-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรประจำวัน 3 มี.ค. * น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ที่มาเป็นอย่างไร
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
ตอบตอบ: 02/03/2023 5:26 pm    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรประจำวัน 3 มี.ค. * น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง

.
.
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร 3 มี.ค.

*************************************************************
สวัสดีครับ ท่านผู้ฟัง ที่เคารพ
กองทัพบก เพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม
ผลิตรายการโดย กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก

จุดยืนรายการ ....
* เกษตรแบบ อินทรีย์นำ - เคมีเสริม - ตามความเหมาะสม “.. ? ..”
* ปัจจัยพื้นฐาน ดิน - น้ำ - แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล - สารอาหาร - สายพันธุ์ - โรค
* หัวใจเกษตร ปุ๋ย-ยา-ไฟฟ้า-เวลา-ค่าแรง-ค่าที่-อารมย์-เทคนิค-เทคโนฯ-โอกาส-ตลาด-ต้นทุน
* พร้อมทำเองสอนวิธีทำ พร้อมซื้อสอนวิธีซื้อ

กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการ
เช่นเคย รายการเรา....
*** 1188 ฝากข้อความ-ฝากคำถาม-ฝากข่าว-สายตรง ที่ (081) 913-4986, ....
*** FB วีระ ใจหนักแน่น, ....
*** อินเตอร์เน็ต เกษตรลุงคิม ดอทคอม .... เว้บนี้ ถาม 1 บรรทัด ตอบ 1 หน้า
ถนัดช่องทางไหนเลือกช่องทางนั้นตามอัธยาศัย นักรบไม่ว่ากัน THANK YOU ....

รายการวิทยุ :
*** AM 594 ปตอ. เวลา 0815-0900 จันทร์-ศุกร์ คลื่นนี้ครอบคลุมพื้นที่ 40+ จังหวัด ***

งานสัญจรปกติตามวงรอบ :
* วันเสาร์ของสัปดาห์แรกของเดือน ....... ไปที่วัดพยัคฆาราม (วัดเสือ) ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี,
* วันเสาร์ของสัปดาห์ที่สองของเดือน ..... ไปที่วัดอัมพวัน (หลวงพ่อโหน่ง) สองพี่น้อง สุพรรณบุรี,
* วันเสาร์ของสัปดาห์ที่สามของเดือน ..... ไปวัดท่าตำหนัก เพชรเกษม แยกนครชัยศรี นครปฐม,
* วันเสาร์ของสัปดาห์ที่สี่ของเดือน ........ ไปวัดส้มเกลี้ยง ใกล้โรงกรองประปา ถ.วงแหวนตะวันตก
* เดือนที่มี 5 เสาร์ เสาร์ที่ 5 ของเดือน ... ไปวัดทุ่งสะเดา แปลงยาว ฉะเชิงเทรา
** ถึงจุดนี้ เกษตรกรอยากให้งานสัญจรไปลง ที่ไหนก็ได้ ติดต่อมา พูดคุยกันในรายละเอียด

*** วันจันทร์ ทุกวันจันทร์ เฉพาะวันจันทร์ สมช.สีสันชีวิตไทย “คุณล่า” (081) 944-8494 ไปที่ตลาดนัด
วัดอมรญาติ ดำเนินสะดวก ราชบุรี พร้อมกับ ระเบิดเถิดเทิง. ไบโออิ. ไทเป. ยูเรก้า. ยาน็อค. กับหนังสือหัวใจเกษตรไทย มินิ ไปจำหน่าย....
*** แจกหนังสือไม้ผลแนวหน้า *** แจกกับดักแมลงวัุนทอง....
*** ด้วยประสบการณ์ร่วม 20 ปี พบเห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวมามากมาย ใครสนใจใคร่รู้ก็ไปคุยกัน แล้วจะรู้ว่า อ้อออ เป็นอย่างนี้นี่เอง....


*** งานสีสันสัญจรวันเสาร์ เสาร์นี้วันที่ 4 มี.ค. ลุงคิม กับ อ.ณัฐ (086) 983-1966 สมุนไพรสำหรับคน ไปวัดพยัคฆาราม (วัดเสือ) ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี, ....
*** งานนี้ แจก ! แจก ! แจก ! หนังสือไม้ผลแนวหน้า กับดักแมลงวันทอง แจก ! แจก ! แจก ! ....


*************************************************************

*************************************************************


จาก : 08 471x 685x
ข้อความ : ระเบิดเถิดเทิง รู้วัสดุส่วนผสมแล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีทำค่ะ

จาก : 09 173x 427x
ข้อความ : กว่าจะมาเป็นน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ที่มาเป็นอย่างไร

จาก : 06 278x 932x
ข้อความ : ส่วนผสมในระเบิดเถิดเทิงแต่ละตัวมีธาตุอาหารอะไร

จาก : 09 250x 717x
ข้อความ : น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเเทิง ไม่เหม็นแต่หอม ผู้พันทำยังไง


MOTIVATION แรงบันดาลใจ :

รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปุ๋ย :

ปุ๋ย คือ สารอินทรีย์ หรืออนินทรีย์สาร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือทำขึ้นก็ตาม สำหรับใช้เป็นธาตุอาหารแก่พืชได้ไม่ว่าโดยวิธีใด หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในดินเพื่อบำรุงความเติบโตแก่พืช

ชนิดของปุ๋ย :
ปุ๋ยมีอยู่มากมายหลายชนิด เพื่อเข้าใจง่าย ในที่นี้จะขอแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ :
1. ปุ๋ยเคมี คือ ปุ๋ยที่ได้จากสารอนินทรีย์หรืออินทรีย์สังเคราะห์ รวมถึง ปุ๋ยเชิงเดียว ปุ๋ยเชิงผสม และปุ๋ยเชิงประกอบ และหมายความตลอดถึงปุ๋ยอินทรีย์ที่มีปุ๋ยเคมีผสมอยู่ด้วย แต่ไม่รวมถึงปูนขาว ดินมาร์ล

2. ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้จากอินทรียวัตถุซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีทำให้ชื้น สับ บด หมัก ร่อน หรือวิธีการอื่น แต่ไม่ใช่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์มีหลายชนิดที่ควรทราบมีดังนี้

2.1 ปุ๋ยหมัก ได้แก่ ปุ๋ยที่ได้จากการหมักเศษวัสดุ เช่น หญ้า ใบไม้ ฟางข้าว กากอ้อย แกลบ ขุยมะพร้าว เปลือกสับปะรด ซังข้าวโพด จนกระทั่งเน่าเปื่อย ผุพัง กลายเป็นสารอินทรีย์ที่มีความคงทน ไม่มีกลิ่น และมีสีน้ำตาลปนดำ

2.2 ปุ๋ยคอก ได้แก่ ปุ๋ยที่ได้จากมูลและสิ่งขับถ่ายของสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร ไก่ เป็ด ห่าน

2.3 ปุ๋ยพืชสด ได้แก่ ปุ๋ยที่ได้จากการปลูกพืชและไถกลบพืชที่ยังเขียวอยู่ เช่น ถั่วเขียว ถั่วพร้า ถั่วพร้า ปอเทือง โสน

