-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - แนวคิดทางการตลาด
ผู้ส่ง ข้อความ
Aorrayong
ตอบตอบ: 18/05/2010 7:39 pm    ชื่อกระทู้:

ถ้าพูดถึงปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เท่าที่ฟังความรู้สึกของลูกค้า ปีนี้ผลไม้อร่อยขึ้นกว่าเดิมทุกอย่าง ดูได้จากราคาที่ขายไม่ว่าจะแพงอย่างไร ผลผลิตก็ไม่เคยพอขาย ปีหน้าหรือปีต่อๆไปต้องดีขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน เพราะเมื่อเราบำรุงต้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ความพร้อมและความสมบูรณ์ของต้นจะส่งผลสืบเนื่องถึงปริมาณและคุณภาพของผลผลิตในปีต่อๆไป

ส่วนเรื่องเมื่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้นแต่ผลผลิตในสวนมีปริมาณไม่เพียงพอ หรือแม้แต่การสร้างความหลากหลายของผลผลิตที่จำหน่าย ปัจจุบันได้เริ่มนำผลผลิตของสวนที่เราเชื่อมั่นในคุณภาพมาขายที่สวน ทั้งในกลุ่มของเกษตรกรคลื่นลูกใหม่ จ.ระยอง และโดยเฉาะสวนเพื่อนบ้านใกล้เคียง โดยเราให้ราคาสูงกว่าท้องตลาดประมาณ 5-10 บาท แต่ขอร้องให้ส่งผลผลิตที่มีคุณภาพให้เรา ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีที่สวนใกล้เคียงเริ่มให้ความสำคัญกับการบำรุงผลผลิตให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นแผนการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำเกษตรกรรมที่ต้อง "เกรดเอ-จัมโบ้" แล้วจะได้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาด และถ้าเรารับซื้อจากสวนใดแค่ครั้งหรือสองครั้ง นั่นแสดงว่าผลผลิตยังไม่ได้ตามคุณภาพที่เราต้องการ จึงอาจเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้พวกเขาปรับตัว

เมื่อเราเริ่มสร้างเครือข่ายผลผลิตแล้ว ในอนาคตเราสามารถจะเชื่อมโยงถึงปัจจัยการผลิต ทั้งปุ๋ย ฮอร์โมน เทคโนโลยี (ระบบสปริงเกอร์) รวมถึงแรงงาน เพราะฉนั้นโครงการCONTACT FARMING ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทำได้ ทำได้อยู่แล้ว ......ว่ามั้ย?

ส่วนเรื่องการส่งออก คงไม่ส่งออกเอง แต่อาจเป็นแค่ผู้รวบรวมผลผลิตที่มีคุณภาพเพื่อการส่งออก

แต่ถึงอย่างไร ยังรู้สึกสำนึกรักเมืองไทย รักคนไทย คนไทยควรจะได้รับประทานของดีมีคุณภาพก่อนชาติอื่น .......ว่ามั้ย?
kimzagass
ตอบตอบ: 18/05/2010 9:25 am    ชื่อกระทู้:

ไม่รู้ (ว่ะ)....ลืมไปแล้ว....



วันนี้คิดอย่างเดียว.... คิด - คิด - คิด - แล้วก็ คิด - คิด - และคิด.....
วันนี้ ปีนี้ รุ่นนี้ สวนคุณอ้อ. มาถึงจุดนี้ ได้ระดับนี้ ความคิดก็คือ.....

1.... ปีหน้า รุ่นหน้า ต้อง เท่านี้ + ดีกว่านี้ ทำอย่างไร ได้หรือไม่
2.... ปีหน้า รุ่นหน้า ปีต่อๆไป และรุ่นต่อๆ ไป ต้อง ดีเหนือขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ
3.... เมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ปริมาณผลผลิตจากสวนตัวเองไม่เพียงพอ จะบริหารจัดการอย่างไร
4.... PROJECT สร้างเครือข่ายเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าบริการแก่ลูกค้า ทำได้หรือไม่ อย่างไร
5.... การจำหน่ายผลผลิตแบบ CONTACT FARMING ทำได้หรือไม่ อย่างไร
6.... นอกจาก ชม-ชิม-ซื้อ จะมีกิจกรรมหรือ PRODUCT อื่น เสริม/ทดแทน หรือไม่ อย่างไร
7.... ถ้า (ถ้า) EXPORT ได้ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ใช่หรือไม่
8.... ฯ ล ฯ


ใครมีความคิดอย่างไร เพิ่มเติมได้นะ
ลุงคิมครับผม
Aorrayong
ตอบตอบ: 18/05/2010 12:35 am    ชื่อกระทู้:

ที่มา คัดลอกจากhttp://www.naewna.com/news.asp?ID=210548

เกษตรสร้างสรรค์
กระจิบนนท์ร่อนลงระยอง(จบ) (เกษตรสร้างสรรค์)
คุณภาพเป็นเรื่องสำคัญพื้นฐานในกระบวนการตลาด

การกำหนดราคาขายเอง นอกจากเป็นความอหังการ์ของชาวสวนแล้ว ย่อมแสดงว่า เขามีอหังการ์ที่จะสำแดง

คุณภาพมาก่อนเพื่อนครับ

ก่อนที่คนจะควักเงินซื้อทุเรียนนกกระจิบกิโลละ 90 บาท ต้องรู้ก่อนว่า รสชาติดีจริงไหม จะรู้ได้ต้องลิ้มชิมรส คุณสุภาภรณ์ อรัญนารถ แกะให้ชิมตั้งแต่ตั้งแผงในห้างเสรี เซ็นเตอร์ ถูกปากถูกใจคนกรุงเมื่อไหร่ ราคาจะกลายเป็นเรื่องรองทันที

การจะผลิตผลไม้ให้ได้คุณภาพ ต้องใช้ทั้งเทคนิค และความเชี่ยวชาญของเกษตรกร รวมความถึงการเก็บเกี่ยว ไม่งั้นคงไม่มีข่าวทุเรียนอ่อนให้นักท่องเที่ยวหรือนักชิมต่อว่าหรอก คุณสุภาภรณ์รู้จุดต้องการของคนกรุงเทพฯพอสมควร ไม่งั้นกิโล 90 บาทคงขายไม่ได้

อย่าลืมว่า สวนคุณไพบูลย์มีต้นทุเรียนนกกระจิบ 300 ต้น ปีที่แล้วให้ผลผลิต 8 ตัน หรือ 8,000 กิโลกรัม แล้วคุณภาพไม่สม่ำเสมอจะขายได้หมดสวนไหม

สวนที่นี่มีทุเรียนไว้ขายคนมาชมสวน 70 % ที่เหลือ 30 % ขายลูกค้าประจำที่กรุงเทพฯ ประเภทสั่งซื้อทางโทรศัพท์ ส่งทุเรียนทางรถทัวร์ให้ลูกค้าไปรับเองที่สถานี พร้อมจ่ายค่าขนส่งเอง เป็นลูกค้าดั้งเดิมตั้งแต่ขายปลีก ยันลูกค้าที่เคยมาสวนแล้วติดใจ

