-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-กล้อมแกล้ม- กล้อมเกลอะ -เลอะกันใหญ่....
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - กล้อมแกล้ม- กล้อมเกลอะ -เลอะกันใหญ่....
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

กล้อมแกล้ม- กล้อมเกลอะ -เลอะกันใหญ่....

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 26/10/2010 6:57 pm    ชื่อกระทู้: กล้อมแกล้ม- กล้อมเกลอะ -เลอะกันใหญ่.... ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การใช้ประโยชน์มูลสัตว์เป็นปุ๋ยให้กับพืชอย่างมีประสิทธิภาพ

ของเสียที่ได้จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ ได้แก่ มูลสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นของแข็งนั้นประกอบด้วยเศษของพืชและสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่สัตว์กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยหรือนำไปใช้ประโยชน์ได้หมดจึงเหลือเป็นกากที่สัตว์ขับถ่ายออกมา โดยเศษอาหารเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการย่อยสลายไปบางส่วนแล้วในทางเดินอาหาร ดังนั้น ในส่วนที่เป็นมูลสัตว์จึงยังอุดมไปด้วยธาตุอาหารชนิดต่าง ๆ รวมทั้งสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำได้หลายชนิด ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าก็จะมีองค์ประกอบที่สามารถใช้เป็นธาตุอาหารที่สมบูรณ์ของพืชได้ ส่วนมูลสัตว์แต่ละชนิดจะมีธาตุอาหารชนิดใดมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่สัตว์ชนิดนั้น ๆ กินเข้าไปเป็นปัจจัยสำคัญ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ระบบการย่อยอาหารของสัตว์ วิธีการให้อาหารรวมทั้งการจัดการรวบรวมมูลสุกรและของเสียในฟาร์มด้วย

จากการศึกษาปริมาณธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ในมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ พบว่ามูลสัตว์แต่ละชนิดมีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและจุลธาตุอาหารในปริมาณที่แตกต่างกัน

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณธาตุอาหารในมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ จะเห็นว่ามูลสุกรและกากตะกอนของมูลสุกรจากบ่อหมักก๊าซชีวภาพ รวมทั้งมูลของไก่ไข่มีปริมาณธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง แมงกานีสและสังกะสีมากกว่ามูลโค ขณะที่มูลโคมีปริมาณธาตุโพแทสเซียมและโซเดียมมากกว่ามูลสุกร อย่างไรก็ตามปริมาณธาตุอาหารเหล่านี้อาจมีความผันแปรไปตามชนิดของวัตถุดิบอาหารรวมทั้งแร่ธาตุที่เสริมลงในอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์นั้นด้วย

การทำน้ำสกัดจากมูลสัตว์
น้ำสกัดมูลสัตว์ ได้จากการนำมูลสัตว์แห้ง เช่น มูลสุกร มูลโค บรรจุลงในถุงไนลอน (มุ้งเขียว) แล้วแช่ในน้ำ อัตราส่วนมูลสุกร 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 10 ลิตร ปิดฝาถังให้สนิท และหมักไว้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วยกถุงที่บรรจุมูลสุกรออกจากถังจะได้น้ำสกัดมูลสัตว์สีน้ำตาลใส ซึ่งควรบรรจุเก็บไว้ในถังหรือภาชนะที่มีฝาปิด น้ำสกัดมูลสัตว์ที่ได้สามารถหมักเก็บไว้ใช้ได้นาน ซึ่งจะทำให้น้ำสกัดใสยิ่งขึ้น และมีธาตุอาหารในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้น การทำน้ำสกัดมูลสัตว์จะทำให้ประหยัดกว่าการใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยทางดินโดยตรง เนื่องจากมูลสัตว์แห้ง 1 กิโลกรัม ทำน้ำสกัดได้ประมาณ 8 ลิตร นำน้ำสกัดส่วนใสที่ได้มาเจือจางกับน้ำได้ 10 – 20 เท่า เป็น 80 – 160 ลิตร เพื่อใช้เป็นปุ๋ยรดทางดินหรือฉีดพ่นทางใบ ส่วนกากของมูลสัตว์ที่เหลือ สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยทางดินได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาหมักนานถึง 45 วัน เหมือนปุ๋ยหมักทั่วไป

น้ำสกัดมูลสัตว์มีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช สามารถใช้เป็นปุ๋ยรดทางดินและฉีดพ่นทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโต การเพิ่มผลผลิตของพืช อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นปุ๋ยเพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหารของพืชได้ น้ำสกัดมูลสุกรมีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุเกือบทุกธาตุในปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำสกัดมูลไก่ไข่และน้ำสกัดมูลโคนม ยกเว้นโพแทสเซียมที่พบในน้ำสกัดมูลไก่ไข่มากกว่าเล็กน้อย และแคลเซียมที่พบในน้ำสกัดมูลโคนมมากกว่า ดังนั้น หากต้องการใช้น้ำสกัดมูลไก่ไข่หรือโคนมเป็นปุ๋ยฉีดพ่นทางใบ ควรจะใช้ในอัตราส่วนมากกว่าน้ำสกัดมูลสุกร เนื่องจากน้ำสกัดมูลสุกรมีปริมาณธาตุอาหารมากกว่าหรือเข้มข้นกว่าน้ำสกัดมูลโคนม

การใช้ประโยชน์มูลสัตว์ในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการทำนาข้าว
1.1 การหมักตอซังโดยไม่ต้องเผา มีประโยชน์ คือ สิ่งที่มีชีวิตในดินรวมทั้งจุลินทรีย์ดินทำกิจกรรมได้ตามปกติ ทำให้ดินมีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารพืชเพิ่มขึ้น ส่วนของเนื้อดินละเอียดขึ้น เดินแล้วนุ่มเท้า ดินโปร่ง ทำให้รากต้นข้าวแผ่กระจายในดินได้ดีขึ้น ต้นข้าวแข็งแรง ซึ่งการหมักจะทำได้ทันทีหลักการเก็บเกี่ยว โดยเกลี่ยฟางให้กระจายทั่วแปลง และปฏิบัติดังนี้
- หว่านมูลสัตว์แห้ง เช่น มูลสุกร มูลโคอัตรา 250 กก.ต่อไร่ ให้ทั่วแปลง
- ใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พด.2 (หมักจากเศษผัก ผลไม้หรือสัตว์) จำนวน 5 ลิตร/ไร่ผสมกับน้ำ 100 ลิตร พร้อมกับสารเร่ง พด.1 แล้วคนให้เข้ากัน นาน 15 นาที จากนั้นค่อย ๆ เทปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้นี้ไปพร้อมกับน้ำ ที่ปล่อยเข้าแปลงนา หรือสาดสารละลายปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้ทั่วแปลงนา โดยให้ระดับน้ำท่วมต่อซัง แล้วปล่อยให้ย่อยสลายประมาณ 10-15 วัน
- ทำเทือกเพื่อปรับพื้นที่ให้เสมอกัน แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ หรือปักดำครั้งใหม่ต่อไป

1.2 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรแช่เมล็ดพันธุ์ข้าว มีประโยชน์ ช่วยให้เมล็ดข้าวมีธาตุอาหารพืชสะสมในเมล็ดมากขึ้น อีกทั้งน้ำสกัดมูลสุกรมีแคลเซียม ซึ่งช่วยในการงอกของเมล็ด สร้างเซลล์ใหม่ในส่วนของยอดและราก ทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้เร็ว นอกจากช่วยเพิ่มการงอกของเมล็ด ทำให้ประหยัดเวลาในการแช่และบ่มข้าวแล้ว ข้าวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าวัชพืช ประกอบกับการหมักฟางจะทำให้รากหญ้าและเมล็ดวัชพืชที่เหลืออยู่ในดินโดนหมักย่อยไปด้วยทำให้มีวัชพืชในแปลงน้อยลง

วิธีการแช่ข้าว
นำน้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร ผสมน้ำให้ได้ 20 ลิตร แช่เมล็ดพันธุ์เป็นเวลา 8–12 ชั่วโมง (ขึ้นกับความหนาของเปลือกเมล็ด) นำข้าวขึ้นจากน้ำเพื่อทำการบ่มเมล็ด ให้นำน้ำสกัดมูลสุกรที่เหลือจากการแช่ข้าวราดลงบนกระสอบที่บรรจุข้าวอยู่ ประมาณ 4–5 ชั่วโมงต่อครั้ง หรือ ไม่ให้ข้าวแห้ง จนกระทั่งเมล็ดข้าวงอกพร้อมที่จะปลูก หรือถ้าไม่สามารถแช่ข้าวจำนวนมากในน้ำสกัดมูลสุกรได้ ให้แช่ตามวิธีการปกติ แต่เมื่อนำกระสอบข้าวขึ้นจากน้ำแล้ว ให้นำน้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร ผสมน้ำให้ได้ 20 ลิตร ราดลงบนกระสอบที่บรรจุข้าว ประมาณ 4–5 ชั่วโมงต่อครั้ง เพื่อไม่ให้ข้าวแห้ง จนกระทั่งเมล็ดข้าวงอกพร้อมที่จะปลูก