3. ปุ๋ยชีวภาพ หมายถึงการที่ใช้จุลินทรีย์มาใช้ปรับปรุงดินทางชีวภาพ ทางกายภาพ ทางเคมีชีวะ และการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ ตลอดจนการปลดปล่อยธาตุอาหารจากพืชจากอินทรียวัตถุ หรือจากอนินทรียวัตถุ เช่น เชื้อไรโซเบียม หรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน จะสามารถเพิ่มธาตุไนโตรเจนให้กับดินและพืช

https://www.ricethailand.go.th/rkb3/title-index.php-file=content.php&id=5-5.htm


วิธีการทำปุ๋ยปลาหมักสูตร วท :
ปุ๋ยปลาหมักเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากปลาได้แก่ หัวปลาก้างปลา หางปลา พุงปลา และเลือด ผ่านขบวนการหมักโดยการย่อยสลายโดยการใช้เอนไซม์ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หลังจากหมักจนได้ที่แล้ว จะได้สารละลายสีน้ำตาลเข้ม ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน และธาตุอาหารเสริมได้แก่ เหล็ก ทองแดง และแมงกานีส

นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยสลายของโปรตีนในตัวปลา ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการบ่งชี้ชัดว่ากรดอะมิโนสามารถจับตัวกับธาตุอาหารปุ๋ยทำให้ ปุ๋ยสามารถดูดซึมเข้าสู่ต้นพืชได้เร็วขึ้น ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของเกษตรกรที่พบว่าปุ๋ยปลาหมัก ช่วยพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้มีสีสดขึ้น ผลไม้มีคุณภาพดี และช่วยเร่งการแตกยอดและดอกใหม่ ตลอดจนการเพิ่มผลผลิตของพืช ดร.สุริยา สาสนรักกิจ ได้เสนอสูตรการทำปลาหมักไว้ ดังนี้


หมักโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus plantarum :
ในการหมักปุ๋ยปลาหมัก พบว่าได้ผลดี โดยการหมักเศษปลาจำนวน 100 กิโลกรัม ใช้กากน้ำตาล 20 ลิตรเติมเชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus sp. จำนวน 10 ลิตร คนให้เข้ากันใช้เวลาการหมักประมาณ 1-2 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยปลาหมักจากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สำหรับพืชและสัตว์ นอกจากนั้นหลังจากหมักเป็นปลาหมักแล้วยังสามารถนำปลาหมักไปเป็นอาหารเสริมสำหรับสุกร ลดการติดเชื้อของโรคทางเดินอาหารของสุกรอีกด้วย

หมักโดยการใช้กรดอินทรีย์ :
กรดอินทรีย์ที่นิยมใช้ในการผลิตปุ๋ยปลาหมักได้แก่ กรดมด (กรดฟอร์มิค หรือกรดกัดยาง) และกรดน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) ซึ่งกรดทั้งสองมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศเดนมาร์ค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1948 การใช้กรดทั้งสองชนิดในการผลิตปลาหมักเนื่องจาก กรดมดหรือกรดกัดยาง เป็นกรดที่หาได้ง่ายในพื้นที่ที่ทำสวนยาง ได้แก่ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนกรดน้ำส้มสายชูจะถูกนำมาใช้ในพริกดอง ซึ่งมีความเข้มข้นของกรด 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จะนำมาใช้ในการผลิตปลาหมักเป็นกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้นที่เรียกว่า “หัวน้ำส้ม” สามารถหาซื้อได้ในตลาดสดแทบทุกแห่ง

ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยปลา :
ปุ๋ยปลาสามารถผลิตได้โดยการนำเอาพุงปลาและเลือดปลามาทำการบดให้ชิ้นส่วนต่างๆเหล่านี้มีขนาดเล็กลง จากนั้นนำไปหมักโดยใช้กรดมดเข้มข้น (formic acid) หรือกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น (acetic acid) ในปริมาณร้อยละ 3.5 มาผสมให้เข้ากันกับพุงปลาและเลือด นอกจากนี้ยังต้องเติมกากน้ำตาลในปริมาณร้อยละ 20 เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเศษปลา จากนั้นทำการคนให้เข้ากันและคนติดต่อกันอย่างน้อยเป็นเวลา 7 วัน ในระยะนี้จะสังเกตเห็นว่าพุงปลาเริ่มมีการละลายออกมาเป็นสารละลายเกือบหมดแล้วจากนั้นทำการหมักต่อไปอีกเป็นเวลา 21 วัน ในระหว่างที่ทำการหมักให้คนปุ๋ยปลาเป็นครั้งคราว การหมักปุ๋ยปลาถ้าใช้เวลานานจะได้ปุ๋ยปลาที่มีคุณภาพและกลิ่นที่ดี บางครั้งปุ๋ยปลาที่หมักได้จะมีคุณภาพของปุ๋ยที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบและกระบวนการหมัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีธาตุอาหารไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 0.5-1เปอร์เซ็นต์ และมีจุลธาตุดังกล่าวข้างต้น เป็นองค์ประกอบ

วิธีการผลิต :
1. ปลาหมัก จำนวน 40 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล (โมลาส) จำนวน 20 กิโลกรัม
3. หัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.-2 จำนวน 1 ถุง


ขั้นตอนการทำ :
นำหัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.-2 มาละลายในน้ำอุ่น 20 ลิตร ผสมลงในถัง ขนาด 200 ลิตร พร้อมปลาหมักและกากน้ำตาล เติมน้ำสะอาดจนเกือบเต็ม แต่อย่าให้ถึงกับล้นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์นำไนล่อนชนิดถี่มาปิดไว้เพื่อป้องกันแมลงวันวางไข่ หมักไว้ประมาณ 25–30 วัน ในระหว่างนี้น้ำในถังจะเริ่มลดลง ให้เติมน้ำสะอาดลงไปอีก ใช้ออกซิเจนตลอดเวลาและหมั่นคนปุ๋ยอย่างน้อยวันละ 2–3 ครั้ง ในกรณีใช้พ่นทางใบ ควรหมักให้นานกว่าปกติ ยิ่งนานยิ่งดี เพราะถ้านำมาใช้เร็ว อาจเกิดผลเสียทำให้ใบไหม้ได้

วิธีสังเกตดูว่าเมื่อไรจึงจะนำปุ๋ยน้ำมาใช้ได้ :
1. ระยะที่ 1 สังเกตน้ำปุ๋ยจะออกเข้มข้น เป็นฟองใหญ่ไม่แตกง่าย
2. ระยะที่ 2 ฟองจะค่อยๆ เล็กและแตกง่าย จะมีกลิ่นหอม
3. ระยะที่ 3 ฟองจะค่อยๆ เล็กลงมากๆ มีกลิ่นน้ำส้มคล้ายๆกลิ่นแอลกอฮอล์และฟองจะละเอียดมาก


