-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว
ดาวน์โหลด
ติดต่อ
MySite.com :: ตอบกระทู้
คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว
ค้นหา
กลุ่มผู้ใช้งาน
ข้อมูลส่วนตัว
เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ
เข้าระบบ
MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก
->
ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ตอบกระทู้
ชื่อเรียก
ชื่อกระทู้
ส่วนของข้อความ
ไอคอนแสดงอารมณ์
ดูไอคอนแสดงอารมณ์อื่นๆ
สีตัวอักษร:
ปกติ
แดงเข้ม
แดง
ส้ม
น้ำตาล
เหลือง
เขียว
มะกอก
ฟ้า
น้ำเงิน
น้ำเงินเข้ม
คราม
ม่วง
ขาว
ดำ
ขนาดตัวอักษร:
จิ๋ว
เล็ก
ปกติ
ใหญ่
ยักษ์
ปิดคำสั่ง
[quote="mongkol"]ตอบได้ละเอียดมากสงสัยต้องส่ง มัลติแชมป์ ไปให้เป็นรางวัล[/quote]
ส่วนเพิ่มเติม
HTML
ใช้งานได้
BBCode
ใช้งานได้
รูปรอยยิ้ม
ใช้งานได้
ไม่ใช้งาน HTML ในการตอบนี้
ไม่ใช้งาน BBCode ในการตอบนี้
ไม่ใช้งานรูปรอยยิ้มในการตอบนี้
ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปยัง:
เลือกกระดาน
weBBoard
----------------
ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ทบทวนกระทู้
<table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%" class="forumline"> <tr> <th class="thCornerL" width="22%" height="26">ผู้ส่ง</th> <th class="thCornerR">ข้อความ</th> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row1"><span class="name"><a name=""></a><b>Nini</b></span></td> <td class="row1" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 21/09/2010 10:14 am<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ต้องขอโทษ ที่มาขอบคุณผู้ให้ความรู้ช้าไปหน่อย ขอบคุณนะค่ะ</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row2"><span class="name"><a name=""></a><b>tapabnumm</b></span></td> <td class="row2" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 20/09/2010 9:27 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ดีเลยผมกำลังหาข้อมูลอยู่พอดี ขอบคุณมากๆ</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row1"><span class="name"><a name=""></a><b>kimzagass</b></span></td> <td class="row1" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 18/09/2010 9:38 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody"></span><table width="90%" cellspacing="1" cellpadding="3" border="0" align="center"><tr> <td><span class="genmed"><b>1545 บันทึก:</b></span></td> </tr> <tr> <td class="quote">น่าสงสารคนถาม ลุงรู้ก็น่าจะตอบไปซะทีแรก ผมว่าต้องมี หน้า มหาลัย และหน้าประถม จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย</td> </tr></table><span class="postbody"> <br /> <br />ที่จริง ทุกคำตอบ จากทุกคน ดีๆทั้งนั้น....แต่ลุงคิมสงสารคนถาม (ว่ะ) กลังจะตามไม่ทัน</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row2"><span class="name"><a name=""></a><b>mongkol</b></span></td> <td class="row2" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 18/09/2010 6:09 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ตอบได้ละเอียดมากสงสัยต้องส่ง มัลติแชมป์ ไปให้เป็นรางวัล</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row1"><span class="name"><a name=""></a><b>1545</b></span></td> <td class="row1" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 