-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 401 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เกษตรต่างแดน13




หน้า: 2/2


มองนโยบายเกาหลี แล้วเอามาคิด "ตัดยอด" แบบไทยๆ
ลองคิดดูคนเรา 1 คนกินข้าวมื้อละ 30 บาท 5 ปีคิดเป็นเงิน 164,250 บาท ในช่วงเวลานี้ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 ตัวราคาเพียง 20,000 บาท .............


ประเทศไทย...พัฒนาแบบก้าวกระโดด (ข้ามหัวตัวเอง)


ผมได้มีโอกาสสนทนากับศาสตราจารย์จากประเทศเกาหลี ท่านเล่าว่าขณะนี้รัฐบาลเกาหลีกำลังมีแผนระยะยาวและใหญ่มากในการปฏิวัติขั้นที่สาม คือการปฏิวัติด้านชีวเคมี โดยการปฏิวัติขั้นแรกและขั้นสองที่ได้ทำสำเร็จลงไปแล้วคือ การปฏิวัติการเกษตร และ ปฏิวัติอุตสาหกรรม นั่นเอง


การปฏิวัติการเกษตรนั้นสำคัญที่สุด เรื่องนี้ผมได้เขียนมานับสิบครั้งในสิบกว่าปีที่ผ่านมา ขึ้นไปพูดบนเวทีพันธมิตรสองครั้งที่มัฆวานผมก็พูดเรื่องนี้เป็นประเด็นแรก แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยเราไม่สนใจ เมื่อพูดถึงการเกษตรรัฐบาลไทยคิดได้เพียงแค่การประกันราคาพืชผลเท่านั้นเอง ค่อยๆปล่อยปละละเลยจนเกษตรไทยเหี่ยวเฉาเท้าลีบ จนขณะนี้การเรียนวิศวเกษตรกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หาคนเรียนไม่ได้แล้ว แต่วิศวกรรมอากาศยานคนแย่งกันเรียนเจียนบ้าทั้งที่ประเทศไทยไม่มีอุตสาหกรรมอากาศยานรองรับแม้แต่น้อย ประเทศมหาอำนาจทุกชาติในโลกนี้ต่างพัฒนามาจากรากฐานการเกษตรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเมกา EU ญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลี  กินเนสจะต้องบันทึกไว้ว่าประเทศไทยกำลังเป็นประเทศแรกในโลกที่มีความสามารถพิเศษในการพัฒนาแบบกระโดดข้ามหัวตัวเองได้


ขนาด ม.เกษตรศาสตร์ ยังพยายามหนีภาพลักษณ์การเกษตรยกใหญ่ หันไปเปิดสาขาวิชาหลากหลายที่แสนไกลเกษตร จนเกษตรแท้ๆ เหลืออยู่เพียงนิดเดียว ขณะที่ม.ในสหรัฐมีม.เกษตรชั้นนำทำวิจัยออกสินค้ามาขายเราอยู่เรื่อยๆ เช่น คอร์แนล ยูซีเดวิส มินเนสโซตา อิลลินอยส์


ที่ไทยเรารังเกียจเกษตร ผมเชื่อว่ามีฐานคิดมาจากพวกนักเรียนนอกตีนแดงที่มีแต่ดีกรีแต่หามีปัญญาไม่ และมีเส้นสายใยโยงเข้าไปกำหนดนโยบายการบริหารประเทศได้ พากันไปคิดแต่จะก้าวกระโดดไปสู่อุตสาหกรรมและความร่ำรวย โดยหาได้สำเหนียกว่าการกระโดดให้สูงมันต้องมีพื้นที่แข็งแกร่งคอยรองรับไม่งั้นตีนมันติดหนึบ โดดไม่ขึ้นหรอก เปรอะตีนเล่นอีกต่างหาก


ลองคิดดูคนเรา 1 คนกินข้าวมื้อละ 30 บาท 5 ปีคิดเป็นเงิน 164,250 บาท ในช่วงเวลานี้ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 ตัวราคาเพียง 20,000 บาท แต่ถ้าเราเอาอาหาร 30 บาทนี้ไปขายในต่างประเทศมันจะกลายเป็นราคา 5 เท่าเป็นอย่างน้อย ก็ยิ่งไปกันใหญ่ จะเห็นว่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไม่ได้มีราคาต่ำอย่างที่คิดกันหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นอุตสาหกรรมที่จ้างแรงงานใหญ่ที่สุดในสหรัฐได้หรือ แถมถ้าเศรษฐกิจโลกตกต่ำมันยังเป็นหยุ่นกันกระแทก เพราะตกต่ำอย่างไรก็ยังต้องกิน ส่วนคอมพิวเตอร์มันชะลอการซื้อได้


