-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-สับปะรด ไม่ต้องปอกเปลือก-นางแล-ภูแล-ศรีราชา
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - สับปะรด ไม่ต้องปอกเปลือก-นางแล-ภูแล-ศรีราชา
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

สับปะรด ไม่ต้องปอกเปลือก-นางแล-ภูแล-ศรีราชา

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 8:04 am    ชื่อกระทู้: สับปะรด ไม่ต้องปอกเปลือก-นางแล-ภูแล-ศรีราชา ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)











ฮือฮา ...! สับปะรดกินไม่ต้องปอกเปลือก

สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เป็นพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Queen กลุ่มเดียวกับพันธุ์ภูเก็ต สวีหรือตราดสีทอง โฉมใหม่ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรเตรียมจัดงานเปิดตัวยิ่งใหญ่ ฉลองครบ 36 ปี

แปลกดี นะ!! ....เมื่อสับปะรดกินได้ไม่ต้องปอกเปลือก โดยกรมวิชาการเกษตรวิจัยสับปะรด "พันธุ์เพชรบุรี" หรือที่รู้จักกันว่า "สับปะรดไต้หวัน" มีลักษณะเด่น บริเวณปลายคอดเล็ก ตาค่อนข้างใหญ่และนูนเล็กน้อย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกรับประทานได้ทันทีไม่ต้องปอก รสหวาน หอมแรง และเนื้อกรอบ กำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

เรื่องนี้ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 36 ปี กรมวิชาการเกษตรทำการวิจัยและพัฒนาพืชผลทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ได้ให้มีการพัฒนาพันธุ์สับปะรดกว่า 10 ปี จนกระทั่งได้สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี หรือที่เรียกกันว่า สับปะรดไต้หวัน ที่รับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือนเช่นสับปะรดทั่วไป ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากตลาดอย่างมาก

ลักษณะพิเศษของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรีดังกล่าว คือสามารถแกะผลย่อย หรือตา (fruitlet) ออกจากกันได้ง่าย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมารับประทานได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก อีกทั้งแกนผลยังสามารถรับประทานได้ รสหวานอมเปรี้ยว มีปริมาณกรดต่ำ กลิ่นหอมแรง เนื้อกรอบ สีเนื้อเหลืองอมส้มสม่ำเสมอ ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ภูเก็ต และสวี 17.7% และ 23.2% ตามลำดับ สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย

สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เป็นพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Queen เช่นเดียวกับพันธุ์ภูเก็ต สวีหรือตราดสีทอง มีทรงพุ่มปานกลาง ใบค่อนข้างสั้น หนามลักษณะเป็นตะขอม้วนขึ้นไปหาปลายใบ มีช่อดอกแบบรวม (Spike) ดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบดอกสีน้ำเงินปนม่วง มีลักษณะผลรวม ทรงเจดีย์ คือด้านล่างของผลใหญ่ บริเวณปลายจะคอดเล็ก ตาบริเวณปลายผลติดกับจุกไม่พัฒนา2 - 3 รอบ ผลขนาดปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 1.00 กก. ผลกว้างเฉลี่ย 11.9 ซม. ผลยาวเฉลี่ย 19.0 ซม. ตาค่อนข้างใหญ่และนูนเล็กน้อย โดยมีอายุการเก็บเกี่ยวราว 126 วัน มีสีเปลือกผลแก่สีเขียว ผลสุกสีเหลืองอมส้ม (Yog 17 A-B) สีเหลืองอมส้ม (Yog 16 A-B)

สับปะรดพันธุ์เพชรบุรีเดิมเป็นพันธุ์ของประเทศไต้หวันในชื่อพันธุ์ Tainan 41 ในปี 2530 โดยนายสณทรรศน์ นันทะไชย เป็นผู้นำพันธุ์มาจากบริษัทส่งออกสับปะรดในรูปของ สับปะรดพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ได้มาจากการคัดเลือกสายต้น ( clone ) หรือการผสมพันธุ์ หลังจากได้รับจุกมาแล้วส่วนหนึ่งนำไปเพิ่มปริมาณหน่อโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อ เยื่อ

นายสมชาย ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มตลาดสับปะรดว่า สับปะรดเป็นพืชที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเกษตร นอกจากจะนิยมบริโภคสดแล้ว ยังสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น สับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด สับปะรดแช่แข็ง สับปะรดกวน สับปะรดอบแห้ง และอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋อง เปลือกใช้เป็นอาหารสัตว์ ใบใช้ทำเส้นใยและกระดาษ ซึ่งแต่ละปีจะทำรายได้ให้เกษตรกรอย่างมาก

ทางกรมวิชาการเกษตร มุ่งสร้างการรับรู้สับปะรดพันธุ์ใหม่ดังกล่าวผ่านรูปแบบการทำกิจกรรมด้าน ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจัดนิทรรศการผลงานวิชาการของหน่วยงานภายในกรมวิชาการเกษตร นิทรรศการของภาคเอกชนและกลุ่มเกษตรกร มีศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทฤษฎีใหม่ เทคโนโลยีการผลิต และการแปรรูปสับปะรดครบวงจร รวมถึงการสาธิตเครื่องจักรกลการเกษตร

ในโอกาสที่กรมวิชาการเกษตรได้รับการสถาปนาครบรอบ 36 ปีเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง โอกาสนี้ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 5 จึงได้จัดงานมหัศจรรย์พันธุ์สับปะรดเพชรบุรี 36 ปีกรมวิชาการเกษตรในวันที่ 9 มิถุนายน 2552 ณ ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรีถนนบายพาสชะอำ-ปราณบุรี ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อประชาสัมพันธ์สับปะรดพันธุ์ ”เพชรบุรี”


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.vcharkarn.com/vnews/152342
www.vcharkarn.com/vnews/152342 -


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/09/2010 11:22 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 8:12 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กรมวิชาการเกษตรสุดยอด! พัฒนาสับปะรดกินได้ทั้งเปลือก

