ผึ่งให้แห้งให้ได้ระดับความชื้น 17%
บรรจุเมล็ดในถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้แน่น นำไปวางในตู้อบที่ปรับอุณหภูมิประมาณ 39-40?ซ อบเป็นเวลา 50-80 วัน แช่เมล็ดในยากันราประมาณ 20 นาที นำเมล็ดมาเพาะ โดยรักษาระดับความชื้นให้ได้ประมาณ 22% เมล็ดจะค่อย ๆ งอกในระยะเวลาต่อมาภายใน 15-20 วัน เมื่อเมล็ดงอกให้เห็นยอดอ่อน และรากอ่อนชัดเจนแล้วจึงนำไปเพาะในกะบะทราย หรือเพาะในถุงพลาสติกที่บรรจุดินผสม ซึ่งปัจจุบันนิยมเพาะในถุงพลาสติก เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตตามต้องการจึงทำการย้ายลงแปลงปลูกต่อไป
การอนุบาลต้นกล้า
การอนุบาลต้นกล้าสามารถแยกเป็น 2 ระยะสำคัญคือ
1. ระยะ prenursery
การเลี้ยงต้นอ่อนระยะแรกต้องทำอย่างระมัดระวัง มีการบังร่มเงาในระยะแรกหากเพาะในกะบะทราย ควรทำร่มเงาเป็น สูงประมาณ 2 เมตร โดยมุงกับใบมะพร้าวหรือวัสดุที่พอหาได้ ดูแลแมลงศัตรูและทำการคัดต้นที่ผิดปกติและเป็นโรคทิ้ง ทำการป้องกันโรคและแมลงด้วยสารเคมีในการเพาะเมล็ด การวางเมล็ดปลูก ถ้าเป็นกะบะทรายต้องวางเมล็ดเป็นแถวเป็นแนวเพื่อสะดวกในการดูแลรักษา ระยะระหว่างต้นและแถวประมาณ 5 เซนติเมตร แต่ถ้าปลูกในถุงพลาสติกขนาดเล็กก็ใช้ 1 เมล็ดต่อ 1 ถุง วิธีวางเมล็ดต้องวางให้ส่วนของยอดอ่อนชี้ตั้งตรง และส่วนรากอยู่ข้างล่าง ไม่ควรฝังลึกมากนัก พอท่วมยอด หรือให้ยอดโผล่เหนือดินเล็กน้อย
ถ้าเพาะในกะบะทรายเมื่ออายุประมาณ 1 เดือน หรือมีใบ 2 ใบ จึงทำการย้ายไปยังถุงพลาสติกขนาดใหญ่ แต่ถ้าเป็นการเพาะในถุงพลาสติกขนาดเล็กอาจเลี้ยงไว้ประมาณ 2-4 เดือน จึงทำการย้ายลงถุงพลาสติกขนาดใหญ่
การให้ปุ๋ย ระยะแรกของการเจริญเติบโต อาจจะยังไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ย เนื่องจากจะใช้อาหารสำรองภายในเมล็ด แต่เมื่ออาหารสำรองในเมล็ดหมดก็จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ยสูตร 15-15-6-4 ให้ทุกอาทิตย์ หลังจากต้นกล้าอายุประมาณ 1 เดือน ใช้อัตรา 7 กรัมผสมน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นแก่ต้นกล้า
การให้น้ำ ระยะนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากต้นกล้าปาล์มยังเล็กจะต้องการความชื้นอย่างเพียงพอต่อกากรเจริญเติบโต ถ้าขาดน้ำทำให้การเจริญเติบโตช้า มีรูปร่างผิดปกติ และอ่อนแอต่อการทำลายของโรค ปกติต้องให้น้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น
2. ระยะ main mursery
การเลือกพื้นที่สำหรับอนุบาลต้นกล้าในระยะนี้มีความสำคัญ พื้นที่ต้องเป็นที่ราบสม่ำเสมอทั่วแปลง มีทางระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับเรือนเพาะชำ เพื่อสะดวกในการขนย้ายกล้าลงปลูก
ทำการบรรจุดินลงถุงดำขนาด 15 x 18 นิ้ว ที่เจาะรูระบายน้ำไว้ด้านล่าง และด้านข้างของถุง ทำการย้ายกล้าลงปลูกในถุงที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นวางถุงพลาสติกที่ปลูกต้นปาล์มเรียบร้อยแล้วไปวางไว้ในพื้นที่ดังกล่าวโดยวางถุงเป็นรูป 3 เหลี่ยม ระยะห่างกัน 90 x 90 x 90 เซนติเมตร อาจเว้นทางเดินสำหรับรดน้ำหรือติดระบบน้ำขนาด 1-1.2 ม. ทุก ๆ ระยะ 15-20 เมตร ตามความกว้างของแปลง
การให้ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้ ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-6-4 สลับกับปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 ในอัตราดังแสดงในตารางข้างล่าง การให้ปุ๋ยใช้วิธีหว่านรอบ ๆ โคนต้น ไม่ให้ปุ๋ยถูกใบปาล์ม
ตาราง การใส่ปุ๋ยใน Main-mursery
อายุต้นกล้า (เดือน)
|
ชนิดของปุ๋ย
|
อัตรา (กรัม/ต้น)
|
4
|
15-15-6-4
|
10
|
5
|
12-12-17-2
|
10
|
6
|
15-15-6-4
|
15
|
7
|
12-12-17-2
|
15
|
8
|
15-15-6-4
|
20
|
9
|
12-12-17-2
|
20
|
10
|
15-15-6-4
|
25
|
11
|
12-12-17-2
|
30
|
12
|
15-15-6-4
|
35
|
13
|
12-12-17-2
|
35
|
14
|
15-15-6-4
|
35
|
15
|
12-12-17-2
|
35
|
ทำการอนุบาลต้นกล้าจนกระทั่งต้นกล้ามีขนาดโตพอสมควร หรือมีอายุประมาณ 12-14 เดือน จึงสามารถย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลงที่เตรียมไว้
ระยะปลูก
ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพันธุ์ลูกผสมที่ได้จากพ่อพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ
พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม
|
ปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่าระยะปลูก (ม.)
