การจำแนกพันธุ์เผือก |
ประเทศไทยมีเผือกมากมายหลายพันธุ์ ศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตรได้รวบรวมพันธุ์เผือกจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศประมาณ 50 พันธุ์ สามารถจำแนกพันธุ์เผือกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ |
1. จำแนกเผือกตามกลิ่นของหัว มี 2 ประเภท คือ |
1.1 เผือกหอม
เผือกชนิดนี้เวลาต้มหรือประกอบอาหารจะมีกลิ่นหอม ได้แก่ เผือกหอมเชียงใหม่ พันธุ์ พจ.016 พจ.08 และ พจ.019 เป็นต้น |
1.2 เผือกชนิดไม่หอม
เผือกชนิดนี้เวลาต้ม หรือประกอบอาหารจะไม่มีกลิ่นหอม อย่างไรก็ตามเผือกชนิดนี้บางพันธุ์ถึงแม้จะไม่มีกลิ่นหอม แต่ก็มีข้อดีตรงที่มีลักษณะเนื้อเหนียวแน่น น่ารับประทานเช่นกัน ได้แก่ เผือกพันธุ์ พจ.06 พจ.025 และ พจ.012 เป็นต้น |
2. การจำแนกเผือกตามสีของเนื้อ มี 2 ประเภท คือ |
2.1 เผือกเนื้อสีขาวหรือสีครีม
เผือกชนิดนี้เมื่อผ่าดูเนื้อในจะพบว่า มีสีขาว หรือสีขาวครีม ได้แก่ เผือกพันธุ์ พจ.06 พจ.07 พจ.025 พจ.014 (เผือกบราซิล) พันธุ์ศรีปาลาวี (อินเดีย) และพันธุ์ศรีรัศมี (อินเดีย) เป็นต้น |
2.2 เผือกเนื้อสีขาวปนม่วง
เผือกชนิดนี้เมื่อผ่าหัวดูเนื้อ จะพบว่ามีสีขาวลายม่วงปะปนอยู่ ซึ่งจะมีสีม่วงมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์ ได้แก่ เผือกหอมเชียงใหม่ พันธุ์ พจ.016 พจ.08 พจ.05 และ พจ.020 เป็นต้น |
|
นอกจากนี้ ยังมีการจำแนกเผือกตามจำนวนหัวขนาดใหญ่ต่อต้น คือ เป็นหัวใหญ่หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งหัวต่อต้น จำแนกตามการแตกกอ เช่น แตกกอน้อย (3-10 ต้น) ปานกลาง (10-20 ต้น) และมาก (มากกว่า 20 ต้นขึ้นไป) |
|
|
เผือกหอมเชียงใหม่
|
เผือกพันธุ์พิจิตร 1 (พจ.016)
|
สภาพพื้นที่การปลูกเผือก
|
เผือกสามารถปลูกได้หลายลักษณะตามสภาพพื้นที่ ดังนี้
|
1. การปลูกเผือกในสภาพไร่ เป็นการปลูกเผือกในสภาพที่ดอนทั่ว ๆ ไป เช่น ตามไหล่เขา พื้นที่ไร่ต่าง ๆ การปลูกเผือกที่ดอนควรปลูกในฤดูฝน เริ่มปลูกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ถ้ามีแหล่งน้ำสามารถให้น้ำเผือกได้ก็สามารถปลูกได้ตลอดปี
|
1.1 การเตรียมดิน ก่อนการปลูกเผือก 1-2 เดือน ใช้แทรกเตอร์ไถดะด้วยผาน 3 หรือ 4 ตากไว้ระยะหนึ่งแล้วไถแปรเพื่อย่อยดิน ถ้าบริเวณดินปลูกดังกล่าวเป็นดินที่มีกรดสูง หรือเป็นดินเปรี้ยวควรหว่านปูนขาวรวมทั้งปุ๋ยคอก หรืออินทรีย์วัตถุ ก่อนดำเนินการไถเตรียมดิน หลังจากไถแปรเรียบร้อยแล้ว ให้เตรียมหลุมกว้าง 30 - 40 เซนติเมตร ลึก 20 - 30 เซนติเมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 1 เมตร ถ้ามีปุ๋ยคอกให้ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมก่อนปลูก
|