กรมวิชาการเกษตรประสบความสำเร็จ ในการวิจัยสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ซึ่งสามารถกินได้โดยไม่ต้องปลอกเปลือก ลักษณะบริเวณปลายคอดเล็ก ตาใหญ่และนูนเล็กน้อย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมารับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องปลอกเปลือก ทั้งยังมีรสหวาน หอมแรง เนื้อกรอบ น้ำหนักผลเฉลี่ย 1 กิโลกรัม แกนยังสามารถรับประทานได้ด้วย ผลผลิตที่ได้สูงกว่าพันธุ์ภูเก็ตและสวี ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร พัฒนาสายพันธุ์มาจากพันธุ์ไต้หวัน

ทั้งนี้ จะนำสับปะรดพันธุ์นี้ออกจัดแสดงเผยแพร่แก่บุคคลทั่วไป ในงานมหัศจรรย์พันธุ์สับปะรดเพชรบุรี 36 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี ถนนบายพาส-ปราณบุรี ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้


http://news.sanook.com/768203-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81.html
news.sanook.com/768203-



วิจัยพัฒนาสับปะรดไต้หวันมานานกว่า 10 ปี

มหัศจรรย์สับปะรด เพชรบุรี สุดวิเศษไม่ต้องปอกเปลือก หลังจากที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ต.สามพระยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ใช้เวลาในการวิจัยพัฒนาสับปะรดไต้หวันมานานกว่า 10 ปี ล่าสุดประสบผลสำเร็จจนได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ “เพชรบุรี” มีลักษณะเด่นบริเวณปลายคอดเล็ก ตาค่อนข้างใหญ่และนูนเล็กน้อย และมหัศจรรย์ที่สุดสามารถแกะผลย่อยออก นำมารับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องปอกเปลือกเหมือนสับปะรดทั่วไป เนื้อสับปะรดมีรสชาติหวาน กรอบ และหอมแรง ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ ต่างชาติ

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 36 ปี กรมวิชาการเกษตรทำการวิจัยและพัฒนาพืชผลทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี หรือที่เรียกกันว่า สับปะรดไต้หวัน หลังจากที่ทำการวิจัยพัฒนามากว่า 10 ปี จนได้สับปะรดที่สามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือน เช่นสับปะรดทั่วไป ขณะนี้กำลังได้รับความสนใจจากตลาดเป็นอย่างมาก

ลักษณะพิเศษของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรีดังกล่าว คือสามารถแกะผลย่อย หรือตา (fruitlet) ออกจากกันได้ง่าย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมารับประทานได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก อีกทั้งแกนผลยังสามารถรับประทานได้ รสหวานอมเปรี้ยว มีปริมาณกรดต่ำ กลิ่นหอม เนื้อกรอบ [...]

http://news.enterfarm.com/content/%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%9b%e0%b8%9b%e0%b8%b0%e0%b8%a3%e0%b8%94
news.enterfarm.com/content/


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/09/2010 8:56 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 8:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)










“สัปปะรด พันธุ์เพชรบุรี"

เบรคนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปชิมสัปปะรดสายพันธุ์ใหม่ ที่แกะตากินได้เหมือนน้อยหน่า โดยไม่ต้องปอกเปลือกนะคะ เมื่อสองปีก่อนเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับสัปปะรดสายพันธุ์นี้อยู่บ้าง ทั้งที่ปกติสัปปะรดนอกจากจะไม่ใช่ผลไม้พิมพ์นิยมสำหรับเราแล้ว แทบจะไม่มองด้วยซ้ำไป แต่ถ้าจะซื้อมากินบ้างมักจะเป็นพันธุ์ภูแล ซึ่งก้อหาซื้อได้ในห้างสรรพสินค้าข้างบ้าน ทันทีที่รู้ข่าวเราโทร.กลับบ้าน ถามคนในบ้าน ถามคนนอกบ้าน ถามเพื่อนที่บ้าน ฯลฯ พบว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย เป็นเรื่องที่น่าขำมาก สัปปะรดพันธุ์เพชรบุรี แต่คนเพชรบุรีส่วนใหญ่กลับไม่รู้จัก ถึงขนาดเราโทร.ไปหาเจ้าหน้าที่จากแหล่งปลูกโดยตรง ซึ่งมีหน่อจำหน่ายให้มาปลูกกินเองเท่านั้น คือสามารถจะพอหากินได้ แต่ต้องเข้าไปในพื้นที่ และทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีขายที่จุดใดบ้าง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาคุณป้าข้างบ้านโทร.มาบอก ท่านรู้แล้วว่าสัปปะรดที่เราตามหาเมื่อ 2 ปีก่อน จะมาเปิดบูธในงานพืชสวน จัดที่เดอะมอลล์ บางแค งานนี้จะมีการโชว์พืชเกษตรแปลก ๆ ขนาดใหญ่ ๆ ให้เห็นหลายชนิด ท่านรู้เพราะมีข่าวออกทางทีวีเมื่อสักครู่นี้เอง หลังจากนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาอีกหลายสายแจ้งว่าสัปปะรดที่เราตามหามีมาในงานพืชที่เดอะมอลบางแคแล้ว รุ่งขึ้นเจ้านายและเพื่อนร่วมงานก้อมาบอกอีก คือมีข่าวออกทางทีวี ทำให้หลายคนทราบข่าว และพวกเขารู้ว่าเราตามชิมมาสองปีแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจมาบอกข่าวกับเราอย่างพร้อมเพรียงกัน