ตอนนี้เราปฏิวัติอุตสาหกรรมแบบไทยๆ มาได้ 30 ปี ทำกันได้เพียงแค่ขายประเทศให้นายทุนต่างชาติเข้ามาปู้ยำ พร้อมแพคเก็จแจกแถมนานับประการผ่านองค์กรบ๋อย (BOI)  (ชื่อย่อออกเสียงได้เหมาะสมดีเพราะทำให้คนไทยกลายเป็นบ๋อยต่างชาติไปหมดทั้งประเทศแล้ว)


ผมจึงได้คิดค้นนโยบายปฏิวัติอุตสาหกรรมท้องถิ่นขึ้นมาเพื่อกอบกู้ชาติไทย ให้รอดพ้นจากความผิดพลาดของรัฐบาลในยุคก่อนๆ (โปรดหาอ่านเอาในบลอกผม ซึ่งเขียนไว้มากหลายในบริบทต่างๆ)


ส่วนเรื่องปฏิวัติชีวเคมีของเกาหลีนั้นว่าไปแล้วก็คือ สูงสุดคืนสู่สามัญ กลับไปหาต้นผักต้นหญ้าอีกตามเคย แม้เรื่องนี้เองผมก็ได้คิดไว้ให้ประเทศของผมพอควร เนื่องจากเห็นว่าประเทศเราได้เปรียบชาติอื่นในฐานะที่อยู่ในเขตุร้อนชื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และพืชผลโตเร็วกว่าเขามาก ในเกาหลีเองพื้นฐานการเกษตรที่เขาทำไว้ดีแล้ว ทำให้เขาต่อยอดออกไปด้านชีวภาพได้โดยง่าย สร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล แต่สิ่งที่เขาขาดคือวัตถุดิบ จนต้องออกมาควานหาในไทย เวียตนาม อินโด กันแล้ว สิ่งที่เขาเล็งไว้ในระยะสั้นคือ พลาสติกชีวภาพ การทำแป้งแปรรูป (modified starch) นับพันชนิดเพื่อการค้าในรูปแบบต่างๆ รวมถึงเส้นใยสังเคราะห์ชีวภาพ  ซึ่งมันจะนำไปสู่อะไรต่อมิอะไรอีกมากมหาศาล


สำหรับไทยเราผมว่าเราต้องวางฐานแนวคิดให้ดีในเรื่องชีวภาพ ผมได้เสนอไปแล้วในเรื่อง การปลูกป่าเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืนที่จะทำให้มีรายได้ปีละหลายล้านๆบาท ด้วยเนื้อที่เพียง 10 ล้านไร่ ผมขอเสนอเพิ่มอีกคือ (เคยเสนอมาหมดแล้ว แต่พิมพ์ใหม่เท่านั้นเอง)


ที่สำคัญมากคือเกษตรชีวภาพ ขอเสนอให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่าการใช้สารเคมีทุกชนิดในการผลิตพืชและสัตว์เป็นการผิดกฎหมาย มีโทษร้ายแรง ซึ่งเราจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำเช่นนี้ เชื่อผมสิ มันจะกระหึ่มโลก และจะนำไปสู่สิ่งดีๆอีกมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึง รวมไปถึงการเมืองก็จะดีขึ้นด้วย การศึกษา ศาสนา จะดีขึ้นตามไปหมด

สินค้าเกษตรทุกตัว เช่น ยางพารา ต้องเพิ่มมูลค่าให้หมด อย่าขายเป็นยางดิบเช่นทุกวันนี้ จะมีรายได้อีกนับล้านๆ บาท (เพิ่มจากเดิม 20 เท่า)  ปาล์มน้ำมันถ้าสกัดสารเป็นประโยชน์เช่นไวตามินอีออกมาได้ก็ได้เงินอีกนับแสนล้านบาท ถ้าทำได้กับสินค้าทุกตัวมันจะเป็นรายได้มหาศาลจนถนนประเทศเราอาจปูด้วยทองก็ยังได้นั่นเทียว


สมุนไพรไทย มีคุณค่ามหาศาล ต้องวิจัยให้มากที่สุด ควรตั้งสถาบันวิจัยสมุนไพรไทยได้แล้วจะมีเงินเข้าประเทศอีกหลายล้านล้านถ้าทำให้ดี