1.3 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ มีประโยชน์ ช่วยทำให้พืชได้รับธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุอาหารได้เร็วขึ้นกว่าการให้ปุ๋ยทางดิน พืชได้รับธาตุอาหารครบซึ่งจัดเป็นการป้องกันความขาดธาตุอาหาร และช่วยเสริมธาตุอาหารที่พืชขาดได้ จะช่วยชะลอความเสื่อมของใบไปได้อีกระยะหนึ่ง ทำให้ใบพืชมีสีเขียวเข้ม ตั้งตรงและยังทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง สร้างแป้งต่อไปจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ส่งผลให้เมล็ดข้าวสมบูรณ์ มีเมล็ดข้าวที่ลีบน้อยลง ขั้วเมล็ดข้าวยังสดและเหนียวอยู่ เมล็ดข้าวจึงไม่ค่อยร่วงหลุดในช่วงเก็บเกี่ยว

วิธีการฉีดพ่นทางใบ ทำได้โดย
- ข้าวมีอายุ 1 เดือน นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 20 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3–5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบ ในช่วงเวลา เช้าหรือเย็น การฉีดพ่นให้ได้ผลดีนั้นละอองปุ๋ยน้ำควรมีขนาดเล็กและสัมผัสกับผิวใบทั่วถึงทั้งด้านบดและด้านล่าง
- ข้าวมีอายุ 1 เดือนขึ้นไป นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3–5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบ ในช่วงเวลา เช้าหรือเย็น
- หากพบว่าข้าวในบางบริเวณไม่สม่ำเสมอ ให้ใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 3–5 ซีซี ฉีดพ่นบริเวณดังกล่าวในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น ก็จะช่วยให้ข้าวเสมอกันได้

1.4 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดให้พืชทางดิน มีประโยชน์ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารผ่านทางรากได้ในระหว่างการเจริญเติบโตและเป็นการให้ปุ๋ยที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและให้ผลเร็วกว่าการใช้มูลสุกรแห้งเป็นปุ๋ยทางดินกับพืช

วิธีการให้ปุ๋ย ทำโดยนำน้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้นปล่อยลงสู่แปลงข้าว อัตราส่วน 100 ลิตรต่อ 1 ไร่ โดยให้พร้อมกับน้ำที่ปล่อยหรือสูบเข้าแปลง จำนวน 2 ครั้ง เมื่อข้าวอายุ 30 และ 60 วัน


ตารางที่ 4 การให้น้ำสกัดมูลสุกรในนาข้าว

ช่วงอายุ............................................... การใช้

15 วัน ...................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร

30 วัน ...................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร ให้น้ำสกัดมูลสุกรทางดิน อัตรา 100 ลิตร/ไร่

45 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร

60 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร ให้น้ำสกัดมูลสุกรทางดิน อัตรา 100 ลิตร/ไร่

75 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร กรณีที่ข้าวออกรวงไม่สม่ำเสมอให้ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร อีกครั้ง บริเวณที่ข้าวเจริญเติบโตช้า


ข้อดีของการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
- ย่นระยะเวลาในการแช่และบ่มข้าว
- เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดพันธุ์สูง ข้าวที่งอกมีความแข็งแรง
- ต้นข้าวเจริญเติบโตได้เร็ว ทำให้หญ้าโตได้ช้ากว่า ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดหญ้าได้
- ต้นข้าวมีความแข็งแรง มีความต้านทานต่อโรค และแมลง
- จำนวนเมล็ดต่อรวงมากขึ้น เมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์ เมล็ดเต่ง ได้น้ำหนัก
- ระยะเก็บเกี่ยว ใบธงของข้าวยังเขียวอยู่และข้าวจะมีขั้วเหนียว ทำให้ข้าวไม่ร่วงหล่นในระหว่างการเก็บเกี่ยว
- มีความปลอดภัยต่อเกษตรกรในขั้นตอนการผลิตข้าว และข้าวที่ได้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดหรืองดการใช้สารเคมีลงได้
- ลดต้นทุนการผลิต ในเรื่องของปุ๋ย สารเคมีกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช
- ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น


อ้อย
1. การใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10 ลิตร ผสมสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบในช่วงที่ต้นอ้อยยังไม่สูงมากนัก
2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรปล่อยไปตามร่อง พร้อมกับการขึ้นน้ำให้อ้อย ประมาณ 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง นอกจากช่วยเร่งให้อ้อยโตเร็วแล้วยังทำให้อ้อยมีความหวานเพิ่มขึ้นด้วย


พืชผัก
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรแช่เมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก ซึ่งจะทำให้เมล็ดผักงอกเร็วและเจริญตั้งตัวได้เร็วกว่าเมล็ดที่ไม่ได้แช่

วิธีการ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร เติมน้ำให้ได้ 20 ลิตร แล้วนำเมล็ดพันธุ์พืชที่ปลูกแช่น้ำเป็นเวลา 6-12 ชม. ก่อนหว่าน หรืออาจผึ่งลมให้เมล็ดพันธุ์แห้งก่อน แล้วนำไปปลูก ซึ่งขึ้นกับเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิด

2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ คือ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารชนิดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น พืชจะมีสีเขียวเข้ม ใบมีขนาดใหญ่ หนา และยาวขึ้น กาบใบหรือก้านใบแข็งและมีลักษณะตั้งขึ้น พืชมีน้ำหนักใบและลำต้นมากขึ้นอย่างชัดเจน

วิธีการ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10-20 ลิตรผสมสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบช่วงเวลาเช้าหรือเย็น สัปดาห์ละครั้ง

3. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดให้พืชทางดิน ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ หรือในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10 ลิตร รดทางดิน


ไม้ผล
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ จะทำให้พืชมีการสร้างใบและทรงพุ่มใหม่ได้เร็ว ทำให้พืชออกดอก ผลได้เร็วขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้นและมีรสชาติดีด้วย โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตรผสมน้ำ 10-20 ลิตรพร้อมสารจับใบ 3-5 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น เดือนละ 1-2 ครั้ง จนกระทั่งพืชมีการสร้างทรงพุ่มเต็มที่ ให้หยุดฉีด เพื่อให้พืชสร้างดอกและผลต่อไป

2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดทางดิน โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรเจือจางด้วยน้ำ 10 เท่า รดทางดิน ต้นละ 1-2 ลิตรเดือนละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ หรือจะใช้น้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้น ให้พร้อมกับการให้น้ำแบบระบบน้ำหยด


ไม้ดอก
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ จะทำให้พืชมีการสร้างดอกได้เร็วขึ้น ดอกมีความสมบูรณ์ ขนาดใหญ่ สีเข้มสดใส ก้านดอกแข็ง ยืดอายุการเก็บได้นานขึ้น อีกทั้งต้นที่เก็บเกี่ยวไปแล้วไม่โทรม ยังสามารถให้ดอกได้เร็วขึ้น โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำ 10-20 ลิตรพร้อมสารจับใบ 3-5 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดทางดิน โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรเจือจางด้วยน้ำ 10 เท่า รดทางดิน ต้นละ 1-2 ลิตรสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือจะใช้น้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้น ให้พร้อมกับการให้น้ำแบบระบบต่างๆ ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ

รูปประกอบผลงานวิจัย

http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch52/08-intregration/Uthai/intregration_00.html



คณะผู้วิจัย :
์อุทัย คันโธ และ สุกัญญา จัตตุพรพงษ์
หน่วยงาน :
ศูนย์ค้นคว้าและพัฒนาวิชาการอาหารสัตว์
สถาบันสุวรรณวาจกกสิกิจฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
โทร. 034 – 352035 โทรสาร 034 - 352037

http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch52/08-intregration/Uthai/intregration_00.html



ปุ๋ยอินทรีย์

รายการ.............ไนโตรเจน..............ฟอสฟอรัส..............โปแตสเซียม

ปุ๋ยปลา............... 8.45 ................... 0 ....................... 4.73
ปุ๋ยอินทรีย์........... 1.42 .................. 2.05 .................... 0.42
ปุ๋ยคอก.............. 0.49 ................... 0.54 .................... 0.47
อุจจาระ.............. 3.25 ................... 2.95 .................... 0.40
กากผงชูรส.......... 1.98 ................... 0.41 .................... 0.65
มูลไก่............... 2.28 ................... 0.49 .................... 0.30
มูลวัว................ 1.73 ................... 0.49 .................... 0.30
มูลสุกร.............. 2.83 ................... 16.25 ................... 0.15


http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=1749


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 26/10/2010 7:25 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 26/10/2010 6:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กล้อมแกล้ม - กล้อมเกลอะ - เลอะกันใหญ่.....