วันหยุดสุดสัปดาห์เราไปงานพืชสวนที่เดอะมอลล์บางแคตั้งแต่ไก่โห่ รู้สึกจะเป็นวันสุดท้ายของงานพืชสวนด้วยนะคะ รอจนห้างฯ เปิด ไปฉกมาได้ 8 ลูก ราคาลูกละ 100.-บาท มีมาขายให้เห็นไม่มาก ถึงขนาดต้องแย่งกันซื้อนะคะ เราซื้อหน่อมาปลูกอีก 2 ต้น หน่อละ 100.-บาท ดูเหมือนว่าสัปปะรดพันธุ์เพชรบุรีมีราคาสูง แต่แม่ค้าผลไม้หลายรายบอกว่าไม่แพงนะคะ เพราะสัปปะรดทั่วไปลูกใหญ่ประมาณ 1 กก. ก้อตกราคาใบละ 70-80 บาทแล้ว ซึ่งสัปปะรดสายพันธุ์ใหม่นี้เราหยิบมาแบบลูกโตทั้งหมด จากนั้นหอบสัปปะรดทั้งหมดกับหน่อสัปปะรดกลับไปจังหวัดเพชรบุรีทันที เพื่อนำไปให้คนเพชรบุรีได้ชิมกัน เพราะก่อนหน้านั้นต่างก้อส่ายหัวไม่รู้จักนะคะ เหลือบางส่วนหอบกลับมาให้คนกรุงเทพฯ ได้ชิมต่อ เป็นที่ฮือฮากับของแปลกกันพอสมควรค่ะ

สัปปะรดพันธุ์เพชรบุรีมีต้นตระกูลอยู่ที่ใต้หวัน ภายใต้สายพันธุ์เดิมชื่อ "Tainan 41" ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรีได้นำจุกของมันมามาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อให้เพิ่มปริมาณ ผลการวิจัยพบว่ามีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีกว่าสายพันธุ์เดิม ล่าสุดศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์สับปะรดพันธุ์นี้ หรือที่เรียกกันว่าสับปะรดไต้หวัน จนได้สับปะรดที่สามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือนเช่นสับปะรดทั่วไป จากนั้นมีการเสนอคณะกรรมการวิจัยและพัฒนากรมวิชาการเกษตรพิจารณารับรองพันธุ์ และคณะกรรมการได้มีมติรับรองเป็นพันธุ์แนะนำในวันที่ 18 มีนาคม 2541 ระยะเวลาประมาณ 10 ปี ในการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์สับปะรดไต้หวัน จึงเป็นที่มาของ “สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี” ไปในที่สุด

สัปปะรดสายพันธุ์ใหม่ “สายพันธุ์เพชรบุรี” นั้น มีไฮไลท์เด่นคือไม่ต้องปอกเปลือก สามารถแกะผลหรือที่เรียกว่าตากินได้เป็นชิ้น ๆ เหมือนน้อยหน่าหรือขนุน รสดชาดดีอย่างเหลือเชื่อ หวานหอมสีสวย มีปริมาณกรดต่ำ ทำให้ทานแล้วไม่กัดปากหรือกัดปากน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ กำลังเป็นที่สนใจนักชิมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก แต่ขณะนี้ผลผลิตยังมีไม่มาก จึงไม่สามารถหารับประทานได้ง่ายเหมือนผลไม้ชนิดอื่น และยังไม่มีวางขายทั่วไปบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ อาจจะได้ชิมก้อต่อเมื่อมีการจัดงานพิเศษเกี่ยวกับพืชผลทางด้านเกษตรต่าง ๆ เท่านั้น เริ่มแรกทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้ทำการแจกหน่อพันธุ์ให้กับเกษตรกรเพื่อนำไปปลูก แต่เกษตรไม่อยากที่จะต้องการหาตลาดขายสัปปะรดสายพันธุ์ใหม่นี้ เพราะเป็นสัปปะรดในกลุ่มทานสด เหล่าบรรดาเกษตรกรจึงไม่สนใจนัก เพราะไม่ต้องการหาตลาดใหม่ เนื่องจากเดิมทีเกษตรกรปลูกสัปปะรดสายพันธุ์ปัตตาเวีย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกส่งโรงงานอยู่แล้ว แต่ยังมีเกษตรกรบางรายที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสัปปะรดสายพันธุื์์ใหม่นี้ จึงมีการนำไปปลูกและขยานพันธุ์ต่อ แต่ก้อมีจำนวนน้อยมาก มีวางขายอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แหล่งปลูกที่มีมากและคุณภาพชั้นเยี่ยมอยู่ที่ อ.หัวหิน (ไร่ของคุณรุ่งเรือง) รายนี้มีรายนี้มีวางจำหน่ายบริเวณด้านข้างวังไกลกังวน (เสาร์-อาทิตย์) ราคาไม่แพง รสชาดดี ตรงตามลักษณะพันธุ์ สับปะรดพันธุ์เพชรบุรีมีอายุมานานนับ 10 ปี แต่เพิ่งมาดังมากเมื่อสื่อนำมาเสนอทางทีวีในช่วงที่หน่วยงานจัดงาน 36 ปีของกรมวิชาการเกษตร :เครดิตข้อมูลเพิ่มเติม คุณข้าวเหนียวหมูปิ้ง:

หน้าตาของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เหมือนสับปะรดทั่วไป ขนาดใหญ่สุดโดยประมาณอยู่ที่ 1 กก. ดีไซน์สับประรดเพชรบุรีจะเป็นทรงเจดีย์ คือโป่งตรงก้น ส่วนด้านหัวจะมีขนาดลีบลงไปเรื่อย ๆ ลักษณะของตาค่อนข้างใหญ่และโปน ทำให้ดึงออกมารับประทานทีละตาได้สะดวก เนื้อมีสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมแรง ส่วนหัวจะมีรสหวานอมเปรี้ยว แต่บริเวณก้นจะออกหวาน กรณีที่แก่จัดหรือที่ตามีสีเหลืองจะหวานมากทีเดียวนะคะ