พืชผัก ผลไม้ สัตว์ แปลกๆ ที่มีศักยภาพเชิงการค้า ยังมีอีกมหาศาล แต่รัฐบาลไม่คิดวางแผนให้ดี ในการผลิต โปรโมท ตรงกันข้ามกับสอนให้คนไทยหันไปนิยมของต่างชาติเสียหมด เช่น แอปเปิ้ล บรอคคอลลี่ แครอท โดยกระทรวงสาธารณสุขช่วยผลักดันว่าไวตามินสูง ถึงกับบรรจุไว้ในหลักสูตรของนักเรียน เรียกว่าช่วยต่างชาติล้างสมองคนไทยตั้งแต่ยังเด็ก


นโยบายนมโรงเรียน เลิกเสียที เอาอะไรที่มันดีกว่ามาแทนนมได้ไหม เช่น น้ำนมข้าวยาคูผสมผักชีวภาพต่างๆของเราเองที่ผลิตได้ในประเทศ จากนั้นส่งออกขายทั่วโลกแทนนมวัว


พอพูดถึงการปฏิวัติอะไร นิสัยคนไทยเรามักมองไปที่วิธีการและรูปแบบที่หรูหราไฮเทคเอาไว้ก่อน โดยไม่ค่อยมองฐานราก มันจึงล้มลุกกันอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม การเมือง การศึกษา  ในการปฏิวัติรอบใหม่นี้ไม่ว่าจะปฏิวัติอะไรผมว่าเอาแบบพื้นๆให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยต่อยอดระดับสูงตามวิวัฒนาการของมันจะดีที่สุดนะครับ อย่าไปกระโดดข้ามหัวตัวเองแบบที่ผ่านมาซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงมานานพอแล้ว


สังคมไทยที่ผ่านมาเราปฏิวัติ หรือ ปฏิบัติผิดพลาดมามาก เพราะถูก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” และ “ผู้ทรงบารมี” ไม่กี่คนชี้นำ  (ยิ่งถ้ามีทั้งคุณวุฒิและบารมีก็ยิ่งไปกันใหญ่) โดยอาศัยอำนาจบารมีตามโครงสร้างของระบบสังคมในแนวดิ่ง ผมเห็นมาหลายต่อหลายครั้งว่ามันเป็นแบบนี้ในการประชุมแบบที่มีการเห็นหน้ากัน



ทวิช จิตรสมบูรณ์

Tag: พัฒนาประเทศไทย







เกาหลีใต้ที่ได้เห็น

- ชวน ชูจันทร์ -

ผมได้ไปประเทศเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๔๔ โดยโรงเรียนผู้นำจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมี พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เป็นครูใหญ่ได้ส่งผมไปอบรมที่โรงเรียนชาวนาคานาอาน ประเทศ เกาหลีใต้ เป็นเวลาประมาณ ๑๖ วัน ขณะนี้ครบปีเศษ หลังจากที่ได้ไปอบรมมา จึงอยากจะบอก เล่าสิ่งที่ได้ไปพบเห็นมาอันน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านได้บ้าง เพราะในประเทศนี้ มีอะไรน่าสนใจ อยู่มากทีเดียว


ในการอบรมสัปดาห์แรกจะอบรมในโรงเรียน เนื้อหาในการอบรมคล้ายๆ กับโรงเรียนผู้นำของเรา สอนให้ทำงานหนัก ซื่อสัตย์ เสียสละ กตัญญู ประหยัด คือ สร้างจิตวิญญาณที่ดีงามให้แก่ตัวเรา จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ให้มากที่สุด สิ่งที่เรา ได้เรียนรู้กันมาจากโรงเรียนบ้าง มหาวิทยาลัยบ้าง ส่วนใหญ่จะเน้นวิชาเกี่ยวกับ การหาเลี้ยงชีวิต เป็นเกษตร เป็นช่าง เป็นวิศวกร เป็นหมอ เน้นการสอนวิชาหาเลี้ยงชีวิต แต่โรงเรียนผู้นำ หรือโรงเรียน ชาวนาคานาอานจะสอนการใช้ชีวิตว่า เราควรใช้ชีวิตอย่างไร ถึงจะมีคุณค่า


เมื่อจบการอบรมในห้องเรียนในสัปดาห์แรก เข้าสัปดาห์ที่สอง ครูที่โรงเรียนจะพาไปชม สถานที่สำคัญๆ ของประเทศ หรือพาชมบ้าน ชมเมือง ถ้าจะแบ่งก็คงจะได้ ๓ ประการกว้างๆ คือ การศึกษา สังคม และเศรษฐกิจ ยกเว้นการเมือง