แนวทางการตลาดจึงเหยียบเรือสองแคม ทั้งลูกค้าในสวนกับลูกค้าที่บ้าน คุณสุภาภรณ์นึกถึงอนาคตที่นกกระจิบทั้ง 300 ต้นหรือที่ขยายเพิ่ม และให้ผลผลิตเต็มที่ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเหล่านี้จะระบายไปที่ไหน ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ต้องตระเตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่วันนี้

สวนคุณไพบูลย์เป็นสวนที่ร่มรื่น เย็นตา การเก็บเกี่ยวเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญสูงเช่นกัน เพราะหมายถึงจุดเป็นจุดตายนาทีสุดท้าย ยกตัวอย่างมังคุดต้องค่อยๆเก็บด้วยตะกร้อ เก็บอย่าให้ตกตกเมื่อไหร่ต้องเอาออกจากกระบวนการขายทันที

ที่นี่มีต้นมังคุด 100 ปีประมาณ 10 กว่าต้น ราคาเลยต้องแพงไล่ตามอายุ 90 บาท/กิโล ถ้าเป็นมังคุดอายุต่ำกว่าร้อยปีก็ขายกิโลละ 50 บาท เงาะที่นี่ขาย 3 กิโล 100 บาท แพงกว่าชาวบ้านทั้งนั้น

เทคนิควิธีที่ทำราคานั้น จริงๆแล้วทำกันทุกขั้นตอน แม้กระทั่งทุเรียนที่จะชิม ยังต้องมีกระดาษรองกันเปื้อนมือด้วย ทุเรียนที่ไม่ได้ตามเกณฑ์หรือมีปัญหาก็สามารถเคลมได้ คืนได้ ไม่เอาเปรียบผู้ซื้อ

ความสำเร็จนี้คุณสุภาภรณ์บอกว่า เป็นส่วนที่ทำให้เกิดกำลังใจ และเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของเกษตรกรว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องต่ำต้อยด้อยค่า เป็นรากหญ้าที่ยากจนยากไร้เสมอไป

ที่เป็นความสุขอย่างยิ่งของครอบครัวอรัญนารถ คือการกลับมารวมเป็นครอบครัวดังเดิม บรรดาลูกๆของคุณไพบูลย์ที่ออกไปทำงานในกรุงเทพฯกลับคืนสู่สวนทั้งสิ้น แบ่งงานกันทำตามความถนัด อยู่กับสวนผลไม้ เป็นธรรมชาติที่แสนอิ่มเอมเปรมใจ

นอกจากเป็นสวนของคุณไพบูลย์และครอบครัวแล้ว ยังเป็นสวนที่นักท่องเที่ยวเองก็สามารถเดินทางไปเยี่ยมชม หรือจะชิมด้วยสุดแต่ใจจะไขว่คว้า

กระจิบเมืองนนท์จึงร่อนลงปักหลักอยู่เมืองระยองอย่างมั่นคงและยาวนาน

พอใจ สะพรั่งเนตร
วันที่ 11/5/2010
Aorrayong
ตอบตอบ: 21/02/2010 8:24 pm    ชื่อกระทู้:

ที่มา คัดลอกจากhttp://www.clt.or.th/coop_translate/Articles/eco_nomic/001.pdf

เศรษฐกิจพอเพียงกับยุทธศาสตร์การตลาด

คอลัมน์ คลื่นความคิด ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปบรรยายให้กับนักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
แขนงวิชาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของกองทัพบก จำนวนกว่า 100 คน ที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ในหัวข้อ
"แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงด้วยยุทธศาสตร์การตลาดยุคใหม่"
ได้รับความสนใจจากผู้เข้าฟังเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนเลยถือโอกาสนำรายละเอียดมาเล่าสู่แฟนคอลัมน์คลื่นความคิดให้รับทราบกัน

แท้ที่จริงแล้วแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีแก่นสาระสำคัญคือ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่
ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่
ในระดับพอประมาณและพอดี

ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียง จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล
โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ ทั้งในระยะสั้น
และระยะยาวอย่างรอบคอบ

การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งสั้นและยาว

เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบ
ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและมีความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ

เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต
มีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่โลภและไม่ตระหนี่จนเกินไป

แนวทางปฏิบัติและผลที่คาดว่าจะได้รับ การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้คือ
การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดหนึ่งของยุทธศาสตร์
การตลาดยุคใหม่ที่มุ่งเน้นสังคมเป็นเป้าหมายสำคัญ


โดยมีความคิดที่ว่าธุรกิจควรกำหนดความจำเป็น ความต้องการ และผลกระทบ
ของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ด้วยการส่งมอบความพึงพอใจที่ดีกว่าคู่แข่งขันในท้องตลาด เพื่อรักษาหรือพัฒนา
วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสังคมให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ แนวคิดการตลาดเพื่อสังคมต้องตอบ
สนองสังคมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจโลกและการไม่ใส่ใจ
ปัญหาสังคม ธุรกิจที่ดำเนินงานตามแนวคิดนี้จึงต้องเข้าถึงความรู้สึกและจิตใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับ
ต้องมีความตั้งใจจริงและมุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสังคมได้รับความพึงพอใจและ
ความบริบูรณ์พูนสุขในระยะยาว (long-run welfare) นั่นเอง จริงอยู่ที่ธุรกิจต้องการผลกำไรตอบแทน
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการก็ต้องการความพึงพอใจจากสิ่งที่ตนเองต้องการ และที่สำคัญ
สังคมที่ทั้งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องเกิดความสมบูรณ์พูนสุขด้วยเช่นกัน แนวคิดนี้ต้อง
การสร้างความสมดุลให้กับชีวิต เศรษฐกิจ สังคมให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป แต่การที่ธุรกิจจะดำเนิน
การตามแนวคิดนี้ได้นั้นจะต้องอาศัยเงื่อนไขความรู้ที่ประกอบด้วยความรอบรู้ รอบคอบและระมัดระวัง รวมถึงเงื่อน
ไขคุณธรรมอันประกอบด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน และการรู้จักแบ่งปันมาผสมผสานกันภายใต้กรอบ
ของความพอประมาณ มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี นี่แหละถึงเรียกว่าการประสานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
กับยุทธศาสตร์การตลาดยุคใหม่ให้เข้ากันอย่างกลมกลืน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจสังคมและประเทศชาติสืบไป!
Aorrayong
ตอบตอบ: 20/02/2010 11:03 pm    ชื่อกระทู้:

ข้าน้อยขอน้อมรับ

มุข"โปโล" ตลกดี
hang
ตอบตอบ: 20/02/2010 9:19 pm    ชื่อกระทู้:

มิว่าสิ่งใดก็ดีแต่จงพิเคราะห์ให้จงหนักว่าสาระสำคัญมันอยู่ที่ตรงไหนจงมองโดยคะเนว่าจักเป็น
ประโยชน์ต่อเราได้สักกี่มากน้อย แลจงใช้ประโยชน์นั้นไซร้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนแลพวกพ้องเพื่อ
บ้านเมืองแลประเทศชาติ


โปโล เอ้ย ป.ล.
ประยุกต์จากพระราชดำริของ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช จากหนังสือสมบัติพระนเรศวร
Aorrayong
ตอบตอบ: 20/02/2010 1:52 pm    ชื่อกระทู้:

พวกเขา...หลายๆคนที่ทำได้

พวกเรา...ก็ทำได้เช่นกัน....ว่ามั้ย?
Aorrayong
ตอบตอบ: 20/02/2010 1:49 pm    ชื่อกระทู้:

ตัวอย่างของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง


"ปลูกได้ ต้องขายเป็น"


ที่มา คัดลอกจากhttp://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q2/2009may21p7.htm

เรื่องกล้วยๆ ของบัณฑิตนักปฏิบัติ"ปลูกได้ ต้องขายเป็น"

บทความ โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประชาชาติธุรกิจ วันที่
21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4107

เมื่อความเปราะบางแห่งวิถีใหม่มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น การลุกขึ้นหยัดยืนวิถีเดิมของเยาวชนสักคนจึง
เป็นสิ่งที่มีคุณค่า...

