hearse สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 08/01/2010 ตอบ: 110
|
ตอบ: 09/08/2010 10:08 pm ชื่อกระทู้: วิวัฒนาการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ |
|
|
วิวัฒนาการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์
ปัจจุบันหลาย ๆ คนได้เริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพของตนเองมากขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ประการแต่ที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นในเรื่องของมลพิษที่นับวันจะใกล้ตัวของเรามากขึ้น แทบจะเรียกได้ว่าเราสัมผัสอยู่ตลอดเวลาหรือจ่ออยู่ที่ปาก และปลายจมูกเราเสียด้วยซ้ำไป พร้อมที่จะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์เราได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็น ดิน น้ำอากาศ ก็ปนเปื้อนสารพิษเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เราเองเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนก็เป็นผลพวงมาจากกระบวนการทางธรรมชาติ อีกทั้งยังส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ยังที่จะส่งผลให้มนุษย์เราและสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้อาจมีชีวิตที่สั้นลงซึ่งเป็นผลมาจากความอ่อนแอของสุขภาพร่างกายที่เกิดจากมลพิษ หรือสารพิษที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา
เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์) ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งหรือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้เราได้บริโภคพืชผักที่ปลอดสารพิษ หรือปะปนสารพิษน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของยาฆ่าแมลง หรือสารพิษอื่น ๆ เพราะเป็นการปลูกพืชที่มีระบบควบคุมทุกกระบวนการ
ไฮโดรโปนิกส์ เป็นคำที่มีมาจากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า hydro ซึ่งแปลว่า น้ำ และคำว่า ponos แปลว่า ทำงานหรือแรงงาน เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า การทำงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ การปลูกพืชโดยวิธีนี้มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยของอริสโตเติล
แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้ริเริ่มปลูกพืชด้วยวิธีไฮไดรโปนิกส์ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คือ Sachs และ Knopโดยการปลูกพืชด้วยสารละลายเกลือ อนินทรีย์ต่างๆ เช่น โพแทสเซียมฟอสเฟต โพแทสเซี่ยมไนเตรต ซึ่งให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซี่ยม แมกกานีเซียม กำมะถัน แคมเซียมและเหล็ก
ภายหลังมีการพัฒนาสูตรอาหารพืชเรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ. 1920-1930 โดย William F.Gericke แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประสบผลสำเร็จในการปลูกพืชโดยวิธีนี้และนำไปใช้เพื่อปลูกพืชเป็นการค้า
ปัจจุบันการปลูกพืชด้วยเทคนิคนี้ได้พัฒนาไปมาก โดยทั่วไปในประเทศพัฒนาแล้วมักปลูกภายใต้เรือนกระจก มีการควบคุมสภาพแวดล้อม และนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ควบคุมระบบต่างๆ ตั้งแต่การเพาะกล้า การย้ายกล้าลงปลูกในระบบจะเป็นแบบอัตโนมัติ และระบบที่นิยมใช้จะแตกต่างกันไป เช่น ประเทศในแถบยุโรปจะนิยมใช้ nutrient film technique(NFT) และระบบน้ำไม่ไหลเวียน (noncirculating system) สำหรับประเทศในแถบเอเชีย ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกที่นำวิธีการปลูกพืชด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์มาใช้ และพัฒนาอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเจริญของเมืองและราคาที่ดินสูงขึ้น ทำให้การทำการเกษตรด้วยระบบดั้งเดิมถูกจำกัดโดยราคาที่ดิน
พืชที่นิยมปลูกด้วยวิธีนี้คือ มะเขือเทศ แตงกวา และ Japanese hornwort เนื่องจากเป็นพืชที่ให้กำไรมาก ในประเทศแถบเอเชียเทคนิคที่นิยมและแพร่หลายมากที่สุด ก็คือระบบน้ำลึก (deep water) และ NFT แต่ทั้งสองวิธีก็มีจุดอ่อนโดยเฉพาะในฤดูร้อนซึ่งมีอากาศแปรปรวน ซึ่งยากต่อการควบคุมสภาวะแวดล้อมในการเพาะปลูก
สำหรับประเทศไทยได้มีการศึกษาค้นคว้ามากกว่า 30 ปีมาแล้ว เริ่มที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ศึกษาและวิจัย พบว่า เทคนิคปลูกในสารละลายแบบน้ำ (liquid culture deep water) ประสบความสำเร็จน่าพอใจ แต่ระบบให้น้ำไหลผ่านรากพืชเป็นชั้นบางๆ (nutrient film technique NFT) ยังต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น
เห็นไหมล่ะครับว่าการปลูกพืชด้วยเทคนิควิธีนี้มีกระบวนการควบคุมการปลูกที่ดีและปลอดภัยขนาดไหน แต่ผลผลิตที่ได้จึงมีราคาที่ค่อนข้างสูงหรือแพง และยังมีจำหน่ายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้น
แต่ในอนาคตเราอาจจะได้บริโภคพืชผักที่ปลูกด้วยเทคนิคนี้มากขึ้นหากเมื่อเทียบกับคุณค่าและคุณประโยชน์ที่เราได้บริโภคพืชผักที่ปลอดภัยจากสารพิษแล้วล่ะก็ น่าจะคุ้มค่าหรืออาจจะเกินคุ้มก็ว่าได้ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากการทำการเกษตรที่ต้องพึ่งสารเคมีที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดมลพิษกับชั้นบรรยากาศของโลกเราได้อีกด้วย.................
ที่มา : นายอุดม ดุจดา นักวิชาการสิ่งแวดล้อม |
|