18/09/2010 5:49 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">น่าสงสารคนถาม ลุงรู้ก็น่าจะตอบไปซะทีแรก ผมว่าต้องมี หน้า มหาลัย และหน้าประถม จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row2"><span class="name"><a name=""></a><b>kimzagass</b></span></td> <td class="row2" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 17/09/2010 10:25 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ถามสั้นๆ ตอบซะยาวเหยียด..... <br /> <br />คนถามมีพื้นความรู้ระดับประถม ตอบซะระดับมหา-ลัย.....แล้วเขาจะรู้เรื่องไหมเนี่ย...... <br /> <br /> <br />ทำไมไม่ตอบแค่... <br />ธาตุรอง คือ ปุ๋ย ประกอบด้วย แคลเซียม แม็กเนเซียม กำมะถัน. <br />ธาตุเสริม คือ ปุ๋ย ประกอบด้วย เหล็ก ทองแดง สังกะสี แมงกานิส โมลิบดินั่ม โบรอน ซิลิก้า โซเดียม คลอรีน..... <br /> <br /> <br />เรื่องปุ๋ย เรื่องฮอร์โมน วันนี้เขาไปถึงระดับ "นาโน" กันแล้ว <br /> <br /> <br />คงต้องเรงสปีดหน่อยนะ <br />ลุงคิมครับผม</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row1"><span class="name"><a name=""></a><b>jo1987</b></span></td> <td class="row1" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 17/09/2010 8:06 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ธาตุอาหารรอง <br /> <br />ธาตุแคลเซียม - CALCIUM <br />หน้าที่สำคัญของธาตุแคลเซียมในพืช <br /> มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับโครงสร้างของผลไม้ <br /> ช่วยเสริมสร้างเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช ซึ่งพืชต้องการอย่างต่อเนื่อง <br /> ช่วยในการสร้างเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ของพืช <br /> ช่วยให้เซลล์ติดต่อกัน และจะช่วยเชื่อมผนังเซลล์ให้เป็นรูปร่าง และขนาดให้เป็นไปตามลักษณะของพืช <br /> ช่วยเพิ่มการติดผล <br /> ช่วยให้สีเนื้อและสีผิวของผลสดใส <br /> ช่วยลดการเกิดเนื้อของผลแข็งกระด้าง และเนื้อแฉะ <br /> ช่วยป้องกัน ผลร่วง ผลแตก <br /> มีบาทบาทที่สำคัญในระยะการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช <br /> มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการย่อยธาตุไนโตรเจน <br /> เป็นตัวช่วยลดการหายในของพืช <br /> เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแคลเซียม <br /> ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่จะหดสั้นและเหี่ยว แม้ว่าใบเก่าจะมีธาตุแคลเซียมอยู่ เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่ <br /> ใบอ่อนที่ขาดธาตุแคลเซียมจะมีสีเขียวแต่ปลายใบจะเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและจะตายในที่สุด <br /> ถ้าขาดธาตุแคลเซียมที่บริเวณขั้วหรือข้อต่อของผลจะทำให้เกิดแก๊สเอธีลีน(Ethylene) ทำให้ผลร่วง <br /> พืชหลายชนิดที่ขาดธาตุแคลเซียม เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริก แตงกวา จะเกิดการเน่าที่ส่วนล่างผล, <br /> ในผักขึ้นฉ่ายจะแสดงอาการไส้ดำ, ในแครอดจะแสดงอาการฟ่ามที่หัว, ในแอปเปิลจะมีรสขม, <br /> ในมันฝรั่งจะแสดงอาการเป็นสีน้ำตาลบริเวณกลางหัว, <br /> ในพืชลงหัวต่าง ๆ เช่น ผักกาดหัว(หัวไชเท้า) หอม กระเทียม จะแสดงอาการไม่ลงหัว หรือลงหัวแต่หัวจะไม่ <br /> สมบูรณ์ <br /> ในพืชไร่ ต้นจะแตกเป็นพุ่มแคระเหมือนพัด แสดงอาการที่ราก คือ รากจะสั้น โตหนามีสีน้ำตาล ดูดอาหาร <br /> ไม่ปกติ <br /> ในระยะพืชออกดอก ติดผล ถ้าพืชขาดธาตุแคลเซียม ตาดอกและกลีบดอกจะไม่พัฒนา