-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - แนวคิดทางการตลาด
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

แนวคิดทางการตลาด
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 15/02/2010 10:23 pm    ชื่อกระทู้: แนวคิดทางการตลาด ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปัญหาสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำคือ ปริมาณของผลผลิตที่ออกสู่ตลาดไม่
สมดุลกับความต้องการของตลาด หรือแม้ว่าบางปีปริมาณของผลผลิตมีน้อยกว่าความต้องการ แต่
ราคาของผลผลิตก็มิได้สูงอย่างที่คาดการณ์ไว้ อาจเนื่องสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น ปัญหา
จากสภาวะเศรษฐกิจโดยภาพรวมตกต่ำ ผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอย ส่วนปัญหาการผลิตผล
ผลิตที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ตลาดต้องการ ก็ถือว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน แต่จากประ
สบการณ์ ถึงแม้ว่าผลผลิตของเราจะได้คุณภาพแต่ราคาที่ขายได้ ก็ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่
แท้จริงของตลาด นั่นเป็นเพราะเรายังอยู่ในวงจรของพ่อค้าคนกลาง สารพัดเหตุผลที่จะมากล่าว
อ้างเพื่อกดราคาจากเกษตรกร

ถ้าเรายังคงต้องพึ่งพาการขายผลผลิตผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นผู้กำหนดราคา
ไม่ใช่ถูกกดราคา การเพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้สูงกว่าผู้ผลิตรายอื่น น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
ลองจินตนาการดูว่าถ้าเรามีผลผลิตที่เกรด เอ จัมโบ้ โกอินเตอร์ เราก็จะมีอำนาจในการต่อรอง
ราคา หรือว่าแนวคิดในการรวมกลุ่มกันพัฒนาคุณภาพของผลผลิตเพื่ออำนาจในการต่อรองเช่นกัน
แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าแนวทางนี้จะล้มเหลวในเชิงปฏิบัติ

ขายเองก็ไม่ได้ กำหนดราคาเองก็ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นการลดต้นทุนการผลิตน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่
สุด นั่นคือการผลิต "ปุ๋ยและฮอร์โมน" เพื่อใช้เอง และข้อสำคัญคือ ตรงตามความต้องการของ
พืชที่เราปลูก


แล้วถ้าเกษตรกรขายเองได้ กำหนดราคาเองก็ได้ แล้วยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย ความ
ฝันที่จะเห็นเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ คงไม่ไกลเกินไป

การขายผลผลิตตรงถึงผู้บริโภคนั้น จะประสบความสำเร็จได้ ถ้าเรามีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ต่อ
ลูกค้า การเริ่มต้นอาจจะดูยาก แต่เมื่อได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าแล้ว ลูกค้าเหล่านั้นจะเป็น
ประชาสัมพันธ์ให้เราเป็นอย่างดี การใส่ใจในคุณภาพของผลผลิต ทุกลูกที่ส่งถึงมือลูกค้าถือว่า
เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเชือได้เลยว่าสินค้าที่ลูกค้าซื้อไป ไม่ได้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่เดียว
แต่ลูกค้าคนนั้นๆ กำลังเป็นกลไกสำคัญในการกระจายสินค้าของเราสู่ลูกค้าอีกหลายๆ คน และ
ผลที่ได้คือ จำนวนลูกค้าที่ได้มามากขึ้นเป็นทวีคูณ หลักคิดง่ายๆ ที่ว่า เมื่อลูกค้าได้พบสินค้าที่มี
คุณภาพดีเยี่ยม ลูกค้าจะนึกถึงคนรอบๆตัว ที่อยากให้ได้สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนกับตัวลูกค้าเอง

ถ้าเราเปลี่ยนการผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่เน้นการส่งออก มาเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายใน
ประเทศ เมื่อเกิดวิกฤติการทางเศรษฐกิจโลก เราจะได้รับผลกระทบไม่รุนแรง ยังมีผู้บริโภคภายใน
ประเทศอีกจำนวนมากที่ต้องสินค้าที่มีคุณภาพ บ่อยครั้งที่ลูกค้าบอกว่าเข็ดกับการถูกหลอกให้ซื้อ
สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ลูกค้าจึงเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับสินค้าประเภทนั้นไปเลย


การเลือกปลูกพืช ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเราคิดเหมือนคนอื่น (ปลูกตามกระแส) สุด
ท้ายจะนำเราไปสู่ปัญหาเดิมๆ ราคาตกต่ำ ผลผลิตล้นตลาด ถ้าเราคิดต่าง ปลูกในสิ่งที่คนอื่นไม่
ปลูก แต่ต้องผ่านการวิเคราะห์ทางการตลาดมาแล้วว่า เราจะขายให้ใคร ที่ไหน คาดการณ์ปริมาณ
ผลผลิตและราคาในอนาคต นั่นคือหลักการ "การตลาดนำการผลิต" ถ้าทำได้ถือว่าเราบริหาร
ความเสี่ยงเป็น


หลักในการปฏิบัติคือ Service Mind

น่าจะลองดู....ว่ามั้ย?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
man_supakarn
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 03/11/2009
ตอบ: 166
ที่อยู่: ไร่กล้อมแกล้ม รุ่น 6

ตอบตอบ: 16/02/2010 12:17 am    ชื่อกระทู้: แมน ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เปลี่ยนความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ดีกว่าเปลี่ยนให้คนที่ทำอยู่แล้ว

Arrow คนรุ่นใหม่ไม่ต้องเสียเวลามาล้างสมองสร้างทัศนคติต่างๆอีก Wink

เกษตรกรรุ่นถัดไปจะต้องเดินออกนอกกรอบ จะต้องใช้การตลาดนำการผลิต


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย man_supakarn เมื่อ 16/02/2010 9:56 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ MSN
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 5:56 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


ถ้าจะเปลี่ยน ก็คงจะเป็นการเปลี่ยนแนวคิดหรือทัศนคติของเกษตรกรรุ่นเก่า แต่สำหรับเกษตรกร
รุ่นใหม่ เราจะเรียกว่า "การสร้างหรือการปลูกฝังแนวคิด" จะดีกว่ามั้ย?



การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะยาก แต่ถ้าเรา "ไม่คิด ไม่ทำ " เราคงหลีกหนีจากปัญหาเดิมๆ
ไม่ได้ เกษตรกรรุ่นใหม่หลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จ นั่นเพราะเขา "กล้าคิด กล้าทำ" ใช้
จินตนาการ .... คิดนอกกรอบ .... วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค ..... จุดเด่นและจุดด้อย .... รู้จักวาง
แผนการทำงานในอนาคต.....