"นายสมพร ทองเพิ่ม" บัณฑิตคืนถิ่นด้านการเกษตร วัยในยี่สิบแปดปี นักการเกษตรเลือดใหม่ใน
โครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ดำเนินการโดยสถาบัน
เสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของสโลแกน "ปลูกได้ ต้องขายเป็น" ก็จัดเป็นหนึ่งในนั้น...

ครอบครัวของสมพรมีอาชีพการเกษตรมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอ
ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปลูกยางพารา ผลไม้พื้นเมืองไว้กินตามฤดูกาล ทั้งมังคุด เงาะ
ทุเรียนป่า ลองกอง ฯลฯ มีความหลากหลายทั้งไม้ผลและผักพื้นบ้าน ที่คนใต้เรียกว่า "สวนสมรม"
เมื่อได้ผลผลิตก็นำออกขาย บ้างก็ผ่านพ่อค้าคนกลาง ตั้งแต่เล็กจนโต สมพรได้สัมผัสกับวิถีการ
เกษตรกร เรียนรู้ และซึมซับการทำนา ทำสวน ทำไร่ของพ่อ ต้นแบบที่ทำให้เห็น ให้คำแนะนำถึง
การทำสวนทำไร่ ทั้งการปลูก บำรุง รักษา เก็บเกี่ยว พืชผัก ผลไม้ ข้าว ยางพารา ฯลฯ

สมพรได้เลือกเรียนต่อในสาขาพืชศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช (ไสใหญ่) เพื่อนำความรู้วิชาการมาเติมเต็มความรู้เดิมที่เรียนรู้
มาจากพ่อและการลงมือปฏิบัติ อันจะเป็นการ "ยกระดับการเกษตรของครอบครัว"

หลังจบการศึกษาในปี 2546 สมพรได้ทดลองทำงานหาประสบการณ์เพิ่มเติม โดยเป็นครูสอน
อาชีพที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) อำเภอทุ่งสง เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ได้เงินเดือนเดือน
ละ 7,200 บาท เรียกว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังดีที่สมพรไม่ทิ้งการทำเกษตร เขาได้ซื้อที่ดิน 4 ไร่
ใช้พื้นที่ว่างระหว่างต้นยางในสวนยางปลูกกล้วย

หลังเลิกงาน สมพรจะเที่ยวสำรวจแผงค้ากล้วยหอมในตลาด ว่ามีที่ใดบ้าง ขายในราคาเท่าไร และ
ต่อไปเขาจะวางกล้วยหอมขายได้ที่ไหน เมื่อสมพรได้แผงขายกล้วยในตลาดแล้ว เขาจึงนำผล
ผลิตออกขาย มีบ้างที่ขายให้พ่อค้าคนกลาง แต่ก็เพียงพอที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 300-500 บาท/
วัน ไม่นานนัก สมพรก็ตัดสินใจซื้อที่ดินปลูกกล้วยหอมเพิ่มอีก 4 ไร่

สมพรลาออกมาทำการเกษตรเต็มตัว และนำผลผลิตที่ได้ออกขายที่ตลาดด้วยตนเองท่ามกลาง
ความประหลาดใจของเพื่อนร่วมงาน ทว่าการออกมาเป็นเกษตรกรเต็มตัวก็ทำให้สมพรมีเวลากับ
การปลูกกล้วยหอม และนำผลผลิตออกขายมากขึ้น จากนั้น 2 ปีต่อมา เขาก็สามารถขยับขยาย
กิจการให้เติบโตนำไปสู่การเปิดแผงขายกล้วยหอมแผงที่ 2 ในตลาดโต้รุ่งซึ่งมีกลุ่มค้ามากขึ้น

ช่วงนี้เอง สมพรได้นำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติมาใช้อย่างครบ
ครัน ทั้งในด้านการจัดการการปลูก มีการจดบันทึกข้อมูลการปลูก-ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว เพื่อประกอบ
การวางแผนการจำหน่าย รวมถึงการใช้ความรู้ด้านการจัดการการตลาดที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยในการ
ขาย ทำให้สามารถตัดวงจรของพ่อค้าคนกลางจากการขายกล้วยหอมได้อย่างสิ้นเชิง มีรายได้เต็ม
เม็ดเต็มหน่วย ลบจุดอ่อนของเกษตรกรรุ่นพ่อแม่ที่มักให้ความสนใจกับการปลูก แต่ไม่ให้ความ
สำคัญกับการขาย จนตกเป็นเหยื่อยอมขายพืลผลในราคาถูกให้นายทุน

"หากตัดพ่อค้าคนกลางไปได้ เกษตรกรจะได้กำไรเอง และสินค้าจะส่งถึงมือผู้บริโภคโดยตรง เรา
ได้มีโอกาสดูแลสินค้าให้มีคุณภาพจนถึงมือลูกค้า"

จุดเด่นอีกข้อหนึ่งของสมพรคือความกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่ง เขามักชวนลูกค้าคุยเสมอๆ เพื่อ
สำรวจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค บ่อยครั้งสมพรยังนำหน่อกล้วยหอมไปแนะนำให้
ลูกค้าปลูก เป็นการรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเก่า และใช้วิธีบอกเล่าปากต่อปาก ทำให้
สมพรมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน สมพรยังเป็นนักชิมกล้วยหอมตัวยง เมื่อเข้าตลาดต่างถิ่น เขามักซื้อกล้วยรับประทาน
เพื่อเปรียบเทียบสี กลิ่น ขนาด รสชาติ และราคากล้วยหอมของคู่แข่งรายอื่นๆ เสมอ เวลานี้ ลูกค้า
ของสมพรมีทั้งกลุ่มขายส่ง แม่ค้าที่นำกล้วยไปแปรรูป หรือทำขนม เช่น โรตี น้ำปั่น ไอศกรีมทอด
และอีกส่วนคือกลุ่มผู้บริโภคทั่วๆ ไป เขาสามารถขายกล้วยได้เฉลี่ยวันละ 50 และ 70-90 หวี/
แผง ยิ่ง "เทศกาลตรุษจีน" เปรียบเป็นนาทีทองที่สมพรขายกล้วยหอมได้มากที่สุดถึง 300 หวีต่อ
วัน ทั้งยังขายได้ราคาดีกว่าช่วงเวลาอื่นๆ สมพรจึงให้ความสำคัญกับการเตรียมการให้กล้วย
หอมออกผลผลิตในช่วงนี้อย่างมาก

