-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 2 ส.ค
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 2 ส.ค
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 2 ส.ค

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 02/08/2011 5:59 am    ชื่อกระทู้: ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 2 ส.ค ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 2 ส.ค


***********************************************

สร้างสรรสังคม....ส่งเสริมคนดี....พัฒนาชีวิต ให้มีคุณภาพ....

กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม
ทางวิทยุ พล.ปตอ. เอเอ็ม 594 เวลา 08.10–09.00 และ 20.05-20.30 ทุกวัน

เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 สายด่วน 4 ตัว ฝากข้อความ-ฝากคำถาม-ฝากข่าว
ก่อนเริ่มรายการที่ โทรศัพท์มือถือส่วนตัว (081) 913-4986

***********************************************


จาก : (289) 587-41xx
ข้อความ : คุณลุงคะ แน่ใจได้อย่างไรว่า ปุ๋ย 10-20 กก./ไร่ พอเพียงสำหรับข้าว....ขอวิธีวัดผลหรือวิธีตรวจสอบตามแบบของลุงคิมด้วยค่ะ ..... จาก เกษตรกร ปวส.เพชรบุรี


ตอบ :
- เคยมีงานวิจัยเรื่องนาข้าวที่เว้บไหนจำไม่ได้ พยายามย้อนกลับไปที่เว้บนั้นอีกครั้งก็หาไม่เจอ ข้อมูลในงานวิจัยระบุใช้ปุ๋ยเคมีในนาข้าวเพียง 1/4 ถึง 1/2 ของคำแนะนำที่บริษัทขายปุ๋ยแนะนำเท่านั้น....โดยทั่วๆไป นาข้าวนิยมใส่ปุ๋ย 1 กส. (50 กก.)/ไร่ อยู่แล้ว เมื่อวิเคราะห์ตามงานวิจัยนี้ก็คือ ใส่แค่ 20 กก.เท่านั้นเอง .... กับที่ลุงคิมเคยทำ ก.ทำกับมือ ใส่ปุ่ยเคมี 20 กก./ไร่ ได้ผลผลิต 127 ถัง .... กับที่ สมช.วิทยุ แจ้งข่าวเข้ามาก็ใส่อัตรานี้ ได้ผล 100 (+) ถัง/ไร่ เหมือนกัน .... ลงแบบนี้ก็น่าจะฟันธงได้เลยว่า ต้นข้าวต้องการปุ๋ยเพียง 20 กก.ธาตุหลักเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาต้องการ ธาตุรอง/ธาตุเสริม/ฮอร์โมน/วิตามิน และอื่นๆ ... ถูกต้องไหม ?

- ตรวจสอบประวัติดิน ว่ามีสารอาหารพืชจากปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทีย์เหลือตกค้างอยู่ในเนื้อดิน เนื่องจากต้นข้าวนำไปใช้ไม่หมดใน นาข้าวรุ่นที่ผ่านมา-นาข้าวรุ่นปัจจุบัน ว่า มี อะไร-อย่างไร-มาก-น้อย เพียงใด ..... หลักการและเหตุผล คือ สารอาหารพืชมิใช่เพียงปุ๋ยเคมีในกระสอบเท่านั้น ในอินทรีย์วัตถุก็มีสารอาหารพืชเช่นกัน และวันนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า การทำเกษตรแบบ อินทรีย์นำ-เคมีเสริม คือ แนวทางที่ถูกต้องที่สุด