"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง"
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kritsadalampang
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/01/2010
ตอบ: 51

ตอบตอบ: 16/02/2010 9:43 am    ชื่อกระทู้: แนวคิดทางการตลาด ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกท่าน และลุงคิม

ผมลงความเห็นเช่นเดียวกับท่านเจ้าของกระทู้ ถึงแม้ผมจะเพิ่งฝึกทำเกษตรครั้งแรก การตลาดมา
เป็นอันดับแรกจริงๆ และลดต้นทุนการผลิตของสินค้าเกษตรมาเป็นอันดับถัดไป เพราะผมอยู่มา
40 ปี มักได้พบเห็นกับข่าวสารทางสื่อต่างๆ บ่อยครั้ง ที่เกษตรกรไทยเรารวมตัวประท้วงรัฐบาล
ให้แก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรต่างๆ เช่น ปัญหาราคานมตกต่ำ ปัญหาราคามันสัมปะหลังตกต่ำ
ปัญหาราคาข้าวโพดตกต่ำ

ผมอดคิดไม่ได้ว่าทำไมก่อนจะลงทุนทำการเกษตร พี่น้องทุกๆ ท่านทำไมไม่คิดก่อนเริ่มทำว่า
ทำมาแล้วจะขายได้เท่าไร ขายใคร สินค้าเกษตรตัวนี้ผลิตมาแล้วมันจะตันไหม หรือขายได้ดี
เรื่อยๆ ราคาค่อนข้างดี อันนี้มันสำคัญนะ ถ้าผลิตมาไม่มีคนรับซื้อ ราคาไม่ดี มีโอกาสขาดทุนสูง
จริงๆ

แล้วถ้ามีคนรับซื้อดี ราคาดี มันจะยิ่งดีมากๆ ถ้าในขั้นตอนทำการผลิตสามารถ ทำการลดต้นทุน
การผลิตได้มากๆ แต่คุณภาพผลิตผลการเกษตรยังคงดีเลิศได้ เช่น ถ้าปลูกพืชก็ทำการผลิตปุ๋ย
ใช้เอง อันนี้ผมว่าแจ่มจริงๆ ลดต้นทุนเห็นๆ ส่วนสารเคมีฆ่าแมลง ก็ทำการนำสมุนไพรต่างๆ มา
หมักแล้วใช้แทนเคมีฆ่าแมลง ยิ่งได้กำไรมากมาย คือ ชีวิตก็มีสุขภาพแข็งแรงไม่ต้องเข้าโรง
พยาบาลบ่อยๆ สุขภาพแข็งแรงชีวิตปรกติสุขมันตีเป็นค่าเงินแบบว่าประมาณมิได้จริงๆ นี่คือกำไร
เห็นๆ

ยิ่งยุคนี้หรือยุคถัดจากนี้เท่าที่ได้ประสบกับข่าวสารต่างๆ หลายๆ ด้าน เกษตรปลอดสารพิษมาแรง
จริงๆ ราคาก็ดี มันน่าจะเป็นโอกาสอันดีของทุกๆ ท่านที่มีที่ดินเป็นของตัวเองมาคิดทบทวนว่าเรามี
ทองคำอยู่ในผืนดินของเราแต่จะนำทองคำนั้นมาใช้ให้ได้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตเช่นไร

ยิ่งหากใครที่ได้เข้ามาชมเวปนี้ นับว่าโชคดีอย่างมาก ที่มีบุคคลที่มีใจเมตตาเฉกเช่น ผู้ชายที่ใครๆ
ก็เรียกชื่อ "ลุงคิม" ท่านได้เผยแพร่ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ทำปุ๋ย โฮโมน หลากหลาย
ชนิด โดยทำด้วยใจเต็ม 100% เพื่อเป็นฐานที่ดีในการผลิตสินค้าเกษตรแบบลดต้นทุนในการ
ผลิต เพราะปกติความรู้เช่นนี้เขามักปกปิดกัน จะสอนก็แต่คนในครอบครัว หากท่านคิดทำการ
เกษตรยุคนี้นับว่าโชคดีมากๆ กว่ายุคสมัยก่อน ที่ได้มีแหล่งความรู้ดีๆ เช่นในเวปนี้ และทุกท่านใน
นี้นับว่ารู้จริง ไม่มั่ว ประสบการณ์ทดสอบใช้แล้วได้ผลจริง และยังนำมาแบ่งปันความรู้กันและ
กัน นับว่าโชคดีเป็นของเกษตรกรยุคใหม่มือใหม่ทุกๆ ท่านมาก รวมทั้งตัวผมด้วย

ขอบคุณครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
mangotree
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 13/07/2009
ตอบ: 95

ตอบตอบ: 16/02/2010 11:36 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นิดนึง

ก็สำคัญด้วยว่า ปลูกอะไร เช่นทุเรียน มังคุด มะยงชิด หรือมะม่วง
ไม้ผลบางชนิดประเภท ให้ผลผลิตตามฤดูกาลหรือก่อนเล็กน้อย
ถ้าเป็นมะม่วงที่ออกก่อนฤดูกาลเล็กน้อย ความต้องการของผู้บริโภค
มีไม่มากเท่าไร (รออีกหน่อยต้นของข้างบ้านก็ออกให้กินแล้ว)

ในขณะที่ผลไม้ประเภทอื่นเริ่มออกผลผลิตใหม่ทยอยเข้าสู่ตลาด
ประกอบกับความต้องการขายให้ได้ราคานั้นมีมากกว่า อุปสงค์

มะม่วงก็มีหลายสายพันธุ์ ที่สามารถใช้วิชาการเกษตรจัดการ
ให้หลุดจากกลไกตลาด ในช่วงราคาตกต่ำนั้นได้
ไม้ผล ประเภทให้ผลผลิตยากๆที่ต้องอาศัย ธรรมชาติ ในการปรับ ซีเอ็น เรโช
เพื่อออกดอกตามฤดูกาล มีทางพบกับปัญหา ล้นตลาด แน่นอน ภายใต้ความแตกต่างว่า..
ผลไม้ประเภทนั้นยังมีการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ผลไม้บางประเภท บางชนิด บางเวลา มีราคาต่อกิโลกรัมที่สูง เพราะอุปทานน้อยกว่าอุปสงค์
ว่ามั้ย ถ้าทำปุ๋ยใช้เองเป็นถูกสูตรถูกระยะ ถูกวิธี ได้ผลผลิตคุณภาพสูง ล่ะก็ แฮ่มม
ราคาขายมะยงชิดหน้าสวน กิโลละ 90 บาท
หักต้นทุนค่าปุ๋ยและอื่นๆ ..สมมุติที่กิโลละ10 บาทไม่คิดค่าแรงงานตนเอง
โอ้โหววว Shocked คุณเสี่ยอ้อ ปีหน้าขอให้เก็บได้ซัก10,000 ตันเลยน่ะครับ สาธุๆ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย mangotree เมื่อ 16/02/2010 7:02 pm, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 12:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

"มะม่วงที่ออกก่อนฤดูกาลเล็กน้อย ความต้องการของผู้บริโภคมีไม่มากเท่าไหร่" ขึ้นอยู่กับว่าเป็น
มะม่วงพันธุ์อะไร เกรดของสินค้า และตลาดที่เราจะขาย ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร การออก
ก่อนฤดูเล็กน้อยถือเป็นข้อได้เปรียบ ถ้าขายตามท้องตลาดทั่วไปคงไม่ได้ราคา เพราะลูกค้ามีข้อ
เปรียบเทียบเรื่องราคาในการเลือกบริโภคผลไม้ในช่วงฤดูกาลนั้น

การขายผ่านพ่อค้าคนกลางคงได้ราคาไม่สูง ถ้าเรามั่นใจว่าผลผลิตของเราเต็มเปี่ยมไปด้วย
คุณภาพ ลองหาวิธีเปิดตลาดด้วยตนเอง เลือกตลาดระดับ Middle-Endจนถึง High-End การได้
พูดคุยกับลูกค้าเป็นการเก็บข้อมูลไปด้วยว่าความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าคืออะไร อยู่ระดับ
ไหน เมื่อเวลาล่วงเลยไป จากลูกค้าขาจร มาเป็นลูกค้าขาประจำ จนขาดเราไม่ได้ ทำให้ได้ถึง
ขนาดที่ว่า ถ้าลูกค้าเห็นมะม่วง จะต้องนึกถึงเรา ประมาณนั้น แต่ก็อีกนั่นแหละต้องอยู่ในข้อปฏิบัติ
Service Mind บางครั้งความต้องการของลูกค้าไม่ใช่แค่มะม่วง 5 กิโล 10 กิโล แต่ลูกค้าต้อง
การพูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนคติกับเจ้าของสวนด้วย ถ้าเราสามารถบริหารความต้องการของลูกค้า
ได้ เราจะเป็นผู้ควบคุมตลาด แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด


ควรจะระลึกไว้เสมอว่า First Impression มีความสำคัญมาก ทำอย่างไรที่จะให้ลูกค้าเกิด
พฤติกรรมการซื้อซ้ำ บอกได้เลยว่า "ยากมาก" ถ้าเราไม่มี First Impression เหมือนกับเราที่
ต้องตระเวนชิมกาแฟที่ถูกใจ แต่มีอยู่แค่ 1-2 ร้านที่เรากลับไปซื้อซ้ำ ไม่ว่าร้านจะอยู่ไกลแค่ไหน
ทั้งๆ ที่ใครอาจจะคิดว่ากาแฟก็เหมือนๆ กันทุกร้านนั่นแหละ แต่จริงๆ เราไม่ได้ไปซื้อแค่กาแฟ
แก้วเดียว แต่เราไปดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เจ้าของร้านบรรจงแต่ง แสดงตัวตนของแต่ละคนออก
มา ไปพูดคุยกับเจ้าของร้านถึงรสนิยมในการเลือกดื่มกาแฟ ฯลฯ


หลักคิดง่าย "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา" เราต้ิองการอะไร ลูกค้าก็ต้องการเช่นเดียวกับเรา
แต่จะเป็นการดีมากถ้าทำให้ลูกค้ารู้สึกได้รับในสิ่งที่เกินความคาดหมาย การปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ
ลูกค้าถือว่ามีความสำคัญมากๆ เราไม่ชอบให้ใครมาพูดดูถูกเรา ประชดประชันเรา เราก็จะต้องไม่
ทำเช่นนั้นกับลูกค้า

ทั้งหลายทั้งปวง จะเห็นว่า "อยู่ที่ตัวเรา" ทั้งนั้น ว่าเรา...คิดเป็น - ทำเป็น - พูดเป็น


"เอาใจเขา มาใส่ใจเรา"
"เอาใจเขา มาใส่ใจเรา"


อ้อ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Aorrayong เมื่อ 16/02/2010 12:54 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 12:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ที่มา คัดลอกจากhttp://tu-r-sa.blogspot.com/2007/01/service-mind.html
ธรรมศาสตร์อาสา

Thammasat Volunteer
Address::>> http://tu-r-sa.blogspot.com Email::>> thammasatvolunteer@gmail.com

ความหมายของ Service Mind

ในปัจจุบันนี้ ทุกท่านคงจะได้ยินคำว่า “การมีจิตใจในการให้บริการที่ดี” หรือคำว่า Service
Mind อยู่เป็นประจำ หลายคนก็เข้าใจดีหลายคนก็ยังคงงุนงงสงสัยว่าที่จริงแล้ว หนังสือหลายเล่ม
พบว่าได้ให้ความหมายของคำว่า การมีจิตใจในการให้บริการที่ดี หรือคำว่า “Service Mind” ใน
ลักษณะที่ใกล้เคียงกันว่า การที่จะทำให้คนมีจิตใจในการให้บริการต้องนำเอาคำว่า “Service” มา
เป็นปรัชญา

โดยแยกอักษรของ คำว่า “Service” ออกเป็นความหมายดังนี้
S = Smile (อ่านว่า สม้าย) แปลว่า ยิ้มแย้ม
E = enthusiasm (อ่านว่า เอ่นทู้ซิแอ่สซึม) แปลว่า ความกระตือรือร้น
R = rapidness (อ่านว่า เร้ปปิดเนส) แปลว่า ความรวดเร็ว ครบถ้วน มีคุณภาพ
V = value (อ่านว่า ว้าลลู) แปลว่า มีคุณค่า
I = impression (อ่านว่า อิมเพริ้สเซน) แปลว่า ความประทับใจ
C = courtesy (อ่านว่า เค้อติซี) แปลว่า มีความสุภาพอ่อนโยน
E = endurance (อ่านว่า เอนดู้เรน) แปลว่า ความอดทน เก็บอารมณ์


สำหรับคำว่า “Mind” ก็ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
M = make believe (อ่านว่า เมค บิลี้ฟ) แปลว่า มีความเชื่อ
I = insist (อ่านว่า อินซิ้ส) แปลว่า ยืนยัน/ยอมรับ
N = necessitate (อ่านว่า เนอะเซ้สเซอะเตท) แปลว่า การให้ความสำคัญ
D = devote (อ่านว่า ดิโว้ต) แปลว่า อุทิศตน


คำ ว่า Service Mind นั้น ได้มีการพูดกันมาหลายปีทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ หากจะ
พิจารณาตามตัวอักษรรวมแล้ว คำว่า “Service” แปลว่า การบริการ คำว่า “Mind” แปลว่า “จิต
ใจ” รวมคำแล้วแปลว่า “มีจิตใจในการให้บริการ” ซึ่งพอสรุปได้ว่าการบริหารที่ดี ผู้ให้บริการต้องมี
จิตใจในการให้บริการ คือ ต้องมีจิตใจหรือมีใจรัก มีความเต็มใจในการบริการ การทำงานโดยมีใจ
รักจะแสดงออกมาทางกาย โดยการทำงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส มีอารมณ์รื่นเริง และควบคุม
อารมณ์ของตนเองได้ ไม่ขึ้นเสียงกับประชาชนหรือผู้มารับบริการ คำว่า Service Mind มีความ
หมายทางกว้าง อาจหมายถึง การบริการที่ดี แก่ลูกค้า หรือการทำให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ มี
ความสุข และได้รับผลประโยชน์ อย่างเต็มที่ ดังนั้น การให้บริการอย่างดีนั้นมักจะได้ความสำคัญ
กับแนวทางในการให้บริการสองแนวทาง ดังนี้ ประการแรก คือ ลูกค้าเป็นผู้ถูกเสมอ หรือเห็นว่า
ลูกค้าต้องได้รับการเอาอกเอาใจถือว่าถูกต้องและเป็นหนึ่งเสมอ หากต้องการให้บริการที่ดีต้องให้
ความสะดวก ใช้วาจาไพเราะ ให้คำแนะนำด้วยการยกย่องลูกค้าตลอดเวลา ประการที่สอง คือ ต้อง
ให้เกียรติลูกค้า ต้องไม่เป็นการบังคับขู่เข็ญให้ลูกค้า มีความพึงพอใจ เกิดความเชื่อถือจาก
พฤติกรรมของเราผู้ให้บริการ แล้วกลับมาใช้บริการ ของเราอีก การบริการที่ดีและมุ่งไปสู่ความเป็น
เลิศ ถือว่า ลูกค้าเป็นคนพิเศษ

Posted by Thammasat Volunteer at Wednesday, January 03, 2007
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
mangotree
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 13/07/2009
ตอบ: 95

