ก า ร ป ลู ก พื ช ส มุ น ไ พ ร
|
1. ในการเตรียมดินของพืชสมุนไพร มีขั้นตอนดังนี้
1.1 การไถพรวน เพื่อกำจัดวัชพืชและทำให้ดินร่วนซุย
1.2 ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
1.3 กำหนดระยะปลูกที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด
|
กรณีที่ปลูกพืชสมุนไพรเพื่อใช้ราก หัว ลำต้นใต้ดินหรือเหง้าจำเป็นต้องเตรียมดินให้ร่วนซุยเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชที่ใช้รากอาจตัดปลูกในภาชนะที่นำเอารากออกมาภายหลังได้
2. วิธีการปลูกมีหลายวิธีขึ้นแยู่กับส่วนของพืชที่นำมาปลูกและชนิดของพืช
2.1 การปลูกด้วยเมล็ด สามารถทำให้โดยการหว่านลงแปลง แล้วใช้ดินร่วนหรือทรายหยาบ โรยทับบาง ๆ แล้วรดน้ำให้ชื้นตลอดทั้งวัน เมื่อเมล็ดงอกเป็นต้นอ่อน ถอนต้นที่อ่อนแอออก ให้มีระยะห่างระหว่างต้นพอสมควร ส่วนการหยอดลงหลุมโดยตรงมักใช้กับพืชที่มีเมล็ดใหญ่ โดยหยอดเมล็ดให้มีจำนวนมากกว่าที่ต้องการและถอนออกภายหลัง |
2.2 การปลูกด้วยกิ่งชำหรือกิ่งตอน ปลูกโดยการนำเอากิ่งชำมาปลูกในถุงพลาสติกให้แข็งแรงดีก่อน แล้วจึงย้ายไปปลูกในพื้นที่ที่ต้องการ เตรียมหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างกว่าถุงพลาสติกเล็กน้อย เมื่อนำต้นอ่อนลงปลูกแล้ว กลบด้วยดินร่วนหรือดินปนทราย กดดินให้แน่นพอประมาณ คลุมด้วยเศษฟางหรือหญ้าแห้งเพื่อรักษาความชุ่มชื้น
2.3 การปลูกด้วยหัว ควรปลูกในที่ระบายน้ำดี ปลูกโดยฝังหัวให้ลึกพอประมาณ กดดินให้แน่นพอสมควร คลุมแปลงปลูกด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง
2.4 การปลูกด้วยหน่อหรือเหง้า ในกรณีที่มีต้นพันธุ์อยู่แล้วทำการแยกหน่อที่แข็งแรง โดยตัดแยกหน่อจากต้นแม่ นำหน่อที่ได่มาตัดรากที่ช้ำหรือใบที่มากเกินไปออกบ้าง แล้วจึงนำไปปลูกในดินที่เตรียมไว้ กดดินให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม ควรบังร่มเงาให้จนกว่าต้นจะแข็งแรง
2.5 การปลูกด้วยไหล ปกตินิยมเอาส่วนของไหลมาชำไว้ก่อน แล้วจึงย้ายปลูกในพื้นที่อีกครั้ง
