kimzagass |
ตอบ: 03/11/2016 2:46 pm ชื่อกระทู้: ข้าวหอมมะลิ "โลก" .... "?" .... |
|
.
.
การประกวดข้าวโลก :
ข้าวในโลกมีมากกว่า 5000 สายพันธุ์ เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวเกี่ยวกับการประกวดข้าวโลกที่ฮ่องกง ผมจึงขอเขียนเกี่ยวกับการประกวดข้าวดังกล่าวครับ
การประกวดข้าวที่ดีที่สุดในโลกจัดขึ้นครั้งแรกที่งาน World Rice Conference 2009 หรือการประชุมข้าวโลก 2009 ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 27-29 ตุลาคม 2552 ถือเป็นงานสัมมนาเรื่องข้าวระดับนานาชาติ ที่มีผู้เกี่ยวข้องในตลาดการค้าข้าว จำนวนกว่า 500 คน จาก 33 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมประชุมโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ ผู้บริหาร จาก 200 องค์กร ในแวดวงการค้าข้าวและด้านการเกษตร ซึ่งงานที่จัดขึ้นใช้เป็นเวที สำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ สถานการณ์ด้านข้าว และสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมค้าข้าวของโลก และได้มีการเปิดตัวโครงการประกวด ข้าวที่ดีที่สุดในโลก หรือ Best Rice in the World โดยความร่วมมือของ องค์กรการค้าข้าว ที่เป็นองค์กรหลักในธุรกิจการค้าข้าวระหว่างประเทศ ร่วมกับวารสารตลาดข้าวนานาชาติ วัตถุประสงค์เพื่อยกย่องข้าวคุณภาพของแต่ละประเทศ และกระตุ้นให้มีการพัฒนาสินค้าข้าวของผู้ส่งออกในแต่ละตราสินค้า ถือเป็นกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่จะจัดให้มีการประกวดต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ของการประชุมสัมมนาข้าวโลก
การประกวดในครั้งแรกนั้นมีผู้ประกอบการจากประเทศต่าง ๆ อาทิ ปากีสถาน พม่า ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินเดีย สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย ส่งข้าวจำนวน 22 ตราสินค้าเข้าร่วมประกวด โดยคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร สมาคมบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำอาหารในสหรัฐอเมริกา และพ่อครัวที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ ใช้เกณฑ์การตัดสิน 4 ด้านหลัก ได้แก่
ด้านกลิ่น
รสชาติ
ความเหนียวนุ่ม และ
รูปร่างลักษณะ
โดยใช้วิธีตัดสินแบบการทดสอบโดยไม่เปิดเผยตราสินค้า (Blind testing) ซึ่งผลการตัดสินเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ข้าวหอมมะลิ จาก
ประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ ข้าวที่ดีที่สุดในโลก หรือ Best Rice in the World ประจำปี ค.ศ. 2009
ครั้งที่ 2 จัดที่ประเทศฟิลิปปินส์ ข้าวไทยยังคงได้รับการตัดสินให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดอีกครั้ง
ครั้งที่ 3 จัดที่ เมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 มีข้าวกว่า 30 สายพันธุ์ที่เข้าประกวด ข้าวหอม ปอซาน ( Pawsan ) หรือ Myanmar Pearl rice ซึ่ง เป็นข้าวที่มีลักษณะเม็ดกลมหนา มีความยาวประมาณ 5-5.5 มม. เมื่อผ่านการหุงแล้ว เมล็ดข้าวจะมีขนาดยาวมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่าตัว และ ยังสามารถรักษากลิ่นหอมเฉพาะไว้ได้ ได้คะแนน 14 คะแนน จาก15 คะแนน เอาชนะ ข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งได้คะแนน 13.75 ได้รับรางวัล ข้าวที่ดีที่สุดในโลกไปครอง เป็นครั้งแรกที่ข้าวหอมมะลิจากประเทศไทยเสียตำแหน่งข้าวที่ดีที่สุดในโลก