|
จำนวนต้น/ไร่
|
Dell Dura x AVROS |
9.00
|
22
|
Dell Dura x Ekona |
8.75
|
24
|
Dell Dura x Ghana |
8.50
|
25
|
Dell Dura x La Me' 9.00 |
9.00
|
22
|
การปฏิบัติ และบำรุงรักษาสวนปาล์มน้ำมัน
1. การป้องกันและการกำจัดวัชพืช
วัชพืชในสวนปาล์มน้ำมัน ในช่วงฤดูแล้ง ไม่ควรกำจัดวัชพืชเพราะทำให้ดินขาดความชุ่มชื่น
2. การใส่ปุ๋ย
ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินเดิม ความต้องการของปาล์มน้ำมันในระยะต่าง ๆ สภาพแวดล้อมลมฟ้าอากาศ ชนิดของปุ๋ยอัตราการใช้
3. การป้องกันกำจัดโรคแมลง
ไม่ควรพ่นสารเคมีทันที เมื่อพบศัตรูพืชเพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังทำลายศัตรูธรรมชาติที่เป็นประโยชน์อีกด้วย ควรสุ่มตัวอย่าง เช่น ตัดทางใบที่ 17 ตรวจนับหนอนร่าน ถ้าพบมีมากกว่า 5 ตัว ต่อทางใบโดยเฉลี่ย จึงควรป้องกันกำจัดโดยพ่นสารเคมี
4. การตัดช่อดอก
ในระยะเริ่มการเจริญเติบโต การตัดช่อดอกตัวผู้และตัวเมีย ทิ้งในระยะแรก มีผลทำให้ต้นปาล์มเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และมีขนาดใหญ่ เพราะอาหารที่ได้รับจะเสริมส่วนของลำต้น แทนการเลี้ยงช่อดอกและผลผลิต เมื่อถึงระยะให้ผลผลิตที่ต้องการ ผลผลิตจะมีขนาดใหญ่ และสม่ำเสมอ ถ้าไม่ตัดปล่อยทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว อาจเป็นแหล่งของเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคทะลายเน่าได้
การตัดแต่งทางใบ (Pruning)
การตัดแต่งทางใบปาล์มน้ำมันมีวัตถุประสงค์เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน เช่น การกำจัดวัชพืช การให้ปุ๋ย การเก็บเกี่ยว เป็นต้น ในทางทฤษฎีต้องการตัดทางใบออกให้น้อยที่สุด เพื่อช่วยในการปรุงอาหาร ปาล์มขนาดเล็กที่ยังไม่ให้ผลผลิตควรตัดทางใบล่างสุดโดยรอบออกก่อน เพื่อง่ายต่อการกำจัดวัชพืชบริเวณรอบโคนต้น หลังจากนั้นจึงค่อยตัดทางใบที่เหนือขึ้นมา ส่วนในปาล์มที่โตแล้วมักนิยมตัดทางใบให้เหลือรองรับทะลายปาล์มเพียง 2 ทาง เพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว ทางใบที่ถูกตัดควรวางเรียงกระจายไว้รอบโคนต้น หรือวางเรียงซ้อน 2-3 ชั้น เป็นแถวในระหว่างแถวปาล์มจะเป็นการช่วยเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน และสามารถรักษาความชุ่มชื้นของดินได้อีกทางหนึ่งด้วย
การตัดช่อดอกทิ้งในระยะแรก
(disbudding, ablation)
ปาล์มน้ำมันเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 3 ปีหลังปลูก มีการแนะนำให้ทำการตัดช่อดอกที่เกิดขึ้นในระยะแรกทิ้ง เพื่อให้การเจริญเติบโตของต้นสมบูรณ์เต็มที่ แทนที่จะต้องใช้อาหารส่วนหนึ่งไปเลี้ยงผล ซึ่งในระยะแรกมักมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์ เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ บางครั้งการเกิดช่อดอกในระยะแรกจะให้ช่อดอกกระเทยคือ มีส่วนของดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่ในช่อดอกเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ดี ควรทำการตัดทิ้ง
การตัดช่อดอกทิ้งมักเริ่มทำตั้งแต่ต้นปาล์มอายุ 14 เดือนหลังย้ายปลูกจนถึง 26 เดือน หลังจากนั้นจึงปล่อยให้ช่อดอกเจริญเติบโตเป็นผลที่สมบูรณ์
การช่วยผสมเกสร (Assisted pollination)
ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีช่อดอกตัวผู้และช่อดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกัน แต่แยกกันอยู่คนละช่อ เนื่องจากเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในต้นมีช่วงการบานไม่พร้อมกัน ปาล์มน้ำมันจึงจัดเป็นพืชผสมข้าม การผสมเกสรระหว่างต้นเกิดขึ้นโดยลม หรือแมลงเป็นตัวนำ ในระยะแรกของการติดผลมีการสร้างช่อดอกน้อย ละอองเกสรจึงอาจมีไม่เพียงพอ ทำให้การติดผลค่อนข้างต่ำ รวมไปถึงสภาพอากาศ เช่น ในช่วงที่มีฝนตกชุก การผสมเกสรอาจต่ำกว่าปกติ ดังนั้นการช่วยผสมเกสรในระยะแรกจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ำมันในบางพื้นที่