นอกจากกล้วยหอมแล้ว สมพรยังนำผักผลไม้จากสวนของพี่สาว ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลมา
จำหน่ายที่แผง เช่น ลองกอง ทุเรียนบ้าน ทุเรียนหมอนทอง มังคุด กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง
มะละกอแขกดำ และผักพื้นบ้านหลายชนิด เช่น ผักกูด มะเขือพวง ใบบัวบก ในจำนวนนี้ยังมีผักที่
เขาปลูกเองแบบปลอดสารเคมี เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ได้แก่กวางตุ้งและคะน้า ในระยะหลัง
สมพรยังปลูกข้าวโพดหวาน และนำมาต้มขายที่แผงด้วย

บัณฑิตคืนถิ่นผู้นี้ให้เหตุผลของการปลูกพืชหลายๆ ชนิดว่า การมีพืชหลายๆ อย่างไว้รองรับและ
กระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดี เพราะพืชผลการเกษตรมีราคาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในบทบาทของเยาวชนด้านการเกษตรรุ่นใหม่ เขาจะเป็นแรงหนึ่งในการประคับประคองภูมิปัญญา
ด้านการเกษตรของไทย และยกระดับให้อาชีพการเกษตรในสายตาของคนทั่วไป โดยเฉพาะ
เยาวชนให้เห็นว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นต้องอายใคร เมื่อต้องบอกว่าประกอบ
อาชีพการเกษตร
Aorrayong
ตอบตอบ: 20/02/2010 1:35 pm    ชื่อกระทู้:

แนวคิดของนักวิชาการ

ที่มา คัดลอกจาก http://www.logisticsthaiclub.com/index.php?mo=3&art=290541

ห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อย

เขียนโดย ผศ.ดร.บดินทร์ รัศมีเทศ, บิสสิเนสวีค ไทยแลนด์

แม้ ประชากรของประเทศไทยส่วนใหญ่กว่าครึ่งของประเทศจะมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจการ
เกษตร มีข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเกษตรประมาณ 1 แสนคน โดยประมาณ 6 หมื่นคน
อยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เหลือจะกระจายอยู่ในหน่วยงานของรัฐอื่นๆ

นอก จากนี้ เรายังมีภาคเอกชนที่แข็งแรง อาทิ เครือซีพี เบทาโกร สหฟาร์ม และบริษัทอื่นๆ ที่มี
ยอดขายรวมกัน กว่า 1 แสนล้านบาทในแต่ละปี คาดว่าบริษัทเหล่านี้ยังมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า
ตัวเลขสองหลักในแต่ละปี อีกด้วย เราคงไม่ต้องห่วงบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้มากนัก สิ่งที่น่าห่วงคือ
เกษตรกรรายย่อยทั่วไปของไทยมากกว่า เนื่องจากยอดส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นของสดเริ่มจะ
ลดลง ในขณะที่สินค้าเกษตรที่ได้รับการแปรรูปแล้วกลับมีอัตราการส่งออกเพิ่มมาก ขึ้นในหลายปี
ที่ผ่านมา

ดัง นั้น แนวโน้มที่เกษตรกรจะต้องพึ่งผู้ค้ารายใหญ่ก็คงจะต้องมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีผู้ซื้อใน
ต่างประเทศเป็นผู้กำหนดราคารับซื้อจากประเทศไทยอีกที การแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือ
เกษตรกรไทยจึงไม่ใช่ของง่าย จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกัน และแน่นอนที่สุด
การพูดนั้นง่ายกว่าการทำหลายเท่าตัวนัก วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกับ ห่วงโซ่อุปทานของ
เกษตรกรไทยรายย่อย ก่อนที่จะมาวางแผนหรือคิดว่าเราจะช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างไร

โดย ทั่วไปเกษตรกรของไทยมีวิธีการขายสินค้าเกษตร
หลักๆ อยู่ 3 วิธี คือ


1. ขายให้แก่ผู้ค้าประจำท้องถิ่นซึ่งมักจะเป็นผู้ที่ขายเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตร และเมล็ดพันธุ์
ในพื้นที่ และรับซื้อสินค้าเกษตรด้วย

2. ขายให้ผู้ค้าเร่ในท้องถิ่นซึ่งมักจะเข้ามารับซื้อสินค้าเกษตรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

3. ขายให้สหกรณ์การเกษตรในท้องถิ่นที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ หลังจากนั้นสินค้าเกษตรจะถูกส่ง
ต่อไปยังผู้ค้าส่งในเมือง หรือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ขึ้น เช่น สหกรณ์อำเภอ หรือสหกรณ์
จังหวัด ขั้นต่อไปสินค้าเกษตรจะถูกส่งไปยังผู้ค้าส่งในกรุงเทพฯ ตลาดในท้องถิ่นและผู้ส่งออก
ตามลำดับ จนกว่าจะถึงมือผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

จะ เห็นได้ว่า กว่าสินค้าเกษตรจะถึงมือผู้บริโภคนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ประมาณ 4 ถึง 5 ขั้น
ตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนล้วนมีความสำคัญและตัดทิ้งไม่ได้ อาจจะมีคนคิดว่าทำไมเกษตรกรจึงไม่
นำสินค้าไปขายโดยตรงให้กับผู้ค้าส่งใน เมือง หรือชุมนุมสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ขึ้นด้วยตนเอง
สาเหตุหลักก็เพราะว่าถึงแม้จะไปขายให้ผู้ค้าส่งในเมืองด้วยตนเอง ก็ใช่ว่าเกษตรกรจะได้ราคาที่ดี
กว่า เนื่องจากความแน่นอนในปริมาณ คุณภาพและระยะเวลาการจัดส่งไม่สามารถเทียบได้กับผู้
รวบรวมสินค้าเกษตร ดังนั้น ผู้ค้าส่งในเมืองจึงไม่นิยมที่จะซื้อโดยตรงกับเกษตรกรรายย่อย ถึงแม้
จะซื้อก็ไม่ให้ราคาที่ดีกว่าที่เกษตรกรขายให้แก่ผู้รวบรวมในพื้นที่

ความ จริงนอกจากนี้ก็คือ ทุกขั้นตอนของระบบห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อยยังต้องมี
การบวกกำไรใน แต่ละขั้นตอน หากลองคิดย้อนกลับเล่นๆ เช่นสมมุติว่าเงาะขายอยู่ในตลาดราคา
กิโลกรัมละ 15 บาท และแต่ละขั้นตอนจะต้องมีการบวกกำไรประมาณ 30% นั่นก็หมายความว่า
ตลาดในกรุงเทพฯ และผู้ส่งออก ผู้ค้าส่งในกรุงเทพฯ คงจะรับสินค้ามาที่ประมาณ 10.50 บาท ผู้
ค้าส่งในเมือง ตลาดในท้องถิ่น และ หรือ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรน่าจะรับสินค้ามาที่ราคา
ประมาณ 7.50 บาท ผู้ค้าประจำท้องถิ่น ผู้ค้าเร่ในท้องถิ่น หรือสหกรณ์การเกษตรในท้องถิ่นน่าจะ
รับสินค้ามาที่ราคาประมาณ 5 บาทจากเกษตรกร สิ่งที่น่าห่วงก็คือ 5 บาทที่เกษตรกรได้รับไปนี้ยัง
ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าปุ๋ย สารเคมีและค่าแรง เป็นต้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่เราจะพบ
ว่าเกษตรกรแทบจะไม่ได้อะไรเลย พร้อมทั้งมักจะได้ยินเกษตรกรครวญเรื่องขาดทุน และรายรับที่
ไม่พอจ่ายให้กับเจ้าหนี้ที่เกษตรกรกู้ยืมมาก่อนฤดูเก็บเกี่ยว อยู่บ่อยๆ

