-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 507 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เกษตรต่างแดน10





เกษตรฝรั่งเศส



  

เกษตรไบโอ ฝรั่งเศสไม่บูม เพราะคุมเข้ม

 ในประเทศฝรั่งเศสการเกษตรแบบชีวภาพหรือไบโอเทคโนโลยี ด้วยกระบวนการผลิต เก็บรักษา โดยไม่ใช้สารเคมียังไม่เป็นที่แพร่หลาย สาเหตุหลักไม่ได้มาจากตลาดเล็กหรือสินค้าราคาต่ำ แต่เป็นเพราะมีการกำหนดกรอบและกฎเกณฑ์ควบคุมการผลิตที่เข้มงวด

-->-->

รายงานจากสำนักข่าวสารด้านเทคโนโลยีฝรั่งเศสระบุว่า ปี 2544 ที่ผ่านมา พื้นที่ฝรั่งเศสมีเนื้อที่ในการทำเกษตรไบโอประมาณ 1.5% จากพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด 420,000 เฮกตาร์ และมีผู้ประกอบการรวม 10,400 ราย สาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรลังเลในการหันมาทำการตลาดไบโอไม่ใช่เพราะตลาดเล็กหรือสินค้ามีราคาต่ำ แต่เป็นเพราะขั้นตอนการปรับเปลี่ยนมาทำการเษตรไบโอนั้นซับซ้อนยุ่งยากต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวด

แนวคิดของการเกษตรไบโอเริ่มเมื่อประมาณปีพ.ศ.2493 และกระทรวงเกษตรประเทศฝรั่งเศสยอมรับอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.2524 หลังจากนั้นในเดือนมิ.ย.2534 สหภาพยุโรปได้กำหนดกฎเกณฑ์การทำเกษตรไบโอสำหรับผลิตภัณฑ์จำพวกผักผลไม้ และบังคับให้มีมาตรฐานของผู้ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ไบโอออกมา ซึ่งก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสได้กำหนดข้อบังคับออกมาชัดเจนแล้ว


ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทไบโอคูป (Biocoop) หนึ่งในบริษัทรับรองมาตรฐานสินค้าไบโอของฝรั่งเศส กล่าวว่า กฎเกณฑ์ที่ใช้ในระดับสหภาพยุโรปเกิดจากการผสมผสานของกฎข้อบังคับในประเทศสมาชิก มีการยินยอมผ่อนปรนกันบางจุด ทำให้ฝรั่งเศสร่างกฎระเบียบขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน แต่มีความเข้มงวดกว่า และมีการพัฒนาเพิ่มความเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้บริโภค


สำหรับกฎพื้นฐานของเกษตรไบโอเริ่มจากการงดใช้ปุ๋ยหรือผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาพืชสังเคราะห์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจัดการสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชได้อย่างสะดวก รวมถึงกำจัดวัชพืชด้วยการปลูกพืชหมุนเวียน โดยเฉพาะพืชจำพวกผัก เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ หรือพืชล้มลุก อย่างลูนินหรือเลนทิล


นอกจากนี้ผลผลิตที่ออกมาต้องมีสัญลักษณ์พิเศษ AB เป็นการผ่านการรับรองจากบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้รับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรไบโอ ซึ่งนอกจากบริษัทไบโอคูป(Biocoop) ยังมีบริษัทเอโกแซร์ต (Ecocert) และบริษัทอื่นอีก 5 บริษัทคือ Certipacq , Qualite’ France , Agrocert , Aclave และ Ulase การตรวจสอบจะมีครั้งใหญ่ในแต่ละปี ทั้งตามเวลาและเวลาที่กำหนดไว้และไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า อีกทั้งยังมีการเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปวิเคราะห์


“การเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ไบโอต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี สำหรับการเกษตรที่มีฤดูเก็บเกี่ยวปีละครั้ง และ 3 ปีสำหรับการเกษตรที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี หมายความว่าช่วงรอยต่อจะต้องผลิตสินค้าภายใต้ข้อบังคับผลิตภัณฑ์ไบโอ แต่ไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ได้ แต่เมื่อขายผลผลิตได้มันก็คุ้มค่า”นางบริจิตต์ แอ็งเชอแล็ง เกษตรกรจากเมืองโรกูร์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปารีส กล่าว