ครั้งที่ 4 จัดขึ้นที่ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 26-28 กันยายน 2555 โดยให้กุ๊กจากโรงแรม 5 ดาวในบาหลี ชิมข้าวที่ไม่มีการระบุประเภท ชนิด หรือ แหล่งที่มาของข้าว ข้าวที่ชนะเลิศคือข้าว หอมมะลิ (Phaka Malis) จากประเทศกัมพูชา
ครั้งที่ 5 จัดที่ฮ่องกง ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2556 ข้าวหอมมะลิ จากประเทศกัมพูชา ได้คะแนนสูงสุด เท่ากับข้าว แคลโรส (California Rose) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จึงเป็นครั้งแรก ที่มีข้าว 2 ชนิดได้ครองชนะเลิศด้วยกัน
ผมขอพูดถึงข้าว แคลโรสก่อน ข้าวแคลโรสเป็นข้าวที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์โดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แคลิฟฟอร์เนีย ที่เมือง เดวิส (UC Davis) เมื่อ พ.ศ.2491 และเริ่มมีการปลูกแพร่หลายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เป็นข้าวเมล็ดขนาดกลาง รูปร่างคล้ายดอกกุหลาบตูม หากปลูกในรัฐ Louisiana จะเรียกว่า Blue rose มีการปลูกข้าว แคลโรส ในหลายประเทศ เช่นที่ ออสเตรเลีย และแถบหมู่เกาะ แปซิฟิค ข้าวแคลโรส เป็นข้าวชนิดนุ่ม เหนียว เหมาะที่จะทำข้าวซูชิ ส่วนข้าวพกามะลิ จากประเทศกัมพูชานี่แหละครับ จะเป็นข้าวที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทย
เนื่องจากข้าวพกามะลิ เป็นข้าวเมล็ดยาว การหุงต้มเหมือนข้าวหอมมะลิของไทย จริงๆแล้วน่าจะพูดได้ว่าข้าวพกามะลิ ก็คือ ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในกัมพูชานั่นเอง
Phka Malis ในภาษาเขมร Phka หมายถึง ดอกไม้ ข้าวพกามลิ จึงมีความหมาย ข้าวดอกไม้มะลิ หรือข้าวดอกมะลิ
ข้าวหอมของกัมพูชามีหลายสายพันธ์ เช่น ข้าว Phka Romdul, ข้าว Phka Khnei, ข้าว Cammalis ข้าว ผกาลำดวน (Phka Malis) เป็นข้าวของกัมพูชาเองที่ปลูกตามพื้นที่ที่จำกัด แต่มีคุณภาพดีมาก แต่เนื่องจากเมล็ดพันธ์ หายาก จึงนิยมปลูกน้อยกว่า ข้าวผกามะลิ ซึ่งหาซื้อพันธ์ได้ง่ายกว่า การปลูกข้าวผกามะลิมีอยู่แพร่หลายทั้งที่บันเตียนเมียนเจย (ศรีโสภณเดิม) พระตะบอง กัมปงธม กัมปงจาม โพธสัด ข้าวที่ปลูกในพื้นที่ดังกล่าวมีคุณสมบัติของข้าวไม่ว่าจะความนุ่ม ความหอม ใกล้เคียงการปลูกในประเทศไทย เพราะมีการใส่ปุ๋ยเคมีค่อนข้างน้อย ปัญหาที่พบก็คือ ข้าวเริ่มมีพันธุ์ปน เนื่องจากชาวนาในกัมพูชา ที่ปลูกข้าวหอมมะลิได้ 3 ปี ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเมล็ดพันธ์ ทำให้ความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธ์เริ่มลดลง
ส่วนราคา ข้าวผกามะลิของกัมพูชาราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิของประเทศไทย โดยข้าวผกามะลิราคาขายอยู่ที่$ 900-920 ต่อตัน F.O.B. สีหนุวิลล์ ขณะที่ข้าวไทย ราคาส่งออก $980-1080 ต่อตัน F.O.B . แหลมฉบัง
