เขียนโดย Fah |
ท่านผู้รู้ (จำชื่อไม่ได้) เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในสายอาชีพของตัวเองได้ จำเป็นเหลือเกินที่ต้องรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเป็นอย่างดี เห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง เข้าใจมากกว่าคนอื่น เมื่อรู้และเข้าใจ ก็จะสามารถลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที หรือจะพลาดก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วกกลับมาที่พวกเราชาวไฮโดรฯค่ะ ร้อยละ 40 ของผู้ปลูกทั้งหมด ปลูกผักสลัดขายค่ะ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักผักที่สร้างงานสร้างเงินให้กับเรากันอย่างลึกซึ้ง และสำหรับเราที่กำลังเดินทางไปสู่ความสำเร็จในสายอาชีพของเรา เราก็คงต้องมารู้จักธรรมชาติของผักตัวนี้กันให้ลึกลงไปอีกว่า เขาเป็นใคร ชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง จะได้เอาใจถูกค่ะ :-)
สลัด (LETTUCE : Lactuca sativa L.) อยู่ในวงศ Asteraceae (Compositae) ซี่งเป็นวงศ์ที่ค่อนข้างใหญ่ ประกอบด้วยพืช 800 สกุล 20,000 กว่าชนิด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ป่ามีเพียงไมกี่ชนิดที่นํามาปลูกเพื่อการค้า
สลัดเป็นพืช ที่นิยมบริโภคสดและประกอบอาหารมากที่สุด ประกอบด้วยนํ้า 95 % คาร์โบไฮเดรท 1-2 % โปรตีน 1-2 % และไขมัน 0.25 % มีพื้นที่ปลูกรวมกันทุกประเทศมากกว่า 3 แสนเฮกแตร์ ผลผลิตมากกว่า 3 ล้านตัน
Lactuca sativa เป็นสายพันธุ์กลุ่มเดียวที่นํามาปลูกเพื่อการค้า มีถิ่นกําเนิดอยู่แถบที่ราบด้านตะวันออกของเขตเมดิเตอเรเนียน จากรูปวาดในหลุมฝังศพชาวอียิปต์ พบว่ามีการเพาะปลูกสลัดใบมานานกว่า 4500 ปีก่อนคริสตศักราช โดยใช้เป็นพืชสมุนไพร และสกัดนํ้ามันจากเมล็ด ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้นํ้าที่คั้นจากใบสลัด นําไปอบแห้งเป็นผง (lactucarium) ใช้เป็นยานอนหลับ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
สลัดเป็นพืชฤดูเดียว มีลําต้นอวบสั้นและช่วงข้อถี่ ใบจะเจริญจากข้อเป็นกลุ่ม
ใบ
ใบจะมีลักษณะ รูปร่าง และสีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพันธุ์ เช่น ใบกลม ใบรี ใบเรียบหรือมีหยัก หรือบิด งอ บางพันธุ์อาจจะมีใบหนาแข็งและบางพันธุ์อาจจะมีใบอ่อนนิ่ม มีสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวเข้ม สีนํ้าตาลปนแดง สีแดงและสีนํ้าตาล เป็นต้น บางพันธุ์จะมีสีเดียวแต่บางพันธุ์อาจจะมีหลายสี ใบสีแดงจะมีวิตามิน ซี สูงกว่าสีเขียว แต่จะสูญเสียหลังเก็บเกี่ยว ภายในเวลา 2-3 วัน
ระบบราก
สลัดจะมีระบบรากแก้วที่เจริญหยั่งลึกลงไปในดินอย่างรวดเร็ว ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สามารถเติบโตได้ถึง 1 นิ้วต่อวันและเจริญลึกลงไปถึง 6 ฟุตเมื่อถึงระยะที่แทงช่อดอก
ในดินที่มีความชื้นสูงและมีหน้าดินตื้นรากจะไม่สามารถเจริญได้ดี ถึงแม้จะมีรากแก้วที่หยั่งลึก แต่รากจะมีขนาดเล็ก รากแขนงและรากฝอยจะอยู่อย่างหนาแน่นในระดับความลึก 30 ซม.
ช่อดอก
เป็นแบบ panicle สูง 2-4 ฟุต ประกอบด้วยดอก 10-25 ดอกต่อช่อ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกสีเหลืองหรือขาวปนเหลือง ดอกจะบานช่วงเช้า และปิดในระยะเวลาสั้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีอุณหภูมิตํ่า ขบวนการผสมเกสรจะเสร็จสิ้นภายในเวลา 3-6 ชั่วโมง ดอกหนึ่งดอกประกอบด้วย เมล็ดหลายเมล็ด (involucres) ในสภาพอุณหภูมิสูง ชวงแสงยาวจะกระตุ้นให้มีการแทงช่อดอกเร็ว ซึ่งจะเป็นปัญหาของการผลิตในฤดูร้อน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สลัดเป็นพืชที่ต้องการอากาศอบอุ่น อุณหภูมิและช่วงแสง มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต ทั้งในด้านต้น ใบ และการเจริญของดอก การปลูกในสภาพที่มีช่วงแสงยาว อุณหภูมิสูง ช่อดอกเจริญเร็ว ทําให้ผลผลิตและคุณภาพตํ่า อุณหภูมิที่เมล็ดสามารถงอกไดอยู่ระหว่าง 4.5-27.0 o ซ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 20-27 o ซ สูงเกินกว่า 30 oซ เมล็ดจะพักตัว มีความงอกตํ่า ในอุณหภูมิ 33-35 oซ เมล็ดไม่สามารถดูดนํ้าได้
อุณหภูมิที่เหมาะสําหรับการเจริญเติบโต
ตํ่าสุด 7.2 o ซ ปานกลาง 24.0 o ซ สูงสุด 28.0 o ซ
ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับการเจริญเติบโตคือ 24 o
ในสภาพอุณหภูมิสูง การเจริญทางใบจะถูกจํากัด สร้างสารคล้ายนํ้านมมาก มีเส้นใยมาก เนื้อเยื่อเหนียว และมีรสขม อุณหภูมิจะมีอิทธิพลต่อการเจริญของสลัดปลีและสลัดบัตเตอร์มากกว่าสายพันธุ์อื่น
นอกจากนี้ถ้าหากแปลงปลูกมีความชื้นสูงหรือมีอุณหภูมิสูง แห้งแล้ง หรือในสภาพอุณหภูมิตํ่า
ความชื้นสูง พืชจะแสดงอาการขาดแคลเซียมได้ง่าย ทําให้เกิดโรคปลายใบไหม้ (Tip burn)
แสง เป็นปัจจัยสําคัญในการสร้างอาหารหรือขบวนการสังเคราะห์แสง การเจริญเติบโตของสลัดปลีต้องการพลังงานแสง > 150 cal/ cm2/day คลื่นแสงที่มีความยาว 1000-720 nm จํากัดการงอกของเมล็ดพันธุ์ ความยาวของคลื่นแสงที่เหมาะสํ าหรับการงอกของเมล็ดอยู่ระหว่าง 690-650 nm
เมื่อความเข้มของแสงสูง ช่วงแสงยาว อัตราการเจริญทางด้านลําต้นจะเพิ่มขึ้น ช่วงข้อยาว ใบชะงักการเจริญ ทําให้ใบสั้น ขนาดใหญ่ การปลูกในช่วงฤดูร้อนที่มีความเข้มแสงสูง ควรจะพลางแสง
ที่มา : รศ.นิพนธ์ ไชยมงคล
|