kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11558
|
ตอบ: 26/07/2011 4:09 pm ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 26 ก.ค |
|
|
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 26 ก.ค
***********************************************
สร้างสรรสังคม....ส่งเสริมคนดี....พัฒนาชีวิต ให้มีคุณภาพ....
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม
ทางวิทยุ พล.ปตอ. เอเอ็ม 594 เวลา 08.1009.00 และ 20.05-20.30 ทุกวัน
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 สายด่วน 4 ตัว ฝากข้อความ-ฝากคำถาม-ฝากข่าว
ก่อนเริ่มรายการที่ โทรศัพท์มือถือส่วนตัว (081) 913-4986
***********************************************
จาก : (081) 978-65xx
ข้อความ : ขอให้ลุงคิมอธิบายความหมายของคำว่า "ต้นน้ำ ปลายน้ำ กลางน้ำ" การเกษตร ตามแบบของลุงคิม....ขอบคุณครับ จาก เกษตรกร ปวช.พิษณุโลก
ตอบ :
* ต้นน้ำ - กลางน้ำ - ปลายน้ำ โดยนัยแล้ว คือ การผลิตแล้วขาย นั่นเอง
* ได้ผลผลิตมาแล้วขายทันทีเลย เรียกว่า "ต้นน้ำ"
* ได้ผลผลิตมาแล้วแปรรูปขั้นตอนที่ 1 เรียกว่า "กลางน้ำ"
* ได้ผลผลิตมาแล้วแปรรูปขั้นตอนที่ 2 เรียกว่า "ปลายน้ำ"
เช่น.....
- ปลูกมะพร้าวขายมะพร้าวแก่ทั้งลูกแบบยกสวน ราคาหน้าสวน เรียกว่า "ต้นน้ำ"
- เก็บมะพร้าวแก่ลงมาแล้ว แกะเฉพาะเนื้อขาย เป็นการแปรรูปขั้นตอนที่ 1 เรียกว่า "กลางน้ำ"
- แกะเนื้อมะพร้าวแก่มาแล้ว สกัดน้ำมันมะพร้าว เป็นการแปรรูปขั้นตอนที่ 2 นอกจากนี้ยังได้ BIPRODUCT ได้แก่ กาบมะพร้าวทำปุ๋ยอินทรีย์/วัสดุปลูกพืช, กะลาทำถ่านกัมมันต์, น้ำมะพร้าวทำน้ำส้มสายชู/วุ้นน้ำมะพร้าว เรียกว่า "ปลายน้ำ"
เทคโนการผลิตทุกขั้นตอนไม่ยาก แต่เทคโนโลยีการตลาดนี่สิ ยากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ทำแล้วขายที่ไหน ? ขายอย่างไร ? ขายเท่าไหร่ ?
ตัวผลิตภัณท์แค่ "คุณภาพ" อย่างเดียวไม่พอ เรื่องบรรจุภัณท์ การออกแบบต้องถึงระดับอินเตอร์ ไม่ใช่แค่ใส่ถุงพลาสติกท้องถิ่นธรรมดาๆ
เรื่องการตลาดสำคัญที่สุด จะต้องมี "โฆษณา-ประชาสัมพันธ์" เป็นหลัก โฆษณาผ่านสื่อประเภทไหน ต้นทุนค่าโฆษณา
รู้ไหม การตลาดเนี่ย เรียน 4 ปีจบปริญญาตรี เรียน 6 ปีจบปริญญาโท เรียน 8 ปีจบปริญญาเอก ผลิตสินค้าออกมาขายได้ แต่พอถึงขั้นตอนการตลาดเท่านั้นแหละ ปริญญาก็ปริญญาเถอะ เจ๊งมาแล้วนักต่อนัก
ลุงคิมครับผม
--------------------------------------------------------------------------
จาก : (083) 435-5543
ข้อความ : (โทรศัพท์....)
