-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 555 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

ข่าวแวดวงเกษตร40





หนอนนก



หนอนนก’ จัดเป็นตัวอ่อนของแมลงปีกแข็งตัวสีดำที่มีชื่อว่า “มีล บีทเทิล” (Meal Beetle) ใน
ธรรมชาติอาศัยอยู่ในเขต อบอุ่นและเขตหนาว ระยะเป็นตัวหนอนจะยาวนานมีลำตัวกว้างประมาณ
6 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 16-17 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีความพยายามที่จะค้นหาวิธี ในการเพาะ
หนอนนกในเชิงพาณิชย์ ทางหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการเผยแพร่ถึงวิธีการเลี้ยง เนื่องจาก
ยังเก็บรวบรวมข้อมูลบางประการไม่สมบูรณ์ แต่ในการเลี้ยงหนอนนกหลักสำคัญที่สุดก็คือ “จะ
ต้องมีความเอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดอยู่เสมอ”

เทคนิคการเพาะพันธุ์หนอนนก จะขออธิบายแบบง่าย ๆ ใช้ได้จริงเลยนะครับ

(1) ไปซื้อหนอนนกมา เหมือนจะเอามาให้ปลากินตามปกติ แต่อย่าเผลอตัวเอาไปให้กินเชียวนะ
ครับ เพราะวันนี้เราจะเอามาทำการเพาะพันธุ์หนอนนกกัน นำเจ้าหนอนนกนี่แหละครับ มาใส่ไว้ใน
ถาด (สูงหน่อยก็ดี กันมันกระดึ๊บ ๆ ออกมา) หรือ ตู้ปลาโล่ง ๆ อย่าให้แออัดกันเกินไป หลังจากนั้น
ก็ใส่ รำแป้งสาลี (มีความละเอียด+แพงกว่ารำทั่ว ๆ ไป) และ แตงกวา (อาจจะใช้โคนหัวผักกาด
หรือ ผักที่มีน้ำเยอะ ๆ ชนิดอื่นแทนก็ได้) หั่นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ หย่อนเข้าไปเพื่อให้หนอนนกได้ดูด
ดื่มน้ำในนั้นครับ

(2) เลี้ยงไปเรื่อย ๆ คอยสังเกตดูให้ดีนะครับ จะเห็นก้อนเศษ ๆ เป็นลูกกลม ๆ ขนาดจิ๋ว มากกก
กกกกก (เล็กมากจนต้องเพ่งดู) มีขนาดสม่ำเสมอกัน สิ่งนั้นคือ ขี้หนอนนกครับ ถ้ามีเยอะมาก ๆ
แสดงว่า อาหารหมดแล้ว ให้ทำการหาตะแกรงตาถี่ ๆ มาร่อน ๆ ๆ ๆ ๆ เอารำเก่าออกให้หมด ให้
เหลือแต่หนอนนก แล้วเปลี่ยนใส่รำแป้งสาลีและผักชุดใหม่ให้มัน ขุนไปเรื่อย ๆ อาหารหมดก็
เปลี่ยนอาหารให้มัน จนมันเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดักแด้ เมื่อเป็นดักแด้แล้วช่วงแรก ๆ งดอาหาร
ไปก่อนครับ จนมันแปลงร่างเป็นเจ้าแมลงปีกแข็งสีดำ(ตัวเต็มวัย) แสดงว่า คุณได้พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์แล้ว

(3) ร่อนรำออกเพื่อแยกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ออกมา แล้วย้ายมันมาใส่ในถาดหรือตู้ใบใหม่ พร้อม
อาหาร (รำแป้งสาลี กะ แตงกวาหั่น) ทิ้งไว้ประมาณ 1อาทิตย์ ให้มันจู๋จี๋กันให้สำราญญญญญ เมื่อ
เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก 1 อาทิตย์ ต่อมา ก็ดำเนินการขั้นต่อไปได้เลยครับ !?!?!?

(4) จัดการร่อนพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ ออกมาจากรำ คราวนี้ให้คุณหันมาสนใจรำที่ร่อนออกมานะครับ
ในนั้นจะมีเจ้าลูกหนอนนกที่เรารอคอยฝังตัวรอโตอยู่เป็นที่เรียบร้อย แล้วล่ะ จากนั้นค่อย ๆ ใส่
อาหารเข้าไปทีละนิด ๆ อย่าให้เยอะเกินไป และอย่าให้อาหารหมด (ประมาณ 1อาทิตย์เติมที)
เวลาไม่นานมันจะเริ่มโตจนเรามองเห็นได้ แล้วตัวจะเริ่มใหญ่ขึ้น ๆ

สังเกตดูว่าเมื่อตัวมันใหญ่จนพอจะร่อนได้ ก็นำมาร่อนแล้วใส่อาหารชุดใหม่ต่อไป จากนั้นเลี้ยงรอ
จนมันโตให้ได้ขนาดตามที่เราต้องการ ซึ่งนับจากวันเกิดของเจ้าหนูหนอนนก ระยะเวลาประมาณ
45 วันขึ้นไป ก็จะถึงวัยพร้อมโดนหม่ำแล้วล่ะครับ(หรือจะเก็บเพื่อเพาะต่อไปก็ไม่ว่ากัน)

(5) กลับมาสนใจที่ พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ อีกครั้ง หลังจากที่ร่อนออกจากรำจนให้ลูกชุดแรกมาแล้ว ก็
กลับไปเริ่มที่ ข้อ 3 อีกครั้งครับ คือ ใส่อาหารเข้าไป แล้วให้มันจู๋จี๋กันอีก 1 อาทิตย์ แล้วร่อนเพื่อ
เอาลูกมันมาขุนต่อเหมือนเดิม เพาะไปได้เรื่อย ๆ จนกว่ามันจะตายน่ะครับ

ข้อควรระวัง

1. ระวังแตงกวา หรือ ผักจะเน่านะครับ หมั่นดูแลนิ๊ดดดนึง ที่สำคัญอย่าให้ชิ้นใหญ่ หรือ มีปริมาณ
น้ำมากเกินไป เพราะน้ำ อาจจะทำให้หนอนนกตายได้

2. รำแป้งสาลี ที่นำมาใช้ จะมีมอดปนมาเยอะมากกกกก ระวังมันจะบินว่อนทั่วบ้าน. แนะนำว่า
ก่อนจะใช้รำเพื่อเป็นอาหารของหนอนนก ควรจะนำมานึ่ง เพื่อพิฆาตมอดก่อนนะครับ...

