-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 622 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เกษตรต่างแดน7




หน้า: 1/3


เกษตรจีน


หยาง ไม้โตเร็ว
หยางซู่ แปลว่าต้นหยาง ชื่อที่เรียกกันทั่วไปในภาษาอังกฤษคือ Poplar ชื่อทางวิชาการก็คือ  Popplus euramericana เป็นไม้ที่ปลูกกันแพร่หลายในหลายมณฑลของประเทศจีน โดยเฉพาะในมหานครไป่จิง (ปักกิ่ง) หากท่านได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ไป่จิงเฉิง (กรุงปักกิ่ง) เมืองหลวงประเทศจีน ทางอากาศยานแล้วละก้อ อย่าลืมสังเกตต้นไม้สองข้างทางที่ปลูกเรียงรายเป็นแนวหลายแถวเมื่อเดินทางออกจากสนามบินตรงเข้าเมือง แลดูยังกะสวนป่าเมื่อนั่งรถวิ่งตรงไปยังตัวเมืองนั้น ต้นไม้ที่เห็นนี้ก็คือต้นหยางที่กล่าวถึงนี่แหละ โดยเริ่มปลูกตั้งแต่สนามบินปักกิ่งเรียงรายยาวไปถึงตัวเมืองเลยทีเดียว และถนนสายนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า หยางซู่ต้าว ซึ่งแปลได้ความว่า ถนนต้นหยาง
 
 ทำไมจึงต้องเป็น ต้นหยาง ?  ต้นหยางที่ทางการสนับสนุนส่งเสริมให้ปลูกกันอย่างขนานใหญ่นั้น เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ทางพันธุกรรมโดยการเพิ่มโครโมโซมจาก 2 n มาเป็น 3 n ทางรัฐบาลกรุงไป่จิงได้ทำการปลูกเติบใหญ่จนกระทั่งออกดอกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องทำการโค่นทิ้งจนหมดสิ้น สาเหตุก็คือเมื่อถึงฤดูออกดอกนั้น ละอองดอกที่เล็กและเบาบางของมันจะปลิวว่อนไปกับสายลมทั่วเมือง สร้างความรำคาญและก่อผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้และหอบหืด แต่แล้วทางการก็หันมาปลูกต้นหยางใหม่อีก เนื่องจากเล็งเห็นว่าต้นหยางเป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์จนกระทั้งมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าไม้พรรณอื่นๆ จนมีการนำไปปลูกสร้างสวนป่ากันทั่วประเทศจีน ตลอดจนปลูกเป็นแนวป้องกันลมพายุทรายที่พัดพามาจากทางเหนือของประเทศอย่างได้ผล อีกทั้งยังมีความทนทานต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้งได้ดี รวมทั้งยังเป็นไม้ที่มีทรงต้นสูง ใบค่อนข้างใหญ่แลดูสวยงามเหมาะที่จะปลูกเป็นไม้ตกแต่งภูมิทัศน์ที่สวยงาม และต้นหยางที่ปลูกใหม่นี้ก็ยังเป็นต้นหยางสายพันธุ์เดิม แต่ถูก ตอน เป็น ขันที ไปเสียแล้ว กล่าวคือไม่ออกดอกให้เป็นที่รบกวนประชาชนอีกต่อไป นั่นก็คือคำตอบที่ถามว่า ทำไมจึงต้องเป็น ต้นหยาง อีก ?
 
เนื่องจากเป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมาก ลำต้นตรง ระบบรากลึก เนื้อไม้แข็งปานกลาง ทรงพุ่มไม่ใหญ่ ไม่ทึบ ใต้ต้นร่มโปร่ง จึงนิยมปลูกสร้างเป็นสวนป่ากันกว่าค่อนประเทศ สวนป่าปลูกในประเทศจีนจะเป็น ไม้หยางถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสวนป่าทั้งหมดนอกจากการนำเนื้อไม้มาใช้ประโยชน์แล้ว ยังนำมาทำเยื่อกระดาษที่มีคุณภาพ ใบของมันยังสามรถนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะสัตว์สองกีบสี่กระเพาะจะชอบกินเอามากๆ ภายใต้ร่มเงาที่โปร่งแสงนั้น มีการปล่อยสัตว์เลี้ยงอย่างเช่น เป็ด ไก่ ห่าน หรือ แพะแกะได้สมประโยชน์อย่างเต็มที่เต็มทาง