     
  
 ฝรั่งเศสปรับกฏหมายขนานใหญ่ รองรับ gap
ฝรั่งเศสปรับกฎหมายเกษตรขนานใหญ่ เล็งสร้างภาคการเกษตรให้แข็งแกร่งหนุนเศรษฐกิจของประเทศ เน้นทั้งคุณภาพสินค้าและคุณภาพชีวิตเกษตรกร งัด GI เพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมสนับสนุนโรดโชว์สินค้าเกษตรจากเมืองน้ำหอมให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก


ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2548 ที่ผ่านมา นาย Dominique Bussereau รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร อาหาร ประมงและพัฒนาชนบทของฝรั่งเศส ได้ประกาศเผยแพร่ข้อเสนอการปรับปรุงแนวทางกฎหมายการเกษตรในประเทศฝรั่งเศส


การปรับปรุงกฎหมายการเกษตรฉบับใหม่นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรของฝรั่งเศสให้ทันสมัยและรองรับแนวทางนโยบายเกษตรทั้งในระดับสหภาพยุโรป (EU) และในระดับสากล โดยเน้นประเด็นหลัก 3 เรื่อง คือ


- การเสริมสร้างเศรษฐกิจด้านการเกษตรที่เข้มแข็ง เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบธุรกิจการค้าสินค้าเกษตรให้ทันสมัย โดยจะมีมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรในรูปแบบใหม่ การปรับปรุงกฎหมายธุรกิจการเกษตรและการปรับปรุงสัญญาเช่าธุรกิจ (leasing) ในบางกรณี (เช่น สามารถโอนเปลี่ยนธุรกิจให้แก่คนนอกที่ไม่ใช่คนในครอบครัว) การลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายใหม่ รวมถึงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาสินค้าผ่านรูปแบบการแข่งขันต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงตลาดสินค้าเกษตรที่ไม่ใช่อาหาร (เช่น การลดหย่อนภาษี biomass) การเสริมสร้างบทบาทขององค์กรวิชาชีพ การปรับระบบการจัดหาวัตถุดิบ การส่งเสริมระบบการจัดการความเสี่ยง และการพยายามปรับกฎหมาย (ด้านภาษี) เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง


- การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค กฎหมายฉบับใหม่จะกำหนดระดับการควบคุมความปลอดภัยทางด้านสุขอนามัย การจัดตั้งหน่วยงานควบคุมสุขอนามัยพืช (phytosanitary agency) การกำหนดการควบคุมการเกษตรและสิ่งแวดล้อม การลดหย่อนภาษีสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้ การช่วยเหลือผ่านรูปแบบการอุดหนุนต่างๆ จะเน้นในเรื่องการส่งเสริมคุณภาพสินค้า เพื่อทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น


- การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร โดยการปรับปรุงการทำงานของรัฐและที่เกี่ยวข้องกับรัฐให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น การเสนอรูปแบบการบริการในด้านต่างๆ ให้แก่เกษตรกร รวมทั้งมาตรการส่งเสริมและแสดงสินค้าเกษตรของฝรั่งเศสในต่างประเทศ


การปรับปรุงกฎหมายเกษตรในทิศทางใหม่ของฝรั่งเศสในครั้งนี้ เป็นการกำหนดนโยบายการเกษตรในลักษณะครอบคลุมรอบด้านของฝรั่งเศสที่จะใช้ใน 20 ปีข้างหน้า ซึ่งประธานาธิบดี Jacques Chirac ของฝรั่งเศส ต้องการเริ่มใช้แผนดังกล่าวในปี 2549 อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการปรับกฎหมายจะต้องมีการเสนอไปยังสภามนตรียุโรปและสภายุโรปเพื่อพิจารณาต่อไป