ตอบตอบ: 16/02/2010 3:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

hahaa

ลูกค้าคือพระเจ้า ..ว่ามั้ย

คุณเสี่ยอ้อ อยากรับประทานมะม่วงนอกฤดู สายพันธุ์อะไรล่ะครับ จะรับแบบอินทรีย์นำเคมี หรือ
เคมีนำอินทรีย์ ดี ต้องการแบบนำเมล็ดไปปลูกได้ หรือว่าจะเอาเมล็ดลีบๆ แบนๆ จัดได้...แต่ยก
เว้นมะม่วงคลาสสิก เช่น อกร่องนะขอรับ (มือยังไม่ถึง) เดี๋ยวผม(ซื้อ) ฝากคุณลุงคิมไปให้
hahah(เอ๊ยยไม่ช่าย)

ชมรมใหญ่อยู่ข้างบ้านผมเลย ... แต่ถ้ามันไม่ค่อยสดล่ะก็ ..นั่นเพราะคนนั้นบ้านไกล ..
Wink

หลายคนๆ ทำมะม่วงนอกฤดูได้ถึง 4 - 5 ครั้ง ในระยะเวลา 24 เดือน เมื่อมะม่วงของผมโตพอใน
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว แค่กิโลละ10 บาท ยังถูกหวยเล๊ยย ก็เพราะลุงคิมรูป
หล่อใบ้หวยให้นั่นแหละ ( อ๊ะๆ ลุงเครียดแล้ว )

(แต่ผมไม่เล่นการพนันน่ะ)
..ขอโม้หน่อยน่า..นิสนุง.. Wink
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 7:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

mangotree บันทึก:
hahaa

ฯลฯ

คุณเสี่ยอ้อ

ฯลฯ
..ขอโม้หน่อยน่า..นิสนุง.. Wink


คุณเสี่ยอ้อ...คุณเสี่ยอ้อ....ฟังแล้วเหมือนประชดประชันยังงัยไม่รู้ อาจเป็นเพราะพื้นฐานของผู้พูด
และการรับรู้ข้อมูลของผู้ฟัง

ลองพิจารณาดู การให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยปราศจากอคติใดๆ ที่มีอยู่ในใจ

ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์อยู่บนโลกกลมๆใบนี้ แน่นอน รัก โลภ โกรธ หลง สุดที่จะห้ามได้


เอามาฝาก

ที่มา คัดลอกจาก http://www.jvkk.go.th/jvkkfirst/story/general/47.htm

วิธีบริหารเสน่ห์

---------------

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ บางคนเกิดมาหน้าตาดี แต่หาคนคุยไม่ได้ แทบไม่มี ในทางกลับกันบางคน
เกิดมาหน้าตาแสนจะขี้เหร่แม้แต่วัดตอนสาย ๆ ก็ไม่กล้าไป แต่กลับมีคนมาห้อมล้อมมอบความรัก
และจริงใจให้อยู่ตลอดเวลา นั่นแสดงว่าคนนั้นต้องมีอะไรดีอยู่ในตัว อะไรที่ว่าก็คือความมีเสน่ห์ที่
สามารถดึงดูดให้คนอื่นมาคบด้วยได้ สามารถสร้างความประทับใจแรกพบสำหรับคนรอบข้างได้ ไม่
ว่าจะไปไหนมาไหนก็มีคนยิ้มทักทาย พูดคุย และอยากร่วมงานด้วยเสน่ห์เป็นสิ่งที่ติดตัวเราอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะบริหารเสน่ห์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและคนอื่น หากอยากมีเสน่ห์อย่าทำ
ตัวให้สูงจนคนอื่นต้องแหงนหน้าพูดด้วย เพราะคนเราเกิดมาไม่ว่าจะเป็นคนสูง คนชั้นต่ำ มั่งมีหรือ
ยากจน ย่อมเกิดความพึงพอใจเมื่อมีความจริงใจต่อกัน การบริหารเสน่ห์ให้ตรึงตาตรึงใจคนอื่นไว้
นาน ๆ ไม่ใช่สิ่งยากเย็นอะไรเลย โดยมีหลักง่าย ๆ ดังนี้

1..... ใส่ใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้างที่คุณรู้จัก เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เจ้า
นาย หมั่นเอาใจเขามาใสใจเรา ศึกษาเอาในใส่ในสิ่งที่ชอบ เช่น งานอดิเรก ความมุ่งหวัง แสดงให้
เขาเห็นว่าคุณสนใจเรื่องของเขาเหมือนกัน


2..... อย่าทำตัวเด่นเกินไป คนบางคนย่อมไม่พอใจในการที่คุณทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา


3..... หว่านเสน่ห์ให้ครบทุกคน การที่คุณชอบอยู่สันโดษคนเดียว ไม่ยอมเปิดประตูดูคนอื่น ควร
ยิ้มทักทายกับทุกคน มอบความรักและจริงใจให้กับทุกคน คนอื่นจะได้ดีใจและภูมิใจที่อย่างน้อย
คุณก็ให้ความสำคัญเขาเท่ากับคนอื่น


4..... ชื่นชมคนอื่นเสมอ คงไม่มีใครชอบคำตำหนิมากกว่าคำชม หมั่นชื่นชมคนรอบข้างเสมอ
เพื่อเขาจะได้มีกำลังและมีความสุขเวลาอยู่กับคุณ


5..... ไม่ทำตัวสมบูรณ์แบบ คนเราเกิดมาย่อมไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุก ๆเรื่อง ย่อมมีดีมีเสียใน
ตัวเองการทำตัวสมบูรณ์แบบเกินไปเสมือนคุณสร้างกำแพงกั้นคน อื่นไม่กล้าเขาหาคุณ


6..... ทำตนให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ การเป็นคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรสดใส
เอาซะเลย คนอื่นคงไม่อยากมาอมทุกข์กับคุยิ่งถ้าคุณเป็นประเภทสามวันดีสี่วันไข้ ย่อมไม่มีใคร
กล้าเข้าใกล้ หัดเป็นคนยิ้มแย้มตลอดเวลา ให้คนอื่นเขารู้สึกมีชีวิตชีวาเวลาอยู่กับคุณ


คนเราคงอยู่ในโลกใบกว้างคนเดียวไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ในสังคมพบปะและใช้ชีวิตกับคนหลาย
ประเภท คุณจะมีคนคบจริง ๆ และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือยามที่คุณมีปัญหามากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะบริหารเสน่ห์ในตัวคุณออกมาให้คนอื่นเห็นได้มากน้อยเพียง ใด คุณไม่จำเป็น
ต้องไปหาหมอเพื่อขอยามาใส่เสน่ห์ให้คนอื่นมาหลงรักคุณเลยเพียง คุณบริหารด้วยการใส่ใจคน
รอบข้าง ชื่นชมคนอื่นไปเสมอ หวานเสน่ห์ให้ครบทุกคน ไม่ทำตัวเด่นเกินไป ไม่ทำตัวสมบูรณ์
แบบเกินไป และทำตนให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ คุณจะเป็นคนที่มีคนคบมาก เวลาเดือดร้อนเขาก็
พร้อมจะช่วยเหลือคุณ ที่สำคัญคุณจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข โลกทั้งใบจะมีแต่สิ่งที่สด
ชื่นมีแต่สิ่งสวยงาม มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม และความรักความจริงใจที่มีให้แก่กัน นั่นคือผล
จากเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวคุณนั่นเอง