http://www.ncc.or.th/web2014/index.php/component/content/article/41-farmland/102-rice
------------------------------------------------------------
ข้าวหอมมะลิใน AEC
ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Mix Magazine ฉบับเดือนเมษายน 2558
นายเกษมสันต์ วีระกุล
คนไทยเราภาคภูมิใจและมีความเชื่อตลอดมาว่าข้าวหอมมะลิไทยดีที่สุดในโลก แต่เชื่อมั้ยครับว่าวงการการค้าข้าวของโลกซึ่งรวมผู้ค้าข้าวของไทยด้วย เขาจัดการประกวดข้าวที่ดีที่สุดในโลกกันมา 6 ครั้งแล้ว ปรากฎว่า ข้าวหอมมะลิของไทยเราคว้ารางวัลชนะเลิศได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้นเอง
การประกวดข้าวที่ดีที่สุดในโลกนั้นเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2552 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ ในการประกวดเขาจะ เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและพ่อครัวที่มีชื่อเสียง มาทำการชิมข้าวแบบไม่ให้รู้ว่าข้าวที่ถูกส่งเข้าประกวดนั้นมา จากประเทศไหน ใครส่งประกวด โดยกรรมการจะตัดสินจากกลิ่น รสชาด ความเหนียวนุ่มและรูปร่างลักษณะของ เมล็ดข้าวทั้งก่อนและหลังการหุง
ในการประกวดสองครั้งแรกนั้น ข้าวหอมมะลิ ของไทยชนะเลิศตามความคาดหมาย แต่ในการประกวดปีที่ 3 คือ ในปี พ.ศ. 2554 ที่โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามผลปรากฎว่า ข้าวปอซาน จากเมียนมาสามารถเฉือนเอาชนะ ข้าวหอมมะลิของไทยไปได้อย่างหวุดหวิด ที่ข้าวปอซานเอาชนะใจกรรมการ ได้ก็เพราะรูปทรงก่อนและหลังหุง ของข้าวปอซานนั้นแตกต่างกันอย่างน่าอะเมซิ่ง ก่อนหุงนั้นข้าวปอซานจะมีลักษณะเมล็ด กลมหนา ป้อมๆสั้นๆ คล้ายๆไข่มุกหรือข้าวญี่ปุ่น ฝรั่งบางคนถึงกับเรียกข้าวปอซานว่า Myanmar Pearl Rice หรือข้าวไข่มุกจาก เมียนมา แต่พอหุงสุกแล้วเมล็ดข้าวกลับจะยาวขึ้นมากกว่าเดิมถึง 3-4 เท่าตัว ยาวจนดูเหมือนข้าวสวยที่คนไทย เราทานกันเป็นประจำ
สาเหตุที่พอหุงสุกแล้วเมล็ดยาวขึ้นมากได้ถึง 3 หรือ 4 เท่าก็เพราะข้าวปอซานนั้นมีค่าอะไมโลสค่อนข้างสูง มาก กว่าข้าวหอมมะลิของไทย การที่มีค่าอะไมโลสสูงนี่เองที่ทำให้ข้าวปอซานมีความแข็งกระด้างกว่าไม่นิ่มนวล เหมือนข้าวหอมมะลิของไทย สำหรับคนไทยผมคิดว่าส่วนมากน่าจะชอบข้าวหอมมะลิของเรามากกว่า แต่ถ้า เป็นคนชอบทานข้าวออกแข็งๆ นิดหน่อยแล้วได้ลอง ข้าวปอซานออกใหม่ๆ หุงดีๆ เผลอๆ ก็อาจจะปันใจไปชอบ ข้าวปอซานของเขาได้เหมือนกัน ถ้าได้ไปเที่ยวเมียนมาแล้วอยากซื้อมาชิม ขอให้เลือกดูข้าวที่ใหม่นิดนึงนะครับ เพราะถ้าเป็นข้าวปอซานเก่าแล้วนอกจากกลิ่นจะไม่ค่อยหอมแล้ว พอหุงเสร็จข้าวจะไม่ค่อยหอมและจะออกร่วนๆ ไม่อร่อยครับ
ข้าวปอซานมีหลายพันธุ์ ที่รับความนิยมมากที่สุดคือ ข้าวปอซานมุย บริเวณที่ปลูกข้าวปอซานได้ดีและปลูกกัน เยอะอยู่ที่แคว้นสะกายและแคว้นเอยาวดี (คนไทยเรียกอิระวดี) แต่ก็ปลูกได้ไม่เยอะเท่าไหร่ ปีหนึ่งๆผลิตได้ไม่ถึง ล้านตันข้าวสาร หรือคิดเป็นเพียง 5 ถึง 6 % ของการผลิตข้าวสารทั้งหมดของเมียนมา เพราะผลิตได้น้อยเลยทำให้ ข้าวปอซานมีราคาแพงกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆเกือบๆสองเท่าและมีเหลือพอส่งออกไม่กี่พันตันเท่านั้น