อาร์ติโชค (artichoke)
อาร์ติโชค (artichoke) เป็นชื่อเรียกพืชต่างประเทศชนิดหนึ่ง ชื่อเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ เยรูซาเลม อาร์ติโชค (Jerusalem artichoke) ชาวจีนเรียกว่า หยางเจียง (洋姜 = ขิงฝรั่ง) มีชื่อทางวิชาการว่า Helianthus tuberosus L ประเทศไทยเราเพิ่งนำเข้ามาปลูกวิจัย ตั้งชื่อให้พเราะเพราะพริ้งว่า แก่นตะวัน เป็นพืชล้มลุกอายุยืนหลายปีสายพันธุ์เดียวกับทานตะวัน (Family: Asteraceae Compositae Genus: HelianthusSpecy: tuberosus) มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ  แพร่พันธุ์สู่ประเทศจีนจากการนำเข้ามาของชาวยุโรป จึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อว่า กุ่ยจื่อเจียง (鬼子姜 = ขิงฝรั่ง/ชาวจีนมักจะเรียกฝรั่งว่า กุ่ย ซึ่งแปลว่า ผี เป็นคำเรียกที่ติดดูแคลน) ส่วนที่นำมาบริโภคนั้นคือเหง้าซึ่งเป็นส่วนของลำต้นที่สะสมอาหารลึกลงไปในดิน  เรียกกันว่า หัว  มีรูปทรงกลมออกรีเหมือนกับหัวเผือกในบ้านเรา แต่ทว่ามีรูปสันฐานไม่แน่นอนคงที่ อาจจะมีรูปทรงบิดเบี้ยวแตกต่างกันมากมายหลายรูปแบบ  มีผิวเปลือกเป็นสีแดง เหลือง หรือขาว เนื้อเนียน และกรอบ แต่ไม่นิยมกินสดเพราะรสชาติไม่อร่อยลิ้น  อาร์ติโชคปรับตัวเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมทั่วไป ลำต้นสูง 2 – 3 เมตร ใบรีเป็นรูปไข่  ดอกสีเหลืองคล้ายดอกบัวตองที่ขึ้นอยู่ทางภาคเหนือในประเทศไทย  ปลูกกระจายกันทั่วไปทางเขตุทางเหนือและทางใต้ของประเทศจีน 

อาร์ติโชคปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ขึ้นได้ในที่ๆขาดความอุดมสมบูรณ์  ปลูกง่าย  ทนแล้ง  ทนอากาศหนาวเย็น  ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวนาน จากการวิเคราะห์สารประกอบที่มีอยู่ในหัวของมันนั้นประกอบไปด้วย น้ำ 79.8%, คาร์โบไฮเดรท 16.6%, โปรตีน 1.0%, เยื่อใย 16.6%, เถ้า 2.8% และไวตามินจำนวนหนึ่ง คาร์โบไฮเที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นอยู่ในรูปของ อินนูลินถึง (inulin) 78 %  ในหัวของอาร์ติโชคนั้นมีกรดอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย0.09%,  threonine  0.8%,  isoleucine  0.09%,  methionine  0.09%, 0.24%, histidine 0.06%,
arginine  0.12%, phenylalanine  O.13%.


ประเทศจีนได้มีการปลูก อาร์ติโชคกันมานานแล้ว  ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารของมนุษย์ และใช้เป็นพืชสมุนไพรบำรุงร่างกาย  สำหรับประเทศไทยเรา  คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นเพิ่งจะได้มีการนำพันธุ์จากประเทศอิสราเอลเข้ามาทดลองปลูกทำการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้  แนวทางการวิจัยเพื่อนำมาใช้เป็นพืชอาหารสัตว์และผลิต เอทานอล เชื้อเพลิงทดแทนชีวภาพ  ปรากฏว่าขึ้นงอกงามได้ดี  และเตรียมการส่งเสริมให้เกษตรกรไทยปลูกเป็นพืชทางเลือกอีกชนิดหนึ่ง


รายละเอียดมากกว่านี้จะได้นำเสนอให้อ่านกันในโอกาสต่อไปเร็วๆนี้ หรือสามารถเข้าไปดูได้ที่หน้าเว็บไซท์    
http://www.doa.go.th/fieldcrops/jeru/001.HTM