|
พืชสมุนไพรบางชนิดที่ปลูกโดยการเพาะเมล็ด
พืช |
ระยะปลูก (ต้น X แถว) |
อัตราการใช้พันธุ์ |
การเพาะเมล็ด |
กระเจี๊ยบแดง
|
1 X 1.2 ม.
|
ใช้เมล็ด 300 กรัม / ไร่
|
หยอดหลุมละ 3 - 5 เมล็ด แล้วถอนแยกเมื่อต้นสูง 20 - 25 ซม. |
กานพลู
|
4.5 X 6 ม.
|
จำนวน 60 ต้น / ไร่
|
เลือกเมล็ดสุกซึ่งมีสีดำ เพาะเมล็ดทันทีเพราะจะสูญเสียอัตรางอกภายใน 1 สัปดาห์ |
กระเพราแดง
|
5 X 15 ซม.
|
ใช้เมล็ด 2 กก. / ไร่
|
ใช้วิธีหว่าน |
ขี้เหล็ก
|
2 X 2 ม.
|
จำนวน 400 ต้น / ไร่
|
แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส 3 - 5 นาที |
คำฝอย
|
30 X 30 - 50 ซม.
|
ใช้เมล็ด 2 - 2.5 กก. / ไร่
|
ต้องการความชื้น แต่อย่าให้แฉะเมล็ดจะเน่า |
ชุมเห็ดเทศ
|
3 X 4 ม.
|
จำนวน 130 ต้น / ไร่
|
เพาะเมล็ดจากฝักแก่จัด เมล็ดสีเทาอมน้ำตาล |
มะขามแขก
|
50 X 100 ซม.
|
จำนวน 3,000 ต้น / ไร่
|
หยอดหลุมละ 2 - 3 เมล็ด แล้วถอนออกให้เหลือหลุมละต้น |
ฟ้าทะลายโจร
|
15 X 20 ซม.
|
ใช้เมล็ด 400 กรัม / ไร่
|
เลือกเมล็ดแก่สีน้ำตาลแดงแช่น้ำอุ่น 3 - 5 นาที โรยเมล็ดบาง ๆ ให้น้ำในแปลงเพาะอย่างสม่ำเสมอ |
มะแว้งเครือ
|
1 X 1 ม.
|
จำนวน 1,600 ต้น / ไร่
|
แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส 3 - 5 นาที เพาะในกระบะ 1 เดือน จึงย้ายปลูก |
ส้มแขก
|
9 X 9 ม.
|
จำนวน 20 ต้น / ไร่
|
มีทั้งต้นตัวผู้และตัวเมีย จึงควรเสียบยอดพันธุ์ดีของต้นตัวเมียบนต้นตอที่เพาะจากเมล็ดอีกครั้งหนึ่ง |
การปลูกพืชบางชนิด
พืช |
วิธีปลูก |
ระยะปลูก(ต้น X แถว) |
อัตราพันธุ์ที่ใช้ต่อไร่ |
การเตรียมพันธุ์ปลูก |
ดีปลี
|
ปักชำ
|
1 X 1 ม.
|
1,600 ต้น / ไร่
|
ตัดเถายาว 4 - 6 ข้อ เพาะชำในถุง 60 วัน |
พริกไทย
|
ปักชำ
|
2 X 2 ม.
|
400 ต้น / ไร่
|
ใช้ยอดหรือส่วนที่ไม่แก่จัด อายุ 1 - 2 ปี ตัดเป็นท่อน 5 - 7 ข้อ |
พลู
|
ปักชำ
|
1.5 X 1.5 ม.
|
700 ต้น / ไร่
|
ตัดเถาเป็นท่อนให้มีใบ 3 - 5 ข้อ |
พญายอ
|
ปักชำ
|
50 X 50 ซม.
|
4,000 ต้น / ไร่
|
ตัดกิ่งพันธุ์ 6 - 8 นิ้ว มีตา 3 ตา ใบยอด 1/3 ของกิ่งพันธุ์ |
เจตมูลเพลิง
|
ปักชำ
|
50 X 50 ซม.
|
4,000 ต้น / ไร่
|
ใช้กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนปักชำ |
อบเชย
|
กิ่งตอน
|
2 X 2 ซม.
|
400 ต้น / ไร่
|
-
|
ฝรั่ง
|
กิ่งตอน
|
4 X 4 ม.
|
100 ต้น / ไร่
|
-
|
ขมิ้นชัน
|
เหง้า
|
30 x 30 ซม.
|
10,000 ต้น / ไร่
|
เหง้าอายุ 7 - 9 เดือน แบ่งให้มีตาอย่างน้อย 3 - 5 ตา |
ตะไคร้หอม
|
เหง้า
|
1.5 X 1.5 ม.
|
600 หลุม / ไร่
|
ตัดแบ่งให้มีข้อ 2 - 3 ข้อ ตัดปลายใบออกปลูก 3 ต้น / หลุม |
ไพล
|
เหง้า
|
50 X 50 ซม.
|
4,000 ต้น / ไร่
|
เหง้าอายุมากกว่า 1 ปี มีตาสมบูรณ์ 3 - 5 ตา |
บุก
|
หัว
|
40 x 40 ซม.
