหญิง พบผู้ป่วย 113 ราย และพบที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 30 ราย ในปีเดียวกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีผื่นแดงเป็นทางยาว ปวดแสบปวดร้อน ลักษณะคล้ายรอยไหม้ บางรายอักเสบจนเป็นตุ่มหนอง ส่วนที่ต่างประเทศ เคยมีรายงานที่เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2512 มีคนโดนพิษด้วงเกิดอาการรุนแรง 2,000 กว่าคน ที่อินเดียใน พ.ศ.2548 มีผู้ป่วย 123 คน“การป้องกันด้วงก้นกระดก ขอให้ประชาชนระมัดระวัง โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าจับด้วงมาเล่น ไม่ตบหรือตีเมื่อด้วงบินมาเกาะตามตัว หากถูกพิษของด้วง ให้ล้างด้วยน้ำเปล่าฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย และควรไปพบแพทย์” นพ.สุพรรณ กล่าว

การป้องกันเนื่องจากแมลงพวกนี้มีตัวเล็กยาวและลื่น จึงมักลอดช่องมุ้งลวดได้อย่างสะดวกดาย แถมยังมีนิสัยเสียชอบเข้าไปซุกในที่นอนด้วย การป้องกันจึงทำได้ค่อนข้างยากนิดนึงครับที่พอจะป้องกันได้ก็คือ ถ้าเจอแมลงพวกนี้ ไม่ให้ฆ่า แต่ให้เอาไปปล่อย , การเอาสิ่งดึงดูดแมลงพวกนี้ออกไป เช่น ช่วงฤดูที่แมลงเยอะ ก็อย่าเปิดไฟนีออนแสงขาวฟ้าทิ้งไว้เพราะจะล่อแมลงพวกนี้ (บางสายพันธุ์) ถ้ามีปัญหามาก ให้เปลี่ยนเป็นไฟหลอดไส้สีเหลืองแทนและที่สำคัญ ก่อนจะนอนให้สะบัดผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และปลอกหมอน ... เพราะหลายครั้งหลายคราวที่คนมักจะสัมผัสกับแมลงนี้ตอนนอนหลับ (นอนทับ) ผมเองทับไปสองตัวแล้ว แห้งตายคาเตียงเป็นหลักฐานทีเดียวเชียว

อย่างที่เคยเน้นย้ำเสมอครับว่าเรื่องทางการแพทย์ไม่ได้มีอะไร 100% ทุกอย่างต้องใช้ข้อมูลประกอบกันขึ้นมา ขาดเพียงข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งอาจจะพาหลงทางเข้าป่าไปเลยก็ได้ ในผู้ป่วยรายข้างต้น อธิบายแล้วว่าลักษณะไม่เหมือน อาการไม่เหมือน ผลการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการก็ไม่เหมือน แต่ผู้ป่วยไม่เชื่อ เนื่องจากข้อมูลที่เค้าได้รับและเข้าใจ คือ ถ้ามีตุ่มพองแดงและแสบร้อนต้องเป็นงูสวัดเท่านั้นถึงหมอจะยืนยันไปด้วยทั้งอาการทางคลินิกและการตรวจเซลล์ที่ไม่มีความคล้ายคลึงกับงูสวัดเลย ผู้ป่วยก็ไม่ค่อยจะเชื่อว่าเกิดจากการอักเสบผื่นแพ้ผิวหนัง ... ยังพยายามเชื่อว่าเป็นงูสวัดสายพันธุ์ใหม่มากกว่าแต่ก็ต้องยืนยันการรักษาครับ ว่าต้องเป็นไปตามหลักฐานและหลักการ ... ผมก็ต้องจ่ายไปเพียงยาแก้แพ้แก้คัน ยาแก้อักเสบ (ปฏิชีวนะ) และครีมทาแก้แพ้ไป ไม่ได้จ่ายยาต้านไวรัสตามต้องการ ...





เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับแมลงก้นกระดก
1. การระบาดครั้งใหญ่ เกิดขึ้นที่โอกินาว่าเมื่อ1969 มีคนที่โดนแมลงตัวนี้แล้วเกิดอาการรุนแรง2000กว่าคน

2. อาการ "ตาอักเสบแบบไนรูบี" เป็นชื่อเล่นๆของโรคตาอักเสบที่เกิดจากแมลงเหล่านี้เข้าตา เพราะแมลงเหล่านี้ก็พบได้มากแถวแอฟริกา

3. อาการทางผิวหนังอาจคล้ายคลึงจากการโดนแมลงที่ชื่อว่าBlister Beetle

4. ด้วงตัวที่มีพิษคือตัวเมีย ส่วนด้วงตัวผู้จะได้พิษจากแม่เพียงเล็กน้อย หรืออาจจะได้ในกรณีไปกินซากตัวเมีย ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่บางคนจะเข้าใจว่าแมลงตัวนี้ไม่มีพิษ (เพราะอาจจะเคยโดน แต่โดนตัวผู้)