การศึกษา เขาพาชมตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เกาหลีใต้จะให้ความสำคัญ ด้านการศึกษา การเรียนรู้ค่อนข้างสูงพอสมควร สังเกตได้จาก อุปกรณ์การเรียนการสอน หนังสือ ในโรงเรียนอนุบาลจะมีเปียโนทุกห้อง หมายถึงเด็กอนุบาลทุกคน จะเริ่มเรียนโน้ตดนตรี ตั้งแต่ อยู่อนุบาล เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ในโรงเรียนประถมมีจำนวนมากมาย เครื่องมือ บางอย่าง ผมจะเคยเห็นเคยใช้ เมื่ออยู่ชั้นมัธยมปลาย ที่นี่มีให้เห็นให้ใช้ตั้งแต่ระดับประถม หนังสือในห้องสมุด มีมาก สอบถามได้ความว่า ศิษย์เก่าของโรงเรียน จะนำมาบริจาค ให้ปีละ ประมาณ ๔๐๐ เล่ม นักเรียนมัธยมเท่านั้นที่มีเครื่องแบบ นอกนั้นไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นอนุบาลประถม หรือ มหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะอากาศหนาวก็ได้ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เวลาพูด ก็เป็นอังกฤษ สำเนียงเกาหลี


แหล่งความรู้นอกห้องเรียนก็นับว่าทำได้ดีและดูเหมือนกำลังพยายามให้ความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ มีการสร้างเมืองเครื่องปั้นดินเผา พิพิธภัณฑ์ การสืบทอดทางวัฒนธรรม เครื่องใช้ อาหารการกิน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชอนจู มีของพื้นเมือง และสิ่งของเกี่ยวกับ การเกษตร อยู่ประมาณ ๔,๕๐๐ ชิ้น แหล่งความรู้เหล่านี้จะมีชาวเกาหลีเข้าชมกันแน่นทุกวันโดยเฉพาะนักเรียน จนผมนึกว่า เขามี นิทรรศการ สอบถามได้ความว่า เปล่า จะมีแน่นอย่างนี้ทุกวัน ที่เปิดให้เข้าชม นับว่าเขาตื่นตัวกันดี ในการหา ความรู้ ให้แก่เยาวชน และเป็นแหล่งท่องเที่ยว ของประเทศได้ด้วย


ด้านสังคม เท่าที่เห็นกว้างๆ นั้น ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ประชาชนอย่างเสรี มีศาสนสถานทั้งพุทธ คริสต์ ทั้งโปรแตสแตนท์ และคาทอลิก และลัทธิขงจื๊อ ศาสนาคริสต์ จะเป็นที่นิยมเป็นส่วนใหญ่ มีโบสถ์ตามชุมชนต่างๆ จำนวนมาก บ้านเรือนไม่ใหญ่โตนัก ในชนบท จะเป็นหลังเล็ก ในเมืองจะเป็นตึกแถวสูงๆ ที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองหรือชนบท จะไม่มีรั้วบ้าน บ้านที่ปลูกใหญ่โต ยังกับปราสาทชนิดเห็นแล้วต้องเหลียวหลังไปถามว่า นี่บ้านใคร ก็ไม่เห็นมี ปลูกอยู่กันแบบพอดีๆ บ้านไม้ไม่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นอิฐปูน เพราะป้องกัน ความหนาวได้ดี ปัญหาตัดไม้ทำลายป่ามาสร้างบ้านจึงน้อยไปด้วย
 

การวางผังเมืองค่อนข้างดี ริมแม่น้ำไม่มีบ้านปลูก จะปล่อยให้เป็นที่ว่างหรือไม่ก็ทำเป็นสวน พักผ่อน เป็นขั้นๆ ลงมาป้องกันตลิ่งพัง จากฝั่งขึ้นไปจะเป็นถนนรถยนต์วิ่ง ถัดไปจึงจะเป็นบ้านเรือน อยู่อาศัย การวางผังเมืองอย่างนี้ ได้ประโยชน์หลายอย่าง คือ แม่น้ำสะอาด สวยงาม พอน้ำหลาก น้ำมา ก็ไม่มีบ้านเรือนเสียหาย เพราะชายฝั่งแม่น้ำไม่มีที่อยู่อาศัย ถ้าน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเข้าท่วม ในตัวเมือง ยังมีถนนรถยนต์กั้นไว้ อีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นคันกั้นน้ำได้ดีมาก