|
6,000 หัว / ไร่
|
หัวขนาดประมาณ 200 กรัม ฝังลึกจากผิวดิน 3 - 5 ซม. |
หางไหล
|
ไหล
|
1.5 X 1.5 ม.
|
700 ต้น / ไร่
|
เลือกขนาดกิ่ง 0.7 - 1 ซม. มีข้อ 3 - 4 ข้อ |
เร่ว
|
หน่อ
|
1 X 1 ม.
|
1,600 ต้น / ไร่
|
ตัดแยกหน่อจากต้นเดิมให้มีลำต้นติดมาด้วย |
ว่านหางจระเข้
|
หน่อ
|
50 X 70 ซม.
|
4,500 ต้น / ไร่
|
แยกหน่อขนาดสูง 10 - 15 ซม. |
ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า พื ช ส มุ น ไ พ ร
|
การพรางแสง
พืชสมุนไพรหลายชนิดต้องการแสงน้อย จึงต้องมีการพรางแสงให้ตลอดเวลา การพรางแสงอาจใช้ตาข่ายพรางแสง หรืออาจปลูกร่วมกับพืชอื่นที่มีร่มเงา ปลูกบริเวณเชิงเขาหรือปลุกในฤดูฝนซึ่งมีช่วงแสงไม่เข้มนัก เช่น บุกฟ้าทะลายโจร เร่ว หญ้าหนวดแมว เป็นต้น สำหรับพืชสมุนไพรทั่วไปที่อ่อนแออยู่ ก็ควรพรางแสงให้ชั่วระยะหนึ่งจนพืชนั้นตั้งตัวได้ จึงให้แสงตามปกติ
การทำให้ค้างในพืชเถาต่าง ๆ ควรทำค้างเพื่อสะดวกในการเก็บผลผลิต การดูแลรักษาและการเจริญเติบโตของพืช เช่น พริกไทย พลู มะแว้งเครือ อัญชัน เป็นต้น
การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมโดยพิจารณาลักาณะของพืชแต่ละชนิดว่าต้องการน้ำมากหรือ้อย โดยปกติควรให้น้ำอย่างน้อยวันละครั้ง แต่หากเห็นว่าแฉะเกินไปก็เว้นช่วงได้ หรือแห้งเกินไปก็ให้น้ำเพิ่มเติม จึงต้องคอยสังเกตเนื่องจากแต่ละพื้นที่มีสภาพดินและภูมิอากาศแตกต่างกัน การให้น้ำควรให้จนกว่าพืชจะตั้งตัวได้
การพรวนดิน
เป็นการทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำดีขึ้น ทั้งยังช่วยกำจัดวัชพืชอีกด้วย จึงควรมีการพรวนดินบ้างเป็นครั้งคราว โดยพรวนในขณะที่ดินแห้งพอสมควร และไม่ควรให้กระทบกระเทือนรากมาก
การใส่ปุ๋ย
โดยปกติจะให้ก่อนการปลูก โดยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ในการให้ปุ๋ยกับพืชสมุนไพรแนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะปุ๋ยจะค่อย ๆ ย่อยสลายและปล่อยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ให้พืชอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ และยังช่วยให้ดินอุ้มน้ำได้ดี การให้ปุ๋ยควรให้อย่างสม่ำเสมอประมาณ 1 - 2 เดือนต่อครั้ง โดยอาจใส่แบบเป็นแถวระหว่างพืชหรือใส่รอบ ๆ โคนต้นบริเวณทรงพุ่มก็ได้
การกำจัดศัตรูพืช
ควรใช้วิธีธรรมชาติ เช่น
ปลูกพืชหลายชนิดบริเวณเดียวกัน และควรปลูกสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน และมีฤทธิ์ในการรบกวนแมลงแทรกอยู่ด้วย เช่น ดาวเรือง ตะไคร้หอม กระเพรา เสี้ยนดอกม่วง เป็นต้น
อาศัยธรรมชาติจัดสมดุลกันเอง ไม่ควรทำลายแมลงทุกชนิด เพราะบางชนิดเป็นประโยชน์ จะช่วยควบคุมและกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืชให้ลดลง
ใช้สารจากธรรมชาติ โดยใช้พืชที่มีสารประกอบที่มีฤทธิ์ต่อแมลงที่เป็นศัตรูพืชมากำจัด โดยที่แต่ละพืชจะมีสารประกอบที่ออกฤทธิ์กับแมลงต่างชนิดกัน เช่น