ลุงคิมครับ ผมอยากได้ข้อมูลเรื่อง "กากเมล็ดยางพาราทำอาหารสัตว์" จะอาไปทำโครงงานเรื่องอาหารเป็ดครับ
ตอบ :
ฟังเสียงคุยทางโทรศัพท์ พอจะเดาได้ว่ายังเป็นเด็ก ขอชมเชยว่าเก่งมากที่โทรหาลุงคิม....ให้กำลังใจนะ
ก็เพิ่งรู้ว่า "เมล็ดยางพารา" นำมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นอาหารสัตว์ได้ เลยท่องไปในโลกเน็ต เห็นจึงรู้ ..... ขอบคุณในประกายความคิดนี้
การพัฒนาอาหารสัตว์ในภาคใต้
กากเมล็ดยางพารา มีทั้งชนิดกระเทาะเปลือกและไม่กระเทาะเปลือกซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกัน
คุณสมบัติ
- ส่วนของเมล็ดยางที่ผ่านการอัดน้ำมันหรือสกัดน้ำมันด้วยสารเคมี มีกลิ่นหอมชวนกิน
- ชนิดกระเทาะเปลือกออกมีโปรตีน 28-30% เยื่อใย 9% และยอดโภชนะย่อยได้ 63% ชนิดไม่กระเทาะเปลือกมีโปรตีน 16% เยื่อใย 42% และยอดโภชนะย่อยได้ประมาณ 58%
- ชนิดกระเทาะเปลือกจะมีคุณค่าทางอาหารดีกว่า และคุณสมบัติใกล้เคียงกับกากถั่วลิสงและกากเมล็ดฝ้าย
การใช้เลี้ยงสัตว์และข้อจำกัด
- ใช้ผสมอาหารข้น โดยทั่วไปในอาหารโคนม โคเนื้อ ควรใช้ไม่เกิน 25% หากสูงกว่านี้จะมีผลทำให้ปริมาณโปรตีนในน้ำนมต่ำและมีผลต่อสุขภาพของโคนม
ข้อแนะนำในการใช้
- กากเมล็ดยางพารามีสารพิษ คือกรดไฮโดรไซยานิคอยู่ซึ่งสามารถทำให้ปริมาณสารพิษนี้ลดได้โดยการเก็บกากเมล็ดยางพาราทิ้งไว้เฉย ๆ นาน 1 เดือน หรือนำไปอบด้วยความร้อน 100 องศาเซนติเกรด นาน 18 ชั่วโมง หรือผึ่งกลางแดดดี ๆ เป็นเวลา 2 แดด
http://www.dld.go.th/nutrition/Nutrition_Knowlage/ARTICLE/Pro40.htm
ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์จากเมล็ดยางพารา
1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ซึ่งมีส่วนผสมของเมล็ดยางพารา หรือกากเมล็ดยางพาราที่สกัดน้ำมันออกแล้ว ทดแทนกากถั่วเหลืองในอัตราส่วน 30-40 เปอร์เซ็นต์
2. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ตามข้อถือสิทธิที่ 1 ซึ่งมีอัตราส่วนของกากถั่วเหลือง : เมล็ดยางพาราในอัตราส่วน 7:3
3. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ตามข้อถือสิทธิที่ 1 ซึ่งมีส่วนผสมของกากถั่วเหลือง : กากเมล็ดยางพาราที่สกัดน้ำมันออกแล้ว ในอัตราส่วน 6 : 4
4. กรรมวิธีการทำผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ตามข้อถือสิทธิที่ 1 - 3 ข้อ ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งมีกรรมวิธีการทำ คือ นำเมล็ดยางพารามากะเทาะเปลือกออก แล้วนำเนื้อในเมล็ดยางพาราที่ได้ หรือกากเมล็ดยางพาราที่สกัดน้ำมันออกแล้ว มาอบด้วยไอร้อนที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียส นานประมาณ 30-60 นาที เพื่อลดกรดไฮโดรไซยานิกจากนั้นนำมาป่นให้ละเอียด ซึ่งสามารถใช้เมล็ดยางพารานี้นำไปผสมเป็นอาหารสัตว์ได้ทันทีจะมีโปรตีนรวมสูงถึง 26.8 เปอร์เซ็นต์
http://patentsearch.moc.go.th/DIPSearch/PatentSearch/DipData.aspx?apptype=th&Appno=210040403000361
กากเมล็ดยางพารา (Para rubber seed meal)
เป็นผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดยางพาราของโรงงานผลิตน้ำมันพืช
คุณสมบัติ
กากเมล็ดยางพาราชนิดมีเปลือกมีโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์
กากเมล็ดยางพาราชนิดกระเทาะเปลือก มีโปรตีน 26-29 เปอร์เซ็นต์
โปรตีนในกากเมล็ดยางพารามีคุณภาพใกล้เคียงกับกากถั่วลิสง เนื่องจากมีกรดอะมิโนเมทไธโอนีนต่ำ แต่มีไลซีนสูง
ข้อจำกัดในการใช้
กากเมล็ดยางพารามีสารพิษกรดไฮโดรไซยานิค เช่นเดียวกับในมันสำปะหลังสดถ้าใช้มากในสูตรอาหารจะทำให้สัตว์โตช้า
กากเมล็ดยางพาราที่มีเปลือกมีเยื่อใยสูง
ข้อแนะนำในการใช้
ควรใช้กากเมล็ดยางพาราที่ผ่านขั้นตอนการลดสารพิษดังกล่าวโดยวิธีการ เช่นใช้กากเมล็ดยางพาราที่ได้จากการเก็บเมล็ดสดไว้เป็นเวลานานก่อนนำมาบีบน้ำมันหรือ การให้ความร้อนแก่เมล็ดยางพาราก่อนบีบน้ำมัน
ควรใช้กากเมล็ดยางพาราระดับต่ำในสูตรอาหาร คือ 10% ในสัตว์เล็ก และ 20-30% ในสัตว์ระยะรุ่น-ขุน และต้องเสริมไขมันหรือปรับระดับพลังงานให้พอเพียงด้วย
ส่วนประกอบทางเคมี
ส่วนประกอบ (%).....กากเมล็ดยางพาราชนิดมีเปลือก...กากเมล็ดยางพาราชนิดกระเทาะเปลือก
ความชื้น.............................. 8 ................................... 8