วิธีการทำโดยตัดช่อดอกตัวผู้ที่บานแล้วนำมาเคาะให้ละอองเกสรหลุดร่วงในถุงกระดาษ ถ้าจะทำการช่วยผสมในวันถัดมาต้องนำละอองเกสรผึ่งแดดให้แห้ง นำมาผสมใน discator หลังจากเก็บละอองเกสรมาแล้วจึงนำไปผสมกับผง talcum ในอัตราส่วนละอองเกสร ; ผง talcum 1:5 แล้วนำไปผสมกับช่อดอกตัวเมียที่พร้อมรับการผสม เนื่องจากวิธีการดังกล่าวนี้ต้องใช้แรงงานคนช่วย โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดใหญ่ทำให้สิ้นเปลืองแรงงาน ได้มีผู้นำด้วงชนิดหนึ่งมาจากอัฟริกา เรียกว่า ด้วงงวงดอกปาล์มน้ำมัน (Elaeidobius karumericus) นำมาปล่อยในสวนปาล์มเพื่อช่วยในการผสมเกสร ด้วงชนิดนี้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วและไม่ทำอันตรายต่อต้นปาล์ม พบว่าให้ผลเป็นที่น่าพอใจ
การให้น้ำ
ในสภาพพื้นที่ที่ช่วงฤดูแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีการขาดน้ำมากกว่า 250 มิลลิเมตร/ปี ถ้ามีแหล่งน้ำเพียงพอควรมีการให้น้ำเสริมในฤดูแล้ง ในปริมาณ 150-200 ลิตร/ต้น/วัน
การใส่้ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยเคมีปาล์มน้ำมัน : การใส่ปุ๋ยเดี่ยวของปาล์มอายุ 5 ปีขึ้นไป
1. ระยะเวลา และการแบ่งใส่
ใส่ปุ๋ยเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ หลีกเลี่ยงการใส่เมื่อแล้งจัดหรือฝนตกหนัก ในปีแรกหลังจากปลูกควรใส่ปุ๋ย 4-5 ครั้ง ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป ควรใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง/ปี ช่วงที่เหมาะสมในการใส่คือ ต้นฝน กลางฝน และปลายฝน ตั้งแต่ปีที่ 5 ขึ้นไป อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยเพียงปีละ 2 ครั้ง ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมบ่งใส่ปุ๋ย (ตามอัตราที่แนะนำ) เมื่อแบ่งใส 3 ครั้ง/ปี แนะนำให้ใช้สัดส่วน 50:25:25% สำหรับการใส่ปุ๋ย ต้นฝน กลางฝน และปลายฝน และเมื่อแบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี ใช้สัดส่วน 60:40% ระยะต้นฝนและก่อนปลายฝน ตามลำดับ
ช่วงต้นฝน คือ ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน
ช่วงกลางฝน คือ ประมาณเดือนกรกฎาคม - กันยายน
ช่วงหลายฝน คือ ประมาณเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน
2. วิธีการใส่ปุ๋ย
ปีที่ 1 : เมื่อย้ายกล้าปลูก (กล้าปาล์มอายุ 10 - 12 เดือน) ใส่ร็อกฟอสเฟตรองก้นหลุมประมาณ 250 กรัมต่อหลุม เนื่องจากปุ๋ยนี้จะตกค้างเป็นประโยชน์ได้ 2 - 3 ปี จึงไม่จำเป็นต้องใส่ทุกปี
หลังจากปลูกแล้วทุก 3 เดือน ใส่ปุ๋ย 21 -11 - 11+ 1.2 Mgo ต้นละ 200 - 300 กรัมและใส่อีกครั้งเมื่อปลูกได้ 6 เดือน ในอัตราเดิม และใส่อีกครั้งเมื่ออายุได้ 9 เดือน ในอัตราเดิม
ปีที่ 2 : เมื่ออายุได้ 18 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 + 2 Mgo อัตราต้นละ 400 - 500 กรัม เมื่ออายุได้ 24 เดือนเต็ม ใช้ปุ๋ยเดิม คือ 14 - 9 - 20 + 2 Mgo อัตราต้นละ 0.5 ก.ก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) อัตราต้นละ 0.5 กก.
ปีที่ 3 : เมื่ออายุปาล์มได้ 30 เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 + 2 Mgo อัตราต้นละ 800 กรัม และเมื่อปาล์มอายุได้ 36 เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร14 - 14 - 21 อัตราต้นละ 1 กก.