ลองดู....Very Happy

หรือ


ที่มา คัดลอกจาก http://www.kroobannok.com/blog/7450

ทำอย่างไร..ให้คุณเป็นที่รักของคนอื่น

คง ไม่มีใครที่จะไม่อยากมีเพื่อน หรืออยู่เพียงลำพังไม่สุงสิงกับผู้อื่น เพราะมนุษย์โลกเรานี้ล้วนต้อง
พึ่งพาอาศัยกันทั้งนั้น จึงจะอยู่รอดได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งเราอาจจะต้องปฏิบัติตน เพื่อที่
จะเป็นที่รักของคนอื่นๆ ดังนี้

1. ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ
คือการไม่เสแสร้งเข้าใส่ กันและกัน การดูถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามผู้อื่น ไม่เป็นคนวางท่า สิ่ง
ต่างๆ เหล่านี้เองที่เป็นเหตุให้คนเราขาดเพื่อนที่จริงใจ ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นรักและชื่นชม ก็
คงต้องปฏิบัติตัวเสียใหม่ ทำตัวเราให้น่ารัก เป็นคนที่พูดจาจริงใจ ปากตรงกับใจเป็นดีที่สุด และไม่
ควรกระทำการใดๆ ที่ผู้อื่นเดือดร้อนโดยเด็ดขาด

2. อารมณ์ดี
เป็นคนที่มี อัธยาศัยดี ร่าเริง ไม่เคร่งเครียดคิ้วขมวดติดกัน เพราะคงไม่มีใครที่อยากเข้าใกล้กับคน
ที่มีนิสัยขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว มีความก้าวร้าว อารมณ์ร้าย และรุนแรง หรือเป็นคนที่อารมณ์
แปรปรวนง่ายๆ และยิ่งถ้าเราเป็นคนอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น ตัว
ของเราเองจะกลายเป็นคนไร้เพื่อน และสังคมไม่ให้การยอมรับอีกด้วย เพราะคนอื่นๆ จะดีตัวออก
ห่างเราไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนที่อารมณ์ดีที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ

3. สนใจฟัง "เขา" มิใช่พูดแต่เรื่องของตนเอง
เช่น เรากำลังสนทนาอยู่ในกลุ่มเพื่อน แต่เราคุยฟุ้งแต่เรื่องส่วนตัวของเรา.."เมื่อวานนี้ไปเที่ยว
ทะเลมา สนุกมาก ได้เล่นน้ำทะเลกันจนเย็นแถมตัวดำอีก พอกลับมาเมื่อเช้านี้คุณแม่เกิดไม่สบาย
กะทันหัน ต้องพาไปโรงพยาบาล และไม่มีใครดูแลคุณพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์.."

จากคำพูดข้างต้น คนที่พูดก็ช่างเจรจาเหลือเกิน พูดถึงแต่เรื่องตัวเอง โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้
เพื่อนๆ ในกลุ่มใดพูด หรือแสดงความคิดเห็นบ้างเลย ซึ่งจริงๆ แล้วคนเราที่เป็นกลุ่มเพื่อนกันก็คง
ต้องการคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟัง บ้างแต่ต้องมีการแลกเปลี่ยน และสนใจเรื่องของเขา
มากกว่าพูดแต่เรื่องของตนเอง

4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"
ข้อนี้คงไม่ต้องบอก เพราะใครๆ ก็รู้ แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ยอมปฏิบัติ มีแต่จะรับข้างเดียว หวังแต่
ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับตัวเองเพียงเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่สนใจ ซึ่งคนประเภทที่ชอบรับข้างเดียว
ไม่ได้ให้ผู้อื่นตอบแทนบ้างเลย จัดเป็นคนที่มีลักษณะเป็นคนเห็นแก่ตัว..คนมักมาก, คนเอา
เปรียบ, คนเอาแต่ได้ แต่คนที่ให้มากกว่ารับจะมีเพื่อนมากกว่าคนที่รับมากกว่าให้อย่างแน่นอน
การให้และการรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ แต่รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน
หรือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการให้ที่มีคุณค่ามาก และโดยปกติคนทั่วไปก็คงชอบ
คนที่ให้เราบ้างยอมรับจากเราบ้างเพราะเวลาเขารับ อะไรจากเรา เรารู้สึกดีใจและพอใจ แต่ถ้าคุณ
เป็นฝ่ายรับจากเขาอยู่ข้างเดียว ก็คงต้องรู้สึกระอาใจบ้างไม่มากก็น้อย

5. มองโลกในแง่ดี
เราลองหันไปมอง รอบๆ ตัวเราว่าเป็นอย่างไร โดยขอให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ไม่ตำหนิ หรือ
ติเตียนสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น คนนี้เป็นคนไม่ดี บ้านนี้มีอะไรที่แปลกและน่ากลัว ผู้หญิงคนนี้
ไม่น่าคบ ฯลฯ คงเห็นแล้วว่าถ้าคนเรามีความคิดเช่นนี้กันทุกคน สังคมก็คงวุ่นวายน่าดูและคงมีแต่
ปัญหามากมายที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราลองมองโลกในแง่ดีบ้าง และทำเป็นประจำอยู่ตลอด คนที่อยู่
ใกล้เราก็จะมีความสุข

สิ่ง ต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนแต่เป็นวิธีที่จะทำให้เราสามารถเป็นที่รักของผู้อื่นได้อย่างมีความ
สุข ก็ขอให้คนเราเริ่มต้นด้วยการ "เป็นผู้ให้" เสียก่อน รับรองได้ว่าในเวลาต่อมาเราก็จะได้รับสิ่ง
ตอบแทนต่างๆ กลับมาอย่างมากมายจากคนที่รับให้นั้นด้วยความจริงใจ และเป็นการเสริมสร้างพลัง
ความรักและความเข้าใจระหว่างคนมากขึ้นด้วย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
mangotree
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 13/07/2009
ตอบ: 95

ตอบตอบ: 16/02/2010 7:29 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผมว่าต้นไม้นี่ เข้าใจง่ายกว่าผู้หญิงแยะเลย เง้ออ Rolling Eyes
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 7:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พึงให้ระลึกไว้เสมอว่า

ที่มา คัดลอกจาก http://www.thaipoet.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaipoetnet&thispage=25&No=283166


แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์................มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด...............ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน..................บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน...................เกิดเป็นคนคิดเห็นจึ่งเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ.................ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา.............................รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี


หรือ

ที่มา คัดลอกจาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1362178


๐ ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ๐



๐ ใจ...มนุษย์สุดลึกล้ำยากกำหนด...........ช่างเลี้ยวลดคดเคี้ยวยากหยั่งถึง

๐ มนุษย์...มนุษย์นั้นใจซับซ้อนยากคะนึง....ดังนั้นจึงยากไว้ใจในวาจา

๐ ยาก...จะทันความคิดของมนุษย์........... ช่างแสนสุดมากกลเล่ห์เสน่หา

๐ แท้... ความแล้วมิอาจทราบได้ในครา.......ล่วงเวลาจึ่งเผยความกระจ่างจริง

๐ หยั่ง...ยากแย้มความนึกคิดจิตใจมนุษย์......ช่างดำดุจหม่นหมองดั่งถูกสิง

๐ ถึง... พูดดีทำดีน่าพึ่งพิง......................แต่แท้จริงอาจริษยายิ่งน่าชิงชัง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/02/2010 8:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.......สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น "ตาคิม" ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์...........ไง


แล้วกลอนท่อนสุดท้ายของบทนี้ล่ะ ว่าไง รู้มั้ย
ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 9:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่เกษตรกรรุ่นใหม่ควรเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตน
เอง เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า

