|
ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่
|
|
|
|
|
|
ขณะนี้มี 406 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม
ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่
|
|
|
|
|
|
|
|
เข้าระบบ
|
|
|
|
|
|
ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง
|
|
|
|
|
|
|
|
product13
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product9
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product10
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product11
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product12
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
สารเคมี12
พด.ตั้งกลุ่มเกษตรกรสารอินทรีย์ ทดแทนใช้สารเคมีทางการเกษตร |
|
|
|
การทำการตลาดในทุกวันนี้ต้องเน้นการตลาดนำการผลิต กล่าวคือความต้องการของตลาดหรือผู้บริโภคเป็นอย่างไรผู้ผลิตก็ควรผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการ เพราะนั่นจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าผลิตออกมาจะขายได้หรือไม่นั่นเอง ในทุกวันนี้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาที่จะสามารถตอบสนองความต้องการได้ ก็ต้องเป็นสินค้าที่ปลอดภัยต่อการบริโภค ในส่วนของพืชผักหรือผลไม้ก็เช่นกันต้องปลอดภัยจากสารพิษ ดังจะเห็นได้จากมีการผลิตผักผลไม้ปลอดสารพิษมาจำหน่ายมากมาย
กระบวนการผลิตสินค้าปลอดสารพิษนั้น ต้องเริ่มตั้งแต่ดินเนื่องจากเป็นรากฐานของการทำการเกษตรทุกชนิด ถ้าดินดีและไม่มีสารเคมีตกค้างก็จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัย โดยล่าสุดกรมพัฒนาที่ดินได้เปิดตัวโครงการดินดี ชีวิตปลอดภัย ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ 60 ปี และทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในปี 2550 ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการวิเคราะห์และตรวจประเมินที่ดินเพื่อการเกษตร พร้อมกับออกใบรับรองมาตรฐานดินดีปลอดธาตุพิษโลหะหนักให้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกรตลอดจนช่วยให้เกษตรกรของไทยมีที่ดินทำกินที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสืบไป
นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ดินเป็นพื้นฐานการผลิตทางการเกษตร เมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์ย่อมให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพืชอาหาร หากดินมีสิ่งปนเปื้อน เช่น ธาตุโลหะหนักต่างๆ ก็จะทำให้พืชอาหารไม่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค ในทางกลับกันถ้าพืชอาหารมีความปลอดภัย ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ ดังนั้น กระบวนการผลิตจึงต้องมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอน กรมพัฒนาที่ดินจึงได้มีโครงการดินดี ชีวีปลอดภัย สำหรับตรวจสอบคุณภาพดินรวมทั้งออกใบรับรองคุณภาพดินและการปลอดธาตุพิษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรว่าได้ผลิตพืชอาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
โดยมีเป้าหมายดำเนินการในพื้นที่เขตพัฒนาที่ดิน ตามรอยพระบาทครองราชย์ 60 ปี ฟื้นฟูปฐพีไทย จำนวน 96 เขตพัฒนาที่ดิน ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 1-12 มีเกษตรกรเข้าร่วมเขตละ 5 ราย รวมทั้งสิ้น 480 รายทั่วประเทศ วิธีการดำเนินการเริ่มตั้งแต่การเตรียมประเมินศักยภาพของพื้นที่ จากนั้นจะสำรวจพื้นที่และเก็บตัวอย่างดินส่งให้กลุ่มวิเคราะห์ดินทำการตรวจวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพดิน เคมีดินและโลหะหนักในดิน ถ้าผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางสำนักงานพัฒนาที่ดินเขตจะออกใบรับรองและมอบให้เกษตรกรเจ้าของพื้นที่
ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากโครงการดินดี ชีวีปลอดภัยนี้คือ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างชาญฉลาดในแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น สร้างความมั่นใจและเป็นกำลังใจให้เกษตรกรว่าได้ผลิตพืชบนดินที่ดีปลอดจากธาตุพิษ โลหะหนักต่างๆ รวมทั้งเป็นการวางรากฐานให้เกษตรกร มีระบบการผลิตพืชที่ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค สนับสนุนโครงการเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรปลอดสารพิษ ที่สำคัญช่วยนำร่องให้เกษตรกรได้รู้จักวิธีการบำรุงรักษาดินอย่างถูกวิธีนำไปสู่การผลิตที่ได้มาตรฐานในระดับสากล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าว
นอกจากการเปิดตัวโครงการดินดี ชีวีปลอดภัยแล้ว โครงการที่กรมพัฒนาที่ดินได้ดำเนินการเพื่อเป้าหมายในการลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรนั่นก็คือ โครงการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรใช้สารอินทรีย์ทดแทนสารเคมีทางการเกษตร
เรื่องนี้ นายบัณฑิต ตันศิริ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินด้านปฏิบัติการ ชี้แจงว่า กรมพัฒนาที่ดินได้ทำโครงการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรใช้สารอินทรีย์ทดแทนสารเคมีทางการเกษตร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและการใช้สารอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพให้กับเกษตรกร สร้างเครือข่ายเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่เกษตรที่ยั่งยืนและนำไปสู่กลุ่มเกษตรอินทรีย์ในอนาคต ซึ่งโครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการรวม 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2550-2554 มีเป้าหมายจัดตั้งกลุ่มให้ได้ทั้งหมด 68,000 กลุ่มทั่วประเทศ แบ่งเป็นปีละ 17,000 กลุ่มๆ ละ 50 คน รวมแต่ละปีจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 850,000 ราย
ทั้งนี้ กรมฯ ตั้งเป้าว่าจะให้มีกลุ่มเกษตรกรใช้สารอินทรีย์ฯ หมู่บ้านละ 1 กลุ่มเป็นอย่างน้อย โดยแต่ละกลุ่มเกษตรกรฯ จะได้รับความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารอินทรีย์ทดแทนสารเคมีอย่างถูกต้องจากเจ้าหน้าที่และวิทยากรหมอดิน ตลอดจนความรู้ด้านการพัฒนาที่ดินทุกรูปแบบ ซึ่งหลังการฝึกอบรมแล้วกลุ่มเกษตรกรจะต้องบริหารจัดการต่อยอดการผลิตปุ๋ยอินทรีย์สารชีวภาพที่ทางราชการมาเริ่มต้นให้เกิดการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์สารชีวภาพอย่างต่อเนื่องในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังต้องสร้างเครือข่ายขยายผลสู่เกษตรกรรายอื่น เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง จนกระทั่งนำไปสู่ระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ในอนาคต
นายบัณฑิต กล่าวด้วยว่า ถ้าสามารถทำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตมาเป็นเกษตรลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร หรือใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีในปริมาณที่น้อยลงแต่ควบคู่ไปกับปุ๋ยอินทรีย์สารชีวภาพก็จะได้ผลดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงสามารถลดต้นทุนการผลิตแล้วยังทำให้ผลผลิตมีความปลอดภัย รสชาติดีมีคุณภาพ เกษตรกรมีสุขอนามัยที่ดีขึ้นเพราะไม่ต้องเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีทางการเกษตร ที่สำคัญยังเป็นการฟื้นฟูผืนดินให้ดีขึ้น ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ที่มา : แนวหน้า
|
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved. ติดประกาศ: 2010-04-23 (1650 ครั้ง) [ ย้อนกลับ ] |
|
|
|
|
|