-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 6 FEB
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 6 FEB
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 6 FEB

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 06/02/2012 6:55 am    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 6 FEB ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 6 FEB


**********************************************************

สร้างสรรสังคม....ส่งเสริมคนดี....พัฒนาชีวิต ให้มีคุณภาพ...

กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม
ทางสถานีวิทยุ พล.ปตอ. เอเอ็ม 594 เวลา 08.10–09.00 และ 20.05-20.30 ทุกวัน

ผลิตรายการโดย กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก
กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ

เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 สายด่วน 4 ตัว ฝากข้อความ-ฝากคำถาม-ฝากข่าว
ก่อนเริ่มรายการที่ โทรศัพท์มือถือส่วนตัว (081) 913-4986

**********************************************************



จาก : (084) 027-61xx
ข้อความ : ถามลุงคิม ในขี้วัวมีเมล็ดหญ้า ถ้าเอาไปใส่นาข้าวก็จะเกิดหญ้า อยากถามว่าจะกำจัด
เมล็ดหญ้าในขี้วัวได้อย่างไร ?
ตอบ :
เมล็ด หญ้า/วัชพืช ในขี้วัวมาจาก หญ้า/วัชพืช ที่วัวกินเข้าไป เมล็ดพวกนี้ทนต่อระบบย่อยอาหารในกระเพาะวัวได้ ครั้นเมื่อวัวขี้ออกมา เมล็ด หญ้า/วัชพืช ก็มีโอกาสร่วงลงดิน แล้วงอกใหม่ได้เหมือนปกติ นี่คือ วัฏจักรของธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่กำเนิดโลก ...... เทคนิคการทำให้เมล็ด หญ้า/วัชพืช ในขี้วัวเสื่อมความงอก คือ ทำขี้วัวให้แห้ง แล้วทิ้งไว้เฉยๆ นานๆ อาจจะนานข้ามปี แบบที่เรียกว่า "แห้ง-เก่าข้ามปี" ซึ่งนอกจากจะทำให้เมล็ด หญ้า/วัชพืช เสื่อมความงอกแล้ว ก๊าซบางชนิดในขี้วัว (ไฮโดรเจน ซัลไฟด์/ก๊าซไข่เน่า) ที่เป็นโทษต่อพืชหรือจุลินทรีย์ประจำถิ่นก็จะหมดไปด้วย

การกำจัดเมล็ด หญ้า/วัชพืช ในขี้วัวแบบเร่งด่วนสามารถทำได้โดย นำขี้วัวมาละลายน้ำ แล้วแยกกากแยกน้ำออกจากกันด้วยวัสดุกรอง จากนั้นจึงนำเฉพาะ "น้ำละลายขี้วัว" มาใช้งาน ในน้ำนั้นก็จะไม่มีเมล็ด หญ้า/วัชพืช ให้งอกได้อีก


ในความเป็นจริง ขี้วัว คือ "หญ้าที่ถูกย่อย + น้ำย่อย" โดยมีจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหารของวัวเป็นตัวดำเนินการ ..... ซึ่งหญ้าก็คือ "ฟาง-เศษซากพืช" เมื่อนำขี้วัวในราดรดให้แก่ ฟางหรือเศษซากพืชในแปลง จุลินทรีย์ในขี้วัวก็จะย่อยสลายฟางหรือเศษซากพืชในแปลงนั้นได้ เฉกเช่นเดียวกันกับย่อยฟางในกระเพาะวัว