ตราบใดที่ผลผลิตของเราอยู่ในข่าย "ของดี มีน้อย" รับรองว่าการทำตลาดไม่ได้ยากอย่างที่คิด จะ
ว่าไปแล้วยากที่ใจมากกว่า

ที่มาที่ไปของการเปิดสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร มาจากหลักคิดนี้เช่นกัน เมื่อเราได้ทดลองการทำ
ตลาดด้วยตนเอง รวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทำให้มีความ
มั่นใจว่า ถ้าผลผลิตเราดีจริง หาทานก็ยาก เป็นที่ต้องการของลูกค้า การที่จะให้ลูกค้าขับรถมาซื้อ
ถึงสวนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

"ทำวิกฤติ ให้เป็นโอกาส" ปีแรกของการเปิดสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้
อุปสรรคและปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อปัญหาคือการที่ต้องรอให้
ลูกค้ามาหาเรา ย่อมมีความเสี่ยงเรื่องการระบายผลผลิตให้ทัน การเพิ่มช่องทางในการระบายสินค้า
คือการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาที่สวน โดยการส่งสินค้าผ่านระบบขนส่ง
ต่างๆ ทั้งรถส่งสินค้า รถทัวร์โดยสาร และพัสดุไปรษณีย์ ปัจจุบันสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ใน
หลายๆจังหวัด ที่มีระบบขนส่งไปถึง แผนการทีีวางไว้ในอนาคตคือ

Fruit Delivery

กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
ott_club
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/07/2009
ตอบ: 718

ตอบตอบ: 16/02/2010 10:00 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

kimzagass บันทึก:
กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.......สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น "ตาคิม" ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์...........ไง


แล้วกลอนท่อนสุดท้ายของบทนี้ล่ะ ว่าไง รู้มั้ย
ลุงคิมครับผม


ว่ายังงัยล่ะครับลุง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 16/02/2010 10:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

นั่นซีนะ...รอฟังอยู่เหมือนกัน Laughing
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/02/2010 10:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.............สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น โยคี (ตาคิม) ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์................มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด...............ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน..................บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน...................เกิดเป็นคนคิดเห็นจึ่งเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ.................ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา.............................รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี


ท่อนสุดท้าย กล่าวว่า.....

จงคิดตาม ไปเอา ไม้เท้าเถิด......จะประเสริฐ สมรัก เป็นศักดิ์ศรี
พอเสร็จคำ สำแดง แจ้งคดี.........รูปโยคี (ตาคิม) หายวับ ไปกับตา
.....ไง


เอาวรรณคดีอื่นอีกไหมล่ะ
ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
ott_club
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 20/07/2009
ตอบ: 718

ตอบตอบ: 16/02/2010 10:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ไปได้เรื่อยเลยนะครับลุง

บทนี้เอามาให้อ่านกันเล่นๆ ครับ
อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก

แต่ลมปาก หวานหู ไม่รู้หาย

แม้นเจ็บอื่น หมื่นแสน พอแคลนคาย

เจ็บจนตาย เพราะเหน็บ ให้เจ็บใจ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 16/02/2010 10:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้.....ไง


เป็นมนุษย์ สุดดี ก็ที่ปาก.......จะได้อยาก โหยหิว ที่ชิวหา
แม้นพูดดี มีคน เขาเมตตา.....จะพูดจา จงวิเคราะห์ ให้เหมาะความ



พูดดี เป็นศรี แก่ปาก....พูดมากมาก ทั้งปาก มีแต่สี



ก็ดีนะ นอนทั้งวัน (ว่ะ)
ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
mixfeed
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 04/08/2009
ตอบ: 29

ตอบตอบ: 17/02/2010 8:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

Shocked ! Shocked ! Shocked ! Shocked ! Shocked ! โอ้โห โอ้โห โอ้โห แล้วก็ โอ้โห
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/02/2010 9:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

....................... ฯ ล ฯ .........................

มาจะกล่าวบทไป....................ถึงท้าว หัสนัย ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์ เคยอ่อน แต่ก่อนมา......กระด้างดัง ศิลา ประหลาดใจ
จะมีเหตุ มั่นแม่น ในแดนดิน........อัมรินทร์ เร่งฤทธิ์ คิดสงสัย
จึงสอดส่อง ทิพย์เนตร ดูเหตุภัย....ก็แจ้งใจ ในนาง รจนา
แม้มิ ไปช่วย จะม้วยมอด............ด้วยสังข์ทอง ไม่ถอด รูปเงาะป่า
จำจะยก พหล พลโยธา...............ลงไปล้ม พารา สามลไว้
จึงตรัสสั่ง ท้าววิศ นุกรม.............เร่งระดม พล..........................พอนะ


ลุงคิมครับผม
ปล.
ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา
ขึ้นต้นเป็น "แนวคิดทางการตลาด" ปิดท้ายกลายเป็น "สังข์ทอง" ได้ไง (เง็ง)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Pitipol
เว็บมาสเตอร์
เว็บมาสเตอร์


เข้าร่วมเมื่อ: 22/07/2009
ตอบ: 332
ที่อยู่: 114/2 ม.11 ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง

ตอบตอบ: 20/02/2010 3:47 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อ่าว! กดผิด นึกว่ากด x ปิดหน้าต่าง หวังว่าพี่ mangotree คงให้อภัยเด็กอย่างผมด้วยนะครับ
_________________
เกษตรกรฝึกหัด
โอ ระยองครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์ เข้าชมเว็บไซต์ MSN
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 20/02/2010 1:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ที่มา คัดลอกจาก http://thinkexist.com/quotes/with/keyword/gentleman/2.html

“A gentleman is one who never hurts anyone's feelings unintentionally.”

~ Oscar Wilde quotes


“A gentleman is one who puts more into the world than he takes out.”

~ George Bernard Shaw quotes


“The person, be it gentleman or lady, who has not pleasure in a good
novel, must be intolerably stupid.”

~ Jane Austen quotes


“A gentleman will not insult me, and no man not a gentleman can insult me.”

~ Frederick Douglass



ไม่น่าเลยน้องโอ

สิ่งที่เกิดขึ้น แม้เราจะรู้สึกไม่ดีบ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนความขุ่นข้องหมองใจมาเป็นแรงผลักดันซะ

จำได้หรือเปล่า "ทำให้คนอิจฉา ดีกว่าให้เขาสงสาร" Very Happy
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 20/02/2010 1:35 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แนวคิดของนักวิชาการ

ที่มา คัดลอกจาก http://www.logisticsthaiclub.com/index.php?mo=3&art=290541

ห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อย

เขียนโดย ผศ.ดร.บดินทร์ รัศมีเทศ, บิสสิเนสวีค ไทยแลนด์

แม้ ประชากรของประเทศไทยส่วนใหญ่กว่าครึ่งของประเทศจะมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจการ
เกษตร มีข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเกษตรประมาณ 1 แสนคน โดยประมาณ 6 หมื่นคน
อยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เหลือจะกระจายอยู่ในหน่วยงานของรัฐอื่นๆ

