ความเข้าใจเกี่ยวกับ ไฮโดรโพนิกส์ |
|
|
เขียนโดย Fah |
ความรู้ ความเข้าใจง่ายๆ ที่เกี่ยวกับ พืชที่ปลูกในระบบ " ไฮโดรโพนิกส์ " ที่ท่าน ดร.กระบวน วัฒนปรีชานนท์ ซึ่งถือได้ว่า เป็นไม้ยืนต้นของวงการ ไฮโดรโพนิกส์ ได้กรุณาอธิบายไว้อย่างกระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย ทั้งในเรื่อง ความหมาย ความเป็นมา ตลอดจน ปัจจัยต่างๆที่มีผลกับการเติบโตของพืช โดยเปรียบเทียบกับการปลูกในดินเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจค่ะ
ไฮโดรโปนิกส์หรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
ในภาษาไทยมีการเขียน การสะกดคำเป็นที่รู้จักกันเป็นหลายแบบ เช่น ไฮโดรโพนิกส์, ไฮโดรพอนิกส์,
ไฮโดรโพนิค, การปลูกพืชไม่ใช้ดิน, การปลูกพืชโดยปราศจากดิน, การปลูกพืชไร้ดิน, การปลูกพืชในน้ำยา, การปลูกพืชไม่ง้อดิน, การปลูกพืชในสารละลาย, การปลูกพืชในน้ำยาเคมี, การปลูกพืชในน้ำ, การปลูกผักลอยฟ้า, การปลูกผักอวกาศ เป็นต้น ซึ่ง แปลมาจากภาษาอังกฤษที่ใช้กันทั่วไปอยู่สองคำคือ Hydroponics และ Soilless Culture สำหรับผู้เขียนแล้วได้เลือกใช้คำว่า "ไฮโดรโปนิกส์" ตลอดมาและจะยังคงใช้ตลอดไป
ไฮโดรโปนิกส์
เป็นวิธีการปลูกพืชอย่างหนึ่งซึ่งในการปลูกไม่ต้องใช้ดิน ? เอ้า !แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจะใช้อะไรปลูกล่ะ เป็นคำถามที่ชวนติดตามยิ่งนัก การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนี้สามารถแบ่งได้เป็นสองวิธีหลักคือ
การปลูกพืชในน้ำที่มีแร่ธาตุที่พืชต้องการละลายอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม และการปลูกพืชบนวัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดิน ซึ่งวัสดุอื่นนี้อาจจะเป็นสารอนินทรีย์ เช่น กรวด ทราย หิน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรือที่มนุษย์เป็นผู้ทำขึ้นมาตามความต้องการ เช่น เพอร์ไลท์ เวอร์มิคิวไล์ ร็อกวูล โฟม เป็นต้น หรือวัสดุที่เป็นสารอินทรีย์ซึ่งมักจะเป็นวัสดุเหลือใช้ที่ต้องการกำจัดทิ้งแต่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น แกลบสด ขี้เถ้าแกลบ ขุยมะพร้าว เปลือกไม้ ขี้เลื่อย ส่วนของพืชเช่น พีช มอส
วิธีการปลูกพืชแบบนี้ทำได้อย่างไร ?
ทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าเราจะปลูกพืชชนิดใดปลูกทำไมหรือปลูกเพื่ออะไร จากนั้นจึงเลือกวิธีปลูกและจัดเตรียมอุปกรณ์ ในทางทฤษฎีแล้ว วิธีนี้สามารถใช้ปลูกพืชได้ทุกชนิดเนื่องจากวิธีปลูกพืชแบบนี้เป็นการปลูกพืชโดยเลียนแบบการปลูกพืชบนดินตามธรรมชาติ เพียงแต่วิธีนี้ผู้ปลูกจะต้องจัดหาแร่ธาตุที่พืชต้องการใช้ในการเจริญเติบโตให้แก่พืชซึ่งปกติแล้วพืชจะได้แร่ธาตุเหล่านี้มาจากดินที่ใช้ปลูกหรือบางครั้งก็ได้มาจากปุ๋ยที่ผู้ปลูกเติม หรือใส่ลงไปในดินเมื่อต้องการปลูกพืชหลายๆ ครั้งในพื้นที่เดิม ซึ่งถ้าปลูกพืชซ้ำที่บ่อยๆแร่ธาตุที่มีอยู่ในดินก็จะค่อยๆ หมดไปเนื่องจากพืชนำไปใช้ในการเจริญเติบโต โดยเฉพาะแร่ธาตุที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในการปลูกพืชไม่ใช้ดินจึงต้องจัดหาปัจจัยต่างๆ ที่ดินทำหน้าที่ให้แก่พืชโดยตรงคือ เป็นแหล่งแร่ธาตุ นอกจากนั้นดินที่ดีที่เหมาะสมจะนำมาใช้ปลูกพืชได้ยังต้องมีช่องว่างอากาศ มีปริมาณน้ำในดินที่เหมาะสมด้วยจึงจะใช้ปลูกได้ดี โดยทั่วไปในดินหนึ่งร้อยส่วนควรมีส่วนประกอบต่างๆ คิดเป็นร้อยละได้ดังนี้
แร่ธาตุหรือสารอนินทรีย์ 45%
ช่องว่างอากาศในดิน 25%
ปริมาณน้ำ 25%
สารอินทรีย์ 5%
นอกจากนี้ดินยังมีส่วนค้ำจุนไม่ให้พืชหักหรือโค่นล้มได้ง่าย ดังนั้นในการปลูกพืชจึงต้องจัดหาอุปกรณ์เพื่อค้ำจุนต้นพืชอีกด้วย การที่จะเลือกปลูกพืชชนิดใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะปลูกไว้เพื่อใช้บริโภคเองในครัวเรือนเป็นพืชผักสวนครัวหรือปลูกเป็นการค้าในเชิงธุรกิจก็ย่อมทำได้
วิธีการปลูกพืชแบบนี้ไปใช้ประโยชน์กับใครได้บ้าง ?
อาจแบ่งได้เป็นสามกลุ่มดังนี้
1. นำวิธีการปลูกพืชนี้ไปใช้ปลูกพืชเพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพืช เช่น ศึกษาดูภาวะขาดแร่ธาตุในต้นพืชว่าจะมีลักษณะอาการผิดปกติไปอย่างไรถ้าพืชไม่ได้รับแร่ธาตุบางชนิด เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อต้องการศึกษาเกี่ยวกับส่วนของรากพืชก็จะสังเกตเห็นได้ชัดว่าการปลูกในดิน การปลูกพืชในยานอวกาศก็สามารถทำได้ ผู้ใช้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย ซึ่งจะใช้วิธีนี้ปลูกพืชเพื่อการทดลองต่างๆ ตามความสนใจ
2. นำวิธีการปลูกพืชนี้ไปใช้ปลูกพืชเพื่อเป็นงานอดิเรก เช่น ปลูกผักสวนครัว พืชสมุนไพรไว้ใช้ในครัวเรือน ผู้ปลูกกลุ่มนี้ก็จะมีความหลากหลายตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุที่มีความสนใจในการปลูกต้นไม้แต่ไม่มีพื้นดินที่เหมาะสมในการปลูกพืช คนกลุ่มนี้มักจะมีใจรักต้นไม้อยากอยู่ใกล้ต้นไม้ บางครั้งใช้ปลูกเป็นไม้ประดับไว้ดูเล่นในบ้าน เช่น ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องน้ำ เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
3. นำวิธีการปลูกพืชนี้ไปใช้ปลูกพืชเพื่อเป็นการค้า มีการลงทุนทำธรกิจปลูกพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตปริมาณมากมีความสม่ำเสมอ มีคุณภาพดี สามารถวางแผนควบคุมปริมาณการผลิต กำหนดหรือต่อรองราคาได้มากขึ้น คนกลุ่มนี้ได้แก่ ผู้สนใจปลูกพืชเป็นอาชีพ ซึ่งอาจจะปลูกพืชเพื่อขายผลผลิตอย่างเดียว
หรือเป็นผู้จัดหาวัสดุหรือจัดทำและจำทำและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการปลูกพืชด้วยก็ได้ เป็นธุรกิจที่ครบวงจร หรือจัดทำเป็นจัดทำเป็นร้านขายอาหารหรือภัตตาคาร โดยปลูกพืชแบบนี้ไว้ให้ลูกค้าได้เข้ามาชมมาศึกษาและสามารถเก็บพืชผักที่ปลูกด้วยวิธีนี้มาทำเป็นอาหารทดลองชิมให้รู้รสชาดได้อีกด้วย
จะเริ่มต้นอย่างไรดี ถ้าอยากจะปลูกพืชแบบนี้ ?