ความจริงในอดีตเมียนมานั้นเคยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ แต่เพราะมีปัญหาภายในประเทศมายาวนาน เมียนมาเลยไม่ค่อยได้ส่งออกข้าวมากนัก ปัจจุบันเมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง เมียนมาก็เริ่มหันมาสนใจ พัฒนาพันธุ์ข้าวและเริ่มกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเมียนมาจะกลับมาเป็นผู้ส่งออกข้าว รายใหญ่ของโลกได้เหมือนอดีตหรือไม่
ต่อมาในการประกวดในปีพ.ศ. 2555 ที่บาหลีประเทศอินโดนีเซียปรากฎว่าข้าวผกามะลิ ข้าวหอมมะลิชั้นดีจากกัมพูชาชนะเลิศ ที่น่าประหลาดใจแกมน่าตกใจอย่างมากสำหรับข้าวหอมมะลิของไทยก็คือในการประกวด ในปีต่อมาที่ฮ่องกงปรากฎว่าข้าวผกามะลิก็ยังคงชนะเลิศติดต่อกันเป็นปีที่สองโดยมีข้าวแคลโรสจาก แคลิฟอร์เนียคว้าตำแหน่งชนะเลิศคู่กัน
ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือในการประกวดปีล่าสุด 2557 ที่กัมพูชาปรากฎว่าข้าวหอมมะลิของกัมพูชายังสามารถเอาชนะใจกรรมการคว้ารางวัลข้าวที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แต่คราวนี้ไม่ใช่ข้าวผกามะลิแต่ เป็นข้าว "ผกาลำดวน" โชคของเรายังดีที่ข้าวกล้องหอมมะลิของไทยเรายังช่วยกู้หน้าคนไทยเราได้บ้างด้วยการคว้าตำแหน่งชนะเลิศร่วมกับข้าวกัมพูชา
ผมได้ทานข้าวผกามะลิแล้วหลายครั้งต้องยอมรับครับว่าข้าวหอมมะลิพันธุ์นี้ของกัมพูชานั้นอร่อยสมศักดิ์ศรีข้าว หอมชนะเลิศของโลกสองปีซ้อน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นที่หอม เมล็ดข้าวที่สวย ความนุ่มนวลที่ถูกปากคนไทย ถ้าไม่ บอกกันก่อนผมมั่นใจว่าคนไทยไม่มีทางรู้หรอกครับว่ากำลังทานข้าวหอมมะลิของกัมพูชาอยู่ ยิ่งถ้าได้ข้าว ผกามะลิที่ออกใหม่ๆ มาหุงให้ดีๆ ทานแล้วล่ะก็จะยิ่งติดใจ ถ้าคิดจะเอาข้าวหอมมะลิไทยมาสู้ก็จะต้องคัดเอา ข้าวหอมมะลิชั้นดีมาสู้นะครับ จะไปเอาข้าวหอมมะลิของไทยแบบพื้นมาสู้ มีโอกาสหน้าแตกสูงนะครับ
ส่วนข้าวผกาลำดวนที่คนกัมพูชาออกเสียงว่า ผการุมดวล แม้จะชนะเลิศในปีล่าสุดแต่ผมว่าความหอมและ ความนุ่มนวลยังสู้ข้าวผกามะลิไม่ได้ ถ้าไปถามคนกัมพูชาเขาก็จะบอกอย่างนี้เหมือนกันครับ
แหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของกัมพูชาอยู่บริเวณพระตะบอง บันเตียเมียนเจย กำปงชะนำ กำปงสะปือ เสียมราฐ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญยังเป็นพื้นที่เกษตรสำคัญเพาะปลูกพืชผักนานาชนิดเลี้ยงคนทั้งประเทศ อีกด้วยเพราะพื้นที่บริเวณเหล่านี้ดินดีและน้ำอุดมสมบูรณ์ การปลูกข้าวของกัมพูชานั้นยังใช้แรงงานคนเป็นหลัก และเนื่องจากดินยังอุดมสมบูรณ์ เขาจึงใช้ปุ๋ยและสารเคมีน้อยกว่าบ้านเรา ต้นทุนในการปลูกข้าวหอมมะลิ ของเขาจึงถูกกว่าเรา ทำให้ราคาข้าวหอมมะลิเขาจึงถูกกว่าเราทั้งราคาที่ขายในประเทศและราคาที่ส่งออก
สาเหตุที่คุณภาพข้าวหอมมะลิของกัมพูชานั้นพัฒนาขึ้นอย่างมากในระยะหลังๆ ก็เพราะรัฐบาลกัมพูชานั้นเน้นการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิเป็นอย่างมากทั้งพัฒนาด้วยตัวเองและไปร่วมมือกับเวียดนาม ซึ่งระยะหลังๆมานี้ เวียดนามได้ก้าวเข้ามามีบทบาทอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องข้าวในกัมพูชา โดยจะเน้นเป็นพิเศษในเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการส่งออก
เวียดนามและกัมพูชามีข้อตกลงพิเศษในการซื้อขายข้าวหอมมะลิโดยไม่มีภาษีนำเข้าดังนั้นข้าวหอมมะลิชั้นดีจึง ไหลจากกัมพูชาไปยังเวียดนามเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นถ้าจะดูแต่ตัวเลขที่กัมพูชาส่งออกข้าวหอมมะลิปีหนึ่งๆ ไม่ถึง 3 แสนตัน แล้วบอกจะบอกว่ายังห่างชั้นกับไทยที่ส่งออกข้าวหอมมะลิเกือบๆ 3 ล้านตันในช่วงปี 2550 แล้วค่อยๆลดลงมาเหลือราวๆ 1.3 ล้าน ตันเศษในปี 2557 นั้น ผมว่าจะดูแค่นั้นไม่ได้นะครับ แต่เราควรจะต้อง ย้อนกลับไปดูตัวเลขส่งออกข้าวหอมมะลิของเวียดนามที่เมื่อสามสี่ปีที่แล้วยังส่งออกไม่ถึง 5 แสนตันอยู่เลย แต่พอปี 2557 ตัวเลขการส่งออกข้าวหอมมะลิของเวียดนามนั้นน้อยกว่าการส่งออกของไทยแค่ 1 แสนตันนิดๆ เท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ข้าวหอมมะลิที่เวียดนามส่งออกนั้นอาจจะเป็นข้าวผกามะลิของกัมพูชาที่ถูกจับมาใส่เสื้อ ให้เป็นข้าวเวียดนามก็เป็นไปได้
ที่สำคัญใครจะไปรู้ว่าข้าวหอมมะลิที่คนไทยเราทานกันอย่างเอร็ดอร่อยทุกวันนี้นั้นอาจจะเป็นข้าวผกามะลิ แปลงร่างมาก็เป็นได้
ถ้าไทยเรายังละเลยการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวอยู่อย่างนี้ และยังไม่เร่งส่งเสริมให้ชาวนาเน้นการปลูกข้าวคุณภาพดี เห็นทีว่าอีกไม่นานคนไทยเราจะต้องสั่งข้าวหอมมะลิคุณภาพดีจากกัมพูชามาทานโดยแท้
http://aecconsultandconnect.co.th/th/aec-knowledge/mix/412-riceinaec.html
-----------------------------------------------------------------------
จับตา ! ข้าวหอมเวียดนามตั้งเป้าล้มไทย
จับตาข้าวหอมพันธุ์ใหม่เวียดนาม อีก 8 ปี ตั้งเป้าล้มข้าวหอมมะลิไทย :
รายงานเกษตร : โดย ... ดลมนัส กาเจ
แม้การประกวดข้าวที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เมื่อ 4 ปีก่อน ที่มีการนำตัวอย่างข้าวทั่วโลกกว่า 30 สายพันธุ์มาจัดอันดับ โดยพิจารณาจากรสชาติ สี และคุณภาพ ในงานการประชุมข้าวโลกโดยองค์กรไรซ์ เทรดเดอร์ ข้าวหอมมะลิของไทยสูญเสียตำแหน่งแชมป์ข้าวรสชาติดีที่สุดในโลกให้แก่ข้าว เพียร์ล ปาว ซาน (Pearl Paw San) ของพม่า ที่คว้ารางวัลข้าวรสชาติดีที่สุดไปครองเนื่องจากไม่มีการใส่ส่วนผสมอื่นใดก็ตาม แต่ นายชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ์ อธิบดีกรมการข้าว ยืนยันว่าข้าวไทยยังเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็น่าจับตามองประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่แอบซุ่มวิจัยข้าวหอมมาแข่งกับประเทศไทยโดยตรง และประกาศจะล้มข้าวหอมมะลิของไห้ได้ในเร็วๆ นี้