ก่อนอื่นของเกริ่นกล่าวก่อนนะว่า....ลุงคิม ไม่ส่งเสริม การใช้มูลคน (ขี้คน) มาทำปุ่ย เนื่องจากเป็นสิ่งสังคมรังเกียจ แต่เมื่อเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาก็ขอเอาข้อมูลที่เป็นวิชาการ กับข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ตรง มาเล่ากัน เพื่อประดับสติปัญญา เวลาไปคุยกับใคร เขาจะได้ว่าพูด "มีหลักการ" ไม่ใช่ "ขี้โม้"

คำว่า "กล้อมเกลอะ" เป็นการสนธิคำระหว่างคำว่า "กล้อมแกล้ม" กับ "บ่อเกลอะ"
บ่อเกลอะก็คือ ถังส้วมนั่นเอง.....

วิธีทำกล้อมเกลอะ :
จากถังเกลอะปกติ ให้ทำถังเปล่าซ้อนต่อจากถังเกลอะอีก 1 ถัง เรียกว่า "ถังน้ำล้น" ซึ่งจะมีท่อต่อเชื่อมระหว่างถังเกลอะกับถังน้ำล้นตัวใหม่ เพื่อให้น้ำในถังเกลอะไหลล้นไปหาถังใหม่นั้น ..... ที่โถส้วมให้ใส่ "กากน้ำตาล" 3-5 ล. สำหรับส้วมบ้านปกติ แล้วปล่อยน้ำไล่ (ราดส้วม) กากน้ำตาลให้ลงไปในถังเกลอะ กากน้ำตาลจะทำให้กากที่อยูในถังเกลอะจม และไม่มีกลิ่นเหม็น ..... ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง (5-7 วัน) เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์ดี (ไม่มีกลิ่น) กำจัดจุลินทรีย์ไม่ดี (กลิ่นเหม็น) เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อพร้อมแล้วก็ให้เติมน้ำเปล่าที่โถส้วม เติมมากๆ จนกระทั่งน้ำในถังเกลอะไหลล้นไปหาถังน้ำล้น ปริมาณน้ำในถังน้ำล้นมากหรือตามความต้องการ เมื่อเปิดฝาถังน้ำล้นพิสูจน์จะเห็นเป็นสีดำ ไม่มีกลิ่น (ถ้ามีกลิ่น แสดงว่ากากน้ำตาลในถังเกลอะน้อย ให้เติมเพิ่มแล้วปล่อยทิ้งไว้ 5-7 วันจึงดำเนินการซ้ำใหม่)....น้ำสีดำในถังน้ำล้นเรียกว่า "กล้อมเกลอะ" พร้อมงาน หรือปรุงแต่งเพิ่มประสิทธิภาพ เรียกว่า "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" ก่อนใช้งาน......

อดีตสมาชิกคาราวานของลุงคิม อยู่บางปลาม้า สุพรรณบุรี ได้สูตรทำกล้อมเกลอะซุปเปอร์ (คุย....สูตรของกูเอง กูคิดได้เอง....) ใส่แกลลอนขนาด 5 ล. ขายแกลลอนละ 600 ออกขายซะรวยไปเลย นี่ไง "ขี้คนอื่นดี ขี้ตัวเองรับไม่ได้..."

มีสมาชิกลุงคิมไม่ใช่น้อย แอบทำกล้อมเเกลอะธรรมดา. ทำกล้อมเกลอะซุปเปอร์. แล้วใช้ได้ผลดีมาก บางคนแจ้งข่าวมาด้วยความสะใจ บางคนปิดเงียบเพราะรู้ว่าลุงคิมห้าม เพราะฉนั้น เวลาลุงคิมพูดถึงคนกลุ่มนี้จะต้อง "ปิดลับ" ให้เขาด้วย โดยการเขียนเรื่องให้วกวนสับสน จับไม่ได้ว่าเขาคือใคร นั่นแหละ

สารคดีดิสคัพเวอรี่ เล่าเรื่อง "สวนผักกล้อมเกลอะ" (แปลแล้ว) ที่สวีเดน.ว่า .... ที่นั่นเขาทำส้วมรวมสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งทุกคนนิยมไปใช้ส้วมรวมเพราะนอกจากประหยัดส้วมตัวเองแล้ว ยังเป็นแหล่งชุมนุม พบปะ พูดคุยกันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากรอบๆส้วมรวมเขาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นสวนหย่อมสาธารณะด้วยนั่นเอง

ที่ส้วมมีถังเกลอะรวมต่อเชื่อมกับบ่อน้ำล้น และที่น้ำในบ่อน้ำล้นนี้ก็ได้ใส่สารอาหารพืชต่างๆลงไป ปรุงให้เรียบร้อยเป็น "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" แล้วส่งเข้าไปในร่องน้ำระหว่างแปลงปลูกผัก ซึ่งลักษณะแปลงปลูกผักของเขาก็เหมือนแปลงปลูกผักแบบยกร่องน้ำหล่อเหมือนบ้านเรา จากนั้นชาวสวนผักเจ้าของแปลงก็จะเอาน้ำนี้รดผัก ที่นั่นเขาใช้สปริงเกอร์เพื่อคนจะได้ไม่สัมผัสกับน้ำ

ในสารคดีเขาเจาะลึกถึงสภาพดินพบว่าดีมาก น้ำที่ผ่านสปริงเกอร์ไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้น คุณภาพของผักดีมาก และต้นทุนการผลิตต่ำมาก

ผักพวกนี้ส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีการวางขายในประเทศตัวเอง....


กติกาสากลว่าด้วยผักอินทรีย์ ซึ่งสวีเดนเป็นประเทศหนึ่งที่ร่วมกติกาว่า "ห้ามใช้มูลคน" จึงทำให้สงสัยว่า ไอ้ที่เห็นในหนังสารคดีดิสคัฟเวอรี่นั้น คืออะไร ?

เมื่อคิดจะทำ "กล้อมเกลอะ" โดยไม่ใช้ "มูลคน" สามารถทำได้และไม่เป็นที่รังเกียจของสังคมด้วย นั่นคือ....ใช้ "มูลสัตว์" ไงล่ะ ไม่ต้องมีบ่อเกลอะ ไม่ต้องมีบ่อน้ำล้น ก็เอามูลสัตว์ที่มีสารอาหารพืชตามต้องการ แช่ในน้ำ + กากน้ำตาล ทิ้งไว้ 7-10 วัน หรือละลายน้ำ กรองเอากากออก เสร็จแล้วใช้เลยก็ได้ จะใช้แบบ "กล้อมเกลอะมูลสัตว์" ธรรมดาๆ หรือ ซุปเปอร์ ก็ทำได้ทั้งนั้น

ลุงคิมครับผม

ปล.
ส้วมที่ไร่กล้อมแกล้มก็มี "บ่อน้ำล้น" ทำไว้ตั้งแต่แรก กะว่าหากมีโอกาสก็จะทำ "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" ใช้เหมือนกัน แรกๆ บ่อเกลอะไม่ค่อยซึมลงดิน เพราะดินเหนียวแน่นมากๆ เมื่อน้ำในบ่อเกลอะไม่ซึมลงดินก็เลยทำเป็นน้ำล้นไปบ่อน้ำล้น กระทั่งบ่อน้ำล้นเต็มอีก ตกกลางคืนจึงสั่งให้เอาไดโว่สูบน้ำจากบ่อล้นไปใส่ในนาชาวบ้านหลังห้องน้ำ เจ้าของนาไม่รู้เรื่อง แต่พอปลูกข้าวลงไปแล้ว ต้นข้าวเขียวสวยมากๆ ได้ข้าวเกือบ 100 ถัง ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยได้แค่ 70 ถังเท่านั้น มันคุยเลย....นากู ไม่ต้องชีวภาพ ข้าวก็เขียวดี.... รุ่นต่อๆมาก็กลับไปได้แค่ 60-70 ถังอย่างเดิม คราวนี้ไม่พูด.....หยิ่ง


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/10/2010 7:53 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/10/2010 7:52 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผักสมุนไพรปลอดสารพิษ ส่งขายทั่วยุโรปทำเงินเป็นหลักล้าน
้ขึ้นโต๊ะอาหารจานพิเศษบุคคลสำคัญ


โดย Pairat Patarcec Poonyasarn
ผู้สื่อข่าว SiamChronicle: Life Style & Living Well ประจำสแกนดิเนเวียน


ผู้สื่อข่าว Life Style & Living Well ประจำสแกนดิเนเวียน รายงานจากประเทศสวีเดน ว่า ขณะนี้ชื่อของสาวไทย นางสุทิพย์ สมบรูณ์ทรัพย์(อุสตอด) อายุ 48 ปี ได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ในฐานะผู้บุกเบิกฟาร์มปลูกพืชผักสมุนไพรไทยปลอดสารพิษ ซึ่งไม่น่าจะทำได้ เพราะพื้นที่ดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียว ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก แต่ปรากฏว่าเธอสามารถทำได้ดี จนได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจาก กรมวิชาการเกษตร ของสวีเดน มีสื่อมวลชนกว่า 100 รายการทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ของเธอ