ก่อนอื่นก็ต้องหาความรู้ก่อนโดยการหาหนังสือหรือตำรามาอ่านยิ่งปัจจุบันมีเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถหาความรู้ได้จากอินเตอร์สามารถหาความรู้ได้จากอินเตอร์เนตได้อย่างกว้างขวางไปทั่วโลกไม่ว่าใครเขาจะทำอะไรกันที่ไหน อย่างไร ก็จะค้นหาได้ ในุยุคข่าวสารหรือโลกไร้ พรมแดนอย่างที่ทราบกัน ดังนั้นสำหรับผู้ใฝ่หาความรู้แล้วหาได้ไม่ยากเลยไม่เหมือนสมัยก่อน แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่เมื่อเรารู้แล้ว เราลงมือปฎิบัติด้วยตนเองหรือยัง "แท้จริงความรู้ใดๆที่เราคิดว่าเรารู้แล้วนั้นจะไม่เกิดประโยชน์หรือทำให้เราเป็นผู้รู้จริงในศาสตร์นั้นๆได้เลย ถ้าหากเรายังไม่ได้ปฎิบัติหรือทดลองทำด้วยตัวเราเอง" การได้ทดลองเองก็ย่อมทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้นตามลำดับและจะยิ่งค้นพบความจริงมากขึ้นว่าจากที่เราได้อ่าน ได้ฟังมานั้นมันถูกต้อง ดีจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เมื่อมีความรู้บ้างแล้วก็จัดหาอุปกรณ์ซึ่งอาจจะจัดทำขึ้นเองหรือซื้อหามาก็ได้แล้วแต่สะดวกต่อจากนั้นก็เลือกระบบการปลูกให้เหมาะสมกับชนิดพืชที่จะปลูกอย่างเช่น ผักสวนครัว พืชสมุนไพร มักจะใช้ปลูกบนวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น วัสดุปลูกควรอุ้มน้ำได้ดี ในขณะเดียวกันก็ต้องให้น้ำที่รดลงไปไหลออกจากวัสดุปลูกได้ดีทำให้มีช่องว่างอากาศเพิ่มขึ้น วัสดุที่ใช้ต้องไม่มีสารพิษเจือปน ควรมีสภาพเป็นกลาง ไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป ระบบการปลูกที่นิยมใช้ปลูกพืชเป็นการค้าในปัจจุบันโดยเฉพาะพืชพวกสลัดที่ใช้รับประทานสดรวมทั้งมะเขือเทศและแตงกวาก็คือ เอ็นเอฟที (NFT) ย่อมาจาก Nutrient Film Technique ซึ่งเป็นระบบที่คิดค้นดัดแปลงขึ้นมาในราว ค.ศ.1970 โดยชาวอังกฤษชื่อ Dr. Allen Cooper และได้มีการใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และก็ได้เข้ามาแพร่หลายในเมืองไทยด้วยเช่นกัน
การปลูกพืชบนดินและการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์แตกต่างกันอย่างไร?