ปีที่ 4 : เมื่ออายุปาล์มได้ 42 เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 + 2 Mgo อัตราต้นละ 1.5 กก. ร่วมกับปุ๋ยร็อกฟอสเฟต อีกอัตราต้นละ 1 กก. (สูตร 0 - 3 - 0) และปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์อัตราต้นละ 1.5 กก. (สูตร 0 - 0 - 60)
ปีที่ 5 : ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo อัตราต้นละ 2 กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) อัตราต้นละ 1.5 กก.
ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 21 อัตราต้นละ 2 กก.
ปีที่ 6 : ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตรเดิม คือ ครั้งแรกปุ๋ยสูตร 14 - 19 - 20 - 2 Mgo อัตราต้นละ 2 กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) อัตราต้นละ 1.5 กก.
ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 21 อัตราต้นละ 2 กก.
ปีที่ 7 : ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo อัตราต้นละ 2 กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) อัตราต้นละ 1.5 กก.
ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 21 อัตราต้นละ 2.5 กก.
ปีที่ 8 : ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo อัตราต้นละ 2.5 กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแทสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) อัตราต้นละ 2 กก.และปุ๋ยร็อกฟอสเฟตอัตราต้นละ 2 กก.
ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 21 อัตราต้นละ 2.5 กก.
ปีที่ 9 : การใส่ปุ๋ยตั้งแต่ปีที่ 9 เป็นต้นไป ต้องใช้ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต เพราะปุ๋ยร็อกฟอสเฟตใส่ 3 ปี ต่อครั้ง ไม่ต้องใส่ทุกปีส่วนปุ๋ยสูตรอื่น ๆ ยังคงใส่เหมือนเดิมทุกปี
1. ปุ๋ยสูตร 20 - 11 - 11 + 1.2 Mgo เป็นปุ๋ยหลักที่ใส่ให้กับปาล์มที่ปลูกในปีแรก
2. ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo เป็นสูตรปุ๋ยที่ใช้ใส่ต้นปาล์มทุกปี
3. ปุ๋ยสูตร 0 - 0 - 60 หรือ ปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ โดยใช้ร่วมกับปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo ปุ๋ยทั้ง 2 สูตรนี้ ใส่ให้ต้นปาล์มครั้งแรกของทุกปี
4. ปุ๋ยสูตร 14 - 14 - 21 (หรือปุ๋ยสูตรตัวท้ายอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกัน) เป็นปุ๋ยที่ใส่ให้ต้นปาล์มทุกปี ๆ ละ 1 ครั้ง (ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2)
5. ปุ๋ยร็อกฟอสเฟตใส่ทุก ๆ 2 ปี ทุก ๆ 3 ปี ก็ได้ ประมาณ 2 กก. / ต้น
การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร 14 - 9 - 20 - 2 Mgo ผสมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร 0 - 0 - 60) หรือบางปีอาจร่วมกับปุ๋ยร็อกฟอสเฟตด้วย เมื่อจำเป็น
เมื่อผสมทั้ง 3 สูตรนี้เข้าด้วยกันแล้วต้องรีบใส่ให้ต้นปาล์มทันที ในสวนปาล์มส่วนใหญ่ ค่าปุ๋ยจะเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุด แต่ในบางครั้งอาจจะได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่า หรือเกิดการสูญเปล่า ดังนั้นในสวนปาล์มขนาดใหญ่ จึงควรตระหนักเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิต การใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะพิจารณาผลการวิเคราะห์ดินใบปาล์มน้ำมัน อัตราปุ๋ยและชนิดปุ๋ย ทั้งนี้เพื่อจะลดการสูญเสีย เนื่องจากขาดความเอาใจใส่ในการใส่ปุ๋ยให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดต่างๆ ที่มักพบโดยทั่วไป คือ
ใส่ปุ๋ยผิดวิธี การใส่ปุ๋ยเป็นบริเวณแคบๆ หรือกองไว้เป็นจุด ๆ แทนที่จะหว่านให้ทั่วนั้น อาจจะเป็นอันตรายกับราก และทำให้เกิดการสูญเสียเนื่องจากการชะล้างและไหลบ่าได้
เวลาใส่ปุ๋ยไม่เหมาะสม การใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินแห้ง หรือเปียกเกินไป จะมีผลต่อการสูญเสียไนโตรเจนมากที่สุด
ปริมาณใส่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในปาล์มเล็ก
ความไม่สมดุลระหว่างธาตุอาหารที่ใส่
ใส่ไม่ถูกต้อง (ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือไม่เหมาะสม)
โรคใบไหม้ (Curvularia Seedling Blight)
เป็นโรคที่พบมากในระยะกล้าโดยจะทำความเสียหายมากในแปลงเพาะกล้าโดยทั่วๆ ไปจะเกิดอาการกับใบอ่อนส่วนมาก นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถ จะเกิดกับต้นปาล์มน้ำมันที่ปลูกในแปลงในช่วงระยะปีแรก ๆ
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Curvularia sp.