3. อาหารสูตรพิเศษในการเลี้ยงหนอนนก คือ รำแป้งสาลี 50% + อาหารไก่เล็กเอามาตำ ๆ ป่น
ๆ ให้ละเอียด 50% นำมาคลุกเคล้า ให้เข้ากัน ใช้เป็นสูตรอาหารโปรตีนสูง จะทำให้หนอนนกจะ
โตไวมากกกก

4. รำแป้งสาลีที่นำมาใช้เลี้ยงหนอนนกจะแพงกว่ารำทั่ว ๆ ไป หากต้องการลดต้นทุน ก็นำรำ
ธรรมดา ๆ มาผสมกันได้ครับ เป็นการช่วยลดต้นทุนอีกวิธีหนึ่ง

อธิบายจนจบ พอจะเข้าใจกันมั่งไม๊ครับเนี่ย !!! ใครที่สนใจ อยากลองดูก็ได้นะครับ ไม่ยาก !!! แต่
ถ้าเพาะได้เยอะ ๆ แล้ว เอามาแบ่งกันมั่งนะครับ หุหุหุหุ...


มาแล้ว รำข้าวสาลี เกรด A เพื่อสำหรับหนอนนก ผิวขวลนวล โตเร็ว เพราะมีโปรตีนเยอะ ถุงปุ๋ยละ
400 บาท ประมาณ 20 -25 กิโลกรัม ราคาปรับขึ้นลง ตามราคาตลาดข้าวสาลี update เดือน
ธันวาคม 2552 รับซื้อขาย หนอนนก ขายหนอนนก กิโลละ 200 บาท บนอินเทอร์เน็ต ไม่รวมค่า
ส่ง สินค้าอยู่แถวดินแดง กรุงเทพ จำกัด ครอบครัวละไม่เกิน Kg. แบบโลตัส เพราะต้องการขาย
เพื่อให้ท่านไปเพาะ อีกที หรือ หาซื้อราคาถูกไม่ได้ ทางเลือกใ้ห้ท่านที่จะลงทุนเลี้ยงหนอนนก
และเป็นตลาดซื้อขาย ขายรำหยาบ ปนรำละเอียดข้าวสาลี บรรจุ หลอดพลาสติกใส ขนาด 1 ลิตร
ใช้สำหรับเลี้ยงหนอนนก ราคา 8 บาท 1หลอด น้ำหนัก 300 g. ราคา 8 บาท ไม่เอาหลอด
เหลือ 5 บาท สามารถให้หนอนได้ ตลอด 2เดือนกับปริมาณหนอน 50 ตัว (รำแป้งสาลี ที่จตุจักร
ขาย โลละ 35 บาท) โรงสี รำหยาบ กระสอบ ราคา 120 บาท ประมาณ 30 กิโล ราคาทุน อยู่ที่ 4
บาท รำละเอียด กระสอบละ 500 บาท ประมาณ 30 กิโล กิโลละ 16 บาท พอดีต้องกลับบ้านที่
นครปฐม เลยแวะซื้อมาด้วย สินค้าเหมาะสำหรับคนที่อยู่กรุงเทพไว้สำหรับเลี้ยงนกเอง เพื่อใช้
สำหรับเลี้ยงปลา เหมาะสำหรับท่านที่เลี้ยงเพื่อใช้เอง เช่น เลี้ยงปลา , เลี้ยงกิ้งก่า , เลี้ยงนก หรือ
ทอดไว้กินเล่น ได้ทำการทดลอง เลี้ยงรำหยาบ ปนรำละเีอียด อัตราการเติบโต ใกล้เคียง กับ การ
เลี้ยงด้วยรำข้าวสาลี่ เปรียบเทียบกับราคา แล้ว รำหยาบ ปนรำละเีอียด กิโลละ 20 บาท ถูกกว่า
15 บาท (ราคาขายปลีก) สำหรับท่านที่จะทำการเลี้ยงหนอนเป็นรายได้เสริม ควรจะทดลองเลี้ยง
ขนาดเล็ก ๆ ก่อน จำนวนสัก 1 ขีด ประมาณ 50 ตัว เพราะ ท่านจะมีปัญหาหลายๆ อย่าง เช่น แพ้
กลิ่นหนอน การจัดหาอาหาร การแพ้ ไรผุ่น ทำให้เิกิด ภูมิแพ้ได้ สถานที่เลี้ยง จะต้องขยายเพิ่มขึ้น
เรื่อยๆ เพราะหนอนนก ออกไข่ครั้งละ จำนวนมาก ควรต้องแยกหนอนออกจากแม่พันธ์ และหนอน
ตัวใหญ่ เพราะหนอนจะกินกันเอง สินค้าอยู่ ซอยประชาสันติ ถนนดินแดง เขตดินแดง
กทม.10400 ติดต่อ 0818124004 แผนที่



http://www.easypowerhost.com/tennis/map.jpg
รายละเอียดเพิ่มเติม
http://www.49tennis.com/rice email : kittiporn@msn.com

ถ้าส่งไปรษณีย์ ค่ากล่องขนาด ค ราคา 20 บาท ค่าส่งems 80 บาท ควรซื้อประมาณ 8 กระป๋อง
ลดพิเศษทั้งหมด รวมค่าส่ง 160 บาท. ใช้ขวดพลาสติกใส ด้านล่าง ซึ่งจำหน่ายต่างหาก ใบละ 5
บาท สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้ ทนแดด ทนกระแทก พร้อมฝาปิดแบบ step lock จะมาซื้อที่
บ้านก้อได้ ไม่จำกัดจำนวน กล่องเดียวก้อขาย รับซื้อและจำหน่ายหนอนนก ราคาิพิเศษ ซื้อรำจาก
เรา เอาไปเลี้ยงหนอน ถ้าขายไม่ได้ มาขายหนอนเราก้อได้