นอก จากนี้ เรายังมีภาคเอกชนที่แข็งแรง อาทิ เครือซีพี เบทาโกร สหฟาร์ม และบริษัทอื่นๆ ที่มี
ยอดขายรวมกัน กว่า 1 แสนล้านบาทในแต่ละปี คาดว่าบริษัทเหล่านี้ยังมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า
ตัวเลขสองหลักในแต่ละปี อีกด้วย เราคงไม่ต้องห่วงบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้มากนัก สิ่งที่น่าห่วงคือ
เกษตรกรรายย่อยทั่วไปของไทยมากกว่า เนื่องจากยอดส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นของสดเริ่มจะ
ลดลง ในขณะที่สินค้าเกษตรที่ได้รับการแปรรูปแล้วกลับมีอัตราการส่งออกเพิ่มมาก ขึ้นในหลายปี
ที่ผ่านมา

ดัง นั้น แนวโน้มที่เกษตรกรจะต้องพึ่งผู้ค้ารายใหญ่ก็คงจะต้องมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีผู้ซื้อใน
ต่างประเทศเป็นผู้กำหนดราคารับซื้อจากประเทศไทยอีกที การแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือ
เกษตรกรไทยจึงไม่ใช่ของง่าย จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกัน และแน่นอนที่สุด
การพูดนั้นง่ายกว่าการทำหลายเท่าตัวนัก วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกับ ห่วงโซ่อุปทานของ
เกษตรกรไทยรายย่อย ก่อนที่จะมาวางแผนหรือคิดว่าเราจะช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างไร

โดย ทั่วไปเกษตรกรของไทยมีวิธีการขายสินค้าเกษตร
หลักๆ อยู่ 3 วิธี คือ


1. ขายให้แก่ผู้ค้าประจำท้องถิ่นซึ่งมักจะเป็นผู้ที่ขายเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตร และเมล็ดพันธุ์
ในพื้นที่ และรับซื้อสินค้าเกษตรด้วย

2. ขายให้ผู้ค้าเร่ในท้องถิ่นซึ่งมักจะเข้ามารับซื้อสินค้าเกษตรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

3. ขายให้สหกรณ์การเกษตรในท้องถิ่นที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ หลังจากนั้นสินค้าเกษตรจะถูกส่ง
ต่อไปยังผู้ค้าส่งในเมือง หรือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ขึ้น เช่น สหกรณ์อำเภอ หรือสหกรณ์
จังหวัด ขั้นต่อไปสินค้าเกษตรจะถูกส่งไปยังผู้ค้าส่งในกรุงเทพฯ ตลาดในท้องถิ่นและผู้ส่งออก
ตามลำดับ จนกว่าจะถึงมือผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

จะ เห็นได้ว่า กว่าสินค้าเกษตรจะถึงมือผู้บริโภคนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ประมาณ 4 ถึง 5 ขั้น
ตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนล้วนมีความสำคัญและตัดทิ้งไม่ได้ อาจจะมีคนคิดว่าทำไมเกษตรกรจึงไม่
นำสินค้าไปขายโดยตรงให้กับผู้ค้าส่งใน เมือง หรือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ขึ้นด้วยตนเอง
สาเหตุหลักก็เพราะว่าถึงแม้จะไปขายให้ผู้ค้าส่งในเมืองด้วยตนเอง ก็ใช่ว่าเกษตรกรจะได้ราคาที่ดี
กว่า เนื่องจากความแน่นอนในปริมาณ คุณภาพและระยะเวลาการจัดส่งไม่สามารถเทียบได้กับผู้
รวบรวมสินค้าเกษตร ดังนั้น ผู้ค้าส่งในเมืองจึงไม่นิยมที่จะซื้อโดยตรงกับเกษตรกรรายย่อย ถึงแม้
จะซื้อก็ไม่ให้ราคาที่ดีกว่าที่เกษตรกรขายให้แก่ผู้รวบรวมในพื้นที่

ความ จริงนอกจากนี้ก็คือ ทุกขั้นตอนของระบบห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อยยังต้องมี
การบวกกำไรใน แต่ละขั้นตอน หากลองคิดย้อนกลับเล่นๆ เช่นสมมุติว่าเงาะขายอยู่ในตลาดราคา
กิโลกรัมละ 15 บาท และแต่ละขั้นตอนจะต้องมีการบวกกำไรประมาณ 30% นั่นก็หมายความว่า
ตลาดในกรุงเทพฯ และผู้ส่งออก ผู้ค้าส่งในกรุงเทพฯ คงจะรับสินค้ามาที่ประมาณ 10.50 บาท ผู้
ค้าส่งในเมือง ตลาดในท้องถิ่น และ หรือ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรน่าจะรับสินค้ามาที่ราคา
ประมาณ 7.50 บาท ผู้ค้าประจำท้องถิ่น ผู้ค้าเร่ในท้องถิ่น หรือสหกรณ์การเกษตรในท้องถิ่นน่าจะ
รับสินค้ามาที่ราคาประมาณ 5 บาทจากเกษตรกร สิ่งที่น่าห่วงก็คือ 5 บาทที่เกษตรกรได้รับไปนี้ยัง
ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าปุ๋ย สารเคมีและค่าแรง เป็นต้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่เราจะพบ
ว่าเกษตรกรแทบจะไม่ได้อะไรเลย พร้อมทั้งมักจะได้ยินเกษตรกรครวญเรื่องขาดทุน และรายรับที่
ไม่พอจ่ายให้กับเจ้าหนี้ที่เกษตรกรกู้ยืมมาก่อนฤดูเก็บเกี่ยว อยู่บ่อยๆ

ด้วย เหตุนี้เอง แนวทางในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไทยจึงต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจโครง
สร้าง ของห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อยก่อนที่จะวางแผนในการช่วยเหลือเกษตรกร
บ่อยครั้งที่เราได้ยินแนวทางในการแก้ไขปัญหาแบบไม่เข้าใจที่มาของปัญหา อาทิ
การพยายามตัดพ่อค้าคนกลางออกจากวงจรการเกษตรกรของไทย ลองดูรูปภาพประกอบแล้วจะ
พบว่า ไม่มีทางที่จะตัดพ่อค้าคนกลางออกจากวงโคจรได้เลย
ดังนั้น การแก้ไขปัญหา
ของการเกษตรไทยต้องเริ่มจากการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้อง เข้าใจโครงสร้างทางการเกษตร และ
ต้องช่วยกัน คุยกัน แบ่งกันรวย จะได้ไม่ช่วยกันจนอีกต่อไป
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 20/02/2010 1:49 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ตัวอย่างของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง


"ปลูกได้ ต้องขายเป็น"


ที่มา คัดลอกจากhttp://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q2/2009may21p7.htm

เรื่องกล้วยๆ ของบัณฑิตนักปฏิบัติ"ปลูกได้ ต้องขายเป็น"

บทความ โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประชาชาติธุรกิจ วันที่
21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4107

เมื่อความเปราะบางแห่งวิถีใหม่มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น การลุกขึ้นหยัดยืนวิถีเดิมของเยาวชนสักคนจึง
เป็นสิ่งที่มีคุณค่า...

"นายสมพร ทองเพิ่ม" บัณฑิตคืนถิ่นด้านการเกษตร วัยในยี่สิบแปดปี นักการเกษตรเลือดใหม่ใน
โครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ดำเนินการโดยสถาบัน
เสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของสโลแกน "ปลูกได้ ต้องขายเป็น" ก็จัดเป็นหนึ่งในนั้น...