อาร์ติโชค (artichoke) มีชื่อเรียกเป็นทางการในภาษาจีนว่า จวี๊อยี่ (菊芋) แปลความได้ว่า เผือกเบญจมาศ เนื่องจากเป็นพืชตระกูลเดียวกับเบญจมาศที่ให้หัวเหมือนเผือกนั่นเอง   ดังได้กล่าวมาแล้วว่า อาร์ติโชค นั้นปรับตัวได้ดี และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เข้มแข็งมาก ทนทั้งแล้งและอากาศที่หนาวเย็น โดยธรรมชาติจะฟื้นตื่นจากการพักตัวที่อุณหภูมิ 6~7  ℃  และแตกตาแทงยอดงอกเป็นต้นอ่อนเมื่ออุณหภูมิถึง 8~10℃ ต้นอ่อนทนอากาศหนาวเย็นได้ถึง 1~2℃   เมื่อมีช่วงแสงต่อวันยาว 12 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 18~22℃ มีผลเสริมส่งต่อการสร้างหัวใต้ดินเป็นอย่างดี หัวที่ฝังอยู่ลึกในดินอย่างน้อย 1 เซ็นติเมตรที่อุณหภูมิ–25 ~–40 ℃ จะพักตัวอยู่ได้เป็นเวลานาน


 อาร์ติโชคได้รับการคัดเลือกให้เป็นพืชฟื้นฟูผืนดินเสื่อมโทรมที่เป็นทรายในที่แห้งแล้งได้อย่างดีเยี่ยม  มันสามารถแตกตาแทงยอดโผล่ขึ้นสู่อากาศเบื้องบนที่ถูกทรายกลบทับหนาถึง 50 เซ็นติเมตรได้อย่างสบายๆ  อีกทั้งระบบรากที่หนาแน่นของมันยังเกาะยึดดินทรายไว้ได้เป็นอย่างเหนียวแน่น  จัดเป็นพืชอนุรักษ์ดินที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง  จีนนำไปปลูกในทะเลทรายเป็นการทดสอบร่วม 170 ไร่ ในเขตแห้งแล้งที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยนิด ปรากฏว่าพืชชนิดอื่นๆพากันแห้งเหี่ยวเสียหาย  แต่อาร์ติโชคยังคงเติบโตได้เป็นปกติ เมื่อขุดลึกลงในดินประมาณ 1 เมตร จะเห็นระบบรากที่ชอนไชประสานกันอย่างหนาแน่น  การปลูกอาร์ติโชคอนุรักษ์ดินนั้นจึงเป็นหนทางที่ดีและมีต้นทุนต่ำเอามากๆ  ใบที่แห้งเหี่ยวจะช่วยปกคลุมดิน และเมื่อเน่าเปื่อยก็จะถูกย่อยสลายเป็นอินทรีย์สารเพิ่มความสมบูรณ์ให้แก่พื้นผิวดินอีกโสดหนึ่ง
 
การปลูกอาร์ติโชคเพื่อฟื้นฟูพื้นที่แห้งแล้งในทะเลทรายนั้น  เมื่อทำการปลูกแค่ครั้งเดียวก็สามารถแพร่ขยายพันธุ์รุกพื้นที่คืบออกไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตรา 20 เท่าตัวต่อปีเมื่อขยายพันธุ์ด้วยหัวของมัน  และยังแพร่กระจายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ดที่ถูกลมพัดพาไปยังที่ห่างไกลออกไปได้อีกทางหนึ่ง  นอกจากนั้นแล้ว อาร์ติโชคยังเป็นพืชที่แทบจะไม่มีโรคและแมลงรบกวน  นอกจากการใช้แรงงานในการปลูกและเก็บเกี่ยวแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆแทบจะไม่มีเลย นับเป็นการลงทุนต่ำและให้ผลได้เร็ว  จากรายงานการปลูก อาร์ติโชคฟื้นฟูพื้นที่ทะเลทรายในประเทศจีนนั้นต้นทุนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 500 – 600 บาท/ไร่ เท่านั้น หลังจากปลูกไปแล้ว 3 ปี จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 3,600 กิโลกรัม/ไร่ จะขุดเอาหัวไปขยายพันธุ์ นำไปจำหน่ายหรือแปรรูปก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ความต้องการ
 
การปลูกอาร์ติโชกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำแห่งหนึ่งในประเทศจีน เป็นการฟื้นฟูสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน และได้ผลผลิตอีกต่างหาก
 
อาร์ติโชค เป็นพืชที่มีคุณค่าเอนกอนันต์ ทุกส่วนของมันนำมาใช้ประโยชน์ได้แทบทั้งหมด หัวของมันประกอบไปด้วย กรดอมิโนหลายชนิด น้ำตาล และไวตามินอีกหลายตัว นำมาบริโภคสดหรือปรุงสุกก็ได้  นำมาบดเป็นแป้ง ผลิตน้ำตาล แอลกอฮอล์ ยา อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ เป็นต้น  ใบและหัวของมันใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ด้วย