ประโยชน์ของการใช้ปุ๋ยน้ำ :
1. ออกดอกเร็ว เก็บผลผลิตได้เร็ว ได้ผลผลิตปริมาณที่มากขึ้นและมีคุณภาพดี
2. ลงทุนน้อย ลดต้นทุนในการผลิตและสามารถผลิตไว้ใช้เองในครัวเรือน
3. ไม้ผลจะมีรากแข็งแรง ใบสวย ใบใหญ่และยังปรับให้สภาพพื้นที่ดินดี ไม่เสีย ไม่เปรี้ยว

วิธีใช้ :
1. กรณีใช้ฉีดพ่นทางใบ ใช้ปุ๋ยน้ำ 1 ลิตร ต่อน้ำ 100-150 ลิตร ปริมาณการพ่น 7-10 วัน / ครั้ง
2. กรณีใช้ราดลงดิน ราดโคน ใช้ปุ๋ยน้ำ 1 ลิตร ต่อน้ำ 50 ลิตร ปริมาณการใช้อย่างน้อยปีละ 3-4 ครั้งหรือ 30-40 วัน/ครั้ง




คนถามใหม่ คำถามเก่า คำตอบเดิม :

จาก :
09 182x 178x
ข้อความ : เรียนผู้พัน พร้อมทำเองสอนวิธีทำ พร้อมซื้อสอนวิธีซื้อ ขอสูตรทำระเบิดเถิดเทิง

จาก : 08 617x 629x
ข้อความ : พืชกินปุ๋ย 14 ตัว ฮอร์โมน 6 ตัว เอาผักอย่างเดียวมาทำปุ๋ย ได้ปุ๋ยกี่ตัว ตัวไหน ฮอร์โมนกี่ตัว ตัวไหน ถามปราชญ์ชาวบ้านแล้ว ไม่มีคำตอบครับ

จาก : 08 371x 829x
ข้อความ : ต้นทุนค่าปุ๋ย ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ ครบวงจร ตามใจพืช ตามใจคน ขอบคุณที่ให้สติ ขอบคุณค่ะ

จาก : 08 816x 925x
ข้อความ : ขอข้อมูลทำระเบิดเถิดเทิง เอาไปเขียนรายงานครับ ขอบคุณอย่างสูงครับ

ตอบ

ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง
INSIDE ระเบิดเถิดเทิง :

สูตรระเบิดเถิดเทิง เรียกว่า "ปุ๋ย-อินทรีย์-ชีวภาพ" ได้เต็มปากเพราะ มีปริมาณปุ๋ย (ธาตุอาหาร ชนิดและปริมาณ) ตามต้องการ, เป็นอินทรีย์เพราะทำมาจากเศษซากสัตว์ล้วนๆ, และเป็นชีวภาพเพราะมีจุลินทรีย์

คุณสมบัติอื่น ได้แก่
* ผ่านการตรวจจากกรมวิชาการเกษตรมาแล้ว 3 ครั้ง
* เป็นอินทรีย์เพราะทำจาก กุ้งหอยปูปลาทะเล เลือด ไขกระดูก ขี้ค้างคาว นม น้ำมะพร้าว
* เป็นอินทรีย์เพราะมีจุลินทรีย์สารพัดชนิด พิสูจน์จากส่วนผสมที่ถูกย่อยสลาย
* ในเลือดมี N. P. K. Fe.
* ในไขกระดูกมี N. P. K. Ca. S.
* ในขี้ค้างคาวมี P. K.
* ในนมมี P. K. Ca. Mg. Zn.
* ในน้ำมะพร้าวมี P. Ca. Zn. ไซโคไคนิน. กลูโคส.

สารอาหารในอินทรีย์วัตถุที่นำมาทำ มีสารอาหาร มาก/น้อย ต่างกัน :
ผักผลไม้ ................. น้อยสุด หรือน้อยกว่าหอยเชอรี่
หอยเชอรี่ ................ มากกว่าผักผลไม้ แต่น้อยกว่าปลาน้ำจืด
ปลาน้ำจืด ............... มากกว่าหอยเชอรี่ แต่น้อยกว่าปลาทะเล
ปลาทะเลอย่างเดียว .... น้อยกว่า ปลากุ้งหอยปูทะเล รวมกัน

- หรือ มากสุดไปหาน้อยสุด คือ ปลาทะเลรวม-ปลาทะเลเดี่ยว-ปลาน้ำจืด-หอยเชอรี่-ผักผลไม้
- ข้อมูลทางวิชาโภชนาการระบุชัดเจนว่า ในปลาทะเลมี แม็กเนเซียม. สังกะสี. โซเดียม ซึ่งในปลาน้ำจืดไม่มี

หมักนานข้ามปี :
หมักนาน 3 เดือน ....... ได้ธาตุหลัก (ไนโตรเจน. ฟอสฟอรัส. โปรแตสเซียม.)
หมักต่ออีก 3 เดือน ..... ได้ธาตุรอง (แคลเซียม. แม็กเนเซียม. กำมะถัน.)
หมักต่ออีก 3 เดือน ..... ได้ธาตุเสริม (เหล็ก. ทองแดง. สังกะสี. แมงกานิส. โมลิดินั่ม. โบรอน. ซีลีก้า. โซเดียม. อะมิโนโปรตีน.)

หมักต่ออีก 3 เดือน ..... ได้ฮอร์โมน (ไซโตคินนิน. เอสโตรเจน. ออร์แกนิค แอซิด. ฟลาโวอยด์. ควินนอยด์. อโรเมติก แอซิด. ฮิวมัส. โพลิตินอล. ไอบีเอ. เอ็นบีเอ.) และได้ จุลินทรีย์ (คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า. แอ็คติโนมัยซิส. บาซิลลัสส์. ไรซ็อคโธเนีย. แบคทีเรีย. ฟังก์จัย.)

ระหว่างการหมักไม่ปิดฝาเพื่อให้จุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศที่ปากถัง ได้รับอ๊อกซิเจน ระหว่างการหมักไม่คน เพื่อให้จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศที่ก้นถัง ไม่โดนอากาศ .... จุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศมีพลังในการย่อยสลายสูงกว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ

หมักนานแล้ว ใช้ไม้พายคนทั้งถังแล้วยื่นไม้พายให้หมา หมาดม ดมแล้วเลียหมับๆกิน กินเป็นว่าเล่น .... หนู ตกลงไปในถัง แสดงว่าต้องการกิน ถ้าไม่ต้องการกินคงไม่ลงไป ลงไปแล้วตกตายในถัง ปล่อยทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ขึ้นอืด 2 เดือนละลายสลายหาไปทั้งตัว.... หมาเลีย/หนูกิน นี่คือ “FOOD GRADE”

ฟาร์มไก่ข้างไร่กล้อมแกล้ม ไก่ตาย หมาคาบมา คนแย่งหมาจับยัดลงถังหมักทั้งตัว ทิ้งไว้ 3 เดือนละลายสลายหายไปทั้งตัว .... นี่คือ “พลังจุลินทรีย์”

วิธีหมัก :
หมักแยก :
ถัง 1.
กุ้งหอยปูปลาทะเลสดใหม่ บดละเอียด 20 กก. + กากน้ำตาล 5 กก. +เปลือกสับปะรด + น้ำหมักชีวภาพเก่า 5 ล. หมักนาน 3 เดือน ....ใส่น้ำมะพร้าวจนเต็มถังที่หมักขนาด 200 ล. หมักนานข้ามปี .... ได้ “น้ำหมักชีวภาพเริ่มต้น” พร้อมผสมต่อ

