วิธีการเตรียมสารละลายเข้มข้น
เหตุที่ต้องเตรียมสารละลายเข้มข้นเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษา ในที่นี้จะเตรียมสารละลายเข้มข้น 200 เท่า จำนวนอย่างละ 40 ลิตร (สารละลาย A 40 ลิตร และ สารละลาย B 40 ลิตร) จากสารละลาย 40 ลิตร สามารถนำไปละลายน้ำเพื่อใช้ปลูกผักได้ = 40x200 = 8000 ลิตร
200 40 A 40 B40 40 = 40x200 = 8000
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1.ถังขนาด 60 ลิตร 2 ถัง
2.เครื่องชั่ง 7 กก. 1 เครื่อง
3.เครื่องชั่ง 1 กก. 1 เครื่อง
4.ภาชนะหรือถุงพลาสติก(ชั่งปุ๋ย) 1 ชุด
5.ท่อ PVC ใช้คนปุ๋ย 2 ท่อน
โดยมีขั้นตอนการผสมดังนี้
1.การผสมสารละลายในถัง A
1.ทำขีดบอกปริมาตรที่ถังผสมปุ๋ย 40 ลิตร โดยใช้กระบอกตวงหรือภาชนะที่รู้ปริมาตรที่แน่นอนตวงน้ำใส่ในถังจนครบ 40 ลิตร และทำเครื่องหมายที่ขอบถังด้านในหรือทำเครื่องหมายที่ท่อ PVC ที่ใช้คนสารละลาย หลังจากนั้นเทน้ำออกให้เหลือน้ำในถังประมาณ 30 ลิตร
2.ชั่งแคลเซียมไนเตรท 8.5 กก.เทใส่ในถัง คนจนละลายหมด
3.ชั่งเหล็กคีเลต (ผงสีเหลือง) 0.3 กก.ใส่ลงในถัง คนจนละลายหมด
4.เติมน้ำให้ครบ 40 ลิตร (จนถึงขีดที่ทำเครื่องหมายไว้ในข้อ 1) สารละลายในถังนี้จะเป็นสีเหลืองเข้ม
2.การผสมสารละลายในถัง B
1.ทำปริมาตรที่ถังผสมปุ๋ย 40 ลิตร โดยใช้กระบอกตวงหรือภาชนะที่รู้ปริมาตรที่แน่นอนตวงน้ำใส่ในถังจนครบ 40 ลิตร และทำเครื่องหมายที่ขอบถังด้านในหรือทำเครื่องหมายที่ท่อ PVC ที่ใช้คนสารละลาย หลังจาดนั้นเทน้ำออกให้เหลือน้ำในถังประมาณ 30 ลิตร
2.ชั่งโปแตสเซี่ยมไนเตรท 6 กก เทใส่ในถัง คนจนละลายหมด
3.ชั่งโมโนโปแตสเซี่ยมฟอสเฟต 1 กก. คนจนละลายหมด
4.ชั่งโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต 1 กก. คนจนละลายหมด
5.ชั่งแมกนีเซี่ยมซัลเฟต 3.8 กก. คนจนละลายหมด
6.ชั่งนิคสเปรย์ (ผงสีเขียว) 0.2 กก.ใส่ลงในถัง คนจนละลายหมด
7.เติมน้ำให้ครบ 40 ลิตร (จนถึงขีดที่ทำเครื่องหมายไว้ในข้อ 1) สารละลายในถังนี้จะเป็นสีเขียว
1.40 40 PVC 30 614153.860271
สารละลายที่ได้จะมีความเข้มข้น 200 เท่าเมื่อต้องการใช้ก็จะนำมาเจือจางให้ได้ความเข้มข้นตามต้องการ เหตุที่ต้องเตรียมสารละลายแยกเป็น 2 ถัง เนื่องจากปุ๋ยบางชนิดไม่สามารถผสมกันโดยตรงที่ระดับความเข้มข้นสูงๆ ดังนั้นต้องแยกปุ๋ยเหล่านี้ออกจากกันเพื่อไม่ให้ตกตะกอน
สารละลายทั้งสองถังนี้เมื่อจะนำไปใช้ จะทำการเจือจางในอัตราส่วน 1:200 เช่น ถ้าต้องการใช้สารละลายธาตุอาหารพืช 200 ลิตร ต้องใช้สารละลายเข้มข้น ถัง A และถัง B ถังละ 1 ลิตร และปรับปริมาตรโดยเติมน้ำ ให้ครบ 200 ลิตร
ปริมาตรที่แสดงในตารางเป็นปริมาณโดยประมาณ ต้องตรวจวัดด้วยเครื่องวัด EC อีกครั้ง แต่ถ้าไม่มีเครื่องวัด EC สามารถใช้ค่านี้ได้ และต้องคอยสังเกตอาการของพืชด้วย เช่น ถ้าพืชโตช้าใบเหลือง โดยเฉพาะผักคะน้าต้องการปุ๋ยเข้มข้นกว่าผักชนิดอื่นต้องเพิ่มปริมาณ สารละลาย A และ B อย่างละเท่าๆกัน เช่น เพิ่ม A = 1 ลิตร และ B = 1 ลิตร