น้ำตาลในหัวอาร์ติโชคนั้นส่วนใหญ่จะเป็น ฟลุกโตส ที่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน  ช่วยย่อยอาหารในกระเพาะ-ลำไส้  เนื่องจากเป็นแหล่งอาหหารที่ดีของจุลินทรีย์  Lactobacillus และ  Bifidobacteria ทำให้มูลสัตว์ที่ถ่ายออกมามีกลิ่นและแก๊สแอมโมเนียลดน้อยลง


สารในหัวอาร์ติโชคยังยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Coliform, Salmonella, E. coli และ Clostridium mujme. ที่ทำให้เกิดโรคบางอย่างได้ และยังใช้เป็นสารต้านโรคมะเร็ง  ลดความอ้วนได้อีกด้วย
ปัจจุบันได้มีการนำเอาแป้งที่ได้จากหัวอาร์ติโชคมาผลิต เอทานอล เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันฟอสซิลกันขนานใหญ่ และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าผลผลิตจากพืชชนิดอื่นๆในพื้นที่เท่าๆกัน


อาร์ติโชคจึงเป็นพืชที่น่าจับตามอง และส่งเสริมให้เป็นพืชทางเลือกของเกษตรกรอีกชนิดหนึ่ง  ถ้ามีการวางแผนการผลิต การแปรรูป การใช้งานและการตลาดที่เหมาะสมก็จะเป็นพืชทำเงินอีกชนิดหนึ่งในอนาคต

ผู้ที่สนใจแหล่งผลิตอาร์ติโชค และขิง แหล่งใหญ่สามารถแวะเวียนเข้าไปชม หาข้อมูลได้ที่ http://www.china-hongsheng.com.cn/cpzs1.htm




ขอใบไม้ให้ฉันสัก 1 ใบ แล้วจะสร้างป่าผืนกว้างคืนให้ 1 ผืน
ข้อความที่เห็นดังกล่าวมิได้เป็นการพูดเลยเถิดเกินความจริง หากแต่เป็นเรื่องจริงที่เป็นไปแล้ว ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านการขยายพันธุ์พืชที่เรียกได้ว่า “การโคลนนิ่งพืช” กลางแจ้งโดยที่ไม่ต้องอาศัยหลอดแก้วเหมือนกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการแต่ประการใด ต้นพืชที่ได้มีลักษณะตรงตามพันธุ์เหมือนต้นแม่ไม่ผิดเพี้ยน (เหมือนกับการตอนกิ่ง) แต่ทว่ามีการแตกรากที่รวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ รากงอกเป็นกระจุกภายใน 7 ถึง 14 วันเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับชนิดและสายพันธุ์) แม้แต่ไม้ตอนยากที่ต้องใช้เวลาเพาะชำนานร่วมปีก็สามารถแทงรากให้เห็นได้ไม่เกินภายใน 25 วัน และสามารถนำลงแปลงปลูกได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาบำรุงในโรงเรือนอนุบาลเหมือนดังที่ต้องปฏิบัติกันกับการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีอื่นๆ ต้นกล้ามีอัตราเลี้ยงรอดเกือบเต็มร้อย เป็นวิธีขยายพันธุ์พืชที่เพิ่มทวีจำนวนได้มากมายในเวลาอันแสนสั้น มีใบมากเท่าไรก็ได้จำนวนต้นมากเท่านั้น ไม่ต้องรอให้ต้นพันธุ์เติบใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากมายจึงจะทำการขยายพันธุ์ได้ จากใบไม้เพียงใบเดียวก็สามารถขยายพันธุ์ปลูกเป็นป่าใหญ่ได้ดังวลีที่กล่าวเอาไว้จริงๆ
 
เทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืชโดยการโคลนนิ่งด้วยวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องปฏิบัติการตลอดจนเครื่องไม้มือเครื่องมือที่สลับซับซ้อนราคาแพงดังเช่นการโคลนนิ่งด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแต่อย่างใด มีข้อได้เปรียบหลายๆด้านหลายๆประการดังนี้