มือใหม่หัดแกะค่อนข้างลำบากนิดหนึ่ง แต่ลูกแรกผ่านไปเข้าสู่ลูกที่สองก้อเริ่มสนุกแล้ว เราจะเจาะนำร่องเพื่อให้ได้พื้นที่โล่ง ๆ กันก่อน จากนั้นจึงทยอยฉีกทีละตามารับประทาน ลูกแรกเราทำการเจาะตรงกลางลูกเลย แต่ลูกนี้เรานำมาตัดจุกออกไปก่อน ซึ่งจะทำให้ปาดไปโดนตาสับปะรดติดไปด้วย ดังนั้นตาที่โดนตัดแล้วเหลือไม่เต็มตาเราเลาะออกไปด้วยมีดทีละตาให้เหลือตาเต็ม ๆ เท่านั้น จากนั้นจึงค่อยเลาะเด็ดตาเต็ม ๆ ที่เหลือมารับประทานทีละตา ตาที่อยู่ส่วนหัวนี้จะมีขนาดเล็กกว่าตาที่อยู่ส่วนล่าง ประกอบกับยังมีสีเขียวอยู่ จึงแกะยากกันนิดหนึ่ง ตาที่อยู่ช่วงบน ๆ เล่นเอาเจ็บมือเหมือนกัน แต่ประสบการณ์จะบอกเองว่าควรจะแกะอย่างไรให้มันง่ายขึ้นนะคะ อาจต้องใช้มีดเลาะแกนออกไปนิดหน่อยเพื่อนำร่อง เมื่อแกะไปเรื่อย ๆ จนลงด้านล่างรู้สึกว่าจะแกะได้ง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะตาใหญ่ขึ้นหรือด้านล่างจะสุกมากกว่าด้านหัวนะคะ

ถ้าที่เปลือกมีสีส้มหรือออกเหลืองแบบว่าสุกมากนิดหนึ่งจะมีรสหวานจัดหรือหวานมาก ๆ ส่วนหัวจะมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย กลิ่นหอมแรงตามคำโฆษณาไว้เลย แต่เวลาเลาะออกทีละตาไปเรื่อย ๆ ปริมาณน้ำจะฉ่ำตามขึ้นมาตามลำดับ ต้องคอยเทน้ำทิ้งอยู่บ่อย ๆ ไม่งั้นจะพาลไหลหยดย้อยเลอะเทอะหมดนะคะ ท่านเจ้าคุณอาของเราบ่นว่าผ่ามากินเหมือนสัปปะรดทั่วไปก้อหมดเรื่อง ไม่ต้องมาแกะทีละตา มือก้อไม่ต้องเลอะอยู่ตลอดเวลาด้วย ซึ่งพวกเราเห็นว่าการกินสัปปะรดพันธุ์เพชรบุรีที่จะให้ได้อรรถรสสูง ควรแกะทานทีละตา ไม่งั้นเสียสายพันธุ์หมดนะคะ ความจริงแล้วจะว่าแกะยากก้อไม่เชิง จะว่าแกะง่ายไม่ใช่ แต่การแกะตาน้อยหน่าหรือแกะขนุนง่ายกว่าแยะมาก คือต้องมีความพยายามและมีเทคนิคกันนิดหนึ่ง ลูกแรกอาจจะแกะตาลำบากนิดหนึ่งนะคะ

ปกติเราไม่ชอบทานสับปะรด แต่ก้อชอบที่จะกินแกนสับปะรดมาก ซึ่งแกนสับปะรดทั่วไปมักจะมีรสจืด ยิ่งตรงกลางสุด ๆ จะจืดสนิทเลย แต่แกนสับปะรดพันธุ์เพชรบุรีสุดยอดมาก เมื่อแกะตาวน ๆ ไปทีละชั้นจะเหลือแกนโผล่อยู่ตรงกลาง พอแกนโผล่หน่อยจะแย่งกันตัดแกนเพื่อนำไปรับประทานกันอยู่ตลอดเวลา จากนั้นมาไล่แกะตากันต่อ เราใช้วิธีแกะออกทีละตาแล้วเรียงใส่จานไว้ให้ผู้ใหญ่หรือแขกได้กินง่ายขี้น ยิ่งถ้ามีไม้จิ้มฟันเสียงแทงไว้ในทุกตาที่แกะไว้ จะทำให้คนชิมไม่ต้องหยิบแล้วเลอะมือเลย ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับคนรอบข้างกินได้ง่ายขึ้นอีกวิธีหนึ่งนะคะ

สำหรับหน่อที่นำมาปลูกนั้น ปัจจุบันดูเหมือนว่ามีสุขภาพที่ดีพอสมควร แต่เนื่องจากช่วงนี้ที่บ้านอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพื้นที่สีเขียว จะมาอัพเดทภาพให้ดูในภายหลังนะคะ เพื่อนสมาชิกท่านใดสนใจสัปปะรดพันธุ์เพชรบุรี สามารถติดต่อหรือขอรายละเอียดได้โดยตรงที่เจ้าของผลงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ติดถนนบายพาสชะอำ-ปราณบุรี ต.สามพระยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โทร. 032-594-067-8


http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=spicy&month=12-05-2010&group=31&gblog=1

www.bloggang.com/mainblog.php?id=spicy&month=12-05... -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 9:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



http://webclass.kkucs.com/members/523021056-4/Lab1.html
webclass.kkucs.com/members/523021056-4/Lab1.html -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 9:14 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พัฒนาสวนลิ้นจี่และสับปะรด

สวัสดีครับท่านผู้ชมครับ พบกับผมลุงเกษตรในรายการบ้านทุ่งลุงเกษตรครับ
วันนี้นะครับก็จะแนะนำเรื่องราวทางการเกษตร ต่อจากคราวก่อนนะครับก็คือเรื่องของกรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์นั้นนะครับ เขาได้ร่วมกันกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเกษตรสาศตร์ ในการที่จะขึ้นไปพัฒนาการเกษตรให้กับเกษตรกรที่ต้องการนำผลผลิตส่งออกต่างประเทศ FTA ก็คือระบบการค้าเสรีที่มีข้อจำกัดมากมายเหลือเกิน ทำให้ผลไม้ไทยส่งออกไปอย่างยากลำบาก เป็นข้อตกลงของเรื่องภาษี ต่างประเทศเขาเข้ามาได้ง่ายเพราะเขาปฏิบัติตามเงื่อนไขของ FTA ได้ แต่ประเทศไทยเราเองยังส่งออกผลไม้ไทยได้ยากมาก เพราะทำตามเงื่อนไขของระบบการค้าเสรีไม่ค่อยได้