ลักษณะอาการ : พบอาการของโรคบนใบอ่อนโดยเฉพาะใบยอดที่ยังไม่คลี่โดยในระยะแรกจะเกิดจุดเล็ก ๆ ลักษณะโปร่งใสกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อแผลขยายเต็มที่จะมีลักษณะบุ๋มสีน้ำตาลแดง มีลักษณะบาง ขอบแผนนูน ลักษณะฉ่ำน้ำ มีวงสีเหลืองล้อมรอบแผล แผลมีลักษณะรูปร่างกลมรี ความยาวของแผลอาจถึง 7 - 8 เซนติเมตร เมื่อเกิดระบาดรุนแรงแผล ขยายตัวร่วมกันทำให้ใบไหม้ม้วนงอและฉีกขาด การเจริญเติบโตของต้นกล้าชะงักไม่เหมาะในการนำไปปลูก ในกรณีระบาดรุนแรงต้นกล้าถึงตายได้
การป้องกันกำจัด
เผาทำลายใบและต้นที่เป็นโรค พ่นด้วยสารเคมีที่ไม่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบ เช่น ไทแรม แคปแทน อัตรา 50 กรัม / น้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 5 - 7 วัน ในระยะที่เริ่มมีการระบาด
โรคใบจุด (Helminthosporium Leaf Spot)
เป็นโรคในระยะกล้าที่พบในช่วงอายุตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไป โรคนี้พบว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าโรคใบไหม้ และพบมาก ในสภาพที่มีอากาศแล้งจัดและความชื้นน้อย
เชื้อสาเหตุ
เกิดจาก Drechslera halodes
ลักษณะอาการ
เกิดจุดแผลสีเหลืองจำนวนมากบนใบอ่อนที่เริ่มคลี่ โดยมากจะเกิดในลักษณะเป็นกลุ่มบริเวณปลายฝน ต่อมาจุดแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาดำเมื่อใบที่เกิดกลุ่มแผลจะมีสีเหลืองรวมเป็นบริเวณกว้าง โรคจะระบาดโดยเริ่มจากแผลเหล่านี้ขยายกว้างออกไป ปลายฝนเริ่มแห้งและตายไปในที่สุด
การป้องกันกำจัด
แยกต้นที่เป็นโรคและเผาทำลาย พ่นด้วยสารเคมีฆ่าเชื้อรา เช่น แคปแทน หรือไทแรม การพ่นสารเคมีต้องพ่นทั้งบนใบและใต้ใบ
โรคก้านทางใบบิด (Crown Disease)
พบมากกับปาล์มน้ำมันในแปลงปลูกอายุ 1 - 3 ปี เป็นโรคที่พบเสมอ
เชื้อสาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัดเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลย์ของธาตุอาหารโดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน และแมกนีเซียม
ลักษณะอาการ
เกิดแผลเน่าบริเวณใบยอด เมื่อยอดเจริญทางยอดคลี่ออกบริเวณที่เคยเป็นแผล เน่าใบย่อยจะแห้งฉีกขาดไป ก้านทางบริเวณนี้จะเหลือแต่ตอก้านทางส่วนนี้จะหักโค้งลง เมื่อต้นปาล์มน้ำมัน สร้างดอกใหม่ก็จะแสดงอาการเช่นนี้จนเป็นทั้งคราว (Crown) บางครั้งทางจะหักล้มโดยไม่แสดงอาการเน่าก่อน
โรคก้านทางใบเน่า
พบครั้งแรกกับต้นปาล์มน้ำมันอายุประมาณ 2 ปี
เชื้อสาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด
ลักษณะอาการ
ใบย่อยจะมีสีเขียวเข้มลักษณะผิวใบจะด้าน ไม่มันปลายทางใบจะบิด เมื่อเป็นมากก้านทางจะเกิดรอยแตกสีน้ำตาลอมม่วง ตามความยาวของทาง เมื่อฉีกดูจะพบภายในเน่าสีน้ำตาล เริ่มจาก ปลายทางไปหาโคนทางใบ
การป้องกันกำจัด
ตัดส่วนที่เป็นโรคออกเผาทำลาย และราดบริเวณรอยตัดด้วยสารเคมี
โรคยอดเน่า (Spere Rot)
ระบาดมากในช่วงฤดูฝน ส่วนมากจะพบกับปาล์มน้ำมัน อายุ 1 - 3 ปี ในสภาพน้ำขังจะพบโรคนี้มาก
เชื้อสาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการแยกหาเชื้อ สาเหตุจะพบเชื้อรา Fusarium sp. และแบคทีเรีย Erwinia sp.
