-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางรายการวิทยุ 6 JAN
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - สอบถามเรื่องการปลูกต้น มัสตาร์ดครับ
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

สอบถามเรื่องการปลูกต้น มัสตาร์ดครับ

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
StraTosS
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 06/11/2011
ตอบ: 6

ตอบตอบ: 23/12/2011 8:04 pm    ชื่อกระทู้: สอบถามเรื่องการปลูกต้น มัสตาร์ดครับ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คือ ตอนนี้ผมอยากปลูกต้นมาสตาร์คอะครับ

อยากทราบว่าจะหาเมล็ดได้ที่ไหน
แล้วมีวิธีการปลูกอย่างไรบ้าง
แล้วอีกกี่วันต้นจะเริ่มโตหรือสูงขึ้ินอะครับ

แล้วคำถามสุดท้าย คือ การปลูกแต่ละเมล็ดต้องเว้นระยะห่างแต่ละเมล็ดประมาณเท่าไหร่ครับ


ขอคำแนะนำผู้รู้ หรือผู้ที่เคยปลูกด้วยนะครับ ผมจะเอาไปทำโครงงาน^^
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 23/12/2011 8:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทุ่งมัสตาร์ด ในญี่ปุ่น...











ของแถม ตอนขากลับ พี่ ๆ พาแวะทุ่งต้นมัสตาร์ด พอต้นมัสตาร์ดออกดอกแล้วก็จะโตเป็นฝัก
คนก็จะเก็บส่วนของฝักไปทำเป็นมัสตาร์ดที่เรา ๆ ท่่าน ๆ กินกันนั่นแล


http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://i2.photobucket.com/albums/y6/seireisama/etc/P4252246.jpg&imgrefurl=http://www.lily-school.com/forum/viewtopic.php%3Ff%3D28%26t%3D2035&usg=__zAztomNPW8yc6EPRirxNfE6lUSk=&h=300&w=400&sz=49&hl=th&start=9&sig2=iTqfgXBvTE1Icia0C2qLkg&zoom=1&tbnid=1A_AK4vzOiKk9M:&tbnh=93&tbnw=124&ei=yIX0TvboLMr5rAf_5K3QDw&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2594%26hl%3Dth%26sa%3DX%26tbm%3Disch%26prmd%3Divns&itbs=1

.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 23/12/2011 9:04 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 23/12/2011 9:02 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

:: ทุ่งมัสตาร์ด ::

เรื่องและภาพ : กะว่าก๋า





ตลอดระยะเวลาที่เดินทางอยู่ในอินเดีย 9 วัน ภาพที่เห็นเจนตาบ่อยที่สุด นอกจาก
วัว แพะ และขอทานแล้วก็เห็นจะเป็น ทุ่งมัสตาร์ด ที่กำลังอวดดอกเบ่งบาน
สีเหลืองอร่ามไปทั่วผืนดิน

คนอินเดียใช้มัสตาร์ดทั้งในเรื่องของการกินและการทำเครื่องสำอาง

ผมถ่ายภาพดอกมัสตาร์ดมามากพอสมควรเมื่อมองแล้ว ก็ทำให้นึกถึงคำว่า Field Of Gold












http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kawaka&month=25-01-2010&group=82&gblog=24

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 23/12/2011 9:15 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)






..................

..................


..................



http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://moohin.com/trips/chaina/lowping//180/big.jpg&imgrefurl=http://www.moohin.com/trips/chaina/lowping/&usg=__ewWNwBberjK_AdWAi0eXx12Lx38=&h=532&w=800&sz=320&hl=th&start=66&sig2=Z_kGmSqH9-EwQlSPF0I2FA&zoom=1&tbnid=mHGqS5G0US3zoM:&tbnh=95&tbnw=143&ei=aoz0TvLaN4nzrQf_x_jJDw&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2594%26start%3D60%26hl%3Dth%26sa%3DN%26tbm%3Disch%26prmd%3Divns&itbs=1

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 23/12/2011 9:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


ภาพประทับใจในความเป็นแคชเมียร์แท้ๆ ต้องมีทหารถือปืนคอยเฝ้าท้องถนนแบบนี้



ชาวแคชเมียร์จะปลูกมัสตาร์ดไว้หลังบ้านเหมือนพืชผักสวนครัวของบ้านเรา อวดดอกสีเหลืองอร่ามโอบกอดกระท่อมหลังน้อย
เปลี่ยนความซอมซ่อเป็นภาพวิจิตรให้พิศเพลินตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะช่วงการเดินทางไปเที่ยว หุบเขาแกะ หรือ พาฮาลแกม
(Pahalgam)