สารสกัดจากสะเดา : ด้วง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดด
ยาสูบ : เพลี้ยอ่อน ไรแดง โรครา
หางไหลแดง : เพลี้ย ด้วง เป็นต้น
|
การบำรุงรักษาพืชสมุนไพร คววรเลือกวิธีดูแลรักษาให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด และควรหลีกเลี่ยงสารเคมีไม่ว่าด้านการให้ปุ๋ย การกำจัดวัชพืชหรือศัตรูพืช เนื่องจากอาจมีพิษตกค้างในพืชและยังมีผลกับคุณภาพและปริมาณสารสำคัญในพืชอีกด้วย
ก า ร เ ก็ บ เ กี่ ย ว พื ช ส มุ น ไ พ ร
|
1. เก็บเกี่ยวถูกระยะเวลา
ที่มีปริมาณสารสำคัญสูงสุด การนำพืชสุมนไพรไปใช้ประโยชน์ให้ได้สูงสุดนั้น ในพืชจะต้องมีปริมาณสารสำคัญมากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวพืชสมุนไพร ดังนั้นการเก็บเกี่ยวสมุนไพรจึงต้องคำนึงถึงทั้งอายุเก็บเกี่ยวและช่วงระยะเวลาที่พืชให้สารสำคัญสูงสุดด้วย
2. เก็บเกี่ยวถูกวิธี
โดยทั่วไปการเก็บส่วนของพืชสมุนไพร แบ่งออกตามส่วนที่ใช้เป็นยา ดังนี้
2.1 ประเภทรากหรือหัว เก็บในช่วงที่พืชหยุดการเจริญเติบโต ใบและดอกร่วงหมด หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูรอน ซึ่งเป็นช่วงที่รากและหัวมีการสะสมปริมาณสารสำคัญไว้ค่อนข้างสูง
วิธีเก็บ ใช้วิธีขุดอย่างระมัดระวัง ตัดรากฝอยออก
2.2 การเก็บเปลือกรากหรือเปลือกต้น จะเก็บในช่วงระหว่างฤดูร้อนถึงฤดูฝน ซึ่งมีปริมาณสารสำคัญในพืชสูง และเปลือกลอกออกง่าย ส่วนเปลือกรากเก็บในช่วงต้นฤดูฝนเหมาะสมที่สุด
วิธีเก็บ การลอกเปลือกต้นอย่าลอกออกรอบทั้งต้นควรลอกออกจากส่วนกิ่งหรือแขนงย่อยหรือใช้วิธีลอกออกในลักษณะครึ่งวงกลมก็ได้ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อระบบการลำเลียงอาหารของพืช และไม่ควรลอกส่วนลำต้นใหญ่ของต้น
2.3 ประเภทใบหรือเก็บทั้งต้น ควรเก็บในช่วงที่พืชเจริญเติบโตมากที่สุด บางชนิดจะระบุช่วงเวลาที่เก็บ ซึ่งช่วงเวลานั้นใบมีสารสำคัญมากที่สุด เช่น เก็บใบแก่ หรือใบไม่อ่อนไม่แก่เกินไป (ใบเพสลาด) เป็นต้น
วิธีเก็บ ใช้วิธีเด็ดหรือตัด
2.4 ประเภทดอก โดยทั่วไปเก็บในช่วงดอกเริ่มบาน บางชนิดเก็บในช่วงดอกตูม
วิธีเก็บ ใช้วิธีเด็ดหรือตัด
|
ตารางแสดงการเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพรบางชนิด
พืช |
ส่วนที่เก็บเกี่ยว |
การเก็บเกี่ยวเพื่อให้
|
ได้สารสำคัญสูงสุด
|
|
|
อายุการให้ผลผลิต |
สภาพต้นพืช |
ขมิ้นชัน |
เหง้า |
9 - 10 เดือน |
เหง้าแกร่ง ต้นแห้งฟุบ |
ขี้เหล็ก |
ใบ |
1 - 10 ปีขึ้นไป |
เก็บไปอ่อน 5 ใบปรักอบนับจากยอด |
คำฝอย |
เกสร
เมล็ด
|
90 -100 วัน
120 - 150 วัน
|
ลำต้น ใบ ช่อดอก แห้ง
ไม่มีช่อดอก
|
ตะไคร้หอม |
ใบ |
8 เดือน - 3 ปี |
ต้นมีข้อเด่นชัด ระยะก่อนออกดอก |
บุก |
หัวใต้ดิน
หัวบนใบ
|
2 - 3 ปี
1 ปี
|
ต้นแห้งไม่มีใบสด
ประมาณเดือน ส.ค. - ก.ย.