ลักษณะอาการ
โคนยอดจะเกิดเน่าระยะแรกแผลมีสีน้ำตาลต่อมาแผลจะขยายทำให้ใบยอดเน่าแห้งสามารถดึงหลุดออกได้
การป้องกันกำจัด
ป้องกันแมลงอย่าให้มากัดกินบริเวณยอด ถ้าพบโรคในระยะแรกตัดส่วนที่เป็นโรคออกให้หมด แล้วฉีดพ่นด้วยยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไทแรม อาลีแอท
โรคตาเน่า – ใบเล็ก (Bud Rot – Little Leaf Disease)
เป็นโรคที่พบกับปาล์มน้ำมันอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไประบาดมากในช่วงฤดูฝน
เชื้อสาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด
ลักษณะอาการ
ใบยอดจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและเกิดการเน่าบริเวณกลางใบยอด จนกระทั่งเน่าแห้งทั้งใบสามารถดึงหลุดออกมาได้ ทางใบถัดไปจะเริ่มเหลืองอาการเน่าลุกลามถึงตาทำให้ตาเน่าไม่มีการแทงยอดใหม่ต้นปาล์มน้ำมันจะตาย แต่ถ้าสภาพไม่เหมาะสมเชื้อทำลายไม่ถึงตา จะมีการแทงยอดมใหม่ออกมา แต่จะมีลักษณะผิดปกติ คือทางใบสั้น ปลายกุด มักจะพบลักษณะ 1 - 4 ทาง แล้วจึงเกิดทางปกติ ขึ้นกับความรุนแรงของโรค
การป้องกันกำจัด
ป้องกันแมลงอย่าให้มากัดกินบริเวณยอด ถ้าพบโรคในระยะแรกตัดส่วนที่เป็นโรคออกให้หมด แล้วฉีดพ่นด้วยยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไทแรม อาลีแอท
โรคทะลายเน่า (Marasmius Bunch Rot)
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อเห็ด Marasmius sp.
ลักษณะอาการ
บนทะลายปาล์มน้ำมันก่อนจะสุกจะพบเส้นใยสีขาวของเชื้อขึ้นระหว่างผลจะเจริญเข้าไปในผลทำให้เปอร์เซ็นต์กรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น ผลเน่าเป็นสีน้ำตาลดำมีลักษณะนุ่มถ้ามีสภาพเหมาะสมความชื้น มากเชื้อจะสร้างดอกเห็ดบนทะลาย
การป้องกันกำจัด
ตัดทะลายที่แสดงอาการออกให้หมดรวมทั้งช่อดอกตัวเมียที่ผสมไม่ดี เศษซากเกสรตัวผู้ที่แห้ง ฉีดพ่นด้วยสารเคมีหลังจากตัดส่วนที่เป็นโรคแล้วด้วยสารเคมีเช่น antigro terzan,vitavax หรือ antracol
โรคผลเน่า (Fruit Rot)
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อรา Fusaium sp. Collecioirichum sp. Peni*****lium sp. Votryodiplodia sp.
ลักษณะอาการ
เปลือกนอกของผลจะอ่อนนุ่มสีดำ โดยจะเริ่มจากโคนหรือปลายผลเข้ามา โดยมากจะเกิดกับผลที่สุกแก่
โรคลำต้นส่วนบนเน่า
เชื้อสาเหตุ
รายงานจากต่างประเทศว่าเกิดจากเชื้อเห็ด Phillinus sp. ร่วมกับ Ganedema sp.
ลักษณะอาการ
พบว่าส่วนบนของลำต้นจากยอดประมาณ 0.5 เมตร จะหัก พบครั้งแรกกับต้นอายุ 9 ปี เมื่อผ่าดูพบว่าเชื้อจะเข้าทางฐานของก้านทางทำให้เกิดอาการเน่าบริเวณลำต้น ในขณะที่ตาดและรากแสดงอาการปกติ
การป้องกันกำจัด
เผาทำลายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรค อย่าเคลื่อนย้ายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็น โรคผ่านไปในแปลงที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ในกรณีที่พบอาการใหม่ ๆ ถากส่วนที่เป็นโรคออกแล้วทาบริเวณแผล ด้วยสารป้องกันและกำจัดโรคพืช
แมลงศัตรูที่สำคัญ
1. หนอนหน้าแมว กัดทำลายใบจนเหลือแต่ก้านใบ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ควรสำรวจแมลงในพื้นที่เป็นประจำ
2. ด้วงกุหลาบ กัดทำลายใบของต้นปาล์มน้ำมัน ขนาดเล็กที่เพิ่งปลูกใหม่
3. ด้วงแรด กัดเจาะโคนทางใบ ทำให้ทางใบหักง่าย และยังกัดเจาะทำลายยอดอ่อน ทำให้ทางใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็น ริ้วๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยม ถ้ารุนแรงจะทำให้ต้นตายได้
สัตว์ศัตรูที่สำคัญ
- ระยะตั้งแต่ปลูกจนถึงระยะเริ่มให้ผลผลิต (อายุ 1-3 ปี) มักพบ เม่น หมูป่า หนู และอีเห็น เข้ามากัดโคนต้นอ่อน และทางใบปาล์มส่วนที่ติดกับพื้นดิน