ป้ายโฆษณาใหญ่โตมโหฬารไม่เห็นมี บริษัทข้ามชาติไม่เห็น ไปอยู่ครึ่งเดือน เห็นร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โทรมๆ อยู่แห่งเดียว ตามป้าย มีแต่ภาษาเกาหลี ทั้งนั้น ปั๊มน้ำมันมีแต่ฮุนไดปั๊ม น่าคิดคือ แม้เกาหลีใต้ จะซื้อน้ำมัน จากต่างประเทศมาใช้บ้าง แต่เขาก็ขายของเขาเอง ไม่ต้องเอาปั๊ม ของต่างชาติมาขาย ให้ต้องเสียเงิน ค่าลิขสิทธิ์ไปเปล่าๆ


ปัญหาสังคมอื่นๆ อันเป็นปัญหาของประเทศพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ปัญหาสังคมวัยรุ่น คนชรา ขาดการเลี้ยงดู จากบุตรหลาน มักจะมีคล้ายๆ กัน ในตำบลหนึ่งมีบ้านพักคนชราของตำบล มีคนชรา พักอยู่ ๒-๓ คน โดยการดูแลรับผิดชอบของตำบลนั้น เกาหลีเอง ก็คงจะมองเห็น ปัญหาทางสังคม ในภายหน้า เหมือนกันว่ามีแนวโน้มในทางไม่สู้ดีนัก ในแง่ของศีลธรรม จรรยา ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ สุจริต จึงได้เร่งอบรมสั่งสอนจิตวิญญาณอย่างหนัก


อีกปัญหาหนึ่งคือ คนต่างชาติที่เข้าไปทำงานในเกาหลี เพราะเกาหลีขาดแคลนแรงงาน ไม่ว่าจะเป็น ในอุตสาหรรม หรือในไร่นา มีปัญหาเรื่อง สภาพการจ้าง การช่วยเหลือ ด้านสวัสดิการ ต่างๆ ไม่เคยชินกับภาษา ขณะที่ผม ไปอบรมอยู่ มีครูชาวเกาหลีคนหนึ่ง พูดไทยได้ดี จะมีคนงานไทย ที่ไปทำงานในเกาหลี โทรศัพท์เข้ามาปรึกษา ตลอดเวลา ซึ่งเขาก็ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ อย่างดี จนคนไทยบางคนเรียกแม่เลยก็มี


ด้านเศรษฐกิจ ของประเทศเกาหลีใต้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ครั้งหนึ่งเราเคยฝันว่า จะพัฒนาประเทศไป ให้เป็นประเทศ อย่างเขาเหมือนกัน แต่บังเอิญ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่เรามาหกล้มเสียก่อน ในปี ๒๕๔๐ ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวน แนวทางการพัฒนาประเทศกันใหม่ ตอนนี้ดูเหมือน ยังงงๆ อยู่ ไม่รู้จะเอาแบบไหนกันดี อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มตัว มีรายได้ เข้าประเทศ จากอุตสาหกรรมเป็นหลัก การเกษตรเป็นรอง การเกษตรจะพอกิน ภายในประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการส่งออกมากนัก ประเทศเกาหลีใต้มี ๔ ฤดู อากาศหนาว เป็นส่วนใหญ่ บางปีมีอุณหภูมิลดลงถึง -๒๐ องศาเซลเซียส จึงปลูกพืชได้น้อย หรืออาจดูว่า มีความหลากหลาย ทางชีวภาพน้อย ไม่เหมือนประเทศแถบโซนร้อนอย่างบ้านเรา ในป่าจะเป็น ป่าโปร่ง มีต้นสน เป็นส่วนใหญ่ เพราะทนหนาวทนหิมะได้ พืชหลักที่ปลูกกัน จะมี แอปเปิ้ล สาลี่ ผัก มันและข้าว พืชที่ส่งออกมากจะเป็นแอปเปิ้ลกับสาลี่ มีไม้ดอก เมืองหนาวบ้าง ส่วนข้าวนั้น เท่าที่เห็นเข้าใจว่า มีพอกิน ภายในประเทศ เท่านั้น เพราะดูจากกอข้าวในนาแล้ว ผลผลิตต่อไร่ ยังสู้ของเราไม่ได้ ในศูนย์วิจัย เกี่ยวกับ เรื่องข้าว เขากำลังค้นคว้าอยู่เหมือนกันว่า ข้าวพันธุ์ไหน ให้ผลผลิตดีที่สุด แม้เขาจะปลูกพืชได้น้อย อย่างเขา ก็กินใช้เฉพาะ ที่เขาปลูกได้ เท่านั้น
 