ทำให้การส่งออกผลไม้ไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่ว่าตอนนี้ได้มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ให้คำแนะนำเกษตรเพื่อการส่งออกต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ก็มีอาจารย์จากมาหาวิทยาลัยเชียง และ กระทรวงพาณิชย์ มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาสวนลิ้นจี่ และสับปะรด ที่ จ.เชียงใหม่ ไปดูกันนะครับว่าเขาจะแนะนำให้เกษตรกรทำอย่างไรบ้าง

คุณปรีชยา ครุฑน้อย เจ้าหน้าที่จะกรมกระทรวงพาณิชย์ได้ลงพื้นที่มาดูแลแนะนำชาวสวนในครั้ง ท่านได้บอกว่า "ที่เรามาที่สวนสับประรดนี้นะคะ เนื่องจากว่าเราได้ไปเซ็นสัญญาความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น หรือที่เราเรียกย่อๆว่า JTEPA ที่เขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น นี่นะคะก็มีการลดภาษีสินค้าเกษตรทุกตัวให้กับญี่ปุ่น ก็มีเวลาลดที่ต่างกัน 6 ปีบ้าง 11 ปีบ้าง มีส่วนหนึ่งที่ทางญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษกับไทยก็คือ สินค้าหลายๆตัวที่เราส่งไปญี่ปุ่นแล้ว เขาก็ให้โควต้า เช่น กล้วยหอม เนื้อหมู แป้งมันมันสำปะหลัง กากน้ำตาล เป็นส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นยังให้ความช่วยเหลือนำเข้าสินค้าสับปะรด สับปะรดสดที่ให้คือ 5 ปี โควต้าเริ่มตั้งแต่ปี 2550 - 2554 ตั้งแต่ 100 ตันถึง 500 ตัน ซึ้นตอนนี้เราได้ 400 ตันแล้วนะคะ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการส่งออกเลย ก็เลยต้องมาทำกองทุน FTA เพื่อให้ความช่วยเหลือ ในขณะนี้ก็กำลังเข้าสู่คณะกรรมการใหญ่"

การเลือกสับปะรดก็มีหลายเนื้อ เช่น เนื้อ1 เนื้อ2 เนื้อ3 วิธีการเลือกนะครับ
1.เนื้อ1 จะฉ่ำ มีรสออกหวาน
2.เนื้อ2 จะออกรสหวานแต่ไม่ค่อยฉ่ำ
3.เนื้อ3 จะอมเปรี้ยวเนื้อออกสีขาว

สับปะรดจะมี สองสายพันธุ์ คือ นางแล กับ ภูแล
ลักษณะหัวจะไม่เหมือนกันจะมีความแตกต่างของเรื่องไซส์
1.นางแล หัวจะใหญ่ ตาใหญ่ มีเนื้อฉ่ำ (นางแลจะไม่ชอบอากาศหนาวเพราะถ้าหนาวรสจะออกเปรี้ยว)

2. ภูแลหัวจะเล็กขนาดพอๆกันกับลูกกระท้อน ตาจะถี่กว่านางแล วิธีเลือกภูแล เราจะดูแต่ตาเลือกเอาตาห่างๆ ตาตึงๆเวลาปลอกจะได้คั่นตาจะปลอกง่าย

วันนี้มีตัวแทนญี่ปุ่น-จีน เพื่อการส่งออกผลไม้เขาคิดอย่างไรกับสับปะรดนางแล ที่เกษตรกรไทยกำลังทำอยู่ .........ไปฟังเลยครับ

"เนื่องจากได้ทราบว่าทางคณะเกษตรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความคิดที่จะเข้ามาจัดการเรื่องแปลงปลูก ส่งเสริมสับปะรดนางแล ซึ้งตามข้อตกลงกับรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลของญี่ปุ่นก็ได้ให้สับปะรดไทยส่งเข้าประเทศญี่ปุ่นได้โดยน้ำหนักต้องไม่เกิน 900 กรัม ซึ้งลูกค้าทางญี่ปุ่นก็สนใจเรื่องนี้มาก จึงต้องมาดูแลเรื่องการทำแพ็คกิ้งให้เป็นอย่างไรถึงจะดีเหมาะสม ศักยภาพของนางแลที่ได้เห็นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ส่งไปทางเครื่องบินเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้นำเข้าอยู่ ศักยภาพของนางแลก็คือ ไม่มีหัวจุก รสชาติดีรูปร่างมันก็เหมือนสับปะรดทั่วไป จุดดีก็คือไม่มีตา แต่จุดเสียก็คือเนื้อช้ำง่าย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเราสามารถแก้ได้ ขอให้ได้เรื่องการผลิดการจัดการที่ดี"

ดร.พิทยา สมศิริ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุปเรื่องของสับปะรดนางแลนั้นเกษตรกรจะต้องทำอย่างไร เราถึงจะเข้ามาตรฐานการส่งออกได้

"ตอนนี้เราอยู่ที่สวนสับปะรดที่มีชื่อเสียงมากใน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เราได้มาตรฐานที่จะส่งออกสับปะรดไปประเทศญี่ปุ่นและอยู่ภายใต้กรอบ JTEPA โดยเราจะเสียภาษี 0% ซึ่งเป็นศักยภาพที่สูงมากสำหรับสับปะรดนางแล ในการที่จะส่งออกไปขายเนื่องจากว่าภายใต้กรอบข้อตกลงตรงส่วนนี้ สับปะรดของเราจะส่งออกได้ก็ต่อเมื่อมีน้ำหนักไม่เกิน 900 กรัม โครงการพัฒนาเกษตรกรเข้มแข็งเราก็เพิ่งเริ่มและคาดว่าภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนะครับ เราจะมีผลผลิตรุ่นแรกส่งออกไปจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นได้ตามเขตการค้าเสรี คือจริงๆแล้วเราได้เซ็นสัญญาเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นมาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นภายใน 5 ปี ถ้าเราไม่ทำอะไร ไม่มีการส่งออกเลยสิทธิประโยชน์เราก็จะหายไป"