ที่มา  :  88 BB.COM


วิธีส่งหนอนนกไม่ตาย คือ ต้องการการน็อค
1. ซื้อกล่องโฟม
2. รองพื้นด้วยน้ำเเข็ง โดยนำน้ำแข็งผสมเกลือ บรรจุในถุงพลาสติก หลายๆ ถุง
3. รองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ อีก
4. นำหนอนใส่ถุง แล้ว ปิดกล่องโฟม เท่านี้ ก้อสามารถส่งหนอนได้แล้ว




ที่มา  :  http://www.49tennis.com/rice

*****************************************************************************************************************************************

การเพาะเลี้ยงหนอนนก (Mealworms)

หนอนนก (Tenebrio molitor L.) เป็นตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่ ลำตัวมีสี
น้ำตาลอ่อน ผอมยาว มีลักษณะเป็นรูบทรงกระบอก ขนาดของหนอนเมื่อโตเต็มที่มีความกว้างลำ
ตัว 0.28-3.2 มม. ยาว 29-35 มม. หนัก 0.2-0.24 กรัม

เมื่อโตเต็มวัยจะกลายเป็นแมลงปีกแข็งสีดำ เรียกว่า Meal-beetle มีวงจรชีวิต ประมาณ 3-6
เดือน แม่ 1 ตัว วางไข่ได้ 1-2 ฟอง/วัน หรือ 80-85 ฟอง/แม่ แบ่งเป็นระยะดังนี้

1.ระยะไข่ 5-7 วัน
2.ระยะตัวหนอน 55-75 วัน
3.ระยะดักแด้ 5-7 วัน
4.ระยะโตเต็มวัย 60-80 วัน

ขั้นตอนในการเพาะเลี้ยง
1. เตรียมถาดใส่อาหารโดยใช้ถาดอลูมิเนียม หรือพลาสติกที่มีขอบสูงประมาณ 2-3 นิ้ว และวาง
บนชั้นวางของที่ป้องกันมดมากัดแมลง  ใส่อาหาร เช่น หัวอาหารไก่ไข่ อาหารกระต่ายบดละเอียด
หนาประมาณ 1 เซนติเมตร และใส่ผักหรือผลไม้ที่ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง
มะเฟือง หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ให้ทุก 2-3 วันครั้ง (ระวังอย่าให้เน่า)

2. นำหนอนนกมาใส่ในถาด ปิดด้วยฝาครอบ หรือเลี้ยงในห้องที่มีมุ้งลวด หรือตาข่ายมุ้งเขียว
หนอนจะกินอาหารไปเรื่อยๆ และเมื่ออาหารจวนหมดและมีมูลออกมามาก (มูลใช้เป็นปุ๋ยเร่งใบ
ได้) ก็ทำการเปลี่ยนอาหารใหม่ หรือเปลี่ยนอาหารทุก 1-2 สัปดาห์ โดยใช้ตะแกรงร่อนแป้ง ร่อน
ตัวหนอนนกออกแล้วใส่อาหารใหม่

3. ระยะดักแด้ เมื่อเลี้ยงไปได้ระยะหนึ่งหนอนนกก็จะเข้าดักแด้ จะไม่กินอาหารประมาณ 5-7 วัน
ให้แยกตัวดักแด้ออกมาใส่ถาดใหม่ไว้เมื่อดักแด้โตเต็มวัยเป็นแมลงปีกแข็ง ก็แยกไปไว้ในถาดที่มี
รำข้าวเหมือนกับการเริ่มเลี้ยงหนอนโดยเฉลี่ยถาดละ 25-40 คู่/ถาด (ขนาด 11 x 16 นิ้ว) ตัว
เต็มวัยของหนอนนกจะเริ่มผสมพันธุ์หลังจากออกจากดักแด้ประมาณ 7 วัน จากนั้นจะวางไข่ในรำ
ข้าวหรืออาหารที่ใช้เลี้ยง

4. การย้ายตัวแม่ ควรทำการย้ายแม่ที่เป็นแมลงปีกแข็งใส่ในถาดอาหารใหม่ทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้
ได้ไข่หรือหนอนที่มีขนาดใกล้เคียง กัน เป็นชุด ๆ ไป เลี้ยงตัวอ่อนประมาณ 1 เดือน ซึ่งมีขนาด
ความยาวประมาณ 0.5 - 0.8 เซนติเมตร (3-5 มก.) จึงเริ่มร่อนหนอนนกแยกจากถาดอาหาร
และควรเปลี่ยนอาหารใหม่ทุก 2-3 สัปดาห์ จะได้หนอนขนาดต่างๆ และสามารถเลือกใช้เป็น
อาหารสัตว์น้ำได้ตามขนาดที่เหมาะสมกับปากปลาแต่ละชนิด เช่น หนอนที่มีความยาวตัว 80-90
มม. และความกว้างตัว 0.5-0.6 มม. มีน้ำหนัก 3 มก./ตัว หนอนนก ความยาวตัว 1.5-2.2 ซม.
และความกว้างตัว 10-20 มม. มีน้ำหนัก 34-68 มก./ตัว เมื่อหนอนมีอายุได้ 45 วัน มีความยาว
ตัว 2.5-3 ซม.