เป็นวิธีการง่ายๆที่ไม่ต้องอาศัยความรู้ระดับสูง ไม่ต้องตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์มากมายหลายๆอย่าง ไม่ต้องใช้ความละเอียดพิถีพิถันเข้มงวด ดำเนินการเหมือนกับการปักชำธรรมดาๆ เกษตรกรทั่วไปสามารถดำเนินการเองได้ เพียงแต่อาศัยโรงเรือนเพาะชำพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการให้น้ำ แร่ธาตุอาหาร ความร้อน ความชื้น แสงสว่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ไม่จำเป็น) พร้อมทั้ง สมาร์ต ลีฟ (ใบไม้อัจฉริยะ) ก็สามารถดำเนินการโคลนนิ่งพืชจากใบพืชได้แล้ว

ประโยชน์ที่ได้จากการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีนี้ก็คือ อาศัยใบไม้แค่ใบเดียวก็สามารถขยายพันธุ์ได้มากมายในเวลาที่รวดเร็ว พืชทั่วๆไปใช้เวลาปักชำแค่ 7 ถึง 14 วันก็งอกรากออกมาให้เห็นเป็นกระจุกแล้ว ส่วนพืชที่เพาะชำงอกรากยากๆใช้เวลานานร่วมปีนั้น ใช้เวลา ไม่เกิน 24 วันก็ให้รากที่แข็งแรงจำนวนมาก


ผลประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ามากกว่านั้นก็คือ เราสามารถขยายพันธุ์พืชลูกผสม ไฮบริด (F1) หรือ สต๊อกต้นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ได้ต่อไปเรื่อยๆไม่ขาดสายขาดตอน ไม่จำเป็นต้องทำ แบ๊กครอสอีกให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ F1 ที่มีราคาสูงๆอีกต่อไป (ซื้อเพียงครั้งเดียวก็มีพันธุ์ให้ปลูกได้ตลอดไป)
 
ใบยางอินเดียที่ตัดแยกออกเป็น 3 ท่อน แล้วนำไปปักชำ ปรากฏว่า แทงรากออกมาทุกท่อน
 
แทงรากออกมาจากเส้นกลางใบ

รากแทงออกมาจากก้านใบ และตัวใบ

ฮอร์โมนกระตุ้นราก



เทคโนโลยี การปลูกพืชในน้ำ (จริงๆ)
เทคโนโลยีการปลูกพืชในน้ำวิธีนี้ เป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่เหมือนกับการปลูกพืชในน้ำ (HYDROPONIC) ที่กระทำกันอยู่ ทั้งสองวิธีนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก หากแต่ทว่ามีความแตกต่างในหลักการอย่างชัดเจน


การปลูกพืชในน้ำที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระบบราก กล่าวคือ พืชที่ปลูกในน้ำไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้หากปราศจากการช่วยเหลือของมนุษย์ในการป้อนอากาศให้กับมัน แต่ในระบบใหม่นี้ เป็นการปรับเปลี่ยนระบบรากให้กับต้นพืช นั่นก็คือการชักนำให้รากพืชที่เกิดขึ้นนั้นคงทนอยู่ในน้ำได้ และมีความสามารถในการดูดซับอากาศออกซิเจนในน้ำมาใช้ได้ โดยที่เราไม่ต้องป้อนอากาศให้แก่มัน และรากก็ไม่เน่าเปื่อยเหมือนกับวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันอยู่
 
ดังนั้น เทคนิคการปลูกพืชในน้ำตามแนวทางใหม่นี้จึงสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผักล้มลุก พืชอายุข้ามปี ไม้ยืนต้นเล็กใหญ่ ขอให้มีระบบยึดค้ำประคองลำต้นให้ยืนอยู่ได้เท่านั้น ก็สามารถนำไปปลูกในแหล่งน้ำต่างๆได้เลย โดยไม่ต้องใช้ระบบป้อนอากาศ หรือจัดหาอาหาร/ปุ๋ยให้กับมัน (ถ้าแหล่งน้ำนั้นมีธาตุอาหารเพียงพอ)

เทคนิคกรรมวิธีนั้นก็กระทำได้ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่นำเอา เทคโนโลยีการโคลนนิ่งพืชกลางแจ้งมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ด้วยการเพิ่มเติมอุปกรณ์แม่เหล็กและไฟฟ้าเข้าระบบเท่านั้นก็สามารถผลิตพืช ไฮโดรโปนิค นำไปปลูกในน้ำได้เลย
 