- ระยะให้ผลผลิตศัตรูที่สำคัญ คือ หนู ซึ่งที่พบในสวนปาล์ม ได้แก่ หนูนาใหญ่ หนูท้องขาวทั้งชนิดที่เป็น หนูป่ามาเลย์ และหนูบ้านมาเลย์ หนูพุก หนูฟันขาวใหญ่ หนูท้องขาวสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังพอ เม่น กระแต หมูบ้า และอีเห็น
การป้องกันกำจัด
1. โดยไม่ใช้สารเคมี
- การล้อมรั้วกับปาล์มที่มีอายุ 1 - 3 ปี ที่มีปัญหาจากเม่น ควรล้อมโคนต้นประมาณ 15 เซนติเมตร
- การล้อมดี ใช้คนหลายคนช่วยกัน วิธีนี้ช่วยลดปริมาณหนูลงระยะหนึ่ง ถ้าจะให้ผลดีจะต้องทำบ่อย ๆ ครั้ง
- การดัก เช่น กรงดัก กับกัด หรือเครื่องมือดักหนูจะให้ผลดีในเนื้อที่จำกัดเหยื่อดักควรคำนึงสัตว์ชนิดที่ต้องการดักมีความคุ้นเคยหรือต้องการอาหารชนิดใดมีมากน้อยเพียงใด
- การเขตกรรม โดยหมั่นถางหญ้าบริเวณต้นปาล์มอย่าให้มีหญ้าขึ้นรกเพราะเป็นที่หลบอาศัยที่ดีของสัตว์ศัตรูปาล์ม
- การยิง ใช้ในกรณีสัตว์ศัตรูปาล์มเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เม่น ช้างป่า
- การอนุรักษ์สัตว์ศัตรูธรรมชาติ เช่น ศัตรูธรรมชาติของหนู คือ งูสิง งูแมวเซา งูแสงอาทิตย์ งูเห่า งูหางมะพร้าว พังพอน เหยี่ยว จำเป็นต้องสงวนปริมาณให้สมดุลกับธรรมชาติ
2. โดยใช้สารเคมี
การใช้สารฆ่าหนูเป็นวิธีการลดจำนวนประชากรหนูอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สารฆ่าหนูที่ออกฤทธิ์เฉียบพลัน ได้แก่
- ชิงค์ฟอสไฟด์ เป็นผงสีดำ กลิ่นฉุนคล้ายกระเทียม ความเข้มพอเหมาะ หนู เดินเข้าไปจะตายภายใน 12 ชั่วโมง โดยใช้อัตรา 1 : 100 ส่วนโดยน้ำหนัก นำไปวางไว้ตามรอยทางเดิน
- ซัลมูริน ในท้องตลาดจำหน่ายในรูปซัลมูริน 1% ผสมกับเหยื่ออัตรา 1 : 19 ส่วน ยานี้จะทำลายระบบประสาท ทำให้หนูเป็นอัมพาตและตายภายใน 1 วัน
นอกจากนี้ การกำจัดแมลงศัตรูปาล์มน้ำมัน ซึ่งได้แก่ หนอนหน้าแมว หนอน ดราน่า ด้วงกุหลาบ หนอนเขาสัตว์ หนอนกินใบ หนอนร่านโพนีตา ให้ใช้สารเคมี ประเภทคาร์บาริล เซฟวิน 80 % และวิธีจับทำลายโดยตรง
การเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมัน
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวผลปาล์มสดรวมถึงการรวมผลปาล์มส่งโรงงาน มีขั้นตอนโดยทั่วไปดังนี้
1. ก่อนอื่นจะต้องแต่งช่อทางลำเลียงแถวปาล์มในแต่ละแปลงให้เรียบร้อยสะดวกกับการลำเลียง และการตรวจสอบทะลายปาล์มที่ตัดแล้ว เพื่อรวบรวมต่อไป
2. คัดเลือกทะลายปาล์มสุกโดยยึดมาตรฐานจากการดูสีของผล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและจำนวนผลสุกที่ร่วงหล่นลงบนดินประมาณ 10 – 12 ผล ผลให้ถือเป็นผลปาล์มสุกที่ใช้ได้
3. หากปรากฏว่าทะลายปาล์มสุกที่จะตัดมีขนาดใหญ่ ที่ติดแน่นกับลำต้นมากไม่สะดวกกับการใช้เสียมแทงเพราะจะทำ ให้ผลร่วงมาก ก็ใช้มีดขอหรือมีดด้ามยาวธรรมดา ตัดแชะขั้วทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายปาล์มก็จะหลุดออกคอต้นปาล์มได้ง่ายขึ้น
4. ให้ตัดแต่งขั้วทะลายปาล์มที่ตัดออกมาแล้วให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสะดวกในการขนส่ง หรือเมื่อถึงโรงงาน ทางโรงงานก็จะบรรลุลงในถังต้นลูกปาล์มได้สะดวก
5. รวบรวมผลปาล์มทั้งที่เป็นทะลายย่อยและลูกร่วงไว้เป็นกองในที่ว่างโคนต้น เก็บผลปาล์มร่วงใส่ตะกร้าหรือเข่ง กรณีต้นปาล์มมีอายุน้อย ทางใบปาล์มอาจรบกวนทำให้เก็บยาก
6. สำหรับกองทางใบที่ตัดแล้วอย่าให้กีดขวางทางเดิน หรือปิดกั้นทางระบายน้ำจะทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำที่ขังตามทางเดิน
7. รวบรวมผลปาล์มทั้งทะลายสดและผลปาล์มร่วงไปยังศูนย์รวมผลปาล์มในกองย่อย เช่น ในการกระบะบรรทุกที่ลากด้วยแทรกเตอร์หรือรถอีแต๋น
8. การเก็บเกี่ยวผลปาล์ม ฝ่ายสวนจะต้องสนับสนุนให้ผู้เก็บเกี่ยวร่วมทำงานกันเป็นทีม ในทีมก็แยกให้เข้าคู่กัน 2 คนคนหนึ่งตัดหรือแทงปาล์มอีกคนเก็บรวมรวมผลปาล์ม