ด้วย เหตุนี้เอง แนวทางในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไทยจึงต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจโครง
สร้าง ของห่วงโซ่อุปทานของเกษตรกรไทยรายย่อยก่อนที่จะวางแผนในการช่วยเหลือเกษตรกร
บ่อยครั้งที่เราได้ยินแนวทางในการแก้ไขปัญหาแบบไม่เข้าใจที่มาของปัญหา อาทิ
การพยายามตัดพ่อค้าคนกลางออกจากวงจรการเกษตรกรของไทย ลองดูรูปภาพประกอบแล้วจะ
พบว่า ไม่มีทางที่จะตัดพ่อค้าคนกลางออกจากวงโคจรได้เลย
ดังนั้น การแก้ไขปัญหา
ของการเกษตรไทยต้องเริ่มจากการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้อง เข้าใจโครงสร้างทางการเกษตร และ
ต้องช่วยกัน คุยกัน แบ่งกันรวย จะได้ไม่ช่วยกันจนอีกต่อไป
Aorrayong
ตอบตอบ: 20/02/2010 1:07 pm    ชื่อกระทู้:

ที่มา คัดลอกจาก http://thinkexist.com/quotes/with/keyword/gentleman/2.html

“A gentleman is one who never hurts anyone's feelings unintentionally.”

~ Oscar Wilde quotes


“A gentleman is one who puts more into the world than he takes out.”

~ George Bernard Shaw quotes


“The person, be it gentleman or lady, who has not pleasure in a good
novel, must be intolerably stupid.”

~ Jane Austen quotes


“A gentleman will not insult me, and no man not a gentleman can insult me.”

~ Frederick Douglass



ไม่น่าเลยน้องโอ

สิ่งที่เกิดขึ้น แม้เราจะรู้สึกไม่ดีบ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนความขุ่นข้องหมองใจมาเป็นแรงผลักดันซะ

จำได้หรือเปล่า "ทำให้คนอิจฉา ดีกว่าให้เขาสงสาร" Very Happy
Pitipol
ตอบตอบ: 20/02/2010 3:47 am    ชื่อกระทู้:

อ่าว! กดผิด นึกว่ากด x ปิดหน้าต่าง หวังว่าพี่ mangotree คงให้อภัยเด็กอย่างผมด้วยนะครับ
kimzagass
ตอบตอบ: 17/02/2010 9:32 pm    ชื่อกระทู้:

....................... ฯ ล ฯ .........................

มาจะกล่าวบทไป....................ถึงท้าว หัสนัย ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์ เคยอ่อน แต่ก่อนมา......กระด้างดัง ศิลา ประหลาดใจ
จะมีเหตุ มั่นแม่น ในแดนดิน........อัมรินทร์ เร่งฤทธิ์ คิดสงสัย
จึงสอดส่อง ทิพย์เนตร ดูเหตุภัย....ก็แจ้งใจ ในนาง รจนา
แม้มิ ไปช่วย จะม้วยมอด............ด้วยสังข์ทอง ไม่ถอด รูปเงาะป่า
จำจะยก พหล พลโยธา...............ลงไปล้ม พารา สามลไว้
จึงตรัสสั่ง ท้าววิศ นุกรม.............เร่งระดม พล..........................พอนะ


ลุงคิมครับผม
ปล.
ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา
ขึ้นต้นเป็น "แนวคิดทางการตลาด" ปิดท้ายกลายเป็น "สังข์ทอง" ได้ไง (เง็ง)
mixfeed
ตอบตอบ: 17/02/2010 8:56 pm    ชื่อกระทู้:

Shocked ! Shocked ! Shocked ! Shocked ! Shocked ! โอ้โห โอ้โห โอ้โห แล้วก็ โอ้โห
kimzagass
ตอบตอบ: 16/02/2010 10:36 pm    ชื่อกระทู้:

กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้.....ไง


เป็นมนุษย์ สุดดี ก็ที่ปาก.......จะได้อยาก โหยหิว ที่ชิวหา
แม้นพูดดี มีคน เขาเมตตา.....จะพูดจา จงวิเคราะห์ ให้เหมาะความ



พูดดี เป็นศรี แก่ปาก....พูดมากมาก ทั้งปาก มีแต่สี



ก็ดีนะ นอนทั้งวัน (ว่ะ)
ลุงคิมครับผม
ott_club
ตอบตอบ: 16/02/2010 10:23 pm    ชื่อกระทู้:

ไปได้เรื่อยเลยนะครับลุง

บทนี้เอามาให้อ่านกันเล่นๆ ครับ
อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก

แต่ลมปาก หวานหู ไม่รู้หาย

แม้นเจ็บอื่น หมื่นแสน พอแคลนคาย

เจ็บจนตาย เพราะเหน็บ ให้เจ็บใจ
kimzagass
ตอบตอบ: 16/02/2010 10:07 pm    ชื่อกระทู้:

กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.............สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น โยคี (ตาคิม) ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์................มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด...............ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน..................บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน...................เกิดเป็นคนคิดเห็นจึ่งเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ.................ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา.............................รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี


ท่อนสุดท้าย กล่าวว่า.....

จงคิดตาม ไปเอา ไม้เท้าเถิด......จะประเสริฐ สมรัก เป็นศักดิ์ศรี
พอเสร็จคำ สำแดง แจ้งคดี.........รูปโยคี (ตาคิม) หายวับ ไปกับตา
.....ไง


เอาวรรณคดีอื่นอีกไหมล่ะ
ลุงคิมครับผม
Aorrayong
ตอบตอบ: 16/02/2010 10:05 pm    ชื่อกระทู้:

นั่นซีนะ...รอฟังอยู่เหมือนกัน Laughing
ott_club
ตอบตอบ: 16/02/2010 10:00 pm    ชื่อกระทู้:

kimzagass บันทึก:
กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.......สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น "ตาคิม" ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์...........ไง


แล้วกลอนท่อนสุดท้ายของบทนี้ล่ะ ว่าไง รู้มั้ย
ลุงคิมครับผม


ว่ายังงัยล่ะครับลุง
Aorrayong
ตอบตอบ: 16/02/2010 9:38 pm    ชื่อกระทู้:

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่เกษตรกรรุ่นใหม่ควรเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตน
เอง เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า

ตราบใดที่ผลผลิตของเราอยู่ในข่าย "ของดี มีน้อย" รับรองว่าการทำตลาดไม่ได้ยากอย่างที่คิด จะ
ว่าไปแล้วยากที่ใจมากกว่า

