-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11561

ตอบตอบ: 17/06/2011 8:04 pm    ชื่อกระทู้: การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี

การผลิตและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี อ.บ่อเกลือ จ.น่าน


แม้ว่าข้าวสาลีซึ่งเป็นธัญพืชเมืองหนาว ไม่ใช่พืชหลักสำหรับเกษตรกรไทย แต่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน
ข้าวสาลีเป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ และเป็นแหล่งอาหารของชุมชน เกษตรกรเหล่านี้สนใจปลูกข้าวสาลี

เป็นพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ เนื่องจากเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีอากาศหนาวและปลูกได้ในพื้นที่ที่มีน้ำจำกัด ซึ่งไม่เหมาะ
กับพืชหลังนาชนิดอื่นๆ ในช่วงปี 2539/40 - 2543/44 เป็นช่วงการส่งเสริมของหน่วยงานรัฐโดยการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ทำให้
มีพื้นที่ปลูกข้าวสาลีประมาณ 3,000 - 10,000 ไร่ ผลผลิตรวมอยู่ในช่วง 400 - 1,000 ตัน/ปี แต่ผลผลิตในแปลงเกษตรกรเฉลี่ย
เพียง 150-180 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งค่อนข้างต่ำ

อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นหนึ่งในพื้นที่ปฏิบัติการของ ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ประชากรร้อยละ 96 ประกอบอาชีพทางการเกษตร มีพื้นที่ทำการเกษตร 57,000 ไร่ จากข้อมูลการสำรวจสภาพ
เศรษฐกิจของโครงการพัฒนาความมั่นคงพื้นที่ลุ่มน้ำน่านฯ พื้นที่ 9 ปี 2543 พบว่า ราษฎรมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 16,000
บาท เป็นรายได้จากภาคการเกษตรเฉลี่ย 4,460 บาท และนอกภาคเกษตรเฉลี่ย 11,500 บาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก ทำให้เกษตร
กรปล่อยที่นาทิ้งร้างในช่วงฤดูแล้งเพื่อออกไปรับจ้างในตัวเมือง

โครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและเพิ่มมูลค่าผลผลิตของข้าวสาลี เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่นาในฤดูแล้ง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)
เห็นความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมูลค่าผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี ซึ่งนำไปสู่การ
สร้างอาชีพเสริมให้เกษตรกร จากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ และผลผลิตที่แปรรูป เป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่นาได้อย่างเต็มที่ตลอดฤดูกาล
ลดปัญหาการย้ายถิ่นในฤดูแล้ง และเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากปัจจุบันต้องพึ่งพาการนำเข้าในพื้นที่ ในรูปของผลิตภัณฑ์จากแป้ง
ข้าวสาลี เช่น บะหมี่ ขนมเบเกอรี่ต่างๆ รวมทั้งเชื่อมโยงไปสู่โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน


ไบโอเทคจึงร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ธนบุรี และ กรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและเพิ่มมูลค่าผลผลิตของข้าวสาลี เพื่อการใช้ประโยชน์
พื้นที่นาในฤดูแล้ง อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน โดยมีการศึกษาศักยภาพของผลผลิต องค์ประกอบของผลผลิต และคุณภาพของข้าว
สาลีสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการคัดและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การจัดการ
เขตกรรมและเทคโนโลยีการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลีเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น บะหมี่ ขนม ให้กับเกษตรกรที่อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน


ผลการดำเนินงาน
จากการดำเนินงานพบว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 29 ราย เพิ่มผลผลิตข้าวสาลีจากเดิม เฉลี่ย 180 กิโลกรัม/ไร่ เป็น 320 กิโลกรัม/
ไร่ โดยผลผลิตที่ได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

1) เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ในฤดูการผลิตต่อไป
2) ส่งจำหน่ายให้กับบริษัทผลิตแป้งซึ่งที่ผ่านมาบริษัทแปซิฟิก ฟลาวมิลค์ จำกัด ให้การสนับสนุนรับซื้อในราคาประกัน และช่วยเหลือค่า
ขนส่งกับเกษตรกร
3) แปรรูปเป็นแป้งและผลิตภัณฑ์ในระดับท้องถิ่น


ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการปลูกข้าวสาลีประมาณ 1,500 บาทต่อไร่ และจากการศึกษาเปรียบเทียบศักยภาพของสายพันธุ์ข้าว
สาลีพบว่า สายพันธุ์ลำปาง 4 มีความเหมาะสมเนื่องจากสีเมล็ดเหลืองสว่างสม่ำเสมอ เมล็ดอวบ เปอร์เซ็นต์ความชื้นและเถ้าต่ำ แต่มี
เปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดีเป็นที่ต้องการในการผลิตแป้งระดับอุตสาหกรรม


โครงการฯ ได้พัฒนาเครื่องโม่แป้งข้าวสาลีต้นแบบ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในระดับชุมชน และเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิตได้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องที่ใช้ในที่อื่นๆ ของประทศไทย โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากเดิม 60 กิโลกรัมต่อ
ชั่วโมง เป็น 190 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เปอร์เซ็นต์ที่ผลิตเป็นแป้งประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีเครื่องโม่แป้งข้าวสาลีต้นแบบเพื่อ
ผลิตแป้งข้าวสาลีจำหน่าย และแปรรูปผลิตภัณฑ์ในชุมชน นอกจากนี้ โครงการฯ ได้ร่วมกับศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีการ
แปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีสู่ชุมชน โดยการฝึกอบรมการแปรรูปแป้งข้าวสาลีเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เส้นบะหมี่ ขนม เพื่อการบริโภค
ในท้องถิ่น และจัดทำเป็นโครงการอาหารกลางวันของนักเรียน เป็นการเพิ่มอาชีพทางเลือกให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย



ข้อมูลจาก ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)


http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00368


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/06/2011 9:00 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11561

ตอบตอบ: 17/06/2011 8:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)




ข้าวสาลีเป็นธัญพืชเมืองหนาวชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องนำเข้าปีละเป็นจำนวนมาก
เช่น ในปี พ.ศ. 2532 ไทยได้นำเข้าแป้งข้าวสาลีทั้งสิ้น 334,621 ตัน คิดเป็นมูลค่าถึง 1,748 ล้านบาท และยังมีแนวโน้ม
การนำเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ

การส่งเสริมเพิ่มผลผลิตข้าวสาลี โดยกรมส่งเสริมการเกษตรกับบริษัทเอกชนผู้ค้าแป้งข้าวสาลีภายในประเทศ 4 บริษัท ได้ดำเนิน
การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวสาลีให้มากยิ่งขึ้น โดยให้การสนับสนุนด้านการซื้อผลผลิตในราคาประกัน เพื่อให้เกษตรกรมีความ
มั่นใจและหันมาปลูกข้าวสาลีให้มากเพื่อลดการนำเข้าได้ทางหนึ่ง รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง

ข้าวสาลีเป็นพืชที่ต้องการอากาศหนาวเย็น ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ปลูกได้ในสภาพไร่ที่อาศัยน้ำฝน หรือปลูกในเขตชลประทาน
ที่ดินมีการระบายน้ำได้ดี





ปัจจุบันพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกมี 3 พันธุ์ คือ
- สะเมิง 1 เหมาะสำหรับปลูกในที่ดอนของภาคเหนือที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น มีอายุ 100 วัน

- สะเมิง 2 สามารถปรับตัวได้ดีภายใต้สภาพอากาศที่แปรปรวน จึงเหมาะที่จะใช้ปลูกในสภาพไร่อาศัยน้ำฝนและในสภาพนาที่ค่อน
ค้างมีน้ำจำกัด มีอายุ 90 วัน