- เทคนิคการตลาดของคนขายปุ๋ยเคมีอย่างหนึ่ง คือ "ใส่เผื่อ" เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นข้าวไม่อาจนำปุ๋ยไปใช้ได้เนื่องจากปัจจัยต้านต่างๆ (ยกอ้างกันไป ให้น่าเชื่อถิอ) โดยว่า ธรรมชาติของต้นข้าวจริงๆ มีความต้องการใช้สารอาหารจากปุ๋ยเคมีเพียง 10-20 กก./ไร่ แต่คนขายปุ๋ยเคมีจะบอกให้ใส่เผื่อเป็น 40-50 กก./ไร่ ..... จากหลักการนี้ ต้นข้าวใช้ปุ๋ยเพียง 10-20 กก. แต่ชาวนาใส่ลงไป 40-50 กก. จึงเกิดคำถามว่า ปุ๋ยส่วนที่เหลือไปไหน คำตอบ คือ ยังคงอยู่ในดินนั่นเอง ปุ๋ยเคมีที่เหลือตกค้างนี้จะทำเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับธาตุอื่นๆที่มีอยู่เดิม จนทำให้ปุ๋ยเคมีเปลี่ยนรูปทางเคมี เช่น ไนโตรเจน.เปลี่ยนเป็นไนเตรท. หรือไนไตรท์. ซึ่งเป็นพิษต่อต้นข้าว ครั้นเมื่อปลูกต้นข้าวลงไป ต้นก็จะไม่เจริญเติบโต คนขายปุ๋ยเคมีก็บอกว่า "ใส่ปุ๋ยน้อย" ว่าแล้ว ชาวนาก็ใส่ปุ๋ยเพิ่มเข้าไปอีก จากสถานการณ์ปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างจนเป็นเหตุให้โครงสร้างดินเสีย กลับกลายเป็นเสียหนักเข้าไปอีก




จะมีคนขายปุ๋ยเคมีสักกี่คน ที่แนะนำเกษตรกร ลดอัตราใช้ปุ๋ยเคมีลงให้เหลือเท่าที่พืชจำเป็นต้องใช้จริง แล้วเพิ่มอัตราใช้ปุ๋ยอินทรืย์ให้มากขึ้น เพื่อเสริมประสิทธิภาพของปุ๋ยเคมีและปรับปรุงบำรุงดิน......ตามแบบ "อินทรีย์ นำ - เคมี เสริม - ตามความเหมาะสมของนาข้าว....


- ตรวจสอบการเจริญเติบโตของต้นข้าวแต่ละระยะ (กล้า-แตกกอ-ออกรวง-น้ำนม) ตั้งแต่ปลายรากถึงปลายยอดว่า ลักษณะอาการต่างๆที่ ดี/ไม่ดี นั้น เป็นผลมาจากปุ๋ย (อินทรีย์-เคมี) หรือไม่ หรือเพราะสาเหตุอื่น

- ต้นข้าวระยะกล้า ถ้าลำต้นกลม แข็ง แน่น ใบเขียวเข้ม แสดงว่าธาตุอาหารต่างๆพอดี แต่ถ้าอ่อนนิ่ม ใบเขียวซีด แสดงว่าขาดธาตุรอง/ธาตุเสริม อย่างรุนแรง แก้ไขโดยการให้ทางใบด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริม และเน้นแคลเซียม โบรอน. อย่างน้อย 1 ครั้ง

- ต้นข้าวระยะแตกกอ ถ้าลำต้นกลม แข็ง แน่น ใบใหญ่ สีเขียวเข้ม แสดงว่าธาตุอาหารต่างพอดี แต่ถ้าลำต้นแบน นิ่ม ใบเล็ก สีเขียวซีด แสดงว่าขาดธาตุหลักอย่างรุนแรง แก้ไขโดยการให้ทางรากด้วยธาตุหลัก (ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 + 16-16-16 อัตรา 10 กก./ไร่)

- การเจริญเติบโตของต้นข้าว (พืชทุกชนิด) ต้องอยู่บน "ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก" คือ ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค เหมือนกันทั้งสิ้น .... ปุ๋ย (โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี) ไม่ใช่สิ่งเดียวที่พืชใช้เพื่อการเจริญเติบโต หากแต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย ในลักษณะที่ "สมดุลย์" ซึ่งกันและกัน.... ดังนั้น การชี้ขาดว่าปุ๋ย เพียงพอ/ไม่เพียงพอ-ถูก/ผิด โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยอื่นร่วมด้วยนั้น จึงเป็นก่ารวิเคราะห์ที่ไม่ถูกต้อง หมายความว่า จะต้องพิจาณาให้ครบทุกๆปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับการเจริญเติบโตของต้นข้าว นั่นเอง






อ้างอิง :