ถัง 2. เลือด 200 ล. + กากน้ำตาล 5 ล. + น้ำหมักเก่า 5 ล. หมักนานข้ามปี....ได้ “เลือดหมัก” พร้อมผสมต่อ

ถัง 3. ไขกระดูก 100 กก. + กากน้ำตาล 5 ล. + น้ำหมักเก่า 5 ล. หมักนานข้ามปี .... ได้ “ไขกระดูกหมัก” พร้อมผสมต่อ

ถัง 4. ขี้ค้างคาว 10 กก. + กากน้ำตาล 5 ล. + น้ำหมักเก่า 30 ล. หมักนานข้ามปี .... ได้ “ขี้ค้างคาวหมัก” พร้อมผสมต่อ

ถัง 5. นม 100 ล. + กากน้ำตาล 5 ล. + น้ำหมักเก่า 5 ล. + ยิสต์ 1 กล่อง หมักนานข้ามปี .... ได้ “นมหมัก” พร้อมผสมต่อ

ใช้รวม :
น้ำหมักชีวภาพเปล่าเริ่มต้น 180 ล. + เลือดหมัก 5 ล. + ไขกระดูกหมัก 5 ล. + ขี้ค้างคาวหมัก 5 ล. + นมหมัก 5 ล. ได้น้ำหมักชีวภาพ “สูตรระเบิดเถิดเทิงอินทรีย์” 200 ล พร้อมใช้ หรือปรุงต่อ

หมายเหตุ :
- น้ำหมักชีวภาพ สูตรระเบิดเถิดเทิงอินทรีย์ แม้สมบูรณ์แบบด้วยวัสดุส่วนผสมที่มีสารอา หารพืชมาก และกรรมวิธีในการทำต้องตามหลักวิชาการที่ยืนยันได้ ถึงกระนั้นชนิดและปริมาณของสารอาหารก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยสังเคราะห์ กับทั้งเหมาะสมกับความต้องการหรือจำเป็นต้องใช้สำหรับพืชบางชนิดเท่านั้น

- ไม่มีกุ้งหอยปูปลาทะเลสดๆ จากแพปลา ใช้ปลาป่นส่วนผสมอาหารไก่แทนได้ ดีกว่ากุ้งหอยปูปลาทะเลสดๆ เพราะไม่ต้องบด หรือใส่ลงถังหมักได้เลย

อินทรีย์-เคมี :
จากสูตรระเบิดเถิดเทิงอินทรีย์ +เพิ่ม แม็กเนเซียม 10%, สังกะสี 5%, รอง/เสริม 2%, ฮิวมิก 1%. เป็นตัวคงที่ กับ +เพิ่ม ธาตุหลักตามพืช 10-30% ผสมให้เข้ากันดีด้วยโมลิเน็กซ์ยักษ์ ได้ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรระบิดเถิดเทิง อินทรีย์ -เคมี" พร้อมใช้

หมายเหตุ :
ปริมาณธาตุหลัก 10-30% ขึ้นกับชนิดพืช การ +เพิ่มปุ๋ยเคมี (หลัก รอง เสริม) แล้ว เรียกว่า “อินทรีย์เคมี ตามความเหมาะสม” .... ความเหมาะสม หมายถึงพืชที่จะให้

ตัวอย่าง .... ระหว่าง :
* ผักกาดผักคะน้า (กินใบ) กับ พริกมะเขือ (กินผล) กับ มะม่วงทุเรียน (กินผล) .... หรือ
* มะม่วงทะวาย มีลูกหลายรุ่นบนต้น กับมะม่วงปี มีลูกรุ่นเดียวบนต้น .... หรือ
* ลำไยอายุต้น 5 ปี กับลำไยอายุ 50 ปี มีลูกบนต้นเหมือนๆกัน ......... หรือ
* ไม้ผลยืนต้น ปีที่แล้วให้ผลผลิตมาก มาปีนี้ต้องให้ปุ๋ยมากขึ้น ตามความจำเป็นที่ต้นแม่ต้องเลี้ยงลูกมากขึ้น

น้ำหมักชีวภาพ สูตรระเบิดเถิดเทิงอินทรีย์ จากถังหมัก มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ผ่านปากใบไม่ได้ ต้องให้ทางดินเท่านั้น หากต้องการให้ทางใบต้องปรับโมเลกุลให้มีขนาดเล็ก เป็นโมเลกุลเดี่ยว เรียกว่า “อะมิโนโปรตีน” ก่อน

เกษตรที่จะไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ทำได้โดยใช้ "น้ำหมักชีวภาพ สูตรระเบิดเถิดเทิงอินทรีย์" (ไม่ปุ๋ยเคมี) ปรับโมเลกุล ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ผ่านปากใบได้ เรียกว่า อินทรีย์เกาะขอบ ชื่อ"ฟาจีก้า" แล้วให้ทั้งทางใบและทางรากควบคู่กัน กับ เสริม/สลับ ด้วยฮอร์โมนธรรมชาติที่มีโมเลกุลขนาดเล็กผ่านปากใบได้

ฮอร์โมนธรรมชาติ ได้แก่ นมสด น้ำมะพร้าว น้ำคั้นหัวไชเท้า น้ำคั้นเมล็ดเริ่มงอก น้ำคั้นผักสด ฯลฯ เรื่องนี้ยาวต้องหาเวลาว่ากันต่างหาก

เกษตร “อินทรีย์ตกขอบ หรือ อินทรีย์มั่วซั่ว” หมายถึงการใช้น้ำหมักชีวภาพที่ ไม่มีสารอาหาร หรือมีสารอาหารน้อย กรรมวิธีการหมักไม่ถูกต้อง เหม็นเน่า มีหนอนเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่สารอาหารแต่เป็น “เชื้อโรค”

ข้อสังเกต (1) : กุ้งหอยปูปลาทะเล สดใหม่ กลิ่นคาวจัด บนรถหน้าโรงปุ๋ย แมลงวันตอมหึ่งครั้นขนย้ายเข้าในโรงปุ๋ยหมด แมลงวันหน้าโรงปุ๋ยไม่ตามเข้าไปแม้แต่ตัวเดียว เหตุผลเพราะ ในน้ำหมักเก่าในโรงปุ๋ยมีสารท็อกซิก ที่เป็นพิษต่อแมลงนั่นเอง

ข้อสังเกต (2) : รอบๆ RKK มีฟาร์มไก่ คอกวัว มีแมลงวันเป็นธรรมดา ในครัว โต๊ะกินข้าว ที่ RKK ก็มีแมลงวัน แต่ในโรงปุ๋ยชีวภาพไม่มีแมลงวัน

กุ้งหอยปูปลาทะเล ทั้งตัว สดๆ ปั่นด้วยโมลิเน็กซ์ยักษ์ 15-20 นาที เหลวเป็นน้ำวุ้น
หมักทั้งตัวแบบธรรมดา ใช้เวลา 3-6 เดือน ถึงจะเหลว

น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ขั้นตอนที่ 1 :
วัสดุส่วนผสม :

กุ้งหอยปูปลาทะเลสด .............. 20 กก.
กากน้ำตาล .......................... 5 ล.
เปลือกสับปะรด ...................... 2-3 หัว
น้ำหมักฯ เก่า พร้อมใช้งานแล้ว ..... 5 ล.