ในระบบย่อยอาหารเพื่อสร้างสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่ายกายของมนุษย์และสัตว์ (ยกเว้นพืช) ขั้นตอนแรกกระทำโดยกระเพาะก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้สารอาหารที่ถูกย่อยออกมายังมีโมเลกุลขนาดใหญ่ (โมเลกุลสายยาว) ไม่สามารถส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ จำเป็นต้องส่งไปยังลำไส้ให้ทำการย่อยสลาย (ENZIME) ต่อ เป็นการย่อยสลายขั้นตอนที่สอง ซึ่งขั้นตอนนี้ที่สองนี้ เมื่อโมเลกุลที่ถูกย่อยสลายซ้ำจะมีโมเลกุลมีขนาดที่เล็กลงจนเรียกว่า "โมเลกุลเดี่ยว" และโมเลกุลเดี่ยวนี้เองที่สามารถไปกับกระแสเลือด ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายกายได้ ..... จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ขี้เพี้ยในลำไส้วัวที่คนเอามากินได้นั้น เป็นสารอาหารต่างๆที่ออกมาจากหญ้าที่วัวกินเข้าไปเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเดี่ยว เมื่อนำไปให้ทางใบแก่พืช ก็จะสามารถผ่านปากใบพืชเข้าสู่ต้นได้

การนำขี้วัวมาหมักด้วยวิธี "น้ำหมักชีวภาพ" หมักนานข้ามปี หรือ 2-3 ปี นอกจากจะได้สารอาหารพืชจากขี้วัวแล้ว ยังได้จุลินทรีย์กลุ่มย่อยสลายพืชตระกูลหญ้าโดยเฉพาะ เมื่อนำไปใส่ในนาเพื่อหมักฟาง หรือใส่ในกองปุ๋ยอินทรีย์ ก็ช่วยให้ฟางหรือเศษซากพืชผุเปื่อยย่อยสลายเร็วขึ้นอีกด้วย

จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิต สืบพันธุ์-ขยายพันธุ์ได้ เอาขี้เพี้ยวัวมาขยายเชื้อด้วยวิธีการขยายเชื้อจุลินทรีย์ตามปกติ จุลินทรีย์ในขี้เพี้ยก็จะเจริญพัฒนาเพิ่มปริมาณได้ เมื่ออาไปใส่ในนาข้าว อัตราใช้ตามปกติ ก็จะได้จุลินทรีย์กลุ่มย่อยสลายฟางโดยตรง


-------------------------------------------------------------------------------------------------




จาก : (089) 368-12xx
ข้อความ : ดินเคยใส่ปูนขาวมานาน เพิ่งรู้ว่าปูนขาวเป็นด่าง กับเพิ่งรู้ว่าดินเป็นด่างทำให้ผักไม่โต
ใส่ปุ๋ยมากๆก็ไม่โต ต้นทุน ค่าปุ๋ย-ค่ายา สูงขึ้นทุกรุ่น อยากปรึกษาลุงคิมว่า มีวิธีแก้ไขแบบ
ธรรมชาติยังไงบ้าง.....ขอบคุณ สวนผักนนทบุรี
ตอบ :
ปูนขาวที่เกษตรกรใช้ใส่ดินนั้น คือ ตัวเดียวกันกับปูนขาวที่ใช้ผสมซีเมนต์ก่อสร้าง ทำมาจากเปลือกหอยเผา หรือหินเผา มีค่า พีเอช 14.0 ถือว่าเป็น ด่างจัด" ในภาคการเกษตรใช้สำหรับปรับดินที่เป็นกรดจัด ให้ลดความเป็นกรดลงมาเป็นกลางเท่านั้น

การใช้ปูนขาวเพื่อลดความเป็นกรดในดิน ต้องรู้ค่าต้นทุนความเป็นกรดของดินก่อน จากนั้นจึงใส่ปูนขาวตามปริมาณที่กำหนด เพราะหากใส่มากเกินไป หรือใส่บ่อยครั้งเกินไป ดินสะสมปูนขาว ดินก็จะกลับเป็นด่าง ถึงด่างจัด ซึ่งใช้เพราะปลูกพืชไม่ได้เช่นกัน