แค่มันมาเดินบนตัว บินชนหน้า หรือสัมผัสถูก แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ทุกที่ที่มันสัมผัสมันจะปล่อยกรดที่อยู่ที่ส่วนก้นออกมาทำให้เกิดรอยไหม้ บวม แดง ขึ้น แน่นอนแผลไม่ได้หายง่าย ๆ และพอหายแล้วต้องมารักษารอยแผลเป็นอีกต่างหาก นับว่าเป็นโชค 2 ชั้นเลยทีเดียวละ บางคนมันเข้าตาก็มี สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องรีบล้างด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ แล้วไปพบแพทย์ ในทันที

ถ้ามันมาเดินบนแขน แล้วเผอิญพับแขน แผลจุด ๆ นั่น เป็นจุดที่มันตาย แล้วกรดในตัวมันก็กระจายไปทั่วแขน อันนี้ล่ะแสบไปนาน แล้วแผลอาจจะลามไปได้ จากการแพ้สารเคมีในตัวแมลงที่ปนเปื้อนบนแขน กรณีนี้ให้รีบล้างออกโดยเร็วอย่าได้นิ่งนอนใจ ห้ใช้น้ำสะอาดล้างออกหรือใช้แอมโมเนียเช็ดออก

รายการตีสิบ ออกอากาศคืนวันที่ 8 พ.ค. นำเสนอเรื่องราวภัยใกล้ตัว ที่พิษของแมลงก้นกระดก หรือที่เรียกว่าแมลงน้ำกรดโดนร่างกายจนเกือบเสียโฉม เพราะพิษของมัน คล้ายกับโดนน้ำกรด

คุณมิลค์ ชมพูนุช ประพัทธาคิณี แอร์โฮสเตสสาว แขกรับเชิญมาเล่าประสบการณ์ว่า เธอถูกแมลงตัวนี้กัดจนเกิดรอยแดง จนกระทั่งผู้โดยสารคิดว่าโดนตบมาจากบ้าน อาการวันที่สามเห็นชัดเจนว่ามีรอยแดง ขึ้นมาเรื่อยๆ หลายจุด

เธอเท้าความไปว่า ที่บ้านมีแมลงชนิดนี้จำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร เมื่อพบว่าอยู่บนเตียงนอน เลยจับมันแล้วโยนไป แล้วมือที่จับไปโดนน้ำของมันเผลอมาจับใบหน้า เสยผม จนกระทั่งค่อยๆเป็นรอยขึ้นมา ที่จมูก ข้างแก้ม จนค่อยขึ้นทั้งหน้าชัดเจน รู้สึกตึงและแสบที่ใบหน้า คล้ายรอยข่วน ตาเริ่มเป็นสะเก็ด แก้มมีหนอง ปากเป็นแผล

เมื่อไปพบแพทย์ทราบว่าอาการชัดเจน เกิดจากแมลงก้นกระดก เพราะคนไทยจะเป็นเยอะ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวอะไร แผลจะชัดเจน อยู่ที่เราจะจะรู้หรือไม่

คุณมิลค์ เล่าว่าบริเวณที่เป็นแผลจะเจ็บมาก จนน้ำตาไหล อาการแพ้แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนแพ้จนเป็นปล้องๆ จนน่ากลัว แพ้มากน้อยแตกต่างกันไป

คุณศิลฤดี ที่ปรึกษากรมวิชาการเกษตร ด้านนิเวศน์วิทยาแมลง กล่าวว่า แมลงชนิดนี้จะมีน้ำในตัวซึมๆอยู่ตลอดเวลา หากโดนนิดเดียวก็เกิดอาการแพ้ได้ ปัจจุบันจะเรียกว่าแมลงเฟรชชี่ ชุกชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงมิถุนายนช่วงที่น้องใหม่ที่ทำกิจกรรมรับน้องมักจะโดน หากตบน้ำพิษจะแตก รับพิษ 2 วันจึงจะพอง ต้องระวังไม่ให้น้ำแตก หากแตกอาจติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งหากเข้าตา เยื่อบุตาจะอักเสบ เมื่อรู้ว่าโดนแมลงแพทย์จะทราบได้ทันทีหากมีอาการ

การปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วต้องรีบล้างน้ำสบู่ให้สะอาด เพื่อให้เจือจาง




ที่มา http://news.mthai.com/general-news/164847.html และ
http://chemist2008.ning.com/forum/topics/2179300:Topic:296133
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©