ครอบครัวของสมพรมีอาชีพการเกษตรมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอ
ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปลูกยางพารา ผลไม้พื้นเมืองไว้กินตามฤดูกาล ทั้งมังคุด เงาะ
ทุเรียนป่า ลองกอง ฯลฯ มีความหลากหลายทั้งไม้ผลและผักพื้นบ้าน ที่คนใต้เรียกว่า "สวนสมรม"
เมื่อได้ผลผลิตก็นำออกขาย บ้างก็ผ่านพ่อค้าคนกลาง ตั้งแต่เล็กจนโต สมพรได้สัมผัสกับวิถีการ
เกษตรกร เรียนรู้ และซึมซับการทำนา ทำสวน ทำไร่ของพ่อ ต้นแบบที่ทำให้เห็น ให้คำแนะนำถึง
การทำสวนทำไร่ ทั้งการปลูก บำรุง รักษา เก็บเกี่ยว พืชผัก ผลไม้ ข้าว ยางพารา ฯลฯ

สมพรได้เลือกเรียนต่อในสาขาพืชศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช (ไสใหญ่) เพื่อนำความรู้วิชาการมาเติมเต็มความรู้เดิมที่เรียนรู้
มาจากพ่อและการลงมือปฏิบัติ อันจะเป็นการ "ยกระดับการเกษตรของครอบครัว"

หลังจบการศึกษาในปี 2546 สมพรได้ทดลองทำงานหาประสบการณ์เพิ่มเติม โดยเป็นครูสอน
อาชีพที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) อำเภอทุ่งสง เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ได้เงินเดือนเดือน
ละ 7,200 บาท เรียกว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังดีที่สมพรไม่ทิ้งการทำเกษตร เขาได้ซื้อที่ดิน 4 ไร่
ใช้พื้นที่ว่างระหว่างต้นยางในสวนยางปลูกกล้วย

หลังเลิกงาน สมพรจะเที่ยวสำรวจแผงค้ากล้วยหอมในตลาด ว่ามีที่ใดบ้าง ขายในราคาเท่าไร และ
ต่อไปเขาจะวางกล้วยหอมขายได้ที่ไหน เมื่อสมพรได้แผงขายกล้วยในตลาดแล้ว เขาจึงนำผล
ผลิตออกขาย มีบ้างที่ขายให้พ่อค้าคนกลาง แต่ก็เพียงพอที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 300-500 บาท/
วัน ไม่นานนัก สมพรก็ตัดสินใจซื้อที่ดินปลูกกล้วยหอมเพิ่มอีก 4 ไร่

สมพรลาออกมาทำการเกษตรเต็มตัว และนำผลผลิตที่ได้ออกขายที่ตลาดด้วยตนเองท่ามกลาง
ความประหลาดใจของเพื่อนร่วมงาน ทว่าการออกมาเป็นเกษตรกรเต็มตัวก็ทำให้สมพรมีเวลากับ
การปลูกกล้วยหอม และนำผลผลิตออกขายมากขึ้น จากนั้น 2 ปีต่อมา เขาก็สามารถขยับขยาย
กิจการให้เติบโตนำไปสู่การเปิดแผงขายกล้วยหอมแผงที่ 2 ในตลาดโต้รุ่งซึ่งมีกลุ่มค้ามากขึ้น

ช่วงนี้เอง สมพรได้นำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติมาใช้อย่างครบ
ครัน ทั้งในด้านการจัดการการปลูก มีการจดบันทึกข้อมูลการปลูก-ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว เพื่อประกอบ
การวางแผนการจำหน่าย รวมถึงการใช้ความรู้ด้านการจัดการการตลาดที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยในการ
ขาย ทำให้สามารถตัดวงจรของพ่อค้าคนกลางจากการขายกล้วยหอมได้อย่างสิ้นเชิง มีรายได้เต็ม
เม็ดเต็มหน่วย ลบจุดอ่อนของเกษตรกรรุ่นพ่อแม่ที่มักให้ความสนใจกับการปลูก แต่ไม่ให้ความ
สำคัญกับการขาย จนตกเป็นเหยื่อยอมขายพืลผลในราคาถูกให้นายทุน

"หากตัดพ่อค้าคนกลางไปได้ เกษตรกรจะได้กำไรเอง และสินค้าจะส่งถึงมือผู้บริโภคโดยตรง เรา
ได้มีโอกาสดูแลสินค้าให้มีคุณภาพจนถึงมือลูกค้า"

จุดเด่นอีกข้อหนึ่งของสมพรคือความกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่ง เขามักชวนลูกค้าคุยเสมอๆ เพื่อ
สำรวจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค บ่อยครั้งสมพรยังนำหน่อกล้วยหอมไปแนะนำให้
ลูกค้าปลูก เป็นการรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเก่า และใช้วิธีบอกเล่าปากต่อปาก ทำให้
สมพรมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน สมพรยังเป็นนักชิมกล้วยหอมตัวยง เมื่อเข้าตลาดต่างถิ่น เขามักซื้อกล้วยรับประทาน
เพื่อเปรียบเทียบสี กลิ่น ขนาด รสชาติ และราคากล้วยหอมของคู่แข่งรายอื่นๆ เสมอ เวลานี้ ลูกค้า
ของสมพรมีทั้งกลุ่มขายส่ง แม่ค้าที่นำกล้วยไปแปรรูป หรือทำขนม เช่น โรตี น้ำปั่น ไอศกรีมทอด
และอีกส่วนคือกลุ่มผู้บริโภคทั่วๆ ไป เขาสามารถขายกล้วยได้เฉลี่ยวันละ 50 และ 70-90 หวี/
แผง ยิ่ง "เทศกาลตรุษจีน" เปรียบเป็นนาทีทองที่สมพรขายกล้วยหอมได้มากที่สุดถึง 300 หวีต่อ
วัน ทั้งยังขายได้ราคาดีกว่าช่วงเวลาอื่นๆ สมพรจึงให้ความสำคัญกับการเตรียมการให้กล้วย
หอมออกผลผลิตในช่วงนี้อย่างมาก

นอกจากกล้วยหอมแล้ว สมพรยังนำผักผลไม้จากสวนของพี่สาว ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลมา
จำหน่ายที่แผง เช่น ลองกอง ทุเรียนบ้าน ทุเรียนหมอนทอง มังคุด กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง
มะละกอแขกดำ และผักพื้นบ้านหลายชนิด เช่น ผักกูด มะเขือพวง ใบบัวบก ในจำนวนนี้ยังมีผักที่
เขาปลูกเองแบบปลอดสารเคมี เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ได้แก่กวางตุ้งและคะน้า ในระยะหลัง
สมพรยังปลูกข้าวโพดหวาน และนำมาต้มขายที่แผงด้วย

บัณฑิตคืนถิ่นผู้นี้ให้เหตุผลของการปลูกพืชหลายๆ ชนิดว่า การมีพืชหลายๆ อย่างไว้รองรับและ
กระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดี เพราะพืชผลการเกษตรมีราคาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในบทบาทของเยาวชนด้านการเกษตรรุ่นใหม่ เขาจะเป็นแรงหนึ่งในการประคับประคองภูมิปัญญา
ด้านการเกษตรของไทย และยกระดับให้อาชีพการเกษตรในสายตาของคนทั่วไป โดยเฉพาะ
เยาวชนให้เห็นว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นต้องอายใคร เมื่อต้องบอกว่าประกอบ
อาชีพการเกษตร
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Aorrayong
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009
ตอบ: 869

ตอบตอบ: 20/02/2010 1:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พวกเขา...หลายๆคนที่ทำได้

พวกเรา...ก็ทำได้เช่นกัน....ว่ามั้ย?
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©