"ผมเพิ่งเดินทางไปประเทศเวียดนามเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทราบว่าขณะนี้ประเทศเวียดนามกำลังวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมคล้ายข้าวหอมมะลิไทย และมีแปลงทดลองในพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศ ที่สำคัญเวียดนามประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาจะล้มข้าวหอมมะลิของไทยภายใน 8 ปีข้างหน้า หรือในปี 2020 (2562) ตรงนี้เราไม่ควรประมาท เพราะภาคการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวของเวียดนามกำลังมาแรง" นายชัยฤทธิ์ กล่าวในรายการ "เกษตรทำกินกับคม ชัด ลึก" ทางช่องระวังภัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับข้าวหอมของเวียดนามนั้น เมื่อปี 2550 หนังสือพิมพ์เวียดนามอีโคโนมิคไทมส์ ลงตีพิมพ์ว่า โดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามว่า นักวิทยาศาสตร์ของกระทรวงเกษตรเวียดนาม กำลังซุ่มวิจัยและทดลองข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ หลายสายพันธุ์มาตั้งแต่ปี 2548 รวมทั้งมีการทดลองปลูกข้าวหอม 6 สายพันธุ์ ซึ่งเตรียมส่งเสริมให้ชาวนาปลูกในพื้นที่ 7 จังหวัด บริเวณที่ราบปากแม่น้ำโขง หรือเขตแม่โขงเดลต้า ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ นอกจากนี้เวียดนามสามารถปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ไฮบริด หรือลูกผสมได้ไร่ละถึง 2,000 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นก้าวครั้งสำคัญของผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก
นายชัยฤทธิ์ ระบุว่า แม้จะมีการอ้างว่าข้าวหอมมะลิของไทยสูญเสียตำแหน่งแชมป์ข้าวรสชาติดีที่สุดในโลกให้แก่ข้าว Pearl Paw San ของพม่า ก็ตาม แต่เขายืนยันว่าข้าวไทยยังเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก เขาจะไม่ยอมให้เสียแชมป์ทั้งที่ข้าวที่มีรสชาติดีที่สุด การการส่งออกมากที่สุดในโลก ขณะนี้กรมการข้าวได้กำหนดยุทธศาสตร์การวิจัยข้าว พ.ศ.2555-2559 เน้น 3 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์การวิจัย และพัฒนาข้าว
ยุทธศาสตร์การผลิต และการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และ
ยุทธศาสตร์การต่างประเทศของกรมการข้าว
เพื่อเป็นการรองรับการรวมประเทศในกรอบของประชาคมเศษรฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี เพราะถึงเวลานั้นประเทศผู้ผลิตต้องการแข่งขันที่สูงขึ้นแน่นอน
"ตอนนี้กรมข้าวเรามีนักวิจัยรุ่นใหม่ถึง 164 คน พร้อมที่จะเดินหน้างานวิจัยเพื่อพัฒนาข้าวของไทย ผมยืนยันได้ว่าเราได้เปรียบประเทศอื่นทั่วโลก ตอนนี้คู่แข่งของเราในอาเซียนมีประเทศเวียดนามกับประเทศพม่า หากระดับโลกมีจีนกับอินเดียเพิ่มขึ้น แต่เรายังได้เปรียบประเทศเหล่านี้หลายเท่า เพราะเรามีข้าวที่เก็บไว้ในศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานีกว่า 2 หมื่นสายพันธุ์
ในจำนวนนี้เป็นข้าวพื้นเมืองกว่า 1.7 หมื่นสายพันธุ์ และที่กรมวิชาการเกษตรประกาศรับรองสายพันธุ์ข้าวแล้ว 120 สายพันธุ์ ข้าวพื้นเมือง 57 สายพันธุ์ ข้าวลูกผสมอีก 63 สายพันธุ์
ถือว่ามากพอที่จะให้เกษตรกรเลือกนำไปปลูกในพื้นที่เหมาะสม อนาคตเราจะนำสายพันธุ์ใดก็ได้มาต่อยอด หรือทำเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เพื่อพัฒนาข้าวไทยให้ผลผลิตอย่างน้อยไร่ละ 800 กก." อธิบดีกรมการข้าวกล่าว