แผ่นเทียบสีใบข้าว



รหัส : AG005
ราคาพิเศษ : 110.00


รายละเอียดย่อ :
แผ่นเทียบสี เป็นอุปกรณ์วัดสีของใบข้าว โดยแผ่นดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกคุณภาพพิเศษ ประกอบด้วยแถบสีระดับต่างๆ 4-6 แถบ มีร่องเล็กๆเลียนแบบลักษณะของใบข้าว ซึ่งระดับสีบนแผ่นเทียบจะจำลองจากสีของใบข้าว หลังจากการใส่ปุ๋ยเคมี ประกอบด้วยสีเขียวเข้ม จางลงตามลำดับ กระทั่งใบข้าวเป็นสีเหลืองเนื่องจากขาดธาตุอาหารไนโตรเจนอย่างรุนแรง

รายละเอียดทั้งหมด :
เวลาที่เหมาะสมในการวัดหาข้อมูล จะอยู่ในช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ เพราะแสงไม่จ้าเกิน ซึ่งอาจทำให้สีแผ่นที่มองเห็นเพี้ยนได้ โดยใช้ใบข้าวที่ 3 นับจากยอดกอ เป็นใบที่อ่อนที่สุดแต่โตเต็มที่ ทำการสุ่ม 10 จุด/แปลง ซึ่งหลังผ่านฤดูการเก็บเกี่ยวพบว่า

แปลงนาที่ฉะเชิงเทรา แปลงที่ ใช้วิธีสังเกต ได้ผลผลิต 600 กก./ไร่ ส่วนแปลงที่ ใช้แผ่นเทียบสี ได้ผลผลิต 900-1,100 กก./ไร่

แปลงนาที่สุพรรณบุรี แปลงนา ใช้วิธีสังเกต ได้ผลผลิต 700 กก./ไร่ ส่วนแปลงที่ ใช้แผ่นเทียบสี ได้ผลผลิตสูงถึง 1,000 กก./ไร่

ฉะนั้น...จึงพอสรุปได้ว่า การทำนาข้าวให้ได้ผลผลิตตรงตามเป้านั้น มิใช่การใส่ปุ๋ยเร่งกันแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะจะกลายเป็นการลงทุนสูงอย่างไม่คุ้มค่าที่ถูกต้องสำคัญอยู่กับการสังเกต เอาใจใส่ ดูแลรักษา ปุ๋ยก็ให้ในปริมาณพอเหมาะ และตรงต่อช่วงเวลาที่ต้นพืชต้องการ...ผลผลิตออกมา จึงจะคุ้มค่ากับที่คาดการณ์ไว้


http://www.kasetvirul.com/index.php?lay=show&ac=cat_show_pro_detail&cid=21412&pid=87678




ชาวนารู้เวลาแม่นยำเติมปุ๋ย - ประหยัดค่าสารอาหาร

จากการศึกษาปริมาณธาตุอาหาร ที่ส่งผลต่อการแสดงออกของสีบริเวณใบข้าว พบว่า

- ต้นข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจน ................. สีของใบที่แสดงออกจะมีสีเหลือง
- ข้าวขาดธาตุฟอสฟอรัส...................... ใบข้าวจะมีสีเขียวเข้ม
- ต้นข้าวที่ขาดธาตุโพรแทสเซียม.............. สีของใบจะเป็นสีเขียวอมม่วง

จึงนำหลักการดังกล่าวมาพัฒนาแผนเทียบสีอาหารข้าว โดยเน้นเพื่อทดสอบใบข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจนเป็นหลัก


http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/archives/Jan_05/News/12010501.html

--------------------------------------------------------------------------



จาก : (084) 326-78xx
ข้อความ : ตอนนี้มะนาวราคาไม่ดีเลย ต้นที่กำลังออกดอก กับมีลูกเล็กๆ วันนี้ ลุงคิมว่าจะมีราคาไหม.....ขอบคุณค่ะ จาก มะนาวฉะ