ที่มาที่ไปของการเปิดสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร มาจากหลักคิดนี้เช่นกัน เมื่อเราได้ทดลองการทำ
ตลาดด้วยตนเอง รวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทำให้มีความ
มั่นใจว่า ถ้าผลผลิตเราดีจริง หาทานก็ยาก เป็นที่ต้องการของลูกค้า การที่จะให้ลูกค้าขับรถมาซื้อ
ถึงสวนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

"ทำวิกฤติ ให้เป็นโอกาส" ปีแรกของการเปิดสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้
อุปสรรคและปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อปัญหาคือการที่ต้องรอให้
ลูกค้ามาหาเรา ย่อมมีความเสี่ยงเรื่องการระบายผลผลิตให้ทัน การเพิ่มช่องทางในการระบายสินค้า
คือการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาที่สวน โดยการส่งสินค้าผ่านระบบขนส่ง
ต่างๆ ทั้งรถส่งสินค้า รถทัวร์โดยสาร และพัสดุไปรษณีย์ ปัจจุบันสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ใน
หลายๆจังหวัด ที่มีระบบขนส่งไปถึง แผนการทีีวางไว้ในอนาคตคือ

Fruit Delivery

kimzagass
ตอบตอบ: 16/02/2010 8:40 pm    ชื่อกระทู้:

กลอนท่อนแรกหายไปนะ.....

บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว.......สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็น "ตาคิม" ขี่รุ้ง พุ่งออกมา...........ประคองพา ขึ้นไป บนบรรพต


แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์...........ไง


แล้วกลอนท่อนสุดท้ายของบทนี้ล่ะ ว่าไง รู้มั้ย
ลุงคิมครับผม
Aorrayong
ตอบตอบ: 16/02/2010 7:52 pm    ชื่อกระทู้:

พึงให้ระลึกไว้เสมอว่า

ที่มา คัดลอกจาก http://www.thaipoet.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaipoetnet&thispage=25&No=283166


แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์................มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด...............ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน..................บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน...................เกิดเป็นคนคิดเห็นจึ่งเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ.................ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา.............................รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี


หรือ

ที่มา คัดลอกจาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1362178


๐ ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ๐



๐ ใจ...มนุษย์สุดลึกล้ำยากกำหนด...........ช่างเลี้ยวลดคดเคี้ยวยากหยั่งถึง

๐ มนุษย์...มนุษย์นั้นใจซับซ้อนยากคะนึง....ดังนั้นจึงยากไว้ใจในวาจา

๐ ยาก...จะทันความคิดของมนุษย์........... ช่างแสนสุดมากกลเล่ห์เสน่หา

๐ แท้... ความแล้วมิอาจทราบได้ในครา.......ล่วงเวลาจึ่งเผยความกระจ่างจริง

๐ หยั่ง...ยากแย้มความนึกคิดจิตใจมนุษย์......ช่างดำดุจหม่นหมองดั่งถูกสิง

๐ ถึง... พูดดีทำดีน่าพึ่งพิง......................แต่แท้จริงอาจริษยายิ่งน่าชิงชัง
mangotree
ตอบตอบ: 16/02/2010 7:29 pm    ชื่อกระทู้:

ผมว่าต้นไม้นี่ เข้าใจง่ายกว่าผู้หญิงแยะเลย เง้ออ Rolling Eyes
Aorrayong
ตอบตอบ: 16/02/2010 7:09 pm    ชื่อกระทู้:

mangotree บันทึก:
hahaa

ฯลฯ

คุณเสี่ยอ้อ

ฯลฯ
..ขอโม้หน่อยน่า..นิสนุง.. Wink


คุณเสี่ยอ้อ...คุณเสี่ยอ้อ....ฟังแล้วเหมือนประชดประชันยังงัยไม่รู้ อาจเป็นเพราะพื้นฐานของผู้พูด
และการรับรู้ข้อมูลของผู้ฟัง

ลองพิจารณาดู การให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยปราศจากอคติใดๆ ที่มีอยู่ในใจ

ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์อยู่บนโลกกลมๆใบนี้ แน่นอน รัก โลภ โกรธ หลง สุดที่จะห้ามได้


เอามาฝาก

ที่มา คัดลอกจาก http://www.jvkk.go.th/jvkkfirst/story/general/47.htm

วิธีบริหารเสน่ห์

---------------

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ บางคนเกิดมาหน้าตาดี แต่หาคนคุยไม่ได้ แทบไม่มี ในทางกลับกันบางคน
เกิดมาหน้าตาแสนจะขี้เหร่แม้แต่วัดตอนสาย ๆ ก็ไม่กล้าไป แต่กลับมีคนมาห้อมล้อมมอบความรัก
และจริงใจให้อยู่ตลอดเวลา นั่นแสดงว่าคนนั้นต้องมีอะไรดีอยู่ในตัว อะไรที่ว่าก็คือความมีเสน่ห์ที่
สามารถดึงดูดให้คนอื่นมาคบด้วยได้ สามารถสร้างความประทับใจแรกพบสำหรับคนรอบข้างได้ ไม่
ว่าจะไปไหนมาไหนก็มีคนยิ้มทักทาย พูดคุย และอยากร่วมงานด้วยเสน่ห์เป็นสิ่งที่ติดตัวเราอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะบริหารเสน่ห์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและคนอื่น หากอยากมีเสน่ห์อย่าทำ
ตัวให้สูงจนคนอื่นต้องแหงนหน้าพูดด้วย เพราะคนเราเกิดมาไม่ว่าจะเป็นคนสูง คนชั้นต่ำ มั่งมีหรือ
ยากจน ย่อมเกิดความพึงพอใจเมื่อมีความจริงใจต่อกัน การบริหารเสน่ห์ให้ตรึงตาตรึงใจคนอื่นไว้
นาน ๆ ไม่ใช่สิ่งยากเย็นอะไรเลย โดยมีหลักง่าย ๆ ดังนี้

1..... ใส่ใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้างที่คุณรู้จัก เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เจ้า
นาย หมั่นเอาใจเขามาใสใจเรา ศึกษาเอาในใส่ในสิ่งที่ชอบ เช่น งานอดิเรก ความมุ่งหวัง แสดงให้
เขาเห็นว่าคุณสนใจเรื่องของเขาเหมือนกัน


2..... อย่าทำตัวเด่นเกินไป คนบางคนย่อมไม่พอใจในการที่คุณทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา


3..... หว่านเสน่ห์ให้ครบทุกคน การที่คุณชอบอยู่สันโดษคนเดียว ไม่ยอมเปิดประตูดูคนอื่น ควร
ยิ้มทักทายกับทุกคน มอบความรักและจริงใจให้กับทุกคน คนอื่นจะได้ดีใจและภูมิใจที่อย่างน้อย
คุณก็ให้ความสำคัญเขาเท่ากับคนอื่น


4..... ชื่นชมคนอื่นเสมอ คงไม่มีใครชอบคำตำหนิมากกว่าคำชม หมั่นชื่นชมคนรอบข้างเสมอ
เพื่อเขาจะได้มีกำลังและมีความสุขเวลาอยู่กับคุณ