สิ่งที่ไทยต้องจับตามอง คือ ประเด็นการปรับปรุงนโยบายเกษตรขนานใหญ่ของฝรั่งเศสในครั้งนี้ อาจเชื่อมโยงไปสู่มิติทางการเมืองภายใน EU ด้วย เนื่องจากฝรั่งเศสเป็นประเทศสมาชิกที่ถูกเพ่งเล็งว่าได้รับประโยชน์จากเงินอุดหนุนของ CAP มากที่สุด ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงพยายามแสดงให้ประชาคมเห็นว่า เงินอุดหนุนที่ฝรั่งเศสได้รับ มีความเหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลายภายใต้การปรับปรุงนโยบายการเกษตรภายในประเทศฝรั่งเศสครั้งนี้ และอีกประเด็นที่ฝ่ายไทยควรพิจารณา คือ การที่ฝรั่งเศสกำหนดให้กิจกรรมส่งเสริมการแสดงสินค้าของฝรั่งเศสในต่างประเทศเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในลำดับต้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ EU กำลังให้ความสำคัญและทุ่มเทงบประมาณในด้านนี้เป็นอย่างมากให้กับประเทศสมาชิกต่างๆ ที่มีแผนการจัดแสดงสินค้าในประเทศที่สาม อันหมายความว่า จากนี้ไป ประเทศสมาชิก EU ทั้ง 25 ประเทศ จะเริ่มรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อนโยบายครัวไทยสู่โลกของรัฐบาลไทยที่มุ่งจะรุกตลาดต่างประเทศเช่นเดียวกัน ดังนั้น นอกเหนือจากการที่ไทยต้องเร่งพัฒนาคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่จะออกสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว ไทยอาจต้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ให้กับภาคธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งด้วย



ดาวเรืองฝรั่งเศส ใช้ปลูกประดับ

ดาวเรืองฝรั่งเศส” เป็นดาวเรืองอีกชนิดที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกกัน แต่ไม่ได้เพื่อตัดดอกขาย ส่วนใหญ่ปลูกประดับในแปลงตามแนวทางเดิน หรือปลูกลงกระถางประดับตามสถานที่ต่างๆ สวยงามทีเดียว มีทั้งพันธุ์ดอกชั้นเดียว พันธุ์ดอกซ้อน ปลูกง่าย โตเร็ว ทนต่อสภาพแวดล้อม


ดาวเรืองฝรั่งเศส
เป็นไม้ล้มลุกทรงพุ่ม ในวงศ์ COMPOSITAE สูงประมาณ 6-12 นิ้ว อายุสั้น ด้วยต้นที่เล็กมีรากเยอะนอกจากปลูกประดับแล้ว ยังปลูกเพื่อลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืช


ใบ เป็นใบประกอบเหมือนขนนก ออกตรงข้ามกัน ใบย่อยรูปรีหรือรูปหอกแกมขอบขนาน โคนใบสอบ ปลายใบแหลม


ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว กระจุกอยู่ตามปลายยอด สีเหลืองทองก่อนกลายเป็นสีส้มและสีแดงในที่สุด กลีบดอกวงนอกเป็นรูปรางน้ำ จัดเรียงเป็นระเบียบ โคนดอกเป็นหลอดเล็ก กลีบดอกยึดแน่นกับฐานดอก ไม่หลุดง่าย ปลายดอกเป็นรอยหยัก กลิ่นหอมฉุน


ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพพื้นดิน โดยเฉพาะกับดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และมีแสงแดดจัด


นายสวีสอง



ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในสหภาพยุโรป
สินค้าเกษตร อินทรีย์ (Organic) หรือสินค้าเกษตรที่เพาะปลูก/เพาะเลี้ยงแบบไร้สารพิษได้รับความนิยมเพิ่มมาก ขึ้นในตลาดยุโรป ควบคู่กับการกระแสความนิยมการดูแลรักษาสุขภาพ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ (Healthiness) และการทำการเกษตรแบบยั่งยืน (Sustainability) ยุโรปถือเป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของโลก ควบคู่กับตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยไม่ว่าจะเป็นข้าว สินค้าประมง (โดยเฉพาะกุ้ง) หรือผักและผลไม้ล้วนเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีช่องทางและโอกาสที่ดีในตลาด ยุโรป