- อินทรีย์ 1 สามารถปรับตัวได้ดีภายใต้สภาพอากาศแปรปรวน ทนแล้ง ทนต่อการทำลายของหนอนกอ เหมาะสมที่จะใช้ปลูกทาง
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ



ในสภาพไร่อาศัยน้ำฝน ช่วงที่เหมาะสมที่สุดอยู่ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม ไม่ควรปลูกเร็วเกินไปเพราะอากาศร้อน จะทำให้เกิด
โรคง่าย และหากปลูกช้าเกินไปข้าวสาลีจะกระทบแล้ง


ในสภาพนา ช่วงที่เหมาะสมที่สุดประมาณ 15 พฤศจิกายน แต่ไม่ควรปลูกล่าเกิน 15 ธันวาคม


ดินที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวสาลี จะต้องมีการระบายน้ำดี ดินเหนียวจัด หรือมีชั้นดินดานที่มีการระบายน้ำเลว รวมทั้งดินที่เป็นกรด
จัดและเค็มจัด ไม่เหมาะสมจะใช้ปลูกข้าวสาลี ดังนั้นพื้นที่ซึ่งจะใช้ปลูกข้าวสาลีควรมีลักษณะดังนี้
3.1 ดินมีการระบายน้ำได้ดี ในขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี ซึ่งได้แก่ ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย
3.2 มีความชื้นในดิน หรือมีแหล่งน้ำที่แน่นอนอย่างน้อย 30 วัน หลังปลูกข้าวสาลี
3.3 แปลงปลูกข้าวสาลีไม่ควรขัดแย้งกับแปลงปลูกพืชอื่นข้างเคียงเกี่ยวกับ ระบบ



การให้น้ำ การให้น้ำควรปล่อยตามร่องและระบายออกได้สะดวกและรวดเร็ว


การเตรียมแปลงปลูกข้าวสาลี ควรเริ่มทันทีหลังเก็บเกี่ยวพืชแรกออกจากแปลง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืชและเป็นช่วง
ที่ดินยังมีความชื้นอย่างพอเพียง การเตรียมดินโดยทั่ว ๆ ไปมี 2 ลักษณะ คือ
4.1 มีการพลิกดิน ขุดดินด้วยจอบแล้วย่อยดินโดยใช้จอบสับ ใช้รถแทรกเตอร์ไถดะ และไถแปร เพื่อให้ดินแตกย่อย ปรับที่ให้เรียบ
4.2 ไม่มีการพลิกดิน ได้แก่ การปลูกโดยหยอดเมล็ดเป็นหลุมในตอซังข้าว หรือตัดตอซัง ยกแปลงปลูกแบบกระเทียม ขุดดินจากร่อง
เกลี่ยบนแปลง เปิดร่องโรยเมล็ดเป็นแถว




ปลูกได้หลายวิธีตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ไร่ละ 20 กิโลกรัม


1. การปลูกในสภาพที่สูงลาดชัน จะใช้วิธีกระทุ้ง หยอดแบบข้าวไร่ หยอดหลุมละ 5-6 เมล็ด ระยะห่างระหว่างแถว 20 ซม. (2 ฝ่ามือ)
2. การปลูกในสภาพที่ดอน ไถพลิกดิน 1 ครั้ง ย่อยดินด้วยจานพรวน แล้วปลูกได้ 2 วิธีคือ
- โรยเป็นแถว เปิดร่องโดยใช้จอบสับดิน หรือใช้คราดซี่ไม้หรือคราดซี่เหล็ก ให้มีความลึก 3-5 ซม. ระยะระหว่างร่อง 20-25 ซม.
โรยเมล็ดพร้อมปุ๋ยตามความยาวของแปลง จากนั้นกลบด้วยเท้าหรือจอบ
- หว่านพรวนกลบ ควรปลูกในช่วงที่ผิวดินมีความชื้นเพียงพอต่อการงอกของต้นกล้า หว่านเมล็ดให้สม่ำเสมอทั่วแปลง แล้วพรวนกลบ





1. ปลูกแบบโรยเป็นแถวบนแปลง หลังจากไถและคราดดินแล้วเปิดร่องลึกประมาณ 5 ซม. โรยเมล็ดพร้อมปุ๋ยตามความยาวของแปลง
ระยะห่างระหว่างร่องหรือแถวประมาณ 20 ซม. กลบเมล็ดให้ฝังในดินลึก 3-5 ซม.