วิธีทำ :
ใส่ส่วนผสม “ทุกตัว” ลงถังขนาดจุ 200 ล. แล้วบดด้วยเครื่องบดโมลิเน็กซ์ยักษ์ บดให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ จนเป็นน้ำวุ้น ถ้าส่วนผสมข้นมากจนบดไม่ได้ ให้เติมเพิ่มน้ำน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงพร้อมใช้งานแล้ว พอเหลวให้เครื่องบดทำงานได้ บดเสร็จแล้วปิดฝาพอหลวม เก็บในอุณหภูมิโรงงาน ใช้ไม้พายคน 7 วัน/ครั้ง หมักทิ้งไว้ 3 เดือน ครบกำหนด 3 เดือนแล้วจะพบว่าส่วนผสมต่างๆในถังหมักเหลวเป็นน้ำ นั่นคือ "อะมิโน โปรตีน" มีกลิ่นคาวปลาแรงกว่าเดิม .... พร้อมปรุงต่อขั้นที่ 2

น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ขั้นตอนที่ 2 :
- น้ำมะพร้าว จากโรงงานทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
- อะมิโนโปรตีน ที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 ประมาณ 40 ล.
- น้ำมะพร้าว ..... 160 ล. หรือ จนเต็มถัง
- 21-0-0 ....... 500 กรัม

คนเคล้าให้เข้ากันดี แล้วเติมอากาศด้วยปั๊มออกซิเจนเฉพาะช่วงกลางวัน เช้าถึงเย็น นานติดต่อกัน 7 วัน .... ระหว่างเติมอากาศหากหยุดเติม วัสดุส่วนผสมต่างๆ ช่วงแรกๆ จะลอยขึ้นมาอยู่ที่ผิวหน้า ครั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ส่วนผสมเหล่านั้นจะจมลงก้นถังทั้งหมด เมื่อเห็นว่าส่วนผสมจมลงก้นถังหมดแล้วให้หยุดเติมอากาศ หยุดการคนส่วนผสมก้นถังด้วยเครื่องมือใดๆ เพื่อปล่อยให้ส่วนผสมก้นถังอยู่ในสภาพไร้อากาศ ในสภาพไร้อากาศนี้จะเกิดจุลินทรีย์กลุ่มไม่ต้องการอากาศซึ่งมีพลังย่อยสลายดีกว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ

เมื่อส่วนผสมต่างๆจมลงก้นถังหมดแล้ว ให้คนเฉพาะผิวหน้าด้านบน เพื่อให้จุลินทรีย์ประ เภทต้องการอากาศได้รับอากาศเท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบสารเหลวที่เป็นเมือก มันวาว จำนวนมาก นั่นคือ "ฮอร์โมน ไซโตไคนิน และฮิวมัส" สารที่มีประโยชน์ต่อพืชอย่างมาก

หมักนานข้าม 1ปี 2ปี 3ปี ตรวจสอบทุกระยะ ทุกขั้นตอน (สี กลิ่น กาก ฝ่า ฟอง) ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยได้ “น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงดิบ” พร้อมปรุงต่อ

หมายเหตุ :
- ทุกขั้นตอนของการหมักไม่มีการเติม "น้ำเปล่า" เพราะในน้ำเปล่านอกจากไม่มีสาร อาหารแล้ว ยังทำให้เปอร์เซ็นต์ของสารอาหารที่พึงมีเจือจางลงไปอีก กับทั้งน้ำเปล่าเป็นต้นสาเหตุทำให้การหมักเกิดเน่าเหม็นอีกด้วย

- คนเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี ปิดฝาพอหลวมหรือไม่ต้องปิดฝา เก็บในร่ม อุณหภูมิโรงงาน เติมอากาศช่วง 7 วันแรก ระหว่างเติมอากาศจะพบว่ามีฟองเกิดขึ้น ถ้าลูกฟองมีขนาดใหญ่ให้เติมอากาศต่อไปเรื่อยๆ จนลูกฟองมีขนาดเล็กละเอียด จึงหยุดเติมอากาศ แล้วหมักทิ้งไว้ข้ามปี (ฟองขนาดใหญ่แสดงว่ายังไม่พร้อมใช้งาน .... ฟองเล็กละเอียดแสดงว่าพร้อมใช้งานแล้ว)

- ไม่ปิดฝา แต่คนด้วยมือที่ปากถัง อาทิตย์ละครั้ง เพื่อให้อากาศแก่จุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศฝ้าที่ปากถัง คือ จุลินทรีย์ที่ตายแล้ว ฝ้ามากแสดงว่าจุลินทรีย์มาก ฝ้าน้อยแสดงว่าจุลินทรีย์น้อย สี/รูปลักษณ์ ที่ต่างกัน คือ จุลินทรีย์ต่างกลุ่มกัน ทุกกลุ่ม คือ จุลินทรีย์ดี มีประโยชน์ทั้งสิ้น ใช้ไม้พายคนให้จมลงก็จะเป็นอาหารให้แก่จุลินทรีย์ที่ยังไม่ตาย กระทั่งไม่มีฝ้าใดๆ บนปากถังเลย นั่นคือ “น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ขั้นที่ 2” พร้อมใช้งาน หรือปรุงต่อ

- ระยะเวลาหมักยิ่งหลายปียิ่งดี ก็จะได้ "น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงดิบ" พร้อมปรุงต่อก่อนใช้งานจริง น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงดิบที่ผ่านการหมักข้ามปีแล้วจะมีกลิ่นฉุนแอลกอฮอร์ หากใช้ไม้พายค่อยๆ งัดกากที่อยู่ก้นถังขึ้นมาดู จะพบว่าส่วนผสมที่อาจจะหยาบๆ ในครั้งแรกนั้นได้กลายสภาพเป็นของเหลวเหมือนวุ้น

วิธีเก็บรักษา ปรับปรุง และแก้ไข :
ปฏิบัติเหมือนน้ำหมักชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม ทุกประการ ....