ในเมืองหนาวหลายประเทศ ดอกมัสตาร์ด (Mustard Flowers) เป็นสัญญาณบ่งบอกการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ


มัสตาร์ด เป็นพืชจำพวกเครื่องเทศยอดนิยมของคนเมืองหนาวทั้งฝรั่งชาติตะวันตกทั้งชาวเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่คนจีนและอินเดีย
รวมทั้งที่แคชเมียร์ด้วย เพราะไม่เพียงแต่ชูรสอาหาร แต่ยังมีไขมัน โปรตีน และวิตามินเอสูงมาก

ตามถนนหนทางที่รถวิ่งผ่าน ไม่ว่าหมู่บ้านไหนๆ ก็จะมีแปลงมัสตาร์ดปลูกไว้หลังบ้านเหมือนพืชผักสวนครัวของบ้านเรา อวดดอก
สีเหลืองอร่ามโอบกอดกระท่อมหลังน้อย เปลี่ยนความซอมซ่อเป็นภาพวิจิตรให้พิศเพลินตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะช่วงการเดิน
ทางไปเที่ยว หุบเขาแกะ หรือ พาฮาลแกม (Pahalgam) ชาวบ้านจะปลูกมัสตาร์ดกันเป็นท้องทุ่งขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ทุ่งมัสตาร์ดขนาดมหึมานั้นปลูกกันเป็นอุตสาหกรรมเพื่อนำเอาเมล็ดไปใช้ในการแปรรูปทำน้ำมัน น้ำมันหอมระเหย และที่นิยมกัน
สุดๆ ก็คือนำเมล็ดที่แก่จัดมาใช้เป็นเครื่องเทศปรุงรสชาติอาหารที่ต้องการความเผ็ดร้อนและฉุนติดปลายลิ้น

คนไทยที่มีเครื่องเทศไทยกลิ่นฉุนหลากหลายชนิดให้ใช้เหลือเฟืออยู่แล้วอาจจะไม่สนใจมัสตาร์ดเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ
บ้านเราเป็นเมืองร้อนปลูกมัสตาร์ดไม่ค่อยได้(มัสตาร์ดเป็นพืชเมืองหนาว มีถิ่นกำเนิดแถบยูเรเซียและเมดิเตอร์เรเนียน)
ยกเว้นในบางจังหวัดทางภาคเหนือที่อากาศเย็นเริ่มมีการทดลองปลูกกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่แพร่หลายเป็นที่นิยมนัก

ขณะที่ประเทศเมืองหนาวเขากินมัสตาร์ดกันในชีวิตประจำวันแบบขาดไม่ได้ โดยนิยมทำเป็นซอสกินกับอาหารประเภทเนื้อ จำพวก
ไส้กรอก สเต็ก ขาหมูเยอรมัน ผักดอง หรือไม่ก็ใช้ผสมในน้ำสลัด มายองเนส ส่วนภัตตาคารอาหารจีนเราก็มักจะเห็นถ้วยมัสตาร์ด
เล็กๆ วางไว้ให้จิ้มกินกับต้นหอมเสมอ

ชาวจีนและอินเดียรับประทานมัสตาร์ดทั้งแบบสดและแห้ง แบบสดๆนั้นกินเป็นผักทั้งที่ยังเป็นต้นอ่อนและทั้งที่ติดดอกแล้ว รสชาติ
คล้ายผักกวางตุ้ง แต่มีกลิ่นฉุนกว่า และขม บางทีก็นำไปตากแห้ง ดองเค็ม ดองเปรี้ยวเหมือนผักดองทั่วไป เวลาต้นแก่ก็จะนำ
เมล็ดไปตากแห้ง บดเป็นผงเก็บไว้ใช้นานๆ เมื่อผสมน้ำ น้ำส้มสายชู หรือไวน์ ก็จะได้ซอสมัสตาร์ดที่มีรสชาติเฉพาะตัว