9. การเก็บรวมรวมผลปาล์ม พยายามลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อย ๆ เมื่อผลปาล์มชอกช้ำมี บาดแผลปริมาณของกรดไขมันอิสระจะเพิ่มมากขึ้น การส่งปาล์มออกจากสวนควรมีการตรวจสอบลงทะเบียนมีตาข่าย คลุมเพื่อไม่ให้ผลปาล์มร่วงระหว่างทาง
ข้อควรปฏิบัติในการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมัน มีดังนี้
1. ตัดทะลายปาล์มน้ำมันที่สุดที่พอดี คือทะลายปาล์มเริ่มมีผลร่วง ไม่ควรตัดทะลายยังดิบอยู่เพราะใน ผลปาล์มดิบยังมีสภาพเป็นน้ำและแป้งอยู่ ยังไม่แปรสภาพเป็นน้ำมัน ส่วนทะลายที่สุกเกินไปจะมีกรดไขมัน อิสระสุก และผลปาล์มสดอาจมีสารบางชนิดอยู่ อาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคได้
2. รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุกควรจะอยู่ในช่วง 7 – 10 วัน
3. ผลปาล์มลูกร่วงที่อยู่บริเวณโคนปาล์มน้ำมัน และที่ค้างในกาบต้นควรเก็บออกมาให้หมด
4. ก้านทะลายควรตัดให้สั้นโดยต้องให้ติดกับทะลาย
5. พยายามให้ทะลายปาล์มชอกช้ำน้อยที่สุด
ข้อควรคำนึง
1. ผลปาล์มที่ตัดแล้วควรส่งถึงโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
2. ทะลายปาล์มสุกที่มีมาตรฐานคือลูกปาล์มชั้นนอกสุดของทะลายหลุดร่วงจากทะลาย
3. ลูกปาล์มเต็มทะลายและเห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
4. ไม่มีทะลายที่ชอกช้ำและเสียหายอย่างรุนแรง
5. ไม่มีทะลายเป็นโรคใด ๆ หรือเน่าเสีย
6. ไม่มีทะลายที่สัตว์กินหรือทำความเสียหายแก่ผลปาล์ม
7. ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เช่น ดิน หิน ทราย ไม้กาบหุ้มทะลาย เป็นต้น
8. ไม่มีทะลายเปล่าเจือปน
9. ความยาวของก้านทะลายควรไว้เก็บประมาณ 2 นิ้ว
มาตรฐานในการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน
1. จะต้องไม่ตัดผลปาล์มดิบไปขายเพราะจะถูกตัดราคา
2. จะต้องไม่ปล่อยให้ผลสุกคาต้นเกินไป
3. ต้องเก็บผลปาล์มร่วงบนพื้นให้หมด
4. ต้องไม่ทำให้ผลปาล์มที่เก็บเกี่ยวมีบาดแผล
5. ต้องคัดเลือกทะลายปาล์มหรือเขย่าผลที่มีอยู่น้อยออกแล้วทิ้งทะลายเปล่าไป
6. ตัดขั้วทะลายให้สั้นเท่าที่จะทำได้
7. ต้องทำความสะดวกผลปาล์มที่เปื้อนดิน อย่าให้มีเศษหินดินปน
8. ต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงาน ภายใน 24 ชั่วโมง
การกำหนดคุณภาพของผลปาล์มสดทั้งทะลายที่มีคุณภาพดี
ความสด |
เป็นผลปาล์มสดที่ตัดส่งถึงโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง |
ความสุก |
ทะลายปาล์มที่สุกมาตรฐาน คือลูกปาล์มชั้นนอกสุดของทะลาย ร่วงหลุดจากทะลายประมาณ 10-30 ผล เมื่อส่งถึงโรงงาน |
ความสมบูรณ์ |
ลูกปาล์มเต็มทะลายและเห็นได้ชัดว่าได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี |
ความบอบช้ำ |
ไม่มีทะลายที่มีความบอบช้ำ และเสียหายรุนแรง |
ทะลายเป็นโรค |
ไม่มีทะลายเป็นโรคใด ๆ หรือเน่าเสีย |
ทะลายสัตว์กิน |
ไม่มีทะลายสัตว์กินหรือความเสียหายแก่ลูกปาล์ม |
ความสกปรก |
ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เช่น หิน ดิน ทราย ไม้ กาบหุ้มทะลาย ฯลฯ |
ทะลายเปล่า |
ไม่มีทะลายเปล่าเจือปน |
ก้านทะลาย |
ความยาวของก้านทะลายไม่เกิน 2 นิ้ว |
วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
ทะลายผลปาล์มสดจะถูกนำมารวมกองไว้ข้างถนนซอย โดยใช้แรงงานคนแบก รถเข็นล้อเลื่อนแรงงานจากสัตว์ และรถแทรกเตอร์ โดยจะต้องมีการวางแผนการเก็บเกี่ยวให้สอดคล้องกับการบรรทุกส่งโรงงาน ทั้งนี้ต้องเสร็จภายในวันเดียว และต้องไม่มีทะลายปาล์มเหลืออยู่ในสวนปาล์ม ถ้าวันต่อไปเป็นวันหยุดงาน
©ข้อมูลจาก®
พืชไร่เศรษฐกิจ. ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กรมวิชาการเกษตร (http://www.doa.go.th)