-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - เกษตร เก็บตก ตอน It's time to say SAYONARA.
ผู้ส่ง ข้อความ
noo-ring
ตอบตอบ: 11/03/2017 6:40 am    ชื่อกระทู้: เกษตร เก็บตก ตอน It’s time to say SAYONARA

สวัสดีจ้าลุง.... และเพื่อน ๆ สมาชิกจ้า


เกษตร เก็บตก ตอน It’s time to say SAYONARA



เรื่องนี้มีตำนาน.... หนูหริ่ง กับพี่หนานปัน อ่านแล้ว ต้องร้องไห้ ...จึงอยากฝามมาถึงเพื่อน ๆ ได้อ่านกันด้วยจ้า แต่ว่า บางคนอาจไม่ชอบ บางคนอาจจะชอบ ก็ไม่ว่ากันน่ะจ้า

เป็นเรื่องยากนักหนาที่ พระจักรพรรดิของญี่ปุ่นจะเสด็จออกนอกประเทศ เป็นเรื่องยากนักหนาที่ ที่ใครจะเข้าคำว่า เพื่อนที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อน.....



ทำไม? พระจักรพรรดิ-พระจักรพรรดินี ต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ร่วมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพในหลวง ร.๙






(1)


(2)


(3)


(4)

(1 – 4) ถึงเวลาแล้วที่เราจะพูดว่า "sayonara"

พระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น ลงนามถวายความอาลัยต่อพระสหาย องค์พ่อหลวง รัชกาลที่ 9
ง่ายแต่ได้ใจความที่สุด

....The time has come for us to say "sayonara" .
サヨナラ

Cr. วสันต์ วณิชชากร.





(5)


(6)


(7)


(8 )

(5 – 8 ) พระจริยวัตรอันงดงาม!!! "สมเด็จพระเทพฯ" เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ สมเด็จพระจักรพรรดิ-สมเด็จพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่น!!!

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพมหานคร ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ มีนาคม ๒๕๖๐




(9) จากนั้น เวลา 17.47 น. สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อแสดงความเสียพระราชหฤทัย และแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากสองประเทศมีพระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนาน





(10) ภายหลังวานนี้ (5 มี.ค.) เวลา 18.50 น. สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น ทรงพบกับสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทั้ง 3 พระองค์ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกันอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 30 นาที ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น ทรงซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงต้อนรับอย่างอบอุ่น และได้พระราชทานรถยนต์พระที่นั่งโรลส์-รอยซ์ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยประทับ มาให้ประทับในการเสด็จพระราชดำเนินไปในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย เป็นการส่วนพระองค์ ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคมนี้





(11) น้ำตาไม่เคยหยุดไหล! ดร.ธรณ์ เขียนไปร้องไห้ไป!กับเหตุผลที่กราบในหลวงได้หมดหัวใจ...

# การฑูตหยุดโลกตอน2 เมื่อสิ่งที่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ “ปลานิล”




(12) จากที่ทางทีม ปัญญาญาณ ทีนิวส์ เคยได้ทำข่าวในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์อันงดงามระหว่างราชวงศ์ไทย และญี่ปุ่น ในหัวเรื่อง การทูตหยุดโลกตอนที่1
ซึ่งเป็นเรื่องจาก บทความของ “ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” ที่เล่าถึงความสนพระทัยในเรื่องปลาเป็นพิเศษของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ในขณะที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น “มกุฎราชกุมาร” ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทย ในหลวง ร.9 ก็ได้ต้อนรับด้วยการพาทอดพระเนตรปลา ซึ่งถือเป็นเรื่องราวการเจริญสัมพันธไมตรีที่เรียกว่า “การฑูตหยุดโลก” โดยมี “ปลา” เป็นจุดเริ่มต้นของความประทับ จนกลายเป็นความสนิทสนมเป็นการส่วนพระองค์

จนต่อมาในพ.ศ.2508 พระองค์จึงขอพระราชทาน “ปลานิล” จากมกุฎราชกุมารญี่ปุ่น ซึ่งเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถคลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การทูตหยุดโลกตอนที่1

การทูตหยุดโลก 2 #บุญของแผ่นดินไทย จากพระวิสัยทัศน์ของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9

ในเวลาไม่ถึง 1 ปี ปลา 10 ตัวกลายเป็น 10,000 ตัว (ยังไม่รวมที่พระองค์เก็บไว้) ผมไม่ทราบจะอธิบายเช่นไร ? มีอิทธิฤทธิ์ บุญบารมี ?

แต่มีคำบอกเล่าว่า พระองค์ไม่ทรงเสวยปลานิล ด้วยเหตุผลง่ายๆ “เลี้ยงมาเหมือนลูก จะไปกินลงได้อย่างไร” (ถ้อยคำจากคำบอกเล่า)

บุญบารมีคงมีจุดเริ่มมาจาก “เลี้ยงมาเหมือนลูก” ทรงทุ่มเทฟูมฟัก เหมือนเศรษฐีดูแลเอาใจใส่ปลาราคาแพง เพื่อเลี้ยงไว้ประดับบารมี

เผอิญพระองค์ฟูมฟักปลานิล ไม่ใช่เพราะสวยดีประดับบารมีได้ แต่เพราะปลานิลคือปลาที่พระองค์ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นทางออกให้ประชาชนชาวสยาม

เวลาผ่านมา 50 ปี ผมไม่ต้องหาตัวเลขใดๆ มายืนยันว่าพระองค์ประสบความสำเร็จ ขอเพียงคุณเดินไปตามตลาด คุณเห็นปลานิลย่างปลานิลทอดบนตะแกรงบ้างไหม ?
มีปลาใดราคาถูกเท่านี้ มีเนื้อมากเท่านี้ และทุกคนกินได้กินดี ดังเช่นปลานิล





(13) ผมเพิ่มตัวเลขให้เพื่อความชัดเจน ปัจจุบัน เมืองไทยผลิตปลานิลได้ปีละ 220,000 ตัน จากฟาร์ม 300,000 แห่ง สร้างงานให้ผู้คนเรือนล้าน

ประเทศไทยยังส่งออกปลานิลไปทั่วโลก สร้างรายได้มหาศาล จนเป็นปลาส่งออกลำดับต้นๆ ของเมืองไทย นำทุกอย่างกลับมาคิดใหม่

2506 เสด็จเยือนญี่ปุ่น

2507 มกุฎราชกุมารเสด็จมาเมืองไทย ในหลวงพาไปดูปลาบู่

2508 ขอปลานิลมาเลี้ยง 50 ตัว

2509 พระราชทานปลา 10,000 ตัวให้กรมประมง

2559 ปลามากกว่า 220,000 ตันต่อปี สร้างงานให้คนนับล้าน เป็นโปรตีนราคาถูกและดีที่สุดของประเทศนี้

ผมพูดถึง “การทูตหยุดโลก” มาหลายครั้ง แต่ยังไม่อธิบายความหมายให้ชัดเจน
ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว

การทูตหยุดโลก จาก... ปลาบู่ ถึง ปลานิล = (ทำให้)คนไทยมีกิน = (ทำให้)คนมีงานทำ

เป็นสมการแสนง่าย แต่ใคร่ขอถามว่า แล้วใครจะคิดได้ ?

แล้วใครจะคิดได้เมื่อกว่า 50 ปีก่อน จะมีใคร ที่มองการณ์ไกลขนาดนั้น

สมัยผมเป็น สปช. เราช่วยกันทำยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี แค่นั้นยังปวดหัวแทบตาย

บางคนพูดว่าจะคิดไปได้ยังไงไกลขนาดนั้น บางคนบอกว่าสิงคโปร์มาเลเซียเขาทำหมดแล้ว เขาก้าวหน้าไปไกลกว่าเราตั้งนาน

20 ปี ? ก้าวไกลไปกว่าเราตั้งนาน ?

แต่นี่ 50 ปี จาก ปลาบู่ ถึงปลานิล คน 66 ล้าน มีกิน มีงาน.... คิดคนเดียว ทำจนจบ

ยังไม่พูดถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของสองประเทศ ไม่พูดถึงปรากฏการณ์ที่ไม่มีมาก่อน เมื่อองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น “ไว้ทุกข์” ให้พระสหายผู้สนิทสนมกว่า 50 ปี
ไว้ทุกข์ให้กับ “บุรุษผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในเรื่องปลา”

ไม่ใช่ค้นพบปลาสายพันธุ์ใหม่ ไม่ใช่เชี่ยวชาญเก่งกาจในวิทยาศาสตร์เรื่องปลา
แต่ทำให้ปลา 10 ตัวกลายเป็น 220,000 ตันต่อปี

ทำให้ “ปลา” กับ “คน” มาเชื่อมต่อกันอย่างสุดที่ใครจะเปรียบได้

ผมไม่ตั้งใจเขียนบทความนี้ให้คุณร้องไห้ เพราะผมเขียนไม่ไหวแล้ว บทความ “โลกร้อน” ทำเอาผมเกือบตาย

ผมตั้งใจจะสื่อให้ชัดเจนว่า ทำไมผมถึง “ กราบ ” ?
ผมไม่เคยกราบเพราะเขาบอกให้กราบ ไม่เคยกราบเพราะเขาสอนให้กราบ
ไม่เคยกราบเพราะคนอื่นเขากราบกัน ผมไม่กราบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ผมกราบ “ ความจริง ” เท่านั้น
ผมกราบสยบแทบเท้า กราบด้วยหัวจิตหัวใจ
กราบเพราะผมเห็นประจักษ์
กราบแทบเท้าพระองค์ท่าน




(14) คำว่า “เหลือเชื่อ” ถูกใช้กันจนเกร่อ

แต่สำหรับผมแล้ว อย่างนี้สิถึงเป็น “ เหลือเชื่อ ”

คิดได้ไง...ทำได้ไง...เหลือเชื่อ
จึงทรุดกายกราบซบหน้าแนบดินด้วยความอาลัย





(15) บุรุษผู้สร้างสิ่งที่ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้

อย่างนี้สิมันถึงต้องกราบ อย่างนี้สิมันถึงต้องร้องไห้

ร้องให้ใจสลาย...

ร้องเพราะยิ่งค้นยิ่งเขียน จึงยิ่งรู้ว่า

เราสูญเสียมากเกินไป มันมากเกินไปจริงๆ !

หมายเหตุ - ผมไม่เคยก้าวล่วงความคิดส่วนตัวของใคร จะคิดอย่างไรกับพระองค์ท่านเป็นสิทธิของคุณ
ว่าแต่...คุณเคยกินปลานิลไหมครับ ?



(16)


(17)

(16 - 17) แต่ในหนังสือทั้ง ๒ เล่มก็ยังได้เขียนถึงอาหารที่ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ทรงโปรดเสวยมาก ถึงกับโบกพระหัตถ์ให้ย้ายออกไปโดยมีหัวเรื่องว่า

“ในหลวงไม่ทรงโปรดเสวยปลานิล”

โดยมีการอธิบายไว้ว่า เมื่อทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลมาตั้งเครื่องเสวย จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่นโดยที่ไม่รับสั่งอะไรเลย จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระกระแสรับสั่งกลับมาว่า “ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินได้อย่างไร”





(18 ) ขอบคุณ ดร. ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์

ข่าว : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)

ที่มา – งานเขียนชุดนี้ผมตั้งใจทำเพื่อเป็นบทเรียนของนิสิต ม.เกษตรศาสตร์ ที่ผมกำลังจะนำไปสอน มีทั้งหมด 3 ตอน “โลกร้อน” “จากปลาบู่ถึงปลานิล” และ “จับปลาอย่างไร”

ผมใช้ถ้อยคำธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่ถนัดในการใช้ราชาศัพท์ และผมตั้งใจเขียนให้คุณอ่านเข้าใจง่าย

ผมยินดีให้คุณแชร์ไปใช้ประโยชน์ได้ แต่หากมีการตีพิมพ์ รบกวนติดต่อผมก่อนครับ เพราะแต่ละเรื่องใช้เวลานานมาก และใช้เวลาร้องไห้นานกว่า



.
(หมายเหตุ .- รูปในบางตอนขาดหายไป....ก็งงน่ะจ้า พยายามหาโปรแกรมลงรูปที่คิดว่าน่าจะดีแล้ว แต่ก็ยังมีรูปที่ขาดหายไป ขอเวลาหน่อยนึงจ้า หนูหริ่งจะพยายามนำกลับมาลงให้ครบ เพราะบางรูปได้มาจากพี่ทิดแดง พี่ตู่ พี่สร้อยน่ะจ้า)


.
orchid
ตอบตอบ: 07/12/2016 4:53 am    ชื่อกระทู้:

.
.

สวัสดีครับลุง พี่หนูหริ่ง


ตอนนี้ กระแสชาวนาสีข้าวขายเอง คงจะลดลงแล้วนะพี่...

ตอนรับจำนำข้าวเปลือก (ข้าวทำแป้ง) เกวียนละ 15,000.- ทำไมไม่เอาออกขาย เก็บไว้จนลันโกดังให้เป็นข่าวทำไม

แต่ในขณะที่ข้าวสาร (คนกิน) เกวียนละ 30,000.- ข้าวหอมมะลินาปี ยังไม่ได้เกี่ยว คุณเธอ ไปเอาข้าวหอมมะลิหลงฤดูที่ไหนมาขาย กก.ละ 20.- (เกวียนละ 20,000)

ใครจะสร้างภาพ หรือภาพจะสร้างใคร ผมไม่รู้นะ เพียงแต่ สงสัย ในฐานะคนซื้อข้าวกิน

อ้อ ลืมไป ข้าวโลละ 20.- คนอื่นไปซื้อเค้าไม่ขายให้นะ เค้าขายให้คนกันเอง

อัฐยาย ซื้อขนม ตา



ชาวนาจากอุบลฯ...คลองสาม...จว.อุบล อยู่หนใดครับ





.
kimzagass
ตอบตอบ: 05/11/2016 6:20 am    ชื่อกระทู้:

.
.

.... เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – คำพูดลุงคิมเป็นจริงแล้วจ้า....


แค่นี้เหรอที่ "ลุงคิม" พูด เพิ่งเป็นจริงเหรอ ? อย่างอื่นมีอีกมั้ย ?
แค่นี้เหรอที่ "คนอื่น" พูด เพิ่งเป็นจริงเหรอ ? อย่างอื่นมีบ้างมั้ย ?

นี่แหละ "คนบ้า ไม่มีหนี้.....คนดี หนี้เต็มบ้าน"


ปัญหาเยี่ยงนี้ ชาวนา/เกษตรกร ไม่รู้ ก.หาเชื่อไม่
ปัญหาเยื่องนี้ ผู้นำ/ผู้ส่งเสริม/ลูกหลานตัวเอง จบปริญญาได้ปริญแหญะ คิดไม่เป็น ก.หาเชื่อไม่




ชาวนาพิจิตร มีหนี้เป็นล้าน ฆ่าตัวตาย เพราะ....
* ทำนารอบเดียวเป็นหนี้ 1 ล้านเลยเหรอ ?
* ทำนา 100 ไร่ ที่นาตัวเอง เป็นหนี้ 1 ล้าน ขายนาใช้หนี้ก็ได้ ว่ามั้ย ?

* เช่าที่ทำนา ทำแล้วขาดทุน 1 ล้าน เพราะ ทำนาหลายรอบ ขาดทุนรอบละแสน อย่างน้อย 10 รอบ
รวมเป็น 1 ล้าน แล้วยอมขาดทุนซ้ำซากได้ไง ?

* หรือเป็นหนี้เพราะสาเหตุอื่น เช่น เล่นการพนัน กินเหล้า ยาเสพติด ให้อีหนู ยังไงๆก็ไม่ถึงล้าน ว่ามั้ย ?


* ทำนาเป็นหนี้ 1 ล้าน ทำนากี่ไร่ ? เป็นหนี้เพราะสาเหตุใด ? ในข่าว ทีวี.ไม่แจ้งง เพราะ...
ทีวี.ไทย มีแต่ข่าวประเภท "หมากัดคน" ไม่มีข่าวประเภท "คนกัดหมา" .... หรือ
มีแต่ข่าวปรถะเภท NEWS ไม่มีข่าวประเภท HOW TO ประมาณนี้นี่แหละ

* เพราะผู้บริโภคข่าว ชอบข่าวความฉิบหายของคน แต่ไม่ชอบข่าวความสำเร็จของคน
ทีวี.เลยทำแต่ข่าวฉิบหาย เพราะ "ขาย" ดี....งั้นมั้ง



noo-ring
ตอบตอบ: 05/11/2016 12:10 am    ชื่อกระทู้: เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – คำพูดลุงคิมเป็นจริงแล้วจ้า

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – คำพูดลุงคิมเป็นจริงแล้วจ้า

3.7.4.2 (2) “ ทำไมไม่สีข้าวขายเอง “


[size=17]ข่าวในระยะนี้ ราคาข้าวตกต่ำ ต่างก็สร้างกระแสให้ปั่นป่วน....ก็ว่ากันไปละจ้า...

ไอ้ตอนที่ประกันราคาข้าวเกวียนละ 15,000.- น่ะจ้า มีชาวนาคนไหนขายข้าวได้เกวียนละ 15,000.- บ้างจ๊ะ...แค่ 12,000.- เองจ้า...ผลต่าง 3,000 ใครได้ อยู่ที่ใครเป็นคนได้ล่ะจ๊า....

ทำไมไม่บอกล่ะจ๊าว่า ใครได้ในส่วนนี้น่ะจ้า....


แล้วอยากถามท่านผู้รู้ว่า ข้าวซื้อมา 12,000 หรือ 15,000.- จะเอาไปขายใครที่ไหน ขายประเทศไหน ขายที่โลกไหนล่ะจ๊า....เพราะทั่วโลกเค้าซื้อจาก ลาว เขมร เวียตนาม เกวียนละ ไม่ถึง 10,000.-

แถวบ้านหนูหริ่ง ยังมีคนข้ามไปซื้อจากฝั่งลาว(9,000) มาขาย 12,000 เลยอ่ะจ้า...

เมื่อขายใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครซื้อ มันก็ต้องเอาเก็บไว้ในโกดัง เท่ากับว่า เอาเงินภาษีของหนูหริ่ง ของพวกพวกเราๆ ไปดองไว้ในโกดัง.....

ซื้อมา 12,000.- หรือ 15,000.- จะเอาออกไปขายในราคาตลาดโลก 9,500 - 10,000.- มันก็ต้องขาดทุนใช่รึเปล่าจ๊า....แล้วเมื่อถ้าเอาไปขายขาดทุน ใครจะรับผิดชอบในส่วนต่างล่ะจ๊า

มาตอนนี้ ข้าวเหลือราคาเกวียนละ 6,00 - 7,500 มันก็เป็นไปตามราคาตลาดโลกละจ้า ก็พี่น้องชาวนา ไม่รู้จักปรับสภาพ ลดต้นทุนในการทำนา เคยทำยังไง ก็ทำอย่างนั้น มันก็ต้องเป็นอยู่ในสภาพนี้ละจ้า

พูดมากไปก็ไลฟ็บอย....มันก็มาถึงเวลาที่ชาวนาจะต้องช่วยตัวเอง โดย สีข้าวขายเอง ตามที่ลุงคิมเคยพูดมานานแล้วละจ้า ....

ชาวนาภาคเหนือ ภาคอีสาน กับภาคใต้ พอจะสีข้าวออกมาขายกันเองได้....เพราะปลูกข้าวที่คนกินน่ะจ้า

แต่ชาวนาภาคกลางคงจะแย่นะจ๊า เพราะไม่ได้ปลูกข้าวให้คนกิน ปลูกแต่ข้าว กข. ซึ่งหุงกินไม่ได้ เพราะมันแข็ง เป็นข้าวทำแป้ง ทำเส้นก๋วยเตี๋ยว น่ะจ้า




(1) ตามนั้นละจ้า ..ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกจ้า...




(2) ยังไง ๆ ก็ยังมีทางออกนะจ้า




(3) มาแล้วจ้า หอมมะลิสุรินทร์ โลละ 32 บาท
(หนูหริ่งลอกคุณ Pijarn Jangsawang เค้ามาให้เพื่อน ๆ อ่านกันนะจ้า ตามข้อมูลบอกว่า)

ผมมักตื่นเต้นเวลาเห็นชาวนาหันมาขายข้าวสารแทนการขายข้าวเปลือก
วันนี้ผมเจอพี่ผึ้ง ชาวนาจากอำเภอศรีขรภูมิ เอาข้าวสารใส่รถเร่ขายอยู่ข้างตลาด

"พี่เอาข้าวเปลือกไปขายให้โรงสี เขาบอกข้าวเรามีความชื้น ให้กิโลละ 7 บาท"

"ข้าวหอมมะลิก็ 7 บาทเหรอพี่"

"เขาไม่แยกหรอก 7 บาทเท่ากันหมด"

ข้าวเปลือกตันละ 7000 บาท ทำให้ชาวนาอย่างพี่ผึ้งต้องปรับตัว ออกมาขายข้าวสาร ซึ่งได้มูลค่าเพิ่ม 3-4 เท่าตัว

ผมเคยวิจารณ์ไว้ ไม่ว่าจะนโยบายประกันราคาข้าว จำนำข้าว หรือชะลอการขาย ล้วนเป็นนโยบายที่ฉาบฉวย ไม่แตะต้องเรื่องโครงสร้างราคาของข้าวเปลือกไปสู่ข้าวสารเลย

ผมรอวันที่มีซักพรรคการเมือง เสนอการแก้ปัญหาให้ชาวนาโดยใช้นโยบาย สหกรณ์ข้าว และโรงสีชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้เงินไม่มากแต่สามารถแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

สำหรับชาวนา คุณควรเลิกขายข้าวเปลือกและหาทางขายข้าวสารให้ผู้บริโภคโดยตรงได้แล้ว

ส่วนผู้บริโภค ผมอยากให้คุณลองข้าวหอมมะลิ สีใหม่จากสุรินทร์ดูสักครั้ง คุณจะลืมรสชาติข้าวที่คุณเคยทานมาทั้งชีวิตของคุณเลยก็ว่าได้

Credit Pijarn Jangsawang

คอมเม้นต์.. โรงสีชุมชน เคยมี จากเงิน กองทุนหมู่บ้าน แต่ทุกคนไม่รับผิดชอบ ใช้ ๆ ไม่รักษา มันก็พังครับ พอพังก็ไม่มีปัญญาซ่อม ก็ทิ้งไว้งั้น กลับไปขายข้าวเปลือกเหมือนเดิม





(4) ตลอดชีวิตมหาวิทยาลัยของผม ผมเฝ้าหาคำตอบมาตลอดว่า "ทำไมชาวนาถึงจน"

แน่นอน จะมีคนบอกว่า เพราะ พวก เขา "ขี้เกียจ"

ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาทำงานหนักกว่าใคร ผมซึ้งความเป็นจริงข้อนี้ดี
การทำให้ชาวนาขายข้าวเปลือกไม่ได้ยากซับซ้อนอะไรในยุคโซเชี่ยลแบบปัจจุบัน
น้องชายผมจะเกี่ยวข้าวปลายปีนี้ คุณสามารถสั่งจองข้าวสารสีใหม่ ที่หุงขึ้นหม้อ หอม มัน อร่อย ได้โดยตรงใด้เลยครับ ง่ายๆแค่นี้แหละครับ

ช่าวนาไม่ต้องเพิ่มต้นทุนอะไร พวกเขาแค่เอาข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวได้ สีกับโรงสีเล็กๆ ที่มีทุกหมู่บ้าน แล้วบรรทุกมาส่งคุณ ง่ายๆ แค่นั้น และเขาก็มีเงินส่งค่าปุ๋ยได้ทันเวลา

มีคนบอกผมว่าทำให้ชาวนาขายข้าวทำได้ยาก แต่ผมจะบอกคุณว่า มันทำได้ง่ายมาก
หากคุณเป็นลูกหลานชาวนา และอยู่ในเมือง คุณควรเริ่มหาตลาดจากเพื่อนๆไกล้ตัวคุณ เพื่อนใน facebook เอาข้าวมาให้พวกเขาชิม เสนอขายให้พวกเขา ผมทำมาตลอด สองสามปี และมีคนติดใจรสชาติของมันแล้วครับ

หากคุณเป็นคนทานข้าวมองหาลูกหลานชาวนาในออฟฟิศคุณ จากเพื่อนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คของคุณ คุณจะพบ และช่วยอุดหนุนพวกเขาได้ และคุณอาจจะประหยัดเงินในกระเป๋าลงและได้ข้าวที่มีคุณภาพดีขึ้น

การทำให้ชาวนาขายข้าวได้ ไม่ได้อยู่ที่ชาวนาอย่างเดียวครับ คุณก็ทำได้ เราทุกคน!




(5)


(6)

(5 - 6) ตัวอย่างเริ่มแล้ว จากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค เห็นที่ไหนสนับสนุนครับ ช่วยกันเองก่อน ใครมีการรวมกลุ่มต้องการขายข้าวทางเรายินดีช่วยประชาสัมพันธ์เต็มที่ ราคาไม่แพงแถมได้ข้าวคุณภาพดี ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ร่วมด้วยช่วยกันชาวนาคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนละไม้คนละมือครับ (ข้างท้ายมีรายชื่อผู้สีข้าวขายเอง)
ชาวตำบลสะกาด อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ผ่าวิกฤตราคาข้าว ด้วยการรวมกลุ่มสีข้าวหอมมะลิขายเอง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง


สั่งซื้อติดต่อ นายเมธา ขอชัย ปลัด อบต.สะกาด 098-121-8398

เพิ่มเติมการติดต่อซื้อข้าวสีขายเองโดยตรงสะดวกเบอร์ไหนติดต่อกันครับ (ทางเพจรวบรวมจากเพื่อนที่ส่งเข้ามา) อุดหนุนกัน

พบเห็นสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้องแจ้งได้ ทางเพจเป็นแค่ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจำหน่าย เรื่องรายละเอียด ราคา และอื่นๆ ติดต่อคุยกันดูครับ ผมเชื่อว่าชาวนาไทยมีแต่ความจริงใจ

Sopin Selalak มีข้าวสารจำหน่ายค่ะ 098 – 786-0682
ถ้าใครสนใจติดต่อเข้ามาสอบถามได้นะคะ Line id:0851053417
(ชาวนาเซราะกราว)

Phannapa Junkana สนใจข้าวหอมมะลิใหม่ราคาถูกคุณภาพดีติดต่อเราได้ค่ะ 096 – 483-8839

ถ้ามีใครสนใจ พิกัดที่ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เส้นทางที่ผ่านที่สามารถส่งให้ได้ โคราช สระบุรี อยุธยา ปทุมธานี กทม สมุทรปราการคะ ค่าส่งอาจจะฟรี หรือใกล้ไกลคุยกันได้นะคะ ทักแชทหรือไลน์ kemjira2252 คะ

กระต่ายอ้อนจันทร์ เปล่งชัย ฝากด้วยครับ 081 – 579-4578
ครูเอี้ยง เลขานุการกลุ่มครู

ดอกไม้หอม ปลูกเอง ผลิตเอง แพคสุญญากาศอย่างดีคะ มีข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวหอมมะลิไม่ไหวกับราคาข้าวเปลือก ทำครอบครัวคะ สนใจก็สั่งเข้ามาได้นะคะ ข้าวบุรีรัมย์..อุดหนุนชาวนาโดยตรงจ้า..
Line id:085 – 105-3417

ใครต้องการข้าวสารสวยราคาถูกๆกว่าท้องตลาดแน่นอนคนบุรีรัมย์เราไม่ทิ้งกันช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยเด๊อ โทร 082-1391-751

Kaingkai Seeprom ท่านไหนต้องการข้าวสารใหม่ติดต่อได้ครับ พ่อแม่พี่น้องผมเยอะ มีหลายตัน ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง อยู่ที่อุบลฯ อ.สำโรง 089 – 630-1895

Chonthicha Boonrab โซนระยองสั่งได้ค่ะ จากลูกชาวนาบุรีรัมย์อีกคน สนใจทัก idline 0854704403

ที่บ้านมีโรงสีข้าวเล็ก ใครสนใจสั่งข้าวสารราคาชาวนา ติดต่อมาได้ค่ะ line : cleeo (บ้านอยู่บุรีรัมย์) ต. ชุมเห็ด อ. เมือง
สนใจโทร 087 – 871-8086 ไอดีไลน์ alisa11129
(กิโลเดียวเราก็ส่งให้นะคะ ขอบคุณที่อุดหนุนและช่วยเหลือชาวนาไทยค่ะ)



.
noo-ring
ตอบตอบ: 02/11/2016 12:08 am    ชื่อกระทู้: เกษตร...สิ่งละอัน พันละน้อย ตอน – พระบารมีปกกล้า

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอัน พันละน้อย ตอน – พระบารมีปกกล้า

(3.7.4.2) (1) .....




31 ตค. 59




(1)


(2)


(3)


(4)


(5)


(6)


(7)


(8 )


(9)


(10)


(11)


(12)


(13)


(14)


(15)


(16)

(1 – 16) แขกของพระองค์

ความภักดีที่มีต่อพ่อหลวง กับการรอคอยกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ เข้าไปถวายบังคมพระบรมศพยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง และอารมณ์ความผิดหวัง ระคนโศกเศร้า ที่แสดงออกมาที่สีหน้า แววตาและการร้องไห้อาลัย แม้แดดจะร้อน ฝนจะตก ปวงข้าพระพุทธเจ้า ไม่เคยย่อท้อ......




(17) นี่แหละ ใช่เลยจ้า



(18 )


(19)

(18 – 19) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมการข้าว กระทรวงเกษตรฯ ได้นำพันธุ์ข้าวชั้นดีมาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เข้ามาสักการะ





(20) ราคาข้าวตอนนี้มันถูกจริง ๆ เลยจ้า กิโลละ 6 บาท เกวียนละ 6 พันเองจ้า สูงสุดก็ 7 พันนิด ๆ จ้า .


ลุงคิมเคยพูดว่า “ ทำไมไม่สีข้าวขายเอง “ ณ วันนี้ คำพูดของลุงคิมเป็นจริงแล้วจ้า......ถึงเวลาแล้วหรือยังจ๊า ที่จะเลิกขายข้าวให้พ่อค้า หันมาขายเองได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยน่ะจ้า....
DangSalaya
ตอบตอบ: 28/09/2016 11:10 pm    ชื่อกระทู้: ว่าด้วย เกษตร....ตอน – พืช 5 ชนิดปลูกแล้วรวยเว่อร์

สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อนสมาชิกทุกคน


สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – พืช 5 ชนิดปลูกแล้วรวยเว่อร์


บทที่ 5.1 ตอน 3.7.4.1




พอดีว่า ไอ้หนูหริ่งเค้ามีปัญหาเรื่องคอมพิวเตอร์ กับระบบอินเตอร์เนต....จะนำเสนอเรื่องต่อก็ไม่สะดวก...ก็เลยบอกให้ไอ้ตู่ ช่วยเอาเรื่องลงต่อให้หน่อย...

ไอ้ตู่ก็บอกว่า มันไม่ค่อยมีเวลา...ก็เลยบอกขอให้ผมช่วยนำเสนอให้ไอ้หริ่งมันหน่อย...

ผมเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ก็ไม่อาจขัดศรัทธาน้องๆ มันได้ ก็เลยช่วยสงเคราะห์ให้ตามสมควร....

ตามข้อมูลที่ส่งมา.....เค้าว่าไว้ดังนี้





(1) ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรชั้นดี ที่ผ่านมาเราขาดการส่งเสริมและสนับสนุน หนำซ้ำยังหันไปหมกมุ่นอยู่กับสินค้าอุตสาหกรรมจนล้นตลาด แต่วันนี้หลายคนเริ่มตระหนักว่าอาหารคือปัจจัยสำคัญของชีวิต ทุกคนบนโลกล้วนต้องการอาหาร แล้วทำไมเราไม่ผลิตอาหารป้อนสู่ตลาดโลก ล่าสุดสำนักข่าว “Thai quote” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพืชเกษตรทั้ง 5 ชนิดที่ใครก็ตามตั้งใจทำจริง รวยเว่อร์..แน่นอน





(2) อันดับที่ 1 คือ ตะไคร้

เป็นพืชเกษตรที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งเพราะใช้ได้ตั้งแต่โคนจรดปลาย ทำได้ตั้งแต่เครื่องต้มยำยันน้ำสุขภาพ โรงงานเครื่องแกงเสาะหากันจ้าละหวั่น ขนาดทำสัญญาซื้อขายตั้งแต่เตรียมดิน สนนราคาการันตีขั้นต่ำ กก.10-15 บาท

ว่ากันว่าเกษตรกรบางคนมีรายได้จากการปลูกตะไคร้ขายมากถึงวันละ 30,000 บาท ปลูกง่ายรายได้ดีขนาดนี้ ไม่ทำไม่ได้แล้ว




(3)


(4)


(5)


(6)

(3 - 6) อันดับที่ 2 คือ กล้วย

เกิดมาเพิ่งเคยเจอ กล้วยน้ำว้า หวีละเกือบ 100

ขึ้นชื่อว่ากล้วยไม่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม หรือแม้กระทั่งกล้วยตาก มีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย เพราะตลาดมีความต้องการสูง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นกับจีนต้องมาจองกันถึงสวน

ไม่ต้องมองอื่นไกล แค่ในบ้านเรา กล้วยหอมหวีสวยๆขายกันหวีละ 90-150 บาท ในคอนวีเนียนสโตร์ ลูกละ 8 บาท ไม่พอขาย เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่เกษตรกรหลายคนจะหันไปปลูกกล้วยโกยรายได้ในช่วงน้ำแล้งแบบนี้





(7) อันดับที่ 3 คือ มะนาว

พืชอีกชนิดที่ทำเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำ จะปลูกแบบเป็นไร่หรือปลูกในกระถาง หรือในอ่างซีเมนต์ก็ได้ กรรมวิธีการปลูกไม่ยาก ถ้าได้พันธุ์ดีๆให้น้ำมาก เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถขายได้ราคา ผลละ 4 - 5 บาท แหล่งระบายสินค้ามีตั้งแต่ตลาดสด ตลาดนัด ร้านเครื่องดื่ม ร้านอาหาร เรียกว่าถ้ามีแรงปลูกก็มีคนซื้อว่างั้นเถอะ





(8 ) อันดับที่ 4 คือมะพร้าวน้ำหอม

อันว่า มะพร้าว นั้นกินสดก็ได้ แปรรูปก็ดี โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมของไทยขึ้นชื่อลือชาติดตลาดโลกโกยเงินเข้าประเทศปีละหลายพันล้าน ตลาดใหญ่ๆคือฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และยุโรป ยิ่งในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มองข้ามมะพร้าวหันไปปลูกพืชชนิดอื่น

เจ้าของสวนมะพร้าวเลยโกยเงินเพลิน เพราะคนปลูกน้อย แต่ความต้องการในตลาดมีมาก ประกอบกับตอนนี้มีเทคนิคปอกเปลือกกินได้ทั้งลูกก็เลยยิ่งได้รับความนิยม ขายกันลูกละ 20-30 บาท ว่ากันว่าตลาดต่างประเทศอย่างเกาหลีใต้วางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตลูกละ 70 บาท





(9) อันดับที่ 5 คือ มะม่วง

มะม่วง ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนมะม่วงก็ยังเป็นสินค้ายอดฮิตติดลมบน เป็นผลไม้มีอนาคต ถ้าทำดี ผลผลิตงาม รับรองพ่อค้าวิ่งมาจองซื้อถึงสวน กำไรก็ไม่มากไม่น้อย บวกลบต้นทุนเหลือประมาณไร่ละ 50,000 บาท ถ้าปลูกซัก 30 ไร่ก็ลองคูณว่าจะได้กำไรเท่าไหร่

ในต่างประเทศขายกันใบหนึ่งหลายสิบบาท เช่นมะม่วงน้ำดอกไม้ในญี่ปุ่นขายกันลูกละ 50 บาท เห็นแบบนี้ไม่ปลูกไม่ได้แล้ว

ที่มา : Thaiquote
http://thaiquote.org/article-details.php?code=733




(10)



(11)

(10 – 11) พืชที่แนะนำอีกอย่างนึง... ข้าวโพดแฟนซี...(ข้าวโพดกินฝัก)

เป็นพืชที่น่าปลูกมีหลากหลายสายพันธุ์ และต่างสีสันสวยงาม ไม่ว่าจะต้ม จะเผา...ขายดิบขายดีทั้งนั้น สนนราคาฝักละ 20 – 30 บาท

แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าการจะปลูกพืชชนิดไหน ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ใช่เห็นคนอื่นรวยเว่อร์ก็ทำตาม แบบนั้นนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังทำให้สินค้าล้นตลาดอีกต่างหาก





.


เปลี่ยน หัวเรื่องหน้า 1 เองนะน้อง..
kaset3
ตอบตอบ: 03/08/2016 1:50 pm    ชื่อกระทู้: คุณ noo-ring

.
.
ขอหลังใมคืหน่อยครับ สถานที่ติดต่อครับ

.
noo-ring
ตอบตอบ: 30/11/2015 11:14 pm    ชื่อกระทู้: เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – นางตานี Go Inter

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า



เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – นางตานี Go Inter


(5.1- 3.7.4) นางตานีไปเมืองนอก

หนูหริ่ง ติดภารกิจ ไม่ได้เข้าเวปลุงมาหลายวัน......ขอตอบปัญหาคลายความสงสัยของคุณ Neung ชัยภูมิก่อน จ้า คำถามว่า

ต้นพันธุ์ ปากช่อง50 ทำไมถึงแพงกว่าทุกพันธุ์ (สงสัยครับ)

ตอบ

(1) รถเบนซ์ กับรถ โตโยต้า หรือยี่ห้ออื่น ก็เป็นรถเหมือนกัน ทำไมรถเบนซ์ แพงกว่า รถโตโยต้า หรือรถยี่ห้ออื่นล่ะจ๊า

(2) ทุเรียนก้านยาว ก็ทุเรียนเหมือนกัน ทำไมแพงกว่าทุเรียนอย่างอื่นล่ะจ๊า เพราะทุรียนก้านยาวกินอร่อยและเป็นที่นิยม กล้วยปากช่อง50 ก็เช่นเดียวกันจ้า

(3) สารเคมีที่เป็นส่วนผสมในวุ้นอาหารที่ใช้ปั่นตากล้วยพันธุ์ปากช่อง50 ต้องเพิ่มสารเคมีบางอย่างมากกว่าวุ้นอาหารที่ใช้ปั่นตากล้วยพันธุ์อื่น ๆ จ้า ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ราคาต้นพันธุ์จึงแพงกว่ากล้วยทุกพันธุ์ กระเทือนไปถึง หน่อกล้วยปากช่อง50 จึงมีราคาสูงตามไปด้วย น่ะจ้า


หนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ...บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ ครับ หรือ ผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า จำต้องรักษาคำในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ...โมทนาสาธุจ้า


นางตานี Go Inter

ใครจะไปคิดว่าใบตองที่เห็นจนคุ้นตาจะมีปริมาณการใช้มากจนสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างอาชีพได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปคิดใบตองธรรมดาๆ นี่แหละจะกลายเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้เข้าประเทศได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะจะว่ากันไปแล้วการปลูกกล้วยตัดใบเพื่อขายเป็นใบตองดูจะเป็นพืชนอกความสนใจหรือพืชนอกสายตาของใครหลายคน



(1) ที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพปลูกกล้วยตานีขายใบกันมานานร่วม 40 - 50 ปีแล้ว สืบทอดอาชีพกันจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 10,000 ไร่ เลยทีเดียว นับเป็นแหล่งปลูกกล้วยตานีเพื่อตัดใบขายแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีการปลูกกันมากในเขต ต.บางยม ย่านยาว ปากน้ำ ท่าทอง เมืองและคลองกระจง โดยเฉพาะในเขต ต.คลองกระจงมีพื้นที่มากที่สุดกว่า 8,000 ไร่ ไม่ธรรมดาจริงๆครับ วันนี้ก้าวไกลสู่ตลาดส่งออก



(2) กล้วยตานีเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง ใบมีลักษณะสวย มันเงา ขนาดใบยาว กว้างและเหนียว ในอดีตนิยมนำใบกล้วยตานีมามวนบุหรี่และใช้ทำภาชนะบรรจุอาหาร ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของใบกล้วยตานีจึงนำมาใช้เพื่อห่อขนมต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนของปลี หยวกและผลอ่อนก็นำมาประกอบอาหาร แต่ผลแก่ไม่นิยมรับประทานเพราะมีเมล็ดมาก มีข้อสันนิษฐานว่ากล้วยตานีน่าจะนำเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยตอนต้น หรือช่วงที่คนไทยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จังหวัดสุโขทัยจะมีการอนุรักษ์และกลายเป็นแหล่งปลูกกล้วยตานีมากที่สุดของประเทศ


กล้วยตานีที่ใช้ตัดใบได้จะมี 3 ชนิด คือ กล้วยตานีป่า กล้วยตานีหินและกล้วยตานีหม้อ แต่ชนิดที่นิยมปลูกกันมากจะเป็นกล้วยตานีหม้อเพราะทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ หาอาหารเก่ง สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 3 - 5 ลิตร จุดเด่นของใบตองคือ ใบมีขนาดใหญ่และหนา ใบเหนียว ไม่แตกง่าย มีกลิ่นหอมถ้าถูกความร้อนจะไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยน

กล้วยตานีที่นี่จะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั้งปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน รั้วสวน ปลูกแซมในสวนไม้ผลไปจนถึงปลูกเป็นสวนเดี่ยวเชิงธุรกิจ โดยผู้ที่เป็นแกนนำก็คือ
คุณบุญชอบ เอมอิ่ม ซึ่งทำสวนมะยงชิด มะปรางหวานเป็นไม้ผลหลัก ประมาณ 30 ไร่ และปลูกกล้วยตานีแซมในสวนไม้ผล

คุณบุญชอบนับเป็นเกษตรกรหัวก้าวหน้าที่พัฒนาการเกษตรจนได้รับตำแหน่งต่างๆมากมาย อาทิ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำสวน ปี 2553 ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 6 ด้านเกษตรกรรม ประจำปี 2552 จาก กระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งยังได้ปริญญาเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ม.เชียงใหม่

คุณบุญชอบ ได้ศึกษาและพัฒนาสายพันธุ์มะปราง มะยงชิด จนได้มะปรางสายพันธุ์สุโขทัยแท้ มะปรางสายพันธุ์ใหม่ที่ครูบุญชอบได้คิดค้นพัฒนาขึ้นมามีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์เจ้าเนื้อทอง 1, 2 พันธุ์ทองเอมอิ่ม 1, 2 พันธุ์ทองสุโข พันธุ์ทองพวง พันธุ์ทองหยด ซึ่งแตกต่างจากพันธุ์เดิม คือ ผลสีสวย มีขนาดใหญ่ เมล็ดลีบแบน เปลือกหนาไม่ช้ำง่าย เนื้อแข็งไม่ฉ่ำน้ำ รสชาติดีหวานสนิท ผลดิบจะมีรสมันไม่ระคายคอ ล้วนแต่เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะโดดเด่นและได้รับรางวัลมากมายจากหลายสถาบัน

นอกจากนั้นได้ริเริ่มประดิษฐ์ “สามล้อเกษตรอเนกประสงค์” ได้รับรางวัลเป็นผู้อนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านเครื่องมือดีเด่นเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่เครือข่ายอย่างกว้างขวาง ผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ

สวนของบุญชอบ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ในลักษณะสวนไม้ผลผสมผสาน ที่ดำเนินงานตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของกรมการศึกษานอกโรงเรียน และเป็นศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านกรงทอง ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัยที่มีผู้สนใจเข้ามาดูงานทั้งภาครัฐ เอกชนจนถึงเกษตรกรมาศึกษาดูงานอยู่ไม่ขาด

ในส่วนของกล้วยตานีคุณบุญชอบพยายามที่จะปลูกกล้วยตานีเพื่อให้ได้ใบตองที่มีคุณภาพ ยกระดับใบตองของที่นี่ให้มีคุณภาพสูง จนปัจจุบันนอกจากการจำหน่ายใบตองป้อนตลาดในประเทศแล้ว กลุ่มนี้ยังรวบรวมผลผลิตให้กับบริษัทส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งกล้วยตัดใบที่จะส่งออกได้ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP และสมาชิกต้องผ่านการอบรมการผลิตใบกล้วยที่ถูกต้อง ปัจจุบันมีสมาชิกราว 40 - 50 คน พื้นที่รวมประมาณ 600 ไร่

การผลิตใบกล้วยส่งตลาดต่างประเทศแม้จะได้ราคาสูงกว่าป้อนตลาดในประเทศแต่คุณภาพของใบกล้วยที่กำหนดไว้ค่อนข้างสูงก็นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความสนใจกับการผลิตเพื่อส่งออก แต่คุณบุญชอบก็ยังเดินหน้าที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการผลิตใบตองคุณภาพเพื่อความยั่งยืนของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ยังสามารถขยายตลาดได้อีกมากและจะเป็นตลาดรองรับผลผลิตที่มีศักยภาพในอนาคต

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าการปลูกกล้วยตานีของที่นี่จะมีทั้งที่ปลูกเป็นพืชเดี่ยวและปลูกเป็นพืชแซมในสวนไม้ผล กล้วยตานีจึงเป็นทั้งพืชสร้างรายได้หลักและพืชสร้างรายได้เสริม สำหรับสวนคุณบุญชอบนั้นจะปลูกกล้วยตานีแซมในสวนไม้ผล โดยใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร หรือ 180 ต้นต่อไร่ ถ้าปลูกเชิงเดี่ยวหรือระยะของไม้ผลกว้างมากก็อาจปลูกในระยะ 2.5 x 2.5 เมตร หรือ 240 ต้นต่อไร่

คุณบุญชอบบอกว่า กล้วยตานีปลูกและดูแลเหมือนการปลูกกล้วยทั่วไป โดยหลังปลูกแล้วประมาณ 6 - 8 เดือนจะใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 200 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตประมาณ 12 - 15 กิโลกรัมต่อไร่ มีการพรวนดินแปลงปลูกปีละ 1 ครั้ง กำจัดวัชพืชปีละ 2 ครั้ง ช่วงหน้าแล้งจะมีการให้น้ำเดือนละครั้ง หลังปลูกไปได้ 6 - 8 เดือน ก็เริ่มตัดใบขายจนกระทั่งกล้วยเริ่มออกปลี จึงตัดต้นแม่ทิ้ง ปล่อยให้หน่อลูกข้างต้นแม่ขึ้นมาแทน กล้วยตานีที่ปลูกในครั้งแรกจะตัดใบได้ประมาณ 24 ใบต่อต้น พอเข้าปีที่ 2 หน่อลูกที่เจริญขึ้นมาแทนต้นแม่ก็จะสามารถตัดใบขายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 เท่าของปีแรก ในปีที่ 3 หน่อลูกจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะต้องควบคุมให้หน่อกล้วยตานีต่อกอไว้ประมาณ 5 - 7 ต้น หากไว้มากเกินไปจะทำให้ใบตองมีขนาดเล็กและคุณภาพของใบกล้วยลดลง นอกจากนี้ควรจะมีการตัดแต่งใบที่เน่าเสีย ใบที่ฉีกขาดหรือไม่มีคุณภาพทิ้งอยู่เสมอ จะช่วยให้กล้วยตานีแตกใบใหม่ที่สวยและมีคุณภาพ

ปัญหาของกล้วยตานีไม่ต่างจากกล้วยชนิดอื่น โรคที่พบส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรคตายพราย กล้วยจะมีอาการใบเหลือง ไหม้ ต้นเน่า ยืนต้นตาย ส่วนแมลงที่พบส่วนใหญ่ก็จะมีด้วงงวงเจาะลำต้น แต่ก็ไม่รุนแรงและชาวสวนก็จะใช้วิธีตัดใบที่เป็นโรคทิ้งมากกว่าการใช้สารเคมี นอกจากนี้ก็จะมีปัญหาใบตองแตกในช่วงเดือน มีนาคม-พฤษภาคม เนื่องจากพายุลมร้อน

สำหรับรายได้จากการปลูกกล้วยตานีเพื่อขายใบนั้น ถ้าเป็นการปลูกกล้วยเชิงเดี่ยวบนพื้นที่ 1 ไร่ หากสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากใบกล้วยได้เต็มที่โดยกล้วยไม่เสียหายจากโรค-แมลงหรือภัยธรรมชาติ ชาวสวนจะมีรายได้ประมาณ 8,000 - 10,000 บาทต่อไร่ แต่ถ้าเสียหายรายได้ก็จะลดลงเหลือประมาณ 4,000 - 5,000 บาท/ไร่ โดยต้นทุนการดูแลจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 2,500 บาท/ไร่ เป็นค่าการจัดการในสวน เช่น การจ้างแรงงานทำความสะอาดแปลง ตัดหญ้า สางใบ ค่าปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี ค่าน้ำมัน(สำหรับเครื่องสูบน้ำ) ผลตอบแทนจะมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการจัดการเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงที่สุด เสียหายน้อยที่สุดและมีต้นทุนต่ำที่สุดนั่นเอง



(3) คุณภาพของใบตองแบบไหนที่ตลาดต้องการ
ใบกล้วยตานีที่มีคุณภาพดีเหมาะแก่การทำใบตอง คือ ใบฉะหลาบ หรือใบที่ถัดลงมาจากยอดหรือใบเทียนลงมาประมาณ 1 - 2 ใบ ซึ่งเป็นใบกล้วยที่มีลักษณะอ่อนกำลังดี เหมาะแก่การใช้ห่อหุ้มสำหรับทำขนมหรือห่อหุ้มสิ่งของต่างๆ เป็นใบที่มีความสวยงาม สมบูรณ์และมีคุณภาพที่ดี โดย ใบเทียน ก็คือใบที่เราเห็นมีลักษณะม้วนเหมือนเทียนอยู่บริเวณตรงกลางยอดนั่นเอง



(4)ใบที่มีคุณภาพสำหรับป้อนตลาดต่างประเทศจะเป็นใบรองเทียนซึ่งก็จะเป็นใบที่อยู่ล่างลงมาจากใบเทียน ถ้าเป็นใบตองที่ส่งตลาดต่างประเทศ ต้องคัดใบที่มีความสวยงาม ความกว้างของใบจะมี 2 ขนาด คือ ความกว้าง 8 - 12 นิ้ว และ ความกว้างใบ 10 - 14 นิ้ว ไม่จำกัดความยาว ไม่ฉีกขาดเกิน 3 แฉก ส่วนใบที่ส่งตลาดในประเทศคุณภาพจะต่ำกว่าที่ส่งตลาดต่างประเทศ แต่ก็จะเป็นใบที่มีความสมบูรณ์ สวยงามเช่นกัน



(5) การตัดใบตองเพื่อจำหน่ายนั้นจะนิยมตัด 2 ช่วง ถ้าช่วงเช้าก็ประมาณ 10.00 น. ช่วงเย็น 15.00 -18.00 น. เพราะใบกล้วยที่ตัดในช่วงดังกล่าวจะเป็นใบที่ค่อนข้างแห้ง ไม่มียางหรือน้ำค้างไหลออกมาทำให้ใบตองเปรอะเปื้อน หลังตัดแล้วจะนำใบมารวบรวมไว้ในร่มก่อน จากนั้นนำไปกรีดส่วนที่เป็นใบออกจากก้านใบ นำมาวางซ้อนกันแล้วพับ 3 พับ ซ้าย ขวาและกลาง แล้วรดน้ำเพื่อคลายความร้อนและสร้างความชุ่มชื้นให้กับใบในยามค่ำคืน รุ่งเช้าก็จะนำใบตองมาพับเป็นมัดๆละ 5 กิโลกรัมเพื่อส่งตลาด

สำหรับผลผลิตใบตองที่ ต.คลองกระจงนี้ จะมีการตัดใบตองส่งขายทุกวัน เฉลี่ยวันละ 20 - 30 ตัน โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะขายตลาดในประเทศ ใบตองที่นี่จะคัด 3 เกรด

เกรด A ซึ่งเป็นใบค่อนข้างใหญ่ ไม่มีตำหนิ ก็จะส่งตลาดต่างประเทศเพื่อป้อนให้กับร้านอาหารไทยในต่างประเทศ

เกรด B จะป้อนตลาดค้าส่งในกรุงเทพฯ

ส่วนเกรด C จะป้อนตลาดภาคเหนือและอีสาน โดยราคารับซื้อใบตอวจะอยู่ที่ 3 - 4 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนตลาดต่างประเทศราคาจะสูงกว่าถึง 2 เท่าตัว



(6)

(7)

(8 )

(9)
(6 – 9) นอกจากกล้วยตานีจะใช้ประโยชน์จากใบกล้วยเป็นหลักแล้ว ส่วนอื่นๆก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าได้เช่น กล้วยตานีที่ออกปลีหรือเครือแล้วก็จะหมดอายุสำหรับการตัดใบ

สามารถเก็บผลกล้วยอ่อนและปลีกล้วยจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ 2 - 3 บาท ส่วนของลำต้นก็นำไปลอกออกเป็นกาบเพื่อทำเป็นเชือกปอกล้วย จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งนำไปใช้ทำเครื่องจักสานจากเชือกกล้วยเพิ่มมูลค่าได้อีกมากทีเดียว

กล้วยตานีเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ที่ดีไม่แพ้พืชอื่นอีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก หลายคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของพืชชนิดนี้ แต่ตลอดระยะเวลานานนับ 40-50 ปี ชาวบ้าน ต.คลองกระจงและพื้นที่ใกล้เคียงต่างยึดมั่นในอาชีพปลูกกล้วยตานีเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีและเป็นอาชีพที่ยั่งยืนให้กับชาวบ้านที่นี่

ข้อมูล คุณบุญชอบ เอมอิ่ม 147 ม.5 บ้านกรงทอง ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย 64110 โทร.081-8881739 และ 081-8884639 ใครสนใจติดต่อคุณบุญชอบได้เลยครับ




.
Neung
ตอบตอบ: 15/11/2015 8:08 pm    ชื่อกระทู้: เรื่องการปลูกกล้วยน้ำว้า


สวัสดีครับ ลุงคิมที่เคารพ คุณ หนูหริ่งและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

ขอขอบคุณสำหรับหลังไมค์ และข้อมูลดีๆ ที่นำเสนอครับ ผมลองปลูกกล้วยน้ำว้า (ไม่รูู้พันธุ์อะไร) เอาไว้กิน ไว้แจก อยูู่ข้างบ้านประมาณ 10 กว่ากอ รวมๆ เครือหนึ่ง มีประมาณ 10 หวีครับ ก็เลยคิดจะปลูกรอบที่ (เป็นรายได้เสริม) ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น กะส่งเองที่ตลาดไทย (ยังไม่รู้เลยว่า พันธุ์ไหนชื้อง่าย ขายคล่อง)

ส่วนโรคตายพราย เป็นเมื่อไหร่เลิกเมื่อนั้น ส่วนหนอนกอ แถวนี้ยังไม่มี ถ้าระบาดก็เลิก (เพราะทำเสริม) แต่ต้นพันธุ์ ปากช่อง50 ทำไมถึงแพงกว่าทุกพันธุ์ (สงสัยครับ)

ขอบคุณครับ
หนึ่ง ชัยภูมิ




noo-ring
ตอบตอบ: 15/11/2015 7:27 pm    ชื่อกระทู้: เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – กล้วยน้ำว้าเงินแสน

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า


เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน – กล้วยน้ำว้าเงินแสน


(5.1- 3.7.3) เทคนิคง่ายๆที่เกษตรไม่รู้! "วิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าเงินแสน" ให้มีขายตลอดปี..


ขอบคุณข้อมูลจาก : blogspot.com จ้า




(1)

วันนี้ Blogger Farmfriend นั่งท่องอินเตอร์เน็ตไปเรื่อย แล้วไปสะดุดตากับข้อมูลอย่างหนึ่ง ซึ่งน่าเหลือเชื่อมาก มันคือเรื่องของกล้วย กล้วยน้ำว้า ที่ใครๆเห็นอาจจะมองว่าธรรมดา แต่หารู้ไหมว่า กล้วยมีประโยชน์มากมาย ใช้ได้เกือบทุกส่วน และเหมาะที่จะปลูกมาก เพราะทุกวันนี้ราคากล้วยพุ่งสูงมาก เมื่อเช้าไปเดินแถวๆตลาดขายส่ง หวีละ 20 บาท ไปดูตลาดขายปลีก แพงถึงหวีละ 30 บาทเลยทีเดียว

กล้วยน้ำว้ามีสารอาหารหลายชนิด มีวิตามินเอ ,บี 1 ,บี 2 ,ซี และไนอะซิน (บี 6) ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย นอกจากนี้กล้วยน้ำว้ายังมีโปรตีนที่มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง กล้วยน้ำว้า หนึ่งผล สามารถให้พลังงานได้ ประมาณ ๑๐๐ แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติ อยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทสและกลูโครส มีเส้นใยและกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายง่าย เห็นกล้วยมีประโยชน์มากมาย และราคาดีแบบนี้ Blogger Farmfriend เลยจะขอนำเสนอวิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าให้ออกลูกตลอดปี เพื่อที่จะมีกล้วยไว้ทาน และจำหน่าย โดยไม่ต้องโดนพ่อค้าคนกลางกดราคาดั่งเช่นที่เกษตรกรทั่วไปประสบปัญหากันอยู่เหมือนทุกวันนี้





(2) วิธีการปลูกกล้วยน้ำว้าให้ออกลูกได้ตลอดปี

ข้อ 1.ทำการเลือกต้นพันธุ์โดย ในที่นี้ขอเสนอให้เลือกต้นพันธุ์จากการเพาะเนื้อเยื่อ จะทำให้กล้วยปลอดโรค และออกลูกได้พร้อมกัน

ข้อ 2.ทำการเตรียมดิน โดยการไถดะด้วยผาน 3 ตากดินประมาณหนึ่งเดือน และไถแปรด้วยผาน 5อีกที ตากดินทิ้งไว้ประมาณอีก หนึ่งเดือน

ข้อ 3.กำหนดระยะและขนาดหลุมปลูก โดยระยะที่เหมาะสมคือ 4 x 4 เมตร และควรขุดหลุม 50 x 50 x 50 เซ็นติเมตร เพราะรัศมีของรากกล้วยจะหากินไม่เกิน 50 เซ็นติเมตร การขุดหลุมขนาดนี้จะทำให้รากกล้วยหากินได้ไกลขึ้น และความลึกของหลุมจะแก้ปัญหาการขึ้นโคนหรือโคนลอย โดยการปลูกครั้งหนึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ 4 - 5 ปีเลยทีเดียว แล้วใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมดินประมาณหลุมละ 2 กิโลกรัม รองหนาขึ้นมาประมาณ 30 เซ็นติเมตร แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบบริเวณโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน และควรรองก้นหลุมด้วยฟูราดานป้องกันหนอนกอกล้วยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อหลุม ถ้าขุดหลุมขนาดเล็กและตื้นกว่านี้ จะให้ผลผลิตแค่ปีสองปีก็ต้องรื้อปลูกใหม่





(3) การรองก้นหลุมด้วย ฟูราดาน - วิธีนี้ หนูหริ่งไม่แนะนำจ้า ควรใช้ขมิ้น ถ้าซื้อชนิดที่บดเป็นผงแล้ว อาจจะแพง ให้ปลูกขมิ้นเอาไว้ใช้เองจ้า ขุดหัวมาล้างน้ำ แล้วบดให้ละเอียด ตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ใช้ได้นานจ้า ป้องกันหนอนและแมลงในดินได้หลายชนิดจ้า




(4)

ข้อ 4.ปลูกเสร็จให้น้ำตามทันทีให้ชุ่มชื้นพอเพียง ไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทนทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน

ข้อ 5. ในระยะเดือนแรกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ และดินต้องชุ่มชื้นเพียงพอ เป็นเดือนที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก หากเป็นการให้น้ำแบบฝอยหรือมินิสปริงเกลอร์ จะทำให้ต้นตั้งตัวได้เร็ว สามารถสร้างใบและลำต้นใหม่ได้ดี โอกาสรอดสูงกว่าการลากสายยางรดน้ำ และเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้น หลังปลูกได้ 1 เดือน และเดือนที่ 2 ส่วนเดือนที่ 3 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทน

ข้อ 6.เดือนที่ 2 และ 3 ต้นกล้วยจะมีต้นและใบใหม่ทั้งหมด ปัญหาคือหญ้าขึ้นคลุมต้น ต้องถากหญ้าบริเวณโคนต้นออกให้หมด

ข้อ 7. เดือนที่ 4 การเจริญเติบโตเร็วมาก ทั้งความสูงและรอบวงต้นใกล้เคียงปลูกจากหน่อพันธุ์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดต้นปลูกเริ่มแรก ถ้าสูง 15 เซนติเมตร ขึ้นไป จะโตทันกัน ถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ต้นรอดตายทั้งหมด การดูแลทำเช่นเดียวกับการปลูกด้วยหน่อ โดยให้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 ประมาณ 100-150 กรัม ต่อต้นในเดือนที่ 4 และ 5 ส่วนเดือนที่ 6 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแทนและงดใส่ปุ๋ยจนกว่าจะแทงปลี ถึงจะใส่ปุ๋ยเคมีอีกครั้ง จนกระทั่งหลังเก็บเกี่ยวถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยในรอบใหม่




(5)

ข้อ 8. ในช่วง 1 - 6 เดือนหลังปลูกให้ปาดหน่อที่โผล่ออกมาทิ้งไป พอหลังจากอายุ 6 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 1 พอหน่อที่ 1 อายุ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 2 หลังจากนั้นทุกๆ 3 เดือน ให้ไว้หน่อที่ 3 และ 4, 5 ตามลำดับ

และถ้ามีหน่อที่ขึ้นมาในช่วงที่ไม่ได้กำหนดให้ปาดทิ้งทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อจะไว้หน่อที่ 5 ต้นแม่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเครือกล้วยได้แล้ว ฉะนั้นจะกลายว่ากอนั้นมีต้นกล้วย 4 ต้น ที่อายุห่างกัน 3 เดือน โดยมีหน่อที่ 1 ที่อายุห่าง 6 เดือน

ดังนั้น เมื่อใช้ระบบนี้ต่อไปหลายๆ ปีจะทำให้กล้วยน้ำว้าในแปลงมีอายุห่าง 3 เดือน”


“สาเหตุที่ไว้หน่อทุก 3 เดือน มีเหตุผลว่า ด้วยการออกผลผลิตของกล้วยน้ำว้าในแปลงนั้นจะออกไม่พร้อมกัน ถึงแม้ไว้ใกล้เคียงกัน จะมีการกระจายตัวในการเก็บเกี่ยวประมาณ 3 เดือน โดยจากข้อมูลที่ศึกษา จากการปลูกกล้วยน้ำว้าด้วยหน่อพบว่า จะมีช่วงแรกที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วงกลางๆ จะเก็บได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และช่วงปลายเก็บได้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ “ทีนี้ถ้าค่อยๆ ปลูกหรือไว้หน่อไป กล้วยที่ออกผลในช่วงปลาย 25 เปอร์เซ็นต์ จะไปรวมกับ 25 เปอร์เซ็นต์ของช่วงแรกในอีกแปลงหนึ่ง จะทำให้ได้ผลผลิตรวมเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทั้งปีด้วยวิธีการนี้ ทำให้สามารถมีผลผลิตกล้วยน้ำว้าจำหน่ายให้กับพ่อค้าได้ตลอดทั้งปีและสามารถต่อรองราคากับพ่อค้าได้ โดยไม่ต้องถูกกดราคาเพราะจำเป็นต้องตัดขายทั้งแปลง”




(6)
ข้อ 9.เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 9 กล้วยจะเริ่มแทงปลี การแทงปลีหรือตกเครือจะเร็วหรือช้ากว่าหน่อพันธุ์ ขึ้นอยู่กับขนาดลำต้นปลูกเริ่มแรกและการดูแลรักษา หากต้นพันธุ์ที่มีขนาดความสูง 15 เซนติเมตรขึ้นไป หรือมีเส้นรอบวงต้นมากกว่า 4 เซนติเมตร การตกเครือใกล้เคียงกับหน่อพันธุ์ ขนาด 1 เมตร หากต้นมีขนาดใหญ่กว่านี้ การตกเครือจะเร็วกว่าหน่อพันธุ์ และหากเล็กกว่านี้การตกเครือจะช้ากว่าหน่อพันธุ์ อายุเครือกล้วยจากการแทงปลีจนกระทั่งเก็บเกี่ยวมีอายุประมาณ 4 เดือน เท่ากับหน่อพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วไป





(7) เพียงแค่ปฏิบัติตามขั้นตอนเพียงเท่านี้เราก็จะมีกล้วยน้ำว้าที่ลูกใหญ่และดกถึงเครือละไม่ต่ำกว่าสิบหวีไว้บริโภคและจำหน่ายโดยไม่ต้องง้อพ่อค้าคนกลางแล้วหล่ะครับ...


.


ที่มา : blogspot.com



.
noo-ring
ตอบตอบ: 11/11/2015 3:40 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน –กล้วยไข่ หวีละ 100

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า


สิ่งละอันพันละน้อย ตอน –กล้วยไข่ หวีละ 100


(5.1- 3.7.2) กล้วยไข่ สายศร


พี่ทิดแดง โยนเรื่องนี้มาให้หนูหริ่งอีกแล้วจ้า.. มีข้อความว่า
.....ไอ้หริ่ง เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เอ็งเคยเห็นมั๊ย กล้วยไข่หวีละ 100 ขอลัดคิวนำเสนอเรื่องนี้ให้ก่อน สงสัยอะไร ถามไอ้ตู่....

หนูหริ่งกับพี่หนาน อ่านเรื่องแล้ว สะดุ้งมารอ่ะจ้า พี่หนานปันบอกว่า
...เป็นความจริงแฮะหริ่ง อ้ายเพิ่งจะเคยฮู๊เคยหัน กล้วยไข่หวีละ 100 (ทอนบาทเดียวจ้า)


จากขายเพชรสู่กล้วยไข่สายศร เส้นทางสู้ชีวิต ' อัมพวัน ผลแสง '
หนักเอาเบาสู้ : จากขายเพชรสู่กล้วยไข่สายศร เส้นทางสู้ชีวิต 'อัมพวัน ผลแสง' : โดย...สุรัตน์ อัตตะ






(1) ใครจะไปนึกว่าเด็กสาวจากเมืองลับแลอุตรดิตถ์ จบด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จากนั้นมาทำงานอยู่ร้านขายเพชรใจกลางกรุงพักใหญ่ ก็กลับมาสนใจทำตลาดผลิตผลทางการเกษตรอย่างกล้วยไข่อินทรีย์ที่ไม่มีใครเคยคิดจะทำ ด้วยการนำมาขึ้นห้างโมเดิร์นเทรด หลังประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่น หวังเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ภายใต้ตราสัญลักษณ์ “กล้วยไข่สายศร”

สำหรับ “อัมพวัน ผงแสง” หรือใบเฟิร์น ที่ปัจจุบันหันมาดูการตลาดโมเดิร์นเทรด เฮลตี้ บันนาน่า ผู้ผลิตและจำหน่ายกล้วยไข่อินทรีย์รายใหญ่ใน อ.หนองแค จ.สระบุรี อย่างเต็มตัว หลังประสบความสำเร็จจากการทำตลาดต่างประเทศด้วยการส่งออกไปจีน ก่อนหันมารุกตลาดภายในประเทศในปัจจุบัน โดยเน้นความสดใหม่ ผลสวยงาม รสชาติดี ปลอดสารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ พร้อมจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “กล้วยไข่สายศร” ที่มุ่งวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก

“กล้วยไข่สายศรนั้น เป็นกล้วยที่พัฒนาพันธุ์มาจากกล้วยไข่กำแพงเพชรโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วิจัยเกี่ยวกับกล้วยไข่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้กล้วยไข่ที่ดีที่สุดและเป็นกล้วยไข่ของไทยเอง เพื่อเสริมศักยภาพในการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น"

จากผลงานการวิจัยในครั้งนั้นทำให้ได้กล้วยไข่ชนิดใหม่รวม 5 ชนิด ได้แก่ กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1 - 5 ซึ่งได้จดทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ชนิดที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกนั้นเป็นพันธุ์เกษตรศาสตร์ 2 เพราะมีจุดเด่นมากที่สุดคือ ผลอ้วนป้อมและยาว ปลายผลทู่มน เนื้อแน่น เนื้อเป็นสีเหลือง คล้ายกล้วยหอม รสหวานหอมประมาณ 22–23 องศาบริกซ์ การเรียงตัวของผลในแต่ละหวีมีความสวยงาม มีปริมาณผลผลิตแต่ละเครือมากกว่าพันธุ์อื่น ทำให้ได้รับความนิยมจากเกษตรกร รวมทั้งสวนสายศรด้วยเช่นกัน ซึ่งทางสวนสายศรได้นำมาปลูกเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วบนเนื้อที่การปลูกกว่า 300 ไร่ ประมาณ 120,000 ต้น) มีผลผลิตหมุนเวียนตลอดทั้งปีเฉลี่ย 1 หมื่นลูกต่อวัน






(2) แม้ผลผลิตจะมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ เมื่อมุ่งเป้าวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าแทนขายแบกะดินหรือส่งให้พ่อค้าคนกลางไปจำหน่ายต่อ เพราะไม่ต้องการลงไปแข่งกับตลาดของเกษตรกรโดยตรง ซึ่งมีตลาดอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้ดูดี มีความสวยงาม โดดเด่นเป็นที่ดึงดูดใจของลูกค้า

“ในเรื่องของตลาดโมเดิร์นเทรด บริษัทได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่สวยงามทันสมัย ทั้งยังต้องรักษาคุณภาพกล้วยเอาไว้ ผู้บริโภคซื้อไปรับประทานเอง หรือซื้อไปเป็นของฝากก็ต้องดูดี น่าซื้อ ทรงคุณค่า ซึ่งบรรจุภัณฑ์ก็จะเป็นตัวช่วยอีกทางที่จะช่วยดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี กล้วยไข่สายศรจึงมุ่งจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก เพราะเราไม่ต้องการไปแย่งตลาดระดับล่าง”

ใบเฟิร์นยอมรับว่า ในการทำตลาดในช่วงแรกจะใช้วิธีจัดบูธจำหน่ายและประชาสัมพันธ์ตามห้างสรรพสินค้าในเทศกาลต่างๆ ในลักษณะเช่าพื้นที่ทำให้เรารู้ว่าจุดจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าบริเวณใดที่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ดี กลุ่มลูกค้าเป็นใคร กลุ่มคนรักสุขภาพ เล่นกีฬา วัยเด็กหรือผู้ใหญ่ เนื่องจากกล้วยไข่สายศรมีราคาเริ่มต้นหวีละ 50 บาท ขณะเดียวกัน ใน กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยามพารากอน ราคากล้วยสายศรตั้งราคาตั้งแต่หวีละ 79 บาท 89 บาท และ 99 บาท ซึ่งได้รับการต้อนรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

นับเป็นอีกก้าวของ อัมพวัน ผงแสง หรือใบเฟิร์น ในการรุกตลาดกล้วยไข่บนห้างโมเดิร์นเทรด ภายใต้แบรนด์สายศร ทั้งปลีกและส่ง สนใจกล้วยไข่คุณภาพส่งออก โทร.081 - 953-0595 ได้ตลอดเวลา


ข้อมูล – คมชัดลึก 5 พย.58



หนูหริ่งอ่านจากเรื่องแล้ว....ปลูกกล้วยไข่ 300 ไร่ 120,000 ต้น
และดูจากรูป 1 หวีมีประมาณ 15 ลูก หวีละ 100 ก็ประมาณ ลูกละเกือบ 7 บาทนะจ้า


พี่หนานปันบอกว่า
หริ่ง วันหนึ่งเปิ้นมีกล้วยออกขายประมาณ 10,000 แก่น วันหนึ่งมีรายได้ 66,666.- เดือนละ 2 ล้าน ปีละ ซาวสี่ล้าน



ใครสนใจ ติดต่อกันเองหนาจ๊าว ข้าเจ้าบ่ได้เกี่ยวข้องด้วยแต่ประการใดจ้าว



.
noo-ring
ตอบตอบ: 06/11/2015 1:28 pm    ชื่อกระทู้: เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน จะปลูกกล้วยขายเป็นรายได้เสริม

สวัสดีจ้าลุง คุณหนึ่ง ชัยภูมิและเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน จะปลูกกล้วยขายเป็นรายได้เสริม


(5.1- 3.7.1-3) ตอบคำถามคุณหนึ่ง ชัยภูมิ


ขอบอกก่อนจ้าว่า หนูหริ่งเป็นแค่ตัวสำรอง ในการนำเสนอข้อมูลที่พี่ทิดแดงส่งข้อมูลให้ช่วยลงในเว็ปลุงเท่านั้นจ้า มิได้เป็นพหูสูต รอบรู้ไปซะทุกเรื่องก็หาไม่นะจ๊า..พี่ทิดแดงบอกไปต่างจังหวัด แถมอ้างว่าเน็ตที่บ้านล่ม ใช้พิมพ์จากมือถือไม่ถนัด ....พี่ทิดเล่น ชิ่ง โยนลูกมาให้หนูหริ่งทั้งพวงแบบนี้ มีหวังถ้าไม่ตาย ก็ไม่โตละจ้า.....

ตายเป็นตายซีน่า ไม่ลองก็ไม่รู้ พี่ทิดแดงไม่อยู่ มีครูคิมอยู่ทั้งคน ถึงคราวอับจน ลุงไม่ช่วยหนูหริ่ง ให้รู้กันไปละจ้า.....

สรุปประเด็นคำถามของคุณหนึ่ง ชัยภูมิ ก่อนจ้า

(1) ผมวางแผนจะปลูกกล้วยเพื่อการค้าเป็นรายได้เสริม แต่ปัญหาคือ กล้วยแถวนี้มีเมล็ด และติดปัญหาเรื่องต้นพันธุ์
ขอถามดังนี้ครับ
(2) ต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อ ต้นละ8บาท ที่คุณแดงเอ่ยถึง ยังมีเหลือไหมครับ
(3) ถ้าเราเอาต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อมาปลูกแบบกลับหัว(ต้องการขยายต้นพันธุ์ กับลดต้นทุน)ต้องใช้เวลาเพาะชำนานเท่าไหร่ครับ
(4) กล้วยน้ำว้า ราคาแพงช่วงไหนครับ(จะได้วางแผนปลูกถูกเวลา)

(คุณหนึ่ง) ผมสนใจที่จะปลูกกล้วยเพื่อการค้าเป็นรายได้เสริม แต่ปัญหา คือ กล้วยแถวนี้มีเมล็ด และติดปัญหาเรื่องต้นพันธุ์

(หนูหริ่ง) คุณหนึ่งจะปลูกกล้วยเพื่อการค้าเป็นรายได้เสริม....คิดงานใหญ่เลยนะจ๊าเนี่ย ชื่อว่ากล้วย แต่ความจริงทำแล้วมันไม่กล้วยอย่างชื่อเลยละจ้า คิดวางแผนจะปลูกซักกี่มากน้อยล่ะจ๊า ลุงคิมพูดเสมอว่า จะปลูกอะไร ดินต้องมาก่อนเลยละจ้า มีตัวอย่างว่า...กว่าที่ บริษัท SV การเกษตร จะปลูกกล้วยหอมทองที่สวนผึ้ง ราชบุรี เป็นกล้วยส่งออก ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ต้องใช้เวลาปรับสภาพดินถึง 3 ปีเลยนะจ๊า (คอยติดตามเรื่องที่จะนำเสนอต่อ ๆ ไปก็แล้วกันจ้า)

ปัญหาเรื่องกล้วยแถวบ้านคุณมีเมล็ด ถ้าคุณปราบหรือกำจัดพันธุ์กล้วยที่มีเมล็ดในรัศมี 1 กิโลเมตรออกไม่หมด เมื่อเอากล้วยที่ไม่มีเมล็ดมาปลูก อีกไม่ช้าไม่นาน กล้วยที่ไม่มีเมล็ดของคุณก็จะกลายเป็นกล้วยที่มีเมล็ดไปโดยปริยายจ้า

ทีนี้ว่า คุณติดปัญหาเรื่องพันธุ์ ...ก็พันธุ์ที่คุณคิดจะปลูกเป็นกล้วยพันธุ์อะไรล่ะจ๊า กล้วยน้ำว้ามันมีตั้งหลายพันธุ์จ้า และศึกษามาดีรึยังล่ะจ๊าว่า กล้วยพันธุ์ที่คุณจะปลูกนั้น เหมาะกับดิน และน้ำที่ชัยภูมิบริเวณบ้านคุณรึเปล่าล่ะจ๊า ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินเป็นกรด เป็นด่าง น้ำที่ใช้เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำบาดาลมันจืดหรือกร่อย เป็นฉันใดจ้า


(คุณหนึ่ง)ขอถามดังนี้ครับ - ต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อ ต้นละ 8 บาท ที่คุณแดงเอ่ยถึง ยังมีเหลือไหมครับ





(1)(หนูหริ่ง) ถ้าคุณอ่านข้อมูลโดยละเอียด กล้วยปั่นตาต้นละ 8 บาทนั้น เป็นราคาต้นที่ยังอยู่ในขวดตามในรูปนี้จ้า ต้องไปออกขวดแล้วอนุบาลเอง จนกว่าจะโตพอที่จะเอาปลูกลงดินได้จ้า..1 ขวดมี 40 ต้นจ้า(1 ขวดมี 4 แถว ๆละ 10 ต้นจ้า)





(2) แปลงอนุบาลตั้งแต่ออกจากขวดจ้า





(3) สูงขนาด 30 ซม. โตพอที่จะเอาปลูกลงดินได้แล้วจ้า และขนาดต้นที่เค้าชำขาย ก็ขนาดประมาณนี้แหละจ้า

มีข้อมูลตัวอย่าง (จาก 1 ในหลายร้อยราย)
1.กล้วยน้ำว้าปากช่อง50 ต้นละ 30 บาท (ซื้อ 100 ต้นขึ้นไปลดเหลือต้นละ 25 บาท)
2.กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง ต้นละ 15 บาท
5.กล้วยน้ำว้าท่ายาง ต้นละ 15 บาท
4.กล้วยไข่กำแพงเพชร ต้นละ 18 บาท
8.กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 2 ต้นละ 18 บาท
3.กล้วยหอมทองใต้หวัน ต้นละ 17 บาท
6.กล้วยเล็บมือนาง ต้นละ 17 บาท
7.กล้วยตีบ ต้นละ 20 บาท
รายการข้างต้นหมดแล้ว เมื่อ 19 ตุลาคม 2558

เปิดรับจองกล้วยใหม่ ....รับสินค้าได้ตั้งแต่ มีนาคม 2559


1.กล้วยน้ำว้าปากช่อง50 ต้นละ 30 บาท (ซื้อ 100 ต้นขึ้นไปลดเหลือต้นละ 25 บาท)
2.กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง ต้นละ 17 บาท
5.กล้วยน้ำว้าท่ายาง ต้นละ 17 บาท
3.กล้วยหอมทองใต้หวัน ต้นละ 20 บาท (ซื้อ 2,000 ต้นขึ้นไปลดเหลือต้นละ 18 บาท)
4.กล้วยไข่เกษตรศาตร์ 2 ต้นละ 20 บาท (ซื้อ 2,000 ต้นขึ้นไปลดเหลือต้นละ 18 บาท)

กติกาการจอง จองตั้งแต่ 500 ต้นขึ้นไป ต้องมัดจำเงิน 30 เปอร์เซ็นต์
ส่วนลูกค้าที่ต้องการจองต่ำกว่า 500 ต้น ไม่ต้องมัดจำ

หมายเหตุ ปี2559 ขอปรับราคาสินค้านะจ๊ะ





(4) การแพคกล้วยจากถุงเพาะชำลงถุงส่งให้ผู้สั่งจอง แบบนี้ค่าขนส่งแพง เพราะหนักดินในถุงจ้า





(5) เอากล้วยออกจากถุงชำ เอาดินส่วนหนึ่งออก เพื่อลดน้ำหนักและลดราคาค่าขนส่งจ้า





(6) ห่อด้วยกระดาษ บรรจุลงถุงก่อนแพคลงกล่อง เพื่อส่งจ้า




(7)




(8 )

(7 – 8 ) แพคลงกล่องเตรียมส่งจ้า.....ถ้าส่งไปรษณีย์ ค่าขนส่งแพงมากขึ้นอยู่กับน้ำหนักจ้า และเชื่อขนมกินได้เลยว่า พนักงานไร้วิญญาณของไปรษณีย์ มันจับโยนไม่ปราณีปราศรัยอ่ะจ้า....
ถ้าส่งบริษัทขนส่ง กล่องขนาดนี้ค่าขนส่งประมาณ ไม่เกิน 100 ไม่บอบช้ำ จ้า

ช่องทางการติดต่อ ขออภัย ไม่มีรูปให้ดู เพราะเป็นการโฆษณา – หนูหริ่งประชาสัมพันธ์ให้แล้ว กรุณาเปิดอ่านหลังไมค์ ติดต่อกันเองจ้า หนูหริ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีส่วนได้เสียใด ๆ ด้วยนะจ๊า

และย้ำเตือน ทุกวงการ มีทั้งคนจริงใจ และไม่จริงใจ โปรดระวังของแท้และไม่แท้ ดังเพลงที่ว่า.....รู้เค้าหลอก แต่เต็มใจให้หลอก.....อ่ะจ้า

คำถามต่อ
(คุณหนึ่ง)-ถ้าเราเอาต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อมาปลูกแบบกลับหัว(ต้องการขยายต้นพันธุ์กับลดต้นทุน)ต้องใช้เวลาเพาะชำนานเท่าไหร่ครับ
(หนูหริ่ง) อ่านคำถามแล้ว สะดุ้งแปดตลบเลยจ้า....ใจคอคุณจะเอากล้วยปั่นตามาปลูกแบบกลับหัวเลยเหรอจ๊า..ศึกษาเรื่องกล้วย ๆ ที่ไม่กล้วยมาดีหรือยังจ๊าเนี่ย ..กล้วยที่สามารถนำมาปลูกกลับหัวได้ เป็นเหง้ากล้วย ควรมีอายุตั้งแต่ 1 – 3 ปีหรือเป็นเหง้าจากต้นที่ตัดเครือแล้วจ้า (สงสัยอ่านข้อมูลของหนูหริ่งไม่หมดแน่ ๆ เลยจ้า)

เวลาในการเพาะชำ ตามขนาดรูปที่ 3 คือต้นสูงประมาณ 30 ซม. เป็นระยะเจริญพันธุ์ เป็นขนาดที่สามารถนำลงปลูกลงดินได้ และจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วเลยจ้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลาย ๆ อย่างด้วยจ้า ดิน น้ำ อุณหภูมิ สายลม แสงแดด และความชื้นสัมพัทธ์ น่ะจ้า


(คุณหนึ่ง)-กล้วยน้ำว้า ราคาแพงช่วงไหนครับ(จะได้วางแผนปลูกถูกเวลา)
(หนูหริ่ง) ข้อนี้ตอบยากจ้า เพราะราคาขึ้นอยู่กับท้องที่จ้า กล้วยน้ำว้าปลูกเมื่อไหร่ก็ได้ ขายได้ทั้งปีเพราะแปรรูปได้ร้อยสีพันอย่างจ้า เฉลี่ยก็หวีละ 20 – 30 บาท อ่ะจ้า แล้วก็ ปลูกกล้วยไปแล้ว กว่าจะได้กินหรือขายลูก รอไปอีก 9 - 10 เดือน ในระหว่างนั้น มันต้องมีค่าใช้จ่ายอ่ะจ้า คุณจะทำยังไงจ๊า





(10) ดูรูปนี้เข้าใจมั๊ยจ๊า....2 + 2 ถ้าเขียนเป็นตัวเลข ก็เท่ากับ 4 แต่ครูไม่เขียนเลข 4 กลับเขียนเป็นรูปนิ้วมือ 4 นิ้ว นักเรียนทุกคนยกมือ ทำนิ้วมือ 4 นิ้ว นั่นคือคำตอบที่นักเรียนรู้และเข้าใจว่า 2 + 2 = 4 จ้า.....และอยากให้แง่คิดคุณหนึ่ง ว่า ในทางคำนวณ 1 + 1 = 2
แต่ในทางเกษตร 1 + 1 อาจ = 2 หรือ = 1 หรือ อาจ = 0 ก็ได้ ได้แค่ 0 ถือว่า ท่าทุน แต่ถ้าได้ – 0 ล่ะจ๊า จะทำยังไง กรุณาอย่าฝัน หรือสร้างจินตนาการให้สูงเกินไปนักนะจ๊า

ปัญหากล้วยอย่างอื่นที่คุณไม่ได้พูดถึง....โรคและแมลง คุณเตรียมการ คิดเอาไว้หรือยังว่า กล้วย มันมีโรคและแมลงอะไรบ้าง คุณเตรียมการที่จะเผชิญกับมันอย่างไร

จบแล้วจ้า....ผิดถูกไม่ว่ากันนะจ๊า......

.


ขอบคุณจ้าลุง ขอบคุณพี่ทิดแดง ที่หางานมาให้จ้า ขอบคุณพี่ตู่ ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมให้เช่นกันจ้า...



.
Neung
ตอบตอบ: 05/11/2015 8:22 pm    ชื่อกระทู้: เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วย

สวัสดีครับ ลุงคิมที่เคารพ
สวัสดีครับ คุณแดงที่นับถือ คุณหนูหริ่งและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

จากกระทู้ปลูกผักริมถนน คุณแดงมีปัญหาเน็ตตด(TOT)เลยให้ผมเข้ากระทู้นี้ คือผมสนใจที่จะปลูกกล้วยเพื่อการค้าเป็นรายได้เสริม แต่ติดปัญหาเรื่องต้นพันธุ์ ขอถามดังนี้ครับ
-ต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อ ต้นละ8บาท ที่คุณแดงเอ่ยถึง ยังมีเหลือไหมครับ
-ถ้าเราเอาต้นกล้าเพาะเนื้อเยื่อมาปลูกแบบกลับหัว(ต้องการขยายต้นพันธ์ุกับลดต้นทุน)ต้องใช้เวลาเพาะชำนานเท่าไหร่ครับ
-กล้วยน้ำว้า ราคาแพงช่วงไหนครับ(จะได้วางแผนปลูกถูกเวลา)

ขอบคุณครับ
หนึ่ง ชัยภูมิ[/i]
noo-ring
ตอบตอบ: 05/11/2015 11:15 am    ชื่อกระทู้: เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยหรือกล้วยป

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

เกษตร เกษตร และเกษตร ตอน เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยหรือกล้วยปั่นตา

(5.1- 3.7.1-2) กล้วยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture)

คราวนี้จะพูดถึง กล้วยปั่นตาจ้า
ขอบคุณข้อมูลจาก - การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วย
http://botanyschool.ning.com/group/charlermrus/forum/topics/1-61-1-2554?xg_source=activity


(1) กล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ กล้วย
กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิด เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำไทกล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยไข่ กล้วยตานี กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง,กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยส้ม กล้วยนาค กล้วยหิน กล้วยงาช้าง ฯลฯ

บางชนิดก็ออกหน่อ แต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่ ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย

การขยายพันธุ์
โดยการใช้เมล็ด
โดยการใช้หน่อ
โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture)

โดยการใช้เมล็ด
กล้วยกินได้บางต้นมีเมล็ด บางต้นไม่มีเมล็ด เมล็ดของกล้วยส่วนใหญ่เกิดจากการผสมข้ามกับกล้วยต้นอื่นหรือพันธุ์อื่น ดังนั้นเมล็ดที่ได้อาจเกิดจากการผสมข้ามจะกลายเป็นลูกผสม ทำให้ต้นที่ได้ไม่ตรงกับต้นแม่นัก และเนื่องจากเมล็ดของกล้วยมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาและแข็ง ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเพาะเมล็ดเป็นต้นได้ จึงไม่ค่อยนิยมการเพาะเมล็ดกล้วย ยกเว้นกล้วยนวลและกล้วยผาที่จำเป็นต้องเพาะเมล็ด เพราะต้นกล้วยชนิดนี้ไม่มีการแตกหน่อ

โดยการใช้หน่อ
ปกติกล้วยมีการแตกหน่อจากตาข้างของต้นแม่ หน่อกล้วยมี ๓ แบบใหญ่ๆ คือ

๑.๑ หน่ออ่อน (peeper) เป็นหน่ออ่อนมาก เกิดจากต้นแม่ที่ยังมีส่วนประกอบต่างๆ ไม่ครบ ส่วนของลำต้นเล็กมักจะอ่อนแอ ไม่เหมาะในการนำไปขยายพันธุ์

๑.๒ หน่อใบแคบ หรือใบดาบ (sword sucker) เป็นหน่อที่มีใบเรียวเล็ก โคนหน่อใหญ่ หรือมีส่วนของลำต้นใหญ่ จึงมีอาหารสะสมมาก หน่อชนิดนี้นิยมนำไปปลูกเพราะจะได้ต้นที่แข็งแรง

๑.๓ หน่อใบกว้าง หน่อชนิดนี้มีโคน หน่อหรือลำต้นเล็ก ใบคลี่โตกว้าง ไม่เหมาะที่จะนำไปปลูก เพราะมีอาหารสะสมในลำต้นน้อย ต้นที่ปลูกจากหน่อชนิดนี้จึงไม่แข็งแรง

นอกจากหน่อทั้ง ๓ ชนิดดังกล่าวแล้ว อาจใช้ต้นแม่ซึ่งมีตาติดอยู่ มาผ่าเป็นชิ้นๆ และชำก็ได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก

โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture).
วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยม เพราะเป็นวิธีที่ขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น จากหน่อที่สมบูรณ์ ๑ หน่อ ถ้าหากมีการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดอาจขยาย ได้ถึง ๑๐,๐๐๐ ต้น ในเวลา ๑ ปี วิธีนี้เหมาะ สำหรับการปลูกเพื่อการส่งออก เพราะว่า การส่งออกต้องการจำนวนต้นปลูกที่มีขนาดสม่ำเสมอ ปลูกพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีการเก็บเกี่ยวผลได้พร้อมๆ กัน และมีน้ำหนักมากกว่า ๑ ตันขึ้นไป สำหรับบรรจุ ใส่ตู้ขนส่งในการส่งออก เนื่องจากการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศนั้น ถ้ามีจำนวนน้อยจะไม่เพียงพอกับการส่งออก และไม่คุ้มกับการลงทุน



(2) วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยเป็นวิธีการที่ไม่ยากนัก แต่ต้องลงทุนมาก เพราะจะต้องมีห้องที่ปลอดเชื้อ ตู้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและอาหารเพาะเลี้ยงที่มีสูตรอาหารพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่ของอาหารนั้นจะเลียนแบบอาหารที่พืชได้จากการปลูกแบบธรรมชาตินั่นเอง คือ จะต้องประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) และธาตุอาหารรอง คือ แมงกานีส (Mn) โซเดียม (Na) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กำมะถัน (S) เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) โบรอน (B) นอกจากนี้ยังต้องมีวิตามินปริมาณที่ใช้ตามสูตรอาหาร MS (Murashige & Skoog, 1962) และฮอร์โมน เพื่อช่วยในการขยายพันธุ์ให้มีการแตกกอมากขึ้นคือ ฮอร์โมน BA (Benzyl Adenine) ในระดับความเข้มข้นที่เหมาะกับกล้วยประมาณ ๓ - ๕ ppm หรืออาจใช้น้ำมะพร้าวประมาณร้อยละ ๑๕ ต่อปริมาตรของอาหารก็ได้ จะ ช่วยให้มีการแตกหน่อเพิ่มมากขึ้น สำหรับแหล่งของธาตุคาร์บอน (C) จะได้จากน้ำตาลโดยใช้น้ำตาลร้อยละ ๒ - ๔ โดยปริมาณ เมื่อผสมอาหารทุกอย่างแล้ว ปรับความเป็นกรดด่าง (pH) ที่ ๕.๖ - ๖.๘ โดยใช้ NaOH และ HCl ที่ความเข้มข้น ๑ N หลังจากปรับแล้ว เติมวุ้น ๔.๕ - ๘.๐ กรัมต่ออาหาร ๑ ลิตร บรรจุใส่ขวด ปิดฝา นึ่งในหม้อนึ่งฆ่าเชื้อที่ความดัน ๑๕ ปอนด์ นาน ๑๕ - ๓๐ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น เก็บไว้ ๑ - ๒ วัน แล้วจึงนำมาใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อได้


(3) หน่อกล้วยที่จะนำมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ใช้หน่อใบแคบแล้วลอกกาบนอกออก จนเหลือหน่อที่มีขนาดประมาณ ๑ x ๑ นิ้ว ทำการฟอกฆ่าเชื้อโรคในสารละลายคลอรอกซ์แล้วล้างในน้ำกลั่น หลังจากนั้นจึงนำชิ้นส่วนของหน่อกล้วยเข้าทำงานในตู้เพาะเลี้ยง

จากนั้นจึงลอกกาบกล้วยออกอีก จนมีขนาดประมาณ ๑ x ๑ เซนติเมตร แล้วผ่าออกเป็น ๔ ส่วน โดยผ่าให้ผ่านจุดเจริญของกล้วย และวางลงบนวุ้นอาหาร แล้วจึงนำขวดอาหารไปวางไว้ในห้องปลอดเชื้อที่มีแสงประมาณ ๓,๐๐๐ ลักซ์ อุณหภูมิ ๒๖ - ๓๐ องศาเซลเซียส


(4) หลังจากนั้นประมาณ ๖ - ๘ สัปดาห์ จะสังเกตเห็นว่า มีการแตกยอดอ่อนของกล้วยเกิดขึ้น ให้ทำการตัดแบ่งเนื้อเยื่อ ต่อไปทุกเดือน จนเมื่อได้จำนวนมากพอแล้ว นำมาออกรากในอาหาร MS ที่ไม่มีฮอร์โมนประมาณ ๑ เดือน


(5)

(6)

(7)

(8 )
(5 – 8 ) เมื่อต้นอ่อนของกล้วยก็จะออกรากพอประมาณ นำย้ายออกปลูกในบรรยากาศธรรมชาติได้โดยการนำขวดต้นอ่อนนั้นมาวางในบรรยากาศปกติก่อน ๒ - ๓ วัน เพื่อให้ต้นอ่อนปรับตัวเข้ากับบรรยากาศธรรมชาติ แล้ว....


(9)

(10)

(11)

(12)
(9 – 12) นำออกปลูกในเครื่องปลูกที่สะอาด ประกอบด้วย
ทราย : ดิน : ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก ๑ : ๑ : ๑ อบฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้ให้เย็นก่อนปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ ๖ - ๘ สัปดาห์ หรือมีความสูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร จึงนำไปปลูกลงในแปลงได้


(13) ราคากล้วยปั่นตา ต่อ 1 ต้น

ประโยชน์ที่ได้รับจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
๑. เพื่อเพิ่มปริมาณในระยะเวลาสั้น เพราะการเกิดหน่อตามธรรมชาตินั้น หากขยายพันธุ์จาก ๑ ต้น จะให้หน่อไม่เกิน ๑๐ หน่อ และเมื่อนำหน่อนั้นมาขยายพันธุ์ต่อๆ มา ใน ๑ ปี จะได้หน่อจำนวนไม่เกิน ๑,๐๐๐ หน่อ แต่หากใช้วิทยาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณได้ถึง ๑๐,๐๐๐ หน่อ ซึ่งใช้เวลาเท่ากัน แต่จำนวนที่ได้จะต่างกันมาก ประมาณ ๑๐ เท่า

๒. ได้ต้นพันธุ์ที่สะอาดปราศจากโรค และแมลง ปกติหน่อพันธุ์ที่ขุดมาจากต้นมักจะมีโรคและแมลงที่ระบาดอยู่ในท้องถิ่นนั้นติดมาด้วย ทำให้การเจริญของหน่อชะงัก เจริญได้ไม่เต็มที่ และโรคบางชนิดอาจมาแพร่เชื้อ ทำให้เกิดการระบาดตามมา รวมทั้งแมลงบางชนิด เช่น หนอนเจาะลำต้น สามารถเจริญพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และระบาดเจาะไชลำต้นทำให้การเจริญของต้นไม่ดี หรือเมื่อเจริญขึ้นมาแล้วเกิดหักล้ม บางครั้งเมื่อออกดอกแล้วกำลังติดผล ต้นอาจจะล้มลง เกิดความเสียหายอย่างมาก

การใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะไม่มีโรคและแมลงติดมาด้วย เพราะในการขยายพันธุ์ เราใช้จุดกำเนิดซึ่งอยู่ส่วนในสุดของลำต้น และเป็นส่วนที่สะอาด ไม่มีเชื้อโรค นำมาเพาะเลี้ยงในสภาพที่ปลอดเชื้อ คือ ในอาหารสังเคราะห์ และห้องปฏิบัติการที่ปราศจากเชื้อโรค จึงทำให้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและแมลง ทำให้ต้นเจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตเร็ว และมีคุณภาพ แต่ทั้งนี้ต้นที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะมิใช่ต้นที่ต้านทานต่อโรค

๓. เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ในการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติจำนวนมาก จะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น แม้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้าหากต้นที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่ดี ให้ผลผลิตดี ก็ควรส่งเสริมต่อไปเป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่ถ้าไม่ดีก็สามารถคัดทิ้งออกไปได้

การกลายพันธุ์อาจดูได้ตั้งแต่ต้นขนาดเล็ก ถ้าเราไม่ต้องการ สามารถคัดทิ้งได้ แต่ถ้าต้องการทดสอบต่อไป ก็อาจปลูกให้ต้นโต และถ้าได้ลักษณะที่ดี ก็ขยายพันธุ์ต่อไปเป็นสายพันธุ์ใหม่

นอกจากนี้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออาจทำถึงระดับเพาะเลี้ยงเซลล์และโพรโทพลาสต์ (Protoplast)ซึ่งสามารถที่จะนำเอาโพรโทพลาสต์ ของกล้วยสายพันธุ์ที่ดีมาผสมกัน ทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ได้เช่นเดียวกับพืชอื่นๆ

๔. เพื่อเก็บรักษาสายพันธุ์ การเก็บรักษาสายพันธุ์อาจทำได้โดยการลดอุณหภูมิ ให้ต่ำ หรือเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลว เพื่อรักษาสายพันธุ์ไว้ใช้ได้ในระยะนาน และเมื่อต้องการก็สามารถนำออกมาปลูกได้


ที่มา http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?select




(14)

(15)
(14 – 15) การปลูกกล้วยปั่นตาจ้า


(16)

(17)

(18 )
(16 – 18 ) ผลผลิตจากกล้วยปั่นตาจ้า


(19) ผลพลอยได้จากกล้วยปั่นตา....คือกล้วยตาปั่นจ้า
(พี่ทิดแดง ส่งรูปนี้มาให้ ขอบคุณจ้า ช่างสรรหาจริง ๆ พี่ฉัน)



(20)

(21)
(20 – 21) ต้นไม้ปั่นตาออกดอกในขวด ฝากสมาชิกไว้ดูเล่นจ้า

ข้อมูลเพิ่มเติม - การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วย

http://plant-dailylifebook.blogspot.com/2014/05/50.html




.
noo-ring
ตอบตอบ: 25/10/2015 1:55 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ตอบขอบคุณ คุณ Kawae จ้า

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า


สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ตอบขอบคุณ คุณ Kawae จ้า


ขอบคุณ คุณ Kawae ที่ทักท้วงจ้า หนูหริ่งคัดลอกข้อมูลจากพี่ทิดแดงมาผิดพลาดไปหน่อย ขออภัย ขอแก้ไขจ้า


จากข้อความเดิม
พอตัดเครือ เหลือหน่อแรกไว้หน่อเดียว ส่วนหน่ออื่นขุดออกขายหน่อ ๆ ละ 20 บาทพอแล้ว 200 ต้น ก็ 200 หน่อหรือมากกว่าเพราะกล้วยไม่ได้ออกแค่หน่อเดียว...คิดแค่หน่อเดียวก็ได้ 200 หน่อคูณ 20 ก็ได้อีก 40,000

ขอเพิ่มเติมข้อความที่ขาดหายไป........

พอตัดเครือ เหลือหน่อแรกไว้หน่อเดียว ส่วนหน่ออื่นขุดออกขายหน่อ ๆ ละ 20 บาทพอแล้ว 200 ต้น ก็ 200 หน่อหรือมากกว่าเพราะกล้วยไม่ได้ออกแค่หน่อเดียว...คิดแค่หน่อเดียวก็ได้ 200 หน่อคูณ 20 ได้ 4,000 บาท แต่ถ้า ต้นแม่ 1 ต้น แตกหน่อออกได้ถึง 10 หน่อ 200 ต้น จะได้ 2,000 หน่อคูณ 20 ก็ได้อีก 40,000

(ข้อความสีน้ำเงิน คือข้อความที่หนูหริ่งคัดลอกตกหล่นไปจ้า ขออภัยสมาชิกทุกท่านด้วยจ้า (โดนทิดให้กิน ยำยำ ชนิด จัมโบ้มาแล้วจ้า)….

ทีนี้ หากจะสงสัยและไม่น่าเชื่อว่า กล้วยต้นแม่ 1 ต้น จะแตกหน่อได้ถึง 10 หน่อเลยหรือ
ขอตอบว่า.....ได้ยิ่งกว่าได้จ้า เพื่อยืนยันว่าเป็นจริง ….ไปดูรูปกันจ้า





(1) ถนนเส้นนี้ เป็นทางสาธารณะ เป็นดินลูกรังมายาวนานหลายปีละจ้า ..สองข้างทาง ชาวบ้านใช้ปลูกต้นหมากรากไม้ โดยเฉพาะปลูกกล้วยกันดินพังทลาย อ่ะจ้า....ยามฝนตก ฟ้าร้อง เละตุ้มเป๊ะ เป็นหลุมเป็นบ่อ พอๆ กับถนนบนโลกพระจันทร์ก็ไม่ปานนะจ้า เวลาจะเข้า ออก อยากจะเหาะไปเลยจ้า

...วันดีคืนดี อบต. เอารถเข้ามาเกรด เอาหินคลุกมาลง ชาวบ้านดีใจฝุด ๆ เลยจ้า... แต่อะไรไม่ว่า ต้นกล้วยสองข้างทาง รถเกรดดันซะ ราบพณาสูรย์เลยจ้า ก็นึกว่าเค้าจะทำถนนกว้างสี่เลนน่ะจ้า ....แต่ มันก็กว้างเท่าเดิม แล้วคิดไม่ออกว่า เค้าดันต้นกล้วยริมทางออกไปทำไมอ่ะจ้า....ฝรั่งบอกว่า(มึง) Mai Pen Rai แต่กล้วย(ของกู) Chip Hai หมดน่ะจ้า

แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับกล้วยต้นเดียว แตกหน่อ 10 ต้นตรงไหน

เกี่ยวจ้า ไปดูกันต่อจ้า





(2)



(3)



(4)



(5)

(2 – 5) ต้นกล้วยที่ถูกโค่น ต้นมันเน่า แต่เหง้ามันจมดินอยู่ หลังจากได้รับใต้ฝุ่นอะไรต่อมิอะไร จำไม่ได้จ้า มันก็พยายามที่จะสืบทอดเจตนารมณ์เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป มันก็งอกต้นขึ้นมาจ้า

อยากให้เห็นว่า ขนาดโดนทารุณกรรมสุด ๆ ในสภาพดินข้างบนเป็นหินคลุกแบบโทรม ๆ จ้า (แต่ใต้ดินยังดีอยู่)มันพยายามแตกหน่อ แต่ละต้นมันก็งอกไม่น้อยกว่า 4 – 5 ต้นจากหน่อเดียวอ่ะจ้า....





(6) จากสภาพดินปนหินคลุก 1 ต้น 1 เหง้า มันแตกหน่อได้ 4 – 5 หน่อ ถ้าในสภาพดินดีอุดมสมบูรณ์ มันจะแตกหน่อขนาดไหน....




(7)



(8 )



(9)



(10)

(7 – 10) จากต้นแม่ 1 ต้น แตกหน่อได้ถึง 10 หน่อมั๊ยจ๊า...นับดูเองจ้า นี่มองจากด้านเดียวนะจ๊า




(11)



(12)

(11 – 12) ถ้ายังเห็นไม่ชัด เปิดหน้าดินขึ้นมาดูหน่อหน่อยเป็นไรมี 1 ต้น มีหน่อเกิน 10 หน่อมั๊ยจ๊า

หน่อขนาดนี้ แยกไปปลูกจะออกรากแจริญเติบโตมั๊ย

ชัวร์เลยจ้า ก็จะเหมือนในลักษณะของการเอาเหง้ามาผ่าเพื่อให้แตกหน่อเป็นต้นขึ้นมาน่ะจ้า...แต่จากอันนี้ จะงอกเป็นต้นและโตเร็วกว่าผ่าเหง้า เพราะมันแตกเป็นตุ้มหน่อขึ้นมาแล้วจ้า





(13) รวมกอง คัดแยกขนาด เพื่อจัดส่งจ้า...และ Size ขนาดนี้ ต้นละ 20 บาทไม่ต้องไปหา 30, 40, 50 บาทชัวร์จ้า





(14) เต็มรถคันนี้ก็ประมาณ 400 หน่อ ถ้าหน่อละ 30 ก็คงจะเป็น 12,000 ละจ้า...


ก็หวังว่า คุณ Kawae และพื่อนสมาชิกคงพอเข้าใจแล้วนะจ๊า หนูหริ่งอยากจะบอกว่า การจะซื้อหน่อกล้วยตามในรูปไปปลูกน่ะจ้า ควรจะเลือกหาแหล่งพันธุ์ที่เชื่อถือ จะได้ไม่มีปลอมปนจ้า

กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า เหมือนกัน แม้จะดูแล บำรุงเหมือนกัน แต่การให้ลูกดกอาจไม่เหมือนกันจ้า ....ทางที่ดีที่สุด ซื้อกล้วยที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หรือกล้วยปั่นตามาปลูกจะดีกว่า....เพราะจะได้กล้วยสายพันธุ์ที่มีลักษณะดีเหมือนกันหมดอย่างแน่นอนจ้า ....






(15) รูปกล้วยน้ำว้าปั่นตาในขวด หรือมาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่น่าปลูก มีสามสายพันธุ์จ้า....พันธุ์นวลจันทร์ พันธุ์มะลิอ่อง พันธุ์ปากช่อง50 จ้า


คราวหน้า ขอคุยเรื่องกล้วยปั่นตา หรือกล้วยเพาะเลี้ยงเนื่อเยื่อนะจ้า....



.
noo-ring
ตอบตอบ: 19/10/2015 9:31 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว (2)

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว (2)

(5.1- 3.7) เก็บของดี ๆ มาฝากจ้า

หนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ...บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ ครับ หรือ ผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า เพราะหนูหริ่งต้องรักษาคำในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ...โมทนาสาธุจ้า

ปลูกกล้วยแบบกลับหัว (2)

(1)

(2)
(1 - 2) เป็นเทคนิคการปลูกของเกษตรกรในภาคใต้นำมาปรับใช้ หน่อพันธุ์ที่ใช้สำหรับปลูกควรเลือกจากต้นที่ตัดเครือกล้วยไปแล้วเพราะจะได้หน่อพันธุ์สมบูรณ์ ตัดใบและลำต้นทิ้งให้เหลือเฉพาะส่วนโคนสูงจากพื้นดิน 30 - 40 เซนติเมตร ใช้เสียมแซะหน่อออกจากดินโดยต้องให้มีรากติดอยู่ด้วยก็สามารถนำไปปลูกได้แล้ว โดย........


(3) ขุดหลุมให้ลึก 50 เซนติเมตร


(4) วางหน่อพันธุ์ที่เตรียมไว้ให้ส่วนรากกล้วยชี้ขึ้นฟ้าแล้วกลบดินให้มิด ส่วนการดูแลก็เหมือนกับการดูแลกล้วยที่ปลูกแบบปกติ

การปลูกกล้วยด้วยวิธีนี้เพียงแค่ 1 เดือน ก็จะเริ่มแตกหน่อกล้วยใหม่ 2 - 4 หน่อต่อ 1 หลุม หลังปลูกแค่ 3 เดือน ต้นกล้วยจะสูง 1 เมตรขึ้นไป และให้ผลผลิตเมื่อต้นกล้วยมีอายุ 1 ปี ในขณะที่การปลูกแบบเดิมต้องใช้เวลา 1 ปี 8 เดือน จึงจะได้ผลผลิตและต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี จึงจะได้ต้นกล้วย 3 - 4 ต้นต่อ 1 หลุม
การปลูกกล้วยแบบกลับหัวเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ได้ และยังให้ผลผลิตเร็วกว่าเดิมอีกด้วย

สาเหตุที่ต้องปลูกกลับหัวกลับหางก็เพราะว่า
1.หน่อแตกออกมาไล่เลี่ยกันถึง 3 - 4 ต้นหรือ 2 ต้นอย่างน้อย
2.ไม่ต้องใส่ปุ๋ยในตอนแรกเพราะจะกินอาหารจากต้นเดิมก่อนได้
3.ต้นจะเตี้ยกว่าปกติ แต่ให้ผลผลิตเร็วมากกว่าเดิม


Credit.- ชุมชนคนรักษ์พรรณไม้



(5) การปลูกกล้วยให้ได้ผล ต้องหาพันธุ์ดี ลูกดกมาปลูกจ้า รูปนี้เป็นผลผลิตกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์ มะลิอ่อง ที่เกิดจากการปั่นตาจ้า ก่อนปั่นตาคัดมาแล้วว่า ต้นนี้ให้ผลผลิตดีจึงนำมาปั่นตาเพื่อทำพันธุ์ หนึ่งเครือมี 10 หวีขึ้นจ้า

คิดง่าย ๆ แบบไม่โลภมาก พอมีพอกินว่า 1 หวีปัจจุบันราคาเฉลี่ยต่ำสุด หวีละ 20 บาทจ้า (แต่ตามในรูปหวีขนาดนี้ก็ประมาณ 30 บาทจ้า)

เครือหนึ่งมี 10 หวี เท่ากับเครือหนึ่ง 200 บาทจ้า ....กล้วยปั่นตาที่ปลูกพร้อมกัน จะให้ผลผลิตพร้อมกันแน่นอนจ้า ถ้าปลูก 200 ต้น จะได้ 200 หวี ก็จะได้ 40,000 แล้วจ้า

พี่ทิดแดงบอกว่า....
พอตัดเครือ เหลือหน่อแรกไว้หน่อเดียว ส่วนหน่ออื่นขุดออกขายหน่อ ๆ ละ 20 บาทพอแล้ว 200 ต้น ก็ 200 หน่อหรือมากกว่าเพราะกล้วยไม่ได้ออกแค่หน่อเดียว...คิดแค่หน่อเดียวก็ได้ 200 หน่อคูณ 20 ก็ได้อีก 40,000 (หน่อมะลิอ่องที่ขายกัน หน่อละ 30 – 60 บาทน่ะจ้า)

ต้นที่ตัดเครือแล้ว ให้ตัดต้น ขุดเหง้าออกให้เหง้ายาว 50 – 70 ซม. ถ้าไม่ปลูกเองแบบกลับหัว ก็เอาหน่อไปผ่าทำต้นเล็กขายได้ ถ้าไม่ทำขายเองก็ขายให้คนที่เค้าผ่าหน่อทำต้นเล็กขาย...200 เหง้า ๆ ละ 10 บาทพอ ได้อีก 20,000


หนูหริ่งฟังแล้วลองรวมดู กล้วย 200 ต้น ตัดเครือเดือนละรุ่น หลังตัดเครือแล้วขายทั้งกล้วย ทั้งหน่อ ทั้งเหง้า ได้...40,000 + 40,000 + 20,000 ...ของจริงที่สามารถทำได้ ไม่ใช่ของล้อเล่นจ้า.........

สุดท้าย คุณจะลองทำ หรือไม่ทำก็ได้ตามใจคุณจ้า เดือนละแสน ใส่แต่หมวกทำงานในร่มใต้ต้นกล้วย ไม่ต้องใส่หัวโขน ไม่ต้องโดนเจ้านายด่า ไม่เป็นขี้ข้าใคร สบายดีจ้า



.
noo-ring
ตอบตอบ: 19/10/2015 7:50 pm    ชื่อกระทู้: Re: ตามอ่านอยู้จร้า

cherm บันทึก:
สวัสดีค่ะลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง และ สมช ทุกท่านค่ะ

ยัยเฉิ่ม ตามอ่านอยู่นะค่ะ หนูหริ่ง

ยัยเฉิ่ม เจ้าค่ะ


สวัสดีจ้าลุง ยัยเฉิ่มจ้า

ยัยเฉิ่มอย่าตามอ่านอย่างเดียวจ้า แค่อ่านอย่างเดียวมันไม่เกิดประโยชน์จ๊า.....อ่านแล้วถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ข้อมูล บทความอันไหนดี เหมาะสมที่จะนำไปใช้ ลงมือ ทดลองทำเลยจ้า ถ้าไม่ดี แก้ไขให้มันดี ...สำเร็จเพียง 1 เดียว จากใน 100 ที่นำเสนอ หนูหริ่งก็ภูมิใจแล้วจ้า.....

ขอบคุณจ้า



.
noo-ring
ตอบตอบ: 19/10/2015 7:44 pm    ชื่อกระทู้: หนูหริ่งไม่ได้เก่งจ้า

hans บันทึก:
.
.
สวัสดีค่ะ ลุงคิม ทิดแดง หนูหริ่ งและสมาชิกทุกๆๆ ท่าน

หนูหริ่งเก่งจังเลย

ป้าห่านจ้า

.


สวัสดีจ้าลุง ป้าห่านจ้า.....


โปรดเข้าใจด้วยว่า หนูหริ่งไม่ได้เก่งเลยจ้า....ที่นำเสนอได้นี้

(1) โดนพี่ทิดแดงบังคับให้ช่วยทำจ้า โดย มีพี่ทิดแดง พี่ทิดบัติ พี่ตู่ หาข้อมูลส่งมาให้จ้า แล้วให้หนูหริ่งเรียบเรียงเสียงประสานให้ดูดีขึ้นน่ะจ้า

(2) ข้อมูลส่วนใหญ่ คัดลอกจากเน็ต หนูหริ่งแก้คำที่เขียน หรือคำสกดผิดเท่านั้นเองจ้า


.
cherm
ตอบตอบ: 19/10/2015 11:31 am    ชื่อกระทู้: ตามอ่านอยู้จร้า

สวัสดีค่ะลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง และ สมช ทุกท่านค่ะ

ยัยเฉิ่ม ตามอ่านอยู่นะค่ะ หนูหริ่ง


ยัยเฉิ่ม เจ้าค่ะ
hans
ตอบตอบ: 15/10/2015 8:19 pm    ชื่อกระทู้:

.
.
สวัสดีค่ะ ลุงคิม ทิดแดง หนูหริ่ งและสมาชิกทุกๆๆ ท่าน

หนูหริ่งเก่งจังเลย

ป้าห่านจ้า

.
noo-ring
ตอบตอบ: 13/10/2015 6:57 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า


สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว



(5.1- 3.7) เก็บของดี ๆ และรวมความคิดที่หลากหลาย มาฝากจ้า


เนื่องจากหนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ...บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ ครับ หรือ ผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า เพราะหนูหริ่งต้องรักษาคำในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก SV Group จ้า





(1) การปลูกกล้วยกลับหัว


วันนี้ เรามาเรียนรู้การปลูกกล้วยกลับหัว หรือหัวกลับกันดีกว่าค่ะ

ถ้าปลูกกล้วยโดยนำหน่อหรือโคนลงดินเหมือนที่ปลูกอยู่ทั่วไปได้ต้นกล้วย 1 ต้นเมื่อออกลูกจะได้เครือหนึ่งประมาณ 7 - 8 หวี

แต่ถ้าปลูกเอาปลายลงดิน เอาเหง้าขึ้นข้างบน จะได้ต้นกล้วย 3 - 4 ต้น ได้กล้วย 3 - 4 เครือ แต่ละเครือจะได้กล้วยถึง 10 หวี วิธีนี้สามารถใช้ได้กับกล้วยทุกชนิด หลายท่านสงสัยว่าแล้วต้นไม่ตายหรือ

ไม่ตายหรอกจ้า “ประมาณ 15 วัน มันจะรีบขึ้นมาอย่างน้อย 3 - 4 ต้นพร้อมกันเลย พอกล้วยขึ้นมาแล้ว มันจะหาวิธีรอด โดยการแตกหน่อเพิ่ม 2 - 3 หน่อ จากนั้นให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก รดน้ำตามปกติ”

ทั้งนี้ต้นกล้วยที่ได้จะมีความสูง ไม่เกิน 150 เซนติเมตร และจะออกเครือเร็วกว่ากล้วยที่ปลูกด้วยการนำหน่อลงดิน ที่สำคัญขนาดของลูกจะใหญ่ขึ้น

ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการปลูกกล้วยวิธีนี้กันคะ

(ความเห็น)

- ลองทำแล้วแต่ก็ออกมาหน่อเดียว
ลองต่อไปจ้า


- เหง้าที่เอามาปลูก อายุกีปีคะ

- แล้วต้องใช้เหง้าที่มีอายุเท่าไหร่จึงจะใช้ได้คะ


(ตอบ) -1 - 3 ปี หรือเลือกหาต้นใหญ่ๆ ต้นที่เราคิดว่ามันมีตาอยู่ที่ โคน ลำตันก็ประมาณสัก ขาอ่อนเรานี่แหละ ตัดกลางต้นให้ห่างจากปลายโคนประมาณหนึ่งฟุต ตอนปลูกก็ขุดหลุมฟุตกว่าๆ พอให้ฝังได้มิดต้น ฝังให้ดินพูนๆสักหน่อย อย่าลืมกลับหัว ด้วยล่ะกันนะคะ

ฝังดินให้มิดต้นเลยหรือครับ ไม่ต้องให้ต้นโผล่ใช่มั้ยครับ!

(ตอบ) ใช่คะให้มิดเลย

ปกติกล้วยเริ่มออกผลประมาณ 9 -11 เดือน หลังจากให้ผลผลิตกล้วยต้นนั้นๆก็ตายหมดอายุ กล้วยอยู่ถึง 1-3 ปีพันธุ์ไรอ่ะ ... ?

กล้วยพอออกเครือแล้วเสร็จสรรพแล้วต้นแม่มันก็เน่าตายนี่ครับอายุไขไม่ถึง1ปี เหง้ามันจะมีได้ไงครับ มันเน่าไปหมดแล้วและหน่อก็แทบไม่มีจะแตกแล้วเพราะมันแตกหน่อไปแล้วก่อนที่มันจะออกลูก


(ตอบ) กล้วยที่ปลูก หลังจากเก็บผลผลิตมักจะตัดต้นเพื่อให้แตกหน่อใหม่และออกผลผลิตต่อไป หรือเอาเหง้า มาปลูกใหม่ได้ค่ะ ถ้าทำวิธีแรกอายุของกล้วยจะ2ปีคะ
(กล้วยที่ออกเครือแล้ว มันจะแตกหน่อใหม่ไปแล้ว ต้นส่วนบนมันจะเน่า แต่เหง้ามันยังอยู่ใต้ดินจ้า ลองขุดขึ้นมาดูซีจ๊า )





(2) @ K.- Kannikar …. นี่น่ะค่ะที่ปลูกแบบเดิมๆ ยังไม่แตกหน่อ่ใหม่เลย

บำรุงดีๆ ผลผลิต เก็บขายไม่ทันแน่คะ

Kannikar ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวจะไปขุดเอาเหง้าเก่าที่แก่ต้นและเก็บลูกไปแล้วไปปลูกแบบที่คุณบอกลองดูค่ะ ดีที่ไม่ต้องไปหาซื้อหน่ออ่อนใหม่ประหยัดด้วยค่ะ





(3) (กิ่งฟ้า ขันหล้า) นี่แหล่ะจ้า เดือนเศษๆผลงานจ้า. รอต่อไปอีกจ้าจะได้กี่หน่อ. ปลูก 1 สิงหาคม 2558 ในรูปภาพถ่ายเมื่อ 11 กันยายน 2558 จ้า

โทด(ขอโทษ)นะครับต้องเอาดินกลบหน่อมั๊ยครับ

(ตอบ).... กลบจ้า ให้มิดหน่อมิดรากจ้า. แล้วใช้ไม้หรือเหล็กเก่าๆปักไว้ก็ดีจ้า. คนเห็นจะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่จ้า




(4)



(5)


(4 – 5) (กิ่งฟ้า ขันหล้า)…. ขุดหลุม 30 - 50 ซม. จ้า


แล้วต้องขุดหลุมลึกขนาดไหนคะแล้วต้องฝังหน่อกล้วยจนมิดเลยรึป่าว

ขุดหลุมลึกประมาณ 1 ฟุต หน่อกล้วยตีกลับของเราตัดประมาณ 25 ซม.นะคะ กลบหลุมให้มิด รดน้ำให้ชุ่มเลยคะ





(6) กิ่งฟ้า - ปลูก 1 สิงหาคม 2558 จ้า จับปลายลงดิน อาเหง้าขึ้นบน ง่ายๆ ไม่ได้ใส่ปุ๋ยใดๆ และไม่ได้รดน้ำ กว่าจะงอกเลยรอนานกว่าปกติจ้า




(7)



(8 )

(7 – 8 ) 18 กันยาผ่านไป 1 เดือน 18 วันจ้า ยังได้หน่อเดียวจ้า




(9)



(10)



(11)

(9 – 11) 1 เดือน 28 วันจ้า




(12)



(13)



(14)



(15)



(16)



(17)



(18 )



(19)



(20)

(12 - 20) ปลูกแบบดั้งเดิม ปุ๋ยและน้ำไม่รด รอฝนอย่างเดียวต้นสูง 3. เมตรขึ้นไปอย่างน้อยจ้า

- โอเคเดี๋ยวปลูกดู


กิ่งฟ้า ขันหล้า ....เชิญจ้า ไม่ลอง ไม่รู้จ้า เดาไม่ออกจ้า. ตอนนี้รู้แล้วว่า. เดือนกว่าๆได้หน่อ. เดี๋ยวจะลองรดน้ำใส่ปุ๋ย ดูซิว่าจะได้กินลูกนานไหมจ๊ะ



(21)



(22)

(21 – 22) @(มณฑล) ...ปลูกธรรมดาก็ได้หลายหวี สูงไม่เกิน 3 เมตร

ดินบ้านคุณ ดินบ้านฉัน น้ำบ้านคุณ น้ำบ้านฉัน อากาศบ้านคุณ อากาศบ้านฉัน ไม่เหมือนกันจ้า





(23) @(รุ่ง) ปลูกธรรมดาแต่ขุดลุมลึก...ได้อย่างทีเห็นคับ(ครับ)


ความสูงของมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดไหมครับ. ผมชอบที่ว่าไม่เกิน 1.50 ม. นี่แหละ เพราะที่ปลูกทุกวันนี้สูง 2.50/3.00 ม. มันเก็บยากตอนสุก

อาจมีสูงต่ำบ้างแต่ไม่มากกว่านี้คะ
หน่อชุดแรกอาจจะต่ำ แต่หน่อชุดต่อไปสูงตามสายพันธุ์


คือต้นที่เราปลูกกลับหัวเขาจะตายใช่ไหมคัฟ(ครับ) แล้วเหง้าเขาจะแตกหน่อขึ้นมาแทน

ใช่คะ และด้วยเหง้าเก่ากล้วยได้ดูดสารอาหารไว้เยอะอยู่แล้วจึงทำให้กล้วยโตไวขึ้นคะ


จบการปลูกกล้วยกลับหัวแค่นี้จ้า....

มันมีเรื่องการขยายพันธุ์กล้วยให้ได้จำนวนมาก โดยการผ่าหน่อ พี่ทิดแดงเคยนำเสนอไว้แล้วจ้า ในเกษตรสัญจร 9 ลองค้นหาดูนะจ้า คลิก แล้ว เปิดไปที่ บทที่ 3 ตอนที่ 5 วันที่ 9 /10 /2013 – การขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการผ่าหน่อจ้า

http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=3800&postdays=0&postorder=asc&start=0

การผ่าหน่อกล้วย 1 เหง้า จะได้ต้น 5 – 8 ต้น เอาแค่เหง้าละ 5 ต้นพอแล้วจ้า ถ้า 100 เหง้า ก็ได้ต้นกล้วย 500 ต้น ปลูกกันเป็นหลายไร่แล้วละจ้า....

นอกจากนี้ก็มีวีการขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการปั่นตา อยู่ในกระทู้เดียวกันนี่แหละจ้า อยู่ในบทที่ 3 ตอนที่ 4 วันที่ 3 /10 /2013 นะจ้า



และอยากจะบอกฝากพี่ทิดว่า รูปบางรูปที่พี่ทิดเอาลงไว้ มันหายไปหลายรูปเลยจ้า ถ้าว่าง กรุณาซ่อมแซมด้วยก็ดีจ้า


.
noo-ring
ตอบตอบ: 09/10/2015 10:15 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ข้าว 5 สายพันธุ์

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ข้าว 5 สายพันธุ์

(5.1 – 3.6) เก็บของดี ๆ มาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก SV Group จ้า



(1) เคล็ดไม่ลับ..ฉบับ เอส.วี.

วันนี้แอดมินขอเสนอข้อแตกต่างของข้าว 5 สายพันธุ์ค่ะ
ประเทศไทยเราเป็นถิ่นที่ปลูกข้าวมาช้านานและยังมีพันธุ์ข้าวมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ จากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาของข้าวพื้นบ้านหลายชนิดพบว่า มีคุณค่ามากมาย และสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้เช่น

ข้าวหอมมะลิและข้าวหอมมะลิแดง ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด สมอง และหัวใจ
ส่วนข้าวหอมนิล ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง เป็นต้น

แอดมินจึงนำข้อแตกต่างนี้มาให้ท่านได้อ่าน เพิ่มความรู้ด้วยค่ะ เผื่อท่านที่ยังไม่เคยทราบ
- ข้าวหอมมะลิและข้าวหอมมะลิแดงลักษณะต้นคล้ายกัน เมื่อแกะเมล็ดออกจากเปลือก เมล็ดข้าวหอมมะลิแดงจะมีสีแดงใส ส่วนข้าวหอมมะลิมีสีขาว
- ข้าวหอมนิล กาบใบมีสีม่วงเรื่อ รวงสีม่วง เมล็ดสีแดงคล้ำ
- ข้าวลืมผัว ใบกว้างกว่า สีเขียว ใบธงตั้งขึ้นรวงใหญ่เมล็ดอ้วน ดูคล้ายเปลือกเมล็ดสีเหลือง เมื่อแกะออกด้านในเปลือกมีสีม่วงเมล็ดสีม่วงคล้ำ
- ข้าวเหนียวธัญญสิรินทร์ ต้นเตี้ยแข็งตั้งตรงรวงสั้นเมล็ดคล้ายกับข้าวหอมมะลิ แต่เมล็ดด้านในสีขาวขุ่น

เท่านี้เราก็จะมีพื้นฐานการแยกข้าวแต่ละพันธุ์แล้ว
อย่างไรก็ตามใครที่รู้แล้ว อย่าลืมบอกต่อๆกันนะคะ ทานข้าวให้อร่อยกันนะคะเพื่อนๆ

เครดิต:คุณพักตร์วิภา ปัญญาพรวิจิตร์ เจ้าของบีบีฟาร์ม ฟาร์มอินทรีย์เน้นสุขภาพจังหวัดแพร่

หมายเหตุ ข้อมูลมีน้อยจัง…อ่านแล้วไม่ได้อรรถรสเลย กราบรบกวนลุง กรุณาเพิ่มเติมข้อมูลด้วยจ้า


.
noo-ring
ตอบตอบ: 06/10/2015 3:52 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สมุนไพรหลายหลากจ้า

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สมุนไพรหลายหลากจ้า

เก็บของดี ๆ มาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก Wanchai Karnwitayee จ้า


(1)

(2)
(1 - 2) กินหอมแดงเป็นประจำ ป้องกันโรคหัวใจ

หอมแดงเป็นพืชขนาดเล็กลำต้นเหนือใต้ดินสูง 15-50 ซม. มีกาบใบซึ่งมีลักษณะพอง สะสมอาหารเป็นกระเปาะคล้ายหัว สีแดงถึงสีน้ำตาลเหลือง ขยี้กลิ่นฉุนและระคายเคืองตา ทำให้น้ำตาลไหล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-4 ซม. ใบเสียเขียวเป็นเส้นกลมภายในกลวง ปลายเรียวแหลม ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกก็เป็นคล้ายใบ ยาวประมาณ 20-30 ซม. ดอกย่อยมีจำนวนมาก สีขาวออกม่วง ๆ มี 6 กลีบ มีเกสรตัวผู้หกอัน ผลอยู่รวมกันเป็นกระจุกกลม เมล็ดสีดำ

สรรพคุณทางยา :
หัวหอม มีรสฉุน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ช่วยย่อยและเจริญอาหาร แก้บวมน้ำ แก้อาการอักเสบต่าง ๆ ขับพยาธิ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เมล็ด แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้กินเนื้อสัตว์เป็นพิษ ร่างกายซุบผอม (ใช้เมล็ดแห้ง 5-10 กรัมต้มน้ำดื่ม) ตำรายาไทยใช้หัวหอมแดง ผสมรวมกับเหง้าเปราะหอมสุมหัวเด็ก แก้หวัดคัดจมูก และกินเป็นยาขับลม หอมแดงมีสารเคอร์ซิติน และสารฟลาโวนอยด์ (quercetin และ flavonoid glycosides) อาจป้องกันโรคมะเร็งได้

นอกจากนี้ หอมแดงยังมีคุณสมบัติ เป็นยารักษาโรค ใช้ลดไข้และรักษาแผลได้ โดยเอาหัวหอมแดงมาซอยเป็นแว่นๆ ผสมกับน้ำมันมะพร้าวและเกลือ ต้มให้เดือด แล้วนำมาพอกแผล

นอกจากนั้นหอมแดง ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยับยั้งเส้นเลือดอุดตัน ด้วยการบริโภคสด หรือประกอบอาหาร หรือบริโภคชนิดผง

นักวิจัยมหาวิทยาลัยในฮ่องกง พบประโยชน์ของหอมแดง ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหาร ทั้งในเอเชีย และเมดิเตอร์เรเนียนว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยช่วยกำจัดไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการทำให้หัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาตออกจากร่างกาย และรักษาไขมันดีไว้ เป็นการป้องกันโรคหัวใจ

หัวหน้าคณะนักวิจัย เชิน ยู เชน กล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการวิจัยหัวหอมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยีนของมนุษย์ และมีบทบาทเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างไร การศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษาความเกี่ยวพันของหอมแดงกับหน้าที่ทาง ชีววิทยาหนแรก”

นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา โดยการป้อนหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง แล้วให้กินหอมแดงที่ทุบแล้ว พบว่าหลังจากทำมา 2 เดือน ระดับคอเลสเทอรอลเลวลดลงโดยเฉพาะร้อยละ 20 โดยที่ระดับคอเลสเทอรอลดีไม่เปลี่ยนแปลง
หัวหน้านักวิจัยกล่าวในที่สุดว่า “ผลของการศึกษาได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การกินหัวหอมประจำจะช่วยลดอันตรายของโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตันได้”

ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ข้อมูลภาพจากอินเตอร์เน็ต



(3) คาเวียร์

หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน

คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้ปลาสเตอร์เจียน

ในปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียง จะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย

คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสี โดย....
คาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet, ชื่อวิทยาศาสตร์: Acipenser ruthenus) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป และทำให้เกิดการสูญพันธุ์

ปลาสเตอร์เจียน (อังกฤษ: Sturgeon) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ดหรืออันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes) อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด

สเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด

สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 3 สกุล โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย

คาเวียร์ เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก
ข้อมูลโภชนาการ



(4) ประโยชน์ดีๆ ของขึ้นฉ่าย

(คำว่า ขึ้นฉ่าย – ทั้งในรูป และในบทความ เขียนผิดนะจ๊า ตามปทานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯ ต้องเขียนว่า คึ่นไฉ่ หรือ คึ่นฉ่าย จ้า)

สุขภาพดีไม่มีขาย แต่ถ้ากินขึ้นฉ่าย (คึ่นฉ่าย) เป็นประจำ สุขภาพของคุณจะเป๊ะเว่อร์จนน่าอิจฉา

1. ความดันโลหิต ลดลงน้ำต้มขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย) 1 แก้วจะปรับความดันโลหิตให้ลดลงภายใน 1 ชั่วโมง และออกฤทธิ์อยู่นานถึง 5 ชั่วโมง ถ้าคุณความดันสูงแล้วดื่มน้ำขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)ก่อนออกจากบ้านทุกวัน โอกาสเสี่ยงที่จะไปหน้ามืดใจสั่นหรือหัวใจวายนอกบ้านก็จะน้อยลงมากถึงมากที่สุด

2. สบายท้อง เวลากินอาหารมื้อหนักอย่าลืมตบท้ายด้วยขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย) 2 - 3 ก้าน เพราะน้ำมันระเหยในขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)มีสรรพคุณในการขับลมในกระเพาะอาหาร จะช่วยให้คุณไม่เกิดอาการท้องอืด หรือจุกเสียดแน่นท้องจนออกไปชิลเอาท์ต่อไม่ไหว

3. ไม่ต้องห่วงโรคหวัด เพราะขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)หอบวิตามินซีมามาแบบจัดหนัก โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นคู่อริกับวิตามินซีก็เลยไม่กล้าแผลงฤทธิ์ แถมยังมีผลข้างเคียงช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟันและเลือดกำเดาไหลได้อีกด้วย

4. ต่อต้านมะเร็ง พีนอลิคซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)มีสรรพคุณในการล้างสารพิษ ฟอกเลือดให้สะอาดทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันมะเร็งและเนื้องอก นอกจากนี้ยังช่วยขับปัสสาวะ ทำให้สารพิษต่างๆ ไม่ตกค้างในร่างกาย

5. ไม่อ้วนก่อนมีประจำเดือน ตำราจีนบอกว่าขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)เป็นยาเย็นที่สามารถลดอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน สาวๆ ที่อยากให้รูปร่างดีตลอดเวลา นี่ล่ะตัวช่วยของคุณ



(5)ใบยอ. สมุนไพร ชะลอ ความเสื่อมของร่างกาย

ใบยอ มีวิตามินเอ 40,000 กว่ายูนิตสากลต่อ 100 กรัม มีคุณสมบัติในการบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ ลดไข้

คั้นน้ำทาแก้โรคเก๊าท์ ปวดตามข้อเล็กๆ ของนิ้วมือ นิ้วเท้า แก้กระษัย หรือคั้นน้ำสระผมฆ่าเหา ใช้ใบปรุงเป็นอาหาร ประโยชน์ต่อสุขภาพ สมุนไพรใบยอ รับประทานเป็นยาเพื่อลดความร้อนในร่างกายได้ ส่วนผลมีรสเผ็ดร้อน แก้ท้องร่วง ช่วยขับลมในลำไส้

ชื่อท้องถิ่น : ยอบ้าน ตาเสือ มะตาเสือ แยใหญ่
ชื่ออังกฤษ: Indian mulberry;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Morinda citrifolia L. (สมภพ ประธานธุรารักษ์,2539)

สมุนไพรยอบ้าน มีประโยชน์มากมายทางด้านสุขภาพ และสามารถหาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้สะดวก เพราะมีขึ้นอยู่ทั่วทุกสภาพดิน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่ ราก เปลือก ใบ ผล ซึ่งทั้งหมดนี้จะอุดมไปด้วย สารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้ง วิตามินซี โปตัสเซียม วืตามินเอที่ค่อนข้างสูง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท็ซึ่งสารเหล่านี้มีความสำคัญ และให้ประโยชน์แก่สุขภาพทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่สามารถป้องการเกิดมะเร็งได้ด้วย เหมือนกับการทานผักผลไม้ทั้งหลาย ส่วนใบยังทำเป็นชาสมุนไพรไว้ดื่มได้อีกด้วย

ใบยอ 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 73 กิโลแคลอรี่มีเส้นใย 4 กรัม มีแคลเซียม 469 มิลลิกรัม เหล็ก 1.4 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43333 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.30 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซิน 7.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม

ประโยชน์ทางการแพทย์ ของสมุนไพร ใบยอ ดังนี้
1. สร้างเสริมปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ให้ดีขึ้น ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมโทรม ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย เพิ่มพลังในเซลล์ ทำให้มีกำลังและขจัดสารพิษในเซลล์
2. ช่วยสังเคราะห์สารโปรตีนในร่างกาย ทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายดีขึ้น และเป็นผลดีต่อต่อมต่างๆ ในร่างกายทำให้ทำงานดีขึ้น
3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และต่อต้านมะเร็ง
4. ลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวาน
5. ลดความดันโลหิตสูง
6. ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานโรคโดยการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่างๆ
7. ลดและบรรเทาการอักเสบของเซลล์ ลดและบรรเทาโรคภูมิแพ้
8. มีวิตามิน แร่ธาตุ อะมิโนแอซิด ช่วยเสริมอาหารและเพิ่มพลังงานในร่างกาย
9. ระงับความเจ็บปวด และบรรเทาอาหารปวดซ้ำ
10. ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว
11. ป้องกันและลดอาการของโรคภูมิแพ้

ถึงแม้การศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ เนื้อหาผลที่มีต่อสุขภาพของลูกยอเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและยังไม่พบข้อ พิสูจน์อย่างแน่ชัดก็ตาม แต่การใช้ลูกยอเป็นยาพื้นบ้านชาวโพลีนิเชียน พบคุณสมบัติทางยาของลูกยอซึ่งนำมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 2000 ปี แล้ว ชาวจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฯลฯ ใช้ยอ (ใบ ดอก ผล เปลือก ราก) ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ตา โรคผิวหนัง เหงือก โรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ แก้ท้องผูก ปวดท้อง โรคปวดเอว โรคขัดหรือท้องร่วง เป็นต้น

การใช้ประโยชน์ใบยอ :
(ก) ใบสด ใช้ห่อเนื้อ ใช้ทำอาหาร เช่น ห่อหมก ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ยงตัวหนอนไหม แก้แผลพุพอง รักษาอาการปวดศีรษะ หรือไข้

(ข) ใบทำยาพอก รักษาโรคมาลาเรีย แก้ไข้ แก้ปวด รักษาวัณโรค อาการเคล็ดยอก แผลถลอกลึกๆ อาการปวดในข้อ แก้ไข้ แก้พิษจากการถูกปลาหินต่อย แก้กระดูกแตก กล้ามเนื้อแพลง

(ค) น้ำสกัดใบยอ รักษาความดันโลหิตสูง เลือดออกที่เกิดจากกระดูกร้าว แก้ปวดท้อง เบาหวาน เบื้ออาหาร ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่องท้องบวม ไส้เลื่อน อาการขาดวิตามินเอ เป็นที่น่าสังเกตว่า ลูกยอมีปริมาณคาร์โบไฮเดรต เส้นใย และโพแทสเซียมสูง แต่มีไขมันค่อนข้างต่ำ

การใช้ประโยชน์ ยอสมัยใหม่ :
ปัจจุบันมีการนำลูกยอมาใช้ในทางแพทย์ทางเลือก (complementary alternative medicine, CAM) กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคติดสุราหรือยาเสพติด อาการแพ้ โรคข้ออักเสบ โรคหอบหืด โรคสมอง แผลพุพอง มะเร็ง โรคเส้นโลหิตหล่อเลี้ยงหัวใจ อาการแพ้สารเคมี โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคเซลล์เจริญเติบโตนอกมดลูก (endometriosis) โรคเก๊าท์ โรคความดันโลหิตสูง ภูมิคุ้มกันต่ำ อาการอักเสบต่างๆ อาการปวดบวม อาการอ่อนเพลียจากการนั่งเครื่องบินนานๆ โรคเส้นโลหิตตีบ อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ โปลิโอ โรคปวดในข้อ ไซนัส และใช้เป็นยารักษาสัตว์

ในปัจจุบันลูกยอกลายเป็นยาทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงมาก ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากคุณสมบัติของลูกยอในทางการรักษาแบบพื้นบ้านสืบมา บวกเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมสืบทอดกันมา และผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยังถือว่าเป็นเบื้องต้นสรรพคุณของลูกยอหรือน้ำลูกยอได้ขยายออกไปสู่การรักษาโรคต่างๆ เช่น ในเว็บไซด์เกี่ยวกับลูกยอของอินเดียกล่าวว่า ลูกยอช่วยลดพิษในร่างกาย ทำให้เซลล์อ่อนเยาว์ลง

ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ลดอาการปวด ดูดซึมอาหารและยาได้ดีขึ้น ควบคุมน้ำหนัก ทำให้นอนหลับสบาย ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ควบคุมการทำงานของเซลล์ให้ดีขึ้น ซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมโทรม เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ดีขึ้น ลดความเครียด ทำให้จิตใจสงบและเยือกเย็น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ทำให้ตื่นตัว มีความจำและสมาธิดี ช่วยรักษาผิว ผม และหนังศีรษะ ลดโอกาสของการเป็นโรคที่เกี่ยวกับสูงวัย เช่น โรคเส้นโลหิตตีบ โรคหัวใจ เบาหวาน และอัมพฤกษ์

นับว่าเป็นข้อมูลสมุนไพรไทยที่น่าสนใจและน่าจับตามากตัวหนึ่งเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
1. เว็บไซต์ prc.ac.th/lannagardrn
2. เว็บไซต์ 108 พรรณไม้
3. เว็บไซต์ th.wikipedia.org
4. เว็บไซต์ charpa.co.th
5. http://herbbasics.org/blog/ใบ



(6) 10 ลำนำ ทำลายไต - ไตเสื่อม

หมายถึงโรคที่ทำให้มีการสูญเสียเนื้อไตและมีการเสื่อมของการทำงานของไตอย่างช้าๆ อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อไตเสื่อมมากก็จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น บวม ซีดเป็นต้น

ในการประเมินจะเป็นโรคไตหรือไม่แพทย์จะสั่งตรวจเลือดเพื่อหาค่า
Creatinine เพือประเมินการทำงานของไต
ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจว่ามีโปรตีน หรือเม็ดเลือดแดงหรือตะกอนหรือไม่
ตรวจทางรังสีเพือดูโครงสร้างของไต

เมื่อได้ผลตรวจจึงมาประเมินว่าเป็นโรคไตหรือไม่โดยพิจารณาจากลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในสองข้อต่อไปนี้

ผู้ป่วยมีภาวะไตผิดปกตินานติดต่อกันเกิน 3 เดือนทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอัตรากรองของไต(glomerular filtration rate, GFR)ผิดปกติหรือไม่ก็ได้ ภาวะไตผิดปกติหมายถึงลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจปัสสาวะอย่างน้อยสองครั้งในระยะ 3 เดือนดังต่อไปนี้
ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

ถ้าเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วตรวจพบไข่ขาวในปริมาณเล็กน้อย microalbuminuria (อยู่ระหว่าง 30-200 microgram/day)

หากผู้ป่วยไม่ได้เป็นเบาหวานและตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 500 mg/วัน
ตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ hematuria
ตรวจพบความผิดปกติทางรังสีวิทยา
ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสร้างหรือพยาธิสภาพ

ผู้ที่มี GFR น้อยกว่า 60 mL/min/1.73m2ติดต่อกันเกิน 3 เดือนโดยที่อาจจะตรวจพบหรือไม่พบร่องรอยโรคก็ได้

จากนิยามจะเห็นได้ว่าการเป็นโรคไตเรื้อรังตามข้อ 1 พบว่าการทำงานของอาจจะปกติหรือผิดปกติก็ได้ สิ่งผิดปกติที่พบคือการตรวจปัสสาวะพบความผิดปกติ หากความผิดนั้นแก้ไขได้ก็จะไม่เป็นโรคไตเรื้อรัง สำหรับโรคไตตามข้อ2ไตได้ทำงานลดลงแล้วจะต้องรักษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไต

ข้อมูล — กับ ถั่วดาวอินคา แม่เมาะลำปาง



(7) วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ ไม่แท้..มาดูกันว่าทำอย่างไรบ้าง..

น้ำผึ้งเป็นอาหารยอดนิยมชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายและด้วยความนิยมอย่างสูงและมีราคาแพงนี่เองจึงทำให้มีผู้ทำน้ำผึ้งปลอมหรือน้ำผึ้งผสมออกมาขายมากมาย จนผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการซื้อน้ำผึ้ง ยิ่งผู้ซื้อที่ขาดความรู้ในวิธีการทดสอบน้ำผึ้งด้วยแล้ว แทบจะเลิกกินน้ำผึ้งกันไปเลย วันนี้เราได้รวบรวมวิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้และวิธีดูน้ำผึ้งแท้มาให้ท่านได้ใช้งานกันแล้ว

น้ำผึ้งแท้ได้มาจากน้ำหวานจากเกสรดอกไม้

วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ มีวิธีทำอย่างไรบ้าง ?
มีวิธีการทดสอบกันมากมายหลายวิธี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าสามารถทดสอบวิธีไหนได้บ้าง ดังนี้…

1. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการติดไฟ :
วิธีทดสอบนี้ทำได้โดยนำไม่ขีดไฟมาจุ่มลงในน้ำผึ้ง แล้วเอามาขีดกับข้างกล่อง (ข้างกลัก) ไม้ขีด ถ้าสามารถขีดติดไฟได้ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้ แต่ถ้าขีดไม่ติด หัวไม้ขีดไฟเปื่อยยุ่ยแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งปลอม หรือน้ำผึ้งผสมน้ำตาล

2. การทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการหยดบนกระดาษทิชชู่ :
วิธีเช็คน้ำผึ้งด้วยวิธีนี้ ทำได้โดยการนำน้ำผึ้งที่ต้องการทดสอบหยดลงบนกระดาษทิชชู่ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เมื่อหยดแล้วน้ำผึ้งนั้นจะคงรูปอยู่บนผิวทิชชู่ ไม่ซึมลงไปในเยื่อกระดาษ แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมหรือผสม น้ำผึ้งจะซึมลงกระดาษทิชชู่ทันทีที่หยดลงไป

3. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยปูนแดง :
วิธีนี้เป็นการทดสอบน้ำผึ้งด้วยด้วยปูนแดงหรือปูนกินหมาก วิธีการก็คือ เทน้ำผึ้งลงในฝ่ามือจากนั้นเทปูนแดงตามลงไป จากนั้นคนให้เข้ากัน ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะรู้สึกร้อนที่ฝ่ามือทันที แต่ถ้าเป็นของปลอมจะไม่รู้สึกอะไรเลย

4. การทดสอบน้ำผึ้งด้วยการดม :
วิธีตรวจสอบน้ำผึ้งแท้แบบนี้จะใช้วิธีการดม ซึ่งน้ำผึ้งแท้จะมีกลิ่นเฉพาะตัว คือมีกลิ่นหอมของน้ำหวานดอกไม้ผสมกับกลิ่นของรวงและไขมันผึ้งชัดเจนในขณะที่น้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอมจะมีกลิ่นน้อยมากหรือไม่มีเลย

5. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการแช่ตู้เย็น :
วิธีการดูน้ำผึ้งแท้แบบนี้ทดสอบได้ง่ายมาก เพียงนำน้ำผึ้งไปใส่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน แต่จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ ในขณะที่ของปลอมจะจับตัวแข็งเหมือนนำน้ำหรือน้ำเชื่อมไปแช่นั่นเอง

6. การทดสอบน้ำผึ้งโดยการเก็บ :
น้ำผึ้งแท้นั้นเมื่อถูกเก็บไว้นานๆจะมีสีคล้ำขึ้น แต่รสชาติและลักษณะอื่นจะยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ในขณะที่ของปลอมจะเกิดการแยกชั้นของน้ำผึ้งและน้ำตาลอย่างชัดเจน กลิ่น สีและรสชาติก็เปลี่ยนไปด้วย การทดสอบน้ำผึ้งแท้วิธีนี้ทำได้ง่ายมาก

7. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการเขย่า :
วิธีนี้นิยมใช้ทดสอบน้ำผึ้งที่ใส่ขวดขาย ให้จับขวดให้แน่นและเขย่าอย่างแรงหลายๆครั้ง ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ซึ่งมีความหนืดสูง จะเกิดฟองอากาศขนาดใหญ่และไม่เกิดการแยกชั้นของของเหลวในขวด ในขณะที่น้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอมจะเกิดฟองอากาศขนาดเล็กและเกิดการแยกชั้นของน้ำผึ้งและน้ำตาล

8. การทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการชิม :
วิธีการตรวจสอบน้ำผึ้งแบบนี้จะเห็นผลชัดเจนเวลาเราเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ให้กินน้ำผึ้งประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เมื่อผ่านไปประมาณ 20 นาที ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ เราจะรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวย มีแรง หายอ่อนเพลีย แต่ถ้าเป็นของปลอมเราจะไม่รู้สึกเช่นนี้เลย

9. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการหยดลงในน้ำเย็น :
วิธีดูน้ำผึ้งแท้แบบนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงนำน้ำเย็นจากตู้เย็นมาใส่แก้ว จากนั้นหยดน้ำผึ้งลงไป ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ หยดน้ำผึ้งนั้นจะจับตัวเป็นหยดและตกลงไปยังก้นแก้วก่อนจะค่อยๆลอยกลับขึ้นมา แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอม เมื่อหยดลงในน้ำเย็นก็จะเกิดการแตกตัวหรือแตกกระจายในน้ำทันที

10. การทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยลักษณะทางกายภาพ :
วิธีการดูน้ำผึ้งแท้วิธีนี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ น้ำผึ้งแท้จะมีสีใส มีความหนืดสูง ไหลช้าไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว มีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม

11. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยห้องทดลอง :
วิธีนี้ชาวบ้านอย่างเราๆคงไม่ได้ใช้ แต่จะใช้กับหน่วยงานของรัฐที่ให้การรับรองน้ำผึ้งแท้ วิธีนี้จะใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำผึ้งโดยละเอียด ซึ่งจะทราบผลได้ 100% ว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่

วิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้ที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดก็คือการวิเคราะห์ผลจากห้องทดลอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้จะทดสอบน้ำผึ้งแท้อย่างไร อาจจะเพราะไม่มีอุปกรณ์หรือไม่มีเวลาทดสอบ ก็ให้เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือเลือกซื้อน้ำผึ้งแท้ยี่ห้อต่างๆที่มีขายตามท้องตลาด จะมั่นใจได้มากกว่าการซื้อน้ำผึ้งที่มีขายกันตามข้างทางครับ

ที่มา: http://www.เกร็ดความรู้.net/



(8 ) ยารุ (ยาล้างพิษ ) แบบคนโบราณ - หมอชีวกฯ

ในทางการแพทย์แผนไทยนั้น การจะจ่ายยาสมุนไพรให้ผู้ป่วยคนหนึ่งนั้น หมอต้องหาสาเหตุที่มาของโรคหรืออาการแสดงนั้นๆด้วยความรอบคอบ และนึกถึงความสำคัญของผู้ป่วยให้มาก การจ่ายยาในสมัยก่อน หมอจะจ่ายยาล้างของเสียในร่างกายหรือที่เรียกกันว่า "ยารุ"

นั่นคือ รุเอาตะกรัน ตะกอนของเสียต่างๆออกจากโรคหลักและร่างกายก่อนทำการรักษา ต่อไป ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้เทียบ เส้นโลหิต น้ำเหลือง หรือลำไส้ เป็นท่อน้ำประปา น้ำต้องไหลผ่านท่อทุกวันทำให้เกิดตะกรันสะสมในท่อเกิดขึ้น ยิ่งนานวันตะกรันของเสียยิ่งเยอะ สะสมมากๆเข้าอาจทำให้ท่ออุดตัน หรือระบบการใหลเวียนทำได้ไม่ดี ถ้าหากเราจ่ายยาไปโดยที่เราไม่ได้รุออกก่อนนั้นถามว่าได้มั้ย ตอบว่าได้ แต่ลองเปรียบเทียบกันดูหากเราใส่น้ำลงไปในท่อที่มีตะกรันเยอะๆกับท่อที่สะอาด อันไหนน้ำจะไหลดีกว่ากัน

คนโบราณเค้าฉลาดหลักแหลมมากเรื่องการใช้ยา เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะคนโบราณเค้าจะทดลองยากับตัวเองนั้นๆก่อนจ่ายให้กับผู้ป่วย เค้าจึงรู้เรื่องการใช้ยาดี

จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการ "ล้อม" คือรักษาอาการของโรคหลัก ย้ำว่ารักษาอาการตาม จากนั้นจึงรักษาตัวของโรคหลัก โดยดูว่าธาตุใดกำเริบ หย่อน พิการ ก็รักษาตามโรคนั้นๆไป จากนั้นจึงบำรุงธาตุดิน(อวัยวะ)ที่พร่องไปให้ปรกติดังเดิม จะได้ขั้นตอนเป็น รุ-ล้อม-รักษา-บำรุง-ป้องกัน เพราะฉะนั้นคนไข้จึงควรทำความสะอาด หลอดเลือด ลำไส้ ให้สะอาด ไม่ใช่ด้วยการดีท๊อก แต่เป็นการเลือกทานอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นกากใย หรือ มีสรรพคุณในการฟอกโลหิตให้สะอาด

สุดทัายนี้ ยาไทย ไม่ใช่แค่ไอ จ่ายยาไอ ปวดหัวจ่ายยาแก้ปวดหัว แต่จ่ายยาแบบรักษาคนไม่ใช่รักษาอาการ

ขอนอบน้อม ครูแพทย์ไทยทุกท่าน



(9) น้ำยาอุทัย

ได้จากสมุนไพรที่มีสรรพคุณคลายร้อน กลายเป็นที่นิยมกันมากขึ้น และหนึ่งในสมุนไพรที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกแนะนำว่าสามารถบรรเทาและป้องกันโรคฮีสโตรกหรือโรคลมแดดได้ นั่นก็คือ “น้ำยาอุทัย” เครื่องดื่มสมุนไพรคลายร้อน

น้ำยาอุทัยเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าก่อนมักจะนำมาใช้ผสมน้ำดื่ม เพื่อแก้ดับกระหายคลายร้อน เนื่องจากเป็นยาที่มีส่วนผสมสมุนไพรหลากหลายชนิด และเป็น 1 ใน 10 ขนานยาแผนโบราณของไทยที่โอสถสภาและโอสถศาลาของรัฐบาลผลิตในระยะแรก ๆ

ในสมัยรัชการที่ 1 นั้นเป็นสมัยที่เริ่มมีการจัดตั้งหน่วยงานแพทย์แผนไทยขึ้น โดยมีการจัดตั้งกรมพระโอสถขึ้นเป็นครั้งแรก และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคลังยาของราชการและที่ทำการของแพทย์ โดยเปิดเป็นร้านขายยาขึ้นชื่อว่า “โอสถศาลา” จนต่อมาปี พ.ศ. 2445 รัฐบาลได้ขยายโอสถสภาใหม่อีกแห่ง เรียกว่า “โอสถศาลาของรัฐบาล” โดยให้เภสัชกรชาวเยอรมันดำเนินการผลิตและจำหน่ายยาให้แก่หน่วยงานราชการ จนในปี พ.ศ. 2445 เดียวกันนี้เอง ได้มีการจัดตั้ง “โอสถสภา” ขึ้นเพื่อผลิตยาสำหรับประชาชนทั่วไป หลังจากนั้นโอสถสภาและโอสถศาลาของรัฐบาลก็ได้ร่วมกันผลิตยาฝรั่งขึ้น แต่ระยะแรกยังไม่เป็นที่นิยมของประชาชน จึงได้ผลิตยาไทยขึ้น 10 ขนาน และหนึ่งในนั้นก็คือ “ยาอุทัย”

สูตรของยาอุทัยนี้ได้ปรากฏอยู่ในตำราแพทย์หลายเล่ม และยังมีปรากฏอยู่ที่เสาระเบียงของวัดโพธิ์ด้วย โดยได้กล่าวถึงยาชนิดหนึ่งชื่อ “ทิพย์สำราญ” ซึ่งมีสรรพคุณคล้ายกับกับยาอุทัย นอกจากนี้ยังพบยาอีกขนาดหนึ่งชื่อ “ยาจักรทิพย์” ซึ่งมีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ซึ่งทั้งยาทิพย์สำราญและยาจักรทิพย์ต่างก็มีสูตรยาคล้ายกับยาอุทัยในปัจจุบันมาก

น้ำยาอุทัย คือสารสกัดจากธรรมชาติที่เมื่อนำมาหยดน้ำดื่มแล้ว แสนสดชื่นเย็นรื่นในอก วันนี้ลองมาดูสรรพคุณของเกสรดอกไม้ที่ผสมอยู่ในน้ำยาอุทัยทิพย์กันบ้างดีกว่าว่ามีสรรพคุณอะไรกันบ้าง

- ฝาง สีแดง ๆ น้ำยาอุทัยฯ มาจากเนื้อไม้ฝาก ช่วยบำรุงหัวใจ และบำรุงเลือด
- ดอกพิกุล ช่วยแก้ไข บำรุงหัวใจ แก้เจ็บคอและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ดอกมะลิ ให้รสเย็น ช่วยบำรุงหัวใจและเป็นยาชูกำลังชั้นดี
- หญ้าฝรั่น ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงกำลังและแก้ไขได้
- ดอกสารภี เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ ชูกำลัง แก้โลหิตพิการ ช่วยให้เจริญอาหาร
- ดอกบุนนาค บำรุงธาตุ ขับลม บำรุงเลือด หัวใจ แก้ไข้ แก้ลมหาวเรอ แก้ตามัว
- ดอกคำฝอย บำรุงหัวใจและระบบประสาท ป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด
- ดอกเก๊กฮวย แก้ร้อนใน บำรุงหัวใจ
- เกสรบัวหลวง ช่วยให้สดชื่นขึ้น แก้หน้ามืด
- อบเชย บำรุงธาตุ ขับลม แก้อ่อนเพลีย
- กฤษณา ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อาเจียน บำรุงเลือด
- จันทน์แดง ช่วยบำรุงเลือด
- โกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐสอ โกฐเชียง เหล่านี้ช่วยขับลม บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ไข้และอาการไอ

นอกจากนี้แล้วน้ำยาอุทัยทิพย์หรือน้ำยาอุทัยหมอมีต่างก็ประกอบไปด้วยเกสรดอกไม้ที่มีประโยชน์ทั้งห้าชนิดด้วยได้แก่ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง นอกเหนือจากสมุนไพรข้างต้น

ว่าแล้วหน้าร้อนที่ร้อนจนอกแทบแตกแบบนี้ หาน้ำยาอุทัยมาเหยาะดื่มแก้ร้อนใจชื่นใจกันดีกว่า..


(10) "น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน

นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ! แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย
ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน
จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน
โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

......คอลัมน์ เครื่องแนม
ขอบคุณข้อมูลและภาพ
http://campus.sanook.com/1376101/



(11) สูตรน้ำแตงกวา

(แสนง่าย) ช่วยดูแลสุขภาพจากด้านใน :
ดื่มน้ำเปล่าหรือจิบน้ำระหว่างวันบ่อย ๆ มีประโยชน์ต่อผิวหลายคนอาจจะพอทราบกันบ้างแล้ว วันนี้เรามีเมนู "น้ำแตงกวา" ที่นอกจากจะเพิ่มความสดชื่นได้ดีแล้วยังแถมมีประโยชน์มากมายมาบอกอีกด้วย ฟังดูแล้วอาจจะแปลก ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยดื่มน้ำแตงกวา เพราะถ้าพูดถึงแตงกวาก็จะนึกถึงว่าต้องฝานบาง ๆ มาพอกหน้าก่อนนอน หรือไม่ก็หั่นจิ้มน้ำพริกโน่น แต่เดี๋ยวก่อนวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องน้ำแตงกวาที่นอกจากจะใช้พอกหน้าเพื่อฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของผิวหน้าแล้วเนี่ย ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วยนะ

ด้วยสรรพคุณเบื้องต้นของแตงกวาที่ช่วยแก้กระหาย ลดความร้อนในร่างกาย และช่วยให้ร่างกายสดชื่น จึงเหมาะมากที่จะทำน้ำแตงกวาทาน เพียงแค่ฝานแตงกวาบาง ๆ ใส่ลงไปในเหยือกน้ำแล้วแช่ตู้เย็นทิ้งไว้สักคืน วิธีแสนง่ายเหมาะมากกับแม่บ้านยุคใหม่ที่แทบไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ว่าแต่ทำไมเราถึงเชียร์ให้กินน้ำแตงกวา? ว่าแล้วก็ไปดูประโยชน์ของแตงกวากัน!!

- แตงกวาอุดมไปด้วยสารซิลิกาที่เป็นแร่ธาตุเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ
กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
- มีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินความจำเป็นในร่างกาย
- ช่วยขับปัสสาวะได้ดี แตงกวาอุดมไปด้วยน้ำสามารถช่วยกระตุ้นและกำจัดของเสียในร่างกาย และช่วยสลายนิ่วในไต
- ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการไหลเวียนโลหิต
- ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย
- แตงกวามีปริมาณน้ำสูงถึงร้อยละ 95 ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย กระตุ้นการย่อยอาหาร
- แตงกวามีแคลอรี่ต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักลองหันมาดื่มน้ำแตงกวา แล้วคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งนับว่าวันนี้จะวิ่งเผาผลาญแคลอรี่เท่าไหร่อีกด้วย

ทำน้ำแตงกวามันง่ายมาก แค่ฝานแตงกวาและใส่ลงไปในเหยือกน้ำแช่ตู้เย็นทิ้งไว้คืนเดียว แค่นั้น

ที่สำคัญน้ำแตงกวาที่ทำเองเนี่ยให้ประโยชน์แถมเป็นเครื่องดื่มราคาแสนจะถูกซะจริงๆ แล้วเราจะรออะไร ไปหาซื้อแตงกวามาทำเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อยที่บ้านกันเถอะ

ที่มา :thetaylor-house.com, frynn.com,wikipedia.org
http://mcot-web.mcot.net/9ent/view.php?id=54d094a4be047009ad8b458f


.
noo-ring
ตอบตอบ: 05/10/2015 9:38 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน น้ำมะนาวโซดา 10 สูตร ล้างพิษ จ้า

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน น้ำมะนาวโซดา 10 สูตร ล้างพิษ จ้า

ข้อคิดดี ๆ เก็บมาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก Wanchai Karnwitayee จ้า




(1) รวมฮิต 10 สูตรน้ำมะนาวโซดา เครื่องดื่มล้างพิษ สุดสดชื่น
ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

1. น้ำมะนาวโซดา
ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
น้ำตาลทราย
น้ำ
น้ำมะนาวคั้น
โซดา
น้ำแข็ง

วิธีทำ
1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้
2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
น้ำผึ้ง
น้ำมะนาว
โซดา
น้ำแข็ง
ฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่งปากถ้วย

วิธีทำ
ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม


3. แตงโมมะนาวโซดา

เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว


ส่วนผสม

แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

น้ำ 1/4 ถ้วย

น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

เปลือกมะนาว 1 ลูก


วิธีทำ

1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา

เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ


ส่วนผสม

ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

มะนาว 2 ลูก

น้ำ 1/3 ถ้วย

โซดา


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5 - 7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ



5. เลมอนมินต์ม็อกเทล

เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ


ส่วนผสม

เลมอนเหลือง 1 ลูก

ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

น้ำเชื่อม

น้ำแข็ง

โซดา


วิธีทำ

1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน

2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม



6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา

เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ


ส่วนผสม

เกรปฟรุต 3 ลูก

เลมอน 2 ลูก

มะนาว 1 ลูก

โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย


วิธีทำ

1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้

2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ



7. น้ำขิงมะนาวโซดา

น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ


ส่วนผสม

ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

น้ำมะนาว 1 ถ้วย

น้ำ 1 ถ้วย

น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

น้ำแข็ง

โซดาแช่เย็นจัด


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา

2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม

3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม



8. เชอร์รีมะนาวโซดา

เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ


ส่วนผสม

น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

โซดา

น้ำแข็ง


วิธีทำ

ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา

ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine


ส่วนผสม

น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

โซดา 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งตามชอบ


วิธีทำ

บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ



10. ชามะนาวโซดา(อาจใช้ชาเขียวแทนชาธรรมดาได้)

เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย


ส่วนผสม

น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

น้ำ 2/3 ถ้วย

ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

โซดา

น้ำแข็ง


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้

2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที

3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


(Green Smoothie)(Orange Juice)(Lemonade)(Iced Tea)


ทำชิมทั้ง 10 สูตร ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเเย็น ชั่วโมงละสูตร....ล้างพิษดีจังเลยจ้า....หนูหริ่งขอไปห้องน้ำ ไล่พิษออกก่อนอ่ะจ้า....



.
noo-ring
ตอบตอบ: 30/09/2015 2:57 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร

สูตรอาหารอร่อยทำกินเองได้ง่าย ๆ (หร่อยป่าวไม่รู้จ้า)
เรื่องดี ๆ จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า
ก่อนจะนำเสนอเรื่องนี้ หนูหริ่งได้คุยกับพี่ทิดแดงแล้ว แกบอกว่า....

ดี ๆๆ ลงไปเลย เพราะเป็นการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป....
เผื่อสมาชิกบางคนที่เบื่อทำเกษตรไม่รวยซักที อ่านแล้วเกิดปิ๊ง อาจจะเลิกทำเกษตร
นำอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งไปทำขาย หรือเอาพืชผลทางการเกษตรของตัวเองมา
แปรรูปขาย อาจจะรวยได้.....


คิดว่าลุงคงไม่ว่านะจ๊า ถ้าจะว่าก็ว่าคนแนะนำก็แล้วกันจ้า.....
และขอบอก พี่ทิดแดงน่ะ ฝีมือทำอาหารอร่อยหลายอย่างนะจ๊า ถามพี่ตู่ดูได้เลย


และ....บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ หรือครับ หรือผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า
เพราะหนูหริ่งพยายามรักษาข้อความในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้าง
ในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า



(1) ไก่อบทำกินเองไม่ยาก (แต่อร่อยหรือปล่าว ไม่รู้จ้า)
ไก่อบมาแล้วจ้า เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ แจ่วรสเด็ดๆ แถมตำส้มตำด้วย อร่อยจ้า

"สะโพกไก่อบ"

สะโพกไก่ติดน่อง 4 ชิ้น หรือมากคน ก็ซื้อมากกว่านี้
กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 หัว
รากผักชี 5 ราก
พริกไทยขาวเม็ด 2 ช้อนชา.
ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ.
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา.
น้ำตาลทราย 1 – 2 ช้อนโต๊ะ.
เกลือป่น 1 ช้อนชา.
ผงปรุงรสไก่ 2 ช้อนชา.
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ.

1. ล้างทำความสะอาดไก่ พักให้สะเด็ดน้ำแล้วใส่ชามผสม เตรียมไว้
2. โขลกรากผักชี กระเทียมและพริกไทยให้ละเอียด ใส่ในชามไก่ ตามด้วยเครื่องปรุงทั้งหมดลงไป
นวดเคล้าให้เครื่องเข้าเนื้อ หมักไว้ 2 ชม.
3. นำไก่วางบนตระแกรงที่รองด้วยถาดอบ(วาง Foil บนถาดอบด้วยนะจะได้ทำความสะอาดง่าย)

นำไก่เข้าอบ โดยวางหนังไก่อยู่ด้านล่าง อบด้านละประมาณ 25 นาที หรือจนสุกเหลือง
(ทาน้ำหมักที่เหลือตอนกลับด้านไก่ด้วย) นำออกจากเตาอบ หั่นชิ้น เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว
และนำจิ้มตามชอบจ้า

"น้ำจิ้มแจ่ว"
หอมเล็กซอย 1 หัว
ต้นหอมซอย 1 ต้น
พริกป่น 1 ชต.
ข้าวคั่ว 1 ชต.
น้ำมะนาว 1-2 ชช.
น้ำปลา 3 ชต.
น้ำตาลปี๊ป 1/2 ชต.
น้ำมะขามเปียก 1 ชต.

ผสมน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊ปและน้ำมะนาว เข้าด้วยกัน แล้วใส่พริกป่น
ข้าวคั่ว หอมเล็กและต้นหอม คนเบาๆ พอเข้ากัน

หมายเหตุ
1.วอร์มเตาอบ 200 องศา ไฟบน-ล่าง วอร์มก่อนนำไก่เข้าอบซักประมาณ 20 นาที
2.ใครไม่มีเตาอบก็นำไก่ไปย่างบนเตาถ่านก็ได้จ้า



(2) "กล้วยหอมทอด"
แป้งแพนเค้กสำเร็จรูป 200 กรัม
นมสดแช่เย็น 150 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
กล้วยหอมสุกหั่น (เราหั่นเป็น 3 ท่อน)
น้ำตาลไอซิ่ง สำหรับโรยหน้า
น้ำผึ้งสำหรับราด
น้ำมันพืชสำหรับทอด

1.นำแป้งแพนเค้กใสาชามผสม ทำให้เป็นหลุมตรงกาลง ตอกไข่ลงไปแล้วใช้ตะกร้อมือตีพอเข้ากัน
2.เทนมสดแช่เย็นลงไป ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 2 ชม.
3.ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป พอร้อนได้ที่ให้ลดไฟลงอ่อน นำกล้วยที่หั่นลงไปชุบในแป้งที่ผสมไว้
แล้วนำลงทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นให้พักสะเด็ดน้ำมัน หั่นชิ้นพอคำ ตักใส่จาน
โรยน้ำตาลไอซิ่งและเสิร์ฟพร้อมน้ำผึ้งจ้า

source : เมนูอร่อยอาหารเวียดนาม
Coe's Kitchen



(3) ผัดไทกุ้งสด
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
กุ้งสด
ใบกุ่ยช่าย
ถั่วงอก
ถั่วฝักยาว
มะนาว
ไข่ไก่
น้ำมัน
น้ำปลา
น้ำส้มสายชู
น้าตาล
พริกป่น
ถั่วป่น
หัวไชโป๊เค็ม
กุ้งแห้ง
เต้าหู้แข็ง

วิธีทำ
1 ใส่น้ำมัน, เต้าหู้แข็ง และกุ้งสดตามลำดับ
2 พอกุ้งสุกก็ใส่เส้นเล็กที่เตรียมไว้
3 ใส่น้ำเปล่า 1 กระบวย
4 แล้วก็ใส่เครื่องปรุงทั้งหลายเลยคะ เริ่มจาก น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำตาล พริกป่น หัวไชโป๊เค็ม
กุ้งแห้ง และ ถั่วฝักยาว ตามลำดับ
5 ผัดเส้นกับเครื่องทั้งหมดให้เข้ากันจนน้ำเริ่มแห้งเกือบหมด เอาเส้นมารอไว้ขอบกระทะ
แล้วตอกไข่ลงไป 1 ฟอง
6 เกลี่ยไข่แดงกับไข่ขาวให้เข้ากันพอให้ดูสวยงาม พอไข่เริ่มสุก ก็เอาเส้นลงไปผัดกับไข่ให้เข้ากัน
ถ้าชอบถั่วป่นก็ใส่ตอนนี้เลย
7 จัดใส่จานพร้อมถั่วงอกดิบและมะนาวฝาน ใครมีหัวปลีก็ทานแกล้มได้เลย



(4) "ไก่วิงแซ่บ" งานมิลเลอร์ KFC ก๊อบปี้เกรด AAA
วัตถุดิบส่วนผสมที่ต้องเตรียม
1. ไก่สดน่องปีกเล็ก 30 ชิ้น
2. เกลือ (ครึ่งช้อนชาก็พอเดี๋ยวเค็ม)
3. ผงลาบ ยี่ห้อ รสดี
4. แป้งโกกิ
5. น้ำมันสำหรับทอด 1 ขวด
6. ไข่ไก่ 2 ฟอง

วิธีการทำ
เอาไก่สดไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำเกลือ ตามสูตรเค้าให้แช่ไว้ประมาณ 24 ชม.
เสร็จแล้วก็ล้างน้ำเกลืออก เอาขึ้นมาพักไว้รอสะเด็ดน้ำ
ใช้แป้งโกกิ ครึ่งถุง เอาไก่ที่ผึ่งไว้เมื่อกี้ ลงไปคลุกบางๆ เคาะๆออก
ตอกไข่ 2 ฟองตีใส่ถ้วย
เอาแป้งโกกิที่เหลือเทลงแป้งตะกี้ แล้วใส่ผงลาบลงไป 1 ซอง และคลุกแป้งให้เข้ากัน
เอาไก่ที่พักไว้ ไปชุบไข่ก่อน แล้วเอามาคลุกลงไปในแป้งจ้า
เอาน้ำมันเทใส่หม้อ น้ำมันจะได้ท่วมๆไก่ เทน้ำมันลงไป ประมาณครึ่งขวด แล้วเอาไก่ลง
ทอด ราวๆ 5 - 7 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดไก่ หรือดูพอเหลืองๆ เป็นอันใช้ได้ เสร็จแล้วเอาผง
ลาบอีกถุงนึง ฉีกแล้วโรยเลยจ้า ใช้โรยแค่ครึ่งถุงพอจ้า เสร็จแล้วก็ใส่จานเสริฟได้เลย



(5) "ไก่ทอดกรอบ"
เครื่องปรุง
1.สะโพกไก่
2.เกลือ พริกไทย แป้งอเนกประสงค์ ผงปรุงรส ไข่ไก่
3.น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ล้างไก่ให้สะอาดแช่ในน้ำเกลือ (เกลือและน้ำใช้กะปริมาณเอาจ้า เพราะสูตรก็ไม่ได้ระบุ
ไว้คะว่าใส่ปริมาณเท่าไหร่) ประมาณ 20 นาที เมื่อครบเวลาเอาไก่ขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
2. เตรียมแป้ง พริกไทยป่น เกลือ ผงปรุงรส คลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. นำไก่ลงคลุกแป้งให้ทั่ว ชุบไข่ไก่ จากนั้นชุบแป้งอีกครั้ง กดๆ แล้วสะบัด แล้วกด
แล้วสะบัด ทำจนให้แป้งติดกับไก่
4. ระหว่างเตรียมไก่ให้ใช้หม้อแทนกระทะสำหรับทอดใช้น้ำมันให้ท่วมไก่ ตอนแรกให้ใช้ไฟ
แรงพอใส่ไก่ลง ให้เบาเป็นไฟกลางเกือบเบา ทิ้งไว้ 15- 20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของไก่จ้า
ทอดให้เหลืองทั้งสองด้าน

หมายเหตุ ทอดแบบนี้ ไก่เนื้อข้างในฉ่ำ ข้างนอกกรอบๆ

ขอบคุณที่มา..ริดาร์ อริต์ตา



(6) มะละกอ สารพัดตำรับยาไทยใกล้ตัว
รู้ไหมว่ามะละกอที่เรานิยมชมชอบรับประทานนั้น มีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ทุกส่วนของ
มะละกอเป็นยาที่นำมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพของเราในชีวิตประจำวันได้ คนไทยผูกพัน
กับมะละกอมานานกว่า 200 ปี จนเรานึกว่าเป็นพืชท้องถิ่นในบ้านเราไปแล้ว และยังมีส้มตำ
มะละกอเมนูของความอร่อยตอกย้ำความเชื่อนี้ และคนไทยแทบทุกบ้านจะปลูกมะละกอไว้เป็น
อาหาร จนกลายเป็นพืชริมรั้วที่เจนตาอีกตัวหนึ่ง

เพื่อให้คนไทยได้นำทุกส่วนของมะละกอไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงได้รวบรวม
ประโยชน์ใช้สอยจากมะละกอมาไว้ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ตามการใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน

เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวด
ข้อปวดหลังได้

ปวดข้อ : ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้ แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และ
กรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง

ลดอาการปวดบวม : ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด
หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ

แก้เคล็ดขัดยอก : ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก

โดนตะปูตำเป็นแผล : ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง

แผลน้ำร้อนลวก : ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปื่อย ตำพอกที่แผล

แผลพุพอง : ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้นใช้พอกหรือทา
ที่แผล วันละ 2-3 ครั้ง

แก้ผดผื่นคัน : ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้
ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อย ๆ

กลากเกลื้อน : ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปื่อย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้

โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน : ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนาม
จะหลุดออก

เท้าบวม : เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาวใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้

คัน : เพราะพิษของหอยคัน ซึ่งจะเป็นตุ่มคัน ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย

ไข้เปลี่ยนฤดู : ใช้ใบมะละกอสด 1 กำมือ ตำพอแหลกผสมเหล้าขาว 3 ช้อนแกง
คั้นเอาน้ำรับประทาน

อาการไข้ขึ้นสูง : ใช้เนื้อมะละกอดิบ ต้มให้สุกจนเปื่อย ใช้พอกที่ศีรษะเวลาไข้ขึ้นสูง
ดื่มน้ำต้มมะละกอตาม ช่วยให้ไข้ลดลงได้ดี

ไข้หวัด : ก็ต้องส้มตำมะละกอเพิ่มความเผ็ดอีกหน่อยไล่หวัดดีทีเดียว


โรคในระบบทางเดินหายใจ : ใช้ดอกมะละกอสดหรือแห้งต้มใส่น้ำตาลพอหวาน
กรองเอาน้ำรับประทานครั้งละ 1 แก้ว

หิดระยะเริ่มแรก : ใช้ใบมะละกอต้มน้ำดื่ม อาการหิดจะหายไป

ร้อนใน : ใช้รากมะละกอ 1 คืบ ต้มกับน้ำซาวข้าวรับประทานครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ

โรคริดสีดวงทวาร : ท้องผูก ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เสียดท้อง เบาหวาน
รับประทานมะละกอสุกจนนิ่มหลังอาหารเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง จะค่อย ๆ หายไปเอง

นิ่ว : ใช้รากมะละกอตัวผู้ 1 กำมือ ต้มเอาน้ำดื่มแทนน้ำชา จะช่วยขับนิ่วออกมา

ขับพยาธิ : ใช้เม็ดมะละกอแห้งคั่วบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดลูกมะเขือพวง
รับประทานเช้า-เย็นครั้งละ 2-3 เม็ด หรือใช้ยางมะละกอสด 1 ช้อนแกง ไข่ไก่ 1 ฟอง
ผสมกันแล้วทอดให้สุกรับประทานตอนท้องว่างในเวลาเช้า

ลูกอัณฑะโต : ใช้ลูกมะละกอดิบเผาไฟให้ร้อนจัด ห่อด้วยผ้าหนา ๆ ใช้นาบคลึงบนหน้า
ท้องบริเวณหัวเหน่า เมื่อความร้อนของมะละกอลดลงให้ผ่าครึ่งตามความยาวเอาเมล็ดออก
แล้วใช้ประกบที่ลูกอัณฑะจนมะละกอเย็น ทำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วันจะหาย

เลิกบุหรี่ : ใช้ใบมะละกอแก่ ๆ หั่นเป็นฝอย มากน้อยตามต้องการ นำไปตากแห้ง
แล้วใช้ผสมยาเส้นมวนเป็นบุหรี่สูบ จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้

ปวดประสาท : ใช้ใบมะละกอสดย่างไฟหรือจุ่มน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด

ขับประจำเดือน : ใช้เมล็ดแก่ ๆ คั่วให้กรอบแล้วบดเป็นผง 2 ช้อนชาผสมกับเหล้าขาว 3 ช้อนโต๊ะ
รับประทานเช้า เที่ยง เย็น ช่วยขับเลือดประจำเดือนเสียและอาการปวดท้องจะหายไป

ลบรอยด่างดำ : ที่ไม่พึงปรารถนาบนผิวหนังและใบหน้า ใช้มะละกอสดตำพอกบ่อย ๆ
หรือน้ำคั้นจากมะละกอสุกใช้ทาลบรอยฝ้าแดด ฝ้าลมให้จางหาย หรือใช้ยางจากลูกมะละกอ
สดทาเป็นประจำวันละ 2-3 ครั้งจนหาย

แก้หูด : ให้สะกิดหัวหูดให้เปิดแล้วเอายางมะละกอทาวันละ 2-3 ครั้งจนหาย

ลบรอยส้นเท้าแตก : ใช้ยางจากลูกสดทาจนหาย

สิว : ก็ใช้ยาแต้มที่หัวสิว หรือรับประทานมะละกอสุกเป็นประจำ แก้อาการท้องผูกช่วยใน
การระบาย ซึ่งสาว ๆ ที่ลดความอ้วนมักนิยมทาน และทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงผิวพรรณ
ให้สวย บ้างก็ใช้เนื้อที่สุกพอกหน้าเพื่อลดจุดด่างดำและผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
มะละกอสุกมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญ เช่น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย มี
วิตามิน เอ บำรุงสายตา มีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีสารเพคตินที่
เคลือบกระเพาะอาหาร ปัจจุบันมีการสกัดสารสำคัญจากมะละกอสุกไปใช้ทำเครื่องสำอาง
และส่วนผสมในเครื่องสำอาง ๆ มากมาย

ล้างลำไส้ : ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ให้ทำชามะละกอดื่มเป็นประจำ โดยเอามะละกอดิบปอก
เปลือกล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มจนน้ำเดือด อาจปรุงแต่งรสด้วยใบเตยหรือเก๊กฮวย
ตามชอบ แล้วกรองเอาแต่น้ำ แล้วเอาน้ำร้อนนั้นไปชงกับใบชา แช่ไม่เกิน 3 นาที กรองเอา
น้ำเก็บไว้ดื่ม และควรงดอาหารประเภทผัดทอดหรือของมัน ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

วันนี้ถ้าเราเห็นมะละกอ หรือต้นมะละกอ เราคงไม่ได้นึกถึงส้มตำมะละกอเพียงอย่างเดียวแล้ว
แต่ยังมองเห็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารและยารักษาโรคที่ใกล้ตัวและราคาเยาอีกด้วย

ใครมีที่ว่างบริเวณรอบบ้าน อย่าปล่อยให้ว่างเปล่า ปลูกมะละกอไว้ใช้สอยเพียงหนึ่งต้นแต่ให้
ผลเกินคุ้มค่า

ขอบคุณที่มา..วัดหนองรั้ว พระอธิการ นพดล กันตสีโล




(7) เนื้อต้มแซ่บ
ส่วนผสม เนื้อน่องลายตุ๋น
เนื้อวัวส่วนน่องลาย 500 กรัม
น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง

ส่วนผสม เนื้อต้มจิ๋ว
เนื้อน่องลายตุ๋นจนเปื่อย 150 กรัม (หั่นเต๋า)
น้ำซุปเนื้อ 3 ถ้วยตวง
มะม่วงดิบ (หั่นเต๋า) 150 กรัม
มันเทศ (หั่นเต๋า) 150 กรัม
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วยตวง
ใบกะเพรา 20 กรัม
ใบโหระพา 20 กรัม
พริกขี้หนูบุบพอแตก 10-15 เม็ด

วิธีทำเนื้อน่องลายตุ๋น
นำเนื้อวัวใส่หม้อ เติมน้ำเปล่า ยกขึ้นตั้งไฟต้มพอเดือด ช้อนฟองออกให้หมด เบาไฟลงเคี่ยว
จนเนื้อวัวนุ่ม (ถ้าน้ำแห้งให้เติมน้ำเปล่าลงไปเพิ่ม) จากนั้นตักขึ้นพักให้เย็นสนิทจึงหั่นป็นชิ้น
สี่เหลี่ยมลูกเต๋า เตรียมไว้

วิธีทำเนื้อต้มจิ๋ว
1. ใส่น้ำซุปเนื้อและเนื้อวัวลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟต้มพอเดือด
2. ใส่มันเทศและมะม่วงดิบลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกและน้ำปลา ต้มต่อพอเดือดสักครู่
3. ใส่หอมแดง ใบกะเพรา และใบโหระพา คนพอเข้ากัน รอเดือดอีกครั้งปิดไฟ ใส่พริกขี้หนู
ตักใส่ภาชนะ จัดเสิร์ฟ

เห็น เนื้อต้มจิ๋วเปรี้ยวแซ่บแบบไทยโบราณอย่างนี้แล้วก็น้ำลายจะไหลให้ได้เลย มะม่วงที่บ้าน
ใครเริ่มออกผลให้เห็นแล้วก็เตรียมปีนไปเด็ดมาทำเนื้อต้มจิ๋ว กันเลยดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
- See more at: http://recipe-4-regions-thailand.blogspot.com/2015/03/blog-post_60.html#sthash.X3W9Ngeh.dpuf



(8 ) คอหมูแดดเดียว สูตรเนื้อนุ่ม เมนูอร่อยสู้แดดแรง ๆ
วัตถุดิบ
คอหมู 500 กรัม (คอหมูไม่ใช่สันคอหมูนะ คอหมูที่เขาใช้ทำคอหมูย่าง บางที่ใช้สันคอ
แต่สูตรนี้เน้นนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ถ้าไม่ชอบมัน ๆ ให้แล่เอาส่วนมัน ๆ ออกมา เนื้อส่วนนี้จะเห็น
มันแทรกในชั้นเนื้อ ทำให้นุ่มและไขมันนำพารสเครื่องปรุงแทรกเข้าชัดเจนมาก)

สับปะรด (จะใช้ฉ่ำ ๆ หรือจะเอากรอบ ๆ ก็เอามาเถอะ)
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1/2 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
หั่นคอหมูเป็นเส้นยาวประมาณ 1 เซนติเมตร หรือตามชอบ

เคล็ดไม่ลับ :
1. อย่าหั่นหมูบางมาก เพราะถ้าบางเวลาทอดจะแห้งแข็งสภาพเป็นจิ้งจกแห้งตาย
2. หั่นตัดขวางลายเส้นเนื้อหมู อย่าหั่นตามลายเส้นเนื้อ เพราะถ้าหั่นตามเส้น หมูจะเหนียว

ขั้นตอนการหมักหมูแดดเดียว
ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป (น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา ซอสปรุงรส พริกไทย
และน้ำสับปะรด) แล้วขยำให้เข้ากัน

เคล็ดไม่ลับ :
1. เครื่องปรุงทั้งหมด อนุญาตให้สลับใส่เครื่องปรุงไหนก่อนหลังก็ได้ไม่มีผลต่อรสชาติ
2. นำสับปะรดมาบีบคั้นน้ำใส่ลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ
3. สูตรนี้น้ำสับปะรดช่วยให้หมูนุ่มสุด ๆ ผิวหนังที่นวดก็น่าจะนุ่มได้เหมือนกัน ซอสหอย
นางรม ซอสปรุงรส หัวซีอิ๊วขาว หางซีอิ๊วขาว น้ำมันงา และพริกไทย ใช้ซีอิ๊วขาวตราเด็ก
อ้วนก็ได้ ที่ใช้ซีอิ๊วขาวอันนี้เพราะกลิ่นหอมมาก รสชาติละมุนไม่เค็มจัดและมีรสหวานอ่อน ๆ
บอกเลยว่าอร่อย ได้มาจากข้าวมันไก่ร้านดังที่หาดใหญ่ ใช้หางซีอิ๊วกับน้ำมันงาสองตัวนี้ราด
ไก่ต้มมา ติดใจเลย อยากกินไก่ต้มมันทุกวัน

หมายเหตุ :
ส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ การชิมรสชาติหากจะให้พอดีตามรสที่ชอบ บางทีตามสูตรนี้อาจไม่
ใช่รสโปรดของคุณ ให้บรรจงเอาเครื่องปรุงรสทุกอย่างผสมใส่ถ้วยแล้วแตะลิ้นชิมก่อน ถ้า
ชอบรสไหน รสอะไรขาดไปเติมเลย หากคนติดหวานใส่น้ำตาลทรายหรือซีอิ๊วดำก็ได้ แต่ถ้า
ใส่หมักหมูไปแล้ว เอานิ้วที่ขยำ ๆ แตะ ๆ ลิ้นดูหน่อยว่ารสโอเคไหม อย่าให้เค็มมากเพราะ
เมื่อเอาไปตากแดดแล้วทอด เนื้อหมูจะแห้ง ทำให้เค็มกว่าเดิม

วิธีตากหมูแดดเดียว
วางหมูที่คลุกแล้วกระจาย ๆ ชิ้นหมูจัดให้สวยงามลงบนถาด อย่าให้เนื้อหมูซ้อนกัน
ภาพออกมามันดูไม่งาม รักษาระยะห่างกันไว้สักนิดจะได้แห้งกันไว

นำถาดหมูที่ได้ไปตากแดด
ถ้าแดดดี ประมาณ 4 - 5 ชั่วโมงกำลังได้ที่
ถ้าแดดอ่อน แขวนลืมไว้ได้เลย เย็น ๆ เก็บทีเดียว
ถ้าแดดอ่อนจัดมาก ตอนเย็นเนื้อหมูยังชุ่ม ๆ
ถ้าเริ่มแขวนกลางคืน แนะนำให้นำไปตากตอนเช้าของอีกวัน จบนะ !!

แต่... ถ้าแถวบ้านไม่มีแดดส่อง หรืออยากกินหมูแดดเดียววันฝนตก หรือสถานที่ตากแถว
บ้านไม่อำนวย มีก่อสร้าง มีนกบินไปมา หมาแมวมารบกวน หมูแดดเดียวจะอุดมไปด้วยฝุ่น
และสิ่งไม่พึงปรารถนา ให้แก้ปัญหานี้ด้วย "เตาอบ" จ้า

เอาชิ้นหมูเรียงบนถาดให้เรียบร้อย ใช้กติกาเดิม อย่าทับกัน อย่าซ้อนกัน

อบใช้ไฟบนกับลมร้อน (ให้สภาพเหมือนอากาศบ้านเราตอนเดินไปข้างนอก) ที่อุณหภูมิ
70-120 องศาเซลเซียส เปิดวอร์มเตาได้ที่ก่อนแล้วยัดเข้าไปได้เลย เลือกเวลาตามความ
เหมาะสม ดูให้น้ำในเนื้อหมูระเหย จนชิ้นเนื้อเริ่มแห้ง

พอครบเวลาแล้วไม่ว่าจะตากแดดหรือตากเตาได้ที่แล้วถ้ายังไม่กิน ให้เก็บเข้ากล่องถนอม
อาหาร แล้วยัดตู้เย็นไปนอนหนาวรอได้เลย อารมณ์ดีวันไหนอยากกิน ค่อยแบ่งออกมาทอด
เก็บกินได้ยาว ๆ

วิธีทอดหมูแดดเดียว
ตั้งกระทะ กะน้ำมันให้ท่วมชิ้นหมู (ถ้าทอดไม่เยอะใช้หม้อใบเล็กใส่น้ำมันทอดแทนกระทะ
ประหยัดน้ำมันได้เยอะ

นำไปตั้งไฟกลางค่อนไปทางอ่อน รอจนน้ำมันร้อน
ทอดหมูดูให้พอเหลืองไม่ต้องออกดำมาก ยิ่งทอดนาน หมูยิ่งแข็ง ยิ่งดำไม่น่าทาน ปกติจะ
ทอดประมาณสีน้ำตาล ๆ จนผิวเริ่มแห้ง แล้วช้อนขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันไว้ ให้ความร้อนทำงาน
ต่ออีกสัก2 - 3 นาที สีจะเข้มขึ้นเล็กน้อย

เท่านี้ก็ได้ "คอหมูแดดเดียว" ที่รสชาติเข้าเนื้อ แถมชิ้นหมูแห้งแต่ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ
พร้อมเสิร์ฟกับข้าวเหนียวนุ่ม ๆ แล้ว

"ขอให้มีความสุขกับอาหารที่มาจากแดดร้อนของเมืองไทยจ้า"

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



(9) ปลาช่อนลุยสวน...น่ากินมาก
ส่วนผสม ปลาช่อนลุยสวน
1.ปลาช่อน 1 ตัว
2.พริกขี้หนูบด 1 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6.ผักชีฝรั่งหั่นฝอย 2 ช้อนโต้ะ
7.ผักชีหั่นฝอย 2 ช้อนโต้ะ
8.ใบสาระแหน่ 2 ช้อนโต้ะ
9.ตะไคร้หั่น 2 ช้อนโต๊ะ
10.หอมแดงซอย 4 ช้อนโต๊ะ
11.มะนาวหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพร้อมเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ
12.น้ำมันพืช 4 ถ้วยตวง

วิธีทำ ปลาช่อนลุยสวน
1. ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำปลาช่อนลงไปทอดปลาให้เหลือง นำปลามาสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน
2. ทำน้ำยำ โดย ผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล หอมแดงหั่น ตะไคร้หั่น ผักชีหั่น
ผักชีฝรั่งหั่น เปลือกมะนาวหั่นเป็นลูกเต๋าและพริกขี้หนู ผสมให้เข้ากัน
3. ราดน้ำยำลงบนจานปลาช่อนลุยสวนที่จัดไว้แล้ว


(10) ตำนาน "ไข่ลูกเขย"...
ว่าที่พ่อตา กับ ว่าที่ลูกเขย ดวลกันทำกับข้าวเอาใจสาว ฝ่ายนึงลูกสาวตัว
ฝ่ายนึง ก็แฟนตัว ซึ่ง ทั้ง 2 ต่างรู้ดีว่า สาวเจ้า ชอบไข่เจียวมาก ถึงมากที่สุด

ฝ่ายผู้เป็นพ่อ ก็เลยจัดการ เจียวไข่ แต่ มีตีลูกกัน ไม่ให้ลูกเขยทำแข่ง
เลยเอาไข่ที่เหลือไปต้มจนสุกหมด

ฝ่ายลูกเขย ตั้งท่าจะทำไข่เจียว เต็มที่ กะพิชิตใจสาวด้วยไข่เจียวสูตรพิเศษ
ตั้งกระทะรอ ควันฉุย ซอยหอมกะจะใส่ไข่เจียวเต็มเขียง แต่ ณ บัดนั้น
หนุ่มเจ้า ตอกไข่ กะจะเจียวให้ฟู ๆ กลับกลายเป็นไข่ที่เหลืออยู่ เป็นไข่ต้มเสียสิ้น
เอาแล้วตรู ทำยังไงดีเนี่ย

ด้วยไหวพริบอันฉลาด แกม โง่ นิด ๆ เลยทอดมันทั้ง ๆ ต้มนี่แหละฟะ
หอม เหิม ใส่ลง แม่มให้หมดปรากฏผลออกมา น่าตาดี ใช้ได้
คล้าย ๆ ปลาทอด เลยจัดการทำน้ำเปลี้ยวหวานราดซะเลย
ยกออกมา เสริฟ ท่านพ่อยังข่มเอาซะ ว่า ไงล่ะ ไข่(เจียว) ลูกเขย คนเก่ง
หน้าตาเป็นยังไงหนอขอชิมหน่อยซิ สุดท้ายไข่ลูกเขยหมดก่อนไข่พ่อตาซะอีก

ที่มา: บทความดีๆจาก http://bit.ly/bookbotkham
Ref | fb.com (Forward Line)



(11) 9 เทคนิคกันมอดมากินข้าวสาร
ปกติผมกินข้าวอินทรีย์ ปัญหาที่ตามมาก็คือมอดตัวร้ายมาแย่งเรากินซะงั้น ครั้นจะไปซื้อ
ข้างบรรจุถุงแถมสารรมข้าวทั้งเมธิลโบรไมด์ (Methylbromide) และฟอสฟีน
(phosphine)แล้วจะทำอย่างไรดี มีปัญหาก็ต้องหาคำตอบแบบง่ายๆใกล้ตัวตามหลักของ
ฟาร์มสุขสวนกระแส ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

1.นำข้าวที่มอดขึ้นมาตากแดดความร้อนและแสงแดดจะทำให้มอดหนีไปเอง
2.ใช้ช้อนสแตนเลส หรือ ของที่ทำจากเหล็ก ใส่ลงไปในถังใส่ข้าวเลย เท่านี้มอดก็ไม่มารบกวน
3.ใช้กระดองปู ล้างแล้วตากให้แห้งใส่ถังข้าวไม่มีมอดเช่นกัน
4.ใช้ถังไม้สักเก็บข้าวสาร ปลวกยังไม่กล้าแล้วมอดจะกล้าเหรอ
5.เอาข้าวสารใส่ตู้เย็น เพราะมอดไม่สามารถเจริญเติบโตที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา มันหนาว
6.ใช้พริกแห้ง 1 กำมือใส่ในผ้าขาวบาง แล้วไว้ในถังข้าวสงสัยมันจะเผ็ดมอดคงไม่กินเผ็ด
ต้องหมั่นเปลี่ยนเมื่อกลิ่นหมด
7.ใส่ใบมะกรูด มอดก็จะหนีไปเองแต่ต้องหมั่นเปลี่ยนเมื่อกลิ่นหมด
8.ไม้เกี๊ยะ เป็นไม้ที่ใช้จุดฟืน มากจากต้นเกี๊ยะ หรือเรียกว่า สนเขาหรือสนสามใบ ทางภาค
เหนือให้ในการจุดฟืน เอามาใส่ในถังข้าวสารมอดก็ไม่กล้ามาตอแย
9.สุดท้ายแปลกสุดใช้กระดองเต่า แปลกแต่จริงภูมิปัญญาโบราณ

สะดวกแบบไหนก็ลองดูส่วนผมช้อนแสตนเลสครับใกล้มือสุด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ฟาร์มสุข สวนกระแส farmsuk Suangrasae



แค่นี้พอจ้า เลือกซักอย่างทำขาย ขอให้รวยจ้า


.