กระนั้นการที่จะทำให้ข้าวไทยต้องเป็นหนึ่งของโลก จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย โดยเฉพาะชาวนาต้องมุ่นเน้นในการผลิตข้าวที่มีคุณภาพ ข้าวที่ผ่านมาตรฐาน จีเอพี (GAP) หรือข้าวอินทรีย์ เน้นในเรื่องสุขภาพผู้บริโภค และให้ข้าวเป็นยา เป็นต้น นอกจากนั้นหาแนวทางลดต้นทุน โดยเฉพาะสารเคมีและปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตถึง 35% เพื่อจะได้แข่งในตลาดโลกได้ ซึ่งทราบกันดีว่าปัจจุบันประเทศคู่แข่งในการผลิตข้าวอย่างเวียดนามมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
สอดคล้องกับ ดร.เอนก ศิลปพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร (ซีพีเอส) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการงานวิจัยและพัฒเมล็ดพันธุ์ข้าวของ ซีพีเอส ก็มั่นใจว่าการที่เวียดนามวิจัยพันธุ์ข้าวหอมเพื่อแข่งกับข้าวหอมมะลิไทย คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้าวหอมมะลิที่จะให้คุณภาพดีต้องมีสภาพภูมิอากาศลักษณะคล้ายกับภาคอีสานของไทยโดยเฉพาะพื้นที่เขตทุ่งกุลาร้องไห้ ที่มีสภาพกลางคืนเย็นแต่จะร้อนในเวลากลางวัน
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับข้าวเวียดนาม คือ ให้ผลผลิตที่จะเหนือกว่าของไทย เนื่องจากระบบชลประทานค่อนข้างจะสมบูรณ์ โดยเฉพาะในเขตแม่โคขงเดลต้า จุดนี้มีแนวโน้มสูงที่เวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่ส่งข้าวออกมากที่สุดในโลกแทนไทยได้เพราะ
ข้าวเวียดนามให้ผลผลิตที่ไร่ละ 875 กก.
ข้าวไทยอยู่ที่ไร่ละ 461 กก.
ข้าวจีนอยู่ที่ไร่ละ 1,054 กก.
ข้าวอินโดเนีเซียไร่ละ 774 กก.
นอกจากนี้เวียดนามมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสมมาจากจีนที่ให้ผลผลิตสูงด้วย ตรงนี้จะทำให้ไทยเสียเปรียบได้
"การแก้ปัญหาของไทยคือต้องมีการวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ทนต่อโรค เปลี่ยนวิธีการทำนาจากนาหว่านมาเป็นนาดำ อย่างของซีพี ตอนนี้มีการพัฒนาเมล็ดที่ได้รับการรับรองจากกรมข้าวแล้วคือ ซีพี 304 เป็นพันธุ์ข้าวลูกผสมให้ผลผลิตดี ซึ่งจากการนำไปปลูกในพื้นที่ อ.บางเลน ได้ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ไร่ละ 1,200-1,400 กก. แต่ต้องปลูกในพื้นที่เขตชลประทาน อีกสายพันธุ์เป็นพันธุ์พื้นที่เมือง ซึ่งเกษตรกรนำไปปลูกสามารถเก็บเมล็ดเองได้คือ ซีพี 111 ให้ผลผลิตไร่ 1,000-1,200 กก. " ดร.เอนก กล่าว
ก่อนหน้านี้ ดร.เอนก เขียนบทความลงในซีพี อี-นิวส์ (CP e-NEWS) ว่าในปีนี้ 2012 เวียดนามที่ตัวเลขการส่งออกข้าวพุ่งสูงถึง 7 ล้านตันต่อปี แม้แต่อินเดียก็ก้าวขึ้นมาเบียดเวียดนาม ทำสถิติส่งออกข้าว 7 ล้านตันต่อปีเช่นกัน ขณะที่ไทยการส่งออกลดลงเหลือ 6.5 ล้านตันต่อปี โดยลดลงจากปีที่ผ่านมาถึง 39%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะได้เปรียบทั้งความหลากหลายของสายพันธุ์ และสภาพภูมิประเทศที่เหมาะกับการทำนา แต่เมื่อคู่แข่งประกาศศักดาพร้อมที่จะล้มแชมป์ข้าวไทยให้ได้ ก็ไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง
http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/139129
----------------------------------------------------------------------
. |
|