5..... ไม่ทำตัวสมบูรณ์แบบ คนเราเกิดมาย่อมไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุก ๆเรื่อง ย่อมมีดีมีเสียใน
ตัวเองการทำตัวสมบูรณ์แบบเกินไปเสมือนคุณสร้างกำแพงกั้นคน อื่นไม่กล้าเขาหาคุณ


6..... ทำตนให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ การเป็นคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรสดใส
เอาซะเลย คนอื่นคงไม่อยากมาอมทุกข์กับคุยิ่งถ้าคุณเป็นประเภทสามวันดีสี่วันไข้ ย่อมไม่มีใคร
กล้าเข้าใกล้ หัดเป็นคนยิ้มแย้มตลอดเวลา ให้คนอื่นเขารู้สึกมีชีวิตชีวาเวลาอยู่กับคุณ


คนเราคงอยู่ในโลกใบกว้างคนเดียวไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ในสังคมพบปะและใช้ชีวิตกับคนหลาย
ประเภท คุณจะมีคนคบจริง ๆ และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือยามที่คุณมีปัญหามากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะบริหารเสน่ห์ในตัวคุณออกมาให้คนอื่นเห็นได้มากน้อยเพียง ใด คุณไม่จำเป็น
ต้องไปหาหมอเพื่อขอยามาใส่เสน่ห์ให้คนอื่นมาหลงรักคุณเลยเพียง คุณบริหารด้วยการใส่ใจคน
รอบข้าง ชื่นชมคนอื่นไปเสมอ หวานเสน่ห์ให้ครบทุกคน ไม่ทำตัวเด่นเกินไป ไม่ทำตัวสมบูรณ์
แบบเกินไป และทำตนให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ คุณจะเป็นคนที่มีคนคบมาก เวลาเดือดร้อนเขาก็
พร้อมจะช่วยเหลือคุณ ที่สำคัญคุณจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข โลกทั้งใบจะมีแต่สิ่งที่สด
ชื่นมีแต่สิ่งสวยงาม มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม และความรักความจริงใจที่มีให้แก่กัน นั่นคือผล
จากเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวคุณนั่นเอง

ลองดู....Very Happy

หรือ


ที่มา คัดลอกจาก http://www.kroobannok.com/blog/7450

ทำอย่างไร..ให้คุณเป็นที่รักของคนอื่น

คง ไม่มีใครที่จะไม่อยากมีเพื่อน หรืออยู่เพียงลำพังไม่สุงสิงกับผู้อื่น เพราะมนุษย์โลกเรานี้ล้วนต้อง
พึ่งพาอาศัยกันทั้งนั้น จึงจะอยู่รอดได้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งเราอาจจะต้องปฏิบัติตน เพื่อที่
จะเป็นที่รักของคนอื่นๆ ดังนี้

1. ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ
คือการไม่เสแสร้งเข้าใส่ กันและกัน การดูถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามผู้อื่น ไม่เป็นคนวางท่า สิ่ง
ต่างๆ เหล่านี้เองที่เป็นเหตุให้คนเราขาดเพื่อนที่จริงใจ ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นรักและชื่นชม ก็
คงต้องปฏิบัติตัวเสียใหม่ ทำตัวเราให้น่ารัก เป็นคนที่พูดจาจริงใจ ปากตรงกับใจเป็นดีที่สุด และไม่
ควรกระทำการใดๆ ที่ผู้อื่นเดือดร้อนโดยเด็ดขาด

2. อารมณ์ดี
เป็นคนที่มี อัธยาศัยดี ร่าเริง ไม่เคร่งเครียดคิ้วขมวดติดกัน เพราะคงไม่มีใครที่อยากเข้าใกล้กับคน
ที่มีนิสัยขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว มีความก้าวร้าว อารมณ์ร้าย และรุนแรง หรือเป็นคนที่อารมณ์
แปรปรวนง่ายๆ และยิ่งถ้าเราเป็นคนอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น ตัว
ของเราเองจะกลายเป็นคนไร้เพื่อน และสังคมไม่ให้การยอมรับอีกด้วย เพราะคนอื่นๆ จะดีตัวออก
ห่างเราไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนที่อารมณ์ดีที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ

3. สนใจฟัง "เขา" มิใช่พูดแต่เรื่องของตนเอง
เช่น เรากำลังสนทนาอยู่ในกลุ่มเพื่อน แต่เราคุยฟุ้งแต่เรื่องส่วนตัวของเรา.."เมื่อวานนี้ไปเที่ยว
ทะเลมา สนุกมาก ได้เล่นน้ำทะเลกันจนเย็นแถมตัวดำอีก พอกลับมาเมื่อเช้านี้คุณแม่เกิดไม่สบาย
กะทันหัน ต้องพาไปโรงพยาบาล และไม่มีใครดูแลคุณพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์.."

จากคำพูดข้างต้น คนที่พูดก็ช่างเจรจาเหลือเกิน พูดถึงแต่เรื่องตัวเอง โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้
เพื่อนๆ ในกลุ่มใดพูด หรือแสดงความคิดเห็นบ้างเลย ซึ่งจริงๆ แล้วคนเราที่เป็นกลุ่มเพื่อนกันก็คง
ต้องการคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟัง บ้างแต่ต้องมีการแลกเปลี่ยน และสนใจเรื่องของเขา
มากกว่าพูดแต่เรื่องของตนเอง

4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"
ข้อนี้คงไม่ต้องบอก เพราะใครๆ ก็รู้ แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ยอมปฏิบัติ มีแต่จะรับข้างเดียว หวังแต่
ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับตัวเองเพียงเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่สนใจ ซึ่งคนประเภทที่ชอบรับข้างเดียว
ไม่ได้ให้ผู้อื่นตอบแทนบ้างเลย จัดเป็นคนที่มีลักษณะเป็นคนเห็นแก่ตัว..คนมักมาก, คนเอา
เปรียบ, คนเอาแต่ได้ แต่คนที่ให้มากกว่ารับจะมีเพื่อนมากกว่าคนที่รับมากกว่าให้อย่างแน่นอน
การให้และการรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ แต่รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน
หรือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการให้ที่มีคุณค่ามาก และโดยปกติคนทั่วไปก็คงชอบ
คนที่ให้เราบ้างยอมรับจากเราบ้างเพราะเวลาเขารับ อะไรจากเรา เรารู้สึกดีใจและพอใจ แต่ถ้าคุณ
เป็นฝ่ายรับจากเขาอยู่ข้างเดียว ก็คงต้องรู้สึกระอาใจบ้างไม่มากก็น้อย

5. มองโลกในแง่ดี
เราลองหันไปมอง รอบๆ ตัวเราว่าเป็นอย่างไร โดยขอให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ไม่ตำหนิ หรือ
ติเตียนสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น คนนี้เป็นคนไม่ดี บ้านนี้มีอะไรที่แปลกและน่ากลัว ผู้หญิงคนนี้
ไม่น่าคบ ฯลฯ คงเห็นแล้วว่าถ้าคนเรามีความคิดเช่นนี้กันทุกคน สังคมก็คงวุ่นวายน่าดูและคงมีแต่
ปัญหามากมายที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราลองมองโลกในแง่ดีบ้าง และทำเป็นประจำอยู่ตลอด คนที่อยู่
ใกล้เราก็จะมีความสุข