ปริมาตรที่ต้องการ ลิตร
|
คะน้า,กวางตุ้ง,ผักกาดขาว
EC=3.0-3.5
ปริมาตร(ลิตร)
|
ผักบุ้ง, ผักสลัด,ผักโขม
EC=1.5 – 1.8
ปริมาตร(ลิตร)
|
100
|
A=0.7
|
B=0.7
|
A=0.4
|
B=0.4
|
200
|
A=1.4
|
B=1.4
|
A=0.8
|
B=0.8
|
300
|
A=2.1
|
B=2.1
|
A=1.2
|
B=1.2
|
400
|
A=2.8
|
B=2.8
|
A=1.6
|
B=1.6
|
500
|
A=3.5
|
B=3.5
|
A=2.0
|
B=2.0
|
600
|
A=4.2
|
B=4.2
|
A=2.4
|
B=2.4
|
700
|
A=4.9
|
B=4.9
|
A=2.8
|
B=2.8
|
800
|
A=5.6
|
B=5.6
|
A=3.2
|
B=3.2
|
900
|
A=6.3
|
B=6.3
|
A=3.6
|
B=3.6
|
1000
|
A=7.0
|
B=7.0
|
A=4.0
|
B=4.0
|
ช่วง3-4 วันนี้ อากาศในกรุงเทพหนาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เนื่องมาจาก ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศหนาวเย็นลงโดยทั่วไปและมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2 - 3 องศา
ช่วงนี้การปลูกผักจึงง่ายกว่าทุกฤดู พืชโตดีได้น้ำหนักดีมากค่ะ แต่ฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวจริงๆแบบนี้ เราน่าจะมีการปรับค่า EC ให้สูงขึ้นในการปลูกผัก มากกว่าในหน้าร้อนนิดหน่อยค่ะ
ทั้งนี้เป็นเพราะ พืชจะมีการดูดใช้ธาตุอาหารได้รวดเร็วกว่าการดูดน้ำ ธาตุอาหารในระบบจะหมดเร็วขึ้น ความเข้มข้นของสารละลายจะลดลง เราจึงควรใช้ความเข้มข้นของสารละลายเริ่มต้นในระดับที่สูงขึ้นได้ พืชจะมีการเจริญเติบโต สร้างน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งที่มากกว่า การใช้ความเข้มข้นที่ต่ำกว่า ค่า EC ที่มักนิยมใช้ในการปลูกผักสลัดในหน้าหนาวนี้ อยู่ในช่วง 1.5-1.6 ค่ะ
จากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายว่า ฤดูหนาวปีนี้จะสิ้นสุดที่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2550 และอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น หลังจากนั้นก็ย่างเข้าฤดูร้อนแล้ว หากมีการวางแผนผลิตอย่างดี รู้แล้วใช่ไหมค่ะว่าตอนนี้ต้องทำอย่างไร
ฟาร์มที่หัวหินจะเปลี่ยนถ่ายสารละลายธาตุอาหารทุก 15 วัน และทำเหมือนกันทุกฤดู ฟาร์มที่เชียงราย เปลี่ยนถ่ายทุก 30 วันในหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาวไม่มีการเปลี่ยนถ่ายเลย ส่วนฟาร์มที่บางนา ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายสารลายเลยในทุกฤดู และฟาร์มที่ภูเก็ต จะเปลี่ยนทุก 15 วัน ในหน้าร้อน และทุก 20-25 วันในหน้าฝนและหน้าหนาว เพื่อนๆว่า ฟาร์มที่ไหนน่าจะทำถูกและมีต้นทุนต่ำลง อะไรเป็นตัววัดว่าเมื่อไหร่น่าจะเปลี่ยนสารละลายได้แล้ว ทำไมแต่ละที่จึงเปลี่ยนถ่ายสารละลายไม่เหมือนกัน มีปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง........