1.2 การเตรียมพันธุ์ การเตรียมพันธุ์เผือกบนที่ดอน ใช้หัวพันธุ์เผือกที่มีขนาดใกล้เคียงกัน โดยเฉลี่ยหัวพันธุ์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร ไม่จำเป็นต้องเพาะเผือกให้แตกหน่อก่อนการปลูก ทำการปลูกโดยฝังลงไปในหลุมที่เตรียมไว้ได้เลย พื้นที่ 1 ไร่ จะให้หัวพันธุ์เผือก 100-200 กิโลกรัม การปลูกเผือกบนที่ดอนบางแห่งอาจมีปลวกชุกชุม หรือมีแมลงใต้ดินมากควรใช้สารเคมีคาร์โบฟูแรน (ฟูราดาน) รองก้นหลุมก่อนปลูก
|
1.3 การปลูก การปลูกโดยใช้รถแทรกเตอร์ยกร่อง ใช้ระยะระหว่างร่องประมาณ 1 เมตร ปลูกโดยวางหัวเผือกลงในร่องระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร นำดินบางส่วนจากสันร่อยกลบหัวพันธุ์ จากนั้นคอยพูนโคน เมื่อเผือกเจริญเติบโตขึ้น เนื่องจากหัวเผือกก็คือลำต้นใต้ดินที่ขยายออกเพื่อสะสมอาหาร จึงเจริญขึ้นบนมากกว่าลงหัวลึกลงไป จึงต้องคอยพูนโคนอยู่เสมอ จนในที่สุดสันร่องเดิมเมื่อเริ่มปลูกกลายเป็นร่องทางเดิน
|
1.4 การให้น้ำ เผือกเป็นพืชหัวที่ขึ้นได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้น ฉะนั้นการปลูกเผือกในที่ดอน นอกจากจะอาศัยน้ำฝนแล้วจะต้องมีแหล่งน้ำให้ความชุ่มชื้นเผือกอยู่เสมอ ซึ่งถ้าปลูกเผือกไม่มากควรรดน้ำด้วยสายยาง แต่ถ้าปลูกมากกว่า 10 ไร่ขึ้นไป ควรให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ แบบเคลื่อนย้ายได้ชั่วโมงละ 3-5 ไร่
|
1.5 การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ก่อนปลูกรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกอัตรา 1-3 กำมือต่อต้น และปุ๋ยสูตร 18-6-6 อัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่ ต่อจากนั้นใส่ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 2 เดือน ใช้สูตร 18-6-6 หรือ 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ และครั้งที่ 3 เมื่ออายุ 3-4 เดือน ใช้สูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ จะทำให้เผือกมีน้ำหนักหัวดี ในการใส่ปุ๋ยแต่ละครั้งควรจะพรวนดินและรดน้ำใช้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ รากเผือกจะได้ดูดซับปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ได้สะดวก
|
1.6 การกำจัดวัชพืช และการพูนโคน ในระยะ 1-3 เดือนแรก ต้นเผือกยังเล็กควรมีการถากหญ้าหรือใช้สารกำจัดวัชพืช พร้อมทั้งพรวนดินโคนต้นเดือนละ 1 ครั้ง เมื่อต้นเผือกโตใบคลุมแปลงมากแล้วไม่จำเป็นต้องกำจัดวัชพืชอีกจนกว่าจะเก็บเกี่ยว
|
1.7 การคลุมแปลง ในแหล่งปลูกเผือกที่มีเศษเหลือของพืช เช่น ฟางข้าว เปลือกถั่วและหญ้าคา เป็นต้น ควรนำมาคลุมแปลงปลูกเผือก เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและอุณหภูมิ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันวัชพืช และการแตกหน่อของเผือกบางส่วนได้อีกด้วย สำหรับประเทศญี่ปุ่น จะใช้พลาสติกสีดำเป็นวัสดุคลุมแปลงเผือก การใช้วัสดุคลุมแปลงปลูกเผือกจะทำให้เผือกมีผลผลิตสูงขึ้น 18-20 %
|
