-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - แนวทางการผลิตผลไม้นอกฤดู...
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
ตอบตอบ: 29/05/2011 8:42 pm    ชื่อกระทู้:

การปลูกมะเขือเทศนอกฤดู


วิทยากร อาจารย์ปรีชา รัตนัง สาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้


ขั้นตอน
การเพาะเมล็ด โดยทั่วไปมะเขือเทศจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูหนาว การผลิตมะเขือเทศนอกฤดู จะต้องทำการเพาะกล้าภายในเดือนกรกฎาคม เพื่อเตรียมลงปลูกในแปลง

วิธีการเพาะกล้าให้เพาะในถาดหลุมที่มีจำนวน 104 หลุม ต่อถาด ผสมขี้เถ้าแกลบ+ทราย อัตราส่วน 1 : 1

การเลือกพื้นที่ปลูกต้องเลือกที่ดอนไม่มีน้ำขัง มะเขือเทศไม่ชอบน้ำขังแต่ต้องมีน้ำชุ่มชื้นตลอด

ระยะปลูก 50 x 75 ยกแปลงสูงโดยปลูกเป็นแถวคู่

ใช้ระยะเวลา ประมาณ 85-90 วันจะเก็บเกี่ยว


http://www2.it.mju.ac.th/dbresearch/rae/index.php?option=com_content&view=article&id=1296:2553-09-10-07-%M-%S&catid=131:july-2553&Itemid=494





ฤดูหนาว เป็นฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 18-28 องศาเซลเซียสซึ่งต้นจะแข็งแรงและติดผลมาก ถ้าความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูง จะทำให้ผลผลิตและคุณภาพลดลง และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ง่าย

ปัญหาการ ปลูกมะเขือเทศในฤดูฝน (นอกฤดู) คือ ในฤดูฝนมีความชื้นและอุณหภูมิเหมาะแก่การเจริญเติบโตของโรคหลายชนิด และมะเขือเทศบางพันธุ์ผลจะแตกง่ายเมื่อฝนตก แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะเขือเทศในฤดูฝนสิ่งที่จะต้องปฏิบัติคือ

1. เลือกพื้นที่ปลูกที่สูงมีการระบายน้ำดีเป็นพิเศษ
2. ดินมีสภาพเป็นกลาง คือมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.5-6.8
3. ใช้พันธุ์ที่เหมาะสมคือให้ผลดกในฤดูฝนและฤดูร้อน
4. มีการปฏิบัติรักษาอย่างถูกต้องดีคือ เตรียมดินใส่ปุ๋ยถูกต้อง ฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและบ่อยครั้งเป็นพิเศษ อย่าปล่อยให้โรคทำลายก่อนแล้วจึงคิดป้องกันกำจัด ปกติผู้ปลูกที่ประสบความสำเร็จ มักใช้สารป้องกันกำจัดแมลงและเชื้อราสูงกว่าในฤดูปกติ

http://kruprasar.net/index.php?option=com_content&task=view&id=83&Itemid=59







นอกจากจะใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 รองก้นหลุมก่อนปลูกแล้ว จำเป็นจะต้องมีการใส่ปุ๋ยเคมีเสริมด้วย

เพื่อให้คุณภาพและผลผลิตของมะเขือเทศสูงขึ้น สำหรับปุ๋ยเคมีที่จะใช้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของดินแต่ละแห่ง เช่น ถ้าดินเป็นดินเหนียว

ปุ๋ยเคมีที่ใช้ควรมีไนโตรเจนและโปแตสเซี่ยมเท่ากัน ส่วนฟอสฟอรัสให้มีอัตราสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15

ถ้าเป็นดินร่วนควรให้ปุ๋ยที่มีโปแตสเซี่ยมสูงขึ้น แต่ไม่สูงกว่าฟอสฟอรัส เช่นสูตร 10-20-15 ส่วนดินทรายเป็นดินที่ไม่ค่อยจะมีโปแตสเซี่ยม จึงควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซี่ยมสูงกว่าตัวอื่น เช่นสูตร 15-20-20, 13-13-21 และ 12-12-17 เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นการปลูก มะเขือเทศนอกฤดู จะต้องใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เนื่องจากมะเขือเทศจะใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากถ้าหากอุณหภูมิของอากาศสูง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถหาปุ๋ยสูตรดังกล่าวข้างต้นได้ก็สามารถ ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ โดยการแบ่งใส่ 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 หลังจากย้ายปลูก 7 วัน
ครั้งที่ 2 หลังจากครั้งที่หนึ่ง 15 วัน
ครั้งที่ 3 หลังจากครั้งที่สอง 20 วัน


http://www.siripan83.ob.tc/u6.html
kimzagass
ตอบตอบ: 29/05/2011 9:07 am    ชื่อกระทู้:








ความต้องการของดอกไม้ในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูดอกของไม้ดอกกลุ่มปทุมมาและกลุ่มกระเจียว นั้นมีค่อน่ข้างต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูที่มีดอกไม้หลายชนิดในตลาด ขณะที่ช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดต้องการดอกไม้จำนวนมากนั้น การผลิตดอกไม้ไม่สามารถสนองได้ ดังนั้น การผลิตดอกไม้นอกฤดูจึงเป็นสิ่งที่เกษตรกรสนใจกระทำกันมาก

ไม้ดอกกลุ่มปทุมมาและกลุ่มกระเจียวเป็นพืชวันยาว จะพักตัวในช่วงที่วันสั้น โดยจะได้รับสัญญาณให้พักตัวหลังจากวันที่ 23 กันยายน การผลิตดอกของไม้ดอกทั้ง 2 กลุ่มนี้ในช่วงฤดูหนาวจึงต้องมีการปฏิบัติพิเศษ โดยการ คั่นช่วงกลางคืนนั้นควรกระทำในช่วง 24.00-3.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย การติดตั้งหลอดห่างกัน 1.5 เมตร ซึ่งการเปิดไฟเพื่อคั่นช่วงกลางคืนต้องเริ่มกระทำราววันที่ 31 สิงหาคม โดยไม่ช้ากว่าวันที่ 15 กันยายน การปฏิบัตินี้ได้ผลดีในแปลงรวมพันธุ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การผลิตไม้ดอกทั้ง 2 กลุ่มนี้นอกฤดู จำเป็นต้องมีการดูแลด้านปุ๋ยและสภาพดินเป็นพิเศษด้วย กล่าวคือให้ปุ๋ยสูตรเสมอหลังฤดูฝน และใช้ปุ๋ยหมักใส่เสริมเพื่อทำให้ดินไม่อยู่ในสภาพที่ติดเชื้อโรคเน่า จะแพร่ระบาดได้ง่ายถ้าเป็นการผลิตนอกฤดูโดยการยึดฤดูปลูก อย่างไรก็ตามการผลิตดอกนอกฤดูก็อาจกระทำโดยปลูกในช่วงฤดูฝนซึ่งฝนทิ้งช่วงนานพอจะขึ้นแปลงได้ การผลิตนอกฤดูโดยปลูกช้านี้จะทำให้การสะสมโรคในแปลงเกิดขึนน้อยกว่าการผลิตแบบยืดฤดูปลูก


http://web.ku.ac.th/agri/patumma/cur6.htm






สกว.โชว์ผลวิจัยผลิตปทุมมานอกฤดู มั่นใจช่วยขยายยอดส่งออกไม้ดอกพุ่ง

นางทิพวัลย์ สุกุมลนันทน์ นักวิจัยอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) กล่าวถึงงานวิจัยการพัฒนาคุณภาพการผลิตปทุมมานอกฤดูกาล ว่า งานวิจัยดังกล่าวทำให้สามารถผลิตหัวพันธุ์และดอกปทุมมาได้ตลอดปี โดยเฉพาะก่อนหรือหลังฤดูการผลิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกปทุมมาเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เดิมปทุมมาซึ่งเป็นไม้ดอกไม้ประดับพื้นเมืองของไทยจะมีหัวอยู่ใต้ดินแบบเหง้าเจริญเติบโตได้ดีและให้ช่อดอกในช่วงฤดูฝน โดยหลังจากออกดอกแล้ว ส่วนของพืชที่อยู่เหนือพื้นดินจะเฉาไป เหง้าที่อยู่ใต้ดินจะเข้าสู่ระยะพักตัวในช่วงฤดูแล้ง ทำให้การผลิตปทุมมาสามารถทำได้เพียงปีละครั้งตามฤดูกาลปกติ

ทั้งนี้ ปทุมมาเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมมากในต่างประเทศ โดยรู้จักในนามของสยามทิวลิป เนื่องจากมีลักษณะคล้ายดอกทิวลิป ซึ่งประเทศไทยได้ทำการผลิตและส่งออกหัวพันธุ์ไปยังต่างประเทศ ในแต่ละปีมีความต้องการหัวพันธุ์เพิ่มมากขึ้น แต่พบว่าปริมาณส่งออกยังไม่พียงพอเนื่องจากผลิตได้เพียงฤดูกาลเดียว ดังนั้น หากสามารถผลิตได้นอกฤดูกาล จะทำให้ตลาดส่งออกปทุมมาขยายตัวมากขึ้น

ด้านนางดวงเดือน กุสาวดี บริษัท เชียงใหม่ปทุมวดี จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดใหญ่ของบริษัทฯ อยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ โดยทุกปีจะมียอดสั่งซื้อประมาณ 20 ตัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8-12 บาทต่อหัว ซึ่งในจำนวนที่ส่งออกทั้งหมดนั้นเป็นส่วนที่บริษัทผลิตเอง 60% ที่เหลือ 40% รับซื้อจากเกษตรกรชาวสวน และจากผลงานวิจัยที่สามารถพัฒนาการผลิตปทุมมานอกฤดูกาลได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะช่วยลดปัญหาผลผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาด และคาดว่างานวิจัยนี้จะมีส่วนช่วยผู้ผลิตและผู้ส่งออกได้มากทีเดียว


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/news.asp?ID=44048#news
http://www.phtnet.org/news/view-news.asp?nID=46






วช.หนุนพัฒนาพันธุ์ปทุมมา ผลิตดอกใหญ่-นอกฤดูกาล

สภาวิจัยหนุนพัฒนาสายพันธุ์ดอกปทุมมา ให้ขนาดดอกใหญ่ขึ้นและสามารถผลิตดอกนอกฤดูกาล ประเดิมถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรเชียงใหม่ ก่อนขยายสู่ทั่วประเทศ

นางทิพวัลย์ สุกุมลนันทน์ ข้าราชการบำนาญ กรมวิชาการเกษตรและคณะ ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศึกษาและพัฒนาสายพันธุ์ดอกปทุมมา ตั้งแต่ปี 2547 เพื่อให้ดอกโตขึ้นและสามารถผลิตดอกได้นอกฤดูกาล ขณะนี้พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้แล้ว โดยจะนำร่องให้แก่เกษตรกรในเชียงใหม่เป็นแห่งแรก

ทีมวิจัยได้วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตปทุมมาแบบครบวงจร ตั้งแต่ปรับปรุงพันธุ์ รูปแบบการขายทั้งแบบขายหัว ตัดดอกขาย และ ขายยกกระถาง จนถึงความต้องการของตลาดต่างประเทศ อย่างอิตาลี แคนาดา มัลดีฟส์ บาห์เรน ญี่ปุ่น และ เนเธอร์แลนด์ เพื่อจัดทำเป็นรูปแบบการบริหารจัดการสำเร็จรูป ที่เกษตรกรใช้ได้จริง

ทั้งนี้ โครงการวิจัยดอกปทุมมา ที่รับทุนวิจัยจาก วช. แบ่งเป็นโครงการ 5 โครงการหลัก ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ปทุมมาสู่สิทธิบัตรสากล การศึกษาการเพาะเลี้ยงคัพภะและเมล็ดอ่อน เพื่อร่นเวลาการปรับปรุงพันธุ์ของพืชในสกุลขิง การเพิ่มโครโมโซมเพื่อแก้ความเป็นหมันของปทุมมาลูกผสม การพัฒนาสายพันธุ์ปทุมมาเพื่อการค้า โดยชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์จากการฉายรังสีแกมมา และการหาและวิเคราะห์เครื่องหมายอณูพันธุศาสตร์ของยีน ที่เกี่ยวกับการแสดงออกของสีดอกปทุมมา

ด้าน นายลิขิต มณีสินธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เรียลซีด อะโกร จำกัด กล่าวว่า ตลาดใหญ่ที่นำเข้าดอกปทุมมาคือฮอลแลนด์ ก่อนหน้านี้ไทยส่งออกหัวปทุมมา แต่ยังไม่สามารถจดสิทธิบัตรในต่างประเทศได้ เนื่องจากค่าจดสิทธิบัตรรายปีสูงเป็นเงินหลักแสนบาท จึงไม่คุ้มค่าแก่การลงทุนสำหรับภาคเกษตรกร ทำให้พันธุ์ดอกปทุมมาเสี่ยงถูกต่างชาตินำไปใช้ประโยชน์ทางการค้าตัดหน้าไทย


http://www.bangkokbiznews.com/2008/07/17/news_26847084.php?news_id=26847084












http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=9411.0
kimzagass
ตอบตอบ: 27/05/2011 6:20 pm    ชื่อกระทู้:

การบังคับว่านสี่ทิศให้ออกดอกนอกฤดู


ว่านสี่ทิศ เป็นพืชหัวออกดอกปีละครั้ง ช่วงเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวต่อหน้าแล้งเท่านั้น เมื่อออกดอกแล้ว ดอกจะพัฒนากลายเป็นผลแล้วเป็นเมล็ดเพื่อขยายพันธุ์ตามธรรมชาติต่อไป และหลังจากเมล็ดแก่แล้วต้นจะทิ้งใบเพื่อพักต้น ถ้าต้องการให้ว่านสี่ทิศออกดอกในช่วงตามต้องการหรือออกนอกฤดูสามารถทำได้ดังนี้

เมื่อต้นว่านสี่ทิศออกดอกตามฤดูกาลจนบานเต็มที่และใกล้โรยแล้ว ก็ให้ตัดก้านดอกชิดหัวทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้จนดอกพัฒนาเป็นผลแล้วเป็นเมล็ด หลักจากตัดก้านดอกแล้วทาแผลรอยตัดด้วยปูนกินหมากบางๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรค จากนั้นเริ่มบำรุงหัวที่ยังคงอยู่ในดินด้วยการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก (ขี้วัว + ขี้ไก่ + กระดูกป่น + ยิบซัม) ให้ "น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ เดือนละ 1 ครั้ง คลุมโคนต้นด้วยใบไม้หรือฟางหรือหญ้าแห้งหนาๆ จากนั้นให้น้ำตามปกติ เป็นการเตรียมบำรุงต้นให้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกโดยเฉพาะ

บำรุงต้นสะสมตาดอกนาน 4 เดือน แล้วขุดหัวว่านขึ้นมา ตัดรากทิ้งทั้งหมดด้วยมีดคมๆ ตัดให้ชิดหัว ตัดแล้วทาแผลรอยตัดด้วยปูนแดงกินหมากเพื่อป้องกันเชื้อโรค ผึ่งลมจนหัวแห้ง ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ 2-3 ชั้น ใช้เชือกหรือยางรัดให้มิดชิด

นำหัวว่านที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วเข้าตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดา นาน 5 สัปดาห์ติดต่อกัน แช่เย็นครบ 5 สัปดาห์แล้วนำออกจากตู้เย็นไปปลูกลงในกระถางที่เตรียมดินปลูกว่านสี่ทิศโดยเฉพาะ (หมักดิน นาน 1-2 เดือน) ไว้ล่วงหน้าแล้ว

นำลงปลูกในกระถางแล้วไม่ต้องให้น้ำทางรากอีก เพราะว่านสี่ทิศไม่ชอบความชื้นแฉะ ถ้าได้น้ำจะออกใบ แต่ถ้ากระทบแล้งจะออกดอก หลังจากกระทบแล้งจริงๆสักระยะหนึ่ง เมื่อสภาพอากาศ (อุณหภูมิ) เหมาะสม ว่านสี่ทิศก็จะออกดอกมาให้ชื่นชม




บังคับว่านสี่ทิศให้ออกนอกฤดู...

จากการศึกษาทดลองที่ดอยวาวีพบว่า ว่านสี่ทิศ เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินปนทรายที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง 6.1 ในกรณีที่ปลูกเลี้ยงในกระถางควรใช้ดินผสมที่มี ดิน : ทราย : ขี้เถ้าแกลบ : ปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วน 2 : 1 : 1 : 1 ดินผสม 1 ลูกบาศก์เมตร ว่านสี่ทิศที่เจริญเติบโตเต็มที่จะมีใบ 4-6 ใบ จะผลิตใบใหม่ได้เดือนละใบ และทุก ๆ 4 ใบ จะมีตาดอกและจุดกำเนิดหัวการเกิดตา ดอกขึ้นอยู่กับอายุและขนาดของหัว หัวขนาด 22-24 เซนติเมตร ให้ช่อดอกได้ 1 ช่อ หัวใหญ่กว่า 24 เซนติเมตร ให้ดอกได้ 2 ช่อ

การรักษาตาดอกของว่านสี่ทิศไม่ให้ฝ่อ ทำโดยการขุดหัวขนาดใหญ่ ผึ่งให้กาบนอกแห้งที่ 23 องศาเซลเซียส เก็บหัวไว้ที่ 13 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 8 สัปดาห์ ที่ 17-29 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 2 สัปดาห์ ที่ 9 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 8 สัปดาห์ และที่ 21-25 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 2 สัปดาห์ เมื่อนำออกปลูกจะแทงช่อดอกในเวลา 6-8 สัปดาห์ และงดการให้น้ำ จนใบแห้งแล้วทำการขุดหัวที่มีขนาดใหญ่ มีเปลือกนอกสุดของหัวสีน้ำตาล หรือดำ นำไปเก็บไว้ที่ 4-10 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และเมื่อนำออกปลูกจะแทงช่อดอกภายในเวลา 2 สัปดาห์

http://ptcadvertising.blogspot.com/2011/03/blog-post_3466.html






การกระตุ้นการออกดอกว่าน 4 ทิศ โดยไม่ต้องผ่านการแช่เย็น

KAI_YAM :

อันนี้เป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ จากประสบการณ์การเลี้ยงว่าน 4 ทิศมา

โดยเริ่มจากการที่ขุดหัวไปให้ญาติๆเลี้ยง แล้วมีผลตอบกลับมาว่า ปลูกแป๊บเดียวออกดอก ซึ่งเป็นการออกดอกนอกฤดูกาล เป็นช่วงสิงหาคม ซึ่งหัวที่ให้ไปตอนในฤดูกาลเขาไม่ออกดอก

เลยมานั่งคิดดูว่า อาจจะเป็นเหมือนต้นไม้อื่นๆ ที่ตอ้งได้รับการกระทบหระเทือนบ้าง เพ่อกระตุ้นให้ออกดอก เหมือนกับการที่เราเอามีดไปฟันต้นไม้ ทำให้เขาคิดว่าเขาจะตาย เลยตอ้งออกดอกเพื่อสืบทอดลูกหลานต่อไป

ปีนี้ผมก็เลยลอง เอาบางต้นมาทำ ต้นแรกคือต้นแดงต้นนี้ โดยการขุดหัวขึ้นมา ตัดรากออกบางส่วนตัดใบออก แล้วลงปลูกใหม่พบว่า สามารถให้ดอกได้ แถมยังแตกหน่ออีกเยอะด้วย


http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?topic=8992.0;wap2





บังคับว่านสี่ทิศให้ออกนอกฤดู...

ที่บ้านผมสูงสุด 6 ทิศ เหมือนกัน ก็แล้วแต่ความสมบูรณ์ ให้อยากให้ออกดอกมากกว่า 4 ทิศ ลองไปทำดูนะครับ

1. หลังออกดอกแล้วให้เลี้ยงต้นให้สมบูรณ์ ให้ให้ปุ๋ยบำรุงต้น อาจจะให้สูตร 25-7-7 ก็ได้ หรือตัวทีหน้าเยอะเข้าไว้ ไม่แนะนำให้ใช้ยูเรียกะไม้ดอกไม้ประดับครับเพราะหลังจากที่ต้นสวยแล้วไม้จะโทรมมาก อันนี้รับรองให้แถวบ้านผมไม่ใช้กันเลย

2. เลี้ยงไปจนถึงเดือนธันวาคม ให้งดน้ำจนใบเหี่ยวแห้งให้หมด (ห้ามใจอ่อนให้น้ำเด็ดขาด)

3. เก็บหัวไม่ให้โดนความชื้น โดยเก็บไว้ในที่มืด แต่ไม่มีห้องมืดก็ควัมกระถางไปเลยครับง่ายดี

4. พอถึงช่วงเดือนนี้แหละ ของทุกปีก็เอามาปลูกได้เลย ถ้าความสมบูรณ์ของหัวพอ5 ทิศ + แน่นอนครับ

**ขนาดของดอกขึ้นอยู่กับหัว หัวใหญ่ดอกใหญ่ การเลือกซื้อหัวว่าน 4 ทิศ เลือกหัวใหญ่ก่อนเลยครับง่ายๆ

*** การเก็บหัวตามขั้นตอนดังกล่าวสามารถบังคับให้4ทิศออกนอกฤดูได้เช่นกันเช่นเก็บหัวช่วงเข้าพรรษาแล้วนำมาปลูกช่วงปีใหม่ก็ได้

**** ยังไม่เคยเห็น 7 ทิศ เลยครับเนี่ย

***** ว่าน 4 ทิศ ออกดอกปีละ 1 ครั้ง รูปที่ผมเอามาให้ดูนั้นเป็นสายพันธุ์จากฮอลแลนด์ครับ


http://www.pantown.com/board.php?id=22691&area=3&name=board8&topic=47&action=view
kimzagass
ตอบตอบ: 14/05/2011 6:36 am    ชื่อกระทู้:

การทำผักหวานป่านอกฤดู....


เราสามารถกำหนดการแตกยอดของผักหวานป่าได้ วิธีการคือ การตัดแต่งกิ่งผักหวานป่าทั้งต้นเพื่อกระตุ้นโดยการรูดใบแก่บนต้นออกเกือบหมดในช่วงเดือนพฤศจิกายน- ธันวาคม ให้เหลือใบติดกิ่งอยู่บ้างแต่น้อยมาก พร้อมหักกิ่งแขนงออกครึ่งหนึ่งของความยาวกิ่ง ถ้าหักกิ่งยาวเกินไป ยอดอ่อนที่แตกออกมาจะไม่สวย ผอม และออกน้อย หลังจากที่ตัดแต่งกิ่งเสร็จจะต้องให้น้ำบ่อยอย่างน้อย 3 -5 วัน ต่อครั้ง ก่อนหน้าจะตัดแต่งกิ่งถ้ามีการให้ปุ๋ยคอกจะดีมากๆ ประมาณ 1 เดือน (มกราคม ) ผักหวานป่าจะแตกยอดอ่อนออกมาให้เก็บขายได้โดยจะมียอดให้เก็บทุก ๆ 7 วัน

ต้นผักหวานป่าที่เก็บเกี่ยวนอกฤดูหมดแล้ว ควรพักต้นเลยและบำรุงด้วยปุ๋ยคอกและให้น้ำเพื่อจะผลิตผักหวานนอกฤดูในฤดูกาลต่อไป

http://gotoknow.org/blog/agext23/172305





ผักหวานป่าผลิตนอกฤดูได้หรือไม่ ?