สิ่ง ต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนแต่เป็นวิธีที่จะทำให้เราสามารถเป็นที่รักของผู้อื่นได้อย่างมีความ
สุข ก็ขอให้คนเราเริ่มต้นด้วยการ "เป็นผู้ให้" เสียก่อน รับรองได้ว่าในเวลาต่อมาเราก็จะได้รับสิ่ง
ตอบแทนต่างๆ กลับมาอย่างมากมายจากคนที่รับให้นั้นด้วยความจริงใจ และเป็นการเสริมสร้างพลัง
ความรักและความเข้าใจระหว่างคนมากขึ้นด้วย
mangotree
ตอบตอบ: 16/02/2010 3:56 pm    ชื่อกระทู้:

hahaa

ลูกค้าคือพระเจ้า ..ว่ามั้ย

คุณเสี่ยอ้อ อยากรับประทานมะม่วงนอกฤดู สายพันธุ์อะไรล่ะครับ จะรับแบบอินทรีย์นำเคมี หรือ
เคมีนำอินทรีย์ ดี ต้องการแบบนำเมล็ดไปปลูกได้ หรือว่าจะเอาเมล็ดลีบๆ แบนๆ จัดได้...แต่ยก
เว้นมะม่วงคลาสสิก เช่น อกร่องนะขอรับ (มือยังไม่ถึง) เดี๋ยวผม(ซื้อ) ฝากคุณลุงคิมไปให้
hahah(เอ๊ยยไม่ช่าย)

ชมรมใหญ่อยู่ข้างบ้านผมเลย ... แต่ถ้ามันไม่ค่อยสดล่ะก็ ..นั่นเพราะคนนั้นบ้านไกล ..
Wink

หลายคนๆ ทำมะม่วงนอกฤดูได้ถึง 4 - 5 ครั้ง ในระยะเวลา 24 เดือน เมื่อมะม่วงของผมโตพอใน
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว แค่กิโลละ10 บาท ยังถูกหวยเล๊ยย ก็เพราะลุงคิมรูป
หล่อใบ้หวยให้นั่นแหละ ( อ๊ะๆ ลุงเครียดแล้ว )

(แต่ผมไม่เล่นการพนันน่ะ)
..ขอโม้หน่อยน่า..นิสนุง.. Wink
Aorrayong
ตอบตอบ: 16/02/2010 12:52 pm    ชื่อกระทู้:

ที่มา คัดลอกจากhttp://tu-r-sa.blogspot.com/2007/01/service-mind.html
ธรรมศาสตร์อาสา

Thammasat Volunteer
Address::>> http://tu-r-sa.blogspot.com Email::>> thammasatvolunteer@gmail.com

ความหมายของ Service Mind

ในปัจจุบันนี้ ทุกท่านคงจะได้ยินคำว่า “การมีจิตใจในการให้บริการที่ดี” หรือคำว่า Service
Mind อยู่เป็นประจำ หลายคนก็เข้าใจดีหลายคนก็ยังคงงุนงงสงสัยว่าที่จริงแล้ว หนังสือหลายเล่ม
พบว่าได้ให้ความหมายของคำว่า การมีจิตใจในการให้บริการที่ดี หรือคำว่า “Service Mind” ใน
ลักษณะที่ใกล้เคียงกันว่า การที่จะทำให้คนมีจิตใจในการให้บริการต้องนำเอาคำว่า “Service” มา
เป็นปรัชญา

โดยแยกอักษรของ คำว่า “Service” ออกเป็นความหมายดังนี้
S = Smile (อ่านว่า สม้าย) แปลว่า ยิ้มแย้ม
E = enthusiasm (อ่านว่า เอ่นทู้ซิแอ่สซึม) แปลว่า ความกระตือรือร้น
R = rapidness (อ่านว่า เร้ปปิดเนส) แปลว่า ความรวดเร็ว ครบถ้วน มีคุณภาพ
V = value (อ่านว่า ว้าลลู) แปลว่า มีคุณค่า
I = impression (อ่านว่า อิมเพริ้สเซน) แปลว่า ความประทับใจ
C = courtesy (อ่านว่า เค้อติซี) แปลว่า มีความสุภาพอ่อนโยน
E = endurance (อ่านว่า เอนดู้เรน) แปลว่า ความอดทน เก็บอารมณ์


สำหรับคำว่า “Mind” ก็ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
M = make believe (อ่านว่า เมค บิลี้ฟ) แปลว่า มีความเชื่อ
I = insist (อ่านว่า อินซิ้ส) แปลว่า ยืนยัน/ยอมรับ
N = necessitate (อ่านว่า เนอะเซ้สเซอะเตท) แปลว่า การให้ความสำคัญ
D = devote (อ่านว่า ดิโว้ต) แปลว่า อุทิศตน


คำ ว่า Service Mind นั้น ได้มีการพูดกันมาหลายปีทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ หากจะ
พิจารณาตามตัวอักษรรวมแล้ว คำว่า “Service” แปลว่า การบริการ คำว่า “Mind” แปลว่า “จิต
ใจ” รวมคำแล้วแปลว่า “มีจิตใจในการให้บริการ” ซึ่งพอสรุปได้ว่าการบริหารที่ดี ผู้ให้บริการต้องมี
จิตใจในการให้บริการ คือ ต้องมีจิตใจหรือมีใจรัก มีความเต็มใจในการบริการ การทำงานโดยมีใจ
รักจะแสดงออกมาทางกาย โดยการทำงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส มีอารมณ์รื่นเริง และควบคุม
อารมณ์ของตนเองได้ ไม่ขึ้นเสียงกับประชาชนหรือผู้มารับบริการ คำว่า Service Mind มีความ
หมายทางกว้าง อาจหมายถึง การบริการที่ดี แก่ลูกค้า หรือการทำให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ มี
ความสุข และได้รับผลประโยชน์ อย่างเต็มที่ ดังนั้น การให้บริการอย่างดีนั้นมักจะได้ความสำคัญ
กับแนวทางในการให้บริการสองแนวทาง ดังนี้ ประการแรก คือ ลูกค้าเป็นผู้ถูกเสมอ หรือเห็นว่า
ลูกค้าต้องได้รับการเอาอกเอาใจถือว่าถูกต้องและเป็นหนึ่งเสมอ หากต้องการให้บริการที่ดีต้องให้
ความสะดวก ใช้วาจาไพเราะ ให้คำแนะนำด้วยการยกย่องลูกค้าตลอดเวลา ประการที่สอง คือ ต้อง
ให้เกียรติลูกค้า ต้องไม่เป็นการบังคับขู่เข็ญให้ลูกค้า มีความพึงพอใจ เกิดความเชื่อถือจาก
พฤติกรรมของเราผู้ให้บริการ แล้วกลับมาใช้บริการ ของเราอีก การบริการที่ดีและมุ่งไปสู่ความเป็น
เลิศ ถือว่า ลูกค้าเป็นคนพิเศษ

Posted by Thammasat Volunteer at Wednesday, January 03, 2007