1.8 การเก็บเกี่ยว เมื่อเผือกมีอายุได้ 5-6 เดือน สังเกตเห็นใบเผือกจะเล็กลง ใบเผือกใบล่างๆ จะมีสีเหลือง เหลือใบยอด 2-3 ใบ จึงสามารถขุดเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
|
สำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตเผือกในที่ดอนที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น เริ่มแรกจะใช้เครื่องตัดหญ้าแบบสพายหลังตัดต้นเผือกเหลือแต่ตอสูงกว่าพื้นดินประมาณ 1 คืบ แล้วใช้แทรกเตอร์ที่ออกแบบในการเก็บเกี่ยวเผือกโดยเฉพาะ สามารถเก็บเกี่ยวเผือกได้รวดเร็ววันละหลายไร่ และประหยัดแรงงานในการเก็บเกี่ยวกว่าการใช้แรงงานคนขุดมาก คาดว่าในวันข้างหน้าการเก็บเกี่ยวเผือกในที่ดอนของไทยจะพัฒนาเป็นการใช้แทรกเตอร์เก็บเกี่ยวต่อไป
|
2. การปลูกเผือกริมร่องสวน เป็นการปลูกเผือกบนร่องผัก หรือริมคันนา หรือริมร่องสวน การปลูกเผือกแบบนี้ส่วนมากจะเป็นแหล่งที่เกษตรกรนิยมปลูกผักบนร่องสวนอยู่แล้ว เช่น นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร และ สุพรรณบุรี เป็นต้น
|
2.1 การเตรียมดิน ใช้พลั่วแทงดินสาดโกยขึ้นทำฐานรอง มีลักษณะคล้ายคันนาไปตามร่องสวน หรือร่องปลูกผัก เตรียมหลุมปลูกโดยมีระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร
|
2.2 การเตรียมพันธุ์ นำหัวพันธุ์เผือกที่มีขนาดเท่าๆ กันไปเพาะชำในแปลงเพาะชำ โดยมีขี้เถ้าแกลบเป็นวัสดุเพาะชำ วิธีการเตรียมแปลงเพาะชำให้ไถพรวนดิน 1 ครั้ง เพื่อปรับดินให้เรียบสม่ำเสมอปูขี้เถ้าแกลบหนาประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นนำลูกเผือกมาวางเรียงบนขี้เถ้าแกลบให้เต็มแปลง แล้วใช้ขี้เถ้าแกลบทับบางๆ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอทุกวัน จนกล้าเผือกมีอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยจะมีใบแตกออกมา 2-3 ใบ สูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร ก็สามารถย้ายปลูกได้ พื้นที่ปลูกเผือก 1 ไร่ จะใช้พันธุ์เผือกประมาณ 100-200 กิโลกรัม
|
|
|
นำลูกเผือกวางเรียงบนขี้เถ้าแกลบ |
|
โรยขี้เถ้าแกลบบางๆ หากมีฟางใช้คลุมทับอีกชั้น |
|
|
|
แปลงกล้าเผือกพร้อมย้ายปลูกได้ |
|
2.3 การปลูก นำลูกเผือกที่งอกแล้ว 2-3 ใบ มาปลูกในหลุมห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น
|
|
การปลูกเผือกริมร่องสวน ระยะต้น 50 เซนติเมตร |
|
การปลูกเผือกบนหลังร่องผัก ระยะปลูก 100 x 50 เซนติเมตร |
|
|
|
การปลูกเผือกริมคันนาของเกษตรกรชาวนาจังหวัดอยุธยา อ่างทอง และสุพรรณบุรี คล้ายการปลูกเผือกข้างร่องพืชผักหรือริมร่องสวนและมีการดูแลรักษาคล้ายกัน
|
|
ส่วนการปลูกเผือกบนหลังร่องสวนผักนั้น จะปลูกคล้ายๆ กับการปลูกเผือกบนที่ดอนโดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร (1 เมตร) การรดน้ำจะเหมือนการรดน้ำผักแบบยกร่องทั่วไป ส่วนการดูแลรักษาอื่นๆ ก็เหมือนการปลูกเผือกในที่ดอน
|