หลักการของกรรมวิธีนี้ก็คือการชักนำให้เกิดรากที่อยู่ในน้ำได้เหมือนกับพืชน้ำอย่างผักบุ้งหรือผักกระเฉด หรือข้าว เป็นต้น วิธีการนั้นก็คือ การเพาะเมล็ดพืช หรือเพาะชำชิ้นส่วนของพืช (ใบหรือกิ่ง) ในแปลงเพาะชำที่มีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รากที่เกิดขึ้นภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้สามารถดำรงอยู่ในน้ำและทำการดูดซับอาหารและออกซิเจนได้ (ส่วนน้ำนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงเลย เพราะมีมากมายเหลือเฟืออยู่แล้ว) ข้อได้เปรียบของการปลูกพืชโดยวิธีนี้ ทำให้ประหยัดแรงงาน และเวลาในการให้น้ำ เพราะสามารถแช่ต้นพืชในน้ำได้ตลอดเวลา




การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอม ในโครงการ 863 ของประเทศจีน
จากการใช้วิธีการมาร์คกิ้งด้วยดาวเทียมขนาดเล็กร่วมกับวิธี RVA มาร์คกิ้ง มาช่วยในการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนได้ข้าวหอมที่ตั้งชื่อว่า”จงเจี้ยนหมายเลข 2.” ซึ่งสถาบันวิจัยข้าว กระทรวงเกษตรแห่งประเทศจีนแถลงว่า เป็นพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพเหนือกว่าข้าวหอมไทย บรรลุถึงข้อกำหนด 11 รายการของคุณสมบัติข้าวชั้นหนึ่งเลยทีเดียว มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติเทียบได้กับข้าวหอม(ไทย)คุณภาพดีในตลาดโลก และมีกลิ่นหอมของข้าวเทียบได้กับข้าวแบรนด์เนม KDLM 105 (ขาวดอกมะลิ 105) ผลผลิตข้าวสูงกว่าพันธุ์ จงเซียง หมายเลข 1.ห้าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งขณะนี้องค์การค้าข้าว จินเจี้ยนหมี่แอย๊ะ ในมณฑลเหอหนาน และจินเจียกู่หมี่แอย๊ะ ในมณฑลเจียงซี ได้ขยายพันธุ์ส่งเสริมให้ปลูกเป็นข้าวหอมคุณภาพดีอันดับหนึ่งของประเทศ



เทคโนโลยีรักษาความสดผลิตผลทางการเกษตร
ผลิตผลทางการเกษตรจำพวกพืชผักผลไม้ หลังจากทำการเก็บเกี่ยวแล้ว ต้องอาศัยวิธีการต่างๆเพื่อทำการรักษาความสดของพืชผลให้อยู่ยงยาวนานที่สุด เพื่อรักษาคุณภาพและป้องกันการสูญเสียจากการเสื่อมสลายตามธรรมชาติและการเน่าเสียจากการรุกเร้าทำลายจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ นับตั้งแต่การชุบสารเคมี ทำการเก็บรักษาในห้องเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และเกิดมลภาวะตกค้างสะสมสู่สภาพแวดล้อม  และยังมีความเสียหายเกิดขึ้นไม่น้อยระหว่างการเก็บรักษาอีกด้วย


ขณะนี้ได้มีการวิจัยคิดค้นวิธีการเก็บรักษาพืชผลวิธีใหม่ ไม่ต้องเก็บในห้องเย็นอุณหภูมิต่ำ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำเอามากๆ สามารถเก็บรักษาพืชผลได้เป็นเวลานานโดยที่คุณภาพใกล้เคียงเหมือนเก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ เก็บรักษาแอปเปิลนาน 6 เดือน ความเสียหายไม่เกิน 3 %  เป็นวิธีเก็บรักษาที่เรียกว่า “โรงเรือนหลุมประจุโอโซน” เป็นโรงเรือนปิดทึบ เศษหนึ่งส่วนสองความสูงของอาคารขุดลึกลงไปในชั้นดิน ติดตั้งเครื่องปล่อยประจุและแก๊สโอโซน ก็สามารถเก็บรักษาพืชผลได้ถึง 10 ตัน เสียค่าไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย



สารกำจัดแมลงชีวะภาพนาโน
นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ออกจะซับซ้อนทำความเข้าใจยากสำหรับเกษตรกรไทยที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านวิชาการค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว แต่จะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากวิทยาการแขนงนี้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นทุกวันๆ เริ่มตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เสื้อผ้า หยูกยา และอื่นๆอีกจิปะถะที่จะมีตามมาเรื่อยๆ ซึ่งบางอย่างถ้าไม่ศึกษาทำความเข้าใจ ก็จะทำใจยอมรับได้ยาก และไม่เชื่อว่ามันจะมีขีดกำลังความสามารถที่เป็นไปได้ อย่างเช่น ดื่มแค่น้ำก็สามารถทำให้โรคบางอย่างทุเลาหายได้ หรือเพียงแต่แช่ก้อนเซรามิกนาโนในภาชนะเก็บกักน้ำก่อนให้เป็ดไก่กินก็ทำให้สัตว์เจริญเติบโตเร็วขึ้น ไม่ใคร่เป็นโรค ประหยัดอาหารได้ 10 ~ 18 % กลิ่นเหม็นจากมูลที่ถ่ายออกมาลดหดหายลง 60 ~ 70 % ฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว


วกกลับมาพูดคุยถึง ยาฆ่าแมลงชีวะภาพที่อยู่ในสภาพนาโน กันดีกว่า อันคำว่า นาโน นั้น เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า นาโนเมตร ซึ่งเป็นหน่วยวัดความยาวเช่นเดียวกับคำว่า เมตร แต่เล็กกว่า เมตร เอามากๆเลยทีเดียว ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆมองเห็นภาพที่ชัดเจนสักหน่อยก็ลองหลับตานึกถึงเส้นผมหนึ่งเส้นที่ขยายได้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตรแล้วทำการแยกเส้นผมเส้นนี้ออกตามยาวให้ได้หนึ่งพันล้านเส้นเท่าๆกัน ส่วนที่แยกออกหนึ่งเส้นนั้นแหละมีขนาดเท่ากับ 1 นาโน ที่ตาเรามองไม่เห็นอีกแล้ว ถึงแม้จะใช้กล้องขยายกำลังขยายสูงมากเท่าไรก็ยังคงมองไม่เห็นอยู่นั่นเอง (จะมองเห็นได้ก็ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพจากกล้องส่องกราดเท่านั้น) แล้ว ยาฆ่าแมลงนาโน ที่ว่านี้มีขนาดเท่าไร คำตอบก็คือ ต้องมีขนาดของอนุภาคไม่เกิน 100 นาโน นั่นแหละจึงจะถือว่า เป็น ยาฆ่าแมลงนาโน ได้ แต่ถ้ามีขนาดอนุภาคใหญ่กว่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็น ยาฆ่าแมลงนาโน


แล้วถามว่า ถ้ามันเป็นยาฆ่าแมลงนาโนแล้ว มันจะมีผลดีอย่างไร ? เพื่อให้มีความเข้าใจง่ายและรวดเร็วขึ้นก็ขอให้พิจารณารูปของต้นกล่ำปลี 2 รูปข้างล่างนี้ ต่างก็ฉีดพ่นด้วยยาฆ่าแมลงชนิดเดียวกัน แต่รูปทางขวามือที่เห็นสวยงามไม่มีรูพรุนเลยนั้นฉีดพ่นด้วยยาที่ถูกทำให้อยู่ในสภาพของนาโนแล้ว


คงเกิดความสงสัยมากขึ้นละสิว่า มันเป็นไปได้อย่างไร ? เพื่อให้คลายความสงสัยและทำความเข้าใจมากขึ้น ให้พิจารณารูปที่นำมาแสดงต่อไปนี้
 
ยาฆ่าแมลงขวดนี้ (ซ้าย) เป็นฆ่าแมลงชีวภาพดั้งเดิมที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปให้อยู่ในสภาพ นาโน สังเกตเห็นได้ว่าน้ำยาในขวดมีการแยกออกเป็นชั้นๆ เนื่องจากมีอนุภาคที่ค่อนข้างใหญ่ เมื่อนำไปละลายน้ำแล้ว ไม่มีการกกระจายตัวที่สม่ำเสมอ  ยาฆ่าแมลงขวดนี้ (ขวา) ผ่านการแปรสภาพให้อยู่ในรูปของนาโน แล้ว จะมีขนาดของอนุภาคตัวยาที่เล็กมากๆ มีการกกระจายตัวที่สม่ำเสมอดี เมื่อนำไปละลายน้ำแล้วจึงสามรถแทรกซึมไปทั่วผิวใบ เมื่อพ่นถูกตัวแมลงก็ซึมเข้าสู่ตัวแมลงได้เป็นอย่างดี


ยาที่เห็นทางด้านบนที่เห็นนี้ ก็เป็นยานาโนเช่นกัน แต่เป็นยาป้องกันกำจัดเชื้อราที่ถูกแปรสภาพให้อยู่ในสภาพนาโนแล้ว เมื่อนำไปใช้งานจึงให้ประสิทธิภาพที่สูงและดีกว่าเดิมมาก