5. สูตรอาหารสำหรับเลี้ยงหนอนนก ประกอบไปด้วย ปลาป่น 10 % โปรตีนข้าวโพด ( corn
gluten) 25 % กากถั่วเหลือง 40 % และรำละเอียดหรือสกัดน้ำมัน 25 % อาหารมีโปรตีน
40 % ไขมัน 6% คิดเป็นต้นทุนค่าอาหาร 17-19 บาท /กก.  หนอนนกขนาดโตเต็มวัย 1 กก.
ใช้อาหาร ประมาณ 5-7 กก. คิดเป็นต้นทุนค่าอาหาร 85-133 บาท




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พิศมัย สมสืบ และคณะ   กลุ่มงานวิจัยอาหารมีชีวิตสัตว์น้ำจืด สถาบัน
วิจัยอาหารสัตว์น้ำจืด  กรมประมง  โทร. 02-579-8033

**********************************************************************************************************************************************

หนอนนก (Mealworm) เป็นตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่งชื่อว่า Meal-Beetle มีชื่อวิทยาศาสตร์
ว่า Tenebrio molitor เป็นหนอนที่มีลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ผอมยาว มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก
ยาว และจะเป็นดักแด้ก่อนที่จะกลายเป็นตัวเต็มวัยที่มีลักษณะแบบแมลงปีกแข็ง สีดำ เป็นแมลง
ศัตรูผลผลิตทางการเกษตรในยุ้งฉางของประเทศแถบหนาวหรือค่อนข้างหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าว
บาร์เลย์ และวงจรชีวิตช่วงที่เป็นตัวหนอนของแมลงชนิดนี้ยาวมาก จึงนิยมนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์
ปีก รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อย่างแพร่หลาย เป็นแมลงที่ชอบอากาศหนาว และต้องการความชื้น
สูง แม้กระนั้นก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศประเทศไทยได้อย่างดี ในบางประเทศอาจจะมีการ
บริโภคหนอนนกด้วยนอกเหนือจากการให้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในไทยเองก็มีบางแห่งที่บริโภค
หนอนนก แต่ผมเคยได้ยินบางคนก็ว่ากินแล้วคัน ความจริงเป็นเช่นไรอันนี้ไม่ทราบจริงๆ ไม่เคยคิด
จะกินเลยครับบอกไม่ถูก กึ๋ย~~
 
     อาหารหลักที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงคือ รำ ในประเทศเขตหนาวจะใช้รำข้าวสาลีซึ่งให้ผลผลิตดี
กว่ารำข้าวเจ้า และหาได้ง่าย แต่ในไทยการใช้รำข้าวสาลีมีการใช้ในวงจำกัดเนื่องจากข้าวสาลีเรา
ต้องนำเข้ามา และมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรำข้าวเจ้าที่สามารถหาได้จากแทบทุกแห่งในไทย
แต่รำทั้ง 2 ชนิดที่ใช้ก็ไม่แตกต่างกันมากในแง่ของความคุ้มทุนและผลผลิต ส่วนการเก็บรักษา
ของผู้เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มักให้อาหารสัตว์เม็ดสำเร็จรูป หรือเศษผักเนื่องจากสะดวก และหา
ง่ายกว่ารำ
 
มีหนอนแมลงเหยื่อที่นิยมกันอีกชนิดหนึ่งซึ่งคล้ายหนอนนกมาก นั่นคือ หนอนยักษ์ (Super
worms / Giant worm) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zophobas morio มีรูปร่างและสีคล้ายคลึง
หนอนนกมาก ต่างกันตรงที่ส่วนหัวมีขนาดกลมใหญ่ มีรยางค์ขนาดใหญ่ 1 คู่ยื่นออกมาอย่างเด่น
ชัด แต่หนอนนกจะไม่มีสิ่งนี้ และสีเข้มกว่าหนอนนกมาก โตเต็มที่มีขนาดถึง 6 ซม. มาจาก
ทางอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ในธรรมชาติดำรงชีวิตอยู่ตามใต้ใบไม้ ขอนไม้ หรือรากไม้
อาศัยกินซากพืชซากสัตว์ มนุษย์มีการนำมาใช้เป็นแมลงเหยื่ออย่างแพร่หลาย และบางประเทศ
เช่น ญี่ปุ่น มีการเลี้ยงให้เป็นแมลงปีกแข็งเพื่อความเพลิดเพลิน ให้กินได้ทั้งผัก และผลไม้ที่ไม่
แข็งมาก หรืออาหารปลาที่อ่อนนุ่ม ไม่ชอบรำ หรือเมล็ดพืชเท่าไหร่ แต่ก็สามารถกินได้ บางแหล่ง
มีการให้อาหารปลาหรืออาหารกุ้งจึงทำให้ลำตัวมีสีอมแดง เป็นที่นิยมของผู้เลี้ยงสัตว์มากกว่าสี
น้ำตาลแบบธรรมดา แต่ในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการไม่ได้แตกต่างกัน 
     
      หนอนนกและหนอนยักษ์เมื่อเทียบแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน แต่หนอนยักษ์อาจจะ
มี กากน้อยกว่าเล็กน้อยเนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อเทียบในขนาดที่น้ำหนักเท่ากันจะมีจำนวน
ตัวน้อยกว่า เปลือกน้อยกว่า สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ตัวโตแล้วอาจจะชอบกินหนอนยักษ์มากกว่าเพราะมี
ขนาดใหญ่กว่า แต่ก็ไม่เสมอไป ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมใช้เนื่องจากหนอนยักษ์ตัวใหญ่เหมาะสมกับ
ขนาดสัตว์เลี้ยงมากกว่าหนอนนก ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เลี้ยงสัตว์ขนาดเล็กหรือวัยอ่อน ก็จะใช้
หนอนนกที่มีขนาดเหมาะสมมากกว่า แต่ที่สำคัญหนอนยักษ์มีราคาสูงกว่าหนอนนกในน้ำหนักที่
เท่ากัน

     นอกจากนี้ยังมีหนอนยักษ์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เลี้ยงสัตว์ นั่นคือหนอนนกที่ใช้
ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งมันก็คือหนอนยักษ์ปลอมๆ นี่แหละ โดยใช้หนอนนกธรรมดาๆ มา
เลี้ยงในอาหารที่คลุกผสมฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตเข้าไป หนอนนกจะมีการเจริญเติบโตที่ผิด
ธรรมชาติ อาจจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่าหนอนยักษ์ตัวเต็มวัย ผู้เพาะเลี้ยงบางรายผลิตเพื่อจำหน่าย
เป็นเหยื่อตกปลา และอาหารสัตว์ในราคาที่ถูกกว่าหนอนยักษ์ แต่ไม่สมควรใช้เลี้ยงสัตว์อย่างยิ่ง
เนื่องจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตนี้จะยังคงค้างในตัวหนอน และเมื่อสัตว์ได้รับเข้าไปจะเติบโต
เร็วกว่าปกติ ทำให้โครงสร้างร่างกาย และระบบภายในเติบโตไม่สมดุล เป็นโรคง่าย โดยเฉพาะโรค
กระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท และตายในที่สุด ในการซื้อหนอนยักษ์แต่ละครั้งผู้ซื้อควรดู
ลักษณะหนอนให้ดีว่าเป็นหนอนแมลงชนิดใด แต่ในปัจจุบันหนอนยักษ์ปลอมนี้ไม่ค่อยมีขายแล้ว
เนื่องจากในไทย หนอนยักษ์สามารถเจริญเติบโตได้เร็ว และราคาถูกลงจากสมัยก่อนมาก ในบาง
ประเทศยังมีผู้นิยมทำหนอนยักษ์ปลอมกันอยู่  สังเกตหนวดกันดีๆ อย่างนี้ซิหนอนยักษ์ของจริง  
   