ดอกและผลจะร่วง <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแคลเซียม <br /> ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป <br /> เมื่อให้ธาตุไนโตรเจนมาก <br /> เมื่อให้ธาตุโพแทสเซียมมาก <br /> เมื่อพืชแตกใบอ่อน แม้ว่าใบแก่จะมีธาตุแคลเซียม ทั้งนี้เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายในพืช <br /> เมื่อพืชแตกใบอ่อนต้องให้ธาตุแคลเซียมอยู่เสมอ <br /> ธาตุแคลเซียมจะมีความสมดุลกับธาตุโบรอนและธาตุแมกนีเซียมในพืช ถ้าไม่มีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง <br /> 3 ชนิด พืชจะแสดงอาการผิดปกติ <br /> ธาตุแคลเซียมจะสูญเสียไปในดิน กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งพืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้ <br /> ในดินที่เป็นกรด จะตรึงธาตุแคลเซียมไว้ ทำให้พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้ <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br /> <br />ธาตุแมกนีเซียม MAGNESIUM <br /> <br /> ธาตุแมกนีเซียม มีความสำคัญต่อพืช คน และสัตว์ ร่างกายของคนต้องการธาตุแมกนีเซียมประมาณ 0.3-0.4 มิลิกรัมต่อวัน สัตว์เช่น วัว ควาย ต้องการสูงถึง 10 เท่า คือ ประมาณ 3-6 กรัมต่อวัน ถ้าคนขาดธาตุแมกนีเซียม จะทำให้ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อเป็นตะคริวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ในวัวถ้าขาดธาตุแมกนีเซียมจะเป็นโรคกระแตเวียน <br /> <br />หน้าที่สำคัญของธาตุแมกนีเซียมในพืช <br /> เป็นตัวจักรสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์ หรือความเขียวในพืช ช่วยให้พืชปรุงอาหารได้ดีขึ้ <br /> ช่วยในการเคลื่อนย้ายธาตุฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น <br /> มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แสง <br /> มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการสุกการแก่ของผลผลิต <br /> ช่วยให้พืชเพิ่มการใช้ธาตุเหล็กมากยิ่งขึ้น <br /> เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยต่าง ๆ ของพืช เคลื่อนย้ายภายในพืชได้ดี <br /> ช่วยเสริมสร้างให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น <br /> ช่วยเสริมสร้างให้พืช มีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ <br /> พืชอาหารสัตว์ ถ้าขาดธาตุแมกนีเซียม จะเป็นสาเหตุของพืชอาหารสัตว์เป็นพิษ <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมกนีเซียม <br /> จะทำให้ต้นเล็กแคระแกรน ใบเหลือง <br /> ในใบแก่จะมีสีซีดจาง ไม่เขียวสดใส และเมื่อแตกใบอ่อนก็จะมีสีซีดจางเช่นเดียวกัน และธาตุแมกนีเซียม <br /> สามารถเคลื่อนย้ายในพืชได้ <br /> เมื่อใบแก่ขาดธาตุแมกนีเซียม ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ก็จะขาดด้วย ใบจะเป็นสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสี <br /> น้ำตาลและตายไปในที่สุด <br /> ผลจะสุกแก่ช้ากว่าปกติ <br /> ในพืชตระกูลถั่วจะทำให้พืชไม่ค่อยจะลงฝัก และจะทำให้แบคทีเรียที่รากถั่ว ไม่จับธาตุไนโตรเจนไว้ได้ดีเท่า <br /> ที่ควร <br /> ในพืชอาหารสัตว์จะให้ผลผลิตต่ำ และทำให้พืชอาหารสัตว์เป็นพิษ <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแมกนีเซียม <br /> ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป <br /> ในดินที่มีปริมาณของธาตุแมกนีเซียมต่ำ <br /> ในดินที่มีธาตุแคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียมมาก <br /> ในดินที่มีปริมาณของเกลือมาก เช่น พวกเกลือโซเดียม <br /> ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ <br /> ในระยะที่พืชแตกใบอ่อน <br /> ในระยะที่พืชดูดใช้ธาตุไนโตรเจนมาก <br /> <br /> การให้ปุ๋ยโพแทสเซียม ต้องให้ธาตุแมกนีเซียมควบคู่กันไป ถ้าให้ปุ๋ยโพแทสเซียมมากจะเป็นปัญหาการขาดธาตุแมกนีเซียม <br /> การให้ธาตุแคลเซียม ต้องให้ธาตุแมกนีเซียมควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดความสมดุลกัน ถ้าธาตุแคลเซียมมาก อาจทำให้ขาดธาตุแมกนีเซียม <br /> การให้ปุ๋ยไนโตรเจน ต้องให้ธาตุแมกนีเซียม และธาตุแคลเซียมควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้เกิดความสมดุลกัน โดยเฉพาะพืชอาหารสัตว์ เช่น หญ้าเลี้ยงสัตว์ จะเกิดอาการเป็นพิษจากสารไนเตรท(Nitrate Poisoning) ดังนั้นเมื่อให้ปุ๋ยไนโตรเจนต้องให้ธาตุแมกนีเซียมและธาตุแคลเซียมควบคู่ไปด้วย <br /> <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br />ธาตุกำมะถัน SULPHUR <br /> <br /> ธาตุกำมะถัน เป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญในเชิงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในการผลิตปุ๋ยเคมี จะต้องมี กำมะถันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ นอกจากนี้ธาตุกำมะถัน ยังมีความสำคัญ ต่อการเจริญเติบโตของพืช หลายชนิด และมีพืชหลายชนิดที่ต้องการธาตุกำมะถันมากเป็นพิเศษ เช่น กาแฟ ปาล์มน้ำมัน อ้อย พืช ตระกูลถั่วที่เป็นอาหารสัตว์ และพืชผักต่าง ๆ <br />หน้าที่สำคัญของธาตุกำมะถัน <br /> ธาตุกำมะถันเป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโน(Amino acids) พืชต้องการธาตุกำมะถันเพื่อสังเคราะห์กรดอะ <br /> มิโนที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ซีสตีน(Cystine) ซีสเตอีน(Cysteine) และเมทธิโอนีน(Methionine) ดังนั้นจึงมี <br /> ส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีน, กรดอะมิโนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งคน <br /> และสัตว์ด้วย <br /> ธาตุกำมะถันจะช่วยในการควบคุม ชนิดและโครงสร้างของเม็ดสีคลอโรพลาสต์ ซึ่งภายในประกอบด้วย <br /> คลอโรฟีลล์เป็นแหล่งที่พบกำมะถันสะสมอยู่มาก เมื่อพืชขาดธาตุกำมะถันปริมาณของคลอโรฟีลล์จะลดลง <br /> ทำให้พืชมีสีเหลืองซีด <br /> ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงในการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็น และต้านทานต่อ <br /> โรคพืชหลายชนิด <br /> ช่วยสนับสนุนการเกิดปมที่รากของพืชตระกูลถั่วและกระตุ้นการสร้างเมล็ด <br /> มีส่วนสำคัญในการเกิดน้ำมันพืชและสารระเหยให้หัวหอมและกระเทียม <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุกำมะถัน <br /> พืชจะแคระแกรนหยุดการเจริญเติบโต <br /> ใบอ่อนมีสีเขียวจางลง รวมทั้งเส้นใบจะมีสีจางลงด้วย แต่ในใบแก่จะยังคงมีสีเขียวเข้ม <br /> ถ้าพืชขาดธาตุกำมะถันมาก พืชจะพัฒนาการเจริญเติบโตได้ช้า <br /> ลำต้นพืชจะสั้นและแคบเข้า ใบยอดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง <br /> ในพืชตระกูลถั่ว การตรึงธาตุไนโตรเจนที่ปมรากจะลดลงทั้งขนาดและจำนวนปม <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุกำมะถัน <br /> ในดินที่มีของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.0-6.0 <br /> ในดินที่มีค่าอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1%อินทรีย์วัตถุเป็นแหล่งสำรองของธาตุกำมะถัน ได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์ <br /> ผลจากการหักล้างถางพงป่ามาเป็นพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรจะทำให้ดินสูญเสียอินทรีย์วัตถุเร็วขึ้น <br /> การใช้ปุ๋ยสูตรที่มีความเข้มข้นของธาตุอาหารสูง จะทำให้เกิดการขาดธาตุกำมะถัน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียม <br /> ฟอสเฟต (MAP) ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต(DAP) หรือ ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต(TSP) <br /> <br />ธาตุอาหารเสริม <br /> <br />ธาตุสังกะสี (Zinc) <br />หน้าที่สำคัญของธาตุสังกะสีในพืช <br /> ช่วยให้พืชแตกใบอ่อนได้ดีขึ้น <br /> เสริมสร้างเมล็ด <br /> เสริมสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ในพืช <br /> เสริมสร้างการสุกการแก่ของผลไม้ <br /> เสริมสร้างความสูงและการยืดของต้น <br /> ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน <br /> ช่วยเสริมสร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ <br /> มีส่วนสำคัญในระบบของเอนไซม์ที่จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช <br /> มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว) ของพืช <br /> มีส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้ายพวกคาร์โบไฮเดรตและกระตุ้นการใช้น้ำตาลในพืช <br /> ทำหน้าที่เสมือนตัวต่อต้านความหนาวเย็น หรือทำหน้าที่เสมือนเป็นผ้าห่มให้แก่ต้นพืชเมื่อมีอากาศหนาวเย็น <br /> ช่วยให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตเมื่อมีอากาศหนาวเย็น <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุสังกะสี <br /> แสดงอาการเหลืองระหว่างเส้นใบ <br /> เส้นกลางของใบอ่อนจะแตกเป็นเส้นย่อย ๆ <br /> เกิดจุดสีน้ำตาลที่ใบแก่ ต่อมาจุดสีน้ำตาลจะขยายตัวติดต่อกัน ทำให้ใบเป็นสีน้ำตาล <br /> พืชจะมีการเจริญเติบโตช้า หรือเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร <br /> ในพืชต้นเล็ก ถ้าขาดอย่างรุนแรงจะทำให้พืชตายได้ <br /> ทำให้การสุกแก่ของผลไม้ช้ากว่าปกติ <br /> ทำให้ผลผลิตต่ำ <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุสังกะสี <br /> ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป <br /> ในดินที่มีธาตุสังกะสีที่เป็นประโยชน์ต่ำหรือมีปริมาณน้อย <br /> ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสมาก <br /> ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนมาก <br /> ในดินที่ถูกน้ำกัดเซาะมาก รวมทั้งดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก <br /> ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ <br /> ในดินที่มีการไถลึก 6 นิ้ว <br /> ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป <br /> ในดินที่สูญเสียธาตุสังกะสีมากหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว <br /> <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br /> <br />ธาตุเหล็ก - IRON <br /> ธาตุเหล็ก จะพบในดินมากโดยทั่วไป แต่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชเป็นส่วนมาก ปัญหาการขาดธาตุเหล็กของพืชไม่ใช่เกี่ยวกับปริมาณของธาตุเหล็กในดิน ปัญหาเกิดจากการไม่ละลายและความเป็นประโยชน์ต่อพืชของธาตุเหล็ก ดินที่มีความเป็นกรดมากจะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืช และดินที่มีความเป็นด่างมากก็จะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน ส่วนในดินที่มีน้ำขังจะทำให้ธาตุเหล็กมีประโยชน์ต่อพืชสูงขึ้น <br /> <br />หน้าที่สำคัญของธาตุเหล็กในพืช <br /> ช่วยเสริมสร้างความเขียวหรือสารคลอโรฟีลล์ในใบพืชแต่ไม่ได้เป็นส่วนของคลอโรฟีลล์ <br /> ช่วยในการสังเคราะห์แสงในใบพืชได้ดี เพื่อสร้างแป้งและน้ำตาล <br /> ช่วยเสริมสร้างเอนไซม์ในพืชเพื่อช่วยในระบบการหายใจของพืชทำให้พืชเจริญเติบโต <br /> ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการแบ่งเซลล์ของพืชเพื่อการเจริญเติบโต <br /> พืชต้องการเหล็กในปริมาณน้อยประมาณหนึ่งในร้อยส่วนเมื่อเทียบกับธาตุไนโตรเจน <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุเหล็ก <br /> ใบพืชจะมีสีซีดจางไม่เขียว แสดงอาการของสารคลอโรฟีลล์ <br /> จะทำให้ระบบของรากพืชไม่พัฒนา <br /> พืชเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ <br /> เส้นกลางใบพืชจะมีสีซีดจาง <br /> ถ้าพืชขาดธาตุเหล็กในปริมาณมากจะทำให้ผลผลิตลดลง <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุเหล็ก <br /> ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ตั้งแต่ 6.0 ขึ้นไป <br /> ในดินที่ขาดการให้ธาตุเหล็กที่เป็นประโยชน์ เช่น เหล็กคีเลท <br /> ในดินที่มีการไถลึก และดินที่ถูกน้ำกัดเซาะ <br /> ในดินที่มีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิในดินต่ำก่อนและหลังปลูกพืช <br /> ในดินที่แน่นมาก เช่น ดินเหนียว <br /> ในดินที่ใส่ปุ๋ยฟอสเฟตมาก <br /> ธาตุเหล็กไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่ ดังนั้นเมื่อมีใบใหม่ออกมาต้องให้ธาตุเหล็กเสมอ เพื่อไม่ให้พืช <br /> ขาดธาตุเหล็ก <br /> ในช่วงที่มีอากาศเย็น ดินเย็น พืชจะดูดธาตุเหล็กได้น้อยมาก <br /> การฉีดพ่นธาตุเหล็กคีเลททางใบพืชจะให้ประโยชน์แก่พืชมากกว่าให้ทางดิน <br /> <br /> <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br /> <br />ธาตุทองแดง - COPPER <br />หน้าที่สำคัญของธาตุทองแดง <br /> ทำหน้าที่ในการช่วยสร้างสารคลอโรฟีลล์(สีเขียว) <br /> ทำหน้าที่เพิ่มความหวานในผลไม้ <br /> ทำหน้าที่เพิ่มกลิ่นในผลไม้และผัก <br /> ทำหน้าที่เพิ่มความเข้มของสี <br /> เป็นตัวจักรสำคัญในการสังเคราะห์แสง <br /> เป็นตัวจักรสำคัญในระยะการผลิตดอกและผล <br /> เร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในพืช <br /> ผลิตเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการหายใจของพืช <br /> การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุทองแดง <br /> มีข้อใบสั้น <br /> ยอดที่เกิดใหม่จะแสดงอาการตายจากปลายยอดลงมา <br /> ใบจะมีสีซีดและจะไหม้ตายไปในที่สุด <br /> ในพืชพวกมะเขือ ใบจะหนาและมีสีเขียวเข้ม ใบอ่อนจะม้วนขึ้นมีจุดสีจาง ๆ และในใบแก่จะเหี่ยวเฉาเหมือน อาการขาดน้ำ <br /> ถ้าพืชขาดมากจะทำให้พืชเติบโตช้า <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุทองแดง <br /> ในดินที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.5-5.0 และ 7.0 ขึ้นไป <br /> ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง เพราะดินชนิดนี้จะไม่ยึดธาตุทองแดงไว้ <br /> ในดินทรายที่น้ำซึมลึกพาเอาธาตุทองแดงลงไปมาก <br /> ในดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูง ทำให้พืชดูดธาตุทองแดงได้น้อย <br /> ในดินที่มีอนุมูลเป็นจำนวนมากของธาตุอะลูมินั่ม ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก ธาตุแมงกานีส <br /> เมื่อมีการขาดธาตุทองแดงในพืช จะทำให้พืชขาดธาตุอื่น ๆ ด้วย รวมทั้งธาตุไนโตรเจน <br /> ธาตุทองแดงเป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนย้ายจากใบแก่ไปสู่ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ ดังนั้นต้องฉีดพ่นให้อยู่เสมอ เมื่อมีใบอ่อนออกมา <br /> พืชต้องการธาตุทองแดงในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เพื่อการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันกับธาตุโมลิบดีนัม <br /> <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br />ธาตุแมงกานีส - MANGANESE <br /> ธาตุแมงกานีส ที่พบในดินอยู่ในรูปของแมงกานีสไดออกไซด์ และในรูปที่เป็นไฮเดรต หรือในรูปของไอออนประจุบวก(Mn2+) <br /> <br />หน้าที่สำคัญของธาตุแมงกานีส <br /> เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่าง ๆ ในพืช <br /> ช่วยในการหายใจของพืช เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ <br /> ช่วยสังเคราะห์แสงทำให้เกิดสารคลอโรฟีลล์(สีเขียวในพืช) <br /> ช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานเคมี <br /> ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนในพืชให้เป็นแป้ง เป็นน้ำตาล โดยเฉพาะในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานเพิ่มขึ้น <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมงกานีส <br /> แสดงอาการใบเหลือง ต้นแคระแกรนไม่เจริญเติบโต <br /> ใบอ่อนที่แตกออกมาจะซีดขาว <br /> ใบแก่มีจุดสีน้ำตาล ปลายใบแห้ง <br /> ใบห้อยลงและเหี่ยวเฉา <br /> ยอดอ่อนจะแห้งตาย <br /> ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อย <br /> <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br /> เพิ่มจำนวนช่อดอก จำนวนผล <br /> เพิ่มคุณภาพของผลผลิต เช่น รสชาติ <br /> ช่วยเสริมสร้าง แป้ง และน้ำตาล <br /> ช่วยพัฒนาขนาดของผลและเมล็ด <br /> ช่วยในการผสมเกสรของดอก ป้องกันผลร่วง <br /> สังเคราะห์โปรตีน <br /> สร้างฮอร์โมนพืช <br /> ส่งเสริมการสุกการแก่ของผล <br /> ควบคุมการคายน้ำของผล <br /> มีบทบาทในการย่อยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต <br /> สร้างความต้านทานต่อความหนาวเย็นหรือเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ <br /> สร้างให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลง <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโบรอน <br /> อาการปลายใบพืชเหลืองแล้วขยายตัวลงมาตามขอบใบลงสู่โคนใบ และจะมีจุดน้ำตาลเกิดขึ้นที่ขอบใบ <br /> ใบมีสีทองใบหนาหงิกงอ ในบางกรณีใบจะมีอาการโค้งงอขึ้นข้างบน <br /> พืชแตกกิ่งก้านสาขามากผิดปกติและส่วนยอดของกิ่งก้านจะแห้งตาย <br /> พืชไม่ค่อยออกดอกหรือออกดอกแต่ดอกจะไม่สมบูรณ์ ดอกผสมไม่ติดทำให้ดอกร่วง <br /> ในพืชผักประเภทหัวจะมีอาการเน่า <br /> ในพืชที่ให้ผลอยู่จะให้ผลไม่สมบูรณ์ เช่น ส้ม ความหนาของเปลือกจะไม่เท่ากัน และบูดเบี้ยวมีเมือกเหนียว <br /> <br />ธาตุโมลิบดีนัม MOLYBDENUM <br /> พืชดูดโมลิบดีนัมในรูปโมลิบเดทที่เป็นอิออนประจุลบ(Mo O4 2-) การดูดใช้จะลดลงได้เมื่อมีอนุมูล ซัลเฟต(SO4 2-) มาแข่งขัน การใส่ปูนเพื่อปรับ พี-เอช ให้สูงถึง 7 จะช่วยส่งเสริมการดูดใช้โมลิบดีนัมในพืช <br /> <br />หน้าที่สำคัญธาตุโมลิบดีนัมในพืช <br /> ตรึงธาตุไนโตรเจนในพืชตระกูลถั่ว <br /> มีความสำคัญในการเปลี่ยนไนเตรทในพืชให้เป็นกรดอะมิโนเป็นโปรตีน <br /> เสริมสร้างการเจริญเติบโตของพืช <br /> ช่วยให้ผลไม้สุกแก่เร็วขึ้น <br /> ในผลไม้ที่มีสารไนเตรทสูง โมลิบดีนัมจะทำหน้าที่เปลี่ยนสารไนเตรท ให้เป็นกรด อะมิโน เป็นโปรตีน เป็นน้ำตาล <br /> <br />การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม <br /> แสดงอาการขอบใบแห้งและม้วนงอ <br /> พื้นที่ระหว่างเส้นใบจะมีสีซีดจางและจะแห้งตายในที่สุด <br /> ในกรณีที่พืชต้องการ(หิว) มาก ๆ ต้นจะแคระแกรน ติดดอกเล็ก ๆ ถ้าติดผล ๆ จะร่วงอย่างรวดเร็ว <br /> ในผลไม้จะสุกแก่ช้ากว่าปกติ <br /> ในผลไม้ที่รับประทานหวานจะไม่ค่อยมีรสหวาน <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม <br /> ในดินที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) 4.0-7.0 หรือ ดินเป็นกรด <br /> ในการใส่ปูนในดินเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน <br /> เมื่อใส่ธาตุเหล็กลงไปในดินหรือฉีดพ่นธาตุเหล็ก ในดินทราย ในดินที่ใส่ปุ๋ยพวกซัลเฟต <br /> <br /> <br />-------------------------------------------------------------------------------- <br /> <br /> <br /> ธาตุโบรอน BORON <br /> <br />หน้าที่สำคัญของธาตุโบรอนในพืช <br /> ปรากฏอยู่ <br /> ในผลจะมีเนื้อในน้อยหรือผลกลวง เช่น ในผลมะเขือเทศและส้มเขียวหวาน <br /> ส่วนปลายของผลจะช้ำและต่อมาจะเน่า <br /> สำหรับผลไม้ที่รับประทานหวานจะมีความหวานน้อยกว่าปกติ <br /> ผลร่วงมาก <br /> <br />สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุโบรอน <br /> ในดินที่ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน <br /> ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.5-5.0 และ 7.0-8.7 <br /> ในดินที่มีการซึมลึกของน้ำมาก <br /> ในดินที่ใส่ปูนมากเกินไป <br /> ในดินที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก <br /> ในดินที่มีธาตุไนโตรเจนสูงมาก <br /> ในดินที่มีปุ๋ยฟอสฟอรัสต่ำมาก <br /> ในดินที่เป็นดินทราย <br /> ในระยะที่มีสภาพอากาศแห้งแล้ง <br /> ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row2"><span class="name"><a name=""></a><b>kimzagass</b></span></td> <td class="row2" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 17/09/2010 7:55 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: </span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">ธาตุรอง/ธาตุเสริม คือ ปุ๋ยครับ... <br /> <br />แล้ว วิตามิน เกลือแร่ ล่ะ คืออะไร ?</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> <tr> <td width="22%" align="left" valign="top" class="row1"><span class="name"><a name=""></a><b>Nini</b></span></td> <td class="row1" height="28" valign="top"><table width="100%" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0"> <tr> <td width="100%"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/icon_minipost.gif" width="12" height="9" alt="ตอบ" title="ตอบ" border="0" /><span class="postdetails">ตอบ: 17/09/2010 2:38 pm<span class="gen"> </span> ชื่อกระทู้: ธาตุรอง ธาตุเสริม คืออะไร ..... สงสัยจริงๆ</span></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><hr /></td> </tr> <tr> <td colspan="2"><span class="postbody">คำว่า ธาตุรอง ธาตุเสริม คืออะไรค่ะ</span></td> </tr> </table></td> </tr> <tr> <td colspan="2" height="1" class="spaceRow"><img src="modules/Forums/templates/subSilver/images/spacer.gif" alt="" width="1" height="1" /></td> </tr> </table>
Powered by
phpBB
© 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©
Copyright @2015 by kasetloongkim.com All rights reserved
www.Stats.in.th
คำถามถามบ่อยของกระดานข่าว
ค้นหา
กลุ่มผู้ใช้งาน
ข้อมูลส่วนตัว
เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ
เข้าระบบ