และที่สำคัญเธอยังได้รับเชิญเป็นนักวิชาการพิเศษ บรรยายต่อนักศึกษาตามมหาลัยชั้นนำของสวีเดน อาทิ มหาลัยสตอ็กโฮมห์, มหาลัยแห่งเมืองลุนด์, มหาลัยโกเตนเบริ์ก และยังมีวิทยาลัยอาชีวะต่างๆของสวีเดน ซึ่งใช้แปลงผักของเธอเป็นโรงเรียนที่สองในการวิจัยด้านเกษตรในสวีเดน และยังพบว่า มีคณะบุคคลต่างๆเข้าเยี่ยมชมแปลงผักของเธออยู่ตลอดเวลา จนต้องจองก่อนล่วงหน้า ผลผลิตของผัก ก็ถูกนำขึ้นไปใช้ปรุงอาหารรจานพิเศษบุคคลสำคัญตั้งแต่พระมหากษัตย์ นายกรัฐมนตรี นักการเมือง ตลอดจนต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอาทิ จอร์ช บุช ครั้งเยือนสวีเดน ก็ล้วนแล้วแต่ซื้อจากแปลงผักของเธอ

"อาจเป็นเพราะเราไปสร้างตำนานใหม่ พลิกทฤษฏีของกรมวิชาการเกษตรสวีเดนที่เคยบอกว่าดินเหนียวสีดำของประเทศสวีเดน ไม่เหมาะแก่การเติบเติบโตของพืชผัก แต่เรากลับทำได้" นางสุทิพย์ กล่าว

ันางสุทิพย์ เผยว่า เธอมีที่ดินอยู่ 600 ไร่ อยู่ชานเมืองโกเตนเบริ์ก( Gothenburg)ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหญ่อันดับ 2 รองจากสตอ็กโฮมห์(Stockholm) ได้นำมาใช้งานสร้างแปลงปลูกผักจริงๆ 300 ไร่ โดยมีพืช ผัก กว่า 200 ชนิด เป็นพืชผักทุกชนิดที่โตได้ในเมืองไทย ยกเว้นแต่ใบมะกูด นำเอาเมล็ดพันธฺ์มาจากเมืองไทยและจีนบางส่วน เริ่มลงทุนครั้งแรก 300 โครนา เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกไม่ประสบผลสำอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือร้านอาหารไทย แต่ยังคงเดินหน้าทำต่อไป เพราะใจรัก และไม่ได้หวังผลกำไรมากมาย และเดินหน้าพยายามเปิดตลาดไปสู่ร้านค้าสโตร์ใหญ่ๆ ตลาดเริ่มกว้างดีขึ้น จนขณะนี้เราสามารถเลือกขายให้ลูกค้าได้เอง และจะปลุกผักตามออเดอร์ของลูกค้า ก่อนที่เราจะเริ่มปลูก

เกษตรกรสาวแกร่ง กล่าวอีกว่า เธอมีปรัชญาในการทำงาน คือลูกค้าจะต้องยอมรับในเงื่อนไขของเธอ ด้วยที่ผลิตภัณฑ์ของเธอเป็นพืช ผัก สมุนไพรไทย ปลอดสารพิษ ใช้หลักทางธรรมชาติ ในการดูแล ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสร้างคุณค่าทางอาหารสูง และที่สำคัญเธอใส่ใจดูแลฟาร์มเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงสามารถผู้กำหนดราคาขายได้เอง หากลูกค้าไม่พอใจหรือรับเงื่อนไขไม่ได้ ก็จะไม่สนใจ เพราะเธอทำงานนี้ด้วยใจรัก ไม่ได้หวังผลกำไรมากมาย แต่ในทางตรงกันข้ามลูกค้าของเธอกลับมีแต่ร้านอาหารชั้นหนึ่ง ร้านค้าสโตร์ขนาดใหญ่ ทั้งสวีเดนและยุโรปต่างก็เลือกผักจากฟาร์มของเธอ ทำรายได้โดยเฉลี่ยประมาณหลักล้านสวีดิชโครนา

"เราจะวางแผนแปลงผักของเรา เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงสปริงของสวีเดินและผลิตภัณฑ์จะไปสิ้นสุดในเดือนกันยายนรวมเวลา 6-7 เดือน ซึ่งเป็นช่วงซัมเมอร์ที่นี่แดดจะยาวนานพระอาทิตย์ตกตอน 5 ทุ่ม หรือเที่ยงคืนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 20-25 องศา หรือบางปีก็ถึง 30 องศา หลังจากนั้นก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงและหนาวเราก็จะหยุดพัก ประมาณ 6 เดือน ระหว่างนี้เราก็เปิดสอนการทำอาหารไทย อาหารจีน และออกสาธิตการทำอาหารตามที่ต่างๆแก่นักศึกษาและประชาชนชาวสวีเดน "นางสุทิพย์กล่าว

สุทิพย์ เธอเล่าย้อนไปอดีตเมื่อตอนอายุ 8 ขวบ ว่าเธอในรับแรงดลใจรักด้านการเกษตรมาจากคุณยายซึ่งมีไร่ในจังหวัดกาญจนบุรี เธอชอบที่จะช่วยยายในการทำสวนและจินตนาการว่าอยากทำสวน หรือแปลงเกษตรเป็นของตัวเองสักวันหนึ่ง ซึ่งเธอสามารถสานฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ และยิ่งมหัศจรรย์ไปกว่านั้น เธอกลับทำได้ในประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวจัด เธอระบุว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

ส่วนการเดินทางไปพำนักในประเทศสวีเดนนั้น เธอติดตามญาติที่ทำงานกับการบินไทยไปที่กรุงสตอ๊กโฮมห์ เมื่อเธออายุได้ 18 ปี จนขณะนี้เธออายุ 48 ปี และเธอเธอแต่งงานกับชาวสวีเดนมีบุตรด้วยกัน 3 คน เดิมเธออาศัยอยู่ในเมืองโกเตนเบริ์ก แต่หลังจากที่เธออยากจะสร้างแปลงผักในจินตนการจองเธอจึงขายบ้านแล้วมาซื้อที่ดินนอกเมืองไกลออกไป เธอเริ่มลงมือถือจอบ เสียม ขุดดินเหนียวทำแปลงผักด้วยตัวเธอเองเพียงลำพัง

"แรกๆบอกสามีๆก็ไม่ได้สนับสนุน แต่เราก็อดทนทำมาเป็น 10 ปี กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ ก็อยากกลับนะ

เราเป็นคนไทยแม้อยุ่ที่ไหนก็ไทย ก็ฝันอยากทำประโยชน์ให้กับชาวเกษตรกรไทยซึ่งมีฐานะยากจนตลอดกาลและถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง หรือนายทุน ซึ่งแตกต่างจากเกษตรกรประเทศยุโรปหน้ามือเป็นหลังมือ พวกนี้กลับมีฐานะมั่งคั่งและได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาลด้วย จึงอยากกลับไปมาเผยแพร่ความรู้ต่อเกษตรกรชาวไทยในอนาคตเมื่อเธอเสร็จสิ้นภาระกิจที่นี่แล้ว

"นอกจากนี้ก็ยังในใจที่จะสร้างบ้านพักคนชราให้ความสุข ความอบอุ่นกับคนชราที่ถูกลูกๆทอดทิ้ง, อยากจะเปิดโรงเรียนสำหรับผู้หญิงไทยที่จะมาอยู่ต่าง ประเทศให้เรียนรู้กฏหมายและวัฒนธรรมในที่นั้นๆ เพราะหากผิดพลาดเราก็เสียหายด้วยกันดังคำสุภาษิตไทยที่ว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง แต่ทั้งหมดนี้จะขอแรงสนับสุนจากสปอนเซอร์ที่นี่" นางสุทิพย์ กล่าวในที่สุด.


http://www.austadgaard.com/tidn.htm
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/10/2010 7:57 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สร้าง "ส้วม" ต้นแบบใช้สิ่งปฏิกูลคน มาทำปุ๋ยหมัก

กากจากสิ่งปฏิกูลที่ผ่านความร้อนพร้อมนำมาทำปุ๋ยหมักตามข้อบังคับของอียู.
มหาวิทยาลัยแม่โจ้เจ๋งผุดโครงการศึกษาต้นแบบสุขาและสุขภัณฑ์ในการจัดเก็บอุจจาระและปัสสาวะมนุษย์ที่ถูกสุขลักษณะ......
เมื่อ คนเรามีการบริโภคอาหารเข้าไปแล้ว หลังจากร่างกายทำหน้าที่ย่อยแล้ว จะมีของเสียที่ในแต่ละวันต้องขับถ่ายออกมา ซึ่งในผู้ใหญ่ขับถ่ายอุจจาระประมาณวันละ 0.68 กก. หรือเฉลี่ยปีละ 250 กก./คน ขับถ่ายปัสสาวะประมาณ 1.5 ลิตรต่อวัน หรือปีละกว่า 500 ลิตร/คน จำนวนประชากรในประเทศไทย 60 ล้าน มีอุจจาระ 15 ล้านตัน/ปี ปัสสาวะ 30,000 ล้านลิตร/ปี

....ของเสียจากร่างกายคนเราเหล่านี้ หลายประเทศอาทิ อังกฤษ สวีเดน เยอรมนี เม็กซิโก รวมถึงประเทศจีน ได้นำเอามาผ่านขบวน-การคัดแยก และกลับมาใช้ประโยชน์ ในทางการเกษตรอีกครั้ง...