ในตลาดผักผลไม้จะไม่เห็นผลไม้สั่งเข้ามาจำหน่ายเลย มะพร้าวเขาปลูกไม่ได้ ผมอยู่ ๒ สัปดาห์ ไม่เคยเห็นลูกมะพร้าว ทั้งอ่อนหรือแก่ และไม่เคย กินแกงที่ใส่กะทิเลย อาจเพราะเขาต้องการ ประหยัดไม่ให้เงินออกนอกประเทศ ทำได้แค่ไหนกินแค่นั้น ทำนองเดียว กับรถยนต์ เครื่องยนต์ มีแต่ของที่ทำเองทั้งนั้น ไม่เคยเห็นรถยนต์จากประเทศอื่นเกลื่อนถนนหลายยี่ห้อ เหมือนบ้านเรา ผมไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์เลย ไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบท จะมีแต่รถมอเตอร์ไซค์เล็กๆ ในโรงงาน อุตสาหกรรม บางแห่งเท่านั้น มีรถเก๋งและรถบรรทุกเล็ก และก็รถบรรทุกใหญ่เลย รถปิกอัพ แบบของเรา ไม่เห็น เหมือนกัน อาจเป็นเพราะ อากาศหนาว และเกี่ยวกับความปลอดภัยด้วย จึงไม่นิยมใช้กัน


เกาหลีใต้แม้จะเป็นประเทศอุตสหกรรมทำได้ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือเดินมหาสมุทรก็ตาม (เรือรบ ทำหรือเปล่าไม่รู้ ผมถามเขาเหมือนกัน แต่เขาไม่ตอบ เพราะเป็นความลับทางทหาร) เขาไม่ทอดทิ้ง การเกษตร ด้วยมีเทคโนโลยีชั้นสูง ในอุตสาหกรรมอยู่แล้ว การทำเครื่องไม้ เครื่องมือใช้ ในการเกษตร ซึ่งไม่ต้องใช้ความรู้ขึ้นสูงนัก จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เกษตรของเขา จึงมีเครื่องมือ เครื่องทุนแรงใช้ อย่างเหลือเฟือ จนผมอดอิจฉาไม่ได้ เครื่องสีข้าวขนาดเท่าเครื่องซักผ้า มีปุ่มปรับ จะเอาข้าวกล้อง ข้าวขาว ขนาดไหนก็ได้ อุปกรณ์ทำมุ้งปลูกพืชผัก ทำโรงเรือนต้นไม้ เครื่องปรับ อุณหภูมิในโรงเรือน เครื่องมือแปรรูป ผักผลไม้ ทำใช้ได้เองหมด ถ้านั่งรถยนต์ไปตามชนบท จะเห็นโรงเรือน พลาสติก ตามไร่นามากมาย เหตุเพราะอากาศหนาวมีหิมะ การปลูกพืช ในโรงเรือน จะไม่ค่อยเสียหาย ที่น่าสังเกต อีกอย่างหนึ่ง คือ เครื่องใช้ ไม้สอยต่างๆ จะไม่นิยมใช้เหล็ก จะใช้สเตนเลสหมด ไม่ผุง่าย ทำครั้งเดียว ใช้ได้นานมาก การจำหน่าย ผลิตผล ทางการเกษตร มีสหกรณ์ เป็นผู้จำหน่ายอยู่ทั่วไป มีธนาคารของสหกรณ์เอง สำนักงาน ธนาคารไม่ใหญ่โตมโหฬาร สร้างแข่งขันกันสูงเสียดฟ้า แบบบ้านเรา ระบบเงินกระจาย ไม่กระจุก


ถ้าจะให้สรุปตามที่ได้เห็นมาแล้วว่าทำไมเขามีเงินมาใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ได้ก่อนกำหนด มีเงินทำอะไร ต่ออะไร ในประเทศอีกมากมาย ก็เพราะเขา มีความเป็นชาตินิยมสูง ทำเองใช้เองมาก ขายได้ มากกว่าซื้อ จึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาน่าสนใจ ไม่น้อยเลย น่าจะเป็นตัวอย่าง ในการใชีชีวิต ความเป็นอยู่ ของเราได้บ้างเป็นอย่างดียิ่ง



www.asoke.info/09Communication/.../Kid/k159/074.html -







หน้าก่อน หน้าก่อน (1/2)


สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-04-23 (6328 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©