ตอบ :
- ต้องราคาเท่าไหร่จึงจะดีหรือเป็นที่พอใจ ..... ที่จริงลุงคิมอยากให้ราคาหน้าสวนแพงๆ เพื่อชาวสวนจะได้มีรายได้เยอะๆ แล้วราคาหน้าแผงให้ถูกลงกว่านี้ เพื่อคนกินจะได้ซื้อถูกๆ ..... กรณีราคาหน้าสวน จัมโบ้ลูกละ 6 บาท แต่ราคาหน้าแผง 18 บาท นี่สิสงสัยๆ ส่วนต่างตั้ง 12 บาท/ลูก ไปตกอยู่ที่ใคร

- อายุผลมะนาวตั้งแต่ผสมติด ถึง เก็บเกี่ยวประมาณ 6 เดือน นั่นคือ มะนาวออกดอกเดือน ต.ค. จะเก็บเกี่ยวได้ในเดือน เม.ย. เป็นมะนาวหน้าแล้งราคาดี....ถ้ามะนาวออกดอกก่อน ต.ค. ปกติต้องเก็บเกี่ยวก่อน เม.ย. แบบนี้สามารถยืดอายุเก็บเกี่ยวให้นานกว่าปกติซัก 15-20 วันได้ โดยการให้ทางใบด้วย ยูเรก้า.สลับ ไบโออิ. ไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงกลาง เม.ย. หรือก่อนเก็บเกี่ยวซัก 10 วัน จึงให้สูตรบำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว.....หรือ มะนาวที่ออกดอกหลังเดือน ต.ค. ซึ่งปกติต้องเก็บเกี่ยวหลัง เม.ย. กรณีนี้สามารถย่นระยะเวลาเก็บเกี่ยวก่อนอายุจริง 15-20 วันได้ โดยเมื่อผลแก่ซัก 75-80% แล้ว ให้บำรุงด้วยสูตรบำงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยวเลยซัก 2 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วัน ผลมะนาวแม้จะยังมีขนาดเล็ก ผิวยังเห่อ เปลือกหนา น้ำไม่มาก กลิ่นยังไม่จัด ก็จะดีได้เหมือผลแก่จัด

- วันนี้ เดือนนี้ ส.ค. มะนาวออกดอกติดเป็นผลแล้ว ดอกผลรุ่นนี้จะแก่เก็บเกี่ยวได้ราว ม.ค.- ก.พ. คาดว่า ราคาคงจะยังไม่ดีเท่าที่ควร หรือคงดีไม่เท่ามะนาวเดือน เม.ย. จึงแนะนำให้ล้าง ดอก-ผลเล็ก ออกไป แล้วเปิดตาดอกใหม่ ถ้าดอกใหม่ออกเดือน ต.ค. (อีก 2 เดือนข้างหน้า) ได้ ก็จะได้ผลแก่มะนาวราคาเดือน เม.ย. ......วิธีล้าง ดอก-ผลเล็ก ให้ใช้ "น้ำ (พีเอช 6.0) + ยูเรีย จี.เกรด 200 กรัม" ฉีดพ่นทั่วทรงพุ่ม (เน้นที่ดอก-ผลเล็ก) จะทำให้ ดอก-ผลเล็ก ร่วง แต่ ผลกลาง-ผลใหญ่-ใบ ไม่ร่วง ..... ถ้าหากเพิ่ม ยูเรีย จี.เกรด เป็น 400 กรัม จะทำให้ ดอก-ผลเล็ก-ผลกลาง-ใบแก่โคนกิ่ง 1-2 ใบ ร่วง ...... แนะนำว่า ใช้สูตรทำให้ ดอก-ผลเล็ก ร่วงก็พอ ...... หลังจาก ดอก-ผลเล็ก ร่วงแล้ว ให้บำรุงสะสมตาดอก 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน แล้วต่อด้วยสูตรเปิดตาดอกได้เลย ถ้าต้นมีความสมบูรณ์สะสม (เน้นย้ำ....ความสมบูรณ์สะสม) มาดี ก็จะออกดอกได้ทันช่วงเดือน ต.ค.