และ...ในบ้านเราทาง รศ.ดร.อา-นัฐ ตันโช อาจารย์ภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็ได้ทำ โครงการศึกษาต้นแบบสุขาและสุขภัณฑ์ในการจัดเก็บอุจจาระและปัสสาวะมนุษย์ที่ ถูกสุขลักษณะ เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงตามแนวทางของสหภาพยุโรป ขึ้น โดยทาง สวทช.ภาคเหนือ ให้การสนับสนุนงบประมาณ และเตรียมที่จะนำร่องสร้างสุขาต้นแบบ "แยกน้ำปัสสาวะและอุจจาระ" นำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพที่ได้มาตรฐานการเกษตรลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

รศ.ดร.อานัฐ บอกว่า ที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายๆโครงการ ได้ทดสอบ การคัดแยกปัสสาวะมาใช้ในการผลิตพืช เช่น โครงการ Eco San Res ในประเทศสวีเดน ได้รวบรวมน้ำปัสสาวะจากอาคารพักอาศัยซึ่งเก็บไว้ในถังใต้ดินเป็นเวลา 6 เดือน สูบไปใช้ในแปลงเกษตรได้ผลดีมาก องค์การ NASA ของสหรัฐอเมริกาทดลองใช้น้ำปัสสาวะปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ ซึ่งให้ผลผลิตดีอย่างน่าพอใจ

ทั้งนี้ จากรายงานอุปนิสัยการใช้ห้องน้ำเพื่อ "ปลดทุกข์" ของคนเราในปัจจุบันพบว่า เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำที่เปลืองมากโดยไม่ทำให้เกิดประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อม เลย และยังทำให้ปัสสาวะที่สามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยรดน้ำต้นไม้ได้ แต่จะถูกเจือจางและทิ้งเสียเปล่าลงบ่อบำบัดไป โดยเฉพาะการเข้าห้องน้ำของผู้หญิงนั้นเปลืองกว่าผู้ชายเพราะบางคนถูกสอนให้ กดชักโครกทั้งก่อนและหลัง ถึงแม้จะมีชักโครกหลายยี่ห้อ หันมาโฆษณาเรื่องความประหยัดน้ำบ้างแล้วก็ตาม

การแก้ปัญหาที่ดีก็ คือทำสุขภัณฑ์แยกปัสสาวะออก เป็นการช่วยลดปริมาณการใช้น้ำชักโครก ส่วนกาก ที่ เหลือจากการบำบัดจะนำไปเผาด้วยความร้อนสูงเพื่อทำลายเชื้อโรค ก่อนนำไปใช้เป็นปุ๋ยหมักตามพื้นฐานการบังคับของ EU (European Union) ในการกำจัดเชื้อก่อโรคที่ปนเปื้อนในอุจจาระก่อน และเพื่อให้ กลุ่มจุลินทรีย์ ในอุจจาระมนุษย์ที่ประกอบด้วย เอนเทอริกไวรัส และ ไข่พยาธิตัวกลม ตาย ดังนั้นการหมักกากทีมวิจัยจึงใช้อุณหภูมิที่ 66.7 องศาเซลเซียส คงที่นาน 2 ชั่วโมง

โดยทำการศึกษารูปแบบการจัดสร้าง สุขาและสุขภัณฑ์ที่เหมาะสม ถูกสุขลักษณะในการคัดแยก เก็บรวบรวมอุจจาระและปัสสาวะในพื้นที่ต่างๆ อาทิ วัด สถานศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โรงเรียนบ้านแม่โจ้ ค่ายสมเด็จพระบรมราชชนนี กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ตลาดสดเจดีย์แม่ครัว อุทยานแห่งชาติศรีลานนา และธุรกิจการท่องเที่ยว ที่มีพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำและป่าธรรมชาติ

...การวิจัยดังกล่าวนอกจาก ได้ความรู้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงจากอุจจาระและปัสสาวะที่ผ่านการ วิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารพืชและเชื้อก่อโรคที่ปลอดภัย ได้ปุ๋ยคุณภาพสูงจำนวนมาก กลับมาใช้ในภาคการเกษตร ที่คนยอมรับได้ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ สนับสนุนปัจจัยการผลิตพืชในระบบเกษตรอินทรีย์ และยังช่วยลดการปล่อย สิ่งปฏิกูล ลงสู่แม่น้ำลำคลองแหล่งน้ำธรรมชาติ

หน่วยงานภาครัฐ เอกชนรายใดสนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.08-9956-9830 ในวันเวลาที่เหมาะสม.
ขอขอบคุณข้อมูล : เพ็ญพิชญา เตียว ไทยรัฐออนไลน์ 30/11/52

http://www.oatthailand.org/index.php/th/joomla-overview/173-organic1
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/10/2010 8:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ไทย สวีเดน และเดนมาร์ก... ความเหมือนที่แตกต่าง

นานาทัศนะ - ดร.ทวิช จิตรสมบูรณ์
เขียนโดย sptthai

แนวทางพัฒนาประเทศที่แสนแตกต่างระหว่างเดนมารก์และสวีเดน

ต้น ก.ย. ๒๕๕๒ ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเดนมาร์กเพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นแดนกังหันลมตัวจริง ไม่ใช่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีกังหันลมน้อยมาก) ก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

สวีเดนนั้นมีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านคนเท่านั้น แต่รัฐในอดีตได้กำหยดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติมาจากเกษตรกรรมถึง 40% ที่เหลืออีก 60% เดาว่าน่าจะมาจากภาคบริการ เพราะ เดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง อุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควร คือ กังหันลม แต่บัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานาน ไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจ คือ ประเทศหนึ่งเน้นหนักอุตสาหกรรม ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด

แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐฯติดอันดับประมาณ 35 และอังกฤษติดประมาณ 40)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน

แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก โดยนักการเมือง และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ (ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ 100 เท่า...เมื่อเทียบส่วนคอนซัมชั่นต่อหน่วยเวลาบริโภคเข้าไปแล้ว (ว่าเข้านั่น...แปลเป็นหรั่งออกไหม ถ้าไม่ออก ก็ไม่ต้องตกใจหรือน้อยใจว่าประกิดของเราบกพร่อง เพราะเป็นศัพท์ที่ผมบัญญัติขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก เป็นภาษาไทย เสียด้วย ว้า...ไม่น่าบอกไต๋ เลยไม่ขลัง)

ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล อีสานของเราที่ สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว ถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการส่งออกแบบดิบๆ เช่นปัจจุบัน) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ น่าจะทำให้รวยกว่าเดนมาร์กได้สองเท่าสบายๆ (คิดเทียบจากปริมาณฝนตก) ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในประเด็นนี้ ก่อนแต่จะไปเห็นเดนมาร์ก’ส โมเดล จนความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน) เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา

เฮ้อ..ผมสังเกตว่า ผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ รัฐบาลไทยเรานี่แหละ ถ้า รธน. กำหนดว่าห้ามมีรัฐบาลบริหารประเทศไปเสียเลย ป่านนี้ผมว่าประเทศเราเจริญกว่านี้มากหลายขุมไปแล้ว

หมดที่พึ่งจริงๆ คงต้องฝากความหวังไว้กับการเมืองใหม่ (และเกษตรใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ด้วย)

อย่าลืมด้วยว่ายามโลกล่มสลาย (ซึ่งมันจะล่มแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว ถ้าทุกประเทศยังแข่งกันรวย เพื่อเป็นไก่ย่างอันดับหนึ่งกันแบบนี้) เรากินมือถือ โทรทัศน์ รถยนต์ ไม่ได้ แต่เรากินการเกษตรได้ ก็ยังพอประทังชีวิต พอได้มีเวลาคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดกันต่อไป


เป็นไก่ยืนอันดับโหล่ ดีกว่าเป็นไก่ย่างอันดับหนึ่ง
http://mblog.manager.co.th/blog/blog..php?xmember=withwit

ทวิช จิตรสมบูรณ์

http://www.spt-th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=463:2009-10-05-14-14-34&catid=61:2009-09-10-04-22-49&Itemid=20


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/10/2010 9:08 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/10/2010 8:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.53 เวลาประมาณ 16.50 น. ทีวี.ช่อง 3 รายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" นำเสนอเรื่องชาวนาญี่ปุ่น รวยที่สุดในโลก.....