ตลาด สินค้าเกษตรอินทรีย์ในสหภาพยุโรปเป็นตลาดใหม่ และเป็น ‘niche market’ ที่ยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อย (เมื่อเทียบกับตลาดสินค้าเกษตรทั้งหมดในสหภาพยุโรป) กล่าวคือ ในปี 2004 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ใน EU-25 มีมูลค่าประมาณ 11 พันล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 1 ของตลาดสินค้าเกษตรทั้งหมด โดยมีเยอรมนีเป็นประเทศสมาชิกที่มีการค้าสินค้าอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 3.5 พันล้านยูโร หรือร้อยละ 30 ของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งหมดในยุโรป ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร (1.6 พันล้านยูโร) อิตาลี (1.4 พันล้านยูโร) และฝรั่งเศส (1.3 พันล้านยูโร) แม้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในยุโรปยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อย แต่ นักวิเคราะห์คาดว่าเป็นตลาดที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวและเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากแสความนิยมการรักษาสุขภาพและการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพในหมู่ ผู้บริโภคยุโรปเป็นกระแสที่มาแรง และผู้บริโภคยุโรปมีกำลังซื้อสูงจึงสามารถซื้อหาสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มี ราคาสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไปได้ ประกอบกับปัจจุบันสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ให้ความสำคัญของการส่ง เสริมการค้าเกษตรอินทรีย์และการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคเพื่อขยายตลาดเพิ่ม ขึ้น โดยสหภาพยุโรปใช้งบประมาณจำนวนมาก (80 ล้านยูโรต่อปี) สำหรับการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าและหาช่องทางตลาดใหม่ของเกษตรอินทรีย์ ความต้องการของผู้บริโภค

หาก พิจารณาความต้องการของผู้บริโภค เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีผู้บริโภคจับจ่าย/ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์มากที่สุด คิดเป็นจำนวน 60 ยูโรต่อหัว ตามมาด้วย สวีเดน (45 ยูโร) ออสเตรีย (41 ยูโร) และเยอรมนี (40 ยูโร) ในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศยุโรปอีกหลายประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และอิตาลี จับจ่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์อยู่ที่ประมาณ 20-25 ยูโรต่อหัวในภาพรวม ประเทศยุโรปตะวันตกและยุโรปเหนือเป็นตลาดสำคัญในยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนการค้าสินค้าอินทรีย์อยู่ที่ประมาณร้อยละ 1-2 ตั้งแต่ปี 1997 และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเดนมาร์ก ออสเตรีย และเยอรมนี เป็นตลาดหลัก แต่ประเทศยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกยังเป็นตลาดที่เล็กมาก อาทิ สเปน กรีซ โปรตุเกส ฮังการี และเช็กยังมีความต้องการสินค้าอินทรีย์น้อยมาก กล่าวคือเพียงร้อยละ 0.1


โดย ทั่วไปราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดจะสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไปอยู่มาก เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประมาณร้อยละ 30-40 (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักธุรกิจไทยและผู้นำเข้ายุโรปในงาน European Seafood Exposition 2007) อย่างไรก็ดี ราคาและส่วนต่างของราคาระหว่างสินค้าเกษตรทั่วไป-สินค้าเกษตรอินทรีย์จะแตก ต่างกันไปตามรายสินค้า นอกจากนั้น อาจยังอาจสังเกตได้ว่า ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศยุโรปใต้นั้นสูงกว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ใน ประเทศยุโรปอื่นๆ มากในปี 2003 มีผู้นำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองในสหภาพยุโรป (EU-15) ทั้งหมด 1400 ราย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 160 เทียบกับจำนวนผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวในปี 1998 ซึ่งแสดงถึงการเติบโตและการขยายตัวของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในยุโรป ในประเทศเบลเยียม เยอรมัน กรีซ ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสเปน ตลาดเป็นลักษณะเป็นการขายตรงผ่านร้านที่ขายสินค้าอินทรีย์โดยเฉพาะ (Specialist Retailers)