เครื่องเทศรสเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุนคู่กันกับมัสตาร์ดก็คือวาซาบิ ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกัน เพียงแต่วาซาบิมากับอาหารญี่ปุ่นเป็น
หลักและทำมาจากหัวของพืช ขณะที่มัสตาร์ดมากับอาหารฝรั่งและทำมาจากเมล็ด

ที่น่าสนใจก็คือ เครื่องเทศคู่นี้มีสารให้ความเผ็ดร้อนตัวเดียวกัน แต่มัสตาร์ดให้รสชาติเผ็ดร้อนเมื่อสัมผัสกับลิ้น ขณะที่รสชาติของ
วาซาบิเกิดขึ้นกับโพรงจมูกโดยตรง เนื่องจากวาซาบิมี "กลิ่น" ของสารที่ทำให้เกิดความเผ็ดร้อนดังกล่าวขณะที่มัสตาร์ดไม่มี และ
โดยทั่วไปแล้วเรามักรู้สึกเผ็ดร้อนเวลากินวาซาบิมากกว่ากินมัสตาร์ด

เล่ากันว่ามัสตาร์ดถูกนำมาใช้เป็นเครื่องเทศปรุงแต่งรสอาหารมากว่า 5 พันปีแล้ว โดยเชื่อว่ามีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ทำให้เจริญ
อาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ใช้ทาถูนวดบรรเทาโรคปวดตามข้อได้

จึงไม่แปลกที่ห้องปฏิบัติการอวกาศ "โคลัมบัส" ได้ประเดิมงานแรกด้วยการทดลองปลูกต้นมัสตาร์ดบนสถานีอวกาศนานาชาติเมื่อ
เดือนมีนาคม 2551 ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาผลของแรงโน้มถ่วงต่อการเติบโตของระบบราก

หากทำได้สำเร็จเราก็จะสามารถปลูกพืชไว้กินได้ระหว่างการเดินทางข้ามหมู่ดาวในอนาคต

ทุ่งมัสตาร์ดในแคชเมียร์จะออกดอกบานสะพรั่งเหลืองอร่ามไปทั้งหุบเขาในเดือนเมษายน อาจจะงามไม่สู้ทุ่งมัสตาร์ดในยุโรป
บางประเทศซึ่งเป็นต้นกำเนิดของมัสตาร์ดแปรรูปเก่าแก่ที่สุด โดยเฉพาะ มัสตาร์ด Dijon “ดิอง”ของฝรั่งเศส แต่ทุ่งมัสตาร์ดของ
แคชเมียร์มีสิ่งที่ประเทศอื่นไม่มีให้เห็นเด็ดขาด


สุมิตรา จันทร์เงา

หมายเหตุ
อ่าน Dejavu ตอนเก่าๆ ของได้ที่เมนู ข่าวเก่าทั้งหมดในหมวด คลิกไปที่ประเภทข่าว กิน-เที่ยว แล้วเลือกคอลัมน์ Dejavu
ของสุมิตรา จันทร์เงา จะเห็นเรื่องที่เคยเขียนทั้งหมด


ที่มๅ นสพ มติชน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=grizzlybear&month=07-2008&date=23&group=18&gblog=11





Create Date : 23 กรกฎาคม 2551
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 1:25:35 น. 0 comments
Counter : 3627 Pageviews. Add to
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 24/12/2011 5:52 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แล็บอวกาศโคลัมบัสประเดิมงานแรก "ปลูกมัสตาร์ด"


อีซา/สเปซด็อทคอม -ห้องปฏิบัติการอวกาศ "โคลัมบัส" ประเดิมงานแรก ทดลองปลูกต้นมัสตาร์ด บนสถานีอวกาศนานาชาติ
หมายศึกษาผลของแรงโน้มถ่วงต่อการเติบโตของระบบราก สานความหวังปลูกพืชไว้กินระหว่างการเดินทางข้ามหมู่ดาวในอนาคต

ลีโอโปลด์ เออาร์ต (Leopold Eyharts) นักบินอวกาศชาวฝรั่งเศสขององค์การอวกาศยุโรป (อีซา) ที่ประจำการอยู่บนสถานี
อวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) ประเดิมการทดลองแรกหลังการเชื่อมต่อห้องปฏิบัติการอวกาศโคลัมบัส (Columbus) ของอีซา
แล้วเสร็จเมื่อกลางดึกวันที่ 11 ก.พ.51 ด้วยการปลูกต้นอะราบิดอบซิส (Arabidopsis) ไว้ในส่วนปฏิบัติการชีววิทยา
หรือ "ไบโอแล็บ"