การเก็บรักษา
- ควรเก็บในภาชนะที่เป็นของแข็งผิวเรียบลื่น เช่น กระเบื้องเคลือบ แก้ว โลหะ (ที่ไม่ขึ้นสนิม)
เพื่อกันหนอนปีนออก ไม่แนะนำให้เก็บในภาชนะพลาสติกเนื่องจากว่าหากไม่มีการให้อาหารแก่
หนอนนกอย่างเพียงพอหรือเก็บในที่แคบมีความหนาแน่นสูง หนอนนกอาจจะขูดกินเนื้อพลาสติก
เข้าไปด้วยได้ ซึ่งเมื่อนำไปให้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง สัตว์เลี้ยงก็จะได้รับเอาพลาสติกเหล่านั้นเข้าไป
ด้วย ลองลูบผิวพลาสติกที่เลี้ยงหนอนนกไปนานจะรู้สึกไม่เรียบ เป็นลอนคลื่น พลาสติกในตัว
หนอนนกที่กินเข้าไปนั้นแม้มีปริมาณไม่มากแต่หากได้รับบ่อยๆ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวสัตว์เลี้ยง
แน่ๆ แต่ก็อาจจะใช้ภาชนะพลาสติกได้หากเป็นการเก็บรักษาในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ต้องสนใจใน
จุดนี้ ภาชนะที่เป็นไม้ห้ามใช้โดยเด็ดขาดไม่เพียงสามารถปีนออกได้แล้วยังสามารถเจาะให้ทะลุได้
สบายๆ

- อาหารที่ให้หากเป็นไปได้ควรใส่ไว้ในภาชนะเลี้ยงให้หนาราวๆ 1 นิ้ว เป็นดีที่สุดเพราะหนอน
เหล่านี้มีนิสัยชอบมุดและช่วยในการรักษาอุณหภูมิและความชื้น แต่หากใส่น้อยกว่านี้ก็ไม่เป็น
อะไร ตามสะดวกผู้เลี้ยง อาหารหนอนนกให้ได้แทบจะทุกอย่างตั้งแต่อาหารสัตว์สำเร็จรูป เศษผัก
รวมไปถึงเศษอาหาร แต่ควรระวังเรื่องของน้ำเพราะหนอนนกสามารถจมน้ำได้สบายๆ เนื่องจากมี
ท่อหายใจอยู่ที่โคนขา หนอนนกที่เปียกน้ำอาจจะตายได้ ดังนั้นหากจะให้น้ำควรให้โดยคลุกใน
อาหารหรือให้ผักจะดีกว่า ส่วนหนอนยักษ์อาหารที่ให้ควรเป็นผักผลไม้ หรืออาหารเม็ดสัตว์สำเร็จ
รูปที่คลุกน้ำให้อ่อนนุ่ม เนื่องจากหนอนยักษ์แทบจะไม่สนใจอาหารที่แห้งและแข็ง

***ข้อสำคัญในการให้ผักหรือผลไม้คือ ระวังการเน่าเสียและจะนำมาซึ่งหนอนแมลงวันและแมลง
หวี่ ท้ายที่สุดจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้***

- สถานที่เก็บรักษาไม่ควรโดนแดด หรือมีอุณหภูมิสูงเกินไป และควรมีความชื้นซักหน่อย วิธีที่
แนะนำคือควรวางภาชนะที่เลี้ยงหนอนไว้บนถาดใส่น้ำ จากนั้นจึงคลุมทั้งหมดด้วยตาข่ายหรือฝาชี
เพื่อช่วยเพิ่มความชื้นและยังกันมด จิ้งจก หรือศัตรูอื่นๆได้อีกด้วย

- ศัตรูสำคัญของหนอนเหล่านี้ คือ มด จิ้งจก แมลงสาบ นก และมอด (ในรายที่ใช้รำเลี้ยง) การ
เก็บในภาชนะที่มีฝาปิดและหล่อน้ำไว้จะดีที่สุด เหมือนที่ทำกับตู้กับข้าว

- ควรมีการทำความสะอาดภาชนะเลี้ยงและร่อนแยกหนอนแมลงออกจากสิ่งขับถ่ายอยู่เสมอๆ เพื่อ
สุขอนามัยของสัตว์เลี้ยง และเป็นช่วยลดการสูญเสียหนอนแมลงได้ด้วย ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง

 หนอนแมลงเหล่านี้มีทางเดินอาหารที่สั้น หากจะทำการ Gut load (เสริมคุณค่าทางอาหารในตัว
เหยื่อ) ควรทำก่อนให้สัตว์เลี้ยงกินประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือให้อาหารที่เสริมคุณค่าทาง
โภชนาการไว้ตลอดเวลาเลยจะดีที่สุด แต่หากต้องการใช้วิธีการ Dusting ก็สามารถทำได้แต่ไม่ดี
นักเนื่องจากผิวตัวหนอนทั้ง 2 ชนิดนี้ ลื่น และมีขนบนตัวน้อย วิตามิน หรืออนุภาคต่างๆยึดเกาะได้
น้อย ควรใช้ร่วมกับวิธี

**********************************************************************************************************************************************