2.4 การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ย 3 ครั้ง เช่นเดียวกับการปลูกเผือกที่ดอน โดยใช้สูตรปุ๋ยและอัตราเดียวกัน สำหรับวิธีการใส่นั้นใส่โดยการเจาะหลุมระหว่างต้น หยอดปุ๋ยลงไป แล้วกลบด้วยดินโคลน
|
2.5 การกำจัดวัชพืช กลบโคนต้นและการตัดแต่งหน่อ หลังจากปลูกเผือกได้ 1 เดือน ควรมีการกำจัดวัชพืชและกลบโคนด้วยดินโคลนทุกเดือน และถ้าพบว่าเผือกมีการแตกหน่อมากเกินไปควรใช้เสียมแซะหน่อข้างออกให้หมด เผือกจะมีการลงหัวได้ขนาดใหญ่ขึ้น
|
2.6 การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากปลูกเผือกได้ 5-6 เดือน ใบเผือกจะเล็กลง ใบหนาขึ้น ใบช่วงล่างจะเป็นสีเหลือง และเริ่มเหี่ยวเหลือใบยอด 2-3 ใบ ให้ขุดโดยใช้เหล็กปลายแหลมขนาด 5 หุน ยาว 1 เมตร 25 เซนติเมตร มีห่วงกลมทำเป็นมือถือ แทงเหล็กแหลมลงไปที่โคนเผือกอย่าให้ชิดโคนเผือกมากนักเพราะก้านเหล็กจะถูกหัวเผือกเสียหายได้ เมื่อแทงเหล็กแหลมลงไปแล้ว ก็โน้มก้านเหล็กเอียงทำมุมกับพื้นดิน 45 องศา หมุนเหล็กคว้านรอบโคนต้นเผือกเป็นครึ่งวงกลมทั้ง 2 ด้านของต้น แล้วดึงเอาหัวเผือกขึ้นมา ผู้ที่มีความชำนาญในการใช้เหล็กแหลมจะสามารถคว้านหัวเผือกขึ้นมาได้รวดเร็วมาก
|
3. การปลูกเผือกในนา เป็นการปลูกในพื้นที่นาเช่นปลูกหลังฤดูการทำนา เป็นพื้นที่ที่มีระบบน้ำชลประทานดี เช่น จังหวัดสระบุรี สิงห์บุรี และนครสวรรค์ เป็นต้น
|
3.1 การเตรียมดิน หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ให้ใช้รถแทรกเตอร์ไถดะด้วยผาน 3 หรือ 4 ตากดินไว้ระยะหนึ่งประมาณ 15-30 วัน แล้วไถย่อยดิน (ดินเปรี้ยว) ในอัตรา 200-400 กิโลกรัม/ไร่ ขึ้นอยู่กับดินเปรี้ยวมากหรือน้อย โดยหว่านปูนขาวก่อนการไถพรวนต่อจากนั้นใช้รถแทรกเตอร์ยกร่องห่างกัน 1-1.20 เมตร เหมือนการยกร่องปลูกอ้อย
|
การปลูกเผือกหลังนานั้นบางแห่ง เช่น สระบุรี และสุพรรณบุรี จะเตรียมดินแบบทำนามีการทำเทือก แล้วปล่อยน้ำออกเหลือดินโคลน นำลูกเผือกที่เพาะชำมีการแตกยอด 1-2 ใบ แล้วมาปลุกแบบดำนาก็มีผลให้เผือกตั้งตัวเจริญเติบโตดีเช่นกัน
|
3.2 การเตรียมพันธุ์ การปลูกเผือกในนาจะใช้ลูกเผือกที่เพาะชำจนแตกใบแล้วประมาณ 2-3 ใบ หรือสูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร ย้ายลงปลูกเช่นเดียวกับการปลูกเผือกริมร่องสวน และมีวิธีเตรียมกล้าเผือกเช่นเดียวกัน
|
3.3 การปลูก การปลูกเผือกในนาจะปลูก 2 แบบ ถ้าปลูกแบบยกร่องจะปลูก 2 แถว แต่ถ้าปลูกแบบนาดำจะปลูกแถวเดียว
|
3.3.1 การปลูกแบบแถวเดี่ยว วิธีการปลูกแบบนี้จะคล้ายวิธีการทำนาโดยหลังจากเตรียมแปลงทำเทือกเสร็วแล้ว เกษตรกรจะนำลูกเผือกที่แตกใบ 1-2 ใบ ไปปลูกลงแปลงแบบดำนา ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร วิธีนี้จะให้น้ำแบบท่วมแปลงเหมือนการทำนา เมื่อเผือกตั้งตัวได้ ทำการพูนโคน (ชาวไร่เผือกภาคกลางเรียกว่า "การแทงโปะ" คือเป็นการแทงตักดินขึ้นมากองไว้ตามแถวเผือก)
|
|
|
|
3.3.2 การปลูกแบบแถวคู่ เป็นการปลูกเผือกหลังนาแบบยกร่องแต่ละร่องห่างกันประมาณ 120-150 เซนติเมตร นำลูกเผือกที่