ฝากพวกเราค้นหาแล้ว COPY มาลงให้พวกเราทัศนากันหน่อยนะ




ลุงคิม (ค้นหา-COPY ไม่เป็น)ครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
catcaty
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010
ตอบ: 525

ตอบตอบ: 27/10/2010 10:27 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
ได้ดูสกู๊ปข่าวเศรษฐกิจช่อง 3 ซึ่งมีข่าวนึงที่นำเสนอเรื่องของคนญี่ปุ่นได้ไปสมัครเป็นชาวนาในโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่น
.
ก่อนหน้าที่จะมีวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่ญี่ปุ่นก็รับไปเต็มๆด้วยนั้น คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครสนใจการเป็นชาวนา ทำให้ปัจจุบันชาวนาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็เหลือแต่คนรุ่นเก่าๆ (และแก่) ที่นับวันก็เริ่มเหลือน้อยลงทุกวัน
.
แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น มีผู้คนว่างงานเพิ่มขึ้น หรือมีผู้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างเช่น
.
หนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาสมัครเป็นชาวนาในโครงการรํฐนี้ ซึ่งเดิมเขาก็เคยเป็นพนักงานบริษัทไปรษณีย์ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นธนาคารอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย (เป็นอดีตรัฐวิสาหกิจที่พึ่งแปรรูปเพื่อประชาชนจริงๆ)
.
หนุ่มคนนี้ได้ ถูกลดชั่วโมงการทำงานลง ทำให้เขามีเวลาเหลือมาลองฝึกการเป็นชาวนา แต่ต่อมาก็ตัดสินใจลาออกมาเป็นชาวนาเต็มตัว และค้นพบว่า อาชีพชาวนาเหมาะกับเขามากที่สุด ไม่รีบร้อน ไม่ต้องเครียด และมั่นคง.

ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยได้ดูสกู๊ปข่าวหนึ่งที่ใกล้เคียงกับข่าวแรก คือ วัยรุ่นญี่ปุ่นยอมเสียเงินมาเรียนการปลูกข้าว ซึ่งคอร์สละหมื่นกว่าบาทกันมากมาย (ที่ญี่ปุ่นแค่นักท่องเที่ยวมาชมการสาธิตปลูกข้าวยังต้องเสียเงินขอชมเลย).

จากข่าวที่ผมได้ดู ทำให้ผมได้คิดว่า ประเทศไทยก็ยังดูทุกข์เรื่องวิกฤติเศรษฐกิจน้อยกว่าอีกหลายๆประเทศ เช่น อเมริกาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประสบภาวะจัดเก็บรายได้น้อยลง ถึงขนาดผู้ว่าฯคนเหล็ก อาโนล์ด ชวาชเนค.เกอร์ ต้องปลดข้าราชการของรัฐออก หรือลดเงินเดือนลดวันทำงานลงเพื่อความอยู่รอด และอเมริกาก็มีคนตกงานไร้ที่อยู่เพิ่มขึ้นๆ ..

หาได้แค่นี้ครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
catcaty
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010
ตอบ: 525

ตอบตอบ: 27/10/2010 10:36 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

,
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว มีข่าวว่าเวียตนามส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วร่วม 20% แต่ในขณะที่ไทยขายข้าวได้น้อยลงกว่าปีที่แล้ว 15%
.
หากยังจำกันได้ ปีที่แล้วข้าวราคาพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนชาวนาไทยขายข้าวได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

แต่ผมก็เคยเจอข่าวอยู่ข่าวนึงเมื่อปีที่แล้ว ที่ ทีวี.ไปสัมภาษณ์ชาวนาที่อยุธยารายหนึ่ง เขาดีใจมากที่ปีนี้ขายข้าวไม่ขาดทุน กำไรทั้งหมดที่ได้ปีที่แล้ว 3 แสน เขาเลยซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูกชายวัยรุ่นตามที่ลูกเคยขอไว้ ส่วนเงินที่เหลือจากใช้หนี้ก็จะนำมาลงทุนปลูกข้าวต่อทันที
.
ที่จริงชาวนาไทยจำนวนมากอาจลืมไปอย่างนึงว่า ปีที่แล้วที่ไทยเราเนื้อหอมจากตลาดข้าวโลกก็เพราะ เวียตนามคู่แข่งรายสำคัญประสบกับภัยทางธรรมชาติน้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ ทำให้เวียตนามประกาศหยุดส่งออกข้าวเพราะกลัวจะเกิดภาวะอาหารขาดแคลนในประเทศ
.
แต่มาปีนี้เวียตนามยังไม่เจออุทกภัย ผลผลิตข้าวของเวียตนามเลยมีส่งออกกลับมาแข่งกับไทยได้อีกครั้ง ซึ่งทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มลดลง เป็นผลให้ราคาข้าวในประเทศไทยแพงกว่า จนชาวนาโวยเพื่อขอให้รัฐบาลใช้วิธีรับจำนำราคาข้าวอีกครั้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นใช้วิธีการประกันราคาข้าวในอนาคต
.
สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เวียตนามขายข้าวได้อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าไทยที่อัตราส่วนกลับลดลง ไม่ใช่เรื่องคุณภาพข้าว เพราะข้าวไทยยังมีคุณภาพเหนือกว่า (แต่อย่าประมาท)
.
แต่สาเหตุที่เวียตนามขายข้าวได้มากขึ้นก็เพราะปัจจัยด้านราคาที่ถูกกว่าไทยมาก จนทำให้ลูกค้าหันกลับมาสนใจข้าวเวียตนามมากขึ้น (น่าจะมีปัจจัยเรื่องภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ข้าวเวียตนามน่าสนด้วย)
.
แล้วทำไมข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง ?
.
คำตอบง่ายๆ ก็คือ ค่ารองชีพของไทยสูงกว่าเวียตนาม ต้นทุนการปลูกข้าวของชาวนาไทยก็สูงกว่าชาวนาเวียตนาม
.
เรื่องค่าครองชีพ ชาวนาคงไม่ได้มีอำนาจอะไรไปแก้ไขได้ แต่สิงที่ชาวนาไทยแก้ไขได้ก็คือ การลดต้นทุนการผลิต
.
************************
"
ชาวนาผู้ร่ำรวย!!!
.
วันนี้เผอิญผมได้ดูข่าว ทีวี.ไทย ไปสัมภาษณ์ชาวนาไทยคนหนึ่งที่ร่ำรวยจากการปลูกข้าวด้วยเกษตรอินทรีย์มากว่า 20 ปี เขาชื่อ นายชัยพร พรหมพันธุ์ (นามสกุลนี้ พันธุ์ มีสระอุ) เกษตรกรจากอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
.
ซึ่งคุณชัยพร บอกว่าได้เรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์จากท่านผู้รู้คนหนึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คุณชัยพรซึ่งได้รับมรดกที่นา 40 ไร่ จากบิดาที่ทื้งไว้
.
ด้วยการใช้เกษตรอินทรีย์ ไม่พึ่งพาปุ๋ยเคมี ไม่พึ่งพายาฆ่าแมลงพวกสารเคมี ใช้แต่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักบำรุงต้นจากนมสด และรกหมู และใช้ยาฆ่าแมลงจากสมุนไพรที่เขาทดลองค้นคว้าใช้มาตลอด เพราะยาฆ่าแมลงสมุนไพรไม่ฆ่าตัวห้ำตัวเบียนที่เป็นศัตรูกับแมลงศัตรูข้าว

ทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวของคุณชัยพร มีต้นทุนต่อไร่เพียง 1,000-2,000 บาทเท่านั้น !!! และได้ถึง 1 เกวียนต่อไร่ !!! (โอโห! ตอนดูข่าวผมถึงกับดีใจจนปรบมือให้เลยครับ) แต่ในขณะที่ต้นทุนของชาวนาไทยทั่วๆไปกลับสูงถึง 6,000-8,000 บาทต่อไร่ (สาเหตุหนึ่งที่ชาวนาไทยเจ๊งเพราะหนี้เก่าสะสม จากปัญหาภัยธรรมชาติทำนาล่ม เพราะชาวนาไทยยังไม่มีการประกันความเสี่ยงจากพืชผล)
.
วิธีการหนึ่งที่คุณชัยพร ค้นพบคือ การปลูกข้าวแบบกระจายซัง เพราะสามารถปลูกข้าวได้ทันทีหลังจากที่เกี่ยวข้าวรุ่นที่แล้ว โดยปล่อยทิ้งซังข้าวกลายเป็นปุ๋ย
.
จากเดิมที่คุณชัยพร ได้รับมรดกจากพ่อแค่ 40 ไร่ ปัจจุบันคุณชัยพร ได้ซื้อเพิ่มเติมที่นามาจนถึงวันนี้ 100 กว่าไร่ แล้วครับ (สุดยอด !)
.
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น คุณชัยพร ชาวนาผู้ร่ำรวยยังบอกต่ออีกว่า ตอนนี้มีรถปิคอัพ 3คัน มีรถบรรทุก 10 ล้อ มีรถ 6 ล้อ มีเงินส่งลูกเรียนปริญญาโท 2 คน จะจบปีหน้ามีลูกเพิ่งจบปริญญาตรีที่เกษตรศาสตร์อีกคน (สุดยอดๆๆ)
.
คุณชัยพร เสริมอีกหน่อยว่า การเกษตรอินทรีย์แบบที่เขาทำมา 20 ปี ไม่ใช่วิธีการที่สมัยใหม่อะไรมาก แต่เป็นวิธีการที่บรรพบุรุษก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่เขาค้นคว้าซักถามผู้รู้ คิดค้นเพิ่มเติมและหาอ่านจากหนังสือเท่านั้น
.