หนอนนก


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

หนอนนก เป็นชื่อสามัญที่เรียกสำหรับหนอนของแมลงปีกแข็งชนิด Tenebrio molitor หรือใน
ชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Mealworm ปัจุบันนิยมเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีความสำคัญ
ใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงสวยงาม เช่น ปลาสวยงาม, นกสวย
งาม, สัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กบางชนิด เช่น แฮมสเตอร์ หรือ
กระรอก

รูปร่างของหนอนนก เป็นหนอนที่มีเปลือก มีลำตัวยาวเรียวทรงกระบอกสีน้ำตาลอมเขียว เมื่อโต
เต็มที่มีความกว้างลำตัว 0.28-3.2 มิลลิเมตร ยาว 29-35 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.2-0.24 กรัม มี
อายุประมาณ 55-75 วัน ก่อนจะเข้าสู่ภาวะดักแด้ ซึ่งจะมีอายุในวงจรนี้ราว 5-7 วัน จากนั้นจะลอก
คราบเป็นตัวโตเต็มวัย ซึ่งจะเป็นแมลงปีกแข็งลำตัวสีน้ำตาลอมดำ ซึ่งจัดเป็นแมลงศัตรูพืช มีถิ่น
กำเนิดในทวีปยุโรปในที่ ๆ ที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น ซึ่งตัวเต็มวัยจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 3-6
เดือน ตัวเมีย 1 ตัว วางไข่ได้ 1-2 ฟอง/วัน หรือ 80-85 ฟอง/ตลอดวงจรชีวิต

คุณค่าของหนอนนก คือ เป็นอาหารที่มีทั้งโปรตีนและไขมันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไขมัน ในปลา
สวยงามบางชนิด เช่น ปลาอะโรวาน่า หากให้หนอนนกในปริมาณที่มาก ปลาจะติดใจในบางตัวอาจ
จะไม่ยอมกินอาหารชนิดอื่นเลยก็เป็นได้ และจะสะสมไขมันในตัวซึ่งจะนำมาซึ่งอาการตาตก

นอกจากนี้แล้ว ในบางพื้นที่ ยังมีผู้รับประทานหนอนนกเป็นอาหารอีกด้วย ด้วยการทอดเช่นเดียว
กับแมลงชนิดอื่น ๆ ที่รับประทานได้

ปัจจุบัน ได้มีผู้เพาะเลี้ยงหนอนนกเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยโรงเรือนที่เพาะต้องเป็นสถานที่ ๆ โปร่ง
อากาศถ่ายเทได้สะดวก ที่สำคัญคือ ต้องไม่ชื้น หากชื้นหนอนนกจะตายด้วยเชื้อราและไม่มีศัตรู
ตามธรรมชาติมารบกวน เช่น จิ้งจก, ตุ๊กแก หรือ มด ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ เมื่อซื้อหนอนนกไปแล้ว จะ
นิยมเก็บด้วยการเทใส่ถาดหรือถังพลาสติกที่มีความสูงพอสมควรที่หนอนนกไม่สามารถปีนออกมา
ได้ ปิดฝาด้วยภาชนะแบบตะแกรง อาหารที่ให้สามารถให้ได้หลากหลาย ทั้ง ผักชนิดต่าง ๆ อาหาร
ปลาเม็ด หรือ รำข้าว และต้องมีตะแกรงรองพื้น เพื่อช่วยในการร่อนมูลและเปลือกของหนอนนกที่
ถ่ายออกมาด้วย

ราคาขายในปัจจุบัน (พ.ศ. 2553) นิยมขายปลีกกันที่ขีดละ 40-80 บาท กิโลกรัมละ 300-
500 บาท

**********************************************************************************************************************************************


รู้จักกับ หนอนนก (Meal Worms)

หนอนนกมีคุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง ( ไขมัน , โปรตีน , รวมไปถึงแร่ธาตุ ต่าง ๆ อีกมาก
มาย ) นอกจากนี้แล้ว เราสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารของหนอนนกได้ คือ การเลือกผักชนิดที่มี
สารสีตามธรรมชาติ ได้แก่ แครอท , มะเขือเทศ , ขมิ้น หรือ อาหารปลาชนิดเม็ดที่มีสารเร่งสี
เช่น อาหารเม็ดผสมสาหร่ายสไปรูลิน่า , ผสมกุ้ง , ผสม astaxantin นำมาเป็นวัตถุดิบ

โดยเราจะใช้อาหารเม็ดที่เตรียมไว้ หรือ หั่นผักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ให้หนอนนกกิน เมื่อหนอนนกกิน
อาหารเหล่านั้นเข้าไปจนมีการเปลี่ยนแปลงสีของร่างกายก็จะนำไปให้ ปลากินอีกต่อหนึ่ง ปลาจะ
ได้รับผักที่หนอนกินเข้าไปในรูปที่บดละเอียดแล้ว ทำให้ปลาสามารถย่อยได้ง่ายดูดซับสารอาหาร
เหล่านั้นได้ดี


สำหรับผักที่ให้น้ำเยอะ ๆ เช่น มะเขือเทศ ให้เอาส่วนที่เละ ๆ เช่น ไส้ในออกก่อน วางทิ้งไว้ให้
สะเด็ดน้ำจึงค่อยให้หนอนกิน เพราะน้ำในผักซึ่งมีจำนวนมากอาจจะทำให้หนอนนกจมน้ำตายได้
สัตว์เลี้ยงที่กินหนอนเข้าไปยังจะได้วิตามิน เกลือแร่ และ คุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ
จำนวนมากเสริมจากผักอีกด้วย


วิธีการเก็บรักษาหนอน
1. เก็บไว้ในที่แห้งป้องกันไม่ให้ ” มด จิ้งจก และแมลงอื่น ๆ ” รบกวน
2. เว็บไว้ให้ห่างจากแสงแดด และ ฝน หรือมีอุณหภูมิสูงเกินไป
3. เก็บในภาชนะที่เป็นของแข็งผิวเรียบลื่น เพื่อป้องกันการปีนออก
4. ไม่ควรเก็บไว้ใน ภาชนะ ผลาสติกบาง ๆ เพราะหนอนอาจจะกัด กินพื้นผิว ภาชนะได้
5. เก็บในภาชนะที่มีฝาปิด และ หล่อน้ำไว้จะดีที่สุด