ในการเปลี่ยนถ่ายสารละลายนั้น ช่วงเวลาการเปลี่ยนถ่ายสารละลายที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในการปลูก คือ
1.ฤดูกาลที่ปลูก โดยในหน้าร้อนอาจต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อยกว่าหน้าหนาว เนื่องจากหน้าร้อนพืชมีการคายน้ำมากกว่าและอากาศร้อนมีผลต่อการดูดใช้ธาตุอาหารของรากพืช
2.คุณภาพของน้ำที่ใช้สารเตรียมสารละลาย ถ้าน้ำที่ใช้มีความบริสุทธิ์มากๆ เช่นน้ำฝน, น้ำ RO (Reverse osmosis) จะเป็นน้ำที่มีสิ่งเจือปนโดยเฉพาะธาตุที่พืชไม่ต้องการปนอยู่น้อยดังนั้นโอกาสสะสมของธาตุที่พืชไม่ต้องการจึงมีน้อย ทำให้การถ่ายสารละลายทิ้งช่วงได้นาน
3. ความบริสุทธิ์ของปุ๋ยและสารที่ใช้เตรียมสารละลาย ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อยมีสิ่งเจือปนอยู่มาก ก็จะต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อยขึ้น
4. สูตรและความเข้มข้นของสารละลายที่ใช้ปลูก มีความเหมาะสมกับความต้องการของพืชหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะสมเช่นมีอัตราส่วนของธาตุต่างๆไม่ตรงกับความต้องการของพืชที่ปลูกก็จะเกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารได้เร็ว จะต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อย
5. อายุการเจริญเติบโตและชนิดของพืชที่ปลูก พืชบางชนิดแสดงอาการผลกระทบจากความไม่สมดุลของธาตุอาหารอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจต้องมีการถ่ายสารละลายบ่อยขึ้น ช่วงการเจริญเติบโตของพืชก็เช่นกัน เช่นผักสลัดจะแสดงอาการ Tip burn ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตเต็มที่และรวดเร็ว อัตราความต้องการน้ำและธาตุอาหารสูงจึงเกิดสภาพความไม่สมดุลของธาตุอาหารได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นควรมีการถ่ายสารละลายก่อนหน้านั้นประมาณ 1 สัปดาห์
6. สัดส่วนระหว่างขนาดถังสารละลายต่อจำนวนพืชที่ปลูก ถ้าถังสารละลายมีขนาดใหญ่ (เมื่อเทียบกับจำนวนพืชที่ปลูก) การถ่ายสารละลายจะช้ากว่าถังขนาดเล็ก
ตอนนี้ก็ทราบแล้วกันแล้วนะคะว่า เราจะสังเกตจากอะไรบ้าง ก่อนจะเปลี่ยนถ่ายสารละลายธาตุอาหาร เพราะการเปลี่ยนถ่ายเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก นี่ถือเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในเทคนิคการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกค่ะ
ที่มา : เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร “ การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน” รุ่นที่ 7 ของสถาบันเทคโลโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
หน้าก่อน (1/11) - หน้าถัดไป (3/11)