โปรตีน............................... 16 .................................. 27.0
ไขมัน............................... 6.33 ................................. 11.5
เยื่อใย .............................. 41.52................................ 14.0
เถ้า................................... 4.01 ................................ 4.50
แคลเซียม ........................... 0.22 ................................ 0.13
ฟอสฟอรัสใช้ประโยชน์ได้ ........ 0.09 ................................. 0.20
พลังงาน(กิโลแคลอรี่/กก.).... กากเมล็ดยางพาราชนิดมีเปลือก...กากเมล็ดยางพาราชนิด
ในสุกร ................................... 1,800 ......................... 2,400
ในสัตว์ปีก ................................ 1,800 ........................ 2,550
กรดอะมิโน (%)................ กากเมล็ดยางพาราชนิดมีเปลือก........กากเมล็ดยางพาราชนิด
ไลซีน....................................... 0.32 ......................... 0.65
เมทไธโอนีน ................................ 0.06 ......................... 0.22
เมทไธโอนีน + ซีสตีน..................... 0.22 ........................ -
ทริปโตเฟน .................................. - ........................... 0.33
ทรีโอนีน ..................................... 0.42 ........................ 0.62
ไอโซลูซีน ................................... 0.44 ........................ 0.68
อาร์จินีน ..................................... 1.53 ........................ 1.85
ลูซีน ......................................... 0.91 ........................ 1.39
เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน ................... 0.86 ........................ 0.76
อิสติดีน ....................................... 0.47 ....................... 0.51
เวลีน ......................................... 0.84 ........................ 1.36
ไกลซีน ....................................... 0.77 ........................ -
http://www.thailivestock.com/cattle_handling/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2-para-rubber-seed-meal
เป็นไปได้ไหมที่จะเลี้ยงเป็ดในสวนยาง
เลี้ยงเป็ดกำจัดวัชพืชในสวนยางพารา (โดยไม่ใช้สารเคมี)
เกษตรกร ในตำบลทุ่งใหญ่ มีอาชีพการทำสวนยางพารา บางเครัวเรือนจะเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปด้วย เช่นเลี้ยงวัว แพะ เป็ด ไก่ หมู ฯลฯ ซึ่งจากประสบการณ์จริงของเกษตรกร พบว่าการเลี้ยงเป็ดในสวนยางพาราอายุ 2-3 ปี ให้ประโยชน์สูงสุด เพราะเป็ดจะช่วยกำจัดวัชพืช และเพิ่มความชื้น และปุ๋ยอินทรีย์ให้แก่ต้นยางพาราด้วย สามารถควบคุมวัพืชทั่ว ๆ ไปได้ โดยเฉพาะหญ้าคาได้เป็นอย่างดีทั้งในฤดูฝน และฤดูแล้ง โดยไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะมูลเป็ดเป็นการเพิ่มปุ๋ยและให้ความชื้นแก่ดิน (หากสามารถเลี้ยงห่านร่วมด้วยก็จะสามารถป้องกันงูพิษได้อีกทางหนึ่งด้วย)
ขั้นตอนและวิธีการ
1. ใช้ลวดตาข่ายหรืออวนล้อมบริเวณสวนยางพารา (อายุ 2-3 ปี) ที่มีวัชพืชมากและต้องการกำจัด
2. นำเป็ดรุ่นเดียวกันประมาณ 50-100 ตัว ปล่อยในบริเวณตาข่ายที่ล้อมไว้
3. จัดรางน้ำ-อาหาร ให้อยู่รอบ ๆ พื้นที่บริเวณตาข่าย และสามารถย้ายรางน้ำ - อาหารได้ตามความเหมาะสม
4. ทำจากพื้นที่บริเวณเล็ก ๆ แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มเป็นวงกว้าง จนทั่วทั้งบริเวณ
ปัญหาอุปสรรค
1. ต้องมีมาตราการจัดการกับอันตรายจากสิ่งรบกวน เช่น สุนัข
2. ต้องอยู่ในบริเวณใกล้กับที่พักอาศัยเพราะดูแลได้ง่าย
3. มีเสียงและกลิ่นรบกวน
4. หาแหล่งน้ำยาก
http://www.live-rubber.com/rubberforum/viewtopic.php?f=2&t=103
สูตร "ไข่อร่อยปากพนัง" ลงมือทำกันเลยนะครับ ประหยัดต้นทุนและที่สำคัญใช้วัตถุดิบที่หาง่าย ...
นมที่หมดอายุแล้ว ผสมกับน้ำตาลทรายกับเกลือเม็ด อัตราส่วนเท่าๆ กัน แล้วเติมน้ำผสมให้ได้ดังภาพ
http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=77129.0
--------------------------------------------------------------------------- |
|