"อะราบิดอบซิส" เป็นไม้ดอกขนาดเล็กสกุลหนึ่งในวงศ์บราสซิคาซิอี (Brassicaceae) เป็นพืชที่มีรสเผ็ดอยู่ใน
ตระกูลเดียวกันกับมัสตาร์ด และเกี่ยวข้องกับกะหล่ำ

อีกทั้ง ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า อะราบิดอบซิส ธาเลียนา (Arabidopsis thaliana) หนึ่งในสายพันธุ์ของอะราบิดอบซิส
ถือเป็นต้นแบบของการศึกษาด้านชีววิทยาของพืช เพราะสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นพืชชนิดแรกที่มีการ
ถอดลำดับพันธุกรรมทั้งหมด (จีโนม) ได้สำเร็จแล้ว

การทดลองครั้งแรกของโคลัมบัสนี้มีชื่อว่า "การหยักและขมวดของรากอะราบิดอบซิสในระดับแรงโน้มถ่วงต่างๆ" (Waving and
Coiling of Arabidopsis Roots at Different g-levels: WAICO) เพื่อดูการเจริญเติบโตของเมล็ดอะราบิดอบซิส 2 ชนิด
คือ เมล็ดอะราบิดอบซิสป่าและเมล็ดอะราบิดอบซิสตัดแต่งทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ)

เมล็ดมัสตาร์ดทั้ง 2 ชุดถูกนำไปปลูกในสภาพที่มีระดับแรงโน้มถ่วงต่างกันคือ ที่สภาพไร้แรงโน้มถ่วง (0g) และที่สภาพแรง
โน้มถ่วงโลก (1g) นาน 10-15 วัน พร้อมทั้งควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และสภาพที่มีแสงสว่างส่องถึง

นอกจากนั้น ยังจะบันทึกภาพวีดิโอติดตามการงอกของรากทุกวัน พร้อมส่งข้อมูลตามเวลาจริง (เรียลไทม์) ถึงพื้นโลกให้
ศ.กุนเธอร์ เชอเรอร์ (Guenther Scherer) หัวหน้าการทดลองที่มหาวิทยาลัยไลปนิซ เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมนี
(Leibniz Universität Hannover) ศึกษาถึงผลของแรงโน้มถ่วงต่อการงอกของราก

"เรากำลังจะได้ชมว่าเมล็ดพืชพวกนี้จะเจริญเติบโตกันอย่างไรในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง" เออาร์ตบอกแก่นักเรียนราว 300 คน
ในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 มี.ค.51 ผ่านระบบวิดิโอลิงค์จากอวกาศ

อีซาเชื่อว่า ผลการทดลองที่ได้จะทำให้เราเข้าใจกระบวนการเจริญเติบโตของพืชได้ดีขึ้น อีกทั้งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
พืชผลการเกษตรบนโลก

ส่วนเป้าหมายที่ไกลออกไปในการส่งคนไปสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร การทดลองนี้จะสนับสนุนความรู้เพื่อการปลูกพืช
ในอวกาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ในอวกาศมีอาหารสดใหม่ไว้บริโภคระหว่างการเดินทางที่อาจต้องใช้เวลามากถึง 2 ปี

ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการทดลอง ไบโอแล็บจะราดสารตรึงสภาพลงไปในกล่องเพาะพืชโดยอัตโนมัติ เพื่อเก็บรักษาต้นมัสตาร์ดให้
อยู่ในภาวะการเติบโตขั้นสุดท้าย จากนั้นจะนำมาวิเคราะห์ต่อบนโลก โดยเออาร์ตจะบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องความละเอียดสูง

อย่างไรก็ดี นักบินอวกาศชาวฝรั่งเศสผู้นี้จะเดินทางกลับโลกพร้อมผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกบนอวกาศด้วยยานอวกาศ
เอนเดฟเวอร์ (Endeavour) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา ที่มีกำหนดเดินทางจากศูนย์อวกาศเคนเนดี
รัฐฟลอริดา ไปยังไอเอสเอสในวันที่ 11 มี.ค.51 และกลับสู่โลกในช่วงปลายเดือน มี.ค.51.



http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94-117732.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/01/2012 11:44 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วาซาบิ เผ็ดร้อน น้ำตาไหล