- ส่วนราคาที่ว่า เดือนไหนจะดีหรือไม่ดีนั้น ตอบไม่ได้จริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น มะนาวไทยแพง พ่อค้าคนกลางก็เอามะนาวเขมรเข้ามา แต่ตอนไหนมะนาวไทยราคาถูก มะนาวเขมรก็ไม่เข้ามา ก็แค่นี้แหละ ในเมื่อไม่สามารถควบคุมกลไกการตลาดได้ แต่ต้นทุนเราควบคุมได้ไม่ใช่เหรอ ที่จริงทำมะนาวตามแนวทางที่ลุงคิมแนะนำ ราคามะนาวหน้าสวนลูกละ 50 ตังค์ ยังอยู่ได้ ไม่ขาดทุนเงิน เพียงแต่ขาดทุนกำไรเท่านั้น


--------------------------------------------------------------------------


จาก : (081) 963-47xx
ข้อความ : (คุยทางโทรศัพท์/พิจิตร) มะม่วงน้ำดอกไม้ ตอนนี้อายุผลประมาณ 50% ใช้ยูเรก้า. ไบโออิ. ไทเป. ที่ลุงชาตรีส่งทาง ปณ.ไปให้ ใช้ประจำมาปีกว่าแล้ว ปรากฏว่าตอนนี้มีดอก กับลูกเล็ก ตามออกมา บำรุงอย่างไร ?


ตอบ :
น้ำดอกไม้เป็นมะม่วงเบา ออกดอกง่ายติดผลง่าย ตอบสนองต่อพาโคลบิวทาโซล และ ปุ๋ย/ฮอร์โมน ทางใบ ดี

กรณีนี้ให้บำรุงด้วยสูตร UN ต่อไปได้เลย โดยไทเป.จะช่วยสะสมตาดอกและเปิดตาดอกชุดใหม่....ไบโออิ.ช่วยบำรุงต้นไม่ให้โทรม.....ยูเรก้า.ช่วยบำรุงผลขยายขนาดผล.....ถ้ามีการเสริมด้วย แคลเซียมโบรอน.เดี่ยวบ้างในบางโอกาสก็จะดีเหนือชั้นขึ้นไปอีก

น้ำดอกไม้เหมาะสำหรับกินสุกกับข้าวเหนียวมูล นั่นคือ ต้องเลี้ยงให้ผลแก่จัดแล้วบำรุงด้วยสูตรเร่งหวาน 1-2 รอบ ก่อนเก็บเกี่ยว ก็จะได้รสหวานจัด ..... แต่ถ้าในต้นมีผลหลายรุ่น เมื่อบำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยวด้วยสุตรเร่งหวาน จะส่งผลทำให้ผลรุ่นน้องหยุดโต แต่จะแก่ตามผลร่นพี่ทั้งๆที่ขนาดผลยังเล็กอยู่ ..... ผลที่ยังแก่ไม่จัดแล้วบำรุงด้วยสูตรเร่งหวานจะทำให้คุณภาพ หรือรสชาด หรือความหวาน ด้อยกว่าผลแก่จัด

มะม่วงพันธุ์เบาที่ออกดอกติดผลตลอดไปได้แบบไม่มีรุ่น เหมาะสสำหรับเป็นมะม่วงกินดิบ เช่น มะม่วงยำ มะม่วงน้ำปลาหวาน มะม่วงดอง เป็นต้น ซึ่งผลมะม่วงประเภทนี้ควรเนื้อแน่น รสมันติดเปรี้ยวเล็กน้อย ..... กรณีน้ำดอกไม้ผลดิบ เนื้อไม่แน่นจริง และรสออกเปรี้ยวมากกว่า จึงไม่เหมาะต่อการกินดิบ นั่นคือ น้ำดอกไม้ต้องเป็นมะม่วงกินสุกได้อย่างเดียวเท่านั้น เมื่อจุดอ่อนประจำน้ำดอกไม้เป็นเช่นนี้ การบำรุงจึงควรเอาแบบรุ่นเดียวกันทั้งต้น ระหว่างมีลูกอยู่บนต้นนั้น ถ้ามีดอกออกตามมาก็ให้เด็ดทิ้ง แล้วบำรุงผลเฉพาะรุ่นนั้นให้เต็มสูตรไปเลย จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด


--------------------------------------------------------------------------
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©