และตอนนี้ผมลุงเกษตรก็ได้มาที่สวนลิ้นจี่ ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่มีคุณภาพเป็นอันดับ 3 ระดับประเทศเลยนะครับ ที่สำคัญอร่อยหวานด้วยครับ แต่ปัญหาสวนลิ้นจี่ที่นี่จะมีปัญหาเรื่องแมลงหนอนเจาะขั้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามากเลยครับ แล้วเขาจะส่งออกได้อย่างไร ผมได้ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวเรื่องลิ้นจี่ เขาบอกว่าปัจจุบันได้แก้ไขในเรื่องของคุณภาพ พัฒนาคุณภาพขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรเราได้ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของศักยภาพ การสร้างคุณภาพแต่เดี๋ยวนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ และคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกี่ยวกับโครงการ FTA เข้ามาช่วยในเรื่องของหนอนเจาะขั้ว หรือสารพิษตกค้างอะไรหลายๆอย่าง และเกษตรกรของเราก็สนใจแล้วก็ตั้งใจทำ แล้วต่อไปลิ้นจี่ของไทยเรานี่จะปลอดสารพิษในเวลาต่อไปครับ แล้วความเห็นจากนักวิชาการนะครับที่ต้องดูแลแก้โรคหนอนเจาะขั้วได้นี่ เขาได้ยืดวิธีการเก็บรักษาอายุลิ้นจี่ เพื่อการจำหน่ายด้วยการทดสอบสารเคมี โดยใช้กรดซิตริกหลายๆความเข้มข้น และเราได้พบว่า การแช่กรดซิตริก 5% นาน 10 นาทีสามารถยืดอายุการเก็บลิ้นจี่ โดยที่สียังคงสดอยู่เมื่อเก็บไว้ 2 -3 สัปดาห์ก็ยังสวยดีอยู่ พอ 4 สัปดาห์ก็เริ่มพบลิ้นจี่ที่มีน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นวิธีนี้ก็สามารถช่วยเกษตรกรให้ขยายระยะเวลา และประหยัดค่าขนส่งโดยการส่งออกไปทางเรือได้

หนอนเจาะขั้วก็เป็นปัญหาใหญ่ของลิ้นจี่ และ ลำใย ซึ้งตอนนี้กำลังออกดอก และจะติดผลในเร็วๆนี้ ก็อยากจะเตือนเกษตรกรให้ระวังเรื่องของหนอนเจาะขั้วซึ่งจะเข้าทำลายผลที่เริ่มติดแล้ว ถ้าเกิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีก็ขอให้เกษตรกรใช้ในช่วงที่ติดผลขนาดเล็กแต่เนิ่นๆ ดีกว่าตอนที่ไปใช้ในขณะที่ผลใหญ่แล้วซึ่งจะเกิดความเสียหาย และสารเคมีจะตกค้างไปถึงผู้บริโภคได้

สวัสดีครับท่านผู้ชมครับ พบกับผมลุงเกษตรในรายการบ้านทุ่งลุงเกษตรครับ

วันนี้นะครับก็จะแนะนำเรื่องราวทางการเกษตร ต่อจากคราวก่อนนะครับก็คือเรื่องของกรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์นั้นนะครับ เขาได้ร่วมกันกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเกษตรสาศตร์ ในการที่จะขึ้นไปพัฒนาการเกษตรให้กับเกษตรกรที่ต้องการนำผลผลิตส่งออกต่างประเทศ FTA ก็คือระบบการค้าเสรีที่มีข้อจำกัดมากมายเหลือเกิน ทำให้ผลไม้ไทยส่งออกไปอย่างยากลำบาก เป็นข้อตกลงของเรื่องภาษี ต่างประเทศเขาเข้ามาได้ง่ายเพราะเขาปฏิบัติตามเงื่อนไขของ FTA ได้ แต่ประเทศไทยเราเองยังส่งออกผลไม้ไทยได้ยากมาก เพราะทำตามเงื่อนไขของระบบการค้าเสรีไม่ค่อยได้

ทำให้การส่งออกผลไม้ไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่ว่าตอนนี้ได้มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ให้คำแนะนำเกษตรเพื่อการส่งออกต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ก็มีอาจารย์จากมาหาวิทยาลัยเชียง และ กระทรวงพาณิชย์ มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาสวนลิ้นจี่ และสับปะรด ที่ จ.เชียงใหม่ ไปดูกันนะครับว่าเขาจะแนะนำให้เกษตรกรทำอย่างไรบ้าง

คุณปรีชยา ครุฑน้อย เจ้าหน้าที่จะกรมกระทรวงพาณิชย์ได้ลงพื้นที่มาดูแลแนะนำชาวสวนในครั้ง ท่านได้บอกว่า "ที่เรามาที่สวนสับประรดนี้นะคะ เนื่องจากว่าเราได้ไปเซ็นสัญญาความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น หรือที่เราเรียกย่อๆว่า JTEPA ที่เขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น นี่นะคะก็มีการลดภาษีสินค้าเกษตรทุกตัวให้กับญี่ปุ่น ก็มีเวลาลดที่ต่างกัน 6 ปีบ้าง 11 ปีบ้าง มีส่วนหนึ่งที่ทางญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษกับไทยก็คือ สินค้าหลายๆตัวที่เราส่งไปญี่ปุ่นแล้ว เขาก็ให้โควต้า เช่น กล้วยหอม เนื้อหมู แป้งมันมันสำปะหลัง กากน้ำตาล เป็นส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นยังให้ความช่วยเหลือนำเข้าสินค้าสับปะรด สับปะรดสดที่ให้คือ 5 ปี โควต้าเริ่มตั้งแต่ปี 2550 - 2554 ตั้งแต่ 100 ตันถึง 500 ตัน ซึ้นตอนนี้เราได้ 400 ตันแล้วนะคะ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการส่งออกเลย ก็เลยต้องมาทำกองทุน FTA เพื่อให้ความช่วยเหลือ ในขณะนี้ก็กำลังเข้าสู่คณะกรรมการใหญ่"