หลายคนที่เคยรับประทานอาหารญี่ปุ่น หรือเคยเห็นครีมเขียว ๆ เอาไว้จิ้มกับพวกปลา หรืออาหารทะเลสด ๆ สไตล์ญี่ปุ่น
ที่เขาเรียกว่า "วาซาบิ" (ออกเสียงแบบไทย ๆ ) แต่คนญี่ปุ่น จะออกเสียงเป็น วะซะบิ

แต่สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครจดจำได้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะในทางที่ประทับใจหรือไม่ประทับใจมาถึงตรงนี้ อาจจะงง ๆ ที่จริงแล้ว วาซาบิ
หรือ วะซะบิ เป็นพืชชนิดหนึ่งครับ หน้าตาคล้าย ๆ กับพวกผักอย่างต้นหัวใชเท้า ส่วนผิวเปลือกออกจะไปในแนวพวกบอระเพ็ด
เขียว ๆ ปุ่ม ๆ แต่ที่ต่างกันคือ มันเป็นพืชน้ำ ชอบมากกับน้ำสะอาด เดิม ๆ เป็นพืชที่อยู่้ตามแนวป่า หายากมาก แต่มาช่วงหลัง
มีการนำมาปลูกในระบบฟาร์ม เพื่อการค้ามากขึ้น ชอบอากาศหนาวเย็น บ้านเราคงไม่มีแน่นอน เพราะเป็นพืชพื้ันเมืองขอบญี่ปุ่น
เขาล่ะ


วาซาบิ.มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Wasabia Japonica Matsum เป็นชื่อของพรรณพืชชนิดหนึ่งซึ่งมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร คน
ญี่ปุ่นรู้จักวาซาบิตั้งแต่สมัยนารา (ปี ค.ศ.เจ็ดร้อย - แปดร้อย ก็ประมาณพันกว่าปีก่อนนะครับ) จุดที่ค้นพบเป็นครั้งแรกอยู่ที่
จังหวัดมิเอ วาซาบิเป็นพืชที่มีหัวฝังในดินขึ้นอยู่ตามธรรมชาติค้นพบโดยนักบวช ต่อมาแถบจังหวัดยามากูจิ ใช้เปลือกไม้และ
วาซาบิกินร่วมกับปลายามาเมะ หรือเนื้อสัตว์
ป่า เช่น กวาง

ด้วยเป็นพืชเฉพาะถิ่น ที่เติบโตในอากาศจำเพาะ คือ อากาศหนาว อย่างญี่ปุ่น ทำให้คนบ้านเรา ไม่ได้รับประทานวาซาบิของแท้
กันมากหรอกครับ ส่วนใหญ่ที่ใช้ในร้านอาหาร จะเป็นวาซาบิเทียม เนื่องจากวาซาบิแท้หายาก ราคาสูง และเก็บไว้ไม่ได้นานเพราะ
เป็นของสด แต่วาซาบิเทียม ใช้งานง่าย แค่นำผงวาซาบิมาผสมน้ำ แล้วคนให้เข้ากัน ก็กลายเป็นครีมวาซาบิ พร้อมเสิร์ฟได้เลย
แต่ให้รสชาติที่จัดจ้านกว่า ไม่กลมกล่อมเหมือนของแท้ก็ตาม คือ ความฉุนและความเผ็ดซาบซ่าเมื่อสัมผัสปลายลิ้นและมักฉุนขึ้น
จมูก จนทำเอาหลายคนหน้าเบ้ น้ำตาเล็ด กันมานักต่อนัก

กลิ่นฉุนของวาซาบิ ที่เราได้ลิ้มลองกันนั้น เป็นสิ่งที่ช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารทะเลได้ทุกชนิดเป็นอย่างดีเลยทีเดียว สารที่อยู่ใน
วาซาบิ เมื่อฝนสด ๆ ออกมาแล้ว จะทำปฏิกิริยากับอากาศ ได้กลิ่นฉุนและให้รสชาติที่ร้อนแรง เผ็ดนิด ๆ และเรียกน้ำตาจากผู้กิน
ได้ไม่ยาก