ส่วนผสมเสริม 1 "ไขกระดูก)" :
- ถังขนาดจุ 100 ล. ใส่ไขกระดูก ½ ของความจุถัง เติมน้ำมะพร้าวท่วมไขกระดูก เติมกากน้ำตาล 3-5 ล. เติมน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงพร้อมใช้งานเพื่อเอาจุลินทรีย์ 5 ล. ใช้โมลิเน็กซ์ยักษ์ปั่นให้เข้ากัน เรียบร้อยแล้ว ปิดฝาพอหลวม เก็บในร่ม อุณหภูมิโงงาน หมักนานข้าม 1ปี 2ปี 3ปี

- ระหว่างการหมัก มีกลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่ากากน้ำตาลน้อย แก้ไขโดยใส่เพิ่มครั้งละ ¼ ของที่ใส่ครั้งแรก ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สอง คราวนี้ ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. เช่นกัน หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สามแล้วหมักต่อเหมือนเดิม ถ้ากลิ่นเหม็นหาย แสดงว่ากากน้ำตาลพอดี ไขกระดูกหมักจะอยู่ได้ต่อไปนานนับปี

- หมักนานข้ามปี ได้ “ไขกระดูกหมัก” เข้มข้น พร้อมใช้งาน ....ไขกระดูก 1 กก. มีสารอาหารพืชเท่ากับกระดูกป่นอบแห้งบดละเอียด 1.000 กก. (สารคดีดิสคัพเวอรี่)

ส่วนผสมเสริม 2 (นม) :
- ถังขนาดจุ 100 ล. ใส่นมตกเกรดจากฟาร์ม ¾ ของความจุถัง เติมกากน้ำตาล 3-5 ล. เติมยิสต์ 1 กล่อง คนให้เข้ากันดี ปิดฝาพอหลวม เก็บในอุณหภูมิโรงงาน คนทุก 3 วัน

- เริ่มหมัก 7-10 วันแรก เติมอ๊อกซิเจน
- ระหว่างการหมัก มีกลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่ากากน้ำตาลน้อย แก้ไขโดยใส่เพิ่มครั้งละ ¼ ของที่ใส่ครั้งแรก ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สอง คราวนี้ ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. เช่นกัน หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สามแล้วหมักต่อเหมือนเดิม ถ้ากลิ่นเหม็นหาย แสดงว่ากากน้ำตาลพอดี นมหมักจะอยู่ได้ต่อไปนานนับปี

- หมักนานข้ามปี ได้ “นมหมัก” เข้มข้น พร้อมใช้งาน .... นมมีค่า ซี/เอ็น เรโช 39 : 1 (สวพ.5 ชัยนาท)

ส่วนผสมเสริม 3 "ขี้ค้างคาว" :
- ถังขนาดจุ 100 ล. ใส่ขี้ค้าวคาว ½ ของความจุถัง เติมน้ำมะพร้าว ¾ ของความจุถัง ท่วมขี้ค้างคาวแต่เหลือพื้นที่ ¼ ของความจุถังเพื่อให้ขี้ค้างคาวลอย เติมกากน้ำตาล 3-5 ล. เติมน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงพร้อมใช้งานเพื่อเอาจุลินทรีย์ 5 ล. คนให้เข้ากัน เรียบร้อยแล้ว ปิดฝาพอหลวม เก็บในร่ม อุณหภูมิโรงงาน หมักนานข้าม 1ปี 2ปี 3ปี

- ระหว่างการหมัก มีกลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่ากากน้ำตาลน้อย แก้ไขโดยใส่เพิ่มครั้งละ ¼ ของที่ใส่ครั้งแรก ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สอง คราวนี้ ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. เช่นกัน หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สามแล้วหมักต่อเหมือนเดิม ถ้ากลิ่นเหม็นหาย แสดงว่ากากน้ำตาลพอดี ไขกระดูกหมักจะอยู่ได้ต่อไปนานนับปี

- ระหว่างการหมัก 1-3 เดือนแรก ขี้ค้างคาวจะลอยถึงปากถัง เมื่อการหมักถูกต้องก็จะค่อยๆจมลง จนนอนก้นถัง เหลือเป็นน้ำใสสีดำอยู่ข้างบน

- หมักนานข้ามปี ได้ “ขี้ค้างคาว” เข้มข้น พร้อมใช้งาน

ส่วนผสมเสริม 4 "เลือด" :
- ถังขนาดจุ 100 ล. ใส่เลือด ½ ของความจุถัง เติมน้ำมะพร้าว ¾ เติมกากน้ำตาล 3-5 ล. เติมน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงพร้อมใช้งานเพื่อเอาจุลินทรีย์ 5 ล. คนให้เข้ากัน เรียบร้อยแล้ว ปิดฝาพอหลวม เก็บในร่ม อุณหภูมิโรงงาน หมักนานข้าม 1ปี 2ปี 3ปี

- ระหว่างการหมัก มีกลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่ากากน้ำตาลน้อย แก้ไขโดยใส่เพิ่มครั้งละ ¼ ของที่ใส่ครั้งแรก ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สอง คราวนี้ ถ้ากากน้ำตาลพอดี กลิ่นเหม็นจะหายใน 24 ชม. เช่นกัน หากกลิ่นเหม็นยังไม่หาย ให้เติมกากน้ำตาลอีก ¼ ของครั้งที่สามแล้วหมักต่อเหมือนเดิม ถ้ากลิ่นเหม็นหาย แสดงว่ากากน้ำตาลพอดี เลือดหมักจะอยู่ได้ต่อไปนานนับปี

- หมักนานข้ามปี ได้ “เลือดหมัก” เข้มข้น พร้อมใช้งาน

น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ขั้นตอนที่ 3 :
ส่วนผสมอินทรีย์ :

น้ำหมักระเบิดฯ (ขั้น 2) .... 180 ล.
ไขกระดูก .................... 5 ล.
เลือด ......................... 5 ล.
มูลค้างคาว ................... 5 ล.
นม ............................ 5 ล.
ฮิวมิค แอซิด ................. ½ กก.

ส่วนผสมเคมี :
บี-1 .......................... ¼ กก.
ปุ๋ยธาตุหลัก (ทางราก) ..... 10-20 กก.
ธาตุรอง/ธาตุเสริม .......... 2 กก.
แม็กเนเซียม ................ 10 กก.
สังกะสี ...................... 5 กก.

ใช้โมลิเน็กซ์ยักษ์ ปั่นส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันดี ได้ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง อินทรีย์-เคมี" พร้อมใช้งาน อายุเก็บนานนับปี

หมายเหตุ :
- ปุ๋ย หมายถึง สารหรือธาตุอาหารพืช
**ส่วนที่เป็นเคมีชีวะ ได้จากส่วนผสมที่เกิดเองตามธรรมชาติ ได้แก่ กุ้ง-หอย-ปู-ปลา-เลือด-ไขกระดูก-นม-น้ำมะพร้าว-ขี้ค้างคาว

** ส่วนที่เป็นเคมีสังเคราะห์ ได้จากส่วนผสมที่มนุษย์ผลิตหรือสร้างขึ้น ในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ขั้นที่ 3 ได้แก่ N. P. K. TE. Mg. Zn.