|
ไพล |
เหง้า |
1 - 3 ปี |
อายุ 2 ปีขึ้นไป ต้นฟุบ ไม่เก็บช่วงฝนหรือเมื่อ
แตกหน่อใหม่
|
ฟ้าทะลายโจร |
ใบ |
110 - 120 วัน |
เริ่มออกดอกไม่ควรให้เริ่มติดเมล็ด |
มะขามแขก |
ใบ
ฝัก
|
50 - 90 วัน
80 - 120 วัน
|
เมื่อเริ่มออกดอก
เก็บฝักอายุ 20 - 23 วัน เท่านั้น ฝักไม่แก่ เริ่ม
มีเมล็ดใส ๆ
|
มะแว้งเครือ |
ผล |
8 เดือน |
ผลแก่แต่ยังไม่สุก เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม |
ส้มแขก |
ผล |
8 - 70 ปี |
ผลสุก แก่ขนาดโตเต็มที่ |
ดีปลี |
ผล |
1 - 5 ปีขึ้นไป |
แก่จัดแต่ไม่สุก สีเหลืองอมส้ม |
2.5 ประเภทผลและเมล็ด โดยทั่วไปมักเก็บตอนผลแก่เต็มที่แล้ว แต่บางชนิดจะเก็บในช่วงที่ผลยังไม่สุก
วิธีเก็บ ใช้วิธีเด็ดหรือวิธีตัด
|
ก า ร ป ฏิ บั ติ ห ลั ง ก า ร เ ก็ บ เ กี่ ย ว
|
เมื่อเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพรออกจากแปลงปลูกหรือต้นแล้วการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพื่อรักษาคุณภาพของพืชสมุนไพรให้ได้ผลดีที่สุดต่อการนำไปใช้ ทั้งนี้การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวขึ้นแยู่กับความเหมาะสมของพืชสมุนไพรแต่ละชนิด รวมทั้งส่วนของพืชสมุนไพรที่จะนำไปใช้ การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพร มีวิธีปฏิบัติดังนี้
1. การทำความสะอาดและคัดแยกผลผลิตที่ได้มาตรฐาน
1.1 คัดแยกสิ่งปลอมปนออก เช่น หิน ดิน ทราย ส่วนของพืชที่ปะปน หรือสมุนไพรอื่นที่คล้ายคลึง กันปะปนมา
1.2 การตัดแต่ง เช่น ตัดรากฝอย ปอกเปลือกและหั่นซอยเป็นชิ้นในสมุนไพรที่มีเนื้อแข็ง แห้งยาก
1.3 คัดเลือกส่วนที่เน่าเสีย มีโรคแมลงออกจากส่วนที่มีคุ ณภาพดี
1.4 ล้างทำความสะอาด ชำระสิ่งสกปรกและสิ่งที่ติดมากับพืชขณะทำการเก็บเกี่ยวออกให้หมด
|
2. การทำให้แห้ง
พืชสมุนไพรนอกจากจะใช้สดแล้ว ยังมีการนำมาทำให้แห้งเพื่อความสะดวกในการเก็บรักษาและการนำมาใช้ สมุนไพรที่มีความชื้นมากเกินไปจะทำให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรีย และยังเร่งให้เกิดการสูญเสียสารสำคัญด้วย วิธีการทำแห้งโดยการตากแห้งหรืออบแห้ง จนเหลือความชื้นที่เหมาะแก่การเก็บรักษาซึ่งโดยทั่วไปควรมีความชื้นไม่เกินร้อยละ 13
2.1 การตากแห้งพืชสมุนไพร ควรตากในภาชนะโปร่ง สะอาด ป้องกันฝุ่นละอองและตากในที่ร่ม การตากแดดควรมีลานตากยกจากพื้นดิน มีลหังคาพลาสติกคลุม ไม่ตากแดดโดยตรงและคำนึงถึงสุขอนามัยให้มาก