มาถึงตรงนี้อาจจะงง ๆ ที่จริงแล้ว วาซาบิ หรือ วะซะบิ เป็นพืชชนิดหนึ่งครับ หน้าตาคล้าย ๆ กับพวกผักอย่างต้นหัวใชเท้า ส่วนผิว
เปลือกออกจะไปในแนวพวกบอระเพ็ด เขียว ๆ ปุ่ม ๆ แต่ที่ต่างกัน คือ มันเป็นพืชน้ำ ชอบมากกับน้ำสะอาด เดิม ๆ เป็นพืชที่อยู่้ตาม
แนวป่า หายากมาก แต่มาช่วงหลังมีการนำมาปลูกในระบบฟาร์ม เพื่อการค้ามากขึ้น ชอบอากาศหนาวเย็น บ้านเราคงไม่มีแน่นอน
เพราะเป็นพืชพื้ันเมืองขอบญี่ปุ่นเขาล่ะ

ด้วยเป็นพืชเฉพาะถิ่น ที่เติบโตในอากาศจำเพาะ คือ อากาศหนาว อย่างญี่ปุ่น ทำให้คนบ้านเรา ไม่ได้รับประทานวาซาบิของแท้
กันมากหรอกครับ ส่วนใหญ่ที่ใช้ในร้านอาหาร จะเป็นวาซาบิเทียม เนื่องจากวาซาบิแท้หายาก ราคาสูง และเก็บไว้ไม่ได้นาน
เพราะเป็นของสด แต่วาซาบิเทียม ใช้งานง่าย แค่นำผงวาซาบิมาผสมน้ำ แล้วคนให้เข้ากัน ก็กลายเป็นครีมวาซาบิ พร้อมเสิร์ฟ
ได้เลย แต่ให้รสชาติที่จัดจ้านกว่า ไม่กลมกล่อมเหมือนของแท้





วาซาบิเป็นพืชที่เติบโตช้า ใช้เวลาประมาณ 25 ปี จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้ และปลูกยากมาก ชอบน้ำเย็น
อากาศหนาว และต้องเป็นน้ำสะอาดเท่านั้น จึงทำให้ต้นทุนค่อนข้างสูง ปัจจุบันขายกันกิโลกรัมละพันกว่าบาท ถ้าฝนเป็น
เนื้อวาซาบิแล้ว ราคาก็พุ่งขึ้นไปอีก


http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://2.bp.blogspot.com/_jqZ_3cC7k2c/TEF5J7NvDEI/AAAAAAAABlU/XfWjXHTTUbQ/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B404.jpg&imgrefurl=http://do2you.blogspot.com/2010_07_01_archive.html&usg=__X2bDeia4iTJ4BNHK-OdO-1RMLZQ=&h=482&w=720&sz=65&hl=th&start=66&sig2=C-sTVf8cR3BAcKmypPwIiw&zoom=1&tbnid=NtF_JcFcqfwgVM:&tbnh=94&tbnw=140&ei=YCUFT6j1MMvirAeqpkk&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%2B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%2B%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%2B%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%26start%3D60%26hl%3Dth%26sa%3DN%26tbm%3Disch%26prmd%3Divns&itbs=1
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/01/2012 7:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วาซาบิ (แท้)...วาซาบิ (เทียม)...


วาซาบิ (ญี่ปุ่น: ワサビ wasabi ?) เป็นเครื่องปรุงที่ทำมาจากการบดลำต้นของพืช Canola (Japanese horseradish)
จัดเป็นไม้ยืนต้นที่อยู่ในตระกูลเดียวกับพวกบรอกโคลีและกะหล่ำ เป็นสมุนไพรดั้งเดิมของญี่ปุ่น สามารถปลูกได้ทั้งบนดิน
และพื้นน้ำ โดยปลูกบนพื้นน้ำจะให้คุณภาพที่ดีกว่า ในหลายประเทศมักจะเรียกวาซาบิกันผิดๆ ว่าฮอร์สแรดิชญี่ปุ่น ฮอร์สแรดิช
สีเขียว หรือแม้แต่มัสตาร์ดญี่ปุ่น




ลักษณะ
ใบของวาซาบิจะคล้ายกับดอกของต้นโฮลีฮอค ต้นมีความสูงแค่เข่า ส่วนโคนลำต้นที่ใช้ในการทำอาหารมีลักษณะเป็นหัวเหมือน
หัวไชเท้าหรือบอระเพ็ดแต่เป็นสีเขียวอ่อนๆ เมื่อบดแล้วมีกลิ่นที่ฉุนรุนแรง ถ้ารับประทานจะให้ความรู้สึกแสบร้อนขึ้นจมูกใน
ระยะสั้นๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความกลมกล่อม จากรสหวานและขมผสมกัน และให้ความเผ็ดเล็กน้อย