- ไขกระดูก. เลือด. มูลค้างคาว. นม. หมักล่วงหน้านานข้ามปีจนพร้อมใช้งาน ...หมาย ถึง "หมักแยก” ก่อนใช้งานจริงจึงผสมรวมกับน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ขั้นที่ 2 แบบนี้เรียกว่า “ใช้รวม" นั่นเอง

- สารอาหารพืชที่พึงมีในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ขั้นที่ 2 เป็นสารอาหารประเภท "อินทรีย์สาร" ที่ถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายออกมาจากวัสดุส่วนผสมนั่นเอง ปริมาณสารอาหารที่มีหรือที่ได้เมื่อคิดปริมาณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วถือว่าไม่มากนัก ในพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวอาจเพียงพอ

ต่อการนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต แต่ในพืชยืนต้นขนาดใหญ่ซึ่งต้องการใช้สาร อาหารในปริมาณมากขึ้นนั้นอาจจะไม่พอเพียง

- จากหลักการและเหตุผลที่ว่า น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง มีปริมาณเปอร์เซ็นต์ของอาหารน้อยถึงน้อยมาก ทางราชการ (เกษตร) จึงห้ามใส่หรือใช้คำว่า “ปุ๋ย” แต่ให้เรียกว่า “น้ำหมักชีวภาพ น้ำสกัดชีวภาพ ฯลฯ” เท่านั้น

** ในทางปฏิบัติจริง ผู้ใช้น้ำหมักชีวภาพมีการใส่ปุ๋ยเคมี “สูตรและปริมาณ” ตามต้องการลงไป (ผสมกัน) แล้วให้แก่ต้นไม้ หรือหว่านเม็ดปุ๋ย “สูตรและปริมาณ” ตามต้องการลงไปบนพื้นดินก่อน แล้วรดตามด้วยน้ำหมักชีวภาพ

** ทั้ง 2 แบบไม่ต่างกัน เพราะทั้งปุ๋ยเคมีและน้ำหมักชีวภาพต้องไปรวมกันอยู่ที่พื้นดิน แบบนี้นอกจากทำได้ ดี และถูกต้องแล้ว ยังช่วยให้ปุ๋ยเคมีนั้นเกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ด้วยข้อห้ามที่ทางราชการ ห้ามมีคำว่า “ปุ๋ย” ในชื่อของน้ำหมักชีวภาพ เพราะในน้ำหมักฯ มีสารอาหารน้อยนั้น ครั้นใส่ เติม/เสริม/เพิ่ม/บวก ปุ๋ยเคมี สูตรหรือปริมาณตามความเหมาะ สมและจำเป็นแล้ว สามารถเรียกชื่อว่า “ปุ๋ยน้ำชีวภาพ” ได้หรือไม่ ?

นี่คือ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพ” อย่างแท้จริง ภายไต้ BRAND NAME สูตรระเบิดเถิดเทิง" ได้อย่างมั่นใจ

17. น้ำหมักในห้องนี้มีน้ำหมักราว 100 ถัง ไม่มีฝาปิดเพราะฝาราคาแพงอันละ 80 บาท คิดดู 100 ถังราคาเท่าไหร่...ไม่เหม็นเน่า ได้กลิ่นแล้วเวียนหัว ในห้องนี้เคยมี นศ.ฝึกงานกางเต๊นท์นอน ทุกคนบอกไม่เหม็น ก็ถ้าเหม็นเขาจะนอนได้ไง....แล้วที่ทำๆกันน่ะ ต้องปิดฝาตลอดเวลา เปิดเมื่อไหร่ส่งกลิ่นเหม็นไปไกลแปดบ้าน แล้วที่เหม็นน่ะ ปุ๋ยหรือเชื้อโรค กันแน่....ลุงคิมชื่นชมเกษตรกร ขวนขวายใคร่รู้ แต่สงสัยคนสอน เอาอะไรไปสอนเกษตรกร
18. หลักการทำน้ำหมักที่นี่เป็นแบบ "ภูมิปัญญาชาวบ้าน มาตรฐานโรงงาน มีหลักวิชาการรองรับ" โมลิเน็กซ์ยักษ์ ฝีมือกะเหรี่ยงแท้ๆ อยู่ชานแดน สวนผึ้ง ราชบุรี แค่เขียนพิมพ์เขียวให้เท่านั้น สำเร็จรูปออกมาเลย....ใช้งานมาแล้ว 4-5-6 ปี

19. ส่วนผสมที่เป็นอินทรีย์แท้ๆ ปลาทะเล ขี้ค้างคาว เลือด ไขกระดูก นมสด น้ำมะพร้าว ใช้จุลินทรีย์ประเภทย่อยสลายโปรตีนเนื้อปลาโดยเฉพาะ.....ส่วนผสมทุกตัวหมักนานข้ามปี ถึง 2 ปี 3 ปี

20. สารอินทรีย์มีประสิทธิภาพมากในการส่งเสริมกระบวนการจุลินทรีย์ และจุลินทรีย์ คือ ผู้ปรับสภาพโครงสร้างดินอย่างแท้จริง....ขี้เทือกนาข้าวดีได้เพราะฝีมือจุลินทรีย์เท่านั้น หาใช่สารระเบิดดินดานหรือปุ๋ยเคมีใดๆทั้งสิ้นไม่

21. แม้ว่าในน้ำหมักจะมีปริมาณสารอาหารไม่มาก แต่ตัวสารอาหารที่เป็นสารอินทรีย์แท้ๆ จะมีประโยชน์ต่อพืชสูงมากกว่าสารอาหารที่เป็นเคมีหลายพันเท่า (ข้อมูล / เกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น) ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ใส่ปุ๋ยเคมีแก่นาข้าวเพียง 10-20 กก./ไร่ แล้วได้ผลลิตเท่ากับใส่ปุ๋ยเคมี 50-100 กก. และนี่คือ นาข้าวอินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของนาข้าว โดยแท้

22. น้ำหมักชีวภาพด้วยวิธีการหมักปกติ แม้จะหมักนานข้ามปี 2 ปี, 3 ปี, ก็ไม่สารถผ่านปากใบพืชได้ เพราะโมเลกุลยังมีขนาดใหญ่ ที่ให้ทางใบกันแล้วต้นพืชเจริญเติบโตได้นั้น เพราะน้ำหมักส่วนหนึ่งตกลงดิน แล้วส่งเสริมผ่านดิน ผ่านรากไปสู่ต้นพืชเองต่างหาก โดยเฉพาะช่วงการใช้แรกๆ มีปุ๋ยอินทรีย์เหลือตกค้างอยู่ในดิน แล้วจุลินทรีย์เป็นผู้ดึงปุ๋ยเคมีนั้นออกมาให้แก่พืช ครั้นปุ๋ยเคมีหมดมีแต่จุลินทรีย์ พืชจึงไม่เจริญเติบโตไงล่ะ

23. น้ำหมักชีวภาพหลายสำนัก ให้ทางใบแล้วเกิดอาการใบไหม้ นั่นเป็นเพราะใช้กากน้ำตาลเป็นส่วนผสมมากเกินไป เช่น หมักหอยเชอร์รี่หรือปลา นัยว่าเป็นซากสัตว์ ต้องใช้กากน้ำตาล อัตราส่วน 1 : 1 ....แต่น้ำหมักปลาทะเลที่นี่ ใช้ปลา

http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6828
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6828

อัตราใช้และวิธีใช้ :
นาข้าว พืชไร่ ผักสวนครัว :
ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง 2 ล./ไร่ รดทั่วแปลง ทุกตารางนิ้ว ใส่ครั้งเดียวช่วงเตรียมดินเตรียมแปลง

ไม้ผล ไม้ดอก (ยืนต้น) : ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง 2 ล./ไร่ รดทั่วแปลง ทุกตารางนิ้ว เดือนละครั้ง

ทำปุ๋ยอินทรีย์ : ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง 5-10 ล. /อินทรีย์วัตถุ 1 ตัน

ตรวจสอบ - แก้ไข :
สี :
สีน้ำตาลอ่อน-น้ำตาลไหม้-ดำ ขึ้นอยู่กับปริมาณกากน้ำตาลที่ใส่ครั้งแรก และใส่เพิ่มภายหลัง

กลิ่น : หมักใหม่ๆเป็นกลิ่นคาวปลาชัดเจน อายุการหมักนานขึ้น กลิ่นคาวปลาเริ่มลดลง เป็นกลิ่นกากน้ำตาลปนกลิ่นคาวปลา กระทั่งหมักนานข้าม 1-2-3 ปี จะมีกลิ่นฉุนเหมือนแอลกอฮอร์ชัดเจน

** กลิ่นปกติคือ “กลิ่นที่รับได้” ได้กลิ่นแล้วไม่เวียนหัว ซึ่งต่างจากกลิ่นเหม็นเน่าอย่างสิ้นเชิงระหว่างการหมักถ้าเริ่ม (เน้นย้ำ...เริ่ม) มีกลิ่นเหม็นเน่า หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น แสดงว่าอ่อนกากน้ำตาล ให้เติมกากน้ำตาล 1-2 ล. (ถังหมัก 200 ล.) ใส่แล้วคนให้ทั่วถัง ทิ้งไว้ 12-24 ชม. กลิ่นไม่พึงประสงค์จะหายไป กลายเป็นกลิ่นรับได้ตามปกติ แสดงว่าอัตราส่วนกากน้ำตาลพอดีแล้ว ถ้ากลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นยังไม่หายก็ให้เติมกากน้ำตาลซ้ำ 1-2 ล. อีกรอบ คนให้ทั่วถัง ทิ้งไว้ 12-24 ชม. จากนั้นตรวจสอบซ้ำพร้อมกับแก้ไขด้วยการเติมกากน้ำตาลไปเรื่อยๆ เมื่ออัตราส่วนของกากน้ำตาลพอดีแล้ว จะไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอีกเลยจนถึงวันใช้งาน

*** หนอน ส่วนใหญ่เกิดจากแมลงวันเข้าวางไข่ กล่าวคือ เมื่อน้ำหมักเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์มักมีแมลงวันเข้ามาตอมแล้ววางไข่นั่นเอง หนอนเหล่านี้จะไม่เป็นตัวแมลง ถ้าไม่ชอบก็ตักซ้อนออกไปให้ ปลา/ไก่ กิน หรือเมื่ออายุนานขึ้นก็ตายเองแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย ส่วนกลิ่นไม่พึงประสงค์จะรุนแรงยิ่งขึ้นจนเป็นกลิ่นเหม็นเน่า (เหม็นแปดบ้าน) สาเหตุนี้เกิดจากอ่อนกากน้ำตาล ให้แก้ไขด้วยการเติมกากน้ำตาลทีละน้อยๆ เหมือนแก้ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ เมื่อกลิ่นไม่พึงประสงค์หายไปก็จะไม่มีแมลงวันมาตอนอีก.... ถังหมักที่มี “แมลงหวี่” ตอม แม้ว่าแมลงหวี่จะวางไข่ไว้ แต่ไข่ก็ไม่ฟักออกมาเป็นตัว ไม่นานก็ฝ่อเน่าไปเอง

กาก : หมักใหม่ๆ ส่วนผสมต่างๆ จะขนาดเท่ากับที่บดด้วยเครื่องบดโมลิเน็กซ์ยักษ์นั้น ครั้นนานไปส่วนผสมจะเหลวเป็นน้ำวุ้น

ฝ้า : บนผิวหน้าจะมีฝ้า สีขาวอมเทา หรือเทาอมดำ หรือสีดำ ฝ้านี้คือจุลินทรีย์กลุ่มต้องการอากาศประเภท "รา" เป็นราที่มีประโยชน์ ไม่มีกลิ่น ส่วนหนึ่งยังมีชีวิต ส่วนที่ตายแล้วจะเป็นอาหารให้แก่ตัวที่ยังมีชีวิต

ฟอง : หลังจากผ่านการมักนาน 3-6-9 เดือน ถึงข้าม 1-2-3 ปี แล้วทดสอบโดยปั่นด้วยเครื่องโมลิเน็กซ์ยักษ์ จะมีฟองเกิดขึ้น ถ้าเป็นฟองขนาดใหญ่ถือว่าการหมักยังไม่ดี แต่ถ้าเป็นฟองละเอียดถือว่าการหมักดี ใช้การได้แล้ว

แช่อิ่ม : ซากสัตว์ (ปลา หอยเชอรี่) ที่หมักกับกากน้ำตาลอัตราส่วน 1 : 1 นั้น จะไม่เปื่อยยุ่ยเหลวจนเป็นน้ำวุ้น แต่จะยังเป็นตัวเหมือนทำครั้งแรก นั่นเป็นเพราะกากน้ำตาล STOP จุลินทรีย์ไว้ (นักรบสมัยโบราณ ตัดหัวข้าศึก แช่น้ำผึ้งนานนับเดือน ไม่เน่า) แก้ไขโดยนำออกมาปรุงใหม่ ลดอัตราส่วนกากน้ำตาลลง (น้ำหมักฯ ระเบิดเถิดเทิง .... กุ้งหอยปูปลา 20 กก. + กากน้ำตาล 2-3 กก.) พร้อมกับ +เปลือกสับปะรด, +น้ำหมักเก่าฯ แล้วหมักใหม่

รูปลักษณ์ : กากส่วนที่อยู่ก้นถังจะเหลวเป็นวุ้น มีเมือกใส ซึ่งเมือกนี้คือไซโตไคนิน. อุดมไปด้วยจุลินทรีย์กลุ่มบาซิลลัสส์ เป็นจุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศ มีพลังในการย่อยสลายเหนือกว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ (ข้อมูล : สจล.)

ปริมาณ : ในการหมักขั้นตอนที่ 2 เติมน้ำมะพร้าวจนเต็มถึงปากถังขนาดจุ 200 ล. จาก นั้นประมาณ 1 เดือน ระดับน้ำมะพร้าวจะยุบลงราว 10-15 ซม.เสมอ เมื่อเติมน้ำมะพร้าวใหม่จนเต็มก็จะยุบลงอีก ก็ให้เติมใหม่อีกทุกครั้ง กรณีนี้เกิดจากกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์นั่นเอง

อีซี - ซี/เอ็น เรโช : ตรวจสอบโดย LAB
ถพ. : โดยน้ำใสด้านบน ค่า ถพ.ประมาณ 4-5% แต่ถ้าคนให้มีกากละเอียดรวมอยู่ด้วย 30% จะมีค่า ถพ.ประมาณ 10-12%

พีเอช. : หมักใหม่ 3-6 เดือน ค่า พีเอช ประมาณ 3.5-4.5 แต่ถ้าหมักนานข้ามปี ค่า พีเอช ประมาณ 5.0-6.0

-------------------------------------------------------------------------------------


.