ปัจจุบัน คุณลุงสังวาลมีพื้นที่ปลูกผักหวานป่า ประมาณ 7 ไร่ แทบทั้งหมดปลูกอยู่ในสวนผลไม้เก่า ซึ่งแต่เดิมเคยปลูกชะอมและน้อยหน่า แต่ทำรายได้สู้การปลูกผักหวานป่าไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาปลูกผักหวานป่าทั้งหมด ทยอยปลูกทุกปี ปัจจุบันปลูกไปแล้วกว่า 1,000 ต้น ต้นที่มีอายุมากที่สุด มีอายุได้ 20 ปี หลายคนยังคงไม่ทราบว่าราคาผักหวานป่าในช่วงปีใหม่เดือนมกราคมจะมีราคาแพงมาก เพราะเป็นผักหวานป่าที่ออกนอกฤดู

ที่สวนผักหวานป่าของคุณลุงสังวาลจะแบ่งจำนวนต้นเพื่อผลิตนอกฤดู เราสามารถกำหนดการแตกยอดของผักหวานป่าได้ วิธีการคือ การตัดแต่งกิ่งผักหวานป่าทั้งต้นเพื่อเป็นการกระตุ้น โดยจะรูดใบแก่บนต้นออกเกือบทั้งหมดในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ให้เหลือใบติดกิ่งอยู่บ้างแต่น้อยมาก หลังจากนั้น ให้หักกิ่งแขนงออกครึ่งหนึ่งของความยาวกิ่ง

ข้อควรระวัง ถ้าหักกิ่งยาวเกินไป ยอดอ่อนที่แตกออกมาจะไม่สวย ผอม รวมถึงออกยอดน้อย

หลังจากที่ตัดแต่งกิ่งเสร็จจะต้องให้น้ำอย่างน้อย 3-5 วัน ต่อครั้ง (ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว ฝนไม่ตก) ก่อนหน้าที่จะตัดแต่งกิ่งประมาณ 1 เดือน ควรใส่ปุ๋ยคอก เมื่อถึงช่วงปีใหม่เดือนมกราคม ผักหวานป่าจะแตกยอดอ่อนออกมาให้เก็บขายได้โดยจะมียอดอ่อนให้เก็บทุกๆ 7 วันบางปีผักหวานป่าที่เก็บขายในช่วงปีใหม่มีราคาสูงกว่า

library.dip.go.th/multim5/edoc/14100.doc -





เทคนิคการทำให้ผักหวานป่าออกยอดนอกฤดู

ผักหวานป่าทำให้ออกดอกนอกฤดู ได้ง่าย ไม่ยากเลย โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ ราคาผักหวานป่าจะแพงมาก โดยแบ่งต้นผักหวานป่า ส่วนหนึ่งให้ออกยอดก่อน การทำให้ออกก่อนหรือหลัง มีเทคนิค คือ

กำหนดวันที่จะให้ผักหวานออกยอดอ่อนจำหน่ายได้ โดยตัดแต่งกิ่งผักหวานป่าทั้งต้น เพื่อเป็นการกระตุ้น รูดใบแก่บนต้นออกเกือบหมด หรือเหลือติดกิ่งบ้างเล็กน้อย

จากนั้นให้หักกิ่งแขนงออกครึ่งหนึ่งของความยาวกิ่ง ถ้าหากหักกิ่งไว้ยาวเกินไป จะทำให้ยอดไม่สวยงาม และออกยอดน้อยได้

หลังจากตัดแต่งกิ่งแล้วควรให้น้ำบ่อยครั้งขึ้น 3-5 วันต่อครั้ง ก่อนหน้านั้น ถ้ามีการให้ปุ๋ยคอกมากๆ ก็จะยิ่งดี ประมาณ 27 วัน ผักหวานป่าก็จะมียอดให้เก็บขาย ประมาณ 3-4 รุ่น โดยแต่ละรุ่นจะแทงยอดออกมาทุก 7 วัน

ดังนั้นถ้าจะขายยอดผักหวานป่าช่วงปีใหม่ ก็ตัดแต่งกิ่งผักหวานป่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เมื่อเก็บผักหวานป่าหมดยอดแล้ว ต้องให้ต้นผักหวานพักต้นเลย บำรุงน้ำและปุ๋ยคอกให้ผักหวานด้วย ในปัจจุบัน อำเภอบ้านหมอ จะสามารถมียอดผักหวานป่า จำหน่ายตลอดทั้งปี

การผลิตผักหวานป่านอกฤดู เช่น
- ทำการลิดใบแก่ เดือนมกราคม หลักจากนั้น 14 วัน ผักหวานป่าก็เริ่มจะแตกยอดและ ใบอ่อน เกษตรกรสามารถเก็บขายได้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน

- ทำการลิดใบแก่เดือนพฤษภาคม หลังจากนั้น 14 วัน ผักหวานป่า จะเริ่มแตกยอดและ ใบอ่อน เกษตรกรสามารถเก็บขายได้ ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม

- หยุดพักตัวต้นผักหวานป่าเดือน กันยายน-ธันวาคม เกษตรกรจำเป็นต้องปล่อยให้ผักหวานป่าพักตัวและสะสมอาหาร สร้างความแข็งแรง และมีการเจริญเติบโตทางลำต้น

http://www.phulek.go.th/webboard/view.php?category=webboard&wb_id=13
kimzagass
ตอบตอบ: 30/04/2011 5:51 am    ชื่อกระทู้:

การทำสะเดานอกฤดู....



เก็บสะเดาไว้กินนอกฤดู

วิธีเก็บรักษาสะเดาไว้ทานได้นาน ๆ เพียงแค่นำสะเดามาลวกในน้ำร้อนแล้วน้ำขึ้นมาแช่ในน้ำเย็นอีกครั้ง เพื่อทำให้สะเดาน๊อค จากนั้นนำขึ้นมาผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แล้วใส่ถุงพลาสติกเข้าแช่ในตู้เย็น ช่องแช่แข็ง เมื่อต้องการจะรับประทานก็นำออกมาลวกน้ำร้อน แค่นี้เราก็มีสะเดาไว้ทานได้ตลอดปี

http://www.thaitechno.net/dip/knowledge_detail.php?id=13&uid=37427





การปลูกและดูแลรักษาสะเดาทวายพันธุ์ขาวผ่อง

คุณเอกสิทธิ์ ขาวผ่อง เกษตรกรผู้ทำสวนสะเดา จากจุดเริ่มต้นที่ได้รับพันธุ์สะเดามาปลูกไว้พื้นที่สวน จนสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณเอกสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสะเดาพันธุ์นี้จะออกดอกนอกฤดูโดยจะออกดอกก่อนสะเดาทั่วไป 4 เดือน ซึ่งสะเดาทั่วไปจะออกดอกระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม

แต่สะเดาทวายพันธุ์นี้จะเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ธันวาคม และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตดอกได้นานถึง 5 เดือน ทำให้จำหน่ายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 80-120 บาท ซึ่งเหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยมีวิธีการปลูกและวิธีการดูแลรักษาดังนี้

สภาพพื้นที่ : สะเดาเป็นพืชที่ชอบพื้นที่ดอน ไม่มีน้ำขังบริเวณโคนต้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำจะต้องมีขั้นตอนการพูนโคนให้เป็นหลังเต่า นอกเหนือจากนี้ควรเป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอด เนื่องจากสะเดาเป็นพืชที่ต้องการแสงมาก ไม่ชอบความชื้นจนเกินไป

การปลูกสะเดาทวายพันธุ์ขาวผ่อง
• ระยะการปลูก 6 x 6 เมตร (ในพื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกได้ประมาณ 45 ต้น)

• ทำการขุดหลุม กว้าง x ลึก ประมาณ 50 X 50 ซม.

• รองก้นหลุมโดยการเตรียมดินในหลุมคลุกเคล้ากับปุ๋ยคอกและปุ๋ยสูตร 16-11-14 รองก้นหลุมก่อนปลูก

• นำต้นพันธุ์สะเดาพันธุ์ขาวผ่องลงปลูกในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ ทำการกลบดินให้แน่น


เทคนิคการดูแลรักษาสะเดาทวายพันธุ์ขาวผ่องให้ออกดอกมาก
• เมื่อสะเดาเติบโตมีอายุประมาณ 5-6 เดือน ให้ทำการพูนโคนสะเดาเพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง

• เมื่อสะเดามีความสูงประมาณ 1 เมตร ควรหมั่นเด็ดยอดให้แตกทรงพุ่มต่ำ ประมาณ 3-4 ครั้งเพื่อให้แตกสาขาพุ่มเตี้ยและกว้างเพื่อที่จะได้ดอกที่ออกตามยอด ทำให้มีปริมาณดอกสะเดาจำนวนมาก

• เมื่อสะเดาออกดอกก็สามารถตัดดอกไปจำหน่ายได้

**การตัดช่อดอกสะเดา ต้องทำการตัดก้านให้สั้นที่สุด เพราะสะเดาทวายพันธุ์นี้ ถ้าตัดช่อดอกให้สั้นแล้วก้านนั้นจะสามารถแตกดอกให้เก็บอีก 3-4 ครั้ง**

• การให้น้ำ ควรให้น้ำในช่วงที่แล้งจัดเท่านั้น เนื่องจากสะเดาทวายพันธุ์ขาวผ่องจะไม่ชอบน้ำ ถ้าได้รับน้ำมากจะส่งผลให้สะเดาชะงักการเจริญเติบโต

• การใส่ปุ๋ย ห้ามใส่ขี้วัว ขี้ควาย รวมถึงมูลของสัตว์ที่กินใบทุกชนิดเนื่องจากมูลสัตว์เหล่านี้มีจำนวนธาตุไนโตรงเจนสูง จะส่งผลให้เผือใบไม่ออกดอก ให้ทำการใส่ขี้ไก่ ขี้หมู ขี้เป็ด สัตว์ที่เลี้ยงอาหารผสมเนื่องจากมีอาหารครบดีที่สุด

•ห้ามปลิดใบหรือตัดยอดอ่อนไปรับประทานหรือนำไปขายบ่อยๆ เนื่องจากสะเดาจะแตกยอดใหม่มาแทนทำให้สะเดาออกดอกน้อย

ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677 (ID 4544)
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ชุมพร


http://www.moac-info.net/modules/news/news_view.php?News_id=108877&action=edit&joomla=1
kimzagass
ตอบตอบ: 27/04/2011 9:59 pm    ชื่อกระทู้:

การทำองุ่นนอกฤดู.....

การบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูนั้น เกษตรกรมักจะปฏิบัติหลังจากที่ได้เก็บผลไปแล้ว โดยที่เกษตรกรจะต้องมีการบำรุงต้นให้มี
ความสมบูรณ์ มีการสะสมอาหารได้เพียงพอ และมีการป้องกันโรค แมลง เพื่อองุ่นจะได้มีความพร้อมและความสมบูรณ์ในการออก
ดอก ออกผล

1. หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรเสร็จแล้ว เกษตรกรควรปล่อยให้ต้นองุ่นโทรมประมาณ 15-30 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ย
โดยในตอนแรกใส่ปุ๋ยคอก พร้อมทั้งปุ๋ยน้ำทางในสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 11-22-11 ฉีดพ่น 1 ครั้ง พร้อมทั้งเตรียมลอก
เลนขึ้นจากท้องร่อง และตบแต่งคันร่องเพื่อรอการตัดแต่งกิ่ง

2. การตัดแต่งกิ่งองุ่นจะตัดเอากิ่งแขนงหรือกิ่งสาขาให้สั้นลง และให้มีตาองุ่นบนกิ่งแก่ และตัดกิ่งที่แพร่กระจายทับกันออก โดย
ให้เหลือตาองุ่นไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นพันธุ์ไวท์มะละกาให้มีตาเหลือไว้ประมาณ 5-7 ตาต่อกิ่ง แต่ถ้าเป็นพันธุ์คาร์ดินัล ให้เหลือ
แค่ 3-5 ตาต่อกิ่งเท่านั้น

3. เมื่อตัดแต่งกิ่งเสร็จเกษตรกรควรให้ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารหลักคือ เอ็น พี เค ให้สูตรตัวหน้าสูงเพื่อช่วยเร่งตาองุ่นให้ออกเร็วขึ้น
เช่น ใช้สูตร 20-10-10 หรือสูตรอื่นที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 70 กิโลกรัมต่อไร่ หรือขนาดร่อง 5 ตารางวาต่อปุ๋ย 10 กิโลกรัม
โดยหว่านให้ทั่วทั้งร่อง การใส่ปุ๋ย ควรเลือกเวลาตอนบ่ายหรือตอนเช้าในขณะที่แสงแดดไม่แรงมากนัก หลังจากหว่านปุ๋ยแล้วต้อง
รดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายและรากขององุ่นจะดูดซึมเพื่อไปเลี้ยงลำต้นได้เร็วขึ้น


การปลูกองุ่นนอกฤดู
4. ในระยะ 2-3 วันแรกหลังตัดแต่งกิ่งสำเร็จ ให้เกษตรกรฉีดปุ๋ยน้ำทางใบสูตร คือ กลางสูง เช่นสูตร 11-22-11 และอาหารเสริม
ทางใบ เพื่อเร่งให้องุ่นแทงช่อดอกออกมาพร้อมกับใบ โดยทำการฉีด 5-7 วันต่อครั้ง การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้กับองุ่นนั้นจะมี
ประสิทธิภาพดีกว่าการให้ทางดิน และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายเกษตรกรอาจจะผสมยาฆ่าแมลงและยาป้องกันกำจัดโรคราลงได้
ด้วยก็ได้

5. หลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งประมาณ 15-20 วัน ตาขององุ่นก็จะแตกใบใหม่ออกมาให้เห็น ถ้าเป็นฤดูร้อนและในฤดูฝนตาจะแตก
เร็วกว่าประมาณ 15 วัน แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว ตาจะแตกใบอ่อนช้าออกไปอีกประมาณ 20 วันขึ้นไป และโดยธรรมชาติขององุ่นเมื่อ
ตาแตกใบอ่อนออกมาแล้ว ช่อดอกจะแทงออกมาด้วย ในขณะที่ดอกองุ่นกำลังบานหรือติด เกษตรกรอาจเด็ดตาดอกที่ไม่มีดอก
ทิ้งก็ได้ เพื่อไม่ให้องุ่นมีใบมากในช่วงนี้

6. หลังจากที่องุ่นแทงช่อดอกออกประมาณ 16-17 วัน เกษตรกรอาจจะเพิ่มคุณภาพขององุ่น โดยใช้ฮอร์โมน จิบเบอเรลลิน,
เอ็น.เอ.เอ. หรืออาหารเสริมทางใบ เพื่อยืดช่อดอกองุ่นให้ยาวใหญ่ขึ้น แต่การใช้ฮอร์โมนยืดช่อดอก เกษตรกรจะต้องใช้ด้วย
ความระมัดระวัง และต้องรู้จักวิธีการใช้ เพราะหากใช้ผิดพลาดแล้วจะเกิดผลเสียหายต่อดอกและผลองุ่น เช่น ดอกยาวเกินไป ดอกร่วง
หรือทำให้องุ่นไม่ติดผลได้

7. เมื่อองุ่นติดผล การปฏิบัติดูแลรักษาตามปกติ และโดยเฉพาะการฉีดยาป้องกันกำจัดโรค แมลง จะต้องกระทำสม่ำเสมอ อาทิตย์
ละครั้ง หรืออาจจะฉีดพร้อมกับการให้อาหารเสริมทางใบด้วยก็ได้ จนกระทั่งผลองุ่นโตเต็มที่ เพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลต่อไป



http://www.xn--12ca4dscc8ayd2f.com/tag/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9/
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 5:13 pm    ชื่อกระทู้:

การทำกุหลาบวาเลนไทน์....


Happy valentine's day
เพื่องลุงคิม ชื่อ มิสเตอร์โรเบิร์ต ทิงนองน็อย. บอกมาว่า สะกดผิด นะ [/color]

ลุงคิมคะ แล้วตัดแต่งตอนไหนให้ออกดอก ตรงวันวาเลนไทน์ค่ะ


...มีบุญค่ะ...........แล้วเว็บลุงลงรูปยังงัยค่ะ...???





ประสบการณ์ตรง กุหลาบ ......

- กุหลาบพันธุ์ดีมีระบบรากไม่แข็งแรง แก้ไขโดยปลูกกุหลาบป่าลงไปก่อนแล้วเปลี่ยนพันธุ์ดีบนตอนั้น จะช่วยให้กุหลาบต้นนั้น
อายุยืนนานได้หลายสิบปี.....กุหลาบที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ อายุต้นถึงวันนี้น่าจะกว่า 50 ปีแล้ว สภาพยังสมบูรณ์ ออกดอก
สพรั่งได้ก็เพราะใช้ตอกุหลาบป่าเปลี่ยนเป็นพันธุ์ดีนี่แหละ

- ที่ อ.พนัสนิคม ชลบุรี ปลูกกุหลาบพันธุ์ต่างประเทศ (เมืองหนาว) 100 ไร่ เป้าหมายส่งออกต่างประเทศ อายุต้นได้ไม่กี่ปี ปรากฏ
ตายเรียบ

- กุหลาบต้นพันธุ์กิ่งตอน ต้องการปลูกลงกระถาง ให้ปรุงดินปลูก (......."ดินขุยไผ่ตากแดดจัด 20 แดด + ใบก้ามปูแห้ง + กาบมะ
พร้าวสับเล็ก + แกลบขาวเก่า + ขี้วัวแห้งเก่า + ขี้ไก่แห้งเก่า + ยิบซั่ม + กระดูกป่น"......) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี พรมด้วยน้ำ
หมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงพอชื้น ทำกอง บ่มทิ้งไว้ 2-3 เดือน จึงใส่ลงกระถาง) ปลูกต้นพันธุ์ลงไป วางกระถางอย่าให้
ก้นกระถางสัมผัสพื้น ใช้ก้อนอิฐหนุนให้ก้นกระถางพ้นพื้น เพื่อให้น้ำในกระถางระบายออกได้....วิธีนี้จะช่วยยืดอายุต้นให้ยืนนาน
ขึ้นได้

- กุหลาบในกระถางวันนี้ ดินแน่น น้ำขังค้าง แก้ไขโดยการนอนกระถางลง ใช้ไม้แยงรูก้นกระถางให้ทะลุถึงดินปากกระถาง จับกระถาง
ตั้งขึ้นอย่างเดิม แล้วบำรุงดินด้วย "ยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัว+ขี้ไก่ (โรยหน้าดิน) น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (รดโคนต้น)" ไม่นาน
ดินในกระถางจะโปร่ง ไม่อุ้มน้ำอีก.....แรกๆ น้ำจะออกทางรูที่เจาะนั้น

- กุหลาบที่ดอกแก่ ปล่อยแห้งคาต้น ต้นนั้นจะแตกยอดแล้วออกดอกใหม่ช้า ถึงช้ามากๆ ดังนั้น เมื่อเห็นว่าดอกไหแก่จัดแล้ว ให้ชิงตัดทิ้ง
ก่อนเลย.....หลังจากตัดดอกแก่แล้ว ราว 2-3 อาทิตย์ ก็จะมีดอกใหม่ให้ตัดได้อีก

- กุหลาบต้องการ "กระดูกป่น + ยิบซั่ม + ขี้วัว+ขี้ไก่ (1:1)" 4 เดือน/ครั้ง....เทคนิคการใช้กระดูกไก่รองก้นกระถาง 2-3 ชิ้นเล็กๆ
จะช่วยให้กุหลาบได้รับสารอาหารจากกระดูกนานนับหลายๆปี

- กุหลาบชอบ "หญ้าไซ" คลุมโคนต้น

- ให้ "ฮอร์โมนน้ำดำไบโออิ" (แม็กฯ - สังกะสี - ฯลฯ) เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันต้นโทรม

- ให้ "ฮอร์โมนไข่ไทเป" 10-15 วัน/ครั้ง ช่วยให้ออกดอก

- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 เดือนละ 1 ครั้ง

- หลังจากตัดดอกเดี่ยวๆ สำหรับร้อยมาลัย หรือ ตัดดอกรวมก้าน สำหรับปักแจกันแล้ว ช่วงหน้าร้อนหลังตัดประมาณ 20-25 วัน จะตัด
ดอกรอบใหม่ได้ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวประมาณ 15-18 วัน ก็ตัดดอกรอบใหม่ได้อีก....หน้าหนาว กุหลาบโตเร็ว-หน้าร้อนกุหลาบโตช้า

เพราะฉนั้น ที่ถามมาว่า ตัดกิ่งวันไหนให้มีดอกตัดได้วันวาเลนไทน์....คำตอบก็คือ ตัดวันที่ 28 ม.ค., 30 ม.ค. 2 ก.พ. วันละ 1 ชุด
โดยถือหลัก 15 วัน +/- 3 วัน ในจำนวน 3 ชุดนี้ ต้องมี 1 ชุด ออกดอกวาเลนไทน์ได้พอดี หรือ ก่อน/หลัง 1 วัน....ทั้งนี้สภาพต้นต้อง
สมบูรณ์พร้อมด้วยนะ

- เทคนิคบำรุงกุหลาบก้านปักแจกัน ให้โน้มกิ่งประธานลงขนานกับพื้น ผูกยึดกับหลักยึดให้มั่นคง ตัดปลายกิ่งประธาน ริดกิ่งแขนงทั้ง
หมด รูดใบให้เหลือสัก 10% จากนั้นบำรุงด้วยสูตร "เรียกใบอ่อน" กิ่งประธานที่ปลายด้วนแล้วนั้นจะแตกกิ่งกระโดงใหม่ทั่วกิ่งประธาน
บำรุงเลี้ยงกิ่งกระโดงไปเรื่อยๆ กระทั่งได้ความยาวก้าน (30-50 ซม.) แล้วให้เปิดตาดอกด้วย ฮอร์โมนไข่ไทเป ก็จะออกดอกที่ปลาย
กิ่งกระโดง ทำให้ได้กุหลาบก้านยาว


- สูตรเรียกใบอ่อน : .......
(ทางใบ) "น้ำ 20 ล. + 25-5-5 (20 กรัม) + จิ๊บเบอเรลลิน 20 ซีซี. + ไคโตซาน 20 ซีซี." หรือ "ฮอร์โมนน้ำดำ ไบโออิ +
ยูเรีย จี." (สูตรใดสูตรหนึ่ง) ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ทุก 5-7 วัน ช่วงเช้าแดดจัด ....

(ทางราก) "น้ำ 20 ล. + น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง 40 ซีซี. + 25-7-7 (250 กรัม)/10 ต้น/เดือน.......

ให้สูตรนี้ไปเรื่อยๆ กุหลาบจะไม่ออกดอกแต่ก้านจะยืดยาว (สูง) ขึ้นเรื่อยๆ หรือหากออกดอกมา ดอกนั้นก็จะไม่โตหรือโตช้า จนกระทั่ง
ได้ความยาวก้านตามต้องการจึงหยุดสูตรเรียกใบอ่อน แล้วเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนไข่ไทเปเพื่อเรียกดอกให้ออกใหม่ หรือบำรุงดอกที่ออก
มาแล้วให้โตต่อไป

ลุงคิมครับผม
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 5:11 pm    ชื่อกระทู้:

การทำมะลิหน้าหนาว....


เนื่องจากในฤดูหนาว มะลิจะออกดอกน้อยแต่ตลาดมีความต้องการในปริมาณที่สูง จึงทำให้มะลิมีราคาแพงกว่าปกติ ดังนั้น
หากเกษตรกรสามารถทำให้มะลิออกดอกในฤดูหนาว จะทำให้มีรายได้ดีจากการปลูกมะลิ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มะลิออก
ดอกในฤดูหนาวมี ๒ ข้อดังนี้

๑. การตัดแต่งกิ่ง โดยทำการตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งที่เป็นโรคหรือถูกแมลงทำลาย กิ่งไขว้ล้มเอนไม่เป็นระเบียบ และกิ่งเลื้อย
ซึ่งวิธีการตัดแต่งกิ่งมี ๒ วิธี คือ

- แบบเหลือกิ่งไว้กับต้นยาว โดยตัดแต่งกิ่งออกเพียงเล็กน้อยให้เหลือกิ่งสมบูรณ์ไว้กับต้นมาก ๆ การตัดแต่งกิ่งวิธีนี้เหมาะ
สมกับมะลิที่มีอายุน้อย

- แบบเหลือกิ่งไว้กับต้นสั้น โดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียง ๓-๔ กิ่ง แต่ละกิ่งยาวประมาณ ๑-๑.๕ ฟุต การตัดแต่งกิ่งวิธี
ใช้กับมะลิอายุ ๒ ปีขึ้นไป


มะลิช่วงระยะเวลาตั้งแต่เก็บดอก จนถึงตากิ่งเจริญให้ดอกใหม่อีกครั้งประมาณ ๖ สัปดาห์ ดังนั้น ถ้าเกษตรกรต้องการให้
มะลิออกดอกในเดือนใด ก็ต้องนับย้อนเวลาตัดแต่งกิ่งถอยหลังไป ๖ สัปดาห์ และถ้าต้องการให้แปลงมะลิทุกแปลงออก
ดอกพร้อมกันหมด เวลาตัดแต่งกิ่งก็ตัดให้หมดทุกแปลงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการให้มะลิออกดอกในฤดูหนาว
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตัดแต่งกิ่ง คือ ช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน

๒. การบำรุงรักษาต้นและดอก
๒.๑ การบำรุงต้น เมื่อตัดแต่งกิ่งมะลิแล้ว จำเป็นมากที่ผู้ปลูกจะต้องบำรุงต้นมะลิให้สมบูรณ์ โดยการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยคอกใส่ได้ไม่จำกัด ส่วนปุ๋ยเคมีใส่เดือนละครั้ง สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือสูตร ๑๕-๑๕-๑๕ ใช้ในอัตรา ๑-๒ ช้อนแกง/ต้น

๒.๒ การบำรุงดอก ในฤดูหนาว นอกจากมะลิจะออกดอกน้อยและมีขนาดเล็ก ดังนั้น จึงควรให้ปุ๋ยทางใบที่มีธาตุฟอสฟอรัส
สูง เช่น สูตร ๑๐-๔๕-๑๐ ฉีดพ่นหลังใบ ในอัตรา ๒ ช้อนแกง / น้ำ ๒๐ ลิตร โดยฉีดพ่นทุก ๑๐ วัน แนะนำให้ใช้ฤดูหนาว
เท่านั้นสำหรับฤดูอื่นไม่แนะนำให้ใช้ปุ๋ยทางใบ เนื่องจากมะลิมีราคาไม่สูงซึ่งไม่คุ้มกับการลงทุน


การใช้สารไทโอยูเรียเร่งการออกดอกในฤดูหนาว
สารไทโอยูเรียมีผลต่อการซักนำให้มะลิออกดอก จากการวิจัยเกี่ยวกับการบังคับให้มะลิออกดอกในฤดูหนาวนั้นพบว่า สารไทโอ
ยูเรียเป็นสารที่มีผลทำลายการพักตัวของมะลิ และเร่งการออกดอกของมะลิในฤดูหนาวได้เป็นผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ

ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
๑. ตัดแต่งกิ่งมะลิในเดือนกันยายน
๒. ให้ปุ๋ยและน้ำเพื่อบำรุงต้นให้สมบูรณ์โดยใช้ปุ๋ย ๑๕-๑๕-๑๕ อัตรา ๓๐ กรัมต่อต้น ในเดือนกันยายนและตุลาคม
๓. พ่นสารไทโอยูเรีย ๑% (ไทโอยูเรีย ๒๐๐ กรัม ผสมน้ำ ๒๐ ลิตร) ในเดือนพฤศจิกายน


มะลิจะออกดอกหลังจากพ่นสารไทโอยูเรียแล้วประมาณ ๒๐ วัน และเก็บดอกต่อเนื่องไปอีก ๑ เดือน นอกจากนี้ยังพบอีกว่า
การให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงร่วมกับการพ่นสารไทโอยูเรีย ก็จะมีผลต่อการเพิ่มปริมาณดอกได้ดีขึ้นอีก

จากการปฏิบัติดังกล่าว เราสามารถบังคับมะลิให้ออกดอกในช่วงที่ต้องการได้คือ ในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วง
ฤดูหนาว ดอกมะลิราคาแพง


ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/in_agricultural/sub_agricultural_1.html?sub_id=2694&head=เทคนิคการบังคับมะลิให้ออกดอกในฤดูหนาว&click_center=1

จากคุณ : ญี่ปุ่น35

http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2006/10/J4798227/J4798227.html







การปลูกมะลิการมุ้ง

เป็นวิธีการปฏิบัติ เพื่อลดต้นทุนทางด้านการใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดแมลง และรักษาสภาพแวดล้อม โดยใช้ตาข่าย
คลุมแปลงมะลิ จะคลุมเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น เพื่อป้องกันการวางไข่ของหนอนผีเสื้อกลางคืน ซึ่งเป็นหนอนกัดกินดอกมะลิ
สาเหตุที่ไม่คลุมช่วงกลางวันก็เพราะว่า มะลิต้องการแสงแดดจัดเพื่อการออกดอก ถ้ามะลิได้รับแสงน้อยมะลิจะให้ดอกไม่ดก
การปฏิบัติเช่นนี้ จะเพิ่มต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายแรงงานเพิ่มขึ้น

เนื่องจากต้องใช้แรงงานในการเปิด - ปิดตาข่าย แต่เมื่อเทียบกับการใช้สารเคมีแล้ว ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นยังน้อยกว่าการใช้สาร
เคมี ดังนั้น วิธีนี้จึงเหมาะที่จะใช้กับแปลงมะลิมาก


http://www.shongmive.ob.tc/b6.html
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 5:10 pm    ชื่อกระทู้:

การทำไผ่ตงนอกฤดู....


วิธีการผลิตไผ่นอกฤดูเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน ตัดแต่งต้น ให้เหลือลำอยู่ 10 ลำ ต่อกอในจำนวนนี้เป็นลำใหม่ 5 ลำ
พร้อมใส่ปุ๋ยขี้ไก่ 2 หาบ จากนั้นให้ปุ๋ยชีวภาพและรดน้ำเต็มที่ และอย่าลืมดูแลเรื่องน้ำอย่างสม่ำเสมอ

ราวเดือนมีนาคมไผ่ก็จะมีหน่อออกมา ตัดขายได้กิโลกรัมละ 30 บาท

เดือนเมษายนราคาหน่อไผ่ก็ลดลงอีก จนต่ำสุด 5 บาท ต่อกิโลกรัม

จากสวนเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมการเก็บผลผลิตจะไปสิ้นสุดราวเดือนกันยายน-ตุลาคม ขนาดของหน่อ
ไผ่มีตั้งแต่ 1-3 กิโลกรัม ต่อหน่อ ผลผลิตที่ได้นั้นกอหนึ่งไม่ต่ำกว่า 25 หน่อ ต่อปี


http://www.raidaidd.com/forums/archiver/?tid-3254.html





ไผ่เปาะนอกฤดู

สำหรับเทคนิคการผลิตหน่อไม้นอกฤดูตามวิธีการของตนเองนั้น หลังจากตัดหน่อไม้ไผ่ที่ออกในหน้าฝนแล้ว ทำการตัดลำไผ่ต้น
ที่แก่นำไปใช้จักสาน ทำไม้ตะเกียบ และอื่นๆ เหลือแต่หน่อของต้นใหม่ช่วงเดือนกันยายน ใช้เศษใบไผ่ ใบไม้แห้งปกคลุม
โคนต้น

ทำการบำรุงต้นด้วยการใช้ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 1 กิโลกรัมต่อกอ โดยการทยอยใส่เรื่อยๆ ใส่ปุ๋ยหมัก และเปลือกถั่วลิสง

ใช้น้ำสกัดชีวภาพจากผลไม้ผสมน้ำราดที่โคนต้นให้ทั่ว อัตรา 2 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร

ให้น้ำด้วยระบบน้ำที่วางท่อไว้ตลอดทั้งสวน ควบคู่กับการใส่ปุ๋ยแห้งที่ผ่านการหมักบ่มแล้ว อัตรา 20 กิโลกรัมต่อกอ

ใส่ปุ๋ยคอกและกากถั่ว รดน้ำให้มีความชื้นพอเหมาะและต่อเนื่องกัน

ไผ่เปาะก็จะเริ่มแทงหน่อใหม่ขึ้นมา และเพื่อให้ได้หน่อไม้ที่ใหญ่กว่าปกติ จึงใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยการใช้ถังพลาสติก
หรือปี๊บ ความสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร เจาะก้นถังออก นำไปครอบหน่อที่เริ่มพ้นดินแล้วใช้ปุ๋ยคอกจากมูลวัวและกากถั่ว
ใส่ให้เต็มถัง ทิ้งไว้ประมาณ 12-20 วัน หน่อก็จะเจริญเต็มที่จนแทงยอดพ้นถังพลาสติกหรือปี๊บที่ครอบอยู่จึงเปิดออก
หน่อที่สมบูรณ์จะหนักหน่อละ 2-3 กิโลกรัม

วิธีการแบบนี้ จะได้หน่อไม้ไผ่เปาะที่มีเนื้อสีขาวอวบ เนื้ออ่อน รสชาติหวาน เอร็ดอร่อยกว่าหน่อไม้ในฤดู ราคาหน่อไม้นอก
ฤดูราคากิโลกรัมละ 50-90 บาท ไผ่เปาะสามารถสร้างรายได้ให้ปีละ 20,000-30,000 บาทต่อไร่ ในปี 2549 ได้ขยาย
พื้นที่ปลูกเพิ่มอีก 4 ไร่ ใช้ระยะปลูก 2 x 3 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ 250 กอ

ปัจจุบันนี้นายบุญยัง เทพแก้ว จึงเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องการปลูกไผ่เปาะและการผลิตหน่อไผ่เปาะนอกฤดู
อย่างแท้จริง และได้ทำการขยายพื้นที่ปลูกไผ่เปาะทั้ง 50 ไร่ และได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพ
ทำสวน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี 2553 มีความพร้อมที่จะเป็นจุดเรียนรู้ การศึกษาดูงานแก่เกษตรกรทั่วไปเรื่องการ
ปลูกไผ่เปาะนอกฤดู

ติดต่อสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 053-687-101, 08-2195-0814, สำนักงานเกษตรอำเภอแม่สะเรียง 053-681-351


http://www.organic.moc.go.th/view_news.aspx?data_id=1186&control_id=8&pv=32&view=1
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 1:52 pm    ชื่อกระทู้:

การทำเงาะนอกฤดู.....


การผลิตเงาะนอกฤดูกาลโดยใช้เกษตรอินทรีย์ 50% ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก บำรุงต้น ให้สมบูรณ์ ฉีดพ่นสาร พด.5 กำจัดวัชพืช
ตัดแต่งกิ่งคลุมโคนต้นที่อยู่ในระดับต่ำออกให้หมด การผลิตเงาะนอกฤดูกาลโดยใช้เกษตรอินทรีย์ 50%

มีการปลูกเงาะในพื้นที่บ้านกลาง ม.2 ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เกษตรกรมีการผลิตเงาะนอกฤดูกาล จำนวน
10 ราย พื้นที่ 100 ไร่ ซึ่ง นายเจริญ โมราศิลป์ อดีตเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการผลิตไม้ผลให้ออกนอกฤดู
กาลจะต้องอาศัยปัจจัยธรรมชาติ 50% สำหรับการผลิตเงาะนอกฤดูกาลของคุณเจริญ โมราศิลป์ มีจำนวน 350 ต้น

ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากสภาวะปัจจัยทางธรรมชาติไม่อำนวยทำให้ได้รับผลผลิตเพียง 30% ราคากิโลกรัมละ 50 บาท วิธีการ
ปฏิบัติผลิตเงาะนอกฤดูกาลของคุณเจริญ โมราศิลป์ จะต้องใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก บำรุงต้น ให้สมบูรณ์ ฉีดพ่นสาร พด.5 กำจัด
วัชพืช ตัดแต่งกิ่งคลุมโคนต้นที่อยู่ในระดับต่ำออกให้หมด ซึ่งสามารถกระทำได้กับเงาะอายุระหว่าง 5-15 ปี

ระยะเวลาที่ปฏิบัติหรือดำเนินการช่วงเดือนธันวาคม -มกราคม ตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา
2-3 กก./ต้น ก่อนออกดอก 1 เดือน ทำให้บริเวณทรงพุ่ม โล่งเตียน โดยฉีดพ่นสาร พด.5 ปราบวัชพืช ให้ปุ๋ยทางดิน
สูตร 8-24-24 หรือ 9-24-24 อย่างใดอย่างหนึ่ง อัตรา 2-3 กก./ต้น และให้ดินมีความชื้นพอสมควร จากนั้นประมาณ

http://gotoknow.org/blog/phromkiri/62084




การผลิตเงาะนอกฤดู....

ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรีได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเงาะนอกฤดูในภาคตะวันออกจำนวน 3 การทดลอง
ในแหล่งปลูกต่างๆ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ระหว่างปีการทดลอง พ.ศ. 2547-2551 โดยศึกษาหาวิธีการปรับปรุงโครง
สร้างต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การให้สภาวะเครียดเนื่องจากการขาดน้ำในระดับต่างๆ ต่อการกระตุ้นการออกดอก
และการจัดการเขตกรรมหรือการใช้สารเคมีกระตุ้นการออกดอก พบว่า

ต้นทดลองที่ทำการควั่นกิ่ง และการให้สารโพแทสเซียมคลอเรตทางดิน มีผลกระตุ้นการออกดอกได้เร็วกว่ากรรมวิธีควบคุม

การควั่นกิ่งมีการออกดอกได้เร็วกว่ากรรมวิธีควบคุมประมาณ 10-20 วัน

และการให้สารโพแทสเซียมคลอเรตทางดิน อัตรา 10 ก./พื้นที่ใต้ทรงพุ่ม 1 ตรม. มีการออกดอกเร็วกว่ากรรมวิธีควบคุม
เฉลี่ยประมาณ 10 วัน โดยยังคงมีคุณภาพช่อดอกในด้านความยาวช่อดอก ความหนาแน่นช่อดอกได้ดีกว่ากรรมวิธีควบคุม
อย่างเห็นได้ชัดเจนทางสถิติ

และมีการติดผล พัฒนาการของผลผลิตได้ดีเช่นกัน ส่งผลให้มีน้ำหนักเฉลี่ยในเกณฑ์ค่อนข้างสูง คือ 40.73 และ
40.20 ก. ตามลำดับ

นอกจากนั้นยังให้คุณภาพการบริโภคได้ดี มีความหวานและสัดส่วนที่บริโภคได้ไม่แตกต่างจากผลผลิตที่ได้จากต้นทดลอง
ในกรรมวิธีควบคุมสามารถเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนเมษายนซึ่งมีราคาเฉลี่ยสูงถึง 25-30 บาท/กก. และเก็บเกี่ยวเงาะชุดสุด
ท้ายราวต้นเดือนพฤษภาคม ที่ยังคงมีราคาเฉลี่ยค่อนข้างสูงคือ 12-13 บาท/กก. สูงกว่าราคาเฉลี่ยของผลผลิตในฤดูกาล
ผลิตที่ได้รับประมาณ 6-8 บาท/กก.

และจากการติดตามปริมาณไนโตรเจน และปริมาณคาร์โบไฮเดรทที่ไม่อยู่ในโครงสร้าง ในระยะพัฒนาการของดอก พบว่า
ปริมาณไนโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลงระดับค่อนข้างน้อย มีความเข้มข้นในใบเฉลี่ย 1.97-2.0 % ในระยะก่อนออกดอก
และลดลงเล็กน้อยคือ 1.91 % ในระยะแทงช่อดอกแล้ว หรือระยะใบที่เริ่มแก่

ส่วนปริมาณคาร์โบไฮเดรทที่ไม่อยู่ในโครงสร้างมีการเปลี่ยนมากกว่า โดยมีระดับที่ค่อยๆ สูงขึ้นในช่วงก่อนออกดอก และ
ลดระดับลงในระยะการแทงช่อดอก หลังจากนั้นจึงมีการสะสมปริมาณคาร์โบไฮเดรทที่ไม่อยู่ในโครงสร้างในระยะต่างๆ
เฉลี่ย คือ 4.7 6.1 และ 4.1 %

นอกจากศึกษาเทคโนโลยการผลิตเงาะนอกฤดูแล้ว ยังมีการศึกษาการแก้ปัญหาเงาะผลสดที่มีอายุเก็บรักษาสั้น ขนเงาะ
ดำ สูญเสียคุณภาพในเชิงการค้าภายหลังเก็บรักษาไว้ได้ไม่เกิน 3 วัน ในอุณหภูมิห้อง และ 7-10 วันในตู้ควบคุมอุณหภูมิ
เป็นสาเหตุของการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บรักษาเงาะผลสดให้ยาวนานขึ้นเพื่อการส่งออกทางเรือ


http://it.doa.go.th/refs/search.php?sqlQuery=SELECT%20author%2C%20title%2C%20type%2C%20year%2C%20publication%2C%20abbrev_journal%2C%20volume%2C%20issue%2C%20pages%2C%20corporate_author%2C%20thesis%2C%20address%2C%20keywords%2C%20abstract%2C%20publisher%2C%20place%2C%20editor%2C%20language%2C%20summary_language%2C%20orig_title%2C%20series_editor%2C%20series_title%2C%20abbrev_series_title%2C%20series_volume%2C%20series_issue%2C%20edition%2C%20issn%2C%20isbn%2C%20medium%2C%20area%2C%20expedition%2C%20conference%2C%20notes%2C%20approved%2C%20call_number%2C%20serial%20FROM%20refs%20WHERE%20serial%20%3D%201105%20ORDER%20BY%20author%2C%20year%20DESC%2C%20publication&client=&formType=sqlSearch&submit=Display&viewType=&showQuery=&showLinks=1&showRows=20&rowOffset=&citeOrder=&citeStyleSelector=Polar%20Biol&exportFormatSelector=RIS&exportType=html&citeType=html&headerMsg=
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 12:20 pm    ชื่อกระทู้:

การทำแก้วมังกรนอกฤดู......


การใช้ฮอร์โมนเร่งการออกดอกในแก้วมังกร :
ขณะนี้มีเกษตรหลายท่าน ทดลองใช้ฮอร์โมนที่มีส่วนผสมไซโตไคนิน เพื่อกระตุ้นการออกดอกในแก้วมังกรแต่อฮร์โมนดังกล่าว
ปัจจุบันราคาสูงมาก ตกราว ซีซี.ละ 100 บาท 1 ขวดเล็กมี 5 ซีซี. 450 บาท มักจะทดลองใช้ในการทำนอกฤดู ที่เวียตนามก็มี
การทดลองใช้เช่นกัน บางท่านก็ว่าไม่ได้ผลบางท่านก็ว่าไม่ชัวร์ 50-50 บางท่านก็บอกว่าดี ได้ผลถึง 70-80 % คงขึ้นอยู่กับ
ความพร้อมของต้น
สภาพแวดล้อม ปริมาณแสง อุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ ฯลฯ

วิธีการ หากเราต้องการให้ไปออกดอกช่วงปีใหม่ หรือตรุษจีน ก็นับถอยหลังลงมาเลย 50 วันหากอากาศไม่หนาวเกิน เพราะหาก
หนาวมากมักไม่ได้ผล ให้ตัดแต่งปลายกิ่งล่วงหน้ามาแล้ว โดยกิ่งยาวพ้นค้างห้อยลงมาไม่เกิน 1 เมตร บำรุงต้นมาอย่างดี เลือกดู
หนามที่อ้วนๆ ค่อยๆเอามีดปลายแหลมแคะหนามหรือเปลือกตาออก ถ้าเห็นเนื้อเป็นสีเหลืองก็ใช้ได้ ถ้าเป็นสีเขียวหรือขาวมักจะ
เป็นตายอด ไม่ใช่ตาดอก
ให้เอาปลายพู่กันแตะฮอร์โมน แล้วป้ายที่ตาดอกดังกล่าว ราว 3 วัน ตาดอกจะงอกออกมา

แต่บอกก่อนนะครับว่าต้นทุนค่อนข้างสูง ตกราว 1 บาท/ตา ได้ผลหรือไม่ต้องทดลองกันเองนะครับ ผมไม่กล้ารับรอง ถ้าอยาก
ลองให้ลองน้อยๆก่อนดีกว่าครับ
ฮอร์โมนตัวนี้ บางท่านใช้ป้ายที่ขั้วผลแก้วมังกร เพื่อขยายขนาดผลด้วย ช่างเป็นผู้ที่ขยันทดลองจริงๆ ไม่ทราบว่าได้ผลหรือเปล่า
ใครนใจก็ลองดูได้นะครับ

บางท่านก็ใช้ฮอร์โมนตัวนี้ในการเร่งการแตกตายอด โดยเฉพาะท่านที่ขายกิ่งพันธ์ใหม่ๆ ต้องเร่งให้แตกยอด ใช้กับการเปลี่ยนยอด
หรือติดตาครับ เขาต้องเร่ง ทำเวลา เพราะหากออกช้า คนอื่นจะขายได้ก่อนครับ

ยิ่งกว่านั้น ที่เวียตนาม ก็มีการทดลองทำนอกฤดู โดยตัดแต่งกิ่งแบบหนัก เหลือพ้นค้างไม่เกิน 50 เซนติเมตร ก่อนหน้าที่จะทำนอก
ฤดูซัก 1 เดือน หากมียอดอ่อน หรือกิ่งอ่อนแตกออกมา แกเล่นตัดทิ้งหมดเลย บำรุงต้นต่อ ทั้งใส่ปุ๋ย รดน้ำ พอถึงกลาง พฤศจิ
กายน ถึงธันวาคม อากาศไม่หนาวเกินไป ก็เอาฮอร์โมนดังกล่าว
ป้ายที่ตาที่พร้อม ทั้งที่ปลายกิ่งและที่โคนต้นด้วย

ปกติแก้วมังกร มักจะออกดอกที่กิ่งใหม่เป็นส่วนใหญ่ คนเวียตนามรายนี้ทดลองอะไรแปลกดีเหมือนกัน เล่นทดลองกับกิ่งเก่า เขาว่า
ได้ผลพอใช้ได้ ผลโตดีด้วย แต่แกไม่ได้บอกว่าได้กี่ผลต่อต้น ป้ายไปกี่ตา ได้ผลกี่เปอร์เซ็นต์ ใครอยากทดลองก็ขอให้สนุกนะครับ
แต่อย่าไปคาดหวังมากนัก เพราะฮอร์โมนราคาสูง

ผมเองปลายปีนี้ว่าจะหาโอกาสทดลองกับเขาบ้าง เผื่อจะมีอะไรมาเล่าให้อ่านกัน
ฮอร์โมนที่ใช้ มีขายในบ้านเรายี่ห้อ โปรโมท
ครับ ของ กฤษณามาเก็ตติ้ง ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ และไม่ได้ส่งเสริมให้ใช้กันนะครับ แต่ท่านใดอยากทดลอง จะได้มีข้อมูลครับ


http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=reddragonfruits&id=34






การบังคับแก้วมังกรให้ออกก่อนฤดูกาล


- เดือน ก.ค.- ส.ค. ตัดแต่งกิ่ง เรียกใบอ่อน
- เดือน ก.ย.- ต.ค. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
- เดือน พ.ย.- ธ.ค. สะสมอาหารเพื่อการออกดอกพร้อมกับให้แสง ไฟขนาด 100 วัตต์ 1 หลอด/4 ต้น
ช่วงเวลา 18.00-21.00 น.และ 05.00-06.00 น. ทุกวัน ตลอด 1 เดือน
- เดือน ม.ค. เปิดตาดอก
- เดือน ก.พ. บำรุงผล

หมายเหตุ :
- การให้แสงไฟวันละ 2-4 ชม.หลังพระอาทิตย์สิ้นแสง ช่วงอากาศหนาว (พ.ย.-ธ.ค.) ต้องใช้ระยะเวลานาน
20-25 วันขึ้นไป แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งใช้ระยะเวลาให้ประมาณ 15-20 วัน ซึ่งดอกที่ออกมาจะดกกว่าช่วง
อากาศปกติที่ไม่มีการให้แสงไฟ....ในฤดูกาลปกติถ้ามีการให้แสงไฟก็จะช่วยให้ออกดอกดีและดกกว่าการไม่ให้
แสงไฟ
- การบังคับให้ออกนอกฤดูจะสำเร็จได้ ต้นต้องได้รับการบำรุงอย่างดี มีการจัดการปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตร
(ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค) อย่างถูกต้องสม่ำเสมอจนต้นสมบูรณ์เต็มที่ และ
ไม่ควรปล่อยให้ออกดอกติดผลในฤดูกาลมาก่อน
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 12:08 pm    ชื่อกระทู้:

การทำลิ้นจี่นอกฤดู.....

การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลย่อมมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องและควบคุมอยู่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นได้แก่

1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการออกดอก หากมองอย่างผิวเผินแล้วจะเห็นได้ว่า การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้นจะต้องอาศัย
ลักษณะความสูงของพื้นที่และสภาพอุณหภูมิต่ำเป็นประการสำคัญ จากการศึกษาถึงสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการออกดอก
ของลิ้นจี่ปรากฏว่า การออกดอกของลิ้นจี่จะต้องอาศัยสภาพพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ๆ เช่นสภาพพื้นที่บนเขาหรือพื้นที่
ที่มีความสูงเกิน 800 เมตรขึ้นไป และจะต้องอาศัยช่วงอากาศหนาวเย็นในระยะก่อนออกดอกในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 20 องศาเซล
เซียส เป็นเวลา 120-200 ชั่วโมง

2. สภาพความสมบูรณ์ของต้นลิ้นจี่ เป็นที่น่าสังเกตว่าสวนลิ้นจี่ที่ปลูกบนพื้นที่สูงที่มีการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้น ลิ้นจี่จะไม่มีการ
ออกดอกติดผลทุกต้นแม้จะมีสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันก็ตาม ทั้งนี้เกิดจากลิ้นจี่มีความสมบูรณ์ของต้นไม่เท่ากันและมีการ
เจริญเติบโตที่ไม่ได้จังหวะพอดีกับการแตกตาดอก และเป็นที่ทราบกันดีว่าการเจริญเติบโตของต้นลิ้นจี่นั้น สามารถดูได้จากใบ
ลิ้นจี่ที่แตกออกมา ซึ่งปกติแล้วลิ้นจี่จะแตกใบอ่อนปีละ 3 ครั้งคือในฤดูฝน 2 ครั้งและในฤดูแล้งอีก 1 ครั้งโดยในแต่ละครั้ง
ใช้เวลาประมาณ 60 วัน และจากสภาพที่ลิ้นจี่มีการแตกใบอ่อนไม่พร้อมกัน และเจริญเติบโตไม่เท่ากันกล่าวคือในบางต้นมี
ใบแก่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันอีกต้นหนึ่งกำลังแตกใบอ่อนอยู่ ดังนั้น เมื่อมีการออกดอกและติดผล จึงไม่พร้อมกันหรือในบาง
ต้นอาจะไม่มีการออกดอกหรือติดผลเลยก็ได้

3. พันธุ์ พันธุ์ลิ้นจี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการออกดอก ทั้งนี้เพราะลิ้นจี่พันธุ์ต่างกัน มีความต้องการความหนาวเย็นของอากาศ
เพื่อการออกดอกที่ไม่เท่ากัน กล่าวคือ

1. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานกว่า 100 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่ พันธุ์ค่อม , กิมจี้ , โอเฮี๊ยะ ,
ไทยใหญ่ และไทยธรรมดา เป็นต้น

2. พันธุ์ลิ้นจี่ที่มีความต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 120-140 ชั่วโมงการออกดอกเช่น พันธุ์สาแหรกทอง
และพันธุ์กะโหลกต่าง ๆ

3. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 150-170 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่พันธุ์โฮงฮวย ,
ฮ่องกง , กิมเจง , จูบีจี้ , เขียวหวาน , กระโถน , สำเภาแก้ว เป็นต้น

4. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 200 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่ พันธุ์กวางเจา และพันธุ์
จักรพรรดิ


4. อัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจน (C/N ratio) การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้น สิ่งที่นำมาพิจารณาคืออัตราส่วน
ระหว่างคาร์โปไฮเดรตและไนโตรเจน ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ถ้าอัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนมีปริมาณที่เท่า ๆ
กันเช่น 2:2 ลิ้นจี่จะแตกตาใบขึ้น แต่ถ้าอัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนแตกต่างกัน เช่น 3:1 ลิ้นจี่จะแตก
ตาดอก จากหลักการดังกล่าวนี้ หากมีการลดอาหารจำพวกไนโตรเจน โดยงดให้น้ำหรือไม่ปล่อยน้ำเข้าสู่ระบบรากของลิ้นจี่ ลิ้นจี่
จะแตกตาดอกได้ง่ายและเร็วกว่าปกติด้วย

ลิ้นจี่ที่ออกผลนอกฤดูกาลจะฟอร์มตาดอกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นเหมาะต่อ
การสะสมอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และในขณะเดียวกันหากสถานที่ปลูกมีความลาดเทมาก น้ำไม่ขังเวลาฝนตกจะเป็นการลด
อาหารพวกไนโตรเจนไปในตัว จึงทำให้ลิ้นจี่มีฮอร์โมนที่สร้างตาดอกขึ้น ดังนั้นพอถึงเดือนกรกฎาคมลิ้นจี่จึงตั้งช่อดอกและจะติด
ผลในช่วงเดือนสิงหาคม ผลจะใหญ่และแก่ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี ดังนั้นลิ้นจี่ที่
ออกผลในช่วงนี้จึงขายได้ในราคาสูงกว่าปกติมาก

อย่างไรก็ตาม การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลย่อมจะมีปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น มักมีแมลงเข้ามากินหรือ
ทำลายผลลิ้นจี่เสมอ นอกจากนี้ก็มีศัตรูอื่น ๆ เข้าทำลายอีกเช่น ค้างคาวหรือนก ซึ่งเข้ามากัดกินผล และโดยเฉพาะปัญหาเกี่ยว
กับสภาพแวดล้อมที่มีปัจจัยต่อการออกดอกของลิ้นจี่นั้นนับได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ทั้งนี้เพราะการปลูกลิ้นจี่หรือพืชอื่น ๆ
ย่อมจะต้องอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เช่น ดิน ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ซึ่งปัจจัยเหล่า
นี้มีความแปรปรวนไปได้ง่าย ดังนั้น ถ้าหากปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนไปมาก ๆ ทำให้การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลไม่ประสบผล
สำเร็จได้ ฉะนั้นก่อนที่จะมีการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาล เกษตรกรควรได้ศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวแล้วเพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐาน
พร้อมทั้งอาจจะประยุกต์วิธีการและขั้นตอนบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่จะปฏิบัติต่อไป



http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 12:01 pm    ชื่อกระทู้:

การทำสับปะรดนอกฤดู....

สับปะรด เป็นพืชใบเดี่ยวจำพวกไม้เนื้ออ่อนที่มีอายุหลายปี สามารถปลูกได้ในพื้นที่แทบทุกแห่งของประเทศไทย แหล่งปลูกสับปะรด
ที่สำคัญอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้ทะเล เช่น แถบจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และจังหวัดทางภาคใต้
เช่น ภูเก็ต พังงา ชุมพร ซึ่งนิยมปลูกเป็นพืชแซมในสวนยางพารา สับปะรดที่ปลูกกันทั่วไปนั้นมักจะออกผลทยอยกันตลอดปี และในปี
หนึ่ง ๆ จะมีช่วงที่สับปะรดออกดอกและให้ผลมากอยู่ 2 ช่วงคือช่วงแรกสับปะรดจะออกดอกประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
และจะเก็บผลได้เดือนเมษายนถึงมิถุนายน และช่วงที่สองจะออกดอกประมาณเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม และจะเก็บผลได้ในช่วงเดือน
ตุลาคมถึงธันวาคม

หากมีการปล่อยให้สับปะรดออกดอกตามธรรมชาติแล้วจะพบว่าการติดผลและเก็บผลจะไม่พร้อมกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมากในการ
เก็บเกี่ยวและการเลี้ยงหน่อในรุ่นต่อไป

นอกจากนี้การออกดอกของสับปะรดตามธรรมชาติจะทำให้มีผลผลิตออกมาปริมาณมากในช่วงเดียวกัน ซึ่งทำให้สับปะรดที่ออกมาใน
ช่วงดังกล่าวมีราคาที่ต่ำมาก ดังนั้นหากมีการบังคับให้สับปะรดออกดอกและให้ผลก่อนหรือหลังฤดูปกติ ทำให้สับปะรดมีราคาสูงขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของสวนสับปะรดต้องการหรือปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามในการบังคับให้สับปะรดออกดอก และให้ผลก่อนหรือหลังฤดูปกตินั้นย่อมจะต้องมีปัจจัยต่าง ๆ คอยควบคุมอยู่ ปัจจัยที่
นับว่าสำคัญมาก ได้แก่สภาพความสมบูรณ์ของต้นสับปะรด มีขนาดเล็กเกินไปการบังคับจะทำไม้ได้ผลเนื่องจากต้นสับปะรดยังไม่มี
ความพร้อมหรือความสมบูรณ์พอหรือถ้าออกดอกได้จะทำให้ผลมีขนาดเล็ก สำหรับสับปะรดที่พร้อมจะทำการบังคับนั้นต้องเป็นสับปะรด
ที่มีความสมบูรณ์ โดคนต้นจะต้องอวบใหญ่ มีน้ำหนักของต้นประมาณ 2.5 กก.ขึ้นไปหรือมีใบมากกว่า 45 ใบ หรือมีอายุได้ 7-8
เดือน ต้องทำหลังจากการใส่ปุ๋ยทางดินอย่างน้อย 3 เดือน และสามารถคำนวณระยะเก็บเกี่ยวได้ โดยนับตั้งแต่บังคับให้ออกดอกไป
ประมาณ 160 วัน

ชนิดของสารที่ใช้บังคับให้สับปะรดออกดอกและวิธีการใช้ :
1. ถ่านแก๊สหรือแคลเซียมคาร์ไบด์
เป็นสารเคมีที่ชาวสวนนิยมใช้กันมากเพราะหาง่ายและราคาไม่แพง มีวิธีการใช้ด้วยกัน 3 วิธี คือ

วิธีที่ 1
ป่นถ่านแก๊สให้เป็นเม็ดขนาดเท่าปลายก้อย แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรด จากนั้นจึงหยอดน้ำตามลงไปประมาณ 50 ซีซี. (ประมาณ
1/4 กระป๋องนม) หรืออาจจะดัดแปลงโดยป่นถ่านแก๊สป่นประมาณ 0.5-1.0 กรัม/ต้น (ใน 1 ไร่จะใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1-2 กก.)
วิธีนี้มักจะทำให้ช่วงหลังฝนตก เพราะมีความสะดวกและประสิทธิภาพการใช้ถ่ายแก๊สจะดีกว่าช่วงอื่น อย่างไรก็ตามวิธีที่ 1 นี้ มีข้อเสีย
คือ สิ้นเปลืองเวลาและแรงงานมากเพราะต้องมีคนใส่ถ่ายแก๊สคนหนึ่ง และหยอดน้ำตามอีกคนหนึ่ง

วิธีที่ 2
ใช้ถ่านแก๊สละลายน้ำ โดยใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1 กก. ผสมน้ำ 1-2 ปี๊บ แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรดต้นละ 50 ซีซี. (1 กระป๋องนม
หยอดได้ 4 ต้น) วิธีนี้เหมาะมากถ้าทำในช่วงฤดูแล้ง เพราะสามารถทำได้รวดเร็วแต่วิธีนี้มีข้อเสียอยู่บ้างคือ สิ้นเปลืองถ่านแก๊สมาก

วิธีที่ 3
ใช้ถ่านแก๊สใส่ลงไปในกรวย แล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อให้น้ำไหลผ่านถ่านแก๊สในกรวย ลงไปยังยอดสับปะรด วิธีนี้ไม่ค่อยปฏิบัติ
กันเนื่องจากให้ผลไม่แน่นอนและไม่สะดวกในการปฏิบัติ


หลังจากหยอดถ่านแก๊สไปแล้วประมาณ 45-50 วัน จะสังเกตเห็นดอกสีแดง ๆ โผล่ขึ้นมาจากยอดสับปะรด นับจากนั้นไปอีก 4-5
เดือน จะสามารถตัดสับปะรดแก่ไปขายหรือนำไปบริโภคได้ ซึ่งผลสับปะรดที่เก็บเกี่ยวนี้จะแก่ก่อนกำหนดประมาณ 2 เดือน ดังนั้น
ถ้านำไปขายก็จะได้ราคาที่สูงกว่าปกติ


การใช้ถ่านแก๊สบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูกาลนี้มีผู้ปลูกบางรายลงความเห็นว่า การใช้ถ่านแก๊สนอกจากจะสิ้นเปลืองแรงงาน
หรือต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นแล้ว ยังมีผลทำให้การเกิดหน่อของสับปะรดมีน้อยกว่าปกติหรืออาจจะไม่มีหน่อเลยและที่เห็นได้ชัดเจน
ก็คือขนาดของผลเล็กลง ทำให้หนักผลสับปะรดเฉลี่ยต่อไร่ลดลงด้วย นอกจากนี้แล้วสับปะรดที่ใช้ถ่ายแก๊สนี้จะเก็บผลไว้ได้ไม่
นาน คือ เพียง 3-5 วันเท่านั้น หากเก็บไว้นานกว่านี้สับปะรดจะไส้แตก เนื้อจะน่า รสชาติจะเปลี่ยนไป และหากมีการใช้ถ่านแก๊ส
มากเกินไปจะทำให้ยอดสับปะรดเหี่ยว ชะงักการเจริญเติบโตทำให้ต้นตายได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการ
ตั้งข้อสังเกตและลงความเห็นของเกษตรกรบางรายเท่านั้น และคิดว่าปัญหาเหล่านี้คงจะหมดไป ถ้าหากนักวิชาการเกษตรหันมา
ให้ความสนใจและหาวิธีป้องกันหรือวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป

2. เอทธิฟอน
เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยก๊าซเอทธิลีนออกมาโดยตรง เมื่อเอทธิฟอนเข้าไปในเนื้อเยื่อสับปะรดจะแตกตัว
ปล่อยเอทธิลีนออกมาเอทธิลีนจะเป็นตัวชักนำให้เกิดการสร้างตาดอกขึ้น ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมี 2 ชนิด คือ

1. ชนิดเข้มข้น มีสารออกฤทธิ์ 39.5% บรรจุในถุงพลาสติกขนาด 1 แกลลอนโดยใช้อัตรา 17-30 ซีซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บและ
ปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซีซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น)

2. ชนิดที่ผสมให้เจือจางแล้วบรรจุในขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร มีชื่อการค้าว่า อีเทรล ใช้ในอัตรา 60-120 ซีซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บ
และปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซีซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น)

ปริมาณการใช้เอทธิฟอนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดของต้นสับปะรดด้วยกล่าวคือ ถ้าหยอดในช่วงเดือนมิถุนายนถึง
ตุลาคมหรือต้นสมบูรณ์มากให้ใช้ในปริมาณมากขึ้น หรือหากจำเป็นต้องหยอดยอดในตอนกลางคืนช่วงที่มีอากาศร้อนอบด้าวให้
ใช้ปริมาณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

3. ฮอร์โมน เอ็น.เอ.เอ. หรือที่มีขายกันตามท้องตลาดในชื่อการค้าว่า แพลนโนฟอกซ์ใช้ในอัตรา 50 ซีซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร
และปุ๋ยยูเรีย 4-5 กก. หยอดไปที่ยอดสับปะรด อัตรา 60 ซีซี./ต้น สามารถบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูได้เช่นกัน


ข้อควรคำนึงในการบังคับให้สับปะรดออกดอกนอกฤดูกาล :
1. การบังคับให้สับปะรดออกดอก ควรทำใน
ตอนเข้าหรือตอนเย็น หรือในเวลากลางคืน ซึ่งจะทำให้เปอร์เซ็นต์การออกดอกมีมากขึ้น

2. เตรียมสารและผสมสารไว้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อใช้ในครั้งหนึ่ง ๆ นั้นควรผสมสารไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ตัว
ยาบางชนิดเสื่อมคุณภาพ

3. ถ้าหากฝนตกในขณะที่ทำการหยอดสารหรือภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากหยอดสาร จะต้องหยอดสารใหม่

4. ควรทำการบังคับหรือหยอดสารซ้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หยอดครั้งแรกไปแล้ว 7 วัน ทั้งนี้เพื่อให้การหยอดสารได้ผลแน่นอนขึ้น

5. หลังจากหยอดสารไปแล้ว ถ้าสับปะรดต้นไหนเป็นโรคโคนเน่าหรือไส้เน่าก็ให้ใช้ยา อาลีเอท หยอดหรือฉีดพ่นที่ต้นในอัตรา 30 ซีซี.
ต่อต้นซึ่งสามารถรักษาโรคนี้ได้ดี

6. ถ้าต้องการเร่งให้ผลสับปะรดโต ควรใช้ฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์อัตรา 50 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20
จำนวน 50 กรัม ราดหรือฉีดพ่นให้ทั่วทั้งผล ในขณะที่ผลมีขนาดเท่ากำปั้น และกระทำทุก ๆ 30-45 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขนาด
และน้ำหนักของผล ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น

7. กรณีที่ต้องการยืดอายุการเก็บเกี่ยวออกไปอีก ก็ให้ฉีดพ่นฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์ อัตรา 100 ซีซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร
และผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20 จำนวน 500 กรัม ฉีดพ่นให้ทั่วผลสับปะรดก่อนที่ผลสับปะรดจะแก่หรือสุกประมาณ 15 วัน
ทำให้ผู้ปลูกทยอยเก็บเกี่ยวผลสับปะรดได้ทันทั้งไร่ ทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดและปรับปรุงคุณภาพของสับปะรดที่เก็บเกี่ยวล่าช้านี้
ให้ดียิ่งขึ้น


http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 11:55 am    ชื่อกระทู้:

การทำส้มโอนอกฤดู .....

ส้มโอ เป็นผลไม้ในตระกูลส้มที่ทุกคนรู้จักดีและนิยมรับประทานกันอย่างกว้างขวาง จัดเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพในด้านการส่งออก
ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ส้มโอมีการปลูกกระจายทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่แหล่งปลูกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอสามพราน
และอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการปลูกส้มโอกันมาช้านานแล้วปัจจุบันส้มโอเป็นพืชที่มีความสำคัญทาง
เศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากประชาชนนิยมบริโภคกันมากขึ้นประกอบกับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เก็บไว้ได้นาน
และเป็นผลไม้ที่ตรงกับรสนิยมของชาวต่างประเทศ มีการส่งส้มโอไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ นำเงินเข้าสู่ประเทศ
เป็นจำนวนหลายล้านบาท

ส้มโอที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปนี้ปกติจะเริ่มอกดอกในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์และผลแก่สามารถเก็บผลได้ในเดือนกันยายนถึงตุลาคม
ถ้านับเวลาตั้งแต่วันออกดอกจนถึงเก็บผลได้ใช้เวลาประมาณ 8 เดือน การเก็บเกี่ยวส้มในฤดูปกตินี้เรียนกันว่า ส้มปี และอาจมีส้ม
ที่ออกนอกฤดูอีกบางส่วน ซึ่งเรียกว่า ส้มทะวาย

ส้มทะวายนี้เกิดได้ทั้งตามธรรมชาติและเกิดจากการบังคับ ส้มทะวายที่เกิดตามธรรมชาตินั้นมักจะเกิดตามแหล่งปลูกในที่ดอน
เช่น แถบภาคกลางตอนบนขึ้นไปในแหล่งดังกล่าวนี้หลังจากฝนตกในช่วงต้นฤดูไปแล้ว ฝนมักจะเกิดการทิ้งช่วง การที่ฝนทิ้งช่วง
นี้จะทำให้ส้มโอที่ปลูกอยู่เกิดการขาดน้ำ และหากมีการขาดน้ำในช่วงระยะหนึ่ง เช่นประมาณ 15-30 วัน ถ้ามีฝนตกลงมาอีกครั้ง
หนึ่งก็จะไปกระตุ้นให้ส้มโอเกิดการแทงดอกนอกฤดูทันที

ส่วนส้มทะวายที่เกิดจากการบังคับนั้น มักจะนิยมทำกับส้มโอพันธุ์ขาวพวงทั้งนี้เพราะพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ โดย
มีตลาดรับซื้อแถวประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์เพื่อนำไปใช้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งตรงกับเดือนกันยายนของทุกปี ดังนั้นชาว
สวนส้มโอจึงต้องการบังคับให้ส้มโอพันธุ์ขาวพวงออกดอกก่อนฤดูปกติ เพื่อให้ส้มโอแก่ทันก่อนตัดไปจำหน่ายต่างประเทศได้ ใน
ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์เล็กน้อย

สำหรับวิธีการบังคับให้ส้มโอออกดอกนอกฤดูกาลนี้ใช้หลักการเดียวกันกับการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกนอกฤดูกาล กล่าวคือ
ใช้วิธีงดน้ำหรือกักน้ำเป็นหลักสมมุติถ้าต้องการให้ส้มโอเก็บผลผลิตได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ต้องบังคับการใช้น้ำตั้งแต่ต้น
เดือนธันวาคมของปีก่อน เมื่อส้มโอแสดงอาการขาดน้ำโดยใบเริ่มเหี่ยวเฉา (ประมาณ 20 วันหลังจากงดให้น้ำ) ก็ให้น้ำ
อย่างเต็มที่ ประมาณต้นเดือนมกราคมส้มโอจะเริ่มแตกใบอ่อนพร้อมทั้งออกดอก ช่วงนี้ควรมีการดูรักษากันเป็นพิเศษ จนเมื่อ
ติดผลไปแล้วค่อยดูแลรักษาตามปกติเหมือนกับส้มที่ติดผลในฤดูปกติ จนครบ 8 เดือน ส้มโอก็แก่พอที่จะเก็บผลได้ซึ่งตรง
กับช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนพอดี


http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 11:06 am    ชื่อกระทู้:

การทำขนุนนอกฤดู....

- ปกติ (ในฤดู) จะออกดอกที่กิ่งใหญ่ โดยเฉพาะโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง คือ ธันวาคม-มกราคม และเมษายน-พฤษภาคม
หลังจากออกดอก 5 เดือน เก็บผลผลิตได้

- เทคนิคการทำนอกฤดู ช่วงที่ขนุนกำลังจะเริ่มออกดอก ให้ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง ให้แสงถึงโคนต้นประมาณ 30% จะทำให้
ขนุนเลื่อนเวลาการออกดอกออกไป ทำให้การเก็บผลผลิตเลื่อนตามออกไปด้วย


http://www.geocities.ws/dr_chayaporn/off22.html
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 11:03 am    ชื่อกระทู้:

การทำมะขามหวานนอกฤดู.....


- โดยธรรมชาติ ใบร่วงก่อน(ผลัดใบ) แล้วจะแตกใบใหม่ พร้อมออกดอกไล่เลี่ยกัน

- ชอบกระทบแล้ง แล้วค่อยออกดอก (ไม่เหมือนมะม่วง ที่ชอบกระทบหนาวแล้วค่อยออกดอก)

- ปกติ (ในฤดู) จะออกดอก พฤษภาคม-มิถุนายน, ติดฝัก กันยายน-ตุลาคม, ฝักแก่ ธันวาคม-มีนาคม แล้วกระทบแล้ง
ในเดือนเมษายน (1 เดือน) จะสลัดใบ พักตัว พอเข้าฤดูฝน (พฤษภาคม)ได้น้ำ ก็แตกใบใหม่ พร้อมออกดอกไล่เลี่ยกัน

- เทนิคการทำนอกฤดู ในฤดูฝน (พฤษภาคม) กักน้ำ ทำให้ใบร่วงหมด แล้วเว้นไว้ 1 เดือน (กรกฎาคม) แล้วจึงให้น้ำเต็มที่
(สิงหาคม) ก็จะออกดอกในเดือนกันยายน ติดฝักเดือนมกราคม

- ฝักแก่เดือนเมษายน-กรกฎาคม


http://www.geocities.ws/dr_chayaporn/off22.html
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:57 am    ชื่อกระทู้:

การทำน้อยหน่านอกฤดู.....

- ปกติ (ในฤดู) จะตัดแต่งกิ่ง มกราคม เก็บผลผลิตได้ มิถุนายน-กันยายน
- เทคนิคการทำนอกฤดู ให้ตัดแต่งกิ่งพฤษภาคม จะเก็บผลผลิตได้ ตุลาคม-พฤศจิกายน
- ให้ตัดแต่งเฉพาะปลายกิ่งสีเขียว
- หลังตัดแต่งกิ่ง ต้องให้น้ำ

http://www.geocities.ws/dr_chayaporn/off22.html




การทำน้อยหน่านอกฤดู.....

น้อยหน่า จัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกได้ดีพอควร ทั้งนี้เนื่องจากรูปร่าง สีสัน และรสชาติ
ตรงกับรสนิยมของผู้บริโภค และเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ แหล่งปลูกน้อยหน่าในประ
เทศที่สำคัญอยู่แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยเฉพาะอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมานั้นจัดได้ว่า
เป็นแหล่งปลูกที่ใหญ่ที่สุด ส่วนในภาคอื่น ๆ มีการปลูกน้อยหน่ากันบ้าง แต่เป็นการปลูกเพื่อใช้บริโภคภายในครัวเรือนเสีย
มากกว่า

การปลูกน้อยหน่าในปัจจุบันนี้ได้รับการพัฒนาไปมาก ทั้งทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี ใหม่ ๆ จนทำให้น้อยหน่าที่
ปลูกในระยะหลังนี้มีผลโต เนื้อมาก เมล็ดน้อย รสชาติหวานอร่อย และที่สำคัญก็คือสามารถบังคับให้น้อยหน่าออกดอกนอก
ฤดูกาลได้ด้วย ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ

การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกก่อนฤดูปกติ :
วิธีนี้เหมาะกับสวนที่มีระบบการให้น้ำดีและมีน้ำใช้ตลอดปี หากมีน้ำไม่เพียงพอหรือระบบการให้น้ำไม่ดี การบังคับให้น้อยหน่า
ออกดอกก่อนฤดูจะกระทำไม้ได้ผล วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถกำหนดช่วงการแก่และเก็บผลได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้
ผลแก่ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้อยหน่าออกมาขายในตลาดน้อยและมีราคาสูงเราสามารถกระทำ
ได้โดยปฏิบัติเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. เดือนสิงหาคม บำรุงให้ต้นน้อยหน่าสมบูรณ์โดยใส่ปุ๋ยเกรด 1 : 3 : 3 เช่นสูตร 8-24-24 พร้อมกับให้น้ำ ต่อจากนั้นก็
ปล่อยให้พักตัวประมาณ 1 เดือน

2. เดือนกันยายน ทำการตัดแต่งกิ่งทันที โดยกิ่งที่ทำการตัดแต่งนั้นควรเป็นกิ่งที่อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 1 1/2 -2 เมตร
ขนาดของกิ่งถ้าเล็กกว่า 1/2 ซม. ควรตัดออกให้หมดแต่ถ้ามีขนาดใหญ่กว่า 1/2 ซม. ให้ตัดเหลือปลายกิ่งไว้ประมาณ 15 ซม.
หากปลายกิ่งใดมีสีเขียวอยู่ก็ให้ตัดออกให้หมด เหลือเพียงกิ่งสีน้ำตาลไว้เท่านั้นและหากมีกิ่งกระโดงหรือกิ่งแขนงที่แตกใกล้
ระดับพื้นดินต้องตัดออกให้หมดเช่นกัน

3. ปลายเดือนกันยายน หลังจากทีได้ตัดแต่งกิ่งไปแล้วประมาณ 20 วัน ต้นน้อยหน่าเริ่มแตกใบอ่อนและออกดอกมา
ให้เห็น ช่วงนี้ควรมีการให้น้ำตามปกติ

4. เดือนตุลาคม ประมาณ 31-45 วันต่อมาดอกจะบาน ส่วนการให้น้ำก็ปฏิบัติเช่นเดิม

5. เดือนพฤศจิกายน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงผลให้เจริญเติบโตเต็มที่

6. เดือนธันวาคม เมื่อผลมีขนาดโตเท่าไข่ไก่ควรใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-13 เพื่อให้ผลมีคุณภาพดีขึ้น

7. เดือนกุมภาพันธ์ ผลแก่สามารถเก็บไปจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่น้อยหน่ามีราคาแพงพอดี


หากไม่ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งอาจใช้สารเคมีแทนก็ได้โดยใช้สารเคมีพวกพาราควอท (ชื่อการค้าว่า กรัมม๊อกโซน , น๊อกโซน, แพลน
โซน) ให้ใช้ในอัตราความเข้มข้น 0.05-0.1 เปอร์เซ็นต์ (ของเนื้อสาร) ในปริมาณ 41-82 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ฉีด
พ่นให้ทั่วทั้งต้น จะทำให้ใบร่วงหมดภายในเวลา 7-10 แต่การฉีดสารเคมีนี้ต้องระวังไม่ฉีดในขณะที่ต้นน้อยหน่าแตกกิ่งหรือใบ
อ่อน เพราะจะทำให้กิ่งหรือใบไหม้ได้


การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกในฤดูปกติและหลังฤดูปกติอีกบางส่วน :
การปฏิบัติเหมือนกับที่ทำในฤดูปกติ คือ จะ
ตัดแต่งกิ่งในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ และเลือกตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีผลติด ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 5 ม.ม. และจะ
ติดผลประมาณเดือนเมษายน ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคมจะทำการตัดแต่งกิ่งอีกครั้ง โดยทำการตัดปลายกิ่งออกเฉพาะช่วง
ที่มีสีเขียวและให้เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นสีน้ำตาลปนเขียว หลังจากนั้นให้รูดใบของกิ่งที่ตัดออกให้หมด กิ่งพวกนี้จะแตกใบใหม่
พร้อมกับมีดอกออกมาอีก 1 รุ่น ซึ่งร่นที่ 2 นี้จะเก็บผลขายได้ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผล
ไม้อื่นออกมามากนักเลยทำให้ขายได้ราคาสูง

การทำให้น้อยหน่าออกดอกหลังฤดูปกติอีกครั้งหนึ่งนั้น ควรมีการใส่ปุ๋ยเพิ่มเข้าไปด้วย โดยเฉพาะปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยวิทยา
ศาสตร์ เช่น ปกติใส่ปุ๋ยคอกต้นละ 1/2-1 ปี๊บ ควรเพิ่มปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 อีกต้นละ 2 กก. จะ
ช่วยให้ผลน้อยหน่ามีขนาดใหญ่และคุณภาพของผลดียิ่งขึ้น

http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:35 am    ชื่อกระทู้:

การทำ มะปราง-มะยง นอกฤดู....


ปัจจุบันยังไม่มีสารหรือฮอร์โมนชนิดใดบังคับให้ มะปราง-มะยง ออกนอกฤดูโดยตรงได้ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีบังคับ
หรือควบคุมด้วยวิธี "บำรุง" เท่านั้น



วิธีบำรุง “มะปราง-มะยง” ให้ออกนอกฤดู

เตรียมต้นในรุ่นปีปัจจุบัน
1. บำรุงต้นแบบให้มีอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี
2. ไว้ผลน้อยๆ เพื่อให้ต้นได้เหลืออาหารกลุ่มสร่งดอกบำรุงผลไว้ในต้นมากๆ
3. บำรุงระยะผลกลางจนถึงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว ทางรากด้วย 8-24-24
4. บำรุงระยะผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยวทางรากด้วย 8-24-24 และทางใบด้วย 0-21-74 + กลูโคสหรือนมสัตว์สด
5. ระหว่างเลี้ยงผลให้หมั่นตัดแต่งกิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผล ตั้งแต่เริ่มแทงออกมาเป็นยอดอ่อน
6. บริหารจัดการปัจจัยพื้นฐาน ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-ปุ๋ย-พันธุ์-โรค อย่างถูกต้องสม่ำเสมอ


วิธีทำให้ออกก่อนฤดูกาล
1. เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จให้ตัดแต่งกิ่งแล้วเรียกใบอ่อนทันทีในวันรุ่งขึ้น

2. ได้ใบอ่อนชุดแรกแล้วเริ่มบำรุงเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ทันทีที่ใบอ่อนเริ่มแผ่กางโดยบำรุงชุดละ 2 รอบ ห่างกัน
รอบละ 5-7 วัน

3. เมื่อใบอ่อนชุดแรกเป็นใบแก่แล้วเรียกใบอ่อนชุด 2 ต่อทันที

4. เมื่อใบอ่อนชุด 2 เริ่มแผ่กางให้ข้ามขั้นตอนไปเป็นบำรุงเปิดตาดอก โดย...

ทางใบ :
ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล.+ 13-0-46 (1 กก.) หรือ 13-0-46 (1 กก.) + 0-52-34 (500 กรัม) สูตรใด
สูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. กับให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.
+ สาหร่ายทะเล 50 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ช่วงเช้าแดดจัด

ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (1-1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้มูลค้างคาว 1-2 กำมือ/ต้น ด้วยการละลายน้ำราดโคนต้นทั่วบริเวณทรงพุ่ม
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน

5. เมื่อดอกออกมาแล้วให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงปกติต่อไปจนถึงเก็บเกี่ยว


หมายเหตุ :
- ช่วงเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ทุกครั้งให้เสริม “กลูโคส” หรือ “นมสัตว์สด” ร่วมด้วย
- เพื่อความมั่นใจและประกันความผิดหวังว่าต้นได้ “สะสมอาหารเพื่อการออกดอก” มากอย่างเพียงพอ เมื่อใบอ่อน
ชุด 2 เริ่มแผ่กางให้บำรุงด้วยสูตร “สะสมอาหารเพื่อการออกดอก” 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วันโดยฉีด
พ่นพอเปียกใบพร้อมกับ “งดน้ำ” เพื่อปรับ ซี/เอ็น เรโช. และหลังจากให้อาหารกลุ่มสร้างบำรุงผลครบจำนวนครั้ง
หรือต้นเริ่มแสดงอาการสมบูรณ์ชัดเจนบ้างแล้วให้เสริมด้วยการ “รมควัน” ทรงพุ่ม 2-3 รอบ รอบละ 10-15 นาที
ก็จะช่วยทำให้ต้นมีความพร้อมต่อการเปิดตาดอกมากยิ่งขึ้น
- ถ้ามะปราง-มะยงก่อนก่อนฤดูกาลปกติเพียง 1 เดือนก็ถือประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว


สรุป :
วิธีทำมะปราง-มะยงให้ออกก่อนฤดู คือ การย่นระยะเวลาปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนแต่ละขั้นตอนให้เร็วขึ้น 2-4 สัปดาห์
เท่าที่สภาพอากาศอำนวยและความพร้อมของต้นที่สามารถรับได้นั่นเอง


วิธีทำให้ออกหลังฤดูกาล
1. หลังจากเก็บเกี่ยวผลลิตเสร็จปล่อยต้นตามลำพัง 1-2 เดือน หรือเลื่อนระยะเวลา ตัดแต่งกิ่ง และ เรียกใบ
อ่อน ออกไปก่อน

2. เรียกใบอ่อน 3 ชุด แต่ละชุดเมื่อออกแล้วปล่อยให้พัฒนาเป็นใบแก่ตามปกติโดยไม่ต้องเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่

3. เมื่อใบชุด 3 (ชุดท้าย) เพสลาดให้บำรุง สะสมอาหารเพื่อการออกดอก ตามปกติแต่ให้นานขึ้นด้วยการเพิ่ม
จำนวนครั้ง จนกระทั่งได้ระยะยืดเวลาในการออกดอกตามต้องการแล้วจึงลงมือเปิดตาดอกตามปกติ


สรุป
วิธีทำมะปราง-มะยงให้ออกหลังฤดูปกติคือ การยืดช่วงระยะเวลาปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนแต่ละขั้นตอนให้นานขึ้น
2-4 สัปดาห์เท่าที่สภาพอากาศอำนวยและความพร้อมของต้นสามารถรับได้นั่นเอง



เปิดตาดอกมะยงชิด-มะปราง แบบำรุง
1. หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ ให้บำรุงเพื่อปรับปรุงสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาตามขั้นตอน "เรียกใบอ่อน" ปกติ

2. บำรุงทางใบด้วย "ฮอร์โมนน้ำดำ" (เพื่อให้ต้นได้สะสม Mg-Zn) สลับด้วย Ca.Br. เดือนละ 1 ครั้ง พร้อมกับ
ให้น้ำพอหน้าดินชื้นสม่ำเสมอ

3. ก่อนถึงฤดูกาลเปิดตาดอก 3 เดือน ช่วง 2 เดือนแรกบำรุงทางใบด้วย 0-39-39 ทุก 10 วัน ตลอดระยะ 2 เดือน
พร้อมกับให้น้ำพอหน้าดินชื้นสม่ำเสมอเพื่อเร่งใบให้แก่จัด ขั้นตอนนี้ให้สำรวจตุ่มตา ถ้าพบว่าตุ่มตามีอาการลักษณะ
พร้อมออกดอกให้งดน้ำเด็ดขาด ซึ่งขั้นตอนงดน้ำนี้น่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 วัน

4. งดน้ำกระทั่งใบสลดแล้วจึงให้น้ำโชกๆ 2-3 วันติดต่อกัน จากนั้นประมาณ 10-15 วันก็จะแทงดอกออกมาให้เห็น
การออกดอกหรือไม่ออกดอกขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น และสภาพอากาศ (อุณหภูมิ) อำนวย

หมายเหตุ :
การบำรุงต้นให้ได้สะสม Mg–Zn–Ca-B เป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จนั้น ธาตุอาหารทั้ง 3 ตัวนี้ จะ
เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ต้นมะยงชิด-มะปราง ออกดอกง่าย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยทางใบสูตรเปิดตาดอกเหมือน
ไม้ผลอื่นๆได้
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:34 am    ชื่อกระทู้:

การทำลองกองนอกฤดู.....


ทำได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าหน้าแล้งหรือว่าหน้าฝน
ก่อนอื่นเกษตรกรต้องศีกษาลองกองตั้งแต่ช่วงออกดอก เก็บเกียวผลผลิตกี่เดิอน ให้แม่นยำเสียก่อนแล้วค่อยลงมือทำลองกองนอกฤดู
ก่อนทำตัองหาตลาดและศีกษาว่าช่วงไหนน่าจะผลิตลองกองเพื่อที่จะได้ราคาในการจำหน่าย (แนะนำเพิ่มเติม ช่วงหน้าฝนควรทำมากที่สุด
เพราะผลไม้ทุกชนิดออกไม่ได้ )


เริ่มแรกก่อนที่จะลงมือทำ
เกษตรกรต้องเตรียมพื้นที่ ระบบน้ำให้พร้อม
สำหรับลองกอง ประมาณ 100-200 ต้น / แรงงาน 2 คน
วิธีการแต่งและเตรียมต้นลองกอง เลือกต้นลองกองที่สมบูรณ์ มีเทคนิค 2 วิธี แล้วแต่เกษตรกรจะเลือกใช้ ตามความเหมาะสม เมื่อเลือก
ต้นที่สมบูรณ์ ใบแก่เต็มทีได้แล้ว ตัดแต่งต้นให้เหลือใบน้อยที่สุด หรือไม่ไห้มีใบเลยก็ได้ และ/หรือ ใช้ ไทโอยูเรีย ฉีดพ่นใบให้เหลือน้อย
ที่สุด 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร

4. ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ ใบและดอกก็จะเริ่มออก ช่วงที่ช่อดอกยาวประมาณ 5 ซ.ม. ให้แต่งเลือกที่ช่อดอกไม่สมบูรณ์ออก
ในแต่ละช่อให้เหลือไว้ประมาณ 1-2 ก้าน จนกระทั้งยาวประมาณ 10-15 ซม. ให้ดูลักษณะก้านที่สั้น และไม่สมบูรณ์ออกเหลือประมาณ 1
ก้านต่อช่อ และเว้นระยะห่างให้เหมาะสม 30 ซม.อย่างน้อยพยายามให้เหลือน้อยที่สุด ระยะนี้ต้องให้น้ำสม่ำเสมอ

5. ใส่ปุ๋ยช่วงยืดช่อดอกให้ยาว โดยใช้ปุ๋ย สูตร 46-0-0 (2-5 กก.) แล้วแต่ความเหมาะสมของต้นลองกอง

6. ปุ๋ยยาไม่ต้องใช้มาก ให้สังเกตดูว่าช่อลองกองมีหนอนหรือไม่ สำคัญเวลาใกล้จะห่อช่อลองกองถ้ามีเพลี้ยแป้ง ให้ฉีดยากันเพลี้ยก่อนแล้ว
จึงเริ่มห่อช่อลองกอง (ซึ่งจะเริ่มห่อช่อช่วงขนาดลูกประมาณผลเท่านิ้วกลาง) ใส่ปุ๋ย 13-13-21 (2.5 กก.) หรือแล้วแต่ขนาดของต้น
วัสดุที่ใช้ห่อลองกอง ทุนน้อยใช้กระสอบอาหารสัตว์ หรือถุงข้าวสารเวลาห่อใช้แม็กเย็บปากห่อ

7. เพื่อให้ลองกองที่ออกมามีคุณภาพ ผิวสวย รสชาติหวาน เกษตรกรต้องห่อช่อลองกองทุกช่อ ปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ

***** ที่สำคัญเกษตรกรต้องทำสัญลักษณ์ หรือติดเบอร์ ว่าต้นไหนผลผลิตออกมาก่อนเพื่อเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต จะได้ไม่สับสนว่าต้น
ไหนควรตัดก่อนหลัง

8 ช่วงสำคัญในการเก็บผลผลิต เกษตรกรต้องทำความเข้าใจก่อนว่าลองกองจะสุก 3 ช่วง

ช่วงแรกที่ผลสุกเหลืองจะมีรสชาดเปรี้ยวอมหวานเล็ก
ช่องที่สองผล ที่สุกจะรสชาดจืด ไม่หวาน สังเกตเปลือกจะยังแข็งอยู่
ช่วงที่สามผลจะเหลืองแก้มขาวสะอาด สังเกตเปลือกจะนิ่ม จะมีรสชาดหวาน หอมให้เกษตรกรตัดผลผลิตช่วงนี้

ข้อสำคัญคือ การแต่งช่อดอกดูกิ่งใหญ่เล็กให้เหลือน้อยที่สุด ถึงนับช่อดอกต่อกิ่ง ต่อต้นแล้วเกษตรกรจะได้ผลผลิตช่อแน่นเป็นมัด สีเหลือง
ขาวสะอาด

อยากเห็นเกษตรกรที่ทุนน้อยประสบความสำเร็จ ผลงานที่ออกมาก คือ ฝีมือของเราเอง

สวนศรีสยา

http://www.hinlotom.com/wizContent.asp?wizConID=84&txtmMenu_ID=64




ภูมิปัญญาหมอดินอาสาสงขลา บังคับลองกองออกนอกฤดูกาลได้

หมอดินอาสาสงขลา ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านร่วมกับการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพทางดิน กรมพัฒนาที่ดินลองผิดลองถูกจนสามารถ
บังคับต้นลองกอง ให้ออกผลผลิตนอกฤดูกาล ทำรายได้เพิ่มอย่างงดงาม


นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ลองกองเป็นผลไม้ยอดนิยมของไทย ที่มีรสชาติความหวานหอม และออกสู่ตลาด
ตามฤดูกาลนั้นจะมีราคาถูก เพราะผลผลิตออกมามีจำนวนมาก การที่เกษตรกรสามารถใช้ภูมิปัญญาทำการผลิตลองกองบังคับออกผล
ผลิตนอกฤดูกาลได้นั้น จึงเป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่ทำให้ราคาผลผลิตลองกองเพิ่มขึ้น ขายทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ


นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินและโฆษกกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวถึงรายละเอียดการทำสวนลองกองว่า จะเริ่มออก
ดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูแล้ง แต่การผลิตลองกอง นอกฤดูกาลนั้น ในช่วงเดือนนี้ต้องห้ามไม่ให้ลองกองออกดอก
จึงต้องมีการจัดการตัดแต่งกิ่งทรงพุ่ม ถางหญ้ารอบโคนต้น ใส่ปุ๋ยบำรุงต้น ร่วมกับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพทางดิน ของกรมพัฒนาที่ดิน


นายเล็ก พรรณศรี หมอดินอาสาประจำจังหวัดสงขลา เกษตรกรผู้ทำสวนลองกอง กล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ลองกอง
จะเริ่มออกดอก แต่การผลิตลองกองนอกฤดูกาล ในช่วงนี้ ต้องห้ามไม่ให้ลองกองออกดอก จึงต้องมีการตัดแต่งกิ่งทรงพุ่ม ตัดหญ้ารอบ
ทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ยบำรุงต้น ซึ่งหมักจาก สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 และให้น้ำทุกวัน โดยระบบสปริงเกอร์ เพื่อให้น้ำกระจายทั่วทั้งต้น และให้น้ำ
หมักชีวภาพซุปเปอร์ พด.2 ทางระบบให้น้ำ ทุกๆ 10 วัน ถึงเดือนกรกฎาคม หยุดการให้น้ำ และในเดือนสิงหาคม ลองกอง จะผลัดใบและ
เริ่มแทงยอด ให้ตัดหญ้ารอบทรงพุ่มแล้วหว่านปุ๋ยเพื่อเร่งการออกดอก หลังจากนั้น ให้เอาเศษหญ้า และใบไม้มาคลุมบริเวณรอบๆ ทรงพุ่ม
ที่หว่านปุ๋ยไว้ ให้น้ำทางระบบสปริงเกอร์ และให้น้ำหมักชีวภาพซุปเปอร์ พด.2 ทางระบบให้น้ำ ทุกๆ 3 วัน ในช่วงเดือนกันยายน ลองกองจะ
เริ่มออกดอก ให้ทำการแต่งช่อดอก โดยจุดไหน มีหลายช่อ ให้เหลือไว้เพียงช่อเดียว โดยเลือกช่อที่มีขนาดใหญ่และก้านช่อยาวที่สุดไว้
เพราะเป็นช่อที่สมบูรณ์


เมื่อดอกบานให้ตัดบริเวณปลายช่อทิ้ง เพราะหากเก็บไว้ผลบริเวณปลายจะสุกช้ากว่า ผลมีขนาดเล็ก ลองกองจะติดผลประมาณเดือนตุลาคม
ให้ทำการแต่งผล โดยการเอาผลที่อยู่บริเวณโคนช่อออก เพราะหากเก็บไว้ เมื่อผลผลิตโตขึ้นจะดันระหว่างกิ่งหลัก และช่อผล ทำให้ช่อผล
หลุดได้ และหากในช่อมีผลมากเกินไปให้เลือกเอาผลออกบ้างเพื่อให้ช่อโปร่งขึ้น เมื่อผลลองกองโตเต็มที่จะมีขนาดเท่าๆกัน หลังจากนั้น
ให้ใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงผลให้สมบูรณ์ และในเดือนพฤศจิกายน ให้ห่อผลผลิตเพื่อป้องกันการทำลายจากแมลงศัตรูพืช สามารถเก็บผลผลิตลองกอง
ได้ในเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ซึ่งในช่วงนี้ราคาจะดีกว่าขายตามฤดูกาล หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้พักต้น เพื่อเตรียมการทำลองกอง
นอกฤดูกาลต่อไป


สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 จังหวัดสงขลา
โทร. 074-333-213 หรือ 074-333-163

นายณัฐรินทร์ วงษ์ครุธ : รายงาน
(นางตุลญา จงสกุล)
เลขานุการกรม รักษาราชการแทนหัวหน้าฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

http://ofs101.ldd.go.th/webprs/adminofs_5/ofsnews/report_empnews01.asp?ensid=00012/2553
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:33 am    ชื่อกระทู้:

การทำส้มเขียวหวานนอกฤดู....


ส้มเขีคยวหวานนอกฤดู :
สรุปว่า ถ้าต้องการทำส้มนอกฤดูให้ได้ ณ วันนี้ต้องทำให้ได้ใบส้มชุดที่สำคัญที่สุดก่อนฝนให้ได้ คือ

ช่วงเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม และต้องบังคับให้ออกดอกโดยกักน้ำ เว้นน้ำ ถ้าเป็นต้นส้มที่เริ่มให้ผลผลิต 2 ปีขึ้นไป
ให้เริ่มสอนดอกจะทำให้ได้ดอกส้มออกเป็นรุ่น

กล่าวคือ ต้องจัดการกับการเจริญเติบโตของต้นส้มให้รู้จักแตกยอดอ่อนและมีดอกติดที่ปลายยอดบ้างประปราย

ทั้งนี้การสอนดอกในปีที่ 2 จะมีโอกาสได้ดอกออกเป็นชุดในปีที่ 3

นอกจากนี้การจัดการเรื่องโรคและแมลงก็ง่ายขึ้น เพราะการใช้สารกำจัดศัตรูพืชจะเป็นชุด ไม่ต้องใช้หลายชนิดพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตามการผลิตส้มนอกฤดูอาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤติส้มที่ล้นตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
ในอนาคต

เนื่องจากเป็นเทคนิคที่สามารถบังคับให้ผลผลิตส้มออกในช่วงไหนก็ได้ตามความเหมาะสมของสภาพดินฟ้าอากาศของ
แต่ละพื้นที่

ดังนั้นหน้าที่ที่ชาวสวนจะต้องเรียนรู้ต่อไป คือ จะวางแผนการผลิตออกมาในช่วงไหนดี เพื่อไม่ให้ผลผลิตออกมาพร้อมๆ กัน
อีก ซึ่งก็หนีไม่พ้นการรวมกลุ่มที่เหนียวแน่นนั่นเอง หากการรวมกลุ่มประสบความสำเร็จอนาคตของส้มก็คงไม่น่าเป็น
ห่วงมากนัก


สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย

http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/index.php?option=com_content&view=article&id=26:2009-07-20-07-52-02&catid=1:2009-07-16-05-16-29




การบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกนอกฤดู

นิยมทำกับสวนที่ปลูกแบบยกร่องเพราะสามารถทำได้ง่ายกล่าวคือ ถ้าต้องการจะให้ผลส้มแก่ในช่วงไหนก็ต้องนับย้อนหลัง
ไปประมาณ 10 เดือน แล้วเริ่มทำการงดให้น้ำ (การงดน้ำนี้จะเป็นกระตุ้นให้ต้นส้มมีการสะสมสารประกอบประเภทแป้งและ
น้ำตาลภายในต้นให้สูงขึ้นจนทำให้อัตราส่วนระหว่างแป้งและน้ำตาลเปลี่ยนไปในลักษณะที่มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าเดิมซึ่งใน
ลักษณะเช่นนี้จะเป็นปัจจัยทำให้ส้มเขียวหวานสามารถออกดอกได้) ในขณะที่ทำการงดน้ำนั้นจะต้องสังเกตว่าส้มเขียว
หวานไม่มีใบอ่อน หากมีใบอ่อนจำเป็นจะต้องใส่ปุ๋ยเร่งใบเพื่อให้มีใบแก่ตลอดทั้งต้น ปุ๋ยที่ใช้เร่งใบได้แก่ปุ๋ยสูตร 1:3:3
เช่น สูตร 8-24-24 และเมื่อใบแก่แล้วจึงค่อยทำการงดน้ำต่อไป สำหรับเหตุผลที่ไม่ทำการงดน้ำในช่วงที่ส้มยังมีใบอ่อน
ก็คือ จะทำให้ต้นโทรมมากและระบบรากก็จะเสียไป ทั้งนี้เพราะรากจะต้องดูดน้ำและธาตุอาหารอย่างมากเพื่อเลี้ยงใบอ่อน
ที่กำลังเจริญเติบโต

วิธีการงดน้ำที่ชาวสวนกระทำกันทั่วไป ๆ ไปนั้น โดยการสูบน้ำออกจากร่องสวนให้หมด ต่อมาอีกประมาณ 15-20 วัน จะ
เห็นส้มแสดงอาการขาดน้ำโดยใบจะเริ่มห่อเข้าหากัน ต่อจากนั้นควรให้น้ำอย่างเต็มที่ โดยปล่อยน้ำเข้าท่วมแปลงจนถึงโคน
ต้นประมาณ 10-20 เซนติเมตร แล้วจึงลดระดับน้ำลงอยู่ในระดับปกติเหมือนกับระดับก่อนที่จะทำการงดน้ำ แต่ถ้าเป็น
ส้มเขียวหวานที่มีใบแก่แต่ยังไม่มีการใส่ปุ๋ยเร่งใบมาก่อน พอถึงช่วยนี้ควรให้น้ำอย่างเต็มที่โดยการรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้น
ประมาณ 7 วันจะเริ่มมีการแทงตาดอกออกมาให้เห็น เมื่อมีดอกออกมาแล้วก็ให้น้ำตามปกติประมาณ 30 วันต่อมาดอก
จะบานและมีการติดผลในช่วงนี้ควรมีการฉีดยาป้องกันกำจัดแมลงศัตรูด้วย และเมื่อผลโตได้ขนาดเท่าหัวแม่มือให้ใส่ปุ๋ย
เกรด 1:1:1 เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-16 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงผลให้มีการเจริญอย่างเต็มที่ จนเมื่อส้มเขียวหวานมีอายุ
ผลได้ประมาณ 5 เดือนควรใส่ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังสูง เช่น สูตร 13-13-21 เพื่อทำให้คุณภาพของส้มดีขึ้น และเป็นการ
เพิ่มความหวานให้กับผลส้มด้วย และก่อนเก็บเกี่ยวผลประมาณ 10 วันควรหยุดการให้น้ำเพื่อให้ผลส้มมีรสชาติเข้มข้น เนื้อ
จะไม่ฉ่ำน้ำและสามารถเก็บรักษาผลส้มไว้ได้นานกว่าแบบที่ไม่งดน้ำในช่วงนี้

จะเห็นได้ว่าการบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกและติดผลนอกฤดูโดยวิธีการกักน้ำนี้ เป็นการกระทำที่ง่ายไม่ยุ่งยากซับ
ซ้อนและมีผลดีคือสามารถกำหนดวันที่จะจำหน่ายผลผลิตได้แน่นอน และผลผลิตที่ได้จะออกมาพร้อมกันและมีปริมาณ
มากในครั้งหนึ่ง ๆ ซึ่งทำให้สะดวกในการขายผลผลิต แต่อย่างไรก็ตามการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกและติดผล
นอกฤดูโดยวิธีการกัดน้ำนี้ย่อมจะมีข้อเสียอยู่บ้าง กล่าวคือจะทำให้ต้นส้มโทรมเร็วกว่าการปล่อยให้ออกดอกติดผล
ตามฤดูปกติ แต่เมื่อคำนึงถึงรายได้และราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ ย่อมคุ้มค่ากับการที่ท่านจะยอมเสี่ยงมิใช่หรือ

http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:31 am    ชื่อกระทู้:

การทำชมพู่นอกฤดู.....


ฤดูกาลออกดอกและติดผลของชมพู่
หลังจากเก็บเกี่ยวและตัดแต่งต้นชมพู่แล้ว ต้นชมพู่จะสะสมอาหารไว้ที่ต้นและใบเมื่อมีอาหารเพียงพอและสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสม
ชมพู่ที่จะออกดอกออกผลโดยมีช่วงที่ออกดอกดังนี้ ออกดอกเดือนตุลาคม รุ่นนี้ออกดอกไม่มากนักจะเก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนธันวาคม
ส่วนใหญ่ราคาจะดี ออกดอกเดือนพฤศจิกายน รุ่นนี้จะออกดอกทะยอยต่อจากรุ่นเดือนตุลาคม ออกดอกค่อนข้างมากจะสามารถเก็บ
เกี่ยวผลได้ในเดือนมากราคม ราคาไม่ค่อยดีนัก ออกดอกเดือนธันวาคม รุ่นนี้ออกดอกมากที่สุด จะเก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนกุมภาพันธ์
ส่วนใหญ่ราคาไม่ค่อยดี เพราะจะมีผลไม้ชนิดอื่นออกมาสู่ตลาดมาก เช่น มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด และอื่น ๆ นอกจากนี้ชมพู่ยังสามารถ
ออกดอกทะยอยได้ทั้งปีลำต้นมีความสมบูรณ์เพียงพอ แต่ดอกไม่ค่อยมาก อาจจะไม่คุ้มกับการลงทุนถ้าเกษตรกรไม่ต้องการก็ควรใช้ฮอร์โมน
NAA เช่น เพลนโนฟิกซ์ฉีดพ่นอัตรา 20 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร พ่นที่ดอกจะทำให้ดอกที่เราไม่ต้องการร่วงได้




การบังคับให้ออกนอกฤดู
ปกติชมพู่เป็นไม้ผลที่ออกทะวายอยู่แล้ว แต่ปริมาณไม่มากนัก ไม่คุ้มกับการลงทุน นักวิชาการต่าง ๆ จึงหาวิธีทำให้ออกนอกฤดูเพื่อหลีก
เลี่ยงการออกในฤดู ซึ่งจากการติดผลทางวิชาการยังไม่มีวิธีที่ได้ผลดีนัก นอกจากบำรุงต้นให้สมบูรณ์เต็มที่ โดยการใส่ปุ๋ยทั้งทางพื้นดิน
และให้ปุ๋ยทางใบพร้อมกับการตัดแต่งกิ่ง

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=orchids-and-fern&group=1&month=10-2007&date=10






การใช้สารเคมีบังคับชมพู่ออกนอกฤดู

สำหรับการใช้สารเคมี กฤษฎา ทัสนารมย์ (2537) รายงานว่า มีการทดลองใช้สารพาโคลบิวทราโซล กับชมพู่พันธุ์ทูลเกล้าอายุ 3 ปี
โดยใช้สารเข้มข่น 1, 2 และ 4 กรัม ของสารออกฤทธิ์ และพ่นทางใบระดับความเข้มข้น 0.5, 1.0 และ 2 ซีซี./ น้ำ 20 ลิตร ที่ใบ
มีอายุ 40-90 วันหลังการตัดแต่งกิ่ง ทำให้ดอกในช่วง 60 วัน หลังให้สาร โดยระดับความเข้มข้น 4 กรัม/ต้น โดยราดลงดิน 2 ซีซี.
/น้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทางใบให้ดอกสูงกว่าความเข้มข้นระดับอื่น ๆ


ในชมพู่เพชร ประทีป กุณาศล ได้ทำการทดลองใช้สารพาโคลบิวทราโซล กับชมพู่เพชรอายุ 7 ปีขึ้นไป และ 2-4 ปี โดยใช้สารจำนวน
30 ซีซี. ผสมน้ำ 2 ลิตร กับทรงพุ่มที่มีขนาดผ่าศูนย์กลาง 2-3 เมตร โดยราดสารในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ชมพู่แทงช่อในเดือน
สิงหาคม - ตุลาคม ซึ่งต้นที่ได้รับสารจะออกดอก 90% ขณะที่ต้นที่ไม่ได้รับสาร ออกเพียง 5% ชมพู่ไม่แสดงอาการผิดปกติ ยกเว้น
ข้อใบสั้นลงเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังให้สารแก่ต้นชมพู่แล้วประมาณ 1 เดือน ควรให้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูงได้แก่ 12-24-12 ,
8-24-24 หรือ 9-24-24 เพื่อให้ต้นชมพู่เตรียมพร้อมในการสร้างตาดอก ซึ่งอาจจะทำให้ชมพู่สามารถออกดอกได้มากยิ่งขึ้น

http://www.google.co.th/url?q=http://www.moac-info.net/modules/links/upload_doc/11_p2_484_%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%2590%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3.doc&sa=U&ei=Fl-5Tf72KM7prQfZ-ZDdBA&ved=0CBIQFjADOBQ&usg=AFQjCNGoA9dBZRwAclgIgIwJzymamy1rfg




ชมพู่;
พาโคลบิวทราโซล; พันธุ์เพชรทูลเกล้า; การผลิตนอกฤดู; สารควบคุมการเจริญเติบโต; ความเข้มข้น; วิธีการให้สาร; ระยะเวลา;
การออกดอก; คุณภาพ; ผลผลิต

บทคัดย่อ :
การให้สาร paclobutrazol กับชมพู่พันธุ์เพชรทูลเกล้า อายุประมาณ 3 ปี โดยการราดลงดินที่ระดับความเข้มข้น 0, 1, 2 และ 4
g.ai ต่อต้น และการฉีดพ่นทางใบที่ระดับความเข้มข้น 0, 500, 1,000 และ 2,000 ppm เมื่อใบมีอายุ 40 และ 90 วันหลัง
การตัดแต่ง เพื่อส่งเสริมการออกดอกนอกฤดู

โดยทำการทดลองระหว่างเดือน กรกฎาคม 2535 ถึงเดือนตุลาคม 2536 ที่ สวนเอกชน อ.สามพราน จ.นครปฐม พบว่า ....

ต้นชมพู่ที่ได้รับสาร paclobutrazol สามารถออกดอกและให้ผลผลิตได้ในช่วงนอกฤดู คือ ในระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ธันวาคม
ในขณะที่ต้นไม่ได้รับสารจะไปออกดอกและให้ผลผลิตในช่วงในฤดู คือ ระหว่างเดือนมกราคม ถึง พฤษภาคม

โดยการให้สารขณะที่ใบมีอายุ 40 วัน หลังการตัดแต่ง จะชักนำให้ต้นชมพู่มีการออกดอกเริ่มต้นดีกว่าการให้สารขณะใบมีอายุ 90 วัน

การให้สารโดยวิธีราดลงดิน จะสามารถชักนำให้ต้นชมพู่มีปริมาณดอกเริ่มต้นมากกว่าการฉีดพ่นทางใบ และสารที่ระดับความเข้มข้นสูง
ทั้งการราดลงดิน และการฉีดพ่นทางใบ จะสามารถชักนำให้ต้นชมพู่มีปริมาณดอกเริ่มต้นมากกว่าต้นที่ได้รับสารในความเข้มข้นที่ต่ำกว่า
และพบว่าผลชมพู่ที่เก็บเกี่ยวได้จากต้นที่ได้รับสาร paclobutrazol จากทุกการทดลอง มีคุณภาพที่ไม่แตกต่างกัน



http://pikul.lib.ku.ac.th/cgi-bin/agdb1.exe?rec_id=043693&database=agdb1&search_type=link&table=mona&back_path=/agdb1/mona&lang=thai&format_name=TFMON
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:27 am    ชื่อกระทู้:

การทำกระท้อนนอกฤดู....


ปัจจุบันยังไม่มีสารหรือฮอร์โมนใดๆ บังคับกระท้อนให้ออกนอกฤดูได้ และไม่มีกระท้อนทะวาย (ให้ผลปีละ 2รุ่น) ดังนั้นการที่จะบังคับ
กระท้อนให้ออกนอกฤดูกาลปกติ (ก่อน/หลัง) ได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีบังคับโดยการบำรุงอย่างเต็มที่เท่านั้น


บังคับกระท้อนให้ออกก่อนฤดู :
เลือกกระท้อนสายพันธุ์เบา (ทับทิม) ที่มีผลผลิตแก่เก็บเกี่ยวได้ช่วงต้นเดือน พ.ค. มาทำกระท้อนให้ออกก่อนฤดู โดยบำรุงผลแก่ก่อนเก็บ
เกี่ยวรุ่นปีการผลิตปีนี้ทางรากด้วย 8-24-24 กับบำรุงทางใบด้วย 0-21-74 และเมื่อถึงปลายเดือน พ.ค.ให้เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตบนต้นให้
หมดแบบ ล้างต้น แล้วลงมือบำรุงตามขั้นตอน ดังนี้


ช่วงเดือน พ.ค.- ก.ค. (เตรียมต้น)
หลังจากเก็บเกี่ยวผลสุดท้ายจากต้นไปแล้วเริ่มบำรุงเพื่อ เตรียมความพร้อมของต้น โดยตัดแต่งกิ่ง ปรับสภาพทรงพุ่มให้โปร่ง เรียกใบ
อ่อนให้ได้ 1-2 ชุด เมื่อใบอ่อนออกมาแล้วให้เร่ง บำรุงใบอ่อนให้เป็นใบแก่โดยเร็ว ส่วนทางรากใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ยิบซั่มธรรมชาติ
กระดูกป่น ตามปกติระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค.-มิ.ย.-ก.ค.) ต่อการเรียกใบอ่อน 3 ชุดนั้น จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อต้นมีความ
สมบูรณ์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะมาตรการบำรุงต้นให้มีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องมาแล้วหลายๆปีติดต่อกัน

หมายเหตุ :
ต้นที่ผ่านการบำรุงแบบให้มีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องมานานหลายๆปีและในรุ่นปีการผลิตที่ผ่านมาไว้ผลน้อยแต่บำรุงเต็มที่
เมื่อถึงรุ่นปีการผลิตใหม่ให้เรียกใบอ่อนเพียง 1 ชุด แล้วสะสมอาหารเพื่อการออกดอกต่อได้เลย ทั้งนี้เพื่อย่นระยะเวลาให้เร็วขึ้น

ช่วงต้น ส.ค.- กลาง ก.ย. (สะสมอาหารเพื่อการออกดอก)
หลังจากใบอ่อนชุดสุดท้ายที่ต้องการเพสลาดแล้ว ให้
ลงมือบำรุงทางใบด้วยสูตร สะสมอาหาร เพื่อการออกดอก 2-3 สูตร ระยะการให้ห่างกันสูตรละ 5-7 วัน และบำรุงทางรากอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเร่งให้ต้นได้สะสมทั้งอาหารกลุ่มสร้างดอกบำรุงผล (ซี) และกลุ่มสร้างใบบำรุงต้น (เอ็น) ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ช่วงปลายเดือน ก.ย.(ปรับ ซี/เอ็น เรโช)
ปรับ ซี/เอ็น เรโช. โดยทางรากให้เปิดหน้าดินโคนต้น งดน้ำเด็ดขาด ส่วนทางใบให้สารอาหารสูตรสะสมตาดอกเหมือนเดิมแต่ให้พอเปียก
ใบ ระวังอย่าให้น้ำหยดลงพื้นเพราะจะทำให้มาตรการงดน้ำล้มเหลว พร้อมกันนั้นให้เสริมด้วยการ รมควัน ทุก 2-3 วันช่วงหลังค่ำ ครั้งละ
10-15 นาที เพื่อเร่งให้ใบสลดแล้ว "เหลือง-แห้ง-ร่วง" เร็วขึ้น


ช่วงต้น ต.ค. (เปิดตาดอก)
เปิดตาดอกด้วย “13-0-46” หรือ “0-52-34” หรือ
“13-0-46 + 0-52-34” สูตรใดสูตรหนึ่งสลับกับฮอร์โมนไข่ อย่างละ 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน

หมายเหตุ :
- กระท้อนก่อนฤดูออกสู่ตลาดพร้อมกับทุเรียน เงาะ มังคุด อาจไม่ได้ราคาดี แต่ถ้าเป็นกระท้อนคุณภาพเกรด เอ. ขนาดจัมโบ้ ก็พอสู้ได้

- ต้นที่สมบูรณ์เต็มที่เพราะได้รับการปฏิบัติบำรุงแบบมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องหลายปี สามารถออกดอกได้เอง (ทั้งพันธุ์เบา
และพันธุ์หนัก) โดยไม่ต้องเปิดตาดอกในช่วงเดือน ธ.ค.- ม.ค. จากนั้นก็จะทยอยออกมาเรื่อยๆกลายเป็นไม่มีรุ่น

- กระท้อนปีออกดอกในช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ. ดังนั้นการทำกระท้อนก่อนฤดูจึงต้องทำให้ออกดอกก่อนช่วงเดือนดังกล่าว ด้วยการ
เตรียมความพร้อมต้นตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 (เรียกใบอ่อน) ทันทีหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตรุ่นปีที่ผ่านมา ควบคู่กับเร่งระยะเวลาการบำรุงตาม
ขั้นตอนต่างๆให้เร็วขึ้นด้วย

- เตรียมต้นที่จะทำให้ออกก่อนฤดูด้วยการเว้นการออกดอกติดผลในรุ่นปีการผลิตนี้ แล้วบำรุงต้นไว้อย่างต่อเนื่องเพื่อรอโอกาส หรือไว้
ผลในต้นให้เหลือน้อยๆเพื่อไม่ให้ต้นโทรม จะช่วยให้การทำให้ออกก่อนฤดูในรุ่นปีการผลิตต่อไปง่ายและแน่นอนยิ่งขึ้น

- เนื่องจากธรรมชาติของกระท้อนออกดอกจากกิ่งแก่อายุข้ามปี ระหว่างที่มีผลอยู่บนต้นนั้นถ้ามีกิ่งที่ไม่ออกดอกติดผลมากกว่ากิ่ง
ที่ออกดอกติดผล ให้เตรียมการบำรุงกิ่งที่ไม่ออกดอกติดผลนั้นให้ออกดอกแล้วทำเป็นกระท้อนก่อนฤดู โดยหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
แล้วให้บำรุงด้วยสูตร “สะสมอาหาร” ทั้งทางรากและทางใบต่อได้เลย ซึ่งขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอกนี้อาจต้องใช้ระยะ
เวลานาน 3-4 เดือน แต่ถ้าประสบความสำเร็จก็ถือว่าคุ้ม

- ไม้ผลที่ผ่านการบำรุงมาอย่างดีแล้วต้องกระทบหนาวจึงออกดอกดีนั้น ช่วงขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอก ถ้ามีการให้
“นมสัตว์สดหรือกลูโคส + 0-52-34 หรือ 0-42-56 + สังกะสี” ฉีดพ่นพอเปียกใบ ช่วงเช้าแดดจัด 1-2 รอบ ให้รอบแรกเมื่อเริ่ม
ลงมือบำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอก จากนั้น อีก 20 วัน ให้อีกเป็นรอบ 2 ก็จะช่วยให้ต้นเกิดอาการอั้นตาดอกและส่งผลให้เปิด
ตาดอกแล้วมีดอกออกมาดีอีกด้วย



บังคับกระท้อนให้ออกหลังฤดู
เลือกกระท้อนพันธุ์อีล่า เพราะมีนิสัยออกดอกและเก็บเกี่ยวได้ช้ากว่าสายพันธุ์อื่นโดยทำให้อีล่าออกช้ากว่าอีล่าด้วยกัน เพื่อบังคับ
ให้เป็น อีล่า-ล่าฤดู หรือบังคับกระท้อนพันธุ์นิยมด้วยการยืดระยะเวลาในการบำรุงแต่ละระยะตามขั้นตอนให้นานขึ้นก็ได้ ดังนี้

1. เรียกใบอ่อนให้ครบทั้ง 3 ชุด เมื่อได้แต่ละชุดมาแล้วไม่ต้องเร่งให้เป็นใบแก่แต่ปล่อยให้แก่เองตามธรรมชาติเพื่อยืดระยะเวลา

2. ยืดเวลาขั้นตอนสะสมอาหารเพื่อการออกดอกให้นานขึ้นด้วยสูตรสะสมอาหาร (ธาตุรอง/ธาตุเสริม/นมสัตว์สด) ไปเรื่อยๆโดย
ยังไม่ปรับ ซี/เอ็น เรโช. (งดน้ำ) แม้ว่าต้นจะพร้อมแล้วก็ตาม จนกว่าจะได้ระยะเวลาที่ต้องการจึงลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช. แล้ว
เปิดตาดอก

3. เมื่อดอกออกมาแล้วให้บำรุงไปตามปกติเพราะไม่สามารถยืดอายุดอกให้นานขึ้นได้

4. บำรุงผลเล็กตามปกติ

5. บำรุงระยะผลขนาดกลางด้วย สูตรบำรุงผลให้แก่ช้า จนกระทั่งได้เวลาเก็บเกี่ยวตามต้องการจึงเปลี่ยนมาบำรุงด้วยสูตรบำรุงผล
แก่ใกล้เก็บเกี่ยวตามปกติ

หมายเหตุ :
ในเมื่อกระท้อนปีออกดอกในช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ. ดังนั้นการทำกระท้อนล่าฤดูจึงต้องทำให้ออกดอกหลังช่วงเดือนดังกล่าวให้นาน
ที่สุดเท่าที่สภาพภูมิอากาศและสภาพต้นอำนวย แล้วปฏิบัติบำรุงตั้งแต่ขั้นตอนแรก (เรียกใบอ่อน) จนถึงขั้นตอนสุดท้าย (บำรุงผล
แก่) แบบยืดเวลาให้นานขึ้น
kimzagass
ตอบตอบ: 17/04/2011 10:27 am    ชื่อกระทู้:

การทำฝรั่งนอกฤดู.....





โดยทั่วไปฝรั่งจะให้ผลเร็วถ้าเป็นฝรั่งที่ได้จากกิ่งตอน จะให้เก็บผลครั้งแรกเมื่ออายุได้ประมาณ 1 ปี หรือถ้าเป็นต้นที่ได้จากการเพาะ
เมล็ดจะเก็บผลได้ช้ากว่า คือ เมื่ออายุ 1 -2 ปี แล้วแต่สายพันธุ์ฝรั่งจะออกดอกในส่วนยอดที่เกิดใหม่ ตรงโคนก้านใบคู่ที่ 3-4 บน
กิ่งอ่อน กิ่งหนึ่งมีดอก 1-6 ดอก แล้วแต่พันธุ์ ดอกเป็นชนิดที่สมบูรณ์เพศ ทำให้ติดผลง่าย ดังนั้น ถ้าปลูกฝรั่งแล้วไม่ค่อยออกดอก
ออกผล อาจจะใช้การบังคับให้ฝรั่งออกดอก โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1. การโน้มกิ่ง ฝรั่งมีช่อดอกที่กิ่งอ่อน ดังนั้น การทำให้เกิดกิ่งอ่อนก็จะชักนำให้เกิดตาดอกได้ การโน้มกิ่งฝรั่งให้อยู่ในแนวระดับแล้ว
ใช้ไม้รวกยึดปักไว้ เร่งใส่ปุ๋ย รดน้ำ ฝรั่งก็จะแตกกิ่งจากกิ่งที่โน้มพร้อมทั้งมีช่อดอกออกมาด้วย

2. การตัดแต่งกิ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าตาดอกจะเกิดจากกิ่งอ่อน ดังนั้น การตัดแต่งจะทำให้เกิดการแตกกิ่งอ่อนและช่อดอกได้
กิ่งที่จะตัดแต่ง คือ กิ่งที่อ่อนแอ กิ่งที่เป็นโรคและกิ่งที่ไม่ได้รับแสง

3. การทำให้ใบร่วง โดยใช้ปุ๋ยพวกยูเรียหรือสารเคมีละลายน้ำให้เข้มข้น 25% พ่นให้ทั่วทั้งต้น เพื่อให้ใบฝรั่งร่วงหมด ระยะนี้จะต้อง
ให้น้ำและปุ๋ยบำรุงต้น หลังจากนั้นประมาณ 5 สัปดาห์ จะเห็นช่อดอกเจริญออกมาพร้อมกิ่งอ่อนที่แตกขึ้นใหม่และจะเก็บเกี่ยวผล
ผลิตได้ในอีก 5 เดือนต่อมา

4. การเด็ดยอดฝรั่ง โดยนับใบจากปลายกิ่งเข้าไปถึงใบคู่ที่ 4 แล้วจึงเด็ดยอดทิ้ง จากนั้นไม่กี่วันฝรั่งก็จะแทงดอกออกมา

อนึ่ง การบังคับให้ฝรั่งออกดอกนั้นทำได้ไม่ยากนัก ถ้าต้นฝรั่งสมบูรณ์แข็งแรง และปลูกในที่ ๆ มีแสงแดดเพียงพอ แต่ควรคำนึงด้วย
ว่าการให้ฝรั่งมีผลมากผลก็จะเล็กลง ดังนั้น จึงต้องให้ปุ๋ยและน้ำแก่ต้นฝรั่งที่บังคับการออกดอกให้มากกว่าปกติ การบังคับให้ฝรั่งออกดอก
จนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ใช้เวลาประมาณ 9 เดือน คือ ใช้เวลาในการบังคับให้ฝรั่งออกดอกจนกระทั่งติดผล 7 เดือน และมีช่วง
เก็บเกี่ยวผลอีก 2 เดือน


http://www.doae.go.th/library/html/detail/guava/guava8.htm




วิธีบังคับให้ฝรั่งไทยออกดอก

โดยส่วนใหญ่ฝรั่งทุกชนิดจะออกดอกได้ง่ายหลังจากมีการตัดแต่งกิ่ง 4–6 สัปดาห์ แต่สำหรับเกษตรกรที่ปลูกฝรั่งเพื่อเก็บ
ผลขาย การตัดแต่งกิ่งครั้งแต่เป็นการตัดแต่งกิ่งเพื่อทำให้ฝรั่งแตกกิ่งก้านใหม่เป็นพุ่มสวยงาม จึงต้องเด็ดดอกทิ้งหลังตัดแต่งกิ่ง
ครั้งแรก พอมีดอกในชุดต่อไปจึงปล่อยให้ติดเป็นผล จะทำให้มีผลสมบูรณ์โดยมีข้อกำหนดไว้ว่า หลังปลูก “ฝรั่งไทย” 1 ปี
ไปแล้ว จึงควรปล่อยให้ติดผล

ซึ่งการบังคับให้ “ฝรั่งไทย” มีดอกใช้วิธีงดให้น้ำจนใบเหี่ยว แล้วจึงให้น้ำและใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 เพื่อกระตุ้นให้ต้นเกิด
อาการสะดุ้งแตกยอด และออกดอกใหม่ จากนั้นใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพิ่มความหวานเมื่อ “ฝรั่งไทย” ติดผลได้ 1 เดือน
ผลโตเท่าผลมะนาว ให้ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และสวมทับด้วยถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นฝรั่งมีอายุได้ 100–150 วัน
จะเริ่มแก่พร้อมที่จะเก็บรับประทานหรือเก็บขายได้


www.moac-info.net/modules/news/images/35_1_34018_ฝรั่งไทย.doc
kimzagass
ตอบตอบ: 15/04/2011 10:44 pm    ชื่อกระทู้:




โดย ...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รวี เสรฐภักดี



ในช่วงระยะเวลานับสิบปีที่ผ่านมา การตลาดของมะนาวในประเทศไทยยังมีรูปลักษณ์ ที่มิได้มีการ เปลี่ยนแปลง ไปจากเดิมแต่อย่างใด
โดยจะพบว่ามะนาวมีผลผลิตที่ออกสู่ตลาด เป็นจำนวนมาก ในช่วง ระหว่างเดือน พฤษภาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน เมื่อปริมาณของผลมะนาว
ที่ผลิตได้มีจำนวนมากจึงทำให้ราคา ที่เกษตรกรจำหน่ายได้ตกต่ำลงอย่างมากจนเกือบไม่มีราคา ในทางตรงข้ามราคาของ ผลมะนาว เริ่ม
ขยับสูงขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไปและมีราคาสูงที่สุด ในช่วง ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายนอันเรียกกันทั่วไปว่า "มะนาวหน้าแล้ง"
ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ แน่นอนว่า เมื่อผลิตผลของมะนาวที่เข้าสู่ตลาดมีปริมาณน้อยถึงน้อยมาก ส่งผลให้ราคามะนาวที่ เกษตรกรจำหน่ายได้
มีราคาสูงมากขึ้นหลายสิบเท่าตัว วงจรดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ติดต่อกัน มาทุกปีจากอดีตถึงปัจจุบันโดยยังไม่สามารถที่จะแก้ไข
ปัญหาได้

เกษตรกรและนักวิชาการจำนวนมากได้พยายามศึกษาค้นคว้าและทดลองโดยกรรมวิธีต่างๆ ในอันที่จะให้ได้มาซึ่งวิธีการของ การผลิต
มะนาวนอกฤดู อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีข้อมูลใดที่สัมฤทธิผลอย่างเต็มที่ เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากการรวบรวมข้อมูล จากผลการทดลอง
ต่างๆ หลายเรื่องร่วมกับหลักการสำคัญทางสรีรวิทยา และประสบการณ์ที่ได้ศึกษามา โดยนำมาประกอบกันขึ้น เป็นข้อมูล สังเคราะห์ที่ต่อ
เนื่องระหว่างผลของการศึกษาต่างๆ ในอันที่จะหาวิธีการผลิตมะนาวนอกฤดูอย่างเป็นระบบต่อไป เพื่อให้ได ้ประสิทธิผลสูงสุดตามวัตถุประสงค์
อนึ่ง ใคร่ขอย้ำเตือนในที่นี้ว่า การผลิตมะนาวนอกฤดูให้ประสบผลสำเร็จนั้น ไม่มีสูตร สำเร็จรูป ทั้งนี้ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติ ของต้นมะนาวเ
ป็นอย่างดีเสียก่อนรวมทั้งมีการจัดการด้านเขตกรรมต่างๆ อย่างถูกต้อง โดยนำสิ่ง เหล่านี้มาประกอบเข้าด้วยกันจึงจะสัมฤทธิผลได้ โดยขอ
ลำดับสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้








ในรอบ 1 ปี ต้นมะนาวที่ออกตามฤดูกาลนั้นสามารถให้ผลผลิตได้ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก (วงจรที่ 2) ต้นมะนาว มีการออกดอก ในช่วงระหว่าง
เดือนสิงหาคม - กันยายน อายุของผลมะนาวที่นำมาใช้ประโยชน์จากน้ำคั้นได้นับตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวอยู่ระหว่าง ประมาณ 4.5 ถึง
5.5 เดือน โดยในระยะเริ่มแรกเมื่อเปลือกเริ่มบางลง ซึ่งตรงกับระยะที่ผล มีขนาดโตพอที่เก็บเกี่ยวได้ แล้วเมื่อประมาณ 4.5 เดือน และเริ่ม
เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง เมื่ออายุ 5 เดือน และเหลืองสดในระยะสุดท้ายก่อนร่วงหล่นไป ดังนั้น ผลมะนาวจึงมีช่วงอายุการเก็บเกี่ยวที่ยืดหยุ่น
บนต้นได้ประมาณ 1 เดือน โดยทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคมีความต้องการผลมะนาว ที่เป็น สีเขียวมากกว่าสีเหลือง อย่างไรก็ตาม หากเป็นช่วงฤดู
หนาวในระหว่างเดือนธันวาคมหรือมกราคมนั้น อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทำให้ ผลมะนาว มีการเปลี่ยนแปลงสีที่รวดเร็วมาก จึงทำให้ผลสุกและร่วงได้เร็ว
ยิ่งขึ้น ต้นมะนาว มีดอกชุดสุดท้ายประมาณ ปลายเดือน ธันวาคมถึงเดือนมกราคม ซึ่งผลชุดนี้จะเก็บเกี่ยวได้ประมาณ เดือนพฤษภาคมเป็นต้น
ไปอันเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลปกติ ต้นมะนาว จะมีดอก ที่เป็นชุดใหญ่อีกครั้ง (วงจรที่ 1) ประมาณปลายเดือน มีนาคมและเมษายน เมื่อผ่านช่วง
ของฤดูแล้งและได้รับฝนติดตามมา การเก็บเกี่ยว ของผลมะนาวในรุ่นนี้จะตรงกับช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และมีการออกดอกมากอีกครั้ง
ในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน ซึ่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตก็จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคมและมกราคม อันเป็นช่วงปลายของฤดูกาล ของมะนาว
และราคาของ ผลมะนาวจึงเริ่มเขยิบตัวสูงขึ้น ตั้งแต่ในช่วงนี้เป็นต้นไป ดังนั้น หากชาวสวนผู้ใดต้องการการผลิตให้มะนาว ออกนอกฤดูได้ก็
จำเป็นต้องหากรรมวิธีในการหลีกเลี่ยง หรือสร้างจุดเหลื่อมหรือใช้วิธีการ ยับยั้งช่วงวงจรของการออกดอกครั้งใหญ่ทั้งสองนี้ให้ได้









การออกดอกของพืชในกลุ่มส้ม (citrus) ซึ่งรวมทั้งมะนาวนั้นโดยปกติมักเกิดขึ้นพร้อมกับ ยอดอ่อนที่ผลิขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม ในหลายๆ
กรณียังพบว่าต้นมะนาวมีการออกดอกแตกต่าง ออกไปจากสภาวะนี้ โดยที่ดอกมะนาวนั้นสามารถแบ่งระดับชั้นของคุณภาพ (ซึ่งเกี่ยวข้อง
กับการติดผลและขนาดของผล) ได้เป็น 3 ระดับดังนี้ คือ

(1) ดอกที่เกิดพร้อมกับปลายยอดอ่อนที่ผลิใหม่ จัดเป็นดอกที่มีคุณภาพสูงที่สุดเนื่องจาก มีใบอ่อนผลิขึ้นมาใหม่ (ซึ่งใบเหล่านี้มีความ
สามารถในการสร้างอาหาร หรือการสังเคราะห์แสงสูง) มาช่วยในการเจริญเติบโตของตัวดอกอันรวมถึง การติดผลด้วย

(2) ดอกที่เจริญจากตาข้างของใบที่แก่หรือใบที่มีอายุมากกว่า 1 ฤดูกาล ดอกเหล่านี้ถือเป็นดอกที่มีคุณภาพรองลงมา สาเหตุอาจเนื่องมาจาก
ขณะที่มีการผลิใบอ่อนนั้น สภาพต้นยังไม่สมบูรณ์หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น มีฝนตกมาก หรือใบถูกโรคแคงเกอร์หรือหนอนชอน
ใบเข้าทำลาย เมื่อต้นกระทบแล้งอีกครั้ง หรือ มีการชักนำการออกดอกอีกครั้ง ก็จะมีการสร้างตาดอก จากตาข้างของกิ่งเหล่านั้น ในบางกรณี
พบว่า กิ่งที่เจริญขึ้นมาเหล่านี้มีสภาพของกิ่ง ใบและดอกที่สมบูรณ์ หากแต่ดอกเหล่านั้นไม่มีการติดผลหรือมีการ ติดผลแล้วผลอ่อนหลุดร่วง
ไป ดอกที่เกิดจากกิ่ง ลักษณะดังกล่าวนี้ยังกล่าวได้ว่า มีคุณภาพสูงเช่นกัน แต่ในอีกหลายกรณีก็พบว่ากิ่งที่เจริญขึ้นมามีลักษณะอวบใหญ่
แข็งแรงมากอันสืบเนื่องจากเป็นสภาพ ของกิ่งกระโดง (sucker) กิ่งเหล่านี้จะไม่มีการออกดอกในช่วงระยะแรก แต่เมื่อกิ่งมีขนาดยาวมาก
ขึ้นน้ำหนักกิ่ง ทำให้กิ่งห้อยย้อยลง สภาพของการเป็นกิ่งกระโดงก็หมดลง กิ่งจึงมีการออกดอกจากตา ข้างเป็นจำนวนมากในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามโครงสร้างของพุ่มต้น ก็สูญเสีย รูปทรงที่ดีไปด้วยและพุ่มต้นมีแนวโน้มเจริญไปในทางสูงขึ้น

(3) ดอกที่เกิดจากกิ่งที่ไม่มีใบ จัดเป็นดอกที่มีคุณภาพเลวที่สุด เนื่องจากไม่มีใบในการช่วยสร้างอาหาร มักพบเป็นดอกตัวผู้ (ไม่มีเกสรตัว
เมียหรือลีบไป) ค่อนข้างมากหรือเกือบทั้งหมด โอกาสที่จะติดผลได้จึงต่ำมากและผลที่ได้มักมีขนาดเล็กและไม่สมบูรณ์ การออกดอกใน
ลักษณะนี้พบในต้นที่ไม่สมบูรณ์หรือมีการใช้วิธีการทำลายใบให้ใบร่วง ดอกที่เกิดขึ้นมาในบางครั้งพบว่ายอดเกสรตัวเมีย (stigma) เจริญ
โผล่พ้นส่วนของกลีบดอกตั้งแต่ในระยะก่อนดอกบาน โอกาสของการติดผลจึงต่ำมาก





ต้นมะนาวมีการออกดอกได้ดีเมื่อผ่านช่วงของความแล้งมาระยะหนึ่งโดยใช้ระยะเวลาระหว่าง 20-30 วัน ทั้งนี้ ย่อมแล้วแต่ ความสมบูรณ์
ของต้น ขนาดของทรงพุ่มต้นและสภาพของดิน หากเป็นดินทรายย่อมได้เปรียบมากกว่า ดินเหนียวและสามารถ ชักนำ ให้เกิดสภาพแล้ง
ให้กับระบบรากได้เร็วกว่า บางครั้งใช้เวลาเพียง 10 วันก็เพียงพอ การปฏิบัติดูแลรักษาเพื่อ ช่วยให้ผิวดิน มีโอกาส ได้สัมผัสกับลม และแดด
เช่น การตัดแต่งกิ่งให้พุ่ม ต้นโปร่ง การกำจัดวัชพืชใต้พุ่มต้น ระยะที่ใช้ปลูก ฯลฯ หากมีการนำวิธีการต่างๆ เหล่านี้มาใช้ร่วมกันก็จะเป็นการ
ช่วยให้ มีประสิทธิผลของการชักนำ สภาพแล้งได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้หากต้นมะนาว มีสภาวะต้นที่ สมบูรณ์ ก็สามารถที่จะ มีการออกดอกได้
ดียิ่งขึ้น แม้ว่าจะไม่มีช่วงแล้งก็ตาม โดยอาจพบต้นสามารถออกดอกได้ทั้งที่เป็นคุณภาพ ของดอกประเภทหนึ่งหรือสองก็ได้ อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ควรจดจำไว้ให้มากสิ่งหนึ่งคือ มะนาวจะไม่มีการออกดอกในกิ่งที่มีการติดผลอยู่ ดังนั้น หากต้องการให้กิ่งมีการออกดอกในช่วงที่ต้อง
การตามที่กำหนดไว้ ก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดดอกหรือผลอ่อน ในกิ่งเหล่านั้น ออกไปให้หมดสิ้นเสียก่อน






ในด้านที่เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของต้นมะนาวเพื่อใช้สำหรับชักนำให้สามารถออกดอก และติดผลของการผลิตนอกฤดูนั้น จำเป็นที่จะ
ต้องใช้หลายๆ ลักษณะเข้ามาร่วมกัน ทั้งนี้โปรดอย่าได้ลืมนึกถึงความสมบูรณ์ของต้นอันเป็นปัจจัยพื้นฐานหลักด้วย โดยสิ่ง สำคัญๆ มีดังนี้


(1) การปลิดดอกและผลอ่อนของมะนาว ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วถึงด้านการออกดอกของต้นที่มีในฤดูกาลใหญ่อยู่ 2 ระยะ รวมทั้ง
กิ่งที่มีผลผลิตติดอยู่ก็ไม่สามารถ ออกดอกได้อีกด้วย ดังนั้น การที่จะให้ต้นมะนาวออกดอกได้ดีตามต้องการจึงจำเป็นต้อง กำจัดดอกและ
ผลอ่อนที่ไม่ต้องการในฤดูกาลนั้นออก ทิ้งไปเสียก่อน การตัดแต่งกิ่งนอกจากจะเป็นการกำจัดดอกและผลอ่อนออกไป ได้บางส่วนแล้ว ยัง
เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้มีการผลิยอดอ่อนใหม่ ที่ค่อนข้างสม่ำเสมออีกด้วย ภายหลังจากตัดแต่งแล้ว ดอกและผลอ่อน ที่เหลือก็สามารถใช้
สารควบคุมการเจริญเติบโต หรือฮอร์โมนมาช่วยได้ หรืออาจกระทำการพ่นสารควบคุมการเจริญเติบโต เพื่อกำจัดดอกและผลอ่อนให้หลุด
ร่วง ไปก่อนแล้วจึงดำเนินการตัดแต่งกิ่งในภายหลัง พร้อมทั้งกำจัดผลที่ยังเหลือตกค้างอยู่ออกไป การตัดแต่งกิ่งเพื่อกำจัดดอก และผลอ่อน
พร้อมทั้งการกระตุ้นให้เกิดยอดใหม่นั้น ไม่ควรตัดลึกมาก ควรจำกัดอยู่ที่ปลายกิ่งระดับ 5-10 ซม. หากตัดลึกมากแล้วจะเกิดกิ่งกระโดง
แทน ทำให้เสียโอกาสการออกดอกไป

สารควบคุมการเจริญเติบโตเหล่านี้เท่าที่มีรายงานผลการทดลองใช้เพื่อการปลิดดอกและผลอ่อนของมะนาวนั้นมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ NAA
เข้มข้น 2,000 ppm 1/ สามารถปลิดดอกและผลอ่อนในระยะกลีบดอกโรย (petal fall) และระยะที่ผลมีอายุ 2-3 สัปดาห์ได้ดีกว่า
ระยะที่เป็นตาดอกและระยะดอกบาน อย่างไรก็ตาม การใช้ NAA ในความเข้มข้นระดับนี้ ไม่สามารถกำจัดดอก และผลอ่อนให้หมดไปได้
ตามต้องการ การใช้ความเข้มข้นที่สูงมากกว่านี้อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษกับต้นมะนาวได้ สารควบคุมการเจริญเติบโตชนิดหนึ่งที่ใช้ใน
การปลิดดอกและผลอ่อนของมะนาว


--------------------------------------------------------------------------------
1/ NAA 2000 ppm เตรียมจาก NAA 4.5 % โดยใช้จำนวน 888 มล. ผสมน้ำ 20 ลิตร



ดอกที่เกิดจากตาข้างของกิ่งแก่ที่มีใบสมบูรณ์



ดอกที่เกิดจากกิ่งที่ไม่มีใบ



ดอกที่เกิดจากกิ่งที่ไม่มีใบดอกมีขนาดเล็ก
และไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นดอกตัวผู้



ดอกที่เจริญขึ้นมาจากกิ่งที่ไม่สมบูรณ์
หรือกระทบช่วงแล้ง ดอกมีเกสรตัวเมีย
เจริญโผล่พ้นส่วนของตาดอกออกมา



ต้นมะนาวที่มีผลติดอยู่จะไม่มีการออกดอก



กิ่งที่มีช่อดอกและผลอ่อนภายหลัง
การฉีดพ่นด้วยสาร NAA



ดอกที่เกิดจากตาข้างของกิ่งแก่ที่มี
ใบสมบูรณ์




ดอกที่เกิดพร้อมกับการผลิยอดอ่อน



ช่อดอกและผลอ่อนที่หลุดร่วงไปใน
กิ่งที่พ่นด้วยเอทธีฟอน



ระยะดอกบานสามารถปลิดออกได้ดี
ด้วยเอทธีฟอน



ผลที่มีขนาดใหญ่อายุมากกว่า 1 เดือน
ยากต่อการปลิดด้วยสาร



ระยะกลีบดอกโรย (ผลอ่อน) สามารถ
ปลิดออกได้ดีด้วยเอทธีฟอนเช่นกัน


จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.

http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/agri/tree/sec01p04.html



มะนาวหน้าแล้ง

- ปกติ (ในฤดู) เริ่มทะยอยออกดอก-กุมภาพันธ์-เมษายน
- หลังจากนั้น 6 เดือน (กรกฎาคม-กันยายน) เก็บผลผลิตได้
- นิสัยออกดอก ต้องผ่านช่วงแล้ง (ขาดน้ำ) จนใบร่วง แล้วจึงจะแตกใบใหม่ พร้อมออกดอก
- กุมภาพันธ์-เมษายน มะนาวราคาแพงที่สุด


เทคนิคการทำนอกฤดู ต้นมะนาว ต้องอายุ 2 ปีขึ้นไป และสมบูรณ์ แข็งแรง
1. ต้นฤดูฝน ตัดปลายกิ่งออกประมาณ 1-3 นิ้ว ทั่วทั้งต้น
2. ให้น้ำ ในช่วงขาดฝน
3. หลังจากตัดกิ่งได้ 1 สัปดาห์ ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือใกล้เคียง (ตัวกลางสูง) อัตรา 1 กระป๋องนมต่อต้น รอบชายพุ่ม
4. หลังจากนั้น มะนาวจะเริ่มแตกใบอ่อนชุดใหม่ พร้อมดอกอ่อน ในฤดูฝนตอนปลาย (กันยายน-ตุลาคม) หลังจากนั้น 6 เดือน
(กุมภาพันธ์-เมษายน) ก็เก็บผลผลิตได้


http://www.geocities.ws/dr_chayaporn/off22.html





วิธีการบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดูกาล


มะนาวเป็นพืชที่ไวต่อการขาดน้ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วงที่มะนาวมีใบแก่จัด ถ้าปล่อยให้ขาดน้ำ ใบจะร่วงหล่นเร็วมากและจะแสดงอาการ
คล้ายจะตาย แต่ถ้าให้น้ำและปุ๋ยไปบ้าง มะนาวจะแตกใบใหม่และออกดอกตามมา และเมื่อใดที่ได้รับน้ำและปุ๋ยอย่างเพียงพอมะนาวจะ
แตกกิ่งใหม่ได้มาก ใบจะเขียวสดอยู่ได้นานและไม่ค่อยมีการออกดอกติดผล จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อ
บังคับให้มะนาวออกดอกได้คราวละมาก ๆ เช่น

1. ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งหรือปลายกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้วทั้งต้นแล้วจึงมีการใส่ปุ๋ยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกดอกขึ้น

2. ใช้วิธีการรมควันเพื่อให้ใบร่วงแล้วแตกใบใหม่พร้อมกับให้ดอกตามมาภายหลัง

3. ใช้ลวดเล็ก ๆ รัดโคนกิ่งใหญ่เพื่อให้มะนาวมีการสะสมอาหารเตรียมพร้อมที่จะออกดอก

4. งดการให้น้ำเพื่อทำให้ใบเหี่ยว แล้วกลับมารดน้ำและใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อกระตุ้นให้เกิดดอก

5. ปล่อยน้ำเข้าแปลงปลูกประมาณ 3-4 วัน แล้วจึงระบายน้ำออก

6. ใช้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อนฉีดให้ใบร่วง

7. ใช้ปุ๋ยยูเรีย 5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักละลายน้ำฉีดให้ใบไหม้และร่วง แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งเพื่อให้มีการเกิดดอก

วิธีการตามที่ได้กล่าวมานี้ บางวิธีอาจทำให้มะนาวทรุดโทรมและตายได้หรือให้ผลผลิตแล้วตายไปเลย และบางวิธีก็ไม่เหมาะกับการปฏิบัติ
รักษาต่อมะนาวที่ปลูกไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวิธีการที่ทำให้มะนาวออกดอกในหน้าแล้งโดยที่ไม่ทำให้มะนาวทรุด
โทรมจนเกินไป ดังต่อไปนี้


วิธีที่ 1
งดการใช้น้ำชั่วระยะหนึ่งเพื่อปล่อยให้ใบเหี่ยว เมื่อใบเหี่ยวก็ให้น้ำเล็กน้อยสักหนึ่งวัน และเมื่อเห็นว่าต้นมะนาวมีการฟื้นตัวดีแล้วค่อยให้
น้ำมาก ๆ ติดต่อกันประมาณ 5-7 วัน จนดินชื้น แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งดอกที่มีตัวกลางสูงเช่น ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-27-27 ประมาณ
1-2 กิโลกรัมต่อต้น หรืออาจใส่กระดูกป่นลงไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยขี้หมูประมาณ 60 กิโลกรัม กระดูกป่น 6 กก. และ
โปแตสเซียมซัลเฟต 3 กก. ผสมเข้าด้วยกันแล้วใส่รอบโคนต้น จะได้ผลดีเช่นเดียวกัน


วิธีที่ 2
งดการให้น้ำประมาณ 7-15 วัน แล้วจึงทำการตัดแต่งกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้ว ให้ทั่วทั้งต้น การตัดแต่งกิ่งนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้มะนาว
แตกกิ่งวิธีนี้จะใช้เพื่อเพิ่มปริมาณการออกดอกติดผลในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม กับต้นมะนาวที่ติดผลในช่วงนี้ไม่ดกนัก


วิธีที่ 3
พ่นใบด้วยปุ๋ยยูเรียความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ (ใช้ปุ๋ยยูเรีย 46 เปอร์เซ็นต์ 1 กิโลกรัมผสมกับน้ำสะอาด 20 ลิตร) การฉีดพ่นควรฉีด
ไปที่ทรงพุ่มของมะนาวให้โชกทั่วทั้งต้น ประมาณ 4-5 วัน ต่อมาใบมะนาวจะเริ่มร่วงโดยเฉพาะใบแก่ส่วนใบอ่อนจะไม่ร่วง ลักษณะของใบ
มะนาวที่ร่วงนั้นคล้ายกับถูกน้ำร้อนลวกหลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 โรยใส่ต้นมะนาวต้นละ 1-2 กก. ประมาณ 15-20 วัน
หลังจากที่ได้ฉีดพ่นปุ๋ยยูเรียไปแล้วมะนาวจะเริ่มออกดอก ในช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-14-14 อัตราต้นละ 200-300 กรัม โดยทิ้งห่างกัน
ประมาณ 1 เดือน สัก 3-4 ครั้ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลมะนาว ในช่วงที่มะนาวเริ่มออกดอกจนถึงติดผลนี้จะต้องระวังอย่าให้
มะนาวขาดน้ำเพราะจะทำให้ผลร่วงหรือการเจริญเติบโตของผลไม่ดีเท่าที่ควร มะนาวที่บังคับให้ออกดอกในเดือนกันยายน-ตุลาคม ถ้ามีการ
ปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าวมาแล้วเพื่อเข้าหน้าแล้งราวเดือนเมษายน ผลมะนาวจะแก่จัดและสามารถเก็บผลไปจำหน่ายได้


วิธีที่ 4
เป็นวิธีที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง วิธีนี้ไม่ทำให้ต้นมะนาวโทรมเร็วเหมือนกับวิธีแรก ๆ มีขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้
1. ประมาณเดือนกันยายน ใส่ปุ๋ยเกรด 1:3:3 เช่น ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อเร่งให้ใบแก่เร็วขึ้น และเก็บสะสมอาหารไว้บำรุงดอกต่อไป

2. ต้นเดือนตุลาคม งดให้น้ำเพื่อให้ต้นมะนาวมีการเก็บสะสมอาหาร

3. ปลายเดือนตุลาคม ให้น้ำอย่างเต็มที่หลังจากงดให้น้ำมาเป็นเวลา 15-20 วัน

4. ต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ได้ให้น้ำไปแล้วประมาณ 7 วัน มะนาวจะเริ่มออกดอก ช่วงนี้ควรมีการพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดแมลง
ในช่วงที่กำลังมีดอกอ่อน

5. ปลายเดือนพฤศจิกายน ดอกเริ่มบานและมีการติดผล ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูมะนาวในช่วงที่กำลังติดผลเล็ก ๆ

6. ต้นเดือนธันวาคม ใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 1:1:1 เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงให้ผลมีความสมบูรณ์ในขณะที่ผล
มะนาวมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด

7. ประมาณเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปจะสามารถเก็บผลมะนาวออกจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี

8. หลังจากที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว ประมาณเดือนพฤษภาคมควรทำการตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15
เพื่อบำรุงต้นให้สมบูรณ์และพร้อมสำหรับการผลิตมะนาวหน้าแล้งในปีต่อไป


วิธีที่ 5
เป็นวิธีที่ชาวสวนแถบจังหวัดเพชรบุรีนิยมปฏิบัติกัน ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนไม่ควรให้น้ำต้นมะนาว เพราะเป็นช่วงฤดูฝน และการทำให้ใบมะนาวร่วงในช่วงนี้จึงทำ
ได้ยากเพราะยังมีฝนตกอยู่

2. ชาวสวนใช้วิธีทรมานเล็กน้อย โดยใช้กรรไกรตัดปลายกิ่งต้นมะนาวประมาณ 1-2 นิ้วออกทั่วทั้งต้น เสร็จแล้วจึงกระตุ้นด้วยปุ๋ยสูตร
12-24-12 หรือ 9-27-27 ในอัตราต้นละ 1 กก. ปุ๋ยดังกล่าวมีธาตุฟอสฟอรัสสูงจึงสามารถเร่งการออกดอกของมะนาวได้

3. ถ้าหากฝนไม่ตกก็ให้ใช้ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำรดแทนทิ้งไว้ 14-21 วัน มะนาวจะเริ่มผลิใบและดอกออกมา หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ยบำรุงต้น
มะนาวโดยใช้สูตร 20-14-14 หรือ 20-11-11 ในอัตราต้นละ 200-300 กรัม รวม 3-4 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 1 เดือนเพื่อเร่งให้
ผลมะนาวโต

4. ในช่วงนี้ถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรพรวนดินและใช้เศษหญ้าคลุมโคนมะนาวพร้อมกับรดน้ำ 10-14 วัน/ครั้ง จากนั้นดอกมะนาวจะค่อย ๆ
เจริญเติบโตกลายเป็นผล จนสามารถเก็บจำหน่ายผลได้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี


วิธีที่ 6
ใช้สารพาโคลบิวทราโซล ซึ่งเป็นวิธีใหม่ล่าสุดเท่าที่มีการทดลองอยู่ในขณะนี้ และมีแนวโน้มว่ามะนาวตอบสนองต่อการใช้สารนี้ได้ดี
ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเพื่อให้มะนาวเก็บเกี่ยวได้ในช่วงหน้าแล้ง โดยใช้สารพาโคลบิวทราโซลนั้นสามารถกระทำได้ดังนี้
1. ในเดือนกรกฎาคม ภายหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลมะนาวหมาดแล้ว ใช้บำรุงต้นมะนาวให้สมบูรณ์ โดยทั้งนี้เพื่อจะให้มะนาวแตกใบอ่อน
1 ชุดก่อนการออกดอก

2. ต้นเดือนสิงหาคม ทำการตัดแต่งกิ่งมะนาวให้โปร่ง เพื่อให้ดินแห้ง ต่อจากนั้นควรใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้น สภาพที่ดินเป็นดินเหนียวควรควรใช้
ปุ๋ยสูตร 12-24-24 แต่ถ้าเป็นดินทรายให้ใช้ปุ๋ยสูตร 9-24-24 ในอัตรา 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของทรงพุ่มโดยหว่านรอบชายพุ่มเพื่อ
ช่วยเร่งการเกิดดอกได้ดีขึ้น

3. ต้นเดือนกันยายน ให้รดสารพาโคลบิวทราโซลในอัตราเนื้อสาร 1 กรัม (เช่น คัลทาร์ 10 ซีซี.) ที่โคนต้นมะนาวในระยะใบเพสลาด แต่
ก่อนทำการรดสารนั้นควรให้น้ำกับต้นมะนาว เพื่อให้ดินชุ่ม ซึ่งจะช่วยให้รากดูดซึมสารเข้าไปภายในต้นได้ดีขึ้น

4. ประมาณเดือนสิงหาคมต้นเดือนตุลาคม จะมีดอกมะนาวทะวายทยอยกันออกมาและจะต้องคอยปลิดดอกหรือผลเหล่านั้นทิ้ง เพื่อให้ต้น
มะนาวมีอาหารสะสมมากพอสำหรับการเกิดดอกในปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายนได้มาก การปลิดดอกทิ้งอาจทำได้โดยใช้สาร
เคมีบางชนิด เช่น เอ็น.เอ.เอ.(N.A.A.) อัตรา 15-30 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้ดอกและผลร่วง โดยที่ไม่มีอันตรายต่อใบแต่อย่างใด

5. ปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกำลังบานและมีการผสมเกสรเพื่อเจริญไปเป็นผล ช่วงนี้ต้องคอยดูแลกัน
เป็นพิเศษ และเมื่อผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือน ซึ่งตรงกับเดือนธันวาคา-มกราคม เป็นระยะที่อากาศแห้งแล้งพร้อมกับมะนาวมีการ
พักตัวและผลัดใบเก่าทิ้ง ผลมะนาวมีโอกาสร่วงได้มากจึงต้องคอยระยังอย่าให้มะนาวขาดน้ำ และถ้าอากาศแห้งมากอาจพรมน้ำได้ด้วย
ก็ได้

6. หลังจากผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือนไปแล้ว จะเป็นช่วงที่ผลมะนาวมีการขยายขนาดของผลมาก จึงควรให้ปุ๋ยสูตร 15-5-20 + 2
(MgO) หรือสูตร 16-11-14+2 (MgO) ลงไปด้วย ถ้ามะนาวต้นไหนติดผลดกอาจเพิ่มปุ๋ยสูตร 20-10-10 หรือ สูตร 30-20-10
โดยฉีดพ่นทางใบเพื่อช่วยขนาดของผล

7. ประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน มะนาวก็จะเก็บผลได้ (สำหรับมะนาวที่มีอายุการเจริญเติบโตของผลนานกว่านี้ ควรเลื่อนเวลา
การบังคับการออกดอกให้เร็วขึ้นไปอีก)

8. ในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน หลังจากเก็บผลหมดแล้ว ควรทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก
ในอัตรา 20-30 กก./ไร่และปุ๋ยเคมีเช่นสูตร 15-15-15 เป็นประจำทุกปี ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งกิ่งมะนาวเริ่มแตก
ใบอ่อนซึ่งตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ซึ่งเป็นการเพียงพอที่จะให้มะนาวเก็บสะสมธาตุอาหารโดยเฉพาะพวกแห้งจนถึงระดับที่จะออกดอก
ได้ดีในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แต่ถ้ากิ่งมะนาวแตกใบอ่อนล่าออกไปจนถึงปลายฤดูฝน อาจทำให้มะนาวออกดอกได้ไม่มาก
เพราะมีระยะเวลาที่จะสะสมอาหารพวกแห้งได้น้อย และถ้าหากต้นมะนาวไม่แตกใบอ่อนออกมา เราอาจใช้วีตัดปลายกิ่งหรือตัดแต่งกิ่ง
ให้โปร่งและให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงพร้อมทั้งให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและในปริมาณที่เพียงพอ หรืออาจพิจารณาใช้สารที่กระตุ้นการพัก
ตัวเช่น ไทโอยูเรีย 0.5% ฉีดพ่นให้ทั่วต้นในระยะที่ใบแก่จัดซึ่งจะทำให้มะนาวแตกใบอ่อนออกมาได้ ซึ่งเป็นการเตรียมตัวเพื่อจะบังคับ
ให้มะนาวออกดอกและเก็บผลในหน้าแล้งต่อไปได้


http://www.freeforum101.com/worker/viewtopic.php?p=61&sid=b204eb085aa6beff145e78908614542b&mforum=worker
kimzagass
ตอบตอบ: 14/04/2011 8:50 pm    ชื่อกระทู้:

การผลิต มังคุด นอกฤดูกาล


คงไม่มีใครไม่รู้จัก “มังคุด” ราชินีผลไม้ที่แสนจะอร่อยและเป็นผลไม้โปรดของใครหลายๆคน โดยปกติมังคุดจะออกดอกตามฤดูกาล
แต่เมื่อถึงในฤดูกาลมังคุดจะแก่ และ ออกจากสวนพร้อมๆกันจนล้นตลาด อีกทั้งยังมีระยะเวลาการเก็บรักษาที่สั้นมาก ทำให้จำหน่าย
ได้ราคาต่ำ ดังนั้นการผลิตมังคุดนอกฤดูกาลจึงเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้แก่เกษตรกรได้อีกวิธีหนึ่ง

แต่หากว่าใครกำลังคิดจะทำ การผลิตมังคุดนอกฤดูกาล คงต้องศึกษาขั้นตอนการทำให้ละเอียด วางแผนการทำงานให้ชัดเจน และเตรียม
หาวิธีการรับมือธรรมชาติที่แปรปรวนเอาไว้ด้วย การผลิตมังคุดนอกฤดูกาล จะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ ชาวสวนหลายๆคนคงจะเริ่มต้น
บำรุงต้นบำรุงใบ เพื่อรองรับการผลิตในรอบปี ทั้งการใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง และอื่นๆ และจะทำการดูแลต้นมังคุดอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี
ไปจนถึงเดือนธันวาคม และจะเก็บเกี่ยวผลผลิตมังคุดนอกฤดูกาล ในเดือนมกราคม ปีถัดไป

ปฏิทิน การผลิตมังคุดนอกฤดูกาล
- เดือน ธันวาคม – เดือนมกราคม เป็นช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตนอกฤดูกาล

- เดือน กุมภาพันธ์ ให้เราเริ่มต้นบำรุงต้นบำรุงใบ เพื่อรองรับการผลิตในรอบปี โดยการ ตัดแต่งกิ่งของมังคุด ใส่ปุ๋ยและให้น้ำมาก
ประมาณ 60% โดยใช้ปุ๋ยชีวภาพควบคู่กับปุ๋ยเคมีที่มีเลขตัวหน้าสูง เพื่อเร่งใบชุดที่ 1 ชักนำให้แตกใบอ่อนหลังเก็บเกี่ยว 2 อาทิตย์

- เดือน มีนาคม ให้ฉีดยาป้องกันหนอนกัดกินใบ และ เพลี้ยไรแดง

- เดือน เมษายน จะเกิดใบชุดที่ 2 ช่วงนี้ควรให้น้ำ ใส่ปุ๋ยเร่ง นับเป็นเวลา 14-16 สัปดาห์ หรือ 100 วัน หลังจากนั้น งดให้น้ำ เป็น
เวลา 9 สัปดาห์ หรือ 2 เดือนครึ่ง

- เดือน มิถุนายน หลังจากเรางดให้น้ำแล้ว จะสังเกตเห็นลักษณะของมังคุดแล้งน้ำจนกิ่งปล้องที่ 2 เหี่ยว ถ้าจะเห็นให้ชัดเจนให้ดูที่
ปลายใบสุดจะมีอาการใบตก ให้เกษตรกรให้น้ำครั้งแรกประมาณ 30-40 มิลลิเมตร พร้อมกับ ฉีดพ่นปุ๋ยเร่งให้ชุ่มทั้งต้น
ถ้ามังคุดยังไม่ออกดอกควรให้น้ำอีกครั้งห่างกัน 7-10 วัน จำนวนน้ำที่ให้ประมาณ 17.5- 20 มิลลิลิตร

- เดือน กรกฎาคม มังคุดก็จะออกดอก

- เดือน สิงหาคม ถึง เดือน พฤศจิกายน เกษตรกรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ

- เดือน กันยายน ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอเพื่อบำรุงต้นและผล และควรใส่ปุ๋ยที่มีเลขหลังสูงเพื่อบำรุงผลมังคุด และ ยังคงให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
จนถึงเดือนพฤศจิกายน

- เดือน ธันวาคม – เดือนมกราคม ก็สามารถเก็บเกี่ยวมังคุดไปขายได้ รวมระยะเวลาตั้งแต่ มังคุดเริ่มออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวผล
ผลิตใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน


หมายเหตุ
สำหรับการใส่ปุ๋ยทุกครั้งจะต้องวัดรอบทรงพุ่มของมังคุดด้วย คือ ถ้าทรงพุ่มมีขนาด 3 เมตร ให้เราใส่ปุ๋ย 1 กิโลกรัม หรือเทียบได้ คือ
3:1 ให้เราหว่านให้รอบทรงพุ่มห่างจากต้น 1 เมตร


(ข้อมูล โดย เกรียงศักดิ์ ขุนฤทธิ์, ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช)

จะเห็นได้ว่าการผลิตมังคุดนอกฤดูกาลนั้น จำเป็นต้องอาศัยการเอาใจใส่ดูแลตลอดทั้งปี แต่ก็คุ้มค่ากับราคาผลผลิตที่ได้

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการผลิตมังคุดนอกฤดูกาลนั้นต้องอาศัยการดูแลใกล้ชิด หากต้นมังคุดไม่ออกดอกตามระยะเวลาที่คาด
อาจจะไม่ได้ผลผลิตตามที่หวังไว้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสต้นจะทรุดโทรมจนไม่สามารถผลิตได้ในฤดูกาลถัดไป อีกทั้งยังมีต้น
ทุนการใช้ปุ๋ยพอสมควร

ดังนั้นแล้วในบทความถัดไปจะแนะนำการผลิตมังคุดนอกฤดูกาล โดยใช้ เอทีดี อะมิโน ซึ่งเป็นสารเสริมการเจริญเติบโตของพืช จาก
ธรรมชาติ ที่จะช่วยป้องกันปัญหาข้างต้นได้เป็นอย่างดี

http://www.npknetwork.com



ปี 2541 เขาเริ่มทดลองทำ มังคุดนอกฤดู ด้วยวิธีของตัวเอง โดยอาศัยประสบการณ์และไปเห็น
ต้นมังคุดของเพื่อนบ้าน ที่ปลูกติดกับบ่ออาบน้ำจะไม่ค่อยออกดอกออกผลเหมือนกับต้นอื่น ๆ

เขานำสิ่งที่พบเห็นไปขบคิดและก็ได้ข้อสรุปว่า มังคุดน่าจะผลิตผลนอกฤดูได้ จึงทดลองทำและก็ประสบความสำเร็จดังที่คิดไว้
โดยใช้หลักการให้น้ำในช่วงก่อนมังคุดเริ่มแตกยอดดอก เมื่อต้นสมบูรณ์มันแตกกิ่งแตกใบแทน

มิแปลกที่สวนมังคุดของเขาจะติดตั้งระบบให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ทุกต้น
"ทุกครั้งที่เราเก็บผลผลิตออกขายแล้ว ก็ตัด
แต่งกิ่งเล็กน้อย และใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ประมาณ 3 กิโลกรัม ต่อต้น ทั้งนี้เพื่อเร่งให้ออกยอด หลังจาก 3 เดือนไปแล้ว ใบ
มังคุดก็เป็นเพสลาด เราก็ใส่ปุ๋ยสูตร 0-24-24 อีกครั้ง จากนั้นอีก 2 เดือน หรือใบแก่จัดแล้ว เราก็หยุดให้น้ำและกวาดใบใต้
โคนแห้ง เพื่อให้พื้นดินแห้งสนิท ประกอบกับในช่วงนี้ที่นี่ส่วนใหญ่ฝนได้ทิ้งช่วงให้พอดี เมื่อพื้นดินแห้ง ใบเริ่มเหี่ยว ธรรมชาติ
ของต้นไม้ต้องให้ลูก เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป หลังจากนั้น เรารดน้ำต่อไป" ผู้ใหญ่ดำ กล่าว

มังคุดนอกฤดูที่นี่จะให้ผลผลิตตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
มังคุด 400 ต้น ปลูกบนเนื้อที่ 20 ไร่ ของ
ผู้ใหญ่ดำ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาให้ผลผลิต 9 ตัน และส่วนใหญ่เป็นมังคุดที่มีคุณภาพเกือบทั้งนั้น

สำหรับราคารับซื้อนั้น ต่ำสุด 48 บาท ต่อกิโลกรัม สูงสุด 148 บาท โดยเฉลี่ยทั้งฤดูกาลตกอยู่ที่ 60 บาท ต่อกิโลกรัม

"หากเราทำมังคุดในฤดูกาล ตกอยู่กิโลกรัมละ 10 บาทเศษๆ ทำนอกฤดูกาลนี้คุ้มค่าหลายเท่าตัว แต่ที่จังหวัดอื่น โดยเฉพาะภาค
ตะวันออก เข้าใจว่าทำไม่ได้ เพราะว่ามีฝนตกในช่วงกลางปี ทำให้ไม่สามารถควบคุมให้ต้นมังคุดออกดอกได้ สู้พื้นที่ภาคใต้โดย
เฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่ได้ ช่วงกลางปีฝนจะทิ้งช่วงนาน" ผู้ใหญ่ดำ กล่าว

ไม่เพียงที่ผู้ใหญ่ดำทำมังคุดนอกฤดูได้แล้ว เขายังควบคุมคุณภาพของสินค้าได้ด้วย ดังนั้น พ่อค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เข้ามาติดต่อซื้อถึงบ้านเลยทีเดียว

"ส่วนใหญ่มังคุดจากสวนของผม มีพ่อค้าเข้ามาซื้อเพื่อการส่งออกทั้งนั้น และบางครั้งผมทำหน้าที่วิ่งไปติดต่อบริษัทส่งออก
โดยตรงด้วย ทั้งนี้เพื่อตัดพ่อค้าแม่ค้าคนกลางออกไป ซึ่งที่ผ่านๆ มา การทำมังคุดนอกฤดูไม่มีปัญหาด้านการตลาดเลย"
ผู้ใหญ่ดำ กล่าวทิ้งท้าย

http://clinictech.wu.ac.th/detail.php?id=151