2.2 การอบแห้ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้พืชสมุนไพรแห้ง ซึ่งต้องใช้อุณหภูมิและระยะเวลาในการอบตกต่างกันไป ตามส่วนของพืชสมุนไพร ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดเวลาและได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี
|
ชนิดของสมุนไพร
|
อุณหภูมิที่ใช้ในการอบแห้ง (C)
|
ดอก ใบ ทั้งต้น |
45 - 55 |
ราก กิ่งราก ผิว |
55 - 65 |
ผล |
65 - 80 |
สมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย |
40 - 45 |
มะคำดีควาย
Sapindus rarak A.DC.
|
มะตูม
Aegle marmelos Corr.
|
3. การเก็บรักษาสมุนไพรแห้ง เมื่อสมุนไพรแห้งแล้ว การดูดความชื้น การเข้าทำลายของแมลง เชื้อราและแบคทีเรีย เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เร่งให้สมุนไพรเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น จึงควรปฏิบัติ ดังนี้
3.1 ควรเก็บในที่สะอาด เย็น ไม่อับชื้น มีอากาศถ่ายเทได้ดี และไม่ถูกแสงแดด หรือเก็บในห้องเย็น |
ขิง
Zingiber officinale Rose.
|
คำฝอย
Carthamus tinctorius Linn.
|
3.2 เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ยวดแก้วสีชามีฝาปิดสนิท ถุงพลาสติกหรือถุงฟลอยด์
3.3 ไม่ควรเก็บไว้นาน โดยทั่วไป สมุนไพรไม่ควรเก็บนานเกินกว่า 1 ปี เพราะจะสูญเสียสารสำคัญที่ต้องการไป
3.4 การเก็บรักษาควรระบุฉลากชนิดสมุนไพร รวมทั้งวันเก็บชัดเจน เพื่อป้องกันนำไปใช้ผิด
|
มะแว้งเครือ
Solanum indicum Linn.
|
ก า ร ใ ช้ ส มุ น ไ พ ร ที่ ถู ก ต้ อ ง
|
การใช้สมุนไพรที่ถูกต้องควรปฏิบัติดังนี้
1. ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรมีชื่อพ้องหรือซ้ำกันมาก และบางท้องถิ่นก็เรียกชื่อไม่เหมือนกัน จึงต้องรู้จักสมุนไพรและรู้จักใช้ให้ถูกต้น
2. ใช้ให้ถูกส่วน สมุนไพรไม่ว่าจะเป็น ราก ใบ ดอก เปลือกผล เมล็ด จะมีฤทธิ์ไม่เท่ากัน บางทีผลแผลอ่อนก็มีฤทธิ์ต่างกันด้วย จะต้องรู้ส่วนใดใช้เป็นยาได้
3. ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรถ้าใช้น้อยไปกรักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากไปก็อาจเป็นอันตรายหรือเกิดพิษต่อร่างกายได้
4. ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรบางชนิดต้องใช้สด บางชนิดต้องดองเหล้า บางชนิดใช้ต้ม จะต้องรู้จักนำมาใช้ให้ถูกต้อง
5. ใช้ให้ถูกโรค เช่น เมื่อท้องผูกต้องใช้ยาระบาย ถ้าใช้ยาที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน จะทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น
หน้าถัดไป (2/3)