อื่นๆแนะนำ
ควรมีการทำความสะอาดภาชนะเลี้ยงและร่อนแยกหนอนแมลงออกจากสิ่งขับถ่ายอยู่เสมอ ๆ เพื่อ
สุขอนามัยของสัตว์เลี้ยง และเป็นช่วยลดการสูญเสียหนอนแมลงได้ด้วย ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง


อาหารสำหรับหนอนนก
สามารถให้ได้เกือบทุกอย่างอาจจะเป็น อาหารสัตว์สำเร็จรูป , ขนมปังแผ่น , มันแกว , เปลือก
แตงโม , รำข้าว , หรือ หัวอาหารสัตว์ ต่าง ๆ อีก มากมาย

************************************************************************************************************************************************************


วิธีการเลี้ยงหนอนนก 8 เดือน, 3 สัปดาห์ 
 
การเพาะเลี้ยงหนอนนก และการเพิ่มคุณค่าทางอาหาร

หนอนนกในปัจจุบันนั้นนอกจากวงการปลาสวยงามจะนำมาใช้แล้วในวงการกุ้งสวยงามและปลา
หมอแคระ หนอนชนิดนี้ยังสามารถนำมาเป็นอารหารของพวกมันได้อีกด้วย แถมเจ้าหนอน ชนิดนนี้
หาซื้อได้ไม่อยาก แต่กลับกันราคาก็ขยัน ขึ้นซะจริงๆ

วันนี้ผมเลยเอาบทความเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์หนอนนก และการเสริมสารให้หนอนนกสำหรับ ผู้ที่
มีปัญหาเรื่องสีสรรของกุ้งและปลาหมอแคระ

หนอนนก มีชื่อสามัญว่า Mealworm เป็นตัวอ่อนของแมลงปีแข็ง ชื่อ Meal-Beetle ลักษณะ
ลำตัวมีสีน้ำตาลดำ เดิมมีถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตอบอุ่นและเขตหนาว ในธรรมชาติมีนิสัยชอบกิน
ข้าวสาลี รำ ขนมปัง ฯลฯ มีระยะเวลาในการเป็นตัวหนอนยาวนาน ประมาณ 50-80 วัน แล้วจึงเข้า
สู่การเป็นดักแด้ ฟักตัว 5-8 วัน จึงกลายเป็นตัวเต็มวัย สามารถนำไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ของหนอน
นกต่อไปได้


อุปกรณ์
โรงเรือนที่มีการใช้มุ้งเขียวขนาดช่องตา 20 ล้อมรอบเพื่อป้องกันศัตรูของหนอน และควรมี
ลักษณะที่มีอากาศโปร่ง ถ่านเทได้สะดวก มีความชื้นบางเล็กน้อย เพราะหนอนนกจะเจริญเติบโต
ได้ดีอากาศในอุณหภูมิ 20-25 0C

เตรียมถาดอลูมิเนียม ขนาด 8X10 นิ้ว ขอบสูงประมาณ 2-3 นิ้ว เพื่อไม่ให้หนอนคลืบคลานลอก
มานอกถาด และชั้นวางถาดที่ป้องกันมด

ตะแกรงร่อนไข่ ขนาดช่องตา cm และร่อนตัวหนอน ขนาดช่องตา cm
พัดลมในการใช้ระบายอากาศ


ขั้นตอนในการเพาะเลี้ยง

นำถาดอลูมิเนียมใส่อาหารไก่ 400-500 กรัม/ถาด นำพ่อแม่พันธุ์หนอนนก จำนวนประมาณ
400-500 ตัว ใส่ถาด นำผลไม้หรือผักที่มีส่วนประกอบของน้ำจำนวนมาก เช่น มะละกอ แตงโมง
แตงไทย ฟัก มันแกว ฯลฯ แล้วแต่ฤดูกาล ล้างน้ำให้สะอาดปราศจากยาปราบศัตรูพืช หั่นเป็นชิ้นๆ
ขนาด 5-7 นิ้ว วางเป็นลงไปในถาด

หลังจากนั้น 7-10 วัน ให้นำตะแกรงร่อนไข่ มาร่อนแยกระหว่างพ่อแม่หนอนนก โดยไข่หนอนนก
จะปะปนออกมาพร้อมอาหารที่ร่อน แยกใส่ถาดอลูมิเนียมถาดใหม่ส่วนพ่อแม่พันธุ์หนอนนก ที่ได้
จากการร่อนให้นำไปเลี้ยงโดยอาหารไก่ ตามขั้นตอนที่ 1 ใหม่เพื่อให้พ่อแม่วางไข่ พร้อมทั้งต้อง
คัดแยกตัวที่ตายออกทิ้งด้วย


ไข่ของหนอนใช้ระยะเวลา 7-10 วัน จะฟักออกเป็นตัวหนอนใส่ผัก/ผลไม้ ขนาดชิ้น 2-3 นิ้ว ลง
ไปบ้าง ซึ่งทุก 7-10 วัน จะทำการร่อนตัวหนอน เพื่อเปลี่ยนอาหาร แต่ทั้งนี้ให้สังเกตก่อนว่า ถ้า
หากหนอนกินอาหารไก่หมดอาหารไก่จะป่นละเอียด จึงทำการร่อนตัวหนอนเปลี่ยนใส่อาหารใหม่
ประมาณ 400-500 กรัม ตัวหนอนจะเจริญเติบโตประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร ใน 3-4
สัปดาห์ และจะขนาดใหญ่มากมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร ในระยะเวลา 45-50 วัน

ตัวหนอนที่มีอายุประมาณ 70-80 วัน จะเริ่มพัฒนาเข้าสู่ระยะดักแด้ ในช่วงนี้ระหว่างร่อนตัวหนอน
เพื่อเปลี่ยนอาหารนั้นจะต้องทำการคัดเลือกแยกดักแด้ออกมาใส่ถาดอื่น ช่วงนี้มีระยะเวลา 5-7
วัน และไม่กินอาหาร จึงไม่ต้องใส่อาหารลงในถาด