2. ปลูกแบบหว่านแล้วยกร่องกลบ หลังจากไถดะและคราดดินแล้ว หว่านเมล็ดข้าวสาลีพร้อมปุ๋ยรองพื้นให้ทั่วแปลง แล้วยกแปลง
และทำร่องน้ำ ดินที่ถูกยกขึ้นมาทำแปลงจะกลบเมล็ดข้าวสาลีและปุ๋ยได้พอดี





3. ปลูกแบบหว่านแล้วคราดกลบ วิธีนี้เหมาะกับพื้นที่เป็นกระทงนาขนาดเล็ก ดินต้องร่วนระบายน้ำได้สะดวก ทำการไถขณะดินมีความ
ชื้นพอที่เมล็ดจะงอกได้ ทำการหว่านแล้วคราดกลบ

4. ปลูกแบบไม่ไถ ตัดตอซัง ยกแปลง หว่านเมล็ดพร้อมปุ๋ยทั่วแปลง ถากหญ้ากำจัดวัชพืชกลบทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้ฟางกลบ (สำหรับวิธี
นี้ทางหวัดน่านได้ทำการทดสอบ ปรากฏว่าให้ผลดี) เป็นการประหยัดเวลา แรงงานและลดต้นทุนการเตรียมดิน


การปลูกข้าวสาลีให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี เกษตรกรควรใส่ปุ๋ยเคมี 2 ครั้ง คือ
ปุ๋ยรองพื้น ควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0
คลุกเมล็ดพร้อมปลูก อัตราไร่ละ 30 กิโลกรัม

ปุ๋ยแต่งหน้า ใช้สูตร 21-0-0 อัตราไร่ละ 20 กิโลกรัม ใส่หลังข้าวสาลีงอกแล้ว ประมาณ 15-20 วัน


ข้าวสาลีไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง หรือดินเปียกชื้นได้ยาวนาน การให้น้ำหลังหยอดเมล็ดจึงค่อนข้างอันตราย ถ้าปลูกในสภาพดินมีความ
ชื้นเหมาะสม การให้น้ำครั้งแรกควรให้เมื่อข้าวสาลีงอกได้ประมาณ 10 วัน ระยะวิกฤตที่ต้นข้าวสาลีไม่ควรขาดน้ำ ได้แก่
1. ระยะที่ต้นข้าวสาลีกำลังแตกรากจากข้อใต้ดิน (10 วัน หลังเมล็ดงอก)
2. ระยะเริ่มสร้างรวงอ่อน (25-30 วัน หลังเมล็ดงอก)
3. ระยะผสมเกสร
4. ระยะสร้างเมล็ด (15 วัน หลังผสมเกสร) ในสภาพน้ำจำกัด การให้น้ำ 2 ครั้ง ในช่วง 30 วันแรก ข้าวสาลีจะให้ผลผลิตในระดับที่น่าใจ





สามารถตรวจสอบได้โดยขุดดินลึกประมาณ 10 ซม. หรือบริเวณใต้ผิวดินใกล้บริเวณราก กำมือปั้นดิน หากเมล็ดดินจับตัวกันได้
ไม่แตกออกจากกัน แสดงว่ามีความชื้นเพียงพอไม่ต้องให้น้ำ ถ้าหากดินที่บีบไม่จับตัวต้องให้น้ำทันที


1. เตรียมดินโดยไถพรวนและคราดหลายครั้ง
2. หากปลูกเป็นแถวใช้จอบถากระหว่างแถว
3. ใช้สารบิวตาคลอร์ หรืออลาคลอร์ในอัตราตามคำแนะนำ





โรคใบจุดสีน้ำตาล ต้นกล้าจะมีแผลสีน้ำตาลเข้มที่ราก ที่ต้นใบด้านล่าง ป้องกันโดยใช้สารเคมีคลุกเมล็ด เช่น ไวตาแวก 0.3% หรือ
ไดเทนเอ็ม 45 อัตรา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ

โรคกล้าแห้งและโคนเน่า ต้นข้าวสาลีเหี่ยวและมีสีเหลือง บริเวณโคนต้นจะพบเส้นใยสีขาว และเมล็ดกลมสีขาวน้ำตาล หากพบขุดต้น
และดินบริเวณรอบต้นออก แล้วโรยปูนขาวบริเวณที่พบ





เก็บเกี่ยวเมื่อต้นข้าวสาลีแห้งเป็นสีฟาง เมล็ดแข็ง เนื้อขนจะเปราะ เกี่ยวด้วยเคียว วางรายบนตอซัง ตากให้แห้ง 2-3 แดด มัดฟ่อน
ด้วยตอก แล้วเอามานวดด้วยเครื่องนวดข้าวธรรมดา โดยปรับความเร็วให้สูงขึ้นเล็กน้อย หรือนวดด้วยแรงคนโดยฟาดกับแครไม้หรือ
กระบุงใหญ่ (ครุ) หรือใช้ไม้ทุบรวงให้เมล็ดร่วงออกมา แล้วฝัดด้วยกระด้งหรือเครื่องสีฝัด บรรจุกระสอบเก็บไว้ในที่ร่ม อากาศ
ถ่ายเทสะดวก


ต้องตากเมล็ดพันธุ์ให้แห้งสนิทมากที่สุด แต่อย่าให้โดนแสงแดดที่จัดจ้าโดยตรง แล้วเก็บในภาชนะปิด หรือเก็บในกระสอบ แล้ว
นำไปเก็บรักษาในยุ้งฉางที่อากาศถ่ายเทได้ง่ายและกันฝน นก และหนูได้ด้วย

เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ของข้าวสาลีจะเป็นเมล็ดที่ไม่มีเปลือกหุ้มทำให้มีโอกาสถูกทำลายจากแมลงศัตรูในโรงเก็บ เช่น ด้วงงวงข้าว
ดังนั้นการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์บ่อย ๆ ทุก ๆ เดือน ถ้าพบการทำลายของแมลงศัตรู ควรรีบเอาออกมาทำความสะอาดและผึ่งแดดอีกครั้ง






http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://web.ku.ac.th/agri/rice/r14.gif&imgrefurl=http://web.ku.ac.th/agri/rice/rice.htm&usg=__EJmpJtsOAbVWnBJK7cMOJy86Amo=&h=264&w=354&sz=80&hl=th&start=3&zoom=1&itbs=1&tbnid=Rxbf6RY49eR6IM:&tbnh=90&tbnw=121&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%26hl%3Dth%26sa%3DX%26biw%3D1003%26bih%3D562%26tbm%3Disch%26prmd%3Divns&ei=sFj7TY7vI8byrQedw5HWDw
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11561

ตอบตอบ: 17/06/2011 9:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Crop Circle : งานศิลป์ปริศนา





สัญลักษณ์จากห้วงจักรวาล ?

ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบยุโรป และที่ต่างๆทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีการรายงานการเกิด Crop circles
ใน 29 ประเทศ เป็นปรากฏการณ์ที่ถือว่าไม่ธรรมดามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปแบบ วิธีการ ขนาด ระยะเวลาการเกิด และผู้สร้าง ล้วน
เป็นความลับ ให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ และนักคาดเดาต่างต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใกล้ความเป็นจริง ที่จะ
เฉลยปริศนานี้ได้

Crop circles (ครอปเซอร์เคิล) เกิดเป็นรูปร่างโดยธัญพืชที่มีแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่นั้น ได้ล้มลงเป็นจำนวนมาก เกิด
ลวดลายขึ้น ตัดกับส่วนที่ยังตั้งอยู่ จึงเห็นเป็นลวดลายชัดเจน โดยมีรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่มี
วงกลมเป็นหลัก และประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตอีกหลากหลาย และมีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถมองดูได้จากพื้นดินธรรมดา
แต่เมื่อมองจากมุมสูงจึงจะเห็นเป็นลวดลายชัดเจน เป็นลักษณะของสัญลักษณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
โดยเฉพาะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น การสร้างจึงต้องใช้เทคนิคและเทคโนโลยี่ขั้นสูงมากๆ จึงจะสามารถ
ทำได้ ดังนั้นจึงมีคำถามว่า คือ ใครเป็นคนทำ
ทำได้อย่างไร ใช้อะไรในการทำ และทำเพื่ออะไร






พระเจ้าหรือมนุษย์ต่างดาว กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเราชาวโลกผ่าน crop circle อย่างนั้นหรือ มีใครจะสามารถอ่าน
ความหมายของเครื่องหมายเหล่านี้ได้ ปริศนาต่างๆ ยังคงดำมืดอยู่อย่างนั้นหรือ และพวกเราจะได้รู้ความลับนี้เมื่อไหร่ จะเกินอายุขัย
เราหรือไม่ เพราะความลับในโลกนี้ยังมีอีกมากมาย ที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แต่รอเวลาเท่านั้น

Crop circles ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ ในประเทศอังกฤษ แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าใครหรือ
อะไรทำให้มันเกิดขึ้น ข้อสันนิษฐานที่เป็นทฤษฎีแรกคือเป็นร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกาบาตและ
ทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก มีการรายงานมากกว่า 200 เหตุการณ์ในช่วงก่อนปี 1970 มีผู้เห็นเหตุการณ์กว่า 80 คน ในทศวรรษ
ที่ ในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ นายอาเทอร์ ชัตเติลวูด กับ บริซ บอนด์ ได้ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์
เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ โดยเชื่อกันว่ามันคือ ยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวัง
เมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม สี่ปีต่อมาในเดือน
กันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์ ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำบินอยู่เหนือทุ่งนา หลัง
จากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบ Crop circles หลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบน
ท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้ ในปี1980ได้มีการค้นพบ Crop circles
มากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆ เมืองวอร์มินสเตอร์ (Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือ
เป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น
ในทศวรรษนี้เอง เทอร์เรนซ์ มีเดน ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์
เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า Crop circles เกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex
ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ (แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ก็ไม่น่าจะทำให้เกิด
ลวดลายที่สลับซับซ้อนกว่าวงกลมๆธรรมดาได้ นอกจากวงกลมธรรมดาๆ ที่ไม่กลมดิก เหมือนใช้เครื่องมือทำ หรือถ้ามันเกิดโดยวิธี
การคล้าย Plasma Vortex อย่างที่เขาวิจัย ก็ต้องมีคนที่มีเทคโนโลยี่ขั้นสูงที่สร้างเครื่องมือทำเจ้าลม Plasma Vortex นี้ได้ แล้ว
จึงบังคับให้มันเป็นรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งธรรมชาติจะทำไม่ได้)






เคยมีการปล่อยข่าว จากหลายๆรัฐบาล ของประเทศที่มี Crop Circles เกิดขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนและควบคุมความสนใจของคน หรือกลบ
เกลื่อนปริศนาที่ไร้คำตอบนี้ว่า ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำของคนอายุระหว่าง 60-70 ปี 2 คน แต่ก็กลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปได้ไม่
นาน สุดท้ายความจริงก็ถูกเปิดเผย เพราะเหตุผลอ้างอิงไม่หนักแน่นพอ เอาง่ายๆว่าคนแก่ 2 คน จะใช้เครื่องมืออะไรมาทำลวดลาย
ขนาดใหญ่ กลางทุ่งนา ได้ในชั่วเวลาเพียงพริบตา ต่อให้ทำทั้งคืนผมว่าก็ยังไม่เสร็จอยู่ดี ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับ
หนังสือพิมพ์ว่า Crop circles เป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ คือ เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and
Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้ไม้กระดานขนาด 4 ฟุต และเชือก
เป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืนอย่างเดียวกับพวกเขาด้วย นิตยสารไทม์ ฉบับวันที่
23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษและของโลกแล้ว






ลักษณะของ Crop Circles ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในไร่นาที่ปลูกธัญพืชต่างๆ ประเภทข้าว เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าวโพด ซึ่งจะเป็น
การล้มของต้นธัญพืชมากมาย ออกมาเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งถ้าสังเกตจากต้นพืชที่ล้มลง ก้านนั้นจะไม่หักเลยทีเดียวแต่จะงอไปทางขวา
ซึ่งจะเกิดขึ้นบริเวณหนึ่งนิ้วจากพื้นดินก่อนที่จะถึงข้อแรกของลำต้น ในบางโอกาสนั้นการงอจะเกิดขึ้นหกนิ้ว นับจากหัวเมล็ด ซึ่งตรงนี้นี่
เองที่ใช้เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข่าวลือของการเกิด Crop Circles เพราะถ้ามีการใช้เครื่องมือทับต้นไม้ มันจะต้องแบนราบไปกับพื้น
และจะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นกับต้นพืช ในช่วงปี 1980 จำนวน 90% ของการเกิด Crop Circles ในทางตอนใต้ของอังกฤษนั้น
จะเป็นรูปทรงวงกลม วงกลมกับวงแหวน และอื่นๆ แต่ในช่วงปลายปี1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่จะมีรูปแบบออกมาในลักษณะ
เส้นตรง ซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ และภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนขึ้นมาก นอกจากความ
ซับซ้อนจะเพิ่มขึ้น ขนาดก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในบางแห่งนั้นกินวงกว้างถึง 200,000 ตารางฟุต จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีรายงาน
การเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง มนุษย์ว่างงานคนไหน จะมีเวลาไปทำอะไรเล่นๆ ได้มากมายขนาดนั้น (ว่างแล้วต้องรวย
ด้วยนะครับ จึงจะมีเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทั่วโลก)





Crop circles เป็นสิ่งที่ถูกจัดสร้างได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลก ซึ่งปรากฏการณ์นี้ น่าจะเป็นผลจากพลังงานที่กระทำ
กับสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งก็คือต้นธัญพืช พลังงานเหล่านี้ประกอบไปด้วย แสง เสียงและ คลื่นแม่เหล็ก ใน AUSTRALIA และ BRITISH
COLUMBIA ผู้พบเห็นได้กล่าวว่า Crop Circle นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงแค่ 20 วินาที พวกเขาได้อธิบายถึงลูกบอลเรืองแสง
ที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิด Crop Circles ในบางโอกาส มีลำแสงพุ่งลงมายังท้องทุ่ง และได้ทำให้ต้นธัญพืชโค้ง
งอและจัดเรียงตัวเป็นรูปทรงเรขาคณิตภายในเวลาน้อยกว่า 15 วินาที ส่วนใหญ่คนที่เห็นเหตุการณ์นี้จะเป็นพวกเกษตรกร ต้นไม้เหล่านี้
ดูเหมือนจะถูกกระทำจากความร้อน ที่ร้อนในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งจะทำให้ต้นพืชนั้นอ่อนตัวลงและก็งอเป็นมุม 90 องศา โดยที่การงอนั้นคง
เดิมและไม่ทำให้เกิดการเสียหายกับต้นพืช นักพฤกษศาสตร์ได้งุนงงกับการเกิดปรากฏการณ์นี้และได้สนับสนุนแนวคิดนี้ เนื่องจาก
ดูเหมือนจะเป็นแนวคิดเดียวที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ แต่จากหลายๆการค้นคว้าและทดลองได้ค้นพบว่า Infrasound (เสียง
ที่ต่ำกว่า 20 Hz) นั้น ก็สามารถที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน Infrasound ที่มีความดันสูง สามารถ
ที่จะทำให้น้ำเดือดได้ภายในเวลาเพียงแค่ 1 นาโนวินาที
ซึ่งก็ตรงกับคำพูดของเกษตรกรผู้เห็น
เหตุการณ์ว่าได้เห็นไอควันลอยขึ้นจาก Crop Circles





มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา
17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิล
เป็นฝีมือของมนุษย์ ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจาก
การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัย
ที่พบว่าครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่
อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศีรษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง





ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น คือ ศาสตราจารย์โอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา
(plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง ปี 1991 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิล
หลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา บราซิล โรมาเนีย ฮังการี และญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยน
แปลงรูปทรงใหม่ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น เรียกว่า Pictrogram เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้
ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสารกับมนุษย์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ความซับซ้อนของรูปทรงครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่
สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของ
ทฤษฎี ยูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปี 1992 การเกิดครอปเซอร์เคิล มีความ
สลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาดไปกว่า
10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือ ศิลปอันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย
และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟูอยู่ทุกวันนี้





จนถึงปัจจุบันมี Crop circles เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90
เปอร์เซนต์ อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮน(Stonehenge) Crop circles บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับจักรวาลและแกแล็คซี่
บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของโลกจากอาวุธนิวเคลียร์ และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพ
แวดล้อม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับ Crop circles รูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่งข้าวโพดใกล้
กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilbolton ที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13
อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครบรอบปี ได้เกิด Crop circles แบบนี้ขึ้นอีก มันคือ
Crop circles ที่แสดงภาพของ E.T. ห่างจากที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002 สำหรับนัก
วิจัยแล้ว ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได้ นั่นคือ การพบความผิดปกติ
ในลำต้นของพืชใน Crop circles ที่พวกเขาอ้างว่า สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ Crop
circles ของจริงนั้นลำต้นของพืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์
(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือ เซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน ด๊อกเตอร์ วิลเลียม เลเวนกูด เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้
เกิด Crop circles มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่านั้นน่า
จะเป็นไมโครเวฟ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Microwave Transient Heating นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชใน Crop circles
เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชในครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าเมล็ดพืชบริเวณใกล้เคียงถึง
45 เปอร์เซ็นต์





แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้าง Crop circles ที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งใน
ภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญ
จากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้าง Crop circles ที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบัน
พวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่า
นั้นที่จะอธิบาย Crop circles ได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้าง แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัย Crop circles ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริว
ว่า มันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker
คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า "สา
ธารณชนไม่ต้องการคำอธิบาย" เขากล่าว

คุณละครับ ดูรูปแล้ว เชื่อตามทฤษฎีไหนมากกว่ากัน ?

Credite : http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=403

Looking forward : http://www.circlemakers.org




http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://cinrhq.bay.livefilestore.com/y1phZkH82kLWQK7irCCVPfPaVhSUEawpQw2qwDuI5EfS_D99xl4xoQD60cw4_ouiuXm61L5ZSXD8duWC4MaabC4ow/CropCircle05.jpg&imgrefurl=http://www.navy22.com/smf/index.php%3Ftopic%3D17648.0&usg=__MMjl6crjsOpTkpI5TqrsnaScxnY=&h=618&w=400&sz=139&hl=th&start=97&zoom=1&itbs=1&tbnid=WWz0TAajgAcqhM:&tbnh=136&tbnw=88&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%26start%3D80%26hl%3Dth%26sa%3DN%26biw%3D1003%26bih%3D562%26ndsp%3D20%26tbm%3Disch%26prmd%3Divns&ei=22D7TZzBHsbprQfu79DiDw
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©