ส่วน ในประเทศเดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน สหราชอาณาจักร ฮังการี และเช็ก สินค้าอินทรีย์กว่าร้อยละ 60 ขายผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ต และวางขายในร้านขายของทั่วๆ ไป ซึ่งนักวิเคราะห์ให้ข้อสังเกตว่า ในประเทศที่ขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตจะมีอัตราการเจริญ เติบโตและการขยายตัวของตลาดสูงกว่าในขณะที่เกษตรกรและผู้ผลิตยุโรปเองก็ผลิต สินค้าเกษตรอินทรีย์อยู่มาก (โดยยุโรปมีพื้นที่ทำการเกษตรแบบอินทรีย์คิดเป็นร้อยละ 23 ของการทำเกษตรอินทรีย์ทั้งหมดทั่วโลก และส่วนใหญ่ผลิตสินค้าเนื้อวัว นม ธัญพืช ผักและผลไม้เมืองหนาว) แต่สินค้าส่วนใหญ่ไม่ใช่ประเภทสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย สินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยจึงน่าจะยังมีโอกาสที่ดีในตลาดยุโรปอีกมาก


กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

กฎ ระเบียบสหภาพยุโรปที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรอินทรีย์ในสหภาพยุโรป ได้แก่ 1) Regulation EEC N° 2092/91 ปรับใช้ตั้งแต่ปี 1992 และ 2) Regulation EC N° 1804/1999

http://ec.europa.eu/agriculture/qual/organic/reg/index_en.htm

ซึ่งเป็นกรอบที่ครอบคลุมการเพาะเลี้ยง การผลิต การติดฉลาก และการตลาดสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์เฉพาะในภาคปศุสัตว์และพืช (livestock and crops) เท่านั้น แต่ไม่รวมสัตว์น้ำ ซึ่งปัจจุบันสหภาพยุโรปยังไม่มีมาตรฐานร่วมสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อินทรีย์ ทำให้ต้องใช้มาตรฐานภาคเอกชนในแต่ละประเทศสมาชิกอยู่ล่าสุด สำนักงานที่ปรึกษาด้านการเกษตรต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2548 กรรมาธิการยุโรปด้านการเกษตร ได้เปิดเผยถึงการเตรียมการเสนอการปฏิรูปกฎระเบียบการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ใหม่ ซึ่งจะรองรับแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ของคณะกรรมาธิการยุโรปภายใต้ชื่อ “European Action Plan for Organic Food and Farming” โดยแผนการปฏิรูปดัวกล่าวได้กำหนดวัตถุประสงค์และหลักการของเกษตรอินทรีย์ กฎระเบียบการติดฉลากที่ชัดเจน และกฎระเบียบการนำเข้า เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อสินค้าเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งเกษตรกรสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ได้ดีขึ้น ทั้งนี้ หากกฎระเบียบใหม่ผ่านความเห็นชอบ คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป




กฎระเบียบใหม่ดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกไทยสนใจส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์มายังสหภาพยุโรป อาทิ


- การวางมาตรการต่างๆ เพื่อทำให้วัตถุประสงค์และหลักการของเกษตรอินทรีย์ มีการปรับใช้อย่างเท่าเทียมกันในทุกขั้นตอนและในทุกภาคของการผลิตสินค้า เกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่สินค้าที่ทำจากสัตว์และพืช การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สินค้าอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ และรวมถึงในภาคการผลิตสินค้าอาหารเกษตรอินทรีย์


- การทำให้กฎระเบียบการปรับใช้เกี่ยวกับ GMO (การดัดแปรพันธุกรรม) มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเกณฑ์ระดับการปนเปื้อน โดยเน้นถึง สินค้า GMO ไม่สามารถติดฉลากอินทรีย์ได้ และระดับการปนเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจไม่เกินร้อยละ 0.9


- การบังคับใช้เครื่องหมาย (โลโก้) สำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ หรือเลือกที่จะติดฉลากสิ่งชี้บ่งถึงเกษตรอินทรีย์ของ EU (EU-ORGANIC) โดยยังคงสามารถใช้เครื่องหมายหรือการติดฉลากของผู้ผลิตเองได้ต่อไป