*****************************
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
Yuth-Jasmine
สาวดี่
สาวดี่


เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010
ตอบ: 384

ตอบตอบ: 27/10/2010 12:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

kimzagass บันทึก:
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.53 เวลาประมาณ 16.50 น. ทีวี.ช่อง 3 รายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" นำเสนอเรื่องชาวนาญี่ปุ่น รวยที่สุดในโลก.....

ฝากพวกเราค้นหาแล้ว COPY มาลงให้พวกเราทัศนากันหน่อยนะ




ลุงคิม (ค้นหา-COPY ไม่เป็น)ครับผม


ตัดคลิปเฉพาะส่วนมาให้ชมน่ะครับ

กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
Yuth-Jasmine
สาวดี่
สาวดี่


เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010
ตอบ: 384

ตอบตอบ: 27/10/2010 7:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หากผมเข้าใจไม่ผิด ส่วนของข่าวเรื่องชาวนา "ยุ่นปี่" มีเท่านี้ใช้ไหมครับ
หรือว่ามีอะไรเพิ่มเติมอยู่ที่ไหนใครทราบแจ้งด้วยน่ะครับ
จะได้ตามไปจิกเอามาให้หมดครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/10/2010 7:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ใน ทีวี.มีเท่านี้แหละญู้ดดด.... ขอบคุณมาก ดีมาก เก่งมาก...ให้ลา 3 วัน...


งานใหม่เข้า.....

สังเกตุคำบรรยาย ทุกประโยคเป็นทั้ง "แง่คิด-ปรัชญา-
การเมือง-สังคม-วิสัยทัศน์ และค่านิยม"
ดีมากๆ จึงอยาก
เปลี่ยนคำบรรยายมาเป็น "ตัวอักษร" เพื่อจะได้ค่อยๆอ่าน อ่านช้าๆ อ่านซ้ำๆ
อ่านทีละวรรค อ่านทีละประโยค แล้วยจะลำดับภาพได้ชัดเจน....


ใครก็ได้นะ ถอดคำพูดเป็นตัวอักษรให้ด้วย
ลุงคิม (ถอดไม่เป็น-มืออ่อน) ครับผม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/10/2010 3:20 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nokkhuntong
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 26/02/2010
ตอบ: 256

ตอบตอบ: 28/10/2010 10:27 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ตามคำขอค่ะลุง Razz

....ตลอดเส้นทางทั้งในเมืองและนอกเมือง ระหว่างเส้นทางจากเมืองโอซาก้า ไป
จนถึงเมืองโกเบ เมื่อมองไปสองข้างทางก็จะพบต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่าม

นาข้าวจึงมีแทรกอยู่ตามหมู่บ้านในเมืองใหญ่แทบทุกหนแห่ง

และเป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เจ้าของที่นาจะได้ผลผลิต รายได้อย่างงาม

ชาวนาญี่ปุ่นจึงมีรายได้กว่า 3 ล้านเยน หรือกว่า 1,200,000.-บาทต่อปี




พิธีกรภาคสนาม :

"ช่วงนี้ก็เป็นฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนา ที่ญี่ปุ่นเช่นกันค่ะ และเป็นที่โชคดีว่า ชาวนาที่นี่นั้น

ได้ผลผลิตดีแทบทุกปี

แต่ใช่ว่าชาวนาที่ญี่ปุ่นนี่นะค่ะจะมีที่นาเป็นของตัวเอง

แต่รัฐบาลนั้นได้ให้มีการประกันราคาข้าว และให้เช่าที่นาในราคาถูก

ทำให้ชาวนาที่นี่ทุกคน

ไม่มีใครมีหนี้สินกันเลยค่ะ "

อาชีพชาวนากลายเป็นอาชีพที่นิยมของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

หากใครไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง รัฐบาลจะประกาศให้จับสลากเพื่อจัดสรรที่ดินทำ
การเกษตรให้ฟรี


โดยเฉพาะหากเป็นผู้พิการหรืออายุเกิน 60 ปีจะได้สิทธิพิเศษ

เจ้าของที่นารายนี้บอกว่า นอกจากได้ที่ดินเพื่อทำการเกษตรฟรีแล้ว

ยังได้พันธุ์ข้าวฟรีและใช้ปุ๋ยธรรมชาติ

ทำให้พืชผลการเกษตรขายได้ราคาดี กินเองก็ปลอดภัย

อาชีพทำนาที่มีรายได้ดีและแน่นอน ทำให้ขณะนี้

คนหนุ่มสาวของญี่ปุ่น ออกจากเมืองไปเช่าที่นาทำในช่วงวันหยุด โดยรัฐจะให้เช่าใน
ราคาถูก เพียงปีละ 10,000 เยนหรือ 3,800 บาทต่อปี


บางคนเห็นว่า

การเกษตรเป็นอาชีพที่สดใส ก็ถึงขนาดขายที่ในเมืองเพื่อไปซื้อที่ชานเมือง ทำนา
เป็นอาชีพหลัก.....


เจ้าของที่นา : " ทำงานที่บริษัทค่ะ เสาร์-อาทิตย์เป็นวันหยุดก็มาทำสวนแบบนี้ค่ะ
ถ้ามีเยอะก็ขาย ถ้ามีน้อยก็ทานที่บ้าน วัยรุ่นตอนนี้ก็จะไม่มีการทำที่ในเมือง ก็ซื้อ
ที่ดินที่บ้านนอกในญี่ปุ่นนะค่ะ ที่ถูก แล้วทำสวน ปลูกผัก ขายที่ในเมือง "

ชาวนาที่นี่ยังไม่ต้องพึ่งพาโรงสีข้าว เพราะมีเครื่องสีข้าวแบบหยอดเหรียญ เพียง
กระสอบละไม่ถึง 100 บาท แต่

ใช่ว่าชาวนาที่ญี่ปุ่นจะไม่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ เพราะญี่ปุ่นมีพายุใต้ฝุ่น ลมพัด
แรง เพียงแต่ไม่เคยประสบปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมนาข้าวเหมือนชาวนาในไทย


อีกทั้งร้ฐบาลญี่ปุ่นมีการประกันราคาข้าวที่ได้มาตรฐาน


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย nokkhuntong เมื่อ 28/10/2010 11:10 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
catcaty
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010
ตอบ: 525

ตอบตอบ: 28/10/2010 10:41 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เร็วๆครับรออ่านอยู่ ...!

หมึกครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
nokkhuntong
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 26/02/2010
ตอบ: 256

ตอบตอบ: 28/10/2010 11:15 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลืมไป..ว่าแถวนี้วัยรุ่นแยะ Laughing
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
catcaty
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010
ตอบ: 525

ตอบตอบ: 28/10/2010 11:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขอบคุณครับ..!

หมึกครับ(วายยยรุ่นนน)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/10/2010 3:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อั้ย หมืกกกก.... เอาเปรียบผู้หญิง....



เฮ่.....นกขุนทอง....คุณทำยังไงน่ะ นึกไม่ถึงจริงๆ
หลังจากที่บอกไปแล้วน่ะ ลุงคิมคิดตลอดเวลาว่า จะทำยังไงดีน้าาาาาา ถึงจะถอด
คำพูดมาเป็นตัวอักษรได้ นี่มันไม่ใช่เทปคลาสเซ็ทนะ


เก่งมาก ขอบคุณแทนทุกคน
ลุงคิม(เก่งแต่ปาก)ครับผม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/10/2010 6:08 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
nokkhuntong
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 26/02/2010
ตอบ: 256

ตอบตอบ: 28/10/2010 3:58 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มือซ้ายคลิก ให้วีดีโอหยุดชั่วครู่ มือขวาจดค่ะลุง ... ไปเรื่อยๆ
แล้ว play ทวน ตรวจอีกที

คราวนี้หมึก....ตามหมึกพอลแน่ๆ Laughing

ยินดีรับใช้ค่ะ(ยกเว้นเงิน)
นกขุนทอง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/10/2010 4:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


นาข้าวจึงมีแทรกอยู่ตามหมู่บ้านในเมืองใหญ่แทบทุกหนแห่ง

แสดงว่า แปลงไม่ใหญ่ แต่ได้ผล 100 (+)% ใช่หรือไม่ นี่คือ นาข้าว
แบบประณีต.....?