การเลือกสับปะรดก็มีหลายเนื้อ เช่น เนื้อ1 เนื้อ2 เนื้อ3 วิธีการเลือกนะครับ
1.เนื้อ1 จะฉ่ำ มีรสออกหวาน
2.เนื้อ2 จะออกรสหวานแต่ไม่ค่อยฉ่ำ
3.เนื้อ3 จะอมเปรี้ยวเนื้อออกสีขาว

สับปะรดจะมี สองสายพันธุ์ คือ นางแล กับ ภูแล
ลักษณะหัวจะไม่เหมือนกันจะมีความแตกต่างของเรื่องไซส์
1.นางแล หัวจะใหญ่ ตาใหญ่ มีเนื้อฉ่ำ (นางแลจะไม่ชอบอากาศหนาวเพราะถ้าหนาวรสจะออกเปรี้ยว)
2. ภูแลหัวจะเล็กขนาดพอๆกันกับลูกกระท้อน ตาจะถี่กว่านางแล วิธีเลือกภูแล เราจะดูแต่ตาเลือกเอาตาห่างๆ ตาตึงๆเวลาปลอกจะได้คั่นตาจะปลอกง่าย

วันนี้มีตัวแทนญี่ปุ่น-จีน เพื่อการส่งออกผลไม้เขาคิดอย่างไรกับสับปะรดนางแล ที่เกษตรกรไทยกำลังทำอยู่ ......ไปฟังเลยครับ
"เนื่องจากได้ทราบว่าทางคณะเกษตรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความคิดที่จะเข้ามาจัดการเรื่องแปลงปลูก ส่งเสริมสับปะรดนางแล ซึ้งตามข้อตกลงกับรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลของญี่ปุ่นก็ได้ให้สับปะรดไทยส่งเข้าประเทศญี่ปุ่นได้โดยน้ำหนักต้องไม่เกิน 900 กรัม ซึ้งลูกค้าทางญี่ปุ่นก็สนใจเรื่องนี้มาก จึงต้องมาดูแลเรื่องการทำแพ็คกิ้งให้เป็นอย่างไรถึงจะดีเหมาะสม ศักยภาพของนางแลที่ได้เห็นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ส่งไปทางเครื่องบินเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้นำเข้าอยู่ ศักยภาพของนางแลก็คือ ไม่มีหัวจุก รสชาติดีรูปร่างมันก็เหมือนสับปะรดทั่วไป จุดดีก็คือไม่มีตา แต่จุดเสียก็คือเนื้อช้ำง่าย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเราสามารถแก้ได้ ขอให้ได้เรื่องการผลิดการจัดการที่ดี"

ดร.พิทยา สมศิริ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุปเรื่องของสับปะรดนางแลนั้นเกษตรกรจะต้องทำอย่างไร เราถึงจะเข้ามาตรฐานการส่งออกได้........"ตอนนี้เราอยู่ที่สวนสับปะรดที่มีชื่อเสียงมากใน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เราได้มาตรฐานที่จะส่งออกสับปะรดไปประเทศญี่ปุ่นและอยู่ภายใต้กรอบ JTEPA โดยเราจะเสียภาษี 0% ซึ่งเป็นศักยภาพที่สูงมากสำหรับสับปะรดนางแล ในการที่จะส่งออกไปขายเนื่องจากว่าภายใต้กรอบข้อตกลงตรงส่วนนี้ สับปะรดของเราจะส่งออกได้ก็ต่อเมื่อมีน้ำหนักไม่เกิน 900 กรัม โครงการพัฒนาเกษตรกรเข้มแข็งเราก็เพิ่งเริ่มและคาดว่าภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนะครับ เราจะมีผลผลิตรุ่นแรกส่งออกไปจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นได้ตามเขตการค้าเสรี คือจริงๆแล้วเราได้เซ็นสัญญาเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นมาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นภายใน 5 ปี ถ้าเราไม่ทำอะไร ไม่มีการส่งออกเลยสิทธิประโยชน์เราก็จะหายไป"

และตอนนี้ผมลุงเกษตรก็ได้มาที่สวนลิ้นจี่ ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่มีคุณภาพเป็นอันดับ 3 ระดับประเทศเลยนะครับ ที่สำคัญอร่อยหวานด้วยครับ แต่ปัญหาสวนลิ้นจี่ที่นี่จะมีปัญหาเรื่องแมลงหนอนเจาะขั้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามากเลยครับ แล้วเขาจะส่งออกได้อย่างไร ผมได้ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวเรื่องลิ้นจี่ เขาบอกว่าปัจจุบันได้แก้ไขในเรื่องของคุณภาพ พัฒนาคุณภาพขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรเราได้ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของศักยภาพ การสร้างคุณภาพแต่เดี๋ยวนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ และคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกี่ยวกับโครงการ FTA เข้ามาช่วยในเรื่องของหนอนเจาะขั้ว หรือสารพิษตกค้างอะไรหลายๆอย่าง และเกษตรกรของเราก็สนใจแล้วก็ตั้งใจทำ แล้วต่อไปลิ้นจี่ของไทยเรานี่จะปลอดสารพิษในเวลาต่อไปครับ แล้วความเห็นจากนักวิชาการนะครับที่ต้องดูแลแก้โรคหนอนเจาะขั้วได้นี่ เขาได้ยืดวิธีการเก็บรักษาอายุลิ้นจี่ เพื่อการจำหน่ายด้วยการทดสอบสารเคมี โดยใช้กรดซิตริกหลายๆความเข้มข้น และเราได้พบว่า การแช่กรดซิตริก 5% นาน 10 นาทีสามารถยืดอายุการเก็บลิ้นจี่ โดยที่สียังคงสดอยู่เมื่อเก็บไว้ 2 -3 สัปดาห์ก็ยังสวยดีอยู่ พอ 4 สัปดาห์ก็เริ่มพบลิ้นจี่ที่มีน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นวิธีนี้ก็สามารถช่วยเกษตรกรให้ขยายระยะเวลา และประหยัดค่าขนส่งโดยการส่งออกไปทางเรือได้