หลังจากฟักระยะดักแด้ 5-7 วัน จะได้หนอนนกที่มีลักษณะเป็นแมลงปีกแข็งตัวสีน้ำตาลดำหรือ
เรียกโตเต็มวัย มีอายุประมาณ 60-80 วัน สามารถใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ทดแทนตัวที่ตายไปได้

ประโยชน์ของหนอนนก

หนอนนกมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน และไขมัน จึงเหมาะสมในการนำไปเลี้ยงเป็น
อาหารแก่สัตว์น้ำ และสัตว์น้ำ เช่น นก ไก่ ฯลฯ นอกจากนี้เนื่องจากหนอนนกเป็นสัตว์น้ำที่มีช่วง
ระยะเวลาการเป็นหนอนที่ยาวนาน และมีหลายขนาด จึงสามารถเลือกหนอนนกได้ตามความเหมาะ
สมของสัตว์ที่เลี้ยง รวมถึงเมื่อนำหนอนนกมาใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา เพื่อการเพาะขยายพันธุ์ พบว่า
ทำให้ปลามีความสมบูรณ์เพศที่ดีและพร้อมต่อการเพาะพันธุ์ได้


ผลผลิต/ต้นทุน
การเลี้ยงหนอนนก จากไข่เป็นหนอนนก โดยไข่ 1 ถาด เลี้ยงเป็นระยะหนอนประมาณ 45-50 วัน
ให้ผลผลิตประมาณ 500-700 กรัม ใช้อาหารไก่ 2-3 กิโลกรัม ขาย กก.ละ 150-200 บาท (
แล้วแต่ฤดูกาล ในช่วงอากาศเย็น ฤดูหนาว ผลผลิตมีจำนวนมาก ราคาจำหน่าย กก. 70-100 บาท )

อาหาร กิโลกรัมละ 12 บาท (12x3 = 36 บาท)
ต้นทุนผันแปร ผลไม้/ผัก ประมาณ 500-100 บาท/ เดือน (เน้น ผลไม้ตามฤดูกาล )
ไฟฟ้า 5-10 บาท
ถาดอลูมิเนียม 80 บาท/ถาด
ถ้วยขาตั้งรองชั้นวางถาดป้องกันมด 25 บาท/4 ถ้วย
ต้นทุนคงที่ ชั้นวางถาด 100-500
พัดลม 800 บาท
ตะแกรงร่อน 50-100 บาท
โรงเรือน


ข้อควรระวังในการเพาะหนอนนก
- นก หนู อาจเข้ามารบกวนหนอนได้
-ระวังอาหารหนอน เช่น แตงกวา หรือผัก อาจจะเน่าได้ ควรหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ และให้กินจน
หมดเป็นวัน ๆ ไป
-รำแป้งสาลีอาจจะมีมอดปนมาด้วย มันจะบินไปทั่วบ้าน ควรนึ่งรำแป้งสาลีป้องกันมอดเสียก่อน
-อาหารพิเศษของหนอนนกคือ รำแป้งสาลี 50 % อาหารไก่เล็ก นำมาตำให้ละเอียด 50 % ผสม
กันเป็นอาหารโปรตีนที่ช่วยให้หนอนนกเจริญเติบโตเร็ว
-รำแป้งสาลีราคาแพงมาก ควรนำรำข้าวจ้าวผสมได้ด้วยเพื่อลดต้นทุน
-ในช่วงระยะการขุนหนอนให้โตเร็วควรให้ ข้าวสุก หรือกล้วยน้ำหว้า จะช่วยให้หนอนโตเร็ว

เพิ่มคุณค่าทางอาหาร(เพิ่มสีสรรให้ปลาโดยวิธีทางธรรมชาติ)

หนอนนก และแมลงต่าง ๆ นักเลี้ยงปลาสวยงามหลายท่านทราบกันดีว่า หนอนนกมีโปรตีน และ
ไขมันสูง ปลาสามารถกินได้ง่าย จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ข้อเสียคือ เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะ
พบว่าปลาที่เลี้ยงนั้น อ้วนเกินไป และ ไม่ค่อยมีสีสันเท่าที่ควร

เทคนิคการเพิ่มคุณค่าทางอาหารของหนอนนก และ แมลง คือ การเลือกผักชนิดที่มีสารสีตาม
ธรรมชาติ ได้แก่ แครอท , มะเขือเทศ , ขมิ้น หรือ อาหารปลาชนิดเม็ดที่มีสารเร่งสี เช่น อาหาร
เม็ดผสมสาหร่ายสไปรูลิน่า,ผสมกุ้ง,ผสม astaxantin นำมาเป็นวัตถุดิบ โดยเราจะใช้อาหารเม็ด
ที่เตรียมไว้ หรือ หั่นผักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ให้หนอนนกกิน เมื่อหนอนนกกินอาหารเหล่านั้นเข้าไป
จนมีการเปลี่ยนแปลงสีของร่างกาย ก็จะนำไปให้ปลากินอีกต่อหนึ่ง ปลาจะได้รับผักที่หนอนกินเข้า
ไปในรูปที่บดละเอียดแล้ว ทำให้ปลาสามารถย่อยได้ง่าย ดูดซับสารอาหารเหล่านั้นได้ดี

สำหรับผักที่ให้น้ำเยอะๆ เช่น มะเขือเทศ ให้เอาส่วนที่เละ ๆ เช่นไส้ในออกก่อน วางทิ้งไว้ให้
สะเด็ดน้ำ จึงค่อยให้หนอนกิน เพราะน้ำในผักซึ่งมีจำนวนมากอาจจะทำให้หนอนนกจมน้ำตายได้
นอกจากปลาของคุณจะได้รับสารสีตามธรรมชาติจากผักแล้ว นอกจากนี้ปลายังจะได้วิตามิน เกลือ
แร่ และสารที่มีประโยชน์อื่นๆ จำนวนมากเสริมจากผักอีกด้วย



ที่มา  :  credit web เพื่อนบ้าน aqua.c1ub.net

************************************************************************************************************************************************************













สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-04-23 (2640 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©