ทั้งนี้ สินค้าขั้นสุดท้ายจะต้องประกอบด้วยเกษตรอินทรีย์อย่างน้อย 95% และการกำหนดข้อบังคับอย่างเข้มงวด

สำหรับติดฉลากและการโฆษณาเพื่อทำให้เกิด การส่งเสริม “แนวคิดร่วม” ของสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างแท้จริง


- การเสริมความสำคัญในด้านพื้นฐานความเสี่ยงและการปรับปรุงคุณภาพการควบคุม โดยวางระบบการควบคุมไปยังระบบที่เป็นทางการของ EU ที่จะปรับใช้กับอาหารและอาหารสัตว์ทั้งหมด


- การปรับปรุงการจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดและการเสริมระบบการควบคุมอย่างยุติธรรม ซึ่งจะทำให้ระบบมาตรฐานเป็นที่รู้จักร่วมกันและลดปัญหาการควบคุมของกฎ ระเบียบเคร่งครัดที่แตกต่างกัน ในแต่ละประเทศสมาชิก


- การพัฒนากฎหมายการนำเข้าถาวร โดยใช้พื้นฐานของการนำเข้าโดยตรงสำหรับสินค้าที่มีการปรับใช้มาตรฐานอย่าง เต็มรูปแบบหรือจากพื้นฐานระบบความเท่าเทียม


การส่งเสริมของหน่วยงานราชการไทย

ปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อจัดตั้งหน่วยงานเพื่อ การตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยเพื่อการส่งออก เพื่อจะเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกและรองรับการขยายตัวสินค้าเกษตรอินทรีย์ ของไทยมายังสหภาพยุโรปได้


ล่า สุด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2551 คณะผู้แทนไทย นำโดย นายมนตรี กฤษณีไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองมาตรฐานสินค้าและระบบคุณภาพ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้เข้าพบ Mr. Aldo LONGO ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ DG-Agriculture and Rural Development โดยได้ยื่นหนังสือขอสมัครขึ้นบัญชีรายชื่อประเทศที่สามที่สามารถส่งออก สินค้าเกษตรอินทรีย์ไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรป โดยไทยสามารถมีระบบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ของตนเอง (และเป็นระบบตรวจสอบรับรองที่ EU ยอมรับว่าเท่าเทียมกับของ EU)


ภาย หลังการเข้าพบ ได้มีการประชุมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในส่วนสินค้าเกษตรอินทรีย์ของ DG-Agriculture โดยไทยได้นำเสนอเกี่ยวกับระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยในปัจจุบัน แจ้งให้ DG-Agriculture ทราบว่า สินค้าศักยภาพของไทยในปัจจุบัน ได้แก่ ข้าว ผักผลไม้ และกุ้ง ทั้งนี้ DG-Agriculture ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากประเทศไทย เพื่อใช้ในการประเมินระบบการรับรองของไทย ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไข และจะใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับไทยจะมีความพร้อมและความสมบูรณ์ของระบบของไทย ในปัจจุบัน ไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์มายังตลาดสหภาพยุโรปได้ หากแต่ต้องมีการตกลงกับประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ เป็นรายสินค้า โดยแต่ละสินค้ามีระยะเวลาที่สามารถจำหน่ายได้ 1 ปี โดยสินค้าเกษตรอินทรีย์แต่ละชนิดต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่ประเทศ สมาชิกนั้นๆ ให้การยอมรับ


สุรีรัตน์ฟาร์ม จังหวัดจันทบุรี ฟาร์มกุ้งกุลาดำแบบอินทรีย์แห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัท Yuu n’ Mee ประเทศออสเตรีย เพื่อส่งออกกุ้งกุลาดำอินทรีย์คุณภาพของไทยสู่ตลาดสหภาพยุโรปเป็นเจ้าแรก และได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์จาก ‘Naturland’ ประเทศเยอรมนีเรียบร้อยแล้ว



ข้อมูลจาก thaieurope.net










สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-04-23 (1624 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©