วิธีทำ
นำส่วนโคนลำต้นที่มีความหนาออกมาใช้ และหลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนรากของมัน เวลาจะนำไปรับประทาน หรือ
ประกอบอาหารนั้นจะต้องมีกรรมวิธีพิเศษคือนำวาซาบิไปฝนกับเครื่องฝนพิเศษที่ทำมาจากเหงือกปลาฉลาม (Wasabi Oroshi)
ซึ่งจะมีปุ่มขนาดเล็กๆ จนทำให้ผลวาซาบิละเอียดจนมีลักษณะคล้ายครีมสีเขียว หลังจากนั้นก็นำไปผสมกับโชยุใช้เป็นน้ำจิ้มสำหรับ
ปลาดิบ (ซะชิมิ, sashimi) หรือ ซูชิ (sushi) เพื่อให้ได้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น



ฝนวาซาบิด้วยแผ่นเหงือกปลาฉลาม


แหล่งเพาะปลูก
แหล่งที่ปลูกวาซาบิอยู่ที่ชิมิทสึ แปลว่า น้ำสะอาด การปลูกวาซาบินั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องลงทุนค่อนข้างสูง พืชชนิดนี้มักจะปลูก
ในที่โล่ง แต่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแสงแดดไม่ให้ส่องลงมาถูกต้นพืชโดยตรงในช่วงฤดูร้อน(ถ้าโดนแล้วจะให้ผลไม่ดี)

เนื่องจากมีแหล่งปลูกที่จำกัดจึงทำให้วาซาบิมีราคาค่อนข้างสูง ที่ประเทศไทยนั้นตามร้านอาหารมีระดับ หรือตามโรงแรมบางแห่ง
เท่านั้นที่จะใช้โคนต้นวาซาบิสดบด เพราะต้องนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นด้วยราคากิโลกรัมละหลายพันบาท ดังนั้นจึงมีวาซาบิเทียม
ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีเขียวและปรุงแต่งกลิ่นและสีเพิ่มขึ้น เมื่อนำมาผสมและกวนกับน้ำเย็นแล้วทิ้งไว้สักครู่ก็จะมีหน้าตาเหมือนกับวาซาบิ
ของแท้แต่กลิ่นรสจะฉุนจัดจ้านกว่าเรียกว่า "ผงวาซาบิ"

แม้ว่าผลิตผลจะเผ็ดเกินกว่าที่จะนำมารับประทานเดี่ยวๆ แต่ก็ได้รับการสั่งนำเข้าจำนวนมากจากบริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่น เพื่อที่จะนำ
มาผสมผสานกับเครื่องปรุงอื่นๆ เช่น หัวไชเท้าและเครื่องเทศ ที่เรียกกันว่า "เนริวาซาบิ" และตลาดของเครื่องปรุงเนริวาซาบิ มีมูลค่า
ถึง 16 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่วาซาบิแบบดั้งเดิมมีมูลค่าในตลาด 36 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี

ประโยชน์
กลิ่นฉุนของวาซาบิจะช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารทะเลได้ทุกชนิด เพราะสารที่อยู่ในวาซาบิเมื่อฝนเป็นแป้งกระทบกับออกซิเจนใน
อากาศ จะเกิดปฏิกิริยาเป็นทั้งกลิ่นฉุนและให้รสรุนแรง สารนี้จะมีประโยชน์ในการกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา ซึ่งจะมี
ส่วนช่วยในการย่อย อีกทั้งในวาซาบิยังอุดมด้วยวิตามินซี


สรรพคุณทางยา
วาซาบินอกจากจะช่วยดับกลิ่นคาวแล้วยังมีสรรพคุณทางยาดังนี้

- ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค พบว่าวาซาบิมีผลในการฆ่าเชื้อโรค และสามารถต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิด
- กำจัดพยาธิที่อาศัยอยู่ในปลาได้ เมื่อผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์
ฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็ง
ของกระเพาะอาหาร
- ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
- ป้องกันฟันผุ ในอนาคตอาจนำไปประยุกต์เป็นส่วนผสมในยาสีฟัน
- ช่วยกระตุ้นในการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปรกติ


ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
มักจะเข้าใจกันว่าวาซาบิสามารถช่วยให้หายใจโล่งขึ้น หรือบรรเทาอาการหวัด เนื่องจากเวลารับประทานวาซาบิแล้วจะรู้สึกฉุนและ
เผ็ดร้อนขึ้นจมูก แต่มีผลการทดลองของนักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า วาซาบิแทนที่จะช่วยให้การหายใจดีขึ้น กลับอาจทำ
ให้การหายใจที่ติดขัดอยู่แล้วนั้นแย่ลง ศูนย์การแพทย์ Kaiser Permanente Medical Center ในเมืองโอคแลนด์ มลรัฐ
แคลิฟอร์เนียได้ทำการศึกษาผลของวาซาบิ กับอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 22 คน โดยมีการให้รับวาซาบิหลายๆ ครั้ง และมีการ
วัดการระบายในช่องจมูก เพื่อศึกษาผลต่อการหายใจในช่องจมูก หลังการศึกษาได้ผลสรุปว่าจริงๆ แล้ววาซาบิทำให้ทางเดินหาย
ใจติดขัด ซึ่งผู้รับประทานมักจะรู้สึกและเข้าใจเองว่า วาซาบิทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ววาซาบิจะเป็นตัวที่ทำให้
การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงในโพรงจมูกเพิ่มขึ้นซึ่งเลือดเหล่านี้จะทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น หรืออุดตันลง ส่วนสาเหตุ
ที่ทำให้รู้สึกเหมือนจมูกโล่งขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือดที่ว่านี้ ทำให้เกิดความเย็นของลมหายใจที่ผ่าน
ช่องโพรงจมูก หรืออาจเป็นเพราะการกระตุ้นที่โพรงจมูกในชั่วขณะหนึ่งเพื่อให้อากาศไหลผ่านกลับมาได้สะดวกเป็นเหตุให้
เกิดความรู้สึกจมูกโล่งขึ้นได้



ผงวาซาบิ


ผงวาซาบิ ผงวาซาบิที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าทำมาจากวาซาบิสดที่ถูกทำให้แห้งแล้วบดเป็นผง แต่ใน
ความจริงแล้วเป็นวาซาบิเทียมที่ทำจากฮอร์สแรดิชผสมกับผงมัสตาร์ด (ซึ่งให้ความฉุนแบบเผ็ดร้อนขึ้นจมูก
คล้ายวาซาบิ) แป้ง และ สีผสมอาหาร โดยไม่มีส่วนผสมของวาซาบิเลย แต่ให้รสชาติที่ใกล้เคียงกัน เพียง
แต่ว่าความฉุนนั้นจะหายไปรวดเร็วกว่า ผงวาซาบิทำขึ้นเพื่อทดแทนวาซาบิบดสดที่มีราคาสูง และไม่สามารถ
เก็บรักษาได้นานเท่าผงวาซาบิ -



http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B4
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/01/2012 7:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ฮอร์สแรดิช




Horseradish : ฮอร์สแรดิช : Armoracia Rusticana
ลองกินดิบๆน้ำมูก น้ำตาไหลแน่ๆ
ในยุโรปเหนือใช้แทนพริก หรือใช้ผสมกับมัสตาร์ดให้รสชาติรุนเเรงขึ้น
แม้ว่าดูยากที่จะเชื่อ แต่ไอ้หัวขาวๆนี่ทำให้มัสตาร์ดรสอ่อนไปเลย






-ต้นฮอร์สแรดิช ดูเผินๆคล้ายแครอทแต่รูปร่างขรุขระกว่าและมีสีครีม ยาวประมาณ45cm และมีเนื้อสีขาวด้านใน
ตามสกุลพืชมันก็คล้ายหัวผักกาดธรรมดาแต่ได้ชื่อว่า"hoarse(ห้าว)"เพราะรสรุนแรงกว่า
บางที่เรียกว่า"red cole"(cole ในภาคกลางอังกฤษใช้เรียก cabbage(กะหล่ำปลี))
พืชชนิดนี้อยู่ในตระกูลผักกาดหัว(turnip)/กะหล่ำปลี(cabbage)/และมัสตาร์ด(mustard)ในวงศ์crucifer



http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2007/09/D5781984/D5781984.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©