ปูนขาว-ปูลมาร์ล-โดโลไมท์ ทั้ง 3 ชนิด มีสถานะทางเคมีเป็น "ด่างจัด" ค่า พีเอช 14.0

ในปูนขาวมีแคลเซียม แต่เป็น "แคลเซียม คาร์บอเนต" เป็นแคลเซียมที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ทันทีหลังการใส่ได้ ต้องทิ้งไว้ในดินอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะเปลี่ยนรูปทางเคมีมาอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ได้

ในปูนมาร์ล-โดโลไมท์ มีแม็กเนเซียม 3 % นอกจากถือว่าน้อยมากๆแล้ว พืชยังนำไปใช้ทันทีหลังใส่ไม่ได้อีกด้วย ต้องทิ้งไว้ในดินอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะเปลี่ยนรูปทางเคมีมาอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ได้

ถ้าดินไม่เป็นด่างโดยธรรมชาติ (ธรณีวิทยา) หรือเป็นด่างเพราะคนใส่ด่างลงไปเอง สามารถแก้ไขโดยการ "พักดิน" เริ่มจากไถดินตากแดดจัด 15-30 แดดจัด ระหว่างนี้ให้ใส่ (ราด/รด) จุลินทรีย์ลงไป ทุก 15-20 วัน ซึ่งจุลินทรีย์จะช่วยปรับสภาพโครงสร้างดิน จากที่เป็นด่างจัดให้มาเป็นกลางได้ ..... วิธีการเดียวกันนี้ สามารถใช้แก้ไขดินที่เป็นกรดจัด (เป็นกรดเพราะคนใส่กรดลงไป) ได้อีกด้วย

ระหว่างที่ดินยังเป็นด่างหรือเป็นกรดอยู่ แล้วไม่มีเวลาหรือโอกาส "พักดิน" ด้วยปัญหาใดๆก็สุดแท้ แต่ต้นพืชยังยืนต้นอยู่ได้ แม้สภาพต้นจะไม่สมบูรณ์นักก็ตาม แนะนำให้บำรุงพืชด้วย ปุ๋ย/ฮอร์โมน ทางใบเป็นหลัก พร้อมกับบำรุงดินด้วยจุลินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับมาตรการอนุรักษ์ดิน เช่น

- ไม่ปล่อยให้หน้าดินถูกแดดเผาจนแห้ง
- ไม่ให้น้ำแช่ขังค้าง
- ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินจนพืชเอาไปใช้ไม่หมดแล้วเหลือตกค้าง
- ไม่ใช้สารเคมียาฆ่าแมลง
- ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า

ไม่ช้าไม่นานดินก็จะคืนสภาพดีตามต้องการเอง

ผักสวนครัวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว อายุตั้งแต่เริ่มยืนต้นได้ถึงเก็บเกี่ยวเพียง 45 วันเท่านั้น พืชเหล่านี้ควรได้รับสารอาหารทันทีตั้งแต่วินาทีแรกที่รากเริ่มงอก ดังนั้น เทคนิคการ "บ่มดิน" ให้มีสารอาหารรอไว้ก่อนล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แนวทางปฏิบัติ คือ

- เตรียมดินด้วยอิทรีย์วัตถุที่เหมาะสม (ชนิด/ปริมาณ) ตรงกับชนิดพันธุ์พืช
- บ่มดินล่วงหน้านานๆ เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้แปรรูปเป็นสารอาหารให้พร้อมเสียก่อน
- บำรุงด้วย "ปุ๋ย/ฮอร์โมน" ทางใบ เป็นหลัก โดยฉีดพ่นให้เปียกโชกลงถึงพื้นดินโคนต้น ..... เทคนิคการให้ปุ๋ย (ทางใบผ่านลงดิน) ตอนค่ำ เพื่อให้ต้นพืชดูดสารอาหารจากดินขึ้นสู่ต้นช่วงกลางคืนจะได้ประสิทธิภาพเหนือกว่าการให้ช่วงกลางวัน (พืชโตเร็วกว่า) อย่างเห็นได้ชัด


-------------------------------------------------------------------------------------------------



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©