ชาวนาญี่ปุ่นจึงมีรายได้กว่า 3 ล้านเยน หรือกว่า 1,200,000.-บาทต่อปี

เพราะปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เป็นไปตามเกรดในสัญญาประกันราคา
จึงทำให้ทั้งผู้ผลิตและคนกลางพอใจซึ่งกันและกัน



ได้ผลผลิตดีแทบทุกปี
ปลูกข้าวด้วยเทคนิค ปรับปรุงบำรุงข้าวตามใจต้นข้าว ไม่ใช่ตามใจคนปลูก


แต่รัฐบาลนั้นได้ให้มีการประกันราคาข้าว และให้เช่าที่นาในราคาถูก

แม้ชาวนาจะเป็นเพียงชน (อาชีพ) กลุ่มน้อย แต่ผลิตอาหารที่ชนทุกกลุ่ม (อาชีพ)
ต้องกิน หน่วยงานที่มีหน้าที่ส่งเสริมการทำนา ส่งเสริมการทำนาข้าวแบบบูรณาการ
ด้วยอุดมการในการทำหน้าที่


ไม่มีใครมีหนี้สินกันเลยค่ะ "
ทำนาข้าวอย่างมีแผนบริหาร "ต้นทุน" และ "การตลาด" ใช้เทคโนโลยีทุกแขนง
ในการผลิต ภายใต้การกำกับ แนะนำ และส่งเสริมจากหน่วยงานส่งเสริม



หากใครไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง รัฐบาลจะประกาศให้จับสลากเพื่อจัดสรรที่ดินทำ
การเกษตรให้ฟรี

แสดงว่าที่ดินเป็นของรัฐ ประชาชนไม่มีสิทธิ์ครอบครอง นอกจากรัฐจัดสรรให้เท่า
นั้นแบบ สปก.ของไทย.....เกาหลี. สิงค์โปร์. มาเลเซีย. ก็ทำเหมือนญี่ปุ่น


ยังได้พันธุ์ข้าวฟรีและใช้ปุ๋ยธรรมชาติ
ปัจจุบัน กรมการข้าวผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ได้ปีละ 75,000 ตัน ในขณะที่ความต้อง
การปีละ 200,000 ตัน ที่เหลื่อชาวนาต้องซื้อข้าวพันธุ์จากบริษัท หรือแปลงข้าง
เคียง หรือเก็บทำพันธุ์เอง จึงทำให้ข้าวคุณภาพไม่แน่นอน



คนหนุ่มสาวของญี่ปุ่น ออกจากเมืองไปเช่าที่นาทำในช่วงวันหยุด โดยรัฐจะให้เช่าใน
ราคาถูก เพียงปีละ 10,000 เยนหรือ 3,800 บาทต่อปี

นี่คือ วิสัยทัศน์เยี่ยงรัฐบุรุษของผู้บริหารประเทศ ที่ปลูกฝังค่านิยมแก่คนรุ่นใหม่ ที่
เป็นคนรุ่นเก่าในอนาคต ในผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ....คนรุ่นเก่าวันนี้หมดไป
คนรุ่นใหม่วันนี้จะเป็นตัวแทน.....และคนรุ่นใหม่วันนี้ก็จะสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อทดแทน
คนรุ่นเขาเขาต่อไป.....



การเกษตรเป็นอาชีพที่สดใส ก็ถึงขนาดขายที่ในเมืองเพื่อไปซื้อที่ชานเมือง ทำนา
เป็นอาชีพหลัก.....

ต้นทุนต่ำ รายได้สูง มีเกียรติ และมีอนาคตแน่นอน คือ มูลเหตุจูงใจ ที่ผู้นำประเทศ
ใช้เพื่อภารกิจสร้างคนรุ่นใหม่ สำหรับประเทศชาติในอนาคต



ใช่ว่าชาวนาที่ญี่ปุ่นจะไม่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ เพราะญี่ปุ่นมีพายุใต้ฝุ่น ลมพัด
แรง เพียงแต่ไม่เคยประสบปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมนาข้าวเหมือนชาวนาในไทย

เพราะสร้างระบบป้องกันภัยล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรัฐบาลมองเห็นว่า
การลงทุนสร้าง "ระบบป้องกันภัยและเพื่อการผลิต" สิ่งที่รัฐบาลจะได้กลับคืนมา
คือ ภาษีจากรายได้ของเกษตรกร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/10/2010 4:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

nokkhuntong บันทึก:
มือซ้ายคลิก ให้วีดีโอหยุดชั่วครู่ มือขวาจดค่ะลุง ... ไปเรื่อยๆ
แล้ว play ทวน ตรวจอีกที

คราวนี้หมึก....ตามหมึกพอลแน่ๆ Laughing

ยินดีรับใช้ค่ะ(ยกเว้นเงิน)
นกขุนทอง



อ้ออออ เพราะคุณมี 2 มือนี่เอง......
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/10/2010 4:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พยากรณ์ชาวนาไทย....กงกำกงเกวียน....


ต้นปี 53 ภัยแล้ง.....ต้นข้าวยืนตาย แม้ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ไม่ได้ฉีดยา ก็เจ๊งเพราะไม่ได้ข้าว.....


ปลายปี 53 ภัยน้ำ....ต้นข้าวแช่น้ำตาย แม้ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ไม่ได้ฉีดยา ก็เจ๊งเพราะไม่ได้ข้าว.....


ต้นปี 54 ภัยหนาว....ค้นข้าวยืนตายเพราะขาดสังกะสี โรคระบาด ก็เจ๊งเพราะค่าปุ๋ย ค่ายา


ปีก่อนๆ....น้ำดี-อากาศดี-ข้าวงอกงามดี-ราคาดี ชาวนาก็เจ๊งเพราะค่าปุ๋ย ค่ายา




อยากถาม จนท.เกษตรว่า...เมื่อไหร่ชาวนาถึงจะตื่นซะที
ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
catcaty
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010
ตอบ: 525

ตอบตอบ: 28/10/2010 4:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เจ้าหน้าที่เกษตรท่านนึงฝากบอกลุงคิมว่า (พ่อเค้าไม่ได้เป็นชาวนาครับ...!)

หมึกครับโผม (ลูกอดีตชาวนาท่าวุ้ง ลพบุรี )
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/10/2010 8:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คำตอบนั้น "ถูกต้อง" แล้ว อย่างพวกเราโดยเฉพาะลุงคิมต่างหากที่ "ผิด" ....

อีกนานนะบ้านเมืองนี้ ใครไม่ช่วยตัวเอง ไม่พัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางใหม่ ตอบได้เลยว่า ไปไม่รอด....เป็นห่วงก็แต่ลูกหลานนั่นแหละ


โฉนดใครก็โฉนดใครเน้ออออ
ลุงคิม (โฉนดยังอยู่) ครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/10/2010 9:16 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

catcaty บันทึก:

"ชาวนาผู้ร่ำรวย !!!
.
วันนี้เผอิญผมได้ดูข่าว ทีวี.ไทย ไปสัมภาษณ์ชาวนาไทยคนหนึ่งที่ร่ำรวยจากการปลูกข้าวด้วยเกษตรอินทรีย์มากว่า 20 ปี เขาชื่อ นายชัยพร พรหมพันธุ์ (นามสกุลนี้ พันธุ์ มีสระอุ) เกษตรกรจากอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ซักถามผู้รู้ คิดค้นเพิ่มเติมและหาอ่านจากหนังสือเท่านั้น[/color].


*****************************



นี่ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง "ชาวนาผู้ร่ำรวย"
คุณวิโรจน์ฯ (089) 076-0637 ต.บ้านแพรก อ.บ้านแพรก จ.อยุธยา

- นาข้าว 160 ไร่ ทำ 2 รอบ/ปี ได้รวม 317 เกวียน
- ขายแบบจำนอง ธ.ก.ส. 12,000/เกวียน
- ได้เงิน 317 x 12,000 = 3,000,000 (+)
- นาข้าว 2 รุ่น ลงทุนรวม 1,000,000 (ประมาณ)
- ได้กำไรรวม 2,000,000 (ประมาณ)

คุณวิโรจน์ฯ ทำนาข้าวตามแบบที่ลุงคิมแนะนำ และใช้ปุ๋ยที่ลุงคิมโฆษณา
ปุ๋ยที่โฆษณา ก็คือ ปุ๋ยที่ลุงคิมทำแล้วส่งให้บริษัทสปอนเซอร์ไปวางเอเย่นต์

หมายเหตุ :
ผลงานนาข้าวแปลงนี้เมื่อ 1-2 ปีก่อน ตอนนั้นน้ำไม่ท่วม แต่นาข้าวปีนี้คง
ไม่ใช่ เพราะน้ำท่วมนะ


ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©