การกำจัดโรคราและศัตรูพืชด้วยน้ำ
เครื่องมือที่เห็นนี้เป็นเครื่องมือผลิตน้ำนาโนที่อยู่ในสภาพของกรดแก่ น้ำที่ได้จะมีความไวในการทำปฏิกิริยาสูงมาก เมื่อใช้ฉีดพ่นในพืชที่เป็นโรคราชนิดต่างๆ  จะสามารถทำลายเชื้อรา 23 ชนิด จากทั้งหมด 28 ชนิดได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 วินาที


ทั้งนี้อาศัยหลักการ แยกน้ำด้วยไฟฟ้ามาประยุกต์ใช้ในการทำลายเชื้อราและไวรัสที่เป็นอันตรายต่อต้นพืช ด้วยการเติมเกลือจำนวนเล็กน้อยลงในน้ำที่จะผ่านขบวนการผลิตจากเครื่องนี้เท่านั้น ก็สามารถนำมาใช้งานได้ทันที โดยอาศัย

อนุภาค ของกรดคลอรีน และ ออกซิเจน ที่ไวต่อปฏิกิริยาเป็นตัวทำลายเชื้อโรคเหล่านี้ดังสมการต่อไปนี้


NaClO + H2O   =   HClO + NaOH
HClO                   + [O]



สบู่ไบโอเทค ที่กำจัดแมลงศัตรูพืชได้
สบู่ชนิดนี้ไม่ใช่สบู่ธรรมดาที่ใช้ถูทาร่างกายเพื่อชำระคราบไคลทั่วๆไป แต่เป็นสบู่ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชทางด้านการเกษตร เรียกว่า สบู่ชีวภาพไบโอเทค เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากสารสกัดจากพืชและสัตว์ ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชได้อย่างกว้างขวางในแปลงผัก ผลไม้ ไม้ดอก พืชไร่อย่าง ชา ยาสูบ ฝ้ายและอื่นๆ  มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง ราคาถูก เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามรถนำมาใช้ทดแทนยากำจัดศัตรูพืชจำพวกสารเคมีที่มีพิษเป็นอันตรายต่อมนุษย์และปนเปื้อนทำลายสภาพแวดล้อม แมลงไม่ดื้อด้านต่อยาชนิดนี้ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เหมาะสมกับการเกษตรยุคปัจจุบัน ผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองในประสิทธิผลจากหน่วยงานรัฐแล้วว่า มีความปลอดภัยสูง ขณะใช้งานไม่จำเป็นต้องสวมใส่ถุงมือหรือหน้ากากปิดป้องจมูกปาก 
ฉีดพ่นด้วยความปลอดภัย .....แมลง (ไรขาว) ถูกสบู่ ไบโอเทค ร่วงตายระนาวในเวลาอันรวดเร็ว



พันธุ์ไม้สักโตเร็ว (Tectona grandisL.f ) 15-20 ปีตัดโค่นใช้งานได้
ต้นสักที่ปลูกแค่ 2 ปี สูง 7-8 เมตร
จากเมล็ดพันธุ์ ไม้สัก พันธุ์ดีที่รัฐบาลพม่าได้มอบให้เป็นของขวัญแก่อดีตนายกรัฐมนตรี(จีน) โจว เอินไหล ซึ่งได้นำไปให้กับหน่วยงานวิจัยป่าไม้เขตร้อนของประเทศทำการปลูกทดสอบและปรับปรุงสายพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์ปลูกในพื้นที่ประเทศจีน จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ทางการจีนได้ปรับปรุงสายพันธุ์สักไร้เพศที่มีคุณสมบัติดีเด่น เติบโตเร็วรวมทั้งหมด 14 สายพันธุ์ แบ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีลายไม้สวยงาม 5 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วจำนวน 9 สายพันธุ์ ในจำนวนสายพันธุ์โตเร็วทั้งเก้านี้สามารถปลูกได้ในเขตุพื้นที่อากาศหนาวเย็น -2 องศา C นับเป็นพันธุ์ไม้โตเร็วที่ใช้ปลูกสร้างสวนป่าที่มีอัตราเติบโตเร็วเป็นอันดับ 3 เลยทีเดียว ปัจจุบันได้มีบริษัทเอกชนจากสิงค์โปรเข้าไปร่วมทุน ขยายพันธุ์จำหน่ายและปลูกสร้างสวนป่าในประเทศจีนเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน





หน้าถัดไป (2/3) หน้าถัดไป


Content ©