หนอนเจาะขั้วก็เป็นปัญหาใหญ่ของลิ้นจี่ และ ลำใย ซึ้งตอนนี้กำลังออกดอก และจะติดผลในเร็วๆนี้ ก็อยากจะเตือนเกษตรกรให้ระวังเรื่องของหนอนเจาะขั้วซึ่งจะเข้าทำลายผลที่เริ่มติดแล้ว ถ้าเกิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีก็ขอให้เกษตรกรใช้ในช่วงที่ติดผลขนาดเล็กแต่เนิ่นๆ ดีกว่าตอนที่ไปใช้ในขณะที่ผลใหญ่แล้วซึ่งจะเกิดความเสียหาย และสารเคมีจะตกค้างไปถึงผู้บริโภคได้


www.lungkaset.com/webboard/index.php?action=printpage;topic...0 -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 9:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สับปะรดนางแล







http://www.chiangrai.im/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%20%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5-25.html
www.chiangrai.im/topic/





ประวัติสับปะรดนางแล

ผู้ที่นำสับปะรดนางแลมาปลูกในตำบลนางแลครั้งแรก (ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายซึ่งตำบลนี้ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 12 กิโลเมตร ทางไปอำเภอแม่จัน ซึ่งปลูกสับปะรดนางแลมาที่สุด) ชื่อ “นายเข่ง แซ่อุย” เป็นชาวจีนไหหลำ อพยพมาจากประเทศจีน ได้ภรรยาชื่อ นางจันทร์ เกิดคำ เดิมอาศัยอยู่ที่บ้านปากกอง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ แล้วอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านป่าซางวิวัฒน์ หมู่ที่ 17 ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย นายเข่ง ได้กลับไปเยี่ยมญาติ และได้นำสับปะรดพันธุ์นี้มาจากสิงคโปร์ ประมาณปี พ.ศ. 2480 ประมาณ 30 หน่อ โดยมี 3 พันธุ์ คือ

- พันธุ์ใบอ่อนมีหนาม ขนาดผลเล็กหวานหอม เนื้อกรอบ
- พันธุ์ใบแข็งมีหนาม ขนาดผลใหญ่กว่าพันธุ์ใบอ่อน มีหนาม หวานหอม ฉ่ำ ตาตื้น
- พันธุ์ใบไม่มีหนาม (มีหนามปลายใบเล็กน้อย) ขนาดผลใหญ่ ตาโปนยื่นออกมา หวาน หอม เป็นพันธุ์ที่ปลูกกันแพร่หลายอยู่ทุกวันนี้ โดยนำมาปลูกที่หลังโบสถ์
คริสตจักรบ้านป่าซางวิวัฒน์เป็นครั้งแรก ปรากฎว่าในปีแรกสับปะรถทั้ง 3 พันธุ์นี้ มีเนื้อขาว หวาน กรอบ แต่ปีต่อ ๆ มา สีเนื้อได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้ง หวานฉ่ำ กลิ่นหอม เหมือนน้ำผึ้ง นายเข่ง แซ่อุย หรือ โกเข่ง เป็นคนที่หวงพันธุ์มาก จึงทำให้สับปะรดพันธุ์นี้แพร่ขยายพันธุ์ช้า

ในปี พ.ศ. 2505 กำนันคำลือ เขื่อนเพชร กำนันเก่าตำบลนางแล ได้ซื้อหน่อสับปะรด จำนวน 30 หน่อ จากสวนนายเข่ง แซ่อุย มาปลูกและไม่หวงพันธุ์สับปะรดพันธุ์นี้จึงได้แพร่ขยายพันธุ์ต่อไป และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วไป และมีชื่อเสียงตราบเท่าทุกวันนี้


www.chiangrai.doae.go.th/chiangrai10.htm -
http://www.chiangrai.doae.go.th/chiangrai10.htm
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 10:21 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สับปะรดภูแล




http://www.thaiipmart.com/view_offer.php?id=1837




http://www.taradnoi.com/0/posts/45-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/252-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/4596-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B025%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-.html




http://kbes.nrct.go.th/c5.html



บน : สับปะรดภูแล.....ล่าง : สับปะรดนารงแล


http://kbes.nrct.go.th/c5.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 10:25 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ประวัติสับปะรดภูแล


สับปะรดภูแล คือ สับปะรดที่เกิดมาจากการปลูกสับปะรดพันธุ์ภูเก็ตในบริเวณพื้นที่บ้านนางแล ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สับปะรดพันธุ์ภูเก็ตซึ่งมีขนาดเล็ก เนื้อแห้งสีเหลือทอง หวานกรอบ เมื่อปลูกในบริเวณพื้นที่จังหวัดเชียงราย จะให้ผลผลิตตามคุณลักษณะของสับประรดภูแล คือ รสชาติหอมหวาน เนื้อกรอบไม่แข็ง ผลมีขนาดเล็กโดยเฉลี่ย 4-5 ผลต่อกิโลกรัม

ปัจจุบันพื้นที่การปลูกสับปะรดในเขตจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ประมาณ 12,575 ไร่ โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอเชียงแสน อำเภอเทิง อำเภอพาน อำเภอ แม่สรวย อำเภอแม่เวียงป่าเป้า


http://phulaepineapple.blogspot.com/2009/07/blog-post.html
phulaepineapple.blogspot.com/2009/07/blog-post.html -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 11:13 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สับปะรดศรีราชา











http://www.google.co.th/images?q=%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&um=1&hl=th&tbs=isch:1&ei=bo2VTMWDFoyUvAPGh5WaDQ&sa=N&start=880&ndsp=20



[img][/img]








กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2010 2:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

xx
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©