แสดงแหล่งที่มาของแร่ธาตุเมื่อปลูกพืชบนดินและปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ถ้าดูจากแผนภูมิจะพบว่า พืชไม่ว่าจะปลูกบนดินหรือไม่ต่างก็ได้รับแร่ธาตุซึ่งต้องอยู่ในรูปของสารละลายเท่านั้น เพียงแต่จะเป็นสารละลายที่ได้จากแร่ธาตุที่อยู่ในดินละลายน้ำหรือแร่ธาตุที่ละลายในน้ำโดยผู้ปลูกเตรียมขึ้นมาเองจากสารประกอบอนินทรีย์ ซึ่งเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ให้แก่พืชเมื่อปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ส่วนปัจจัยอื่น เช่น แสง น้ำ อากาศ รวมทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่พืชใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในกระบวนการหายใจ พืชจะต้องได้รับเช่นเดียวกันไม่ว่าจะปลูกด้วยวิธีใด ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชก็เหมือนกันแต่ถ้าปลูกในน้ำที่มีแร่ธาตุละลายอยู่ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาศัยอยู่ในดินก็จะหมดไป ส่วนโรคและแมลงที่อาศัยอยู่ในอากาศก็ยังคงจะสามารถเข้าทำลายหรือทำความเสียหายให้แก่พืชที่ปลูกได้ นอกจากว่าเราจะต้องลงทุนกางมุ้ง หรือใช้ตาข่ายไนล่อนคลุมต้นพืชเอาไว้ก็จะลดการทำลายของโรคและแมลงลงไปได้บ้าง แต่ก็ต้องระวังเรื่องอุณหภูมิและปริมาณความชื้นภายในมุ้ง
ซึ่งอาจจะสูงเกินไปทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา โดยเฉพาะในฤดูฝนความชื้นมากเกินไปทำให้เกิดเชื้อราได้การปลูกพืชด้วยวิธีนี้ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพของน้ำที่นำมาใช้ปลูกด้วย ควรเป็นน้ำที่สะอาดไม่มีสารพิษเจือปน
การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ในประเทศไทยเริ่มต้นเมื่อไรใครทราบบ้าง?
ด้วยความคิดที่ว่าประเทศไทยยังมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่เยอะกับความรู้ที่เคยได้รับรู้มาว่าการปลูกพืชแบบนี้มีต้นทุนสูง จึงไม่ค่อยมีการปลูกพืชแบบนี้เป็นการค้าให้เห็นกันในช่วงก่อนปี พ.ศ.2530 จนกระทั่งมีฟาร์มนาดีตะ อยู่ที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาครได้ปลูกพืชด้วยวิธีนี้ขึ้นมาจึงได้ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง และในเวลาเดียวกันนั้น โครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อผลการวิจัยต่าง ๆ ในโครงการได้รับการเผยแพร่ออกไปในปีต่อ ๆ มา จึงมีผู้สนใจมากขึ้นเป็นลำดับและในราวปี พ.ศ.2540 นี่เองนับเป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีผู้ให้ความสนใจการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์กันอย่างมากมายอีกครั้งหนึ่ง มีสาเหตุเนื่องมาจากการรายงานข่าวออกอากาศโดยผ่านสื่อโทรทัศน์ในรายการต่าง ๆ ทั้งผลงานของภาคราชการและเอกชน กอร์ปกับเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย นักธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งผู้ตกงานหรือว่างงาน จึงเริ่มหาอาชีพใหม่หรืออาชีพเสริมเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีความมั่นใจในเทคนิคและวิธีการปลูกพืชแบบนี้มากขึ้น ในระยะนี้จึงมีผู้ประกอบการต่างหันมาศึกษาวิธีการปลูกพืชและลงทุนทำธุรกิจการปลูกพืชกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูจากรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รวบรวมมาข้างท้ายนี้ ปัจจุบันเราสามารถหาซื้อพืชที่ปลูกด้วยวิธีนี้วางขายในซุปเปอร์มาเก็ต ตามร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม และก็มีผู้เริ่มคิดที่จะผลิตเพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเทศกันบ้างแล้ว หรืออย่างน้อยก็ช่วยกันลดการนำเข้าพืชผักจากต่างประเทศบ้างก็ยังดี ต่อไปคนไทยก็จะได้บริโภคพืชผักเหล่านี้ในราคาถูกลงเมื่อมีผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ในด้านวิชาการ นักวิจัย ครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักเรียนที่สนใจทางด้านนี้ก็กำลังคิดค้นและศึกษาวิจัยกันต่อไปตามความถนัดของแต่ละคน
ที่มา : เอกสาร โดย ดร.กระบวน วัฒนปรีชานนท์
|