-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* นานาสาระเรื่องเกษตร.
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * นานาสาระเรื่องเกษตร.
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* นานาสาระเรื่องเกษตร.
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 48, 49, 50 ... 72, 73, 74  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 9:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลำดับเรื่อง....


1,337. การเลี้ยงด้วงสาคู ในกะละมัง
1,338. กิมจิสด แบบไทยๆ เพื่อสุขภาพ
1,339. โมจิไส้สตรอเบอรี่
1,340. ไส้อั่วหน่อกะลา

1,341. เครื่องประดับ กะลามะพร้าว
1,342. อาชีพเลี้ยง ไก่ไข่
1,343. ปลูกบัว เสริมรายได้
1,344. ผลิตยาสมุนไพร รายได้เสริม
1,345. แกงมัสมั่น อาหารไทย

1,346. ปลูกหม่อนไหม เสริมความงามสู่ตลาดโลก
1,347. เก็บเห็ดป่าขาย
1,348. กล้วยหินฉาบ
1,349. อาชีพบาริสต้า
1,350. เฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ำ

1,351. กะลามะพร้าว กลายเป็น กะลาทองคำ
1,352. กระเป๋าสานจากผักตบชวา สร้างรายได้
1,353. สอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง
1,354. ฟาร์มตัวเงินตัวทอง สัตว์เศรษฐกิจ
1,355. ‘อ้อมขวัญ’ แม่มดแห่งบุปผา รับเสกดอกไม้ช่อเดียวในโลก

1,356. แคนตาลูป ผลไม้โปรด...มาดูสิว่า เขาปลูกกันยังไง ?
1,357. ทำนา 100 ไร่ สู้กะเฉด 20 ไร่ ไม่ได้
1,358. กุหลาบสีฟ้า
1,359. กุหลาบสีน้ำเงิน
1,360. เกษตรกรนับแสนราย อาจถูกริบที่ดิน

1,361. วิจัยปุ๋ยหมักระบบกองเติมอากาศ สร้างรายได้ชาวบ้านเดือนละ 3 หมื่น

-------------------------------------------------------------------------------------------------






1,337. การเลี้ยงด้วงสาคู ในกะละมัง





ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเลี้ยงด้วงสาคูให้ประสบความสำเร็จคือเรื่องของความสะอาดและการจัดการเลี้ยงอย่างมีระบบ

ด้วงสาคู หรือ ด้วงลาน จัดเป็นแมลงอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมบริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากขนาดของตัวหนอนค่อนข้างโต มีน้ำหนักดีและขายได้ราคาดี มีวงจรชีวิตสั้น มีโปรตีนสูงเช่นเดียวกับแมลงชนิดอื่น ๆ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันมากในเขตพื้นที่ภาคใต้ของไทย เกษตรกรในเขตพื้นที่ภาคใต้จะเลี้ยงด้วงสาคูในท่อนสาคูหรือท่อนลาน ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเลี้ยงด้วงสาคูให้ประสบความสำเร็จคือเรื่องของความสะอาดและการจัดการเลี้ยงอย่างมีระบบ อาทิ สถานที่เลี้ยงจะต้องไม่มีน้ำท่วมขังและบริเวณที่เลี้ยงสามารถวางตากแดดและตากฝนได้ แต่ต้องมีกระดานทำจากกาบต้นไม้ที่เลี้ยงครอบปิด






ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่ คุณประเสริฐนพคุณขจร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร (ผึ้ง) โทร. 0-7757-4519 ได้มีการพัฒนาวิธีการเลี้ยงด้วงสาคูในกะละมังจนประสบความสำเร็จและเผยแพร่ให้เกษตรกรและผู้สนใจนำไปเลี้ยงได้ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์ในการเลี้ยงคือ กะละมังพร้อมฝาเปิด, กิ่งทางปาล์มสด, เครื่องบดสับทางปาล์ม, ถังหมัก, สูตรอาหารเสริมและพ่อ-แม่พันธุ์สาคู เป็นต้น โดยขั้นตอนในการผลิตพ่อ-แม่พันธุ์ด้วงสาคูเริ่มจากการเตรียมอาหารผสมคือทางปาล์มสดสับหมักกับสูตรอาหารเสริม 1 กะละมัง (สูตรอาหารเสริมผสมทางปาล์มสด 1 กะละมังคือ เชื้อ EM 1 ช้อนโต๊ะ, กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ, อาหารหมู 500 กรัม, น้ำ 2 ลิตรและรำข้าวครึ่งลิตร) นำอาหารผสมใส่รองก้นกะละมังให้มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว นำเปลือกมะพร้าวปอกแช่น้ำมาวางเรียงในกะละมังและใส่อาหารผสมลงไป ทำอย่างนี้ให้ได้ 2 ชั้นใน 1 กะละมัง หลังจากนั้นปล่อยตัวหนอนด้วงสาคูที่มีอายุ 35-40 วัน ใส่ลงไปในกะละมังที่เตรียมไว้ประมาณ 100 ตัว ปล่อยทิ้งไว้รอให้ตัวหนอนเข้าฝักดักแด้ประมาณ 20-30 วันให้เก็บฝักดักแด้ออกมารวมกันอีกกะละมังหนึ่งเพื่อรอให้ตัวด้วงเจาะออกจากฝักดักแด้ประมาณ 5-10 วัน หลังจากนั้นให้จับตัวด้วงรวบรวมอีก 1 กะละมังเพื่อคัดแยกเพศเพื่อรอการผสมพันธุ์ก่อนที่จะนำไปปล่อยเลี้ยงในกะละมังต่อไป





ขั้นตอนการเลี้ยงด้วงสาคู
ในกะละมังเริ่มจากนำกิ่งปาล์มสดปอกเปลือกและเข้าเครื่องสับบด ให้นำกิ่งทางปาล์มสดสับให้ละเอียดแล้วนำมาหมักในถังหมักนานไม่น้อยกว่า 3 วัน นำกิ่งทางปาล์มสดสับที่หมักแล้วผสมกับสูตรอาหารเสริมดังที่กล่าวมาในข้างต้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน บรรจุใส่กะละมังอัดให้แน่นและปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ด้วงสาคู 5 คู่ (ตัวผู้ 5 ตัวและตัวเมีย 5 ตัว)ต่อ 1 กะละมัง หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน สามารถจับตัวหนอนด้วงสาคูออกจำหน่ายได้ ก่อนที่จะนำด้วงสาคูมาปรุงอาหารให้ นำตัวหนอนด้วงสาคูมาเลี้ยงในอาหารกากมะพร้าวขูด 1-2 วัน แล้วนำตัวหนอนมาล้างน้ำให้สะอาดและแช่น้ำเกลือทิ้งไว้ 10-30 นาที เพื่อล้างสิ่งสกปรกทั้งภายในและภายนอกตัวหนอนออกและตามด้วยการล้างด้วยน้ำปูนใสอีกครั้งก่อนที่จะนำไปประกอบอาหาร



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3530


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 05/12/2011 7:20 am, แก้ไขทั้งหมด 8 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 10:06 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,338. กิมจิสด แบบไทยๆ เพื่อสุขภาพ





กิมจิสด สไตล์ไทยๆ เป็นไอเดียดีๆ ที่น่าสนใจ เหมาะกับคนรักสุขภาพ
ในภาวะที่เศรษฐกิจขึ้น ๆ ลง ๆ การทำมาหากินเป็นไปด้วยความลำบาก หากย่ำอยู่กับสิ่งเดิมๆ อาจไปไม่รอด เรื่องการค้าการขายจำเป็นต้องสร้างจุดขาย มีไอเดียแปลกใหม่ และตามกระแสความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลที่ทีม ช่องทางทำกิน นำมาเสนอวันนี้ ก็เป็นไอเดียดีๆ ที่น่าสนใจ กับการทำ-การขาย กิมจิสด ซึ่งเหมาะกับคนรักสุขภาพ

อร-ณัฐมณฑ์ อึ้งโสภาพงษ์ เจ้าของสูตร อรเมนูเพื่อสุขภาพ เล่าให้ฟังว่า เคยทำงานมาหลายอย่าง เริ่มจากทำงานประจำ เป็นพนักงานบริษัทขายหัวน้ำหอม รู้สึกเบื่อก็ลาออกมาทำผ้าบาติกส่งขายตามตลาดน้ำ และชมรมแอโรบิก และสนใจเข้าอบรมในโครงการต้นกล้าอาชีพเรื่องการแปรรูปผักและผลไม้

เดิมทีก็ไม่ได้สนใจที่จะทำอาชีพนี้เลย พอมีปัญหาสุขภาพเลยต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ชอบกินก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แฟนจะซื้อมาให้กินทุกวัน เจ้านี้น้ำจิ้มอร่อยมาก ก็อยากทำกินเอง บอกอาจารย์ที่สอนต้นกล้าอาชีพสอนสูตรการทำน้ำจิ้มให้ แต่ทำแล้วก็ไม่อร่อยเท่าเจ้าที่แฟนซื้อมา พอกระแสอาหารเกาหลีดัง ก็เลยขอให้อาจารย์สอนการทำกิมจิ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพทำจากผัก และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อมีงานโอทอป ที่เมืองทองธานี มีการเชิญทางต้นกล้าอาชีพไปออกงาน เราก็เอาพวกมะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงอบแห้ง กิมจิสด ไปขาย ตอนแรกคิดว่ากิมจิสดคงขายไม่ค่อยได้ แต่ปรากฏว่ากลับขายดี หมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้เราเกิดไอเดียจากกระแสรักสุขภาพ ลูกค้าจะสนใจมาก ยิ่งช่วงเทศกาลกินเจจะขายดีมาก ๆ อร-ณัฐมณฑ์เล่า

จากนั้นก็เริ่มทำ กิมจิสด ออกขายที่ตลาดนัด กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้รับการตอบรับดีมาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นขยายต่อไปในที่ต่าง ๆ นอกจากนี้คุณอรยังมีอาหารเพื่อสุขภาพอื่น ๆ อีก อาทิ ขาเห็ดหอมคั่วสมุนไพร, เห็ดสวรรค์, ขาเห็ดหอมปรุงรส, ลูกชิ้นเห็ดหอมหัวบุก, มะขามป้อมแช่อิ่ม, มะขามป้อมแซบ, ส้มจี๊ด และบ๊วยสามรส

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ กิมจิสด หลัก ๆ ก็มี ตาชั่งเล็ก, เครื่องปั่น, เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลส, กะละมังปากกว้าง, ตะกร้า, มีดถาด,เขียง, ทัพพี, โหลมีฝาปิด, ถุงพลาสติก ฯลฯ

ส่วนผสม/วัตถุดิบ หลัก ๆ ก็มี ผักกาดขาวปลี หรือ ผักหางหงษ์, แครอทหัวใหญ่, หัวไชเท้า (หัวผักกาดขาว), ต้นหอม, ต้นกุยช่าย, กระเทียมปอกเปลือก, ขิงแก่สับ, พริกชี้ฟ้าแดงทั้งสด-แห้ง, ซอสพริก, ซอสมะเขือเทศ, น้ำตาลทราย, เกลือเม็ด-เกลือป่น และน้ำสะอาด





ขั้นตอนการทำกิมจิสด
เริ่มจากล้างผักทุกชนิดให้สะอาดก่อน แล้วนำผักกาดขาวปลีมาผ่าครึ่ง หั่นตามแนวยาวหยาบๆ ใส่ตะกร้าผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ตามด้วยต้นหอม กุยช่าย หั่นเป็นท่อนตามยาวขนาด 2 นิ้ว ส่วนแครอท หัวไชเท้า ปอกเปลือกล้างให้สะอาดแล้วหั่นตามขวาง และหั่นเป็นเส้นอีกครั้ง

ผสมเกลือเม็ดกับน้ำ คนให้ละลาย เสร็จแล้วนำผักที่หั่นเตรียมไว้ลงแช่พร้อมกัน ดองน้ำเกลือทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วบีบน้ำเกลือออก ตั้งพักไว้ก่อนในภาชนะที่สะอาด

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำเครื่องปรุงกิมจิ โดยการนำพริกชี้ฟ้าแห้งมาผ่าเอาเม็ดออก แล้วตัดเป็นท่อนสั้น ๆ นำไปต้มจนนิ่ม เสร็จแล้วก็เอาพริกชี้ฟ้าแห้งที่ได้ลงปั่นพร้อมกับขิงแก่สับ กระเทียม ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ จนละเอียด นำเครื่องปรุงที่ปั่นเสร็จแล้วผสมน้ำตาลทราย

ขั้นต่อไปเทเครื่อง ปรุงกิมจิที่ทำเสร็จแล้วลงผสมกับผักที่เตรียมไว้ในภาชนะปากกว้าง โรยเกลือป่นเพื่อเพิ่มรสชาติ แล้วทำการคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปใส่ลงภาชนะปิดมิดชิด หมักไว้นอกตู้เย็น 3 วัน จนมีรสเปรี้ยว หรือแบ่งใสถุงเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 1 เดือน

สำหรับราคาขายกิมจิสด ถุงใหญ่ 4 ขีด ราคา 50 บาท ถุงเล็ก 2 ขีด ราคา 35 บาท มีต้นทุนวัตถุดิบ ไม่รวมทุนเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ไม่เกิน 50% จากราคาขาย

การทำ-การขายอาหารแนวเพื่อสุขภาพนั้น กับ กิมจิสด สไตล์ไทย ๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่น่าสนใจ ซึ่งใครอยากติดต่อคุณอร-ณัฐมณฑ์ อยากได้กิมจิสด อาหารพื้นๆ ของเกาหลีแต่สไตล์คนไทย ไปลองลิ้มชิมรส หรือสั่งไปจำหน่ายต่อเป็น ช่องทางทำกิน ในอีกรูปแบบ ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 08-1805-8055.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3682
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 10:19 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,339. โมจิไส้สตรอเบอรี่





แม้แต่อาหารการกิน ขนม และเครื่องดื่ม ก็จำเป็นจะต้องสร้างจุดขาย เฟ้นหาความแตกต่าง เพราะนอกจากจะใช้เป็นจุดเรียกความสนใจได้แล้ว ก็ยังถือเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้อย่างดี อย่างเช่น โมจิไส้สตรอเบอรี่ อีกหนึ่ง ไอเดีย ช่องทางทำกิน

หญิง-จุติภัค ยังโนนตาด เจ้าของสูตร โมจิไส้สตรอเบอรี่ เล่าว่า เดิมทีทำงานเป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ ต่อมารู้สึกเบื่องานประจำ จึงพยายามมองหาลู่ทางที่จะหยิบจับทำธุรกิจของตัวเอง ก็เป็นคนชอบทานขนม และเคยชิมโมจิสดแล้วรู้สึกติดใจในรสชาติ ประกอบกับได้คำแนะนำจากเพื่อนที่รู้จักกันซึ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่น แนะนำว่าน่าจะลองทำดู จึงตัดสินใจฝึกหัดทดลองทำ และพยายามปรับสูตรเรื่อยมาจนลงตัว หลังจากนั้นก็เริ่มทดลองตลาดโดยนำไปฝากให้ผู้ใหญ่ที่รู้จักกันทดลองชิม ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี เมื่อทำขายจริงก็มียอดสั่งซื้อตลอด โดยยึดอาชีพนี้มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว






เจ้าของสูตรโมจิบอกอีกว่า การผลิตยังเป็นรูปแบบของอุตสาหกรรมในครัวเรือน ไม่มีหน้าร้าน และทำตามยอดสั่งซื้อจากลูกค้า เพราะเน้นผลิตโมจิแบบวันต่อวัน โดยจะไม่ทำค้างคืนเก็บไว้ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็มีทั้งที่นำไปเป็นของว่างรับแขกในงานเลี้ยง และมีทั้งที่ซื้อเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยโมจิสดของตนสามารถเก็บไว้นอกตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน แต่ถ้าแช่ตู้เย็นก็จะสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์

สำหรับไส้ขนมโมจิที่ทำอยู่เป็นประจำนั้น ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 12 ไส้ ได้แก่ เผือก, ชาเขียว, ถั่วแดง, ถั่วเหลือง, งาดำ, พุทรา, กาแฟ, ไดฟุกุ, ทุเรียน, โมจิสด, วิปปิ้งครีม และ สตรอเบอรี่ โดยเฉพาะอย่างหลังจะได้รับความสนใจค่อนข้างมาก และทำให้ลูกค้าจำยี่ห้อได้ดี แต่จะทำเฉพาะลูกค้าที่สั่งพิเศษเท่านั้น เพราะราคาของวัตถุดิบค่อนข้างจะสูงกว่าโมจิไส้อื่น ๆ ส่วนเหตุผลที่ทำโมจิไส้ผลสตรอเบอรี่นั้น ก็เพราะต้องการ ฉีกตัวเองออกไปจากตลาดคู่แข่ง และต้องการให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้ โดยใช้สตรอเบอรี่ 1 ผล ต่อโมจิ 1 ลูก ราคาขายคือ 30 บาท

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้เงินทุนประมาณ 30,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ ขณะที่ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ที่เริ่มต้นลูกละ 12 บาท ไปจนถึง 30 บาท





อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำ ประกอบด้วย เครื่องตีแป้ง, แม่พิมพ์กดลายโมจิ, ภาชนะและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในงานเบเกอรี่ สำหรับส่วนผสม ถ้าใช้แป้งผสมสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม จะใช้แบะแซ 1 กิโลกรัม, ถั่วแดงกวน 2 กิโลกรัม, น้ำสะอาด 900 กรัม, สีผสมอาหาร, กลิ่นสังเคราะห์, ผงไอซ์ซิ่ง และผลสตรอเบอรี่ 100 ลูก โดยสูตรนี้ทำโมจิได้ราว 100 ลูก

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแบะแซผสมรวมกับน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ในภาชนะ ต้มด้วยไฟกลาง ๆ และคนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมละลายตัว จากนั้นเติมสีและกลิ่นผสมอาหารที่เตรียมไว้ตามต้องการ คนต่อไปให้เข้ากัน เมื่อส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวแล้วให้ทำการเทแป้งลงในน้ำที่ผสมเสร็จ จากนั้นหรี่ไฟลงเล็กน้อย หรือใช้ไฟอ่อน ๆ ทำการคนแป้งให้เข้ากัน หรือกวนจนแป้งสุกร่อนไม่ติดหม้อ โดยต้องกวนให้ทั่ว ๆ หลังจากดูว่าส่วนผสมเข้าเนื้อกันดีแล้ว จึงนำมาเทออกใส่ภาชนะหรือถาด ทิ้งไว้ให้อุ่นพอปั้นได้ จากนั้นทำการนวดแป้งด้วยมืออีกครั้ง แล้วพักเตรียมไว้

สำหรับไส้สตรอเบอรี่นั้น จะห่อผลสตรอเบอรี่ด้วยถั่วแดงชั้นหนึ่งก่อน การทำไส้ถั่วแดง ก็นำถั่วแดงที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วแช่น้ำ แล้วนำมาปั่นละเอียดด้วยเครื่องปั่น จากนั้นนำไปผสมน้ำเทใส่ลงหม้อต้ม ใช้ไม้พายคนหรือกวนไปเรื่อย ๆ บนไฟอ่อน เติมรสตามชอบ เมื่อกวนจนไส้ถั่วแดงเหนียวได้ที่ ก็ตักพักไว้ในภาชนะเพื่อรอให้เย็นหรือเซตตัว

มาถึงขั้นตอนการปั้น ใช้ช้อนตักแป้งที่เตรียมไว้ออกมา ปั้นให้เป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำถั่วแดงมาหุ้มผลสตรอเบอรี่ที่เตรียมไว้ จากนั้นนำแป้งโมจิที่ปั้นไว้แผ่ออกและค่อย ๆ หุ้มลงบนผลสตรอเบอรี่ที่พอกด้วยถั่วแดง แล้วจึงปั้นหรือจัดแป้งให้เป็นรูปทรงกลม นำไปเข้าแม่พิมพ์เพื่อกดลาย ในกรณีที่ไม่ต้องการกดลายบนขนมโมจิ ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไป เมื่อได้แล้วก็ให้นำไปคลุกผงไอซ์ซิ่ง จากนั้นบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนไม่ยุ่งยากซับซ้อนมาก แต่ก็ต้องใช้เวลา โดยจุดเด่นของโมจิสดคือ ความเหนียวนุ่มของแป้ง เจ้าของสูตรโมจิสดไส้ผลสตรอเบอรี่กล่าว

สนใจ โมจิสดไส้สตรอเบอรี่ ต้องการติดต่อ หญิง-จุติภัค ติดต่อได้ที่ เลขที่ 88/15 ถนนเลียบทางด่วนวงแหวนประชาอุทิศ ทุ่งครุ กรุงเทพฯ โทร. 08-7455-3351, 08-1557-2421 ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกกรณีศึกษา อีกไอเดียเกี่ยวกับอาชีพค้าขายอาหารการกิน ที่พลิกแพลงดัดแปลงเพื่อสร้างจุดน่าสนใจ ได้อย่างน่าสนใจ.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3687
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,340. ไส้อั่วหน่อกะลา





ไส้อั่ว อาหารท้องถิ่นของภาคเหนือที่มีขายกันทั่วไป หากมีการประยุกต์สร้างจุดขายให้แปลกแตกต่างออกไป ก็สามารถสร้างจุดขายให้มีลักษณะเด่นยิ่งขึ้น กลายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ได้อย่างดี

ดวงใจ แสงงามปลั่ง ประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปไส้อั่วสวนนนท์ เผยไว้เมื่อตอนนำสินค้าร่วมแสดงในงานกาชาด จ.นนทบุรี เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า เป็นคนภูมิลำเนา อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี หลังเรียนจบก็ไปทำงานที่เชียงใหม่กับลำพูนประมาณ 3–4 ปี และแต่งงานที่นั่น ภายหลังก็คิดอยากกลับบ้านเกิด เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็ได้นำอาชีพทำไส้อั่วขายมาศึกษา เพราะครอบครัวของสามีมีอาชีพทำไส้อั่วขายอยู่แล้ว ซึ่งไส้อั่ว แคบหมู สำหรับคนเชียงใหม่นั้นถือเป็นอาหารพื้นบ้าน และตนเองได้เริ่มทำไส้อั่วเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่ จ.นนทบุรี เหมือนเริ่มต้นใหม่จากที่สามีเคยทำ ซึ่งสมัยนั้นการทำไส้อั่วขายไม่ค่อยมีคู่แข่ง ถ้ามีก็มีน้อยมาก โดยตนเองก็ได้ลองพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมา

ไส้อั่วที่ทำช่วงเริ่มต้นมี 2 แบบ คือ ไส้อั่วหมู ไส้อั่วปลา ต่อมาเพิ่ม ไส้อั่วหน่อกะลา ด้วย เพื่อสื่อความหมาย จ.นนทบุรี เพราะหน่อกะลาเป็นพืชสมุนไพรของเกาะเกร็ดที่มีแห่งเดียวในนนทบุรี จึงนำมาใส่เพื่อประยุกต์ และให้เป็นสินค้าของนนทบุรี ส่วนการพัฒนาวัตถุดิบอื่น คือใช้ตะโพกหมูล้วน ๆ ในการทำไส้อั่ว ไม่ใช้เศษหมู และวัตถุดิบที่สำคัญคือมันหมู

นอกจากนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบ จากที่เป็นวงใหญ่ ๆ กลายเป็นขดกลม ๆ ที่มีขนาดเล็กหน่อย เป็นในลักษณะค่อนข้างครึ่งวงกลม เพื่อจะช่วยเรื่องยอดจำหน่าย ให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น จึงคิดริเริ่มทำให้ขนาดเล็กลง

ดวงใจบอกอีกว่า สำหรับสูตรการทำไส้อั่วหมูกับไส้อั่วปลา ก็ไม่ได้ต่างกันมาก เพียงแต่บางคนชอบกินปลาเพราะมันจะนุ่มกว่าหมู ปลาที่ใช้ก็จะเป็นปลากรายกับปลายี่สก ถ้าใช้ปลากรายอย่างเดียวต้นทุนจะสูงมาก จึงนำปลาน้ำจืดชนิดอื่นมาผสมด้วย สาเหตุที่ต้องเป็นปลาน้ำจืด เพราะหากนำปลาน้ำเค็มมาผสมจะทำให้มีกลิ่นคาว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำก็มี เครื่องบดหมู เครื่องตีผสม เครื่องสุญญากาศ กะละมัง ทัพพี ถังน้ำ หม้อนึ่ง เครื่องบดพริก เตาแก๊ส กระทะ ฯลฯ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ก็มี หมูสันนอก มันแข็ง ไส้หมู น้ำพริกแกง ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผักชี ต้นหอม ใบมะกรูด และหน่อกะลา ซึ่งวัตถุดิบในการทำไส้อั่วหมูหน่อกะลา 10 กิโลกรัม จะมีดังนี้คือ หมูสันนอก 8 กิโลกรัม, มันหมูแข็ง 2 กิโลกรัม, หน่อกะลา 1-2 กิโลกรัม, พริกแกง 2.5 กิโลกรัม โดยเครื่องปรุงพริกแกงก็มี พริกแดงแห้งเม็ดใหญ่ 500 กรัม, หอมแดง 500 กรัม, กระเทียม 300 กรัม, กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ, ตะไคร้ 1 กิโลกรัม (ซอยเอาแต่เนื้ออ่อน ๆ)

ส่วนผสมเครื่องปรุงรส ก็มี ซีอิ๊วขาว 500 ซีซี., น้ำตาลทราย 300 กรัม, ผงปรุงรสรสหมู 300 กรัม และส่วนผสมอื่น ๆ ก็คือ ใบมะกรูด, ผักชี, ต้นหอม อย่างละพอประมาณ หากชอบสมุนไพรก็ใส่ใบโหระพาหรือผักชีฝรั่งเพิ่มได้

วิธีทำ นำเครื่องปรุงพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม กะปิ และตะไคร้ มาตำหรือบดรวมกันให้ละเอียด ก็จะได้เป็นพริกแกง จากนั้นนำหมู และมันหมู มาบดรวมกัน ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผงปรุงรสรสหมู ใบมะกรูด ผักชีและต้นหอม คลุกรวมกัน เสร็จแล้วนำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน กรอกส่วนผสมทั้งหมดลงไปในไส้หมูที่กว้าง 1 นิ้วครึ่ง ยาว 7 นิ้ว โดยใช้เครื่องบดน้ำพริกในการบรรจุ (ตัวเครื่องสามารถใส่กรวยเพื่อกรอกไส้อั่วได้) เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงมัดปลายทั้ง 2 ข้างโดยการบิดไส้หมูให้เป็นเกลียว เสร็จแล้วนำไปนึ่งให้สุก และนำไปผึ่งให้แห้ง การทำเป็นไส้อั่วหน่อกะลา ก็นำหน่อกะลามาซอยและผสมลงไปด้วย ปริมาณ 2 กิโลกรัม ถ้าไม่ชอบหน่อกะลามากก็ให้ใส่แค่ประมาณ 1 กิโลกรัม

ขั้นตอนสุดท้าย ใส่ถุงเก็บไว้ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง ซึ่งระยะเวลาของการเก็บรักษานั้น จะเก็บไว้ได้ประมาณ 1 เดือน

ดวงใจบอกเคล็ดลับเพิ่มเติมว่า การทำไส้อั่ว ต้องหนักตะไคร้ และใบมะกรูด เพราะกลิ่นมันจะหอม ส่วนในการทำไส้อั่วปลา ก็จะลดปริมาณหมู คือจะใช้ปลา 5 กิโลกรัม และหมู 3 กิโลกรัม

สำหรับราคาขายไส้อั่วเจ้านี้ จะขายขีดละ 30 บาท หรือกิโลกรัมละ 300 บาท โดยมีต้นทุนราว 200 บาทขึ้นไป

สนใจเรื่อง ไส้อั่วหน่อกะลา ติดต่อ ดวงใจ แสงงามปลั่ง ติดต่อได้ที่ 92/41 หมู่ 9 บางเลน ซอย 10 ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ต.บางเลน อ.บางใหญ่
จ.นนทบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 08-9660-0768 และ 08-1869-4780.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3663
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,341. เครื่องประดับ กะลามะพร้าว





ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว ณ บ้านเขาสว่างวงษ์ ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ด้วยการสนับสนุนของท้องถิ่น กระทั่งส่งให้ผลงานได้รับรางวัลโอท็อป 4 ดาว มีออเดอร์อย่างต่อเนื่อง สร้างชื่อเสียงให้พื้นที่ อีกทั้งสร้างรายได้ให้ชุมชน

นางละมัยเล่าให้ฟังว่ากลุ่มเกิดขึ้นปี 2546 โดยมีสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน จำนวน 22 คน ผลิตสินค้าซึ่งเน้นเครื่องประดับจากกะลามะพร้าวออกจำหน่าย ต่อเมื่อปี 2548 ผลิตภัณฑ์กลุ่มได้รับรางวัลโอท็อป 4 ดาวของจังหวัด หรือหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ผลพวงต่อจากนั้น จึงทำให้กลุ่มต้องเดินสายออกไปเปิดบูธโชว์ผลงานตามที่ทางราชการกำหนด โดยเฉพาะการไปเปิดบูธขายที่เมืองทองธานีในปีดังกล่าว ผลิตภัณฑ์กลุ่มทำรายได้นับแสนบาท ซึ่งปัจจุบันรายได้ลดลงมาก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ยังอยู่ในระดับหลักหลายหมื่นบาทต่อการออกบูธแต่ละครั้ง





ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวของ กลุ่ม นอกเหนือจากเครื่องประดับ อาทิ สายสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู เข็มขัด ในหลากหลายลวดลายแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นของใช้ อาทิ ที่เสียบปากกา กล่องใส่กระดาษทิชชู โคมไฟ กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าหิ้ว และพวงกุญแจ ซึ่งผลงานทุกชิ้น เราประณีตพิถีพิถันมาก ที่สำคัญราคาไม่แพงเกินคุณภาพ โดยสนนราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 10-300 บาท/ชิ้น ประธานกลุ่มแจง และด้วยความสวยงาม หลากสไตล์ ราคายุติธรรม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอยอมรับว่าแม้ช่วงนี้รายได้จะตกลงไปบ้าง แต่ในการออกบูธตามงานต่างๆ ปัจจุบันก็ยังมีรายได้อยู่ที่ 4-5 หมื่นบาท





ขณะที่บรรดาสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตชิ้นงาน นางละมัยบอกว่าก็จะมีรายได้ตกวันละ 150-200 บาท แล้วแต่ว่าจะผลิตชิ้นงานได้มากหรือได้น้อย และมีความถนัดในการทำผลิตภัณฑ์ชนิดไหน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานสำคัญ อย่างยิ่งมหกรรมงานแสดงสินค้าโอท็อปประจำปี ออเดอร์จะล้นมือ ดังนั้น สมาชิกกลุ่มจึงต้องเร่งมือผลิตกันทั้งกลางวันกลางคืน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่มได้ส่งไปขายยังประเทศสวีเดน และสหรัฐอเมริกา โดยผ่านพ่อค้าคนกลางที่จะมาสั่งผลิตและนำไปติดแบรนด์ของตัวเอง

กะลาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่นำมาผลิตเป็นเครื่องใช้ เครื่องประดับนั้น ต้องเป็นกะลาน้ำเค็ม เป็นกะลาที่แก่เต็มที่ และต้องเป็นกะลาตัวผู้ซึ่งมีตา 3 ตา กลุ่มจะซื้อมาจากภาคใต้ในราคากระสอบละ 150 บาท โดยจะครั้งละคันรถปิกอัพ ทว่า ผลิตภัณฑ์งานฝีมือที่สวยงามก้าวมาถึงสินค้าที่การันตีโอท็อป 4 ดาวขอจังหวัดได้ นางละมัยบอกว่า เพราะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สนามแจง และต.สนามแจง ที่ได้ประสานกับจังหวัดในด้านการพัฒนาฝีมือของสมาชิก อีกทั้งการหาตลาดรองรับ

การไปออกงานแต่ละครั้งต้องใช้ทุนมาก อยากให้ อบต. หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนเงินทุนเพื่อผลิตสินค้าออกไป จำหน่าย เพราะผลงานของกลุ่มได้สร้างชื่อเสียงให้กับตำบล อำเภอ จังหวัด มานานเกือบ 10 ปี ก็อยากให้เข้ามาดูแลเราด้วย ประธานกลุ่มฝากถึงผู้เกี่ยวข้อง ด้าน นายนรินทร์ เพ็รเจริญ กำนันตำบลสนามแจง กล่าวว่า ตำบลได้ช่วยกันผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว อย่างยิ่งการหาตลาดด้วยการนำไปออกงาน ส่วนเรื่องเงินทุนตำบลได้ประสาน อบต.ขอการสนับสนุน และได้ประสาน อ.บ้านหมี่ สนับสนุนเรื่องการส่งออกผลิตภัณฑ์อีกทาง โดยปัจจุบันกลุ่มใช้บ้านพักอาศัยของนางละมัย บ้านเลขที่ 211 หมู่ 4 ต.สนามแจง เป็นศูนย์กลางกลุ่ม



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3673
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:21 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,342. อาชีพเลี้ยง ไก่ไข่





โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย”ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ทั้งการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ และสุกร ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ได้ส่งเสริมเพื่อเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร

ด้วยลักษณะทางภูมิประเทศและภูมิอากาศ ที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ของประเทศไทย ประชากรไทยเกินครึ่งของประเทศจึงยึดอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่นเดียวกับทักษะความสามารถในการทำการเกษตรที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นตามภูมิปัญญาชาวบ้านในรูปแบบเดิม ๆ ที่อาจพอเพียงต่อการดำรงชีวิต แต่ยังไม่เพียงพอในเชิงธุรกิจ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของราคาผลผลิตเกษตรบ้านเรา ก็ถือเป็นอุปสรรค และเป็นความเสี่ยงสำคัญของเกษตรกรไทย






หากเกษตรกรไทยได้รับการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีการผลิตอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ผนวกกับภูมิปัญญาเดิมที่มี ย่อมส่งผลให้การผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปัญหาด้านความเสี่ยงของราคาผลผลิต ถ้าหากมีหน่วยงานหรือแหล่งรับซื้อผลผลิตมารองรับก็จะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการตลาดส่งผลให้เกษตรกรไทยมีรายได้ที่แน่นอน เกิดความมั่นคงในอาชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมา

โครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ทั้งการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ และสุกร ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ได้ส่งเสริมเพื่อเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้ที่บ้านไม่ต้องอพยพครอบครัวออกไปหางานทำที่อื่น และสามารถใช้ที่ดินของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการลงทุนในโรงเรือนและอุปกรณ์ โดยใช้แรงงานภายในครอบครัว และสามารถทำอาชีพเสริมอย่างเช่นการปลูกผัก หรือการเลี้ยงปลา เพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัว ทั้งนี้ เกษตรกรที่ร่วมโครงการส่งเสริมกับซีพีเอฟจะได้รับพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยา และวัคซีนคุณภาพสูง ที่บริษัทเป็นผู้จัดหาให้ ขณะเดียวกันเกษตรกรยังได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งเกษตรกรจะได้รับความรู้ คำแนะนำปรึกษา และร่วมวางแผนการผลิตโดยทีมนักวิชาการของบริษัท

นายวิง บุญเกิด เจ้าของบุญเกิดฟาร์มเลขที่ 136/2 หมู่ 1 ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จมากว่า 13 ปี กับอาชีพเลี้ยงไก่ไข่กับซีพีเอฟ จากจุด เริ่มต้นที่เรียกว่าล้มลุกคลุกคลาน กระทั่งหยัดยืนอยู่ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ไข่ได้อย่างภาคภูมิ

เดิมผมทำอาชีพเลี้ยงปลาช่อน ต่อมาราว ๆ ปีพ.ศ. 2534 ได้เริ่มต้นเลี้ยงไก่ไข่แบบอิสระ แต่ต้องยอมรับว่าการตลาดมีความผันผวนสูงมาก บางช่วงราคาดี บางตอนราคาตก สลับกันอยู่อย่างนี้ ทำให้มีรายได้ไม่แน่นอนเพราะเราจะต้องรับภาระความเสี่ยงด้านการตลาดเอง ตอนนั้นเรียกว่าท้อจนเกือบจะถอยอยู่แล้ว แต่เพราะมีผู้บริหารของซีพีเอฟยื่นมือเข้ามาช่วย และแนะนำว่าให้เข้าโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่แบบประกันราคา เมื่อประมาณปี พ.ศ.2541 ซึ่งผมถือเป็นเกษตรกรรุ่นบุกเบิกในระบบนี้ ผมตัดสินใจตกลงทันที จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน การตัดสินใจของตัวเองในคราวนั้นไม่ทำให้ผมผิดหวัง เพราะเป็นการพลิกชีวิตของตัวเองจากติดลบกลายเป็นยืนได้มั่นคงอย่างทุกวันนี้ นั่นเพราะเราไม่ต้องเสี่ยงในการผลิตเลย บริษัทจัดหามาให้หมดทั้งพันธุ์ไก่ อาหาร ยา ในราคาประกัน ทั้งยังส่งสัตวบาลมาดูแล ที่สำคัญคือเขาเข้ามารับทุกความเสี่ยงแทนเราโดยเฉพาะด้านการตลาด สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือความใส่ใจในการดูแลไก่ไข่ของเรา ให้ผลิตไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ซึ่งนั่นเท่ากับรายได้ที่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับตัวเราเป็นผู้กำหนด ทุกวันนี้สามารถคำนวณรายได้ต่อวัน ต่อเดือน ต่อปีของเราได้เลย เกษตรกรตัวอย่างเล่าย้อนอดีตด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

รายได้จากการขายไข่ไก่ จากแม่ไก่ไข่ 54,000 ตัว ที่ให้ผลผลิตมากกว่า 50,000 ฟองต่อวัน รวมกับ รายได้จากการจำหน่ายปลานิลและปลาดุกที่เลี้ยงในบ่อข้างเล้าไก่ปีละกว่า 200,000 บาทและรายได้จากการขายมูลไก่สด ให้กับพี่น้องชาวไร่ชาวนาในชุมชน เดือนละกว่า 50,000 บาท น่าจะเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จจากความอุตสาหะพยายามของเกษตรกรผู้นี้ และความสำเร็จของระบบที่ซีพีเอฟเข้ามารับความเสี่ยงแทนเกษตรกรได้เป็นอย่างดี.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3705
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:24 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,343. ปลูกบัว เสริมรายได้





ความที่มีใจรักเป็นทุนเดิม แม้จะไม่สันทัดเรื่องการเลี้ยงบัวมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ น้าลักขณา พวงเพ็ชร์ หญิงวัยกลางคน ที่วันนี้หันมายึดอาชีพเลี้ยงบัวขายเป็นงานเสริมมากว่า14 ปีแล้ว

ลักขณา เล่าว่าส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบบัวเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้ทดลองนำมาปลูกที่บ้านเป็นบัวผัน พันธุ์พลายชมพู แรก ๆ ก็มีไม่กี่ต้น จากนั้นได้ซื้อหาบัวพันธุ์แปลก ๆ มาปลูกเพิ่มเรื่อย ๆ จนมากถึงขนาดไม่มีที่จะเก็บ และต้องนำออกขาย ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำเป็นอาชีพมาก่อน

บัวที่น้าเลี้ยงอยู่ เป็นบัวประดับสำหรับเลี้ยงในอ่างสวยงามหรืออ่างเลี้ยงปลา เช่น บัวฝรั่งพันธุ์เอลิซิอาน่า กลอลิโอซ่า ไดเร็คเตอร์ ซึ่งไม่ใช่บัวหลวงที่เขาปลูกในพื้นที่นาขนาดใหญ่ อย่างนั้นเขาปลูกไว้ขายบูชาพระ แต่บัวประดับที่น้าทำอยู่นี้สามารถปลูกได้ในพื้นที่จำกัด ที่บ้านน้าก็ปลูกในพื้นที่แค่ 180 ตารางวาเท่านั้น แต่สามารถทำรายได้เสริมได้เดือนละ 4,000 บาท

การปลูกบัวประดับใช้เวลาไม่มาก ถ้าเรารู้หลักการประมาณ 1 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว ซึ่งมีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ 1. ต้องปลูกให้ได้แดดวันละ 4-5 ชั่วโมง 2. น้ำในอ่างบัวต้องสะอาดหมั่นเด็ดใบบัวเน่าและตะไคร่ออกเสมอ 3. ใส่ปุ๋ยเร่งดอก 2-3 สัปดาห์ครั้ง และ 4. ถ้าเข้าหน้าหนาวช่วงเดือน ธ.ค. อากาศเย็นจะทำให้บัวพักตัว ไม่ออกดอกผลิตใบเราก็ต้องมีเทคนิคด้วยการใช้ดินและทรายกดหัวบัวลงใต้ดินเมื่อผ่านไป 3 สัปดาห์บัวก็จะออกดอกใหม่อีกครั้ง

ที่สำคัญการปลูกบัวนั้นแม้จะใช้เวลาไม่มาก แต่ก็ต้องใช้ความใจเย็น และต้องรู้จักหาตลาดรองรับเพราะเดี๋ยวนี้คนนิยมทำกันไม่น้อย เราจึงต้องหาพันธุ์บัวใหม่ ๆ มาปลูก และต้องหมั่นดูแลตามที่บอกไปแล้ว เท่านี้เราก็จะได้ดอกบัวประดับที่มีสีสันสวยงาม แปลกตาแถมดอกใหญ่อีกด้วย

กว่าจะรู้ว่าบัวเขาปลูกกันอย่างไรให้ได้ดอกสวยงาม ก็ลองผิดลองถูกมา 2 ปี มันก็เหมือนกับเวลาที่เราจะทำอะไรสักอย่างย่อมต้องศึกษาให้รู้จริง นี่น้าตั้งใจว่าจะนำบัวที่ปลูกส่งไปประกวดในเทศกาลบัวของจังหวัดปทุมธานีเหมือนกัน น้าลักขณา บอกเล่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า ตั้งใจว่าจะปลูกบัวขายไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งอาจจะขายได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้นำบัวมาถวายพระทำแล้วมันสุขใจค่ะ.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3710
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,344. ผลิตยาสมุนไพร รายได้เสริม





กลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นอีกกลุ่มอาชีพหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มกันตามอุดมการณ์สหกรณ์ คือ ผลิตยาเม็ดลูกกลอนสมุนไพร ที่เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และพัฒนาต่อยอดจนได้รับ มาตรฐานสินค้าสหกรณ์ (สมส.)

กลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ ต.เกาะเกิด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นอีกกลุ่มอาชีพหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มกันตามอุดมการณ์สหกรณ์ คือ การช่วยตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมกันดำเนินการ ผลิตยาเม็ดลูกกลอนสมุนไพร ที่เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และพัฒนาต่อยอดจนได้รับ มาตรฐานสินค้าสหกรณ์ (สมส.) จากกรมส่งเสริมสหกรณ์ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างแพร่หลายสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 130,000 บาทต่อเดือน






นางลำพูน พรรณไวย ประธานกลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ หรืออีกฐานะหนึ่งที่คนในตำบลเกาะเกิดรู้จักดีในฐานะอดีตผู้ใหญ่บ้านรางวัลแหนบทองหลายสมัย ได้กล่าวถึงที่มาของกลุ่มสตรีสหกรณ์ฯ แห่งนี้ว่า บรรพบุรุษของตนเองนั้นมีการถ่ายทอดเรื่องภูมิปัญญาสมุนไพรยาลูกกลอนต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งสามารถพิสูจน์ผลลัพธ์มาด้วยตนเองเมื่อครั้งที่ป่วยหนักเมื่อปี 2535 ด้วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด มีอาการของโรคไต อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง เข้าออกโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา รักษาไม่หาย คุณแม่จึงนึกถึงตำรับยาของคุณตาที่เป็นหมอโบราณ จึงนำตำรับยานี้มาปรุงให้กิน ซึ่งตัวยาหลัก ๆ ประกอบด้วย มะกรูด ใบขี้เหล็ก พริกไทยดำ กระเทียมโทน เกลือ และ ยาดำ โดยให้กิน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน ของหมอต่อเนื่องทุกวัน ทำให้อาการป่วยของดิฉันค่อย ๆ ดีขึ้น จนไม่ต้องกินยาแผนปัจจุบัน และได้กินยาตำรับคุณแม่ต่อจนครบสามปีอาการป่วยก็หายไป ร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิม






จนกระทั่งมีคนสนใจกันมาก ก็เลยมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ชาวบ้านโดยเฉพาะผู้หญิงสูงอายุในชุมชนที่อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นหลัก จะได้มีงานทำ มีรายได้เสริมให้ครอบครัว ประกอบกับทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เข้ามาส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะขึ้นมา ซึ่งสามารถรวมสมาชิกได้จำนวน 37 คน และสนับสนุนงบประมาณในการจัดสร้างโรงเรือนด้วย กลุ่มสตรีสหกรณ์ฯ ได้ดำเนินการตามหลักการและวิธีการสหกรณ์ มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตั้งแต่เตรียมสมุนไพร นึ่งสมุนไพร ปั้นสมุนไพร และแบ่งค่าแรงเป็นรายได้ให้แต่ละคนประมาณคนละ 165-200 บาทต่อวัน และมีเงินปันผลให้ทุก ๆ 2 ปี





จากยาสมุนไพรอายุวัฒนะที่เป็นเพียงภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาเฉพาะในเครือญาติของผู้ใหญ่ลำพูนเท่านั้น แต่ในวันนี้ได้ขยายเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มสตรีสหกรณ์ฯ อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยมีการพัฒนายาตามข้อกำหนดของ อย. มีเลขทะเบียนยากำกับ และมีเภสัชกรแผนโบราณเป็นผู้ควบคุมการผลิต ได้จดทะเบียนอนุสิทธิบัตรและภูมิปัญญาท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญคือการได้รับการรับรองให้เป็นสินค้ามาตรฐานสหกรณ์ ที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ายาลูกกลอนสมุนไพรที่ผลิตจากกลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ มีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย

ปัจจุบันกลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ มีการดำเนินการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ตามแนวทางสหกรณ์อย่างแท้จริง และมีการปันผลให้สมาชิกอย่างเหมาะสม มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันในระหว่างเครือข่ายสหกรณ์ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด และช่วยขยายตลาดสินค้าสหกรณ์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงินทองมาเป็นข้อจำกัด.

หากผู้ใดสนใจยาสมุนไพรอายุวัฒนะ หรือต้องการไปเยี่ยมชมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับกลุ่มสตรีสหกรณ์สมุนไพรอายุวัฒนะ ติดต่อได้ที่โทรศัพท์ 08-1372-6038 และ 0-3570-2671



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3723
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,345. แกงมัสมั่น อาหารไทย





แกงมัสมั่น ราชาแห่งแกงเผ็ด คว้าแชมป์อาหารอร่อยที่สุดในโลก เอาชนะคู่แข่งจาก 49 เมืองทั่วโลก ด้าน พาณิชย์ เดินหน้าเต็มสูบ ครัวไทยสู่ครัวโลก กลายเป็นเมนูระดับโลก สำหรับแกงมัสมั่นของไทย หลังจากเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นโก เว็บไซต์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวร้านอาหารและวัฒนธรรมที่น่าสนใจจากทั่วโลกของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สื่อรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการจัดอันดับสุดยอดอาหารอร่อย 50 อันดับ เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า แกงมัสมั่น อาหารของไทยได้รับการลงคะแนนให้เป็นอาหารอร่อยเป็นอันดับ 1 เอาชนะตำรับอาหารรสเด็ดจากชาติต่าง ๆ อย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก โดยชาวต่างชาติถึงกับยกย่องให้เป็น ราชาแห่งแกงเผ็ด เนื่องจากมีส่วนผสมที่ลงตัวของรสชาติหวาน เค็ม เผ็ด และหอมมันจากกะทิ

เกี่ยวกับความเอร็ดอร่อยที่สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก วันที่ 25 ก.ค. นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ เร่งส่งเสริมอาหารไทยชนิดอื่น เพื่อผลักดันให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้น ทั้งในด้านรสชาติ และโภชนาการตามยุทธศาสตร์ ครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าอาหารไทย และวัตถุดิบในการส่งออกไปต่างแดน ขณะเดียวกันจะช่วยส่งเสริมแม่ครัว พ่อครัวไทยไปทำงานตามร้านอาหารต่างประเทศมากขึ้น

ด้านนายปณิธิ อุทัยรัตน์ ผอ.สำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า กรมฯจะใช้กระแสขณะที่แกงมัสมั่นกำลังโด่งดังเร่งประชาสัมพันธ์อาหารไทยชนิดอื่น เช่น ไก่ห่อใบเตย กระทงทอง กะเพราไก่ และบัวลอย ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีส้มตำ ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน และผัดไทยที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เพื่อเป็นการขยายตลาดอาหารไทย และส่งเสริมการส่งออกสินค้ากลุ่มวัตถุดิบ เครื่องปรุง เครื่องแกง อาหารกระป๋อง ผักสดของไทยไปต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา เอเชีย ยุโรป ตะวัน ออกกลาง และออสเตรเลีย มากยิ่งขึ้น

ที่ผ่านมาชาวต่างชาตินิยมอาหารไทยมาก เพราะมีรสชาติกลมกล่อม หวาน มัน เค็มพอดี แต่อาจจะให้ปรับรสเผ็ดให้ลดลงบ้างเพราะชาวต่างชาติไม่นิยม เชื่อว่าอนาคตอาหารไทยจะได้รับความนิยมมากกว่านี้อีก เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังมีส่วนประกอบจากสมุนไพร เครื่องเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และกำลังอยู่ในกระแสที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสนใจซื้อหาไปรับประทาน

นายปณิธิ กล่าวต่อว่า เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลอกเลียนแบบแกงมัสมั่น หรือมีการปรุงแต่งจนรสชาติผิดเพี้ยนจากเดิม กรมฯจะเพิ่มความเข้มงวดในการออกตรวจร้านอาหารไทยในต่างแดน พร้อมกับส่งเสริมร้านอาหารไทยในต่างแดนให้ใช้ตราสัญลักษณ์ไทยซีเล็คท์ เพื่อส่งเสริมใช้เครื่องปรุงไทย และประกอบอาหารให้ตรงสูตรต้นตำรับของไทยให้มากที่สุด ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มตราไทยซีเล็คท์ ให้ร้านอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี 1,200 แห่ง

ขณะที่นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า แกงมัสมั่นเป็นสูตรอาหาร ทำให้ไม่สามารถจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตรได้ เพราะไม่ใช่ของใหม่ หรือมีขบวน การผลิตที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งมีต้นแบบจากอินเดียแต่มีการนำมาปรุงแต่งจนเป็นที่นิยมในไทยและสร้างชื่อในต่างประเทศมาหลายร้อยปีแล้ว หากจะให้เกิดการคุ้มครองก็ต้องมีหน่วยงานด้านอาหารรับรองคุณภาพอาหาร และจดเป็นเครื่องหมายรับรองแทน

ส่วนนางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ททท. มีนโยบายหลักใช้อาหารไทยเป็นจุดขายในการประชา สัมพันธ์ให้คนต่างชาติมาเที่ยวไทยอยู่แล้ว แต่เมื่อแกงมัสมั่นได้รับเลือกให้เป็นราชาอาหาร เป็นเมนูยอดฮิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก ททท. ก็จะคงหยิบเมนูแกงมัสมั่น มาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อาหารไทยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวตามงานเทรดโชว์ โรดโชว์ต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต

ช่วงที่ผ่านมา ททท. เพิ่งจับมือกับสถานทูตในยุโรป จัดงานไทยแลนด์ เฟสติวัล มีการนำอาหารไทยไปเป็นจุดขายในงาน เพราะอาหารไทยเป็นจุดแข็งที่คนทั่วโลกชื่นชอบ โดยมีการเปิดบูธให้คนที่ร่วมงานได้ชิมอาหารไทย พร้อมสาธิตการทำอาหารยอดนิยม เช่น ส้มตำ ผัดไทย แต่งานที่จะจัดหลังจากนี้อาจจะมีแกงมัสมั่นให้ชิม หรือสาธิตทำให้ดูด้วย

รองผู้ว่าการ ททท. กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ติดกันเป็นปีที่ 3 จากนิตยสารเทรเวล แอนด์ เลชเชอร์นั้น ททท. คงจะใช้กรุงเทพฯ โปรโมตให้คนต่างชาติที่ไม่เคยมาไทย อยากมาเที่ยวไทยมากขึ้น ล่าสุดเพิ่งจับมือกับมาสเตอร์การ์ด จัดทำแคมเปญพิเศษ สต็อป โอเวอร์ บางกอก ร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวในออสเตรเลีย จัดแพ็กเกจให้คนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่จะไปเที่ยวอังกฤษ หรือคนอังกฤษ ที่จะมาเที่ยวออสเตรเลีย และนิว ซีแลนด์ แวะผ่านมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก่อนระหว่างต่อเครื่องในไทย ขาไป หรือขากลับ โดยมีส่วนลดพิเศษสำหรับการใช้บริการที่พัก ร้านอาหาร และการแสดงให้จูงใจ ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ เข้าไทยได้ 150,000 คน หรือ 5% ของจำนวนผู้มาใช้บริการแวะต่อเครื่องบินในไทย ที่มี 3 ล้านคนต่อปี

คนต่างชาติที่มาเที่ยวไทยปีก่อน เกือบ 16 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยมาไทยแล้ว และกลับมาเที่ยวไทยซ้ำอีก ททท. จึงหวังใช้จุดแข็งเรื่องที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ดึงคนที่ยังไม่เคยเลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว ให้มีโอกาสแวะมา เพื่อที่อนาคตคนกลุ่มนี้จะตั้งใจกลับมาเที่ยวไทยอีก

ขณะเดียวกันเว็บไซต์ข่าว วอลล์สตรีท ออนไลน์ รายงานว่า ทริป แอ๊ดไวเซอร์ (อาร์) เว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก รายงานเรื่องผลการวิจัยเรื่องดัชนีท่องเที่ยว โดยเปรียบเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายตามเมืองสำคัญทั่วโลกกับในอังกฤษ เมื่อพิจารณาจากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษในขณะนี้ และดัชนีท่องเที่ยวนี้ได้ประเมินโดยอาศัยข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายใน 1 คืน จากปัจจัยด้านที่พักโรงแรมระดับ 4 ดาว อาหารทั่วไป 1 จาน เช่น พิซซ่า เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1 แก้ว เช่น ดราย มาร์ตินี่ และค่าแท็กซี่ 1 เที่ยวในแต่ละจุดหมาย ผลปรากฏว่า กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยสามารถ เอาชนะคู่แข่ง 49 เมืองทั่วโลกว่า เป็นเมืองที่คุ้มค่าเรื่องค่าใช้จ่ายมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ โดยยอดรวมค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 69 ปอนด์ (ประมาณ 3,450 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 50 บาทต่อ 1 ปอนด์) และเมืองที่ค่าใช้จ่ายแพงที่สุดกลับเป็นกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 268 ปอนด์ (ประมาณ 13,400 บาท) ซึ่งสูงเกือบ 4 เท่าเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ในส่วนของสหราชอาณาจักรนั้น กรุงเบลฟาสต์ เป็นเมืองที่คุ้มค่าที่สุด ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 107 ปอนด์ (ประมาณ 5,350 บาท) น้อยลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดในสหราชอาณาจักร

เรืออากาศโทสุพล อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการฝ่ายครัวการบิน บริษัท การบินไทย เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก และเชื่อว่า ต่อไปผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทย จะถามหาเมนูมัสมั่นมากขึ้น ซึ่งจะประสานไปยังฝ่ายนำอาหารขึ้นเครื่องบินให้นำเสิร์ฟบนเครื่องให้มีความถี่ขึ้น จากที่ผ่านมาทางการบินไทยก็มีเสิร์ฟบนเครื่องอยู่แล้ว ที่ผ่านมาได้จัดทำผลิตภัณฑ์เอื้องหลวง โดยทำน้ำแกงพร้อมปรุง สูตรเฉพาะของครัวการบินไทย มี 7 เมนู คือ แกงมัสมั่น แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด พะแนง แกงกะหรี่ ฉู่ฉี่ และซอสสามรส ซึ่งได้ส่งออกขายให้แก่อุตสาหกรรม ครัวการบินของการบินไทยในต่างประเทศตามสถานีการบินต่าง ๆ เช่น สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต สนามบินอินชอน สนามบินโอซากา สนามบินนาริตะ สนามบินซูริก สนามบินเอเธนส์ สนามบินปารีส โดยน้ำแกงที่ยอดฮิตสุดคือ แกงมัสมั่น แกงเขียวหวาน แกงกะหรี่ อย่างไรก็ตามขณะนี้ต่างประเทศได้สั่งน้ำแกงพร้อมปรุงจากครัวการบินไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่า ต่างประเทศสนใจอาหารไทยมากขึ้น และการบินไทยก็ภูมิใจที่ได้จัดทำน้ำแกงพร้อมปรุงขึ้นมา เนื่องจากจะได้เป็นมาตรฐานของอาหารไทย เพราะที่ผ่านมากว่าจะจัดทำสำเร็จ ก็ได้มีการทดลองอยู่หลายครั้งเพื่อให้ได้มาตรฐานอาหารไทยมากที่สุด

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า หลังจากที่กรุงเทพฯ ได้รับรางวัล กรุงเทพมหานคร เมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2554 World’s Best City Award 2011 เมื่อวัน ที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการได้รับเกียรติ จากนักท่องเที่ยวและผู้อ่าน เทรเวล แอนด์ เลชเชอร์ นิตยสารท่องเที่ยวยอดนิยมของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง กทม.ได้รับรางวัลนี้มาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 51 ต่อมาในปี 53 และหลังจากนี้ กทม.มุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว โดยชูนโยบาย กรุงเทพฯเมืองยิ้ม หรือ Bangkok Smiles 5 ด้าน ประกอบด้วย เสน่ห์ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม, เสน่ห์ด้านวิถีชีวิตริมสายน้ำเจ้าพระยา, เสน่ห์ด้านอาหารที่เป็นเลิศ, เสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ ความคุ้มค่าของเงิน นักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายท่องเที่ยวในกรุงเทพฯได้อย่างคุ้มค่าเงินมากกว่าที่อื่น ๆ.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3731
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,346. ปลูกหม่อนไหม เสริมความงามสู่ตลาดโลก





ในโลกปัจจุบัน ความต้องการเส้นไหมดิบของโลกประมาณ 132,434 ตันต่อปีในประเทศไทยผลิตเส้นไหมดิบได้เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ในด้านสิ่งทอของไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก ไหมไทยอยู่คู่เศรษฐกิจไทยมานาน

ในโลกปัจจุบัน ความต้องการเส้นไหมดิบของโลกประมาณ 132,434 ตันต่อปีในประเทศไทยผลิตเส้นไหมดิบได้เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ในด้านสิ่งทอของไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก ไหมไทยอยู่คู่เศรษฐกิจไทยมานาน ถ้าคิดมูลค่าเท่ากับร้อยละ 2 ของตลาดโลกและอยู่อันดับที่ 5 ของรายได้ ร้อยละ 85 ของประเทศจีน ที่เหลือเป็นของประเทศอินเดีย เกาหลี บราซิล สหรัฐอเมริกา ผ้าไหมไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมในการแต่งกายที่สืบสานกันมาช้านานมากว่า 3,000 ปีโดยมีแหล่งสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและขยายไปยังภาคเหนือตอนบน ในประเทศไทยมีเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 330,397 ครัวเรือน ร้อยละ 80 เป็นเกษตรกรระบบรากหญ้า เลี้ยงไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านร้อยละ 2.07 เลี้ยงไหมลูกผสม และรังขาวขายรังให้บริษัท สาวไหมเลี้ยง 8 รุ่น ต่อปี ซึ่งการเลี้ยงไหมร้อยละ 90 อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลิตเส้นไหมได้ 1,746 ตัน แยกเป็นสาวด้วยมือ 1,260 ตัน สาวด้วยเครื่อง 4,669 ตัน ต่อมาภาวะขาดแคลนเส้นไหมลดลง ทำให้เส้นไหมในตลาดโลกลดลงเรื่อย ๆ มีผลกระทบต่อเส้นไหมในประเทศ เกษตรกรต้องประสบภาวะผันผวนของราคาเส้นไหม รัฐบาลช่วยเหลือโดยการกำหนดนโยบายนำเข้า ส่งเสริมและอบรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแผนใหม่เพื่อลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมคุณภาพเส้นไหมให้ดีขึ้น แยกการผลิตออกเป็น 2 ประเภท

ประเภทที่ 1. ไหมสาวด้วยมือ เกษตรกรจะเลี้ยงพันธุ์ไหมไทยพื้นบ้านเป็นไหมหัตถกรรม

ประเภทที่ 2. สาวไหมด้วยเครื่องเชิงพาณิชย์ ลงทุนสูงเน้นไหมลูกผสมไทยและต่างประเทศ ที่ให้ผลผลิตสูงเป็นไหมอุตสาหกรรม ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯให้ตั้งโครงการฝึกศิลปาชีพภายในสวนจิตรลดา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รับลูกหลาน ของข้าราชบริพารและแม่บ้านจากชนบทมาฝึกหัดศิลปาชีพหัตถกรรม โดยเริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อนไหม สาวไหม ฟอกกาวไหม ย้อมไหมและวิธีทอผ้า





นางนิ่มนวล จันทรบุญ ฝ่ายบริการวิชาการ ศูนย์นวัตกรรมไหมมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า เนื่องจากจังหวัดมหาสารคามขายรังไหมลูกผสมไทยและต่างประเทศรังเหลืองและรังขาว เรียกว่าไหมอุตสาหกรรม ในเขตอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย อำเภอนาเชือก อำเภอบรบือ อำเภอกุดรันกลุ่มที่ 2 กลุ่มเลี้ยงไหมไทยพื้นบ้าน เรียกว่านวัตกรรมไหม จะใช้พันธุ์ไหมพื้นบ้านเลี้ยงสืบรุ่นต่อกันมาเป็นเวลานานถึงแม้จะได้รับการส่งเสริมพันธุ์ไหมลูกผสม ทั้งไทยและต่างประเทศแล้ว พันธุ์ลูกผสมจะอ่อนแอเกิดโรคได้ง่าย ไม่ทนต่อสภาพร้อน ผู้เลี้ยงมีแนวโน้มลดลง เหลือแต่อุปกรณ์เลี้ยงไหมบางส่วนเท่านั้น เพราะขาดผู้สืบทอดบางบ้านไม่เลี้ยงเพราะถือศีลห้า จะทอผ้าฝ้ายแทนการเลี้ยงไหมให้อยู่คู่สังคมรากแก้ว เกษตรกรยังมีการเลี้ยงไหมสายพันธุ์ไทยพื้นบ้าน เช่น นางน้อย นางลาย นางไหม และนางตุ่น เป็นพันธุ์ที่เก่าแก่สืบทอดกันมาช้านาน ซึ่งมีความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ดังนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงได้มีการเปิดศูนย์วิจัยนวัตกรรมหม่อนไหมขึ้น เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไทยพื้นบ้านในท้องถิ่นและให้สามารถทราบถึงแนวทางในการอนุรักษ์และการฟื้นฟูการผลิตเส้นไหมไทยพื้นบ้าน และเข้าใจถึงปัญหาในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหม่อนไหมจากพันธุ์ไหมไทยพื้นบ้าน ลดการใช้เส้นไหมโรงงานและเส้นไหมขาว ประโยชน์ของไหมเช่น การนำมาทอผ้า ซึ่งนำมาตัดเป็นชุดประชาชาติไทยแล้วและยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามได้ เป็นกระดาษได้อีกด้วย





นางพัชระ ขวัญเมือง อาจารย์และนักวิจัยประจำศูนย์นวัตกรรมไหม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า ศูนย์นวัตกรรมไหมมุ่งทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนด้านวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหม่อนและไหม เสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ผ่านการวิจัยพัฒนาแล้วสู่ชุมชน ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครือข่ายเกษตรกรที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมร่วมเป็นเครือข่ายกับศูนย์ฯกระจายอยู่ในพื้นที่ จ.มหาสารคาม และจ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ศูนย์ได้นำมาวิจัยพัฒนา และนำงานวิจัยที่ได้มาต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผลิตเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ส่งขายตลาดวงกว้าง ผลงานที่ทีมวิจัยของศูนย์ได้ทำการวิจัยจนประสบผลสำเร็จ สามารถผลิตออกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ขณะนี้ คือผลิตภัณฑ์จากใยไหม 8 ผลิตภัณฑ์ ภายใต้ยี่ห้อ BBS. (BEAUTY BY SILK) 4 ผลิตภัณฑ์แรก ที่จดสิทธิบัตร และเริ่มวางจำหน่ายแล้ว คือ สบู่เหลวโปรตีนไหม ครีมบำรุงผิวหน้าผสมอะโวคาโด ครีมทาหน้า (ครีมหน้าเด้ง) จากโปรตีนไหม และสเปรย์โลชั่นปรับสภาพผิวจากโปรตีนไหม และกำลังผลิตออกจำหน่ายคือ บอดี้โลชั่นจากใยไหม แชมพูและครีมนวดผมจากใยไหม และเจลล้างหน้าจากใยไหม

ล่าสุดกำลังจะเปิดตัวกระดาษที่ผลิตจากใยไหมตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มหาวิทยาลัยผลิตได้เป็นแห่งเดียวในโลก การเปิดตลาดในช่วงแรกนอกจากใช้ระบบขายตรงแล้ว ยังวางสินค้าใน ร้านไหมน้ำผึ้ง BBS. (BEAUTY BY SILK) ตั้งอยู่ที่ศูนย์นวัตกรรมไหม ม.มหาสารคาม จุดขายของผลิตภัณฑ์คือ ไร้สารพิษตกค้าง เนื่องจากใบหม่อนที่เลี้ยงหนอนไหมเป็นการปลูกแบบใช้ปุ๋ยอินทรีย์ รวมทั้งกรรมวิธีการสกัดโปรตีนจากไหมสด ผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากใยไหมชิ้นนี้จึงเป็นผลงานวิจัยที่ ศูนย์นวัตกรรมไหม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภาคภูมิใจ เพราะมีการนำงานวิจัยที่ได้มาต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้มีรายได้เพิ่มขึ้น.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3753
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 3:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,347. เก็บเห็ดป่าขาย








ฝนตกชุกเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านในจังหวัดน่านอย่างงามจากการเก็บเห็ดป่าขาย ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ ฝนตกชุกเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านในจังหวัดน่านอย่างงามจากการเก็บเห็ดป่าขาย ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ วันละ 500-1,000 บาท

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชุมชน และใกล้เคียงต่างพากันหารายได้ จากการไปหาเก็บเห็ดในป่ามาขาย โดยเฉพาะเห็ดด่าน เห็ดแดง ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยม เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เนื่องจากช่วงนี้ฝนตกและอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เกิดเห็ดตามธรรมชาติหลากหลายชนิด

นางศรีคำ ทิพทย์จันทร์ อายุ 53 ปี ชาวบ้านนาเหลืองม่วงขวา ต.น้ำแก่น อ.ภูเพียง จ.น่าน เปิดเผยว่า ได้เก็บเห็ดป่านำมาขาย โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อไปขายที่ตลาดอีกทอด และบางส่วนก็จะนำไปวางขายที่หน้าบ้านให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงนี้เป็นช่วงที่เห็ดเพิ่งออกสู่ตลาดใหม่ทำให้มีราคาสูง ถือเป็นโอกาสทองของชาวบ้านในพื้นที่





นางศรีคำบอกว่า เห็ดที่เก็บนำมาขายมีทั้ง เห็ดด่าน เห็ดแดง เห็นหูหนู โดยเฉพาะเห็ดด่าน ราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท แล้วแต่ความสวยงามของเห็ด หรือวางขายเป็นถุงๆ ละ 20-30 บาท นอกจากนี้ยังมีผักหวาน หน่อไม้ กบ เขียด อึ่งอ่าง ซึ่งถือเป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านเฉลี่ยวันละ 500-1,000 บาท เป็นโอกาสทองที่ชาวบ้านจะมีรายได้เสริมเป็นกอบเป็นกำ

เก็บเห็ดป่าขาย
ฝนตกชุกเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านในจังหวัดน่านอย่างงามจากการเก็บเห็ดป่าขาย ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ ฝนตกชุกเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านในจังหวัดน่านอย่างงามจากการเก็บเห็ดป่าขาย ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ วันละ 500-1,000 บาท

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณป่าชุมชน และใกล้เคียงต่างพากันหารายได้ จากการไปหาเก็บเห็ดในป่ามาขาย โดยเฉพาะเห็ดด่าน เห็ดแดง ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยม เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เนื่องจากช่วงนี้ฝนตกและอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เกิดเห็ดตามธรรมชาติหลากหลายชนิด

นางศรีคำ ทิพทย์จันทร์ อายุ 53 ปี ชาวบ้านนาเหลืองม่วงขวา ต.น้ำแก่น อ.ภูเพียง จ.น่าน เปิดเผยว่า ได้เก็บเห็ดป่านำมาขาย โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อไปขายที่ตลาดอีกทอด และบางส่วนก็จะนำไปวางขายที่หน้าบ้านให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงนี้เป็นช่วงที่เห็ดเพิ่งออกสู่ตลาดใหม่ทำให้มีราคาสูง ถือเป็นโอกาสทองของชาวบ้านในพื้นที่

นางศรีคำบอกว่า เห็ดที่เก็บนำมาขายมีทั้ง เห็ดด่าน เห็ดแดง เห็นหูหนู โดยเฉพาะเห็ดด่าน ราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท แล้วแต่ความสวยงามของเห็ด หรือวางขายเป็นถุงๆ ละ 20-30 บาท นอกจากนี้ยังมีผักหวาน หน่อไม้ กบ เขียด อึ่งอ่าง ซึ่งถือเป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านเฉลี่ยวันละ 500-1,000 บาท เป็นโอกาสทองที่ชาวบ้านจะมีรายได้เสริมเป็นกอบเป็นกำ



ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3827
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,348. กล้วยหินฉาบ





กล้วยหิน ผลไม้เฉพาะถิ่นและหายาก นำมาแปรรูปเป็นกล้วยหินฉาบ ปรุงรส 3 รสชาติ รสหวาน รสเค็ม และรสปาปริก้า

กล้วยหินฉาบ ขนมสร้างชื่อถิ่นบันนังสตา
หากเอ่ยถึง กล้วยหิน อาจเกิดคำถามปนอาการสงสัยปรากฏขึ้นกับใครหลายคน แต่สำหรับพี่น้องในชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะบรรดากลุ่มผู้เลี้ยงนกปรอด หรือที่รู้จักกันในนาม นกกรงหัวจุก บอกได้เลยทันทีว่ากล้วยสายพันธุ์นี้คืออาหารชั้นเลิศ และเป็นของหายากชนิดต้องแย่งกันซื้อเลยทีเดียว

ด้วยความที่เป็นผลไม้เฉพาะถิ่นและหายาก ส่งผลให้ กล้วยหิน กลายเป็นสินค้าที่มีราคาไม่ต่ำกว่าหวีละ 50 บาท ซึ่งถือสูงกว่ากล้วยสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดบ้านเรา ณ เวลานี้

แม้กล้วยหินจะมีราคาอีกทั้งความต้องการในท้องตลาดที่มีราคาสูงอยู่ในระดับน่าพอใจสำหรับเกษตรกรเป็นทุนเดิม แต่สมาชิกสตรีและกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา กลับหวังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการนำมาแปรรูปเพื่อเพิ่มช่องทางนำเม็ดเงินเข้าสู่พื้นที่อีกทางหนึ่ง

แวมีเนาะ ตาเละ ประธานกลุ่มสตรีและแม่บ้านยีลาปัน ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เจ้าของผลิตภัณฑ์ กล้วยหินฉาบ ยี่ห้อบันตู ซึ่งเป็นภาษามาเลย์ มีความหมายว่า อุดหนุน เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นในปี 2539 ได้รวบรวมสมาชิกกลุ่มสตรีแม่บ้านไม่กี่ชีวิตเพื่อหารายได้เสริมโดยการหันมาแปรรูปกล้วยหินให้มีมูลค่าเพิ่ม กระทั่งปัจจุบันมีคนเข้าร่วมกว่า 20 ชีวิต ที่สำคัญมีกลุ่มสมาชิกเกิดใหม่อีกจำนวนมากที่หันมาจับตลาดกล้วยหินฉาบขณะนี้ เหตุผลเพราะอร่อย ขายง่าย ราคาดี นั่นเอง

ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา นับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ข่าวคราวของอำเภอบันนังสตา มักเป็นไปในแง่ลบ ดังนั้นการแปรรูปกล้วยหินเพื่อเป็นสินค้าออกวางจำหน่าย จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มสตรี หวังว่าจะช่วยสร้างความรู้สึกและเกิดทัศนคติในแง่ดีให้แก่มาตุภูมิแห่งนี้บ้าง

เราพยายามแปรรูปกล้วยหินฉาบให้ออกมาดี มีรสชาติอร่อยถูกใจผู้บริโภค เพื่อให้ลูกค้าคิดถึงพวกเราในแง่ดีๆ เพื่อกลบกระแสข่าวด้านลบที่เป็นผลพวงจากเหตุความไม่สงบ แวมีเนาะ กล่าว





ด้าน วันอัสมา ตาเละ”หนึ่งในสมาชิกสตรียุคบุกเบิกกลุ่ม กล้วยหินฉาบบันนังสตา กลุ่มแม่บ้านยีลาปัน กล่าวว่า ปัจจุบันกล้วยหินฉาบแปรรูยี่ห้อ บันตู ผลผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของกลุ่มแม่บ้านยีลาปัน ออกวางจำหน่ายในท้องตลาดดด้วยกัน 3 รสชาติ ประกอบด้วยรสหวาน รสเค็ม และรสปาปริก้า

ส่วนราคาจำหน่ายในท้องตลาดนั้นแบ่งเป็น 2 ขนาด คือ ปริมาณครึ่งกิโลกรัม ส่วนราคาขาย 100 บาท และอีกขนาดคือบรรจุห่อ 20 บาท โดยขณะนี้การผลิตยังไม่เพียงพอรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ทั่วประเทศ หลังจากได้นำออกตระเวนจำหน่ายร่วมกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่หน่วยงานภาครัฐจัดขึ้น ทำให้ขณะนี้สินค้าที่ออกสู่มือลูกค้าเป็นสินค้าที่ผลิตใหม่ทุกวัน

วันอัสมา กล่าวอีกว่า จากความสำเร็จในการนำกล้วยหินมาแปรรูปเป็นกล้วยฉาบปรุงรส ส่งผลให้บรรดาสมาชิกสตรีและแม่บ้านในกลุ่มลายีปัน มีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่ารายละ7,000บาทต่อเดือน หากเป็นช่วงเทศกาลสำคัญจะมีรายได้เพิ่มถึงหมื่นบาทต่อรายเลยทีเดียว

ส่วนใหญ่สตรีและแม่บ้านจะมีเวลาหลังจากทำสวนยาง และสวนผลไม้มารวมกลุ่มแปรรูปกล้วยหินในช่วงบ่าย และรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายสินค้าสามารถช่วยให้หลายชีวิตมีคุณภาพที่ดีขึ้น แม้นเวลานี้สถานการณ์ในพื้นที่จะยังไม่ปกติดีนักก็ตาม วันอัสมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม

สตรีมุสลิมรายนี้กล่าวทิ้งท้ายว่า หากใครอยากลองลิ้มรสชาติความอร่อยของกล้วยหินฉาบปรุงรสจากดินแดนบันนังสตา ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-6286-7502 ยินดีจัดส่งให้ถึงมือผู้บริโภคทุกรายทั่วประเทศ



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3833
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:11 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,349. อาชีพบาริสต้า




บาริสต้า หรือ นักชงกาแฟ อาชีพธรรมดาๆ ของลูกจ้างคนหนึ่ง ที่น่าสนใจ เป็นอาชีพอินเทรนด์ รายได้ก็มากพอสมควร


ที่ผ่านมาเราไม่ได้เขียนถึงเรื่องราวความลับแปลกๆ ใหม่ๆที่เกี่ยวกับสาขาอาชีพกันนานแล้ว และสัปดาห์นี้ผมจึงอยากหยิบเอาความลับของอาชีพๆ หนึ่งมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบทั่วกัน

โดยแม้ว่ากลุ่มบุคคลที่เราจะพูดกันนี้ดูผิวเผินก็เสมือนว่า เป็นอาชีพธรรมดาๆ ของลูกจ้างคนหนึ่ง หากแต่บัดนี้ใครจะรู้ว่า ในต่างประเทศเขากำลังให้ความสำคัญกับเขาเหล่านี้อย่างยิ่งยวดทีเดียว และนี่จึงเป็นที่มาที่เราจะหยิบเอาอาชีพที่เรียกตัวเองว่า บาริสต้า หรือ นักชงกาแฟประจำร้านมาคุยกันนั่นเอง

อย่างไรก็ตามอาชีพบาริสต้า นี่ปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ และเป็นอาชีพ ที่เรียกได้ว่าอินเทรนด์อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะความต้องการในธุรกิจกาแฟก็ยังมีความต้องการบาริสต้าคุณภาพอยู่ ซึ่งรายได้ของผู้ที่ประกอบอาชีพบาริสต้านั้นก็มากพอสมควร

โดย บาริสต้า ประจำร้านกาแฟร้านหนึ่ง ได้เปิดเผยกับเราว่า ปัจจุบันเธอมีเงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 16,000-20,000 บาท/เดือน แต่หากเป็นบาริสต้าที่เคยผ่านเวทีการประกวดแข่งขัน และได้รับรางวัลเพื่อให้มาเป็นตัวชูโรงในร้าน ก็สามารถช่วยดึงดูดความสนใจให้แก่ร้านกาแฟนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าฐานเงินเดือนก็ย่อมสูงขึ้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการชงกาแฟที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่น้องๆ ในร้านกาแฟนั้นๆ ได้ซึ่งเงินเดือนก็จะอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทขึ้นไป





จากคำบอกเล่านี้แสดงให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะเป็นบาริสต้าที่ดี และมีคุณภาพได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝนไม่น้อยทีเดียว

อย่างไรก็ตามจากการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายๆ แหล่งพบข้อมูลๆ หนึ่ง

ระบุถึงคุณสมบัติอื่นๆ ซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญสำหรับอาชีพบาริสต้า ไว้ดังต่อไปนี้ เช่น

1. บาริสต้าต้องอดทน
บาริสต้าเป็นงานบริการไม่ใช่แค่การชงกาแฟอย่างเดียวแต่บาริสต้าต้องทำทุกอย่าง ทั้งทำความสะอาดเคาน์เตอร์ ปัดกวาดเช็ดถู เช็คสต็อกของ ล้างแก้ว อีกทั้งยังต้องมาเปิดร้านตั้งแต่เช้าตรู่เพราะร้านกาแฟคู่กับยามเช้า และบางร้านอาจจะเปิดถึงดึก ดังนี้การเป็นบาริสต้าต้องเป็นคนที่มีกำลังขาดีพอสมควร เพราะต้องยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ทั้งวันหรือไม่ก็ต้องออกไปให้บริการลูกค้า

2. บาริสต้าเป็นผู้ชงกาแฟดื่มกาแฟเป็น
ผู้ที่จะเป็นบาริสต้าที่ดีได้นั้นควรจะต้องดื่มกาแฟให้เป็น เพราะผู้บาริสต้าเป็นผู้ชง Espresso short จึงต้องเป็นผู้ชิมด้วยเช่นกันเพื่อให้ได้รสชาติที่มีมาตรฐาน เนื่องจากการที่จะชงกาแฟให้อร่อยนั้นมีปัจจัยต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ เครื่องชง เครื่องบด เมล็ดกาแฟ ล้วนมีผลกับกาแฟทั้งสิ้น ดังนั้นบาริสต้าจึงต้องเป็นคนชิม และตรวจเช็คคุณภาพของกาแฟก่อนที่จะเสิร์ฟให้แก่ลูกค้า




3. บาริสต้าต้องกระฉับกระเฉง
ใครที่เข้าใจว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ละเมียดละไมต้องค่อยๆ ชงถือว่ามีความคิดที่ผิดถนัด เพราะกาแฟส่วนใหญ่หัวใจสำคัญอยู่ที่มีอายุไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นกาแฟแก้วนั้นก็จะสูญเสียรสชาติกาแฟไป ดังนั้นความกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วของบาริสต้าที่ดูมีชีวิตชีวาจะสร้างบรรยากาศให้กับร้านได้เป็นอย่างดี

4. บาริสต้าต้องบริหารเวลาให้เป็น
ในกรณีที่ลูกค้ามาเยอะๆ บาริสต้าต้องบริหารเวลาให้ดี ว่าควรทำแก้วไหนอย่างไรก่อน และระหว่างรอ Espresso Shot ก็ต้องไม่ยืนเฉยๆ จะต้องหันไปเตรียมส่วนผสมอย่างอื่น ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

5. บาริสต้า บุคลิกเสื้อผ้า หน้าผมต้องดูดี
คำว่า ดูดี ในที่นี้หมายถึงดูสะอาด ซึ่งบาริสต้าอยู่ในอาชีพการบริการดังนั้นเรื่องความสะอาดสำคัญมาก ห้ามไว้เล็บ ควรรวบผมให้เรียบร้อย และไม่ควรใส่น้ำหอมเด็ดขาดเพราะกลิ่นน้ำหอมจะไปทำลายกลิ่นกาแฟหมด

6. บาริสต้าต้องมี Service Mind
ผู้ที่จะเป็นบาริสต้าต้องมีใจรักงานบริการบางคนอยากเป็นคนชงกาแฟแต่ไม่อยากบริการคนอื่นก็เป็นยาก และบาริสต้าควรจะจดจำลูกค้าให้ได้ว่าชื่ออะไร ทานกาแฟอะไร แบบไหนซึ่งลูกค้าจะเกิดความประทับใจ อีกทั้งยังต้องเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมที่จะต้อนรับลูกค้าตลอดเวลาอีกด้วย




นี่เป็นเคล็ดลับเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เราได้ค้นคว้าหาข้อมูลมา อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่ากว่าจะเป็น บาริสต้า ที่ดีได้จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟอย่างรอบด้าน แม้บางเรื่องจะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ แต่ที่สุดแล้วมันก็คือ เรื่องกาแฟ ความรู้ความเข้าใจในกาแฟอย่างแท้จริง จะช่วยให้สามารถพัฒนาทักษะความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ในการจัดเตรียมเครื่องดื่มกาแฟที่มีศิลปะได้อย่างไม่มีขีดจำกัดนั่นเอง

ท้ายนี้เราขอจบด้วยข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์จากผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟรายใหญ่แห่งหนึ่งโดยคุณกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร อโรม่า กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจกาแฟคั่วบดครบวงจรมานานกว่า 50 ปี เปิดเผยกับ คอลัมน์ความลับสีชมพู ว่า

บริษัทฯ ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ คือ สมาคมกาแฟ และชาไทย ไวตามิลค์ นมตรามะลิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าจังซีลอน จังหวัดภูเก็ต จัดการแข่งขันโครงการ ไทยแลนด์ อินดี้ บาริสต้า แชมป์เปี้ยนชิพ ครั้งที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งเสริมสร้างคุณภาพฝีมือ และทักษะในการชงกาแฟที่ถูกต้องตามมาตรฐานการชงกาแฟเอสเพรสโซ่ และการทำลาเต้ อาร์ต




ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันได้เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องชงกาแฟที่ถูกต้อง และสร้างสรรค์ซึ่งจะเป็นการสร้างอาชีพนักชงกาแฟ หรือ บาริสต้าให้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบอาชีพเปิดร้านกาแฟแบบอิสระมีอยู่มากมายกว่า 80,000 ร้านค้าทั่วประเทศโดยมีจำนวนบาริสต้ากว่า 100,000 คน ซึ่งการจัดโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นให้บาริสต้าหรือนักชงกาแฟมีความตื่นตัวที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งเราได้จัดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้วเพื่อเฟ้นหาสุดยอดบาริสต้าทั้ง 5 ภูมิภาคของประเทศไทยเป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันในรอบ แชมป์ ออฟ เดอะ แชมป์ต่อไป

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัครได้ที่ www.aromathailand.com และ www.baristaclinic.com และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่คุณวันนิสา โทร.02-933-4191-5 ต่อ 2105 หรือ โทร 085-062-9307



ที่มา : แนวหน้า
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3858
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:22 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,350. เฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ำ








จากเดิมที่เราทำงานเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว พอได้ไม้ใต้น้ำมาเราก็นำมาลองผิดลองถูกดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพราะไม้เหล่านี้เป็นไม้ที่จมอยู่ในแม่น้ำ เนื้อไม้แต่ละชิ้นสีก็จะไม่เหมือนกัน เมื่อนำมาจัดวางอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งก็จะสวยงาม และมีหลากหลายสี

ไม้ใต้น้ำ คือไม้ที่จมอยู่ในน้ำ ไม่มีใครเห็นประโยชน์ แต่สำหรับ รัถยา จิตนาวา เจ้าของร้านขายเฟอร์นิเจอร์กลับมองเห็นความงาม และประโยชน์ของไม้ใต้น้ำที่มากไปกว่าการปล่อยให้จมอยู่ในน้ำเฉยๆ ด้วยการนำไม้เหล่านั้นมาเป็นส่วนประกอบในงานเฟอร์นิเจอร์ จนเฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์รูปแบบเก๋ไก๋ ใครไปใครมาก็ให้ความสนใจ และที่สำคัญสร้างรายได้ให้เป็นอย่างดี

แต่เดิมนั้น รัถยา เปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ในภายในสวนจตุจักร ขายงานแฮนด์เมดในรูปแบบต่างๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ของตกแต่งบ้านสารพัดชนิด โดยเน้นที่งานวัสดุธรรมชาติเป็นหลักทั้งกะลามะพร้าว ไม้เก่า เพราะมีความหลงใหลและสนใจในเสน่ห์ของงานไม้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสไปเดินตามตลาดที่ขายไม้เก่า จนไปเจอเข้ากับไม้ใต้น้ำที่วางขายที่มีมากมายหลายขนาด ซึ่งถ้าเป็นขนาดใหญ่ที่รูปทรงสวยงาม คนทั่วไปก็มักจะซื้อไปวางประดับตกแต่งบ้าน ส่วนไม้ใต้น้ำท่อนเล็ก ท่อนน้อย ขนาดไม่ใหญ่มากนัก รัถยา จึงมองว่า ไม้เหล่านั้นน่าจะนำมาทำประโยชน์แบบอื่นๆ ได้มากกว่าการวางประดับตกแต่งบ้าน และที่สำคัญจะได้ลดปริมาณการใช้ไม้ใหม่ไปได้ด้วย








ด้วยการลองผิดลองถูก ลองออกแบบ และลองนำชิ้นส่วนของไม้ใต้น้ำเหล่านี้ไปใช้เป็นส่วนประกอบ และลูกเล่นในการตกแต่งงานเฟอร์นิเจอร์แบบต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งในที่สุดก็ออกมาสวยงาม และถูกใจลูกค้า

จากเดิมที่เราทำงานเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว พอได้ไม้ใต้น้ำมาเราก็นำมาลองผิดลองถูกดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพราะไม้เหล่านี้เป็นไม้ที่จมอยู่ในแม่น้ำ หรือตามเขื่อน ถ้าไม่ได้นำมาใช้ทำอะไรมันก็จะผุไปตามกาลเวลา แล้วตัวเทกซ์เจอร์ของเนื้อไม้พวกนี้จะเป็นธรรมชาติมาก เพราะจะโดนพวกหอย เพรียง กินเปลือกรอบนอกออกหมดจะเหลือเพียงแก่นไม้ที่แข็งแรง แล้วผิวจะขรุขระเป็นธรรมชาติ และเนื้อไม้ข้างในเวลาที่เรานำมาสไลด์ขวางเป็นแว่น เนื้อไม้ที่ได้จะมีลวดลายสวยงาม ขัดให้มีความเงางาม สีของเนื้อไม่จะขึ้นมาเอง ไม่ต้องทำสีก็สวย แล้วเนื้อไม้แต่ละชิ้นสีก็จะไม่เหมือนกัน เมื่อนำมาจัดวางอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งก็จะสวยงาม และมีหลากหลายสี

โดยในช่วงแรกนั้น รัถยา เริ่มต้นด้วยการนำไม้ใต้น้ำมาทำเป็นงานเฟรมกรอบรูปเพื่อประดับตกแต่งฝาผนังบ้านก่อน เพื่อดูผลตอบรับจากลูกค้า ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และลองรีเสิร์จตลาดอยู่เรื่อยๆ จนต่อมาก็ขยายมาทำเก้าอี้ เก้าอี้สตูที่สามารถใช้วางของได้นั่งได้ โต๊ะกลาง คอนโซลวางของ ตู้ลิ้นชัก ตู้หัวเตียง งานเฟรม ฯลฯ

ถือได้ว่าเป็นสินค้าที่ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องเข้ามาถาม เพราะดูแปลกตาว่าทำจากอะไร บางครั้งลูกค้าคิดว่าเป็นงานเรซินที่ทำแบบขึ้นมา และแปะลงไป เขาไม่คิดว่ามันเป็นไม้จริง ด้วยเทกซ์เจอร์ด้านข้างจะเป็นหยักๆ ทั้งหมด คนก็เลยคิดว่าทำขึ้นมาหรือเปล่า

ส่วนเรื่องของการหาวัสดุนั้น รัถยา ยอมรับว่า บางครั้งวัสดุค่อนข้างหายาก เพราะต้องไปรับซื้อจากกลุ่มชาวบ้านที่ไปหาไม้ตามหนองน้ำ เขื่อน จากหลายๆ แหล่ง จึงคิดว่าถ้าช่วงไหนไม้ใต้น้ำมีไม่พอ หรือหาไม่ได้ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแนวไปทำเฟอร์นิเจอร์รูปแบบอื่นๆ ก่อน พอมีวัตถุดิบมากพอก็อาจจะหันกลับมาทำในรูปแบบเดิมอีกครั้ง ขั้นตอนของการทำนั้นก็จะเริ่มต้นจากการนำไม้ใต้น้ำมาทำความสะอาด หลังจากนั้นก็จะนำไปอบให้แห้งเพื่อกันความชื้น และกันเชื้อรา ก่อนจะนำมาสไสด์เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อนำมาประกอบลงบนเฟอร์นิเจอร์ หลังจากนั้นจึงถึงขั้นตอนของการขัดไม้เพิ่มความเงา ลงน้ำยากันมอด และลงแล็กเกอร์เป็นขั้นตอนสุดท้าย

เฟอร์นิเจอร์ไม้พวกนี้ลูกค้าไม่สามารถคอนโทรล หรือสั่งได้ว่าจะเอาสีนั้นสีนี้ทั้งหมด เพราะไม้สีจะไม่เหมือนกัน ถ้าลูกค้าต้องการแบบนั้นเราก็จะต้องเลือกจากกองไม้เยอะๆ ซึ่งต้องใช้เวลามาก เพราะที่เราสั่งมาแต่ละล็อตไม่สามารถสั่งได้ว่าจะสีแบบไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่รับออร์เดอร์แบบนี้จากลูกค้า

ถือได้ว่าเป็นสินค้าที่ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องเข้ามาถาม เพราะดูแปลกตาว่าทำจากอะไร บางครั้งลูกค้าคิดว่าเป็นงานเรซินที่ทำแบบขึ้นมา และแปะลงไป เขาไม่คิดว่ามันเป็นไม้จริง ด้วยเทกซ์เจอร์ด้านข้างจะเป็นหยักๆ ทั้งหมด คนก็เลยคิดว่าทำขึ้นมาหรือเปล่า

สำหรับผลตอบรับที่ผ่านมา รัถยา บอกว่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ำสามารถทำออร์เดอร์ และสร้างรายได้มาให้เรื่อยๆ เพราะมีรูปแบบที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และไม่เหมือนท้องตลาดทั่วๆ ไป ซึ่งคนไทยเองก็ชอบ ในขณะที่คนต่างชาติในโซนยุโรปและตะวันออกกลางก็มีคำสั่งซื้อเข้ามา และอีกอย่างหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์จากไม้ใต้น้ำก็ยังเป็นการช่วยลดขยะที่ไม่มีใครสนใจไปได้บางส่วนด้วย

ของบางอย่างถ้าไม่มีใครสนใจก็อาจจะกลายเป็นขยะไป แต่ถ้าเราสามารถนำกลับมารีไซเคิล หรือเอากลับมาทำประโยชน์ได้ถ้าเรามองเห็นลู่ทาง ซึ่งงานที่เราทำนี่ก็ถือว่านำขยะกลับมาทำใหม่ เราขายไอเดีย เราแค่ใส่อะไรเพิ่มความเด่นเข้าไป เขาก็จะมีคุณค่าขึ้นมา เป็นการช่วยลดขยะลงไปได้บางส่วน และยังเป็นการสร้างรายได้ขึ้นมาด้วย รัถยา กล่าวทิ้งท้าย

ใครที่สนใจเฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ำ ไปดูได้ที่จตุจักรพลาซ่า โซน B ห้อง 131 กำแพงเพชร ซอย 2 เบอร์ติดต่อ โทร. 0818081093, 02–6187525




ที่มา : โพสต์ทูเดย์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3939
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,351. กะลามะพร้าว กลายเป็น กะลาทองคำ








กะลาทองคำ สินค้าที่ออกแบบ ใช้เงินและทอง มาตกแต่ง สร้างความแตกต่างจากสินค้าคู่แข่ง ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าคนไทย รวมถึงลูกค้าต่างชาติด้วย
โอกาสในการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ตามชุมชน จากอาชีพรับวัดสายตาประกอบแว่นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ทำให้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน รวมถึงวัตถุดิบในท้องถิ่นที่เหลือใช้ จากการนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ และหนึ่งในนั้นคือกะลามะพร้าวที่ไร้ค่า จึงคิดเพิ่มมูลค่าด้วยการนำไปสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ จนกลายมาเป็นกะลาทองคำ ที่เกิดจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกะลาอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 12 ปี

นายสุวิทย์ แก้วจันทร์ เจ้าของผลิตภัณฑ์กะลาทองคำ ย้อนแนวคิดธุรกิจก่อนจะสร้างสรรค์ผลงานกะลาทองคำ ว่า หากย้อนไปเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา ตนเองยึดอาชีพวัดสายตาประกอบแว่นตามชุมชนต่างๆ และบ่อยครั้งที่พบเห็นกะลามะพร้าวเหลือทิ้งจากการที่ชาวบ้านนำเนื้อมะพร้าวไปใช้ประโยชน์แล้วถูกกองทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก จึงคิดนำมาเศษกะลาชิ้นเล็กชิ้นน้อย มาเพิ่มค่าทำเป็นพวงกุญแจ ซึ่งตลอดระยะเวลา 1-2 ปี ของการเริ่มต้นธุรกิจ สินค้าจากเศษกะลาขายแทบไม่ได้เลย ซึ่งอาจเกิดจากการออกแบบยังไม่ตรงใจลูกค้า รวมถึงสินค้าที่ทำจากเศษกะลายังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่นายสุวิทย์ก็ไม่ท้อ กลับพัฒนารูปแบบสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับยึดอาชีพวัดสายตาประกอบแว่นควบคู่ไปด้วย

และแล้วโอกาสในการนำผลงานแสดงสู่สายตาสาธารณชนก็มาถึง เมื่อห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ได้ติดต่อให้นำสินค้าไปโชว์ในธีมงานเกี่ยวกับสินค้ามีดีไซน์ เนื่องจากสินค้าจากกะลามะพร้าวเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ยังไม่แพร่หลาย และมีผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจนี้ยังมีไม่มีมากนักในตลาด จึงทำให้กลายเป็นสินค้าที่แปลกตาแต่ผู้พบเห็น รวมถึงยังเป็นสินค้าที่สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้อีกด้วย

การคิดนอกกรอบในเรื่องการออกแบบสินค้าของนายสุวิทย์ เลือกใช้เงินและทอง มาตกแต่งลงบนสินค้าที่ออกแบบ หวังสร้างความแตกต่าง ซึ่งในช่วงแรกตนองไม่คิดว่าจะขายได้ เนื่องจากราคาสูงกว่าเท่าตัว แต่เมื่อทดลองจำหน่ายกลับได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าคนไทย รวมถึงลูกค้าต่างชาติ อย่าง ประเทศ จีน อิตาลี ออสเตรเลีย เยอรมนี ฝรั่งเศส และอินเดีย ที่ส่วนใหญ่นำไปตกแต่งบ้านเพิ่มความหรูหรา








หลังจากที่เรานำเงิน และทองทำตกแต่งลงบนผลิตภัณฑ์กะลา สินค้าก็เป็นที่สนใจของลูกค้ามากขึ้น แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งลูกค้าคนไทย นิยมนำไปตกแต่งรีสอร์ท โรงแรม และบ้าน เพราะรู้สึกว่าสินค้าที่ทำจากกะลาไม่เชยอีกต่อไป สามารถนำไปตกแต่งสถานที่ตามต้องการได้อย่างลงตัว โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบผลงานที่ผมออกแบบเองประมาณ 90% ส่วนอีก 10% จะออกแบบโดยการต่อยอดจากรูปแบบเดิมซึ่งผมก็ผลิตให้ได้ โดยราคาเริ่มต้นที่ 100-หลักหมื่นบาท

ความได้เปรียบในเรื่องการออกแบบ และเป็นผู้ผลิตเอง ถือเป็นจุดแข็งหนือคู่แข่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่รับสินค้าเพื่อมาจำหน่ายต่อ จะเสียเปรียบในเรื่องราคาและยอดการสั่งผลิตจากลูกค้า แต่สำหรับนายสุวิทย์ สามารถเจรจาธุรกิจให้จบได้ในครั้งเดียวทั้งเรื่องราคาสินค้า และรูปแบบ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี สามารถนำต้นมะพร้าวเกือบทั้งต้นมาใช้สร้างสรรค์เป็นผลงานของตนได้หมด รวมถึงยังเลือกแหล่งกะลามะพร้าวให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ด้วย เช่น กะลาลูกใหญ่ต้องนำมาจากภาคใต้ เหมาะนำมาทำเป็นโคมไฟติดผนัง ส่วนมะพร้าวลูกเล็ก มาจากจังหวัดทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่นำมาทำเป็นโคมไฟระย้า ที่ต้องใช้มะพร้าวหลายลูก ในขณะที่มะพร้าวผิวหยาบ ต้องนำมาจากพัทยา ทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใช้เป็นส่วนประกอบ หรือนำมาทำเป็นโมเสก ประดับลงบนภาชนะที่ต้องการ

แม้จุดเด่นของกะลาทองคำจะอยู่ที่ราคา และรูปแบบ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ายอมรับในคุณภาพ แต่ปัญหาหลักคือเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด ทำให้กว่าจะได้งานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลา โดยอาศัยแรงงานชาวบ้านในชุมชนจังหวัดแพร่ ให้ผลิตชิ้นส่วน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ขั้นต่ำประมาณ 200 บาท/วัน ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สามารถหล่อเลี้ยงครอบครัวได้

สำหรับผู้ที่สนใจสินค้ากะลาทองคำ สามารถชมผลงานได้ที่จตุจักร พลาซา ห้อง 56 ซอย 4 โซน B โทร.08-5038-3049



ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-4004


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 4:47 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,352. กระเป๋าสานจากผักตบชวา สร้างรายได้





กระเป๋าผักสานจากผักตบชวา สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านตำบลสันป่าม่วง จ.พะเยา รับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ โกยรายได้แต่ละปีหลักล้านบาท

ผักตบชวาลอยเกลื่อนกว๊านพะเยา ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียเป็นปัญหาที่หลายหน่วยงานยังไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ “ผ่องศรี ปรีชาพงศ์มิตร” ประธานกลุ่มหัตถกรรมจักสานผักตบชวา ต.สันป่าม่วง อ.เมือง จ.พะเยา กลับเล็งเห็นโอกาสสร้างรายได้จากสิ่งที่หลายคนมองว่าไร้ประโยชน์ด้วยการทำกระเป๋าสานจากผักตบชวา สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านตำบลสันป่าม่วง ขณะเดียวกันก็ขยายเครือข่ายตำบลข้างเคียง รับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ โกยรายได้แต่ละปีหลักล้านบาท

ผ่องศรีเล่าให้ฟังว่า เริ่มนำผักตบชวามาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี 2525 โดยชาวบ้านได้ใช้เวลาว่างหลังจากทำไร่ ทำนา หาของป่า และการประมง นำผักตบชวามาสานเป็นของชำร่วยและเปลญวน กระทั่งมีการพัฒนาเป็นกระเป๋าสานจากผักตบชวา หมวก ของชำร่วย เฟอร์นิเจอร์ และโคมไฟ จนปี 2540 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มหัตถกรรมจักสานผักตบชวาขึ้น มีสมาชิกเป็นชาวบ้านตำบลสันป่าม่วงเริ่มแรกจำนวน 15 คน เมื่อสานผลิตภัณฑ์เสร็จแล้วก็เร่ขายตามหมู่บ้าน ต่างคนต่างขาย ไม่ได้มีการวางแผนการตลาดที่เป็นรูปแบบ

ทั้งนี้ มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อสินค้าแต่พบว่าถูกกดราคา และการที่ไม่ได้มีการกำหนดราคาที่เป็นทางการจึงทำให้ชาวบ้านขายตัดราคากันเอง สุดท้ายก็ขาดทุน ไม่สามารถอยู่รอดได้ จึงมีการพูดคุยหารือกันใหม่ภายในกลุ่มกำหนดราคาที่แน่นอน และได้มีการวางแผนเชิงรุกในการทำให้กระเป๋าสานจากผักตบชวา เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยปี 2542 ได้เริ่มออกงานแสดงสินค้าที่กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สินค้าขายหมด มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะขาดทุนก็ตาม

“ครั้งแรกที่ทางกลุ่มขนกระเป๋าสานจากผักตบชวาไปขาย เราขายราคาใบละเพียง 130 บาท ขายราคาต้นทุนจริงๆ ไม่ได้มีการบวกค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พักอาศัย ชาวบ้านก็ขาดทุนกันถ้วนหน้า แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือออเดอร์ที่เข้ามาจำนวนมาก สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากนั้นปี 2543 ได้มีการจัดงานโอท็อปที่ จ.เชียงใหม่ ตลอดการจัดงาน 10 วัน ขายกระเป๋าผักตบชวาได้กว่า 1.2 แสนบาท ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านกว่า 70 คนก็ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม และขยายไปใน ต.สันป่าม่วงอีก 220 คน ขณะนี้มีสมาชิกตำบลข้างเคียงรวมแล้วกว่า 620 คน” ผ่องศรีกล่าว

สำหรับวัตถุดิบที่ใช้กว่า 90% จะเป็นผักตบชวาในพื้นที่ จ.พะเยา โดยจะมีกลุ่มประมงพื้นบ้านนำมาจำหน่ายให้ในราคากิโลกรัมละ 30-35 บาท สามารถนำมาใช้สานได้เลย ขณะที่อีก 10% จะสั่งซื้อจาก จ.สุพรรณบุรี เนื่องจากช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ผักตบชวาในพื้นที่กว๊านพะเยาจะมีก้านสั้นมากจนไม่สามารถนำมาสานเป็นกระเป๋าได้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจำเป็นต้องสั่งซื้อจากนอกพื้นที่ แต่ก็ปริมาณไม่มากนักเพียงแค่ 100 ถุง ถุงละ 50 กิโลกรัมเท่านั้น

“แต่ละวันจะใช้ผักตบชวาประมาณ 6 หมื่นก้าน กระเป๋าแต่ละใบจะใช้ผักตบชวาเฉลี่ย 200 ก้าน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มจะสานกระเป๋าได้วันละ 200-300 ใบ กระเป๋าแต่ละใบจะใช้เวลาทำประมาณ 2-3 วัน มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5-6 ปี สำหรับราคาจำหน่ายหากเป็นขายส่งจะอยู่ที่ใบละ 190 บาท หากขายปลีกราคาใบละ 220-250 บาท ขึ้นกับขนาด” ผ่องศรีกล่าว

ประธานกลุ่มหัตถกรรมจักสานผักตบชวาคนเดิมย้ำด้วยว่า ในส่วนของลูกค้านั้น 70% จะเป็นคนไทย ที่รับสินค้าไปจำหน่ายที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ลูกค้าโดยส่วนมากจะมีแบบกระเป๋าสานจากผักตบชวา ระบุสีที่ต้องการมาให้ ซึ่งสมาชิกก็จะผลิตตามออเดอร์ และอีก 30% จะเป็นลูกค้าต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เยอรมนี อเมริกา และสวีเดน โดยจะเป็นทั้งการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ www.phayaopuktobchawa.com และอีกส่วนหนึ่งจากการได้พบเห็นสินค้าจากการออกงานแสดงสินค้า และมีความชื่นชอบ โดยแต่ละปีกลุ่มจะมีรายได้ประมาณ 1-2 ล้านบาท นับเป็นการสร้างอาชีพเสริมรายได้ให้แก่สมาชิกกลุ่มได้เป็นอย่างดี



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-4045


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 4:47 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,353. สอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง





เจ้าของกาแฟดอยช้าง ขึ้นเวที สอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง ผลักดันกาแฟคนดอย จากกิโลละ 10 กว่าบาท ขายได้ 4-5 หมื่น

เจ้าของกาแฟดอยช้าง ขึ้นเวที สอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง ย้อนตำนานสอนแนวทางผลักดันกาแฟคนดอย จากกิโลละ 10 กว่าบาท วันนี้ขายได้ 4-5 หมื่น พร้อมเปิดดอยช้างเป็นสถานที่ศึกษา-เผยแพร่ทางวิชาการ ช่วยชุมชนทั่วไทย

ในการสัมมนาเรื่อง “กาแฟไทยไปสากล” ที่นักศึกษาวิทยาการจัดการอุตสาหกรรมบริการ สำนักวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จัดขึ้น โดยมีนายวิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ดอยช้างคอฟฟี่ออริจินอล จำกัด ที่พัฒนาการปลูกกาแฟบนดอยช้างจนทำให้กาแฟดอยช้างมีชื่อติดอันดับโลก เป็นวิทยากร และมีคณาจารย์ – นักศึกษาเข้ารับฟัง สอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง เป็นจำนวนมากนั้น

นายวิชา เล่าถึงความเป็นมาของการพัฒนากาแฟดอยช้างว่า เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนได้มีโครงการหลวงเข้าไปพัฒนาภาคเหนือด้วยการส่งเสริมให้ชาวบ้านบนพื้นที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ในส่วนของพื้นที่ดอยช้างก็ได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟพันธุ์ดีจากกรมประชาสงเคราะห์และองค์กรไทย-เยอรมันไปปลูก มีชาวบ้านเป็นชาวเขาเผ่าอาข่า ลีซู รวมจำนวน 40 หลังคาเรือนทำการปลูก แต่ต่อมาประสบปัญหาเรื่องการตลาด ถูกพ่อค้ากดราคาลง การขนส่งก็ยากลำบาก จึงมีเนื้อที่เพาะปลูกเหลือเพียงประมาณ 500 ไร่

กระทั่งเมื่อประมาณ 12 ปีก่อน เมื่อตนมีโอกาสเข้าไปสัมผัสชีวิตกับชาวบ้านบนดอยช้างจึงได้ศึกษาสิ่งที่มีอยู่ พบว่ากาแฟประมาณ 500 ไร่ดังกล่าวมีราคาขายกันบนดอยช้างเพียงแค่กิโลกรัมละเพียงประมาณ 10 กว่าบาท แต่เมื่อพ่อค้านำมาขายที่พื้นราบหรือในเมือง กลับมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 50-60 บาท ซึ่งหากชาวบ้านสามารถขายได้เองโดยตรงก็จะมีรายได้ดี เพราะกาแฟ 1 ไร่เก็บเกี่ยวกาแฟได้ประมาณ 100 กิโลกรัมหรือไร่หนึ่งจะมีรายได้ 5,000-6,000 บาท

ด้วยเหตุนี้ จึงอาศัยเครือขายเพื่อนฝูงและนักธุรกิจ ในการศึกษาตลาดควบคู่กับส่งตัวอย่างกาแฟที่ปลูกบนดอยช้าง ไปยังผู้ทรงภูมิทั้งในและต่างประเทศ

ปรากฏว่าทั้งหมดต่างระบุว่า กาแฟบนดอยช้างมีคุณภาพเกรดเอ ตนจึงได้กลับไปยังดอยช้างและร่วมกับชาวบ้านในการขยายพื้นที่ปลูก และศึกษาจากนักวิชาการฝ่ายต่างๆ จนสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ไร่ละประมาณ 300 กิโลกรัม จากนั้น พัฒนาการตลาดและพัฒนาระบบการผลิตเรื่อยมาด้วยเงินทุนเพียงประมาณ 350,000 บาท

กระทั่งปัจจุบันทุ่มทุนไปแล้วประมาณ 700 ล้านบาท จนสามารถทำราคาจำหน่ายหลังแปรรูปกาแฟได้กิโลกรัมละกว่า 40,000-50,000 บาทแล้ว ขณะที่ไร่กาแฟก็เพิ่มมากขึ้นเป็นกว่า 20,000 ไร่ทั่วดอยช้าง จนกลายเป็นกาแฟส่งออกชื่อดังสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยได้ปีละกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ทั้งที่มาจากหมู่บ้านเพียงเล็กหมู่บ้านเดียว

ดังนั้น การสอนเชิงธุรกิจ กาแฟดอยช้าง จึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทางดอยช้างของเราพร้อมจะให้เป็นสถานที่ศึกษาและเผยแพร่ทางวิชาการ โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์เรื่องผลผลิตต่อไร่ของชาวบ้าน และค่อยๆ พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นการพัฒนาผลผลิตที่เหมาะสมกับพื้นที่ในที่สุด เข้าทำนอง 1 หมู่บ้าน 1 ผลิตภัณฑ์

เขาบอกว่า ทั้งนี้ยังมีพื้นที่ของประเทศไทยอีกมากมายที่มีลักษณะอย่างนี้ เพราะเรามีดินที่มีคุณภาพ น้ำฝนที่มีปริมาณเพียงพอ ตนเชื่อในศักยภาพของภูมิประเทศและประชากรโดยแต่ละแห่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อย่างบนดอยช้างมีดิน อากาศและน้ำฝนเพียงพอ ประชากรก็มีความขยันและอดทน แต่พวกเขาไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่สามารถเดินทางลงพื้นราบได้ การตลาดก็มีปัญหา เราเข้าไปร่วมมือกับชาวบ้านแก้ไขปัญหานี้ และพัฒนาคุณภาพรวมทั้งกระบวนการจนประสบความสำเร็จในปัจจุบันได้ในที่สุด



ที่มา ผู้จัดการ
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-4469


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 4:47 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/11/2011 4:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,354. ฟาร์มตัวเงินตัวทอง สัตว์เศรษฐกิจ





ฟาร์มตัวเงินตัวทอง สัตว์เศรษฐกิจ แห่งแรกของประเทศไทย โกอินเตอร์ส่งออกนอก

วันนี้จากสัตว์ที่ทุกคนรังเกียจ จะกลายเป็นสัตว์มีค่าดุจทอง ดังชื่อ “ตัวเงินตัวทอง” เพราะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เตรียมผลักดันให้กลายเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ด้วยการสร้าง ฟาร์มตัวเงินตัวทอง สัตว์เศรษฐกิจ แห่งแรกของไทย

เดินทางนั่งรถไปเพียงแค่ 80 กิโลเมตรกว่าๆ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตบางเขน ไปยังวิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม เรียกได้ว่าหลับอิ่มหนึ่งตื่นพอดีก็ถึงที่หมาย เห็นพื้นที่สีเขียวครึ้มพร้อมต้นไม้ใหญ่ลานตา แดดที่ว่าเปรี้ยงก็รู้สึกร่มไม่ร้อนอย่างที่คิด มีอธิการบดี ม.เกษตร “รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์” มาคอยท่า พร้อมกับเจ้าบ้านอย่างรองอธิการบดี “รศ.ดร.สมบัติ ชิณะวงศ์” และคณะมารอต้อนรับ

อธิการ ม.เกษตร เปิดเผยถึงแนวคิดที่จะสร้าง ฟาร์มตัวเงินตัวทอง สัตว์เศรษฐกิจ แห่งแรกในประเทศไทย ว่า อย่างที่ทราบกันว่าความที่มันมีจำนวนมาก และหลายครั้งก็สร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย อาจจะไปเพ่นพ่านตามบ้านเรือนคนทำให้ชาวบ้านหวาดผวา เพราะเป็นเหมือนกับสัตว์อัปมงคลก็ดี ในส่วนของเกษตรกรก็ไปกัดกินสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ทำให้ผลผลิตเสียหาย ซึ่งหากเราทำให้สัตว์พวกนี้อยู่ในที่ๆ ของมันโดยไม่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้ก็เป็นเรื่องดี และจะยิ่งดีไปกว่านี้อีกหากมันสามารถสร้างรายได้ หรือทำเงินให้กับประเทศไทย



มติชน
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-4496
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/11/2011 9:01 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,355. ‘อ้อมขวัญ’ แม่มดแห่งบุปผา รับเสกดอกไม้ช่อเดียวในโลก





ในวันสำคัญ หรือเทศกาลแห่งความสุขต่างๆ “ดอกไม้” มักถูกหยิบมาใช้สื่อความหมายดีๆ และดอกไม้ที่มอบให้แก่กันนั้น จะยิ่งมีความหมายมากขึ้นเมื่อได้รับการจัดตบแต่งสวยงาม ซึ่งการจัดดอกไม้นับเป็นศาสตร์และศิลป์แขนงหนึ่ง โดยผู้ที่จะทำได้ดีต้องมีทั้งฝีมือบวกประสบการณ์ รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์
หนึ่งในนั้น คือ อ้อมขวัญ สาณะเสน นักออกแบบดอกไม้อิสระที่มีผลงานน่าจับตามองที่สุดในปัจจุบัน ด้วยสไตล์เฉพาะตัว อีกทั้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดดอกไม้ในงานสำคัญๆ อีกมากมาย ซึ่งได้มาบอกเล่าถึงเส้นทางในการเข้ามาสู่ถนนอาชีพสายนี้

อ้อมขวัญ ย้อนจุดเริ่มต้นก่อนที่จะก้าวมาเป็นนักออกแบบดอกไม้อาชีพว่า หลังจบมัธยมปลายได้ศึกษาต่อ ด้านศิลปะที่กรุงลอนดอน ตั้งแต่อายุ 18 ปี เมื่อจบจึงอยู่ทำงานต่อ โดยทดลองงานหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังไม่พบตัวเอง กระทั่งได้ไปทำงานร้านดอกไม้ของคนไทยในกรุงลอนดอน ตามคำแนะนำของเพื่อน

การทำงานที่นี่ อ้อมต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง จนเกิดความผูกพัน และตั้งใจว่า จะยึดการจัดดอกไม้เป็นอาชีพ เพราะไปทำงานทุกวันอย่างมีความสุข นอกจากนั้น ยังได้ใช้ความรู้ด้านศิลปะกับการจัดดอกไม้ด้วย

เมื่อแน่วแน่ว่าจะเดินบนถนนสายนี้ จึงย้ายมาทำงานที่ร้าน “Wild at Heart” ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านดอกไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน ในตำแหน่ง Senior Stylish เพื่อต้องการหาความรู้มากขึ้น และมีประสบการณ์แตกต่างกันไป

ผลที่ได้ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะระยะเวลา 5 ปีของการทำงานที่นี่ อ้อมบอกว่า สิ่งที่ได้นอกจากฝีมือด้านการจัดดอกไม้แล้ว คือ ด้านการบริหารงาน และการตลาด





“เมื่อทำงานกับร้านใหญ่ เราจะได้ความรู้ ซึ่งร้านเล็กๆ จะไม่ได้สัมผัส เช่น ลูกค้าของร้านนี้ มีแบรนด์เนมดังๆ มากมาย เช่น หลุยส์ วิกตอง , ทิฟฟานี และโรงแรมใหญ่ๆ ทั่วไป การจัดดอกไม้จึงมีทุกประเภท ลูกค้ามีความต้องการแตกต่างกันไป เราได้เรียนรู้ว่าจะติดต่อกับลูกค้าอย่างไร เรียนรู้ว่าวางแผนการทำงานอย่างไร การสั่งดอกไม้อย่างไร คิดต้นทุนสินค้าทำอย่างไร ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดดอกไม้อย่างเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางครั้งเป็นส่วนที่สำคัญมากกว่าการจัดดอกไม้ด้วยซ้ำ”

แม้จะทำงานในตำแหน่งที่ดี อีกทั้งรายได้ค่อนข้างสูง แต่มาถึงจุดที่อ้อมขวัญ ตัดสินใจจะลาออกเพื่อกลับประเทศไทย เนื่องจากเริ่มไม่สนุกกับการทำงาน เพราะไม่มีเวลาที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ทุกอย่างที่ทำกลายรูปแบบงานประจำ

“เราทำมาเยอะ จนรู้ว่า จะทำอย่างไรให้ออกมาสวยแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเดิมที่ใช้มาจนเป็นสูตรสำเร็จ ไม่มีการสร้างงานใหม่ๆ สำหรับลูกค้าคงพอใจ แต่สำหรับเราที่ทำเหมือนเดิมมาเป็นพันๆ ครั้ง ก็อยากหาอะไรใหม่ๆ บ้าง ถึงแม้เราจะชอบดอกไม้ แต่ให้เวลามาจมอยู่อย่างนี้ มันไม่คุ้ม ในเมื่อเราได้ประสบการณ์มาแล้ว จึงตัดสินใจออกมา นอกจากนั้น ก็อยากกลับเมืองไทยด้วย”

หลังจากประเทศไทยไป 14 ปี เมื่อกลับมาตอนปี 45 อ้อมขวัญ ค่อยเป็นค่อยไปในการหาช่องทางประกอบอาชีพอีกครั้ง ลูกค้าช่วงแรกเป็นคนใกล้ตัว และมีการแนะนำต่อกันๆ ไป กระทั่งปัจจุบัน มีลูกค้ากลุ่มประจำแน่นอน ใช้ โทร. สั่งเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ จะไม่มีแคตตาล็อกให้เลือกแบบ แต่จะพูดคุยเพื่อให้รู้ถึงความต้องการของผู้สั่งจริงๆ

“สิ่งที่เราให้ลูกค้า ไม่ใช่แค่สักแต่จะจัดดอกไม้ แต่นี่คือ สินค้าบริการตัวหนึ่ง และมั่นใจได้ว่า จะได้ดอกไม้ที่ดี และมีชิ้นเดียวในโลก มีความพิเศษไม่เหมือนใคร สมมุติมีลูกค้าคนหนึ่งมาสั่ง อ้อมจะถามว่า คุณจะสั่งให้ใคร เขาอายุเท่าไร เป็นคนอย่างไร เขามีชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร จะต้องเดินทางไกลไหม แพ้ดอกไม้ชนิดไหน หรือจัดดอกไม้ให้สถานที่หนึ่ง เราก็ต้องรู้ว่า คอนเซ็ปท์เป็นอย่างไร และต้องคำนึงถึงคนที่อยู่ในสถานที่นั้น ด้วยว่า เป็นอย่างไร เราต้องมีข้อมูล ไม่ใช่ว่า มีแบบสำเร็จรูป ฉันเลือกเอาเบอร์ 1 เบอร์ 2 นะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมากกว่าการจัดดอกไม้”

อ้อมขวัญ อธิบายถึงจุดเด่นในงานของเธอ คือ ความเรียบง่ายที่ลงตัว โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อีกทั้งทำงานโดยมีมาตรฐานของตัวเอง และจะเลือกทำงานที่ตัวเองถนัด

นอกจากจะรับจัดตามออเดอร์แล้ว อ้อมขวัญยังรับออกแบบการจัดดอกไม้ในงานต่างๆ อาทิ กิจกรรมเปิดตัวสินค้าจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น เอไอเอส และทีเอ ออเรนท์ หรืองานพิธีต่างๆ เช่น แต่งงาน เป็นต้น

และเนื่องจากงานของเธอ เป็นการสร้างสรรค์ชนิดมีชิ้นเดียวในโลก ราคาค่าบริการโดยเฉลี่ยจึงค่อนข้างสูง ซึ่งเธอยอมรับ แต่ชี้แจงว่า ราคาที่คิดเหมาะสมกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา บวกกับเวลาในความคิดและผลิต นอกจากนั้น ขึ้นอยู่กับว่า แพงในที่นี้ ใครเป็นคนมอง

“แน่นอนกว่า ราคาจะต้องสูงเพราะเป็นงานสร้างสรรค์ แต่ไม่ใช่ว่าจะรับแต่งานแพงเพียงอย่างเดียว งานเล็กๆ ราคา 500 บาท อ้อมก็รับ เรื่องราคาต่างๆ มันละเอียดอ่อน ในกรณีของอ้อม คิดว่า ลูกค้าผู้รับจะได้สินค้าที่อยากได้จริงๆ และผู้ส่งก็จะรู้สึกดี ที่ได้ให้สินค้าที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่ว่าบางคนไม่เข้าใจว่า ที่มาของราคา มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และเวลาที่ใช้ไป เขาไม่มองว่า เวลาเราทำงานสักชิ้น ใช้เวลานั่งคิดเท่าไร เคยมีคนถามว่า ดอกไม้ราคาไม่เท่าไรนะ ทำไมคิดค่าจัดแพงจัง แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่การสร้างสรรค์ ถ้าจะเลือกขายแบบโรงงาน มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เราต้องการทำงานที่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้น ก็ต้องยอมรับว่าลูกค้าน้อยลง แต่เราพอใจ ที่คุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องเถียงกันขอลดราคาแค่เงินไม่กี่บาท”


http://www.thaismefranchise.com/?p=10217
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/11/2011 9:10 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,356. แคนตาลูป ผลไม้โปรด...มาดูสิว่า เขาปลูกกันยังไง ?





เงินลงทุน : ประมาณ 26,000 บาท (รวมค่าแรงและค่าวัสดุ)

รายได้ : 45,000 บาท : 4,500 กิโลกรัม : ไร่ (ราคาเฉลี่ย 10 – 15 บาท : 1 กิโลกรัม)

วัสดุ/อุปกรณ์ : จอบ เสียม เครื่องสูบน้ำ สายยาง เครื่องฉีดพ่นสารเคมี กรรไกรตัดแต่งกิ่ง

แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ : ร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรทุกแห่ง


วิธีการปลูก :
1. เตรียมดิน โดยไถดินให้ลึก 30-40 ซม. ตากดินไว้เช่นนั้นประมาณ 7–10 วัน แล้วไถพรวนให้ร่วน หว่านปูนขาวในอัตรา 100-200 กิโลกรัม : ไร่ พร้อมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม : ไร่ และปุ๋ยสูตร 15–15–15 อัตรา 500 กิโลกรัม : ไร่

2. ทำแปลงปลูกขนาดกว้าง 1 ม. ด้านที่ปลูกพืช คลุมด้วยพลาสติก อีกด้านหนึ่งคลุมด้วยตาข่ายพลาสติก เพื่อให้พืชสามารถเกาะเลื้อยไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเป็นแปลง แบบขึ้นค้างจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น 50 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว 1.2–1.5 ม. ส่วนการปลูกแบบเลื้อยจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น 70–100 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว 3 – 4 ม.





3. วิธีการเตรียมต้นกล้าแคนตาลูป ที่เพาะไว้
3.1 นำดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วโรยด้วยปุ๋ยสูตร 0–46–0 แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3.2 กรอกดินผสมลงในถุงปลูก (สีดำ)
3.3 นำเมล็ดหยอดตรงกลางถุง ๆ ละ 1-2 เมล็ด ประมาณ 3–4 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา ควรแกะเปลือกเมล็ดออกแล้วรดน้ำเช้า – เย็น
3.4 เมื่อต้นกล้าอายุ 10–12 วัน และมีใบแท้ 2–3 ใบ ต้องย้ายต้นกล้าไปปลูกในแปลง ตามข้อ 2

4. วิธีการย้ายที่ปลูก
4.1 ก่อนย้ายไปปลูก 1–2 วัน ต้องงดให้น้ำต้นกล้า เพื่อให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราว
4.2 ควรรดน้ำในหลุมปลูกให้ชุ่มก่อน เลือกนำต้นกล้าที่แข็งแรงลงปลูกหลุมละ 1 ต้น หลังจากปลูกเสร็จควรรดน้ำให้ดินปลูกชุ่มชื่นอีกครั้ง
4.3 ต้องให้น้ำต้นกล้าอย่างสม่ำเสมอเช้า – เย็น โดยเฉพาะหลังการติดผล หากขาด น้ำจะทำให้ผลไม่โตและอาจทำให้ผลกรอบปริแตก
4.4 การให้ปุ๋ยหลังย้ายปลูก 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 1 ช้อนแกง : น้ำ 10 ลิตร แล้วรดน้ำที่โคนต้น 20-30 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัม : ไร่ โดยใส่ปุ๋ย ระหว่างต้น 40 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 25 กิโลกรัม : ไร่ และก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต 1-2 สัปดาห์ ให้หว่านปุ๋ยโปแตสเซียมผสมปุ๋ยยูเรีย อัตรา 1 : 1 เพื่อเพิ่มความหวานและสีสันของผลน่ารับประทานยิ่งขึ้น





5. วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและแมลง
- โรคเหี่ยว ควรหลีกเลี่ยงการปลูกซ้ำพื้นที่เดิมที่เคยปลูกพืชตระกูลแตงชนิดอื่น
- โรคราน้ำค้าง ป้องกันด้วยสารดาโคนิล ริโดมิล หรือเอพรอน 35
- โรคไหม้ กำจัดด้วยสารพวกคาร์เบนดาซิมและเบนเลท
- แมลงเต่าทองและหนอน กำจัดด้วยสารพวกโมโนโครโตฟอส
- เพลี้ยไฟ กำจัดด้วยสารพวกคาร์โปซัสแฟนและเมทโธมิล

วิธีตัดแต่งเพื่อการเก็บเกี่ยว : ควรตัดแต่งกิ่งแขนง ตั้งแต่ข้อที่ 1–8 ออกให้หมด โดยเริ่มไว้ดอกหรือผลแคนตาลูป ตั้งแต่ข้อที่ 9–10 และ 10–11 ข้อละ 1 ผล ส่วนแขนงที่เกิดตั้งแต่แขนงที่ 13 ขึ้นไปตัด แต่งออกให้หมด เพื่อให้ผลที่เก็บไว้มีการเจริญเติบโตได้ดี เมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดให้เลือกผลที่ดีที่สุดไว้เพียงผลเดียว และห่อผลให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันแมลงเลือกเก็บเกี่ยวแคนตาลูปสุกไม่น้อยกว่า 80% โดยพิจารณา ดังนี้

1. นับอายุหลังจากดอกเริ่มโรยไม่ต่ำกว่า 30–35 วัน
2. สังเกตรอยแตกปริของขั้วผลสีผิว ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีตาข่ายจะสังเกตเห็นตาข่ายนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
3. มีกลิ่น พันธุ์ที่มีกลิ่นหอม เมื่อสุกจะได้กลิ่นแตงสุก





ตลาด/แหล่งจำหน่าย : ตลาดสด/ผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ขายส่งพ่อค้าคนกลางที่มารับในสวน

ข้อแนะนำ : ชนิดพันธุ์ที่ควรปลูก ได้แก่
1. พันธุ์หวานสีทอง (นัมเบอร์วัน) ผิวสีเหลืองสวยงาม น้ำหนักผล 2–2.5 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 70–75 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก

2. พันธุ์โลว์แลนด์ (LOWLAND) แข็งแรง ทนต่อโรคราน้ำค้าง ปลูกได้ตลอดปี อายุเก็บเกี่ยว 70–75 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก

3. พันธุ์อะโรม่า (AROMA) แข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศร้อนและโรคราน้ำค้างได้ดี กลิ่นหอม รสหวาน ผลผลิตสูง น้ำหนักผลประมาณ 1 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 65–70 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก

4. พันธุ์ซันเลดี้ (ปลูกไม่ได้ในฤดูหนาว)



http://www.thaismefranchise.com/?p=3614



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 01/12/2011 10:01 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,357. ทำนา 100 ไร่ สู้กะเฉด 20 ไร่ ไม่ได้



"เรียกว่า ทำนา 100 ไร่ รายได้ยังไม่ดีเท่าปลูกผักกระเฉดในพื้นที่ 20 ไร่"

จุดเริ่มต้นในการเข้ามาสู่อาชีพ เริ่มจากการไปเห็นการซื้อขายผักกระเฉดในตลาด จึงทำให้จุดประกายขึ้นมา พื้นที่ 20 ไร่ ที่เดิมเคยเป็นผืนนาถูกปรับเปลี่ยน เมื่อเขาได้ไปเก็บเกี่ยวข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผักกระเฉดมาจากเกษตรกรในจังหวัดต่าง ๆ ที่ประกอบอาชีพนี้

"ผมสนใจในโครงการของในหลวง ท่านจะนำโครงการไปช่วยเหลือชาวบ้านในทุกพื้นที่ ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหนท่านก็ไปช่วย ผมมาคิดดูแล้ว เราทำไม ไม่พึ่งตัวเองบ้าง เอาในหลวงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว หลังจากที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนี้ว่าให้ผลตอบแทนดี ตลาดมีความต้องการจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการปลูก เพราะเรามาจากช่างรับเหมา ไม่มีความรู้ด้านนี้ จึงต้องทุ่มเทศึกษาอย่างเต็มที่ รวมไปถึงเรื่องของตลาดด้วย ผมจะเดินตลาดหมด ดูว่าพ่อค้าแม่ค้าผักกระเฉดเขาต้องการอย่างไร จนเดี๋ยวนี้รู้จักกันหมดแล้ว"

"เรื่องตลาดตอนนี้ผมไม่ห่วงเลย วันหนึ่ง 1,000 กำ ที่ผมต้องมีไว้ทุกวัน" ถเวีย กล่าว

สำหรับการปลูกผักกระเฉดนั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง อันดับแรกได้แก่ พื้นที่ปลูกควรเป็นพื้นที่ดินเหนียวที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี อุณหภูมิ เนื่องจากผักกระเฉดเป็นผักในเขตร้อนชื้น จึงชอบอุณหภูมิอยู่ระหว่างช่วง 25-30 องศาเซลเซียส และสุดท้ายในเรื่องของแสง การปลูกผักกระเฉดต้องปลูกกลางแจ้ง การที่ผักกระเฉดได้แสงเต็มที่ตลอดทั้งวันจะช่วยส่งผลให้การเจริญเติบโตดีมาก


เน้นปลอดสารเคมี ใช้ธรรมชาติควบคุม
ในการปลูกผักกระเฉด ถเวีย บอกว่า เขาให้ความสำคัญมากเกี่ยวกับเรื่องการจัดการดูแล ที่ต้องมีความละเอียดรอบคอบ มีการตรวจตราผักกระเฉดที่ปลูกอยู่ตลอดเวลา และหมั่นศึกษาหาข้อมูลถึงวิธีการที่จะทำให้ผักกระเฉดเจริญเติบโตได้ดี

"ในบ่อผมจะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ผมปลูกเพื่อทดลองว่าวิธีการใดที่สามารถทำให้ผักกระเฉดของผมเจริญเติบโตงอกงาม ความรู้ต่าง ๆ นั้น ผมก็ได้มาจากการไปพูดไปคุยกับคนปลูก ว่าแต่ละพื้นที่มีวิธีการทำกันอย่างไร อะไรดี เราก็เก็บมาปรับปรุงในแปลงปลูกของเรา"

พร้อมกันนี้การปลูกผักกระเฉดของที่นี่ได้เน้นมากในเรื่องของการปลอดการใช้สารเคมี ด้วยเจ้าของเป็นห่วงสุขภาพของผู้บริโภค การปลูกผักกระเฉดแบบปลอดสารพิษจึงเป็นแนวทางเขาเลือกปฏิบัติอยู่ในเวลานี้

"ผมไม่ใช้สารเคมี หลายคนบอกผักกระเฉดมีแมลงที่เข้าทำลายมาก ต้องฉีดพ่นยา แต่ผมไม่ต้อง เพราะผมใช้วิธีการตรวจก่อน หากพบว่ามีปริมาณที่ส่อว่าจะสร้างปัญหาให้กับผักกระเฉดที่ปลูก จะใช้วิธีสุ่มไฟที่บริเวณต้นลม ทำให้เกิดควันมาก ๆ เพื่อให้มารมควันในจุดที่พบการระบาดของแมลง เท่านี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้"

นอกจากวิธีการสุมควันไล่แมลงแล้ว เจ้าของแปลงผักกระเฉดแห่งนี้ยังใช้วิธีการให้ธรรมชาติควบคุม หากเข้าเยี่ยมในแปลงปลูกจะพบว่า มีเสาไฟไม้ปักเป็นหลักไว้อย่างมากมาย เสาไม้เหล่านี้ใช้ประโยชน์เพื่อให้นกนางแอ่นที่มีอยู่มากมายในบริเวณพื้นที่นี้มาเกาะ

"นกนางแอ่น สร้างประโยชน์ให้ผมคือ จะกินแมลงเข้ามาระบาดในแปลง มีแมลงมากเท่าไหร่ก็หมด โดยมากแล้วนกจะเข้ามาหากินในช่วงตอนเช้า" ถเวีย กล่าวและว่า หากจะใช้วิธีการนี้จุดสำคัญคือต้องมีหลักไว้ให้นกเกาะ ไม่เช่นนั้นนกจะมาหากินในบริเวณนี้


ปลูกด้วยพันธุ์ไทยลูกผสม
เขาเล่าให้ฟังถึงการปลูกผักกระเฉดว่า หลังจากที่ทำคันบ่อเป็นสี่เหลี่ยมเรียบร้อยแล้ว ได้ใช้รถไถนาเล็กลง เพื่อทำเลนให้มีความหนา ประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อทำเลนพร้อมแล้ว จะนำต้นพันธุ์ผักกระเฉดมาลงปลูก โดยการปลูกนั้นจะใช้วิธีการดำ วางรูปแบบของกอผักกระเฉดให้เป็นวงกลม

โดยปกติที่เขาปลูกจะใช้ต้นพันธุ์ผักกระเฉด ประมาณ 15 ยอด ต่อกอ สำหรับท่อนพันธุ์ที่นำมาใช้จะเน้นเฉพาะส่วนของโคนมาถึงบริเวณกลาง ๆ ของลำต้นเท่านั้น ในส่วนของยอดเขาจะไม่นำมาเป็นท่อนพันธุ์สำหรับปลูก โดยมีรัศมีห่างกันประมาณ 6 ศอก ต่อกอ การปลูกผักกระเฉดมีข้อแนะนำว่า ควรทำให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันเดียว

"ข้อดีในการที่เราปลูกทีเดียวให้เสร็จ คือ ทำให้รากติดดินได้เร็ว และจะเจริญเติบโตพร้อมกัน เมื่อเก็บเกี่ยวจะสามารถเก็บพร้อมกันได้ทั้งหมดทีเดียว" โดยหลังจากปลูกแล้วประมาณ 1 เดือน ก็สามารถเก็บยอดออกจำหน่ายได้ เมื่อถามถึงสายพันธุ์ของผักกระเฉดที่นำมาปลูก ถเวีย บอกว่า

"เท่าที่ศึกษาผมพบว่า ผักกระเฉด มีอยู่ด้วย 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ไทยลูกผสม พันธุ์นี้ใบจะมีตั้งแต่ 4-5 และ 6 ใบ เป็นพันธุ์ที่ผมปลูกเพราะมีใบสวยนวล ช่วงของลำต้นยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ให้ผลผลิตดี ขณะที่พันธุ์ที่สองคือ พันธุ์ไทยธรรมดา เป็นพันธุ์โตช้า ข้อสั้น ใบเล็ก ปลูกเพื่อการค้าไม่ได้ผลดี และสุดท้ายพันธุ์ใบใหญ่ พันธุ์นี้ให้รสชาติไม่อร่อย จึงไม่น่าปลูก"

หลังจากปลูกแล้วและปล่อยให้อยู่ในลักษณะแห้งไม่มีน้ำนานประมาณ 15 วัน จะเริ่มนำน้ำเข้า โดยเข้าทีละประมาณ 20-30 เซนติเมตร ตามความยาวของลำต้นผักกระเฉดที่ขึ้นมา โดยระดับน้ำที่ปล่อยเข้าสูงสุดต้องไม่เกิน 80 เซนติเมตร

น้ำที่นำมาใช้ในการปลูกผักกระเฉด เขาเน้นว่า ต้องเป็นน้ำที่จืดสนิท เนื่องจากในเขตพื้นที่บ้านศรีจุฬานั้นจะมีปัญหาน้ำเค็มเข้ามาตามคลองชลประทาน ดังนั้น จึงต้องมีการตรวจน้ำกันอย่างดี เพราะหากสูบน้ำเค็มเข้ามาในบ่อแล้วผักกระเฉดจะชะงักและไม่เจริญเติบโต

"บางทีผมใช้วิธีการตรวจน้ำ โดยการอมน้ำว่าเป็นน้ำจืดสนิทหรือไม่"


ในบ่อใช้แหนไข่ปลา
"ที่สำคัญในการปลูกผักกระเฉดคือ แหน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำมาใส่ เพราะหากปลูกแล้วไม่มีแหน ผักกระเฉดที่ออกมาจะดำไม่สวย แหนจะไปช่วยฟอกทำให้นมผักกระเฉดขาว แหนที่ผมใช้จะเน้นแหนที่เรียกว่า แหนไข่ปลา ซึ่งเป็นแหนที่มีขนาดเล็ก ละเอียด โดยไม่เอาแหนใบใหญ่มาลง เพราะจะไปหนุนยอดและใบผักกระเฉด โดยบ่อหนึ่งจะนำแหนมาใส่ ประมาณ 10 กระสอบ"

เขาบอกอีกว่า ในการเลี้ยงแหนนั้น สิ่งที่เน้นมากคือ แหนต้องกระจายอยู่ทั่วทั้งบ่อ ไม่มากระจุกตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง เขาจึงสร้างคันบ่อให้สูงเพื่อป้องกันเรื่องลมพัดแหน และวางโครงการต่อไปว่าจะปลูกกล้วยน้ำว้ารอบคันบ่อเพื่อเป็นกำบังลม

"แหนยิ่งอยู่ในที่อับลมยิ่งดี แต่หากยังไม่สามารถป้องกันลมได้เต็มที่อย่างช่วงนี้ผมใช้วิธีกั้นในบ่อด้วยตาข่ายเขียว เพื่อป้องกันไม่ให้แหนลอยไปตามแรงลม"

นอกจากนี้ ถเวีย กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ถ้าในช่วงอากาศเย็น ๆ แหนจะสามารถขยายปริมาณได้มากและรวดเร็ว ขณะที่หน้าร้อนการขยายตัวจะช้า สำหรับในช่วงที่มีแหนในบ่อมากเกินไป เขาจะใช้วิธีการตักแหนขายให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงปลา ในราคากระสอบละ 10 บาท

การปลูกผักกระเฉดของถเวีย หลังจากที่ตั้งกอดีแล้ว จะควบคุมดูแลทรงพุ่มให้เป็นวงกลมอยู่เสมอ ไม่ยอมให้ยอดของผักกระเฉดมาชนกัน เพราะจะทำให้ยอดไม่งาม

ในการดูแลเรื่องของปุ๋ย จะมีทั้งการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 20-20-20 ปูนมาร์ลและปุ๋ยคอกจากขี้วัว

ถเวีย กล่าวต่อไปว่า การเก็บผักกระเฉด จะเริ่มกันตั้งแต่ 2 โมงเช้า และไปเสร็จสิ้น ประมาณ 10 โมงเช้า โดยการลงไปเก็บผักนั้น ผู้เก็บจะมีโฟมสำหรับลอยน้ำเพื่อวางผักกระเฉด สำหรับความยาวของยอดที่เก็บ ขึ้นอยู่กับว่า จะส่งให้ผู้ค้าในตลาดระดับไหน โดยความยาวที่เก็บมีตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ไปจนถึงประมาณ 1 เมตร เมื่อเก็บขึ้นมาแล้วจะนำมามัดเป็นกำ แล้วจึงนำไปล้างน้ำให้แหนออกให้สะอาด จากนั้นจึงนำมาแต่งหน้าอีกครั้งก่อนนำไปเข้าฟ่อน แล้วรอให้พ่อค้ามารับ

"การเก็บผักกระเฉด ที่ผมปฏิบัติอยู่จะเน้นการเก็บแขนงที่ออกมา ไม่เก็บในส่วนยอด โดยผักกระเฉดลำต้นหนึ่งจะมีแขนงประมาณ 15 อัน ให้สามารถเก็บได้"

การที่จะสามารถเก็บได้ทุกวันอย่างต่อเนื่องนั้น ในแต่ละลำแขนงต้องมียอดเหลือไว้ประมาณ 3 ยอด เพื่อให้สามารถเก็บได้ในวันต่อไป

"ของผมจะแบ่งออกเป็นล็อก ๆ เพื่อให้หมุนเวียนเก็บได้ทุกวัน ของผมกอหนึ่งจะเก็บได้ประมาณ 4 กำ หรือ 60 ยอด"

สำหรับการจำหน่ายของที่นี่ ผักกระเฉด 1 กำ จะมี 15 ยอด ในขณะที่ปกติจะกำขายกันที่ 12 ยอด โดยราคาจำหน่ายสู่พ่อค้านั้นอยู่ที่กำละ 4 บาท

"นอกจากเจ้าใหญ่ ๆ ที่มารับแล้ว ของผมยังมีรายย่อย ที่เราไปช่วยให้เขามีรายได้ ส่วนมากเป็นคนค่อนข้างยากจน เราจึงช่วยให้เขามีรายได้ โดยคนที่มารับไปขายแบบรายย่อยนี้ จะมารับจากผมที่กำละ 4 บาท และไปขาย กำละ 5 บาท หรือบางคนก็ไปขาย 3 กำ 20 บาท แล้วแต่ เพราะนั่นคือการสร้างรายได้ของเขา" ถเวีย กล่าว

สำหรับในส่วนของโคนที่ตัดออกเพื่อตกแต่งให้สวยงาม ถเวีย บอกว่า เขาไม่ได้ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะนำมาใช้เป็นอาหารของปลาที่เลี้ยงไว้ อย่างเช่น ปลานิล ปลาดุก

พร้อมกันนี้เขายังได้แนะนำอีกว่า สำหรับการปลูกผักกระเฉด หากต้องการหารายได้เสริมด้วยการเลี้ยงปลาด้วยก็ได้ โดยปลาที่เหมาะสมที่สุดในการนำมาเลี้ยงคือ ปลาช่อน เนื่องจากเป็นปลาที่ไม่กินยอดและใบผักกระเฉด

ผักกระเฉด ของ ถเวีย คนมั่น จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสู้ชีวิต ที่ได้ไปลุยสวนของเขามาในครั้งนี้



http://www.crma.ac.th/histdept/archives/nn/nn_news_45/45-05-15-1-tech.htm
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 02/12/2011 5:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,358. กุหลาบสีฟ้า





ผู้จัดการออนไลน์ : เอบีซีนิวส์ - ดอกไม้ที่หลายคนยกย่องให้เป็น “ราชินี” คือ ดอกกุหลาบ แต่ที่คนในวงการดอกไม้จัดว่าเป็นสุดยอดของดอกกุหลาบอีกที ก็คือ “กุหลาบสีฟ้า” ที่จนบัดนี้ยังไม่มีนักเลงกุหลาบคนใด หรือนักวิทยาศาสตร์คนไหนเพาะพันธุ์ขึ้นได้เลย

ทุกวันนี้ตามตลาดดอกไม้ทั่วโลกมีกุหลาบงามๆ ให้เลือกชื่นชมกันมากมายหลายสี ไล่มาตั้งแต่สีชมพู สีส้ม ไปจนถึงสีคลาสสิคอย่างสีแดง กระทั่งแบบเป็นริ้วสีก็ยังมี แต่แม้จะพยายามมานานถึง 15 ปี จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสร้างสรรค์ดอกกุหลาบที่มีสีฟ้าตามธรรมาติขึ้นได้

ในโลกแห่งกุหลาบซึ่งถ้ามองเป็นมูลค่าตลาดก็คงประมาณได้ว่าเป็นธุรกิจมูลค่าราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น ความสำเร็จในการสร้างดอกไม้อะไรที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นขึ้นมา ย่อมหมายถึงผลกำไรมหาศาล

“มีคนรวยที่เป็นแฟนกุหลาบเยอะแยะ และอะไรก็ตามที่ไม่เหมือนใคร ก็มักจะขายได้ในราคาสูงทั้งนั้น” โรเบิร์ต สเกอร์วิน ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวน ที่มหาวิทยาลัย ยูนิเวอร์ซิตีออฟอิลลินอยส์ ที่เออร์บานา-แชมเปญ กล่าว

แล้วทำไมการเพาะดอกไม้สีฟ้าถึงยากนักยากหนา?

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสีฟ้าเป็นสีที่ซับซ้อนมาก นอกจากจะเป็นสีที่หายากแล้วยังเป็นสีที่ต้องพึ่งพาปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก

กว่าจะได้ดอกไม้สีฟ้านั้น ขั้นแรกต้องมีเม็ดสีตัวสร้างสีฟ้าชื่อ เดลฟินิดินเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องมีเม็ดสีที่ทำงานประกอบกันอีกตัวหนึ่ง และสุดท้ายคือต้องมีระดับความเป็นกรดที่เหมาะสมในเซลล์ของต้นไม้ เพื่อเอือ้ให้ดอกไม้ออกมาถูกโทนสี

ซึ่งตอนนี้ราชินีดอกไม้ผู้เย่อหยิ่งอย่างกุหลาบนั้น ไม่มีทั้งสามอย่าง!

“คิดจะเล่นกับกุหลาบน่ะไม่ง่ายเลยนะ” เดวิด ไบรน์ นักพันธุศาสตร์ดอกกุหลาบที่มหาวิทยาลัย เท็กซัสเอแอนด์เอ็ม ยูนิเวอร์ซิตี ในเมืองคอลเลจสเตชั่นบอก "มันไม่มีเม็ดสีสีฟ้า และดูไม่น่าจะผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูปได้ด้วย"

นักวิทยาศาสตร์ลองมาแล้วทุกทาง ทั้งการติดตาต่อกิ่ง ผสมข้ามพันธุ์ และลองใช้ยีนจากดอกพิทูเนียซึ่งเคยเพาะพันธุ์สีฟ้าได้แล้ว ... แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อปี 1986 บริษัทสัญชาติจิงโจ้ชื่อ ไบโอเทค ฟลอริยีน ถูกก่อตั้งขึ้นที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยมีวัตถุประสงค์เดียวคือ เพื่อสร้างกุหลาบสีฟ้าให้ได้

นักวิจัยของไบโอเทค ฟลอริยีน มีผลงานดีเด่นหลายอย่าง และเพาะพันธุ์ดอกลาเวนเดอร์ และดอกคาร์เนชันสีฟ้าได้สำเร็จ แต่ยังไงๆ ดอกกุหลาบสีฟ้าก็ยังเป็นโจทย์ที่ไม่มีใครตีแตก

ตอนนี้ไบโอเทค ฟลอริยีนยังไม่เปิดเผย ว่าวิจัยกุหลาบสีฟ้าคืบหน้าไปถึงไหน แต่ล่าสุดมีข่าวดีมาจากมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลด์ยูนิเวอร์ซิตี ในรัฐเทนเนสซีว่า กุหลาบสีฟ้าอาจไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินฝันอีกต่อไปแล้ว

วารสารเจอร์นัลออฟเมดิซินัลเคมิสทรี กำลังจะตีพิมพ์ผลการค้นพบของนักชีวเคมี ปีเตอร์ เก็นเกริช และอลิซาเบธ กิลแลม ผู้ช่วย ทั้งคู่ทำโครงการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการทำงานของตับ ว่าตับสามารถทำให้ยาแตกตัวได้อย่างไร แต่พวกเขากลับพบอะไร “เจ๋งๆ” ที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการสานฝันกุหลาบสีฟ้าได้

เก็นเกริชและกิลแลมพบเอนไซม์ในตับตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อพวกเขานำเอนไซม์ตัวดังกล่าวใส่ลงในแบคทีเรีย แบคทีเรียตัวนั้นก็เปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า

แม้วัตถุประสงค์หลักจะเป็นการศึกษาการทำงานของตับ แต่แบคทีเรียสีฟ้าที่พบโดยบังเอิญนี้ก็น่าจะเป็นตัวพลิกโฉมหน้าวงการดอกไม้ได้เหมือนกัน คณะทำงานเลยหันมาศึกษาเรื่องเอนไซม์ และลองใส่เอนไซม์นี้ลงในต้นกุหลาบ

ผลที่ได้ไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไร “ครั้งแรกสุดเราได้ดอกกุหลาบที่มีก้านเป็นจุดๆ สีฟ้า” เก็นเกริชเผย และยืนยันว่าพวกเขาจะยังพยายามต่อไป และมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จเข้าสักวัน

ระหว่างที่ยังพัฒนากุหลาบสีฟ้ากันไม่ได้ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็สนุกสนานกับการสร้างลูกเล่นให้ดอกไม้

ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชสวนอย่างสเกอร์วิน มีผลงานเป็นต้นกุหลาบไร้หนาม

“ผลที่ได้ยังไม่แน่นอนสักเท่าไหร่หรอก” สเกอร์วินบอก “แต่เราได้ต้นที่ไม่มีหนามเลยมาแล้วสองต้น”

นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยที่เล่นสนุกด้วยการพัฒนากุหลาบที่มีกลิ่นหอมหวานมากขึ้น โดยเอายีนจากดอกไม้ป่ากลิ่นหอมผสมเข้าไป

แต่สำหรับอนาคตของกุหลาบสีฟ้านั้น ตอนนี้คงต้องบอกว่าให้ใช้วิธีย้อมสีไปก่อน รับรองได้กุหลาบฟ้าชัวร์

ถึงจะยังไม่มีโอกาสส่งกุหลาบสีฟ้าเป็นของขวัญพิเศษสุดให้หวานใจ แต่ตอนนี้ก็มีดอกกุหลาบหลากสีให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวกันอยู่แล้ว ก่อนตัดสินใจมอบดอกกุหลาบเป็นของขวัญให้ใคร ลองศึกษาดูความหมายของกุหลาบแต่ละสี ตามที่สมาคมผู้ปลูกดอกไม้จัดแจกันนานาชาติเขาระบุเอาไว้



http://l0ui5.exteen.com/20090212/entry
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 02/12/2011 5:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,359. กุหลาบสีน้ำเงิน










กุหลาบเป็นไม้ดอกที่สวยงาม กลีบดอกมีสีสันหลากหลายให้ชมชื่น แต่ทว่าไม่เคยมีดอกกุหลาบที่เป็นดอกสีน้ำเงินให้ชื่นชมกันเลย และก็ไม่มีโอกาสวาสนาได้เห็นอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะได้มีการเพาะปลูกผสมพันธุ์กุหลาบมากว่า 5,000 ปี ได้สายพันธุ์ที่แตกต่างกันมากกว่า 2,500 สายพันธุ์ก็ตาม ยังไม่เคยปรากฏดอกกุหลาบสีน้ำเงินให้เห็นกันเลย

อันคำว่า Blue rose นั้น ก็มีความหมายแฝงบ่งบอกอยู่แล้วว่า ไม่มีทางเป็นไปได้

เนื่องจากธรรมชาติของกุหลาบนั้นไม่มียีนที่จะสังเคราะห์สาร Flavonoid3'5'-hydroxide enzyme ที่จำเป็นในการสร้างสีน้ำเงินขึ้นมา แต่เมื่อไม่นานมานี้ (ปี 2006) บริษัท日本三得利 (ยึเปิ่นซานเต๊อะลี่) ประเทศญี่ปุ่น ได้สร้างพันธุ์กุหลาบที่ให้ดอกสีน้ำเงินขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ คาดว่าน่าจะเป็นการใช้เทคนิคต่อเติมพันธุกรรมอย่างแน่นอน

แต่ทว่า ในขณะเดียวกันที่ตลาดไม้ดอก เต่าหนาน ในเมือง คุนหมิง นั้น ก็มีดอกกุหลาบสีน้ำเงินให้ยลโฉมด้วยเช่นเดียวกัน และไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดัดแปรพันธุกรรมแต่ประการใด คงใช้เทคนิคง่ายๆเท่านั้น นั่นก็คือ เทคนิคการย้อมสี ที่ใครๆก็ทำได้นั่นแล

เอารูปมาฝากค่ะ



http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2270275
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 04/12/2011 6:39 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,360. เกษตรกรนับแสนราย อาจถูกริบที่ดิน

จากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน


เกษตรกรนับแสนรายอาจถูกริบที่ดิน จากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินปลายปีนี้ เนื่องจากเป็นหนี้เกิน 8 ปี ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเร่งหาทางช่วยเหลือ

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติเปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่าลูกหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวนประมาณแสนรายอาจจะถูกริบที่ดินในปลายปีนี้ โดยส่วนใหญ่ลูกหนี้เหล่านี้เป็นเกษตรกรที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้ไปซื้อหนี้เหล่านี้มาจากสถาบันการเงิน ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งแก้ปัญหา โดยอาจจะใช้มาตรการทางกฎหมายโดยการพักการริบที่ดินของเกษตรกรไว้ก่อน และส่งเสริมแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรในการเพิ่มรายได้ ลดหนี้ และลดรายจ่าย ให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้โดยจัดอบรมเป็นหลักสูตรให้เป็นแบบอย่างเพื่อให้เกษตรกรแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

สำหรับเกษตรกรรายหนึ่ง ๆ จะเป็นหนี้เฉลี่ย 50,000 ถึง 100,000 บาท ถือครองที่ดินเฉลี่ยรายละ 12 ไร่ โดยหนี้เหล่านี้จะมีระยะเวลาเกินกว่า 8 ปีทั้งหมด จำนวนคนผู้เป็นหนี้มากอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่จำนวนเงินที่เกษตรกรเป็นหนี้มากที่สุดอยู่ในภาค



http://www.naewna.com/news.asp?ID=79019


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 07/12/2011 7:36 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 04/12/2011 6:41 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,361. วิจัยปุ๋ยหมักระบบกองเติมอากาศ สร้างรายได้ชาวบ้านเดือนละ 3 หมื่น



ผศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร คณะอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเกษตรและอาหาร คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า การวิจัยการผลิตปุ๋ย หมักระบบกองเติมอากาศ (Aerated Static Pile Commposting System) ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เพื่อให้ได้ระบบการผลิตปุ๋ยหมักในเชิงพาณิชย์ของชุมชนโดยไม่ต้องพลิกกลับกองปุ๋ย พบว่า การหมักปุ๋ยระบบกองเติมอากาศสามารถหมักปุ๋ยได้เสร็จ ภายในระยะเวลา 1 เดือน ได้ปุ๋ยคุณภาพดี โดยไม่ต้องพลิกกลับกองปุ๋ยและมีค่าองค์ประกอบธาตุอาหารตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ กำหนดนอกจากนี้ ยังสามารถผลิตปุ๋ยหมักได้ประมาณมากถึงเดือนละ 10 ตัน

ทั้งนี้ การหมักปุ๋ยทำโดยกองบนพื้นดินกลางแจ้งและไม่ต้องมีโรงเรือน ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยได้ทุกฤดูกาล มีการทำงานที่ง่ายและใช้พลังงานต่ำ ช่วยให้เกษตรกรสามารถนำระบบนี้ไปผลิตปุ๋ยหมักในเชิงพาณิชย์เป็นอาชีพเสริมได้ เป็นอย่างดี โดยการผลิตปุ๋ยหมัก นี้มีค่าการลงทุนขั้นต้นประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วย พัดลม ระบบท่อ และระบบ ไฟฟ้า แต่หากลงทุนชุดใหญ่เต็มรูปแบบใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนบาท เกษตรกรจะ มีรายได้จากการจำหน่ายปุ๋ยหมักไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาท ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรผลิตปุ๋ยหมักด้วยระบบนี้ไม่ต่ำกว่า 300 แห่งแล้ว

ผศ.ธีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรผู้ที่สนใจงานวิจัยดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ศูนย์สาธิตการผลิตปุ๋ยหมักระบบกองเติมอากาศ ภาควิชาวิศวกรรมเกษตรและอาหาร คณะวิศวกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร.053-875563 หรือ www.compost.mju.ac.th


http://www.naewna.com/news.asp?ID=100730
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 48, 49, 50 ... 72, 73, 74  ถัดไป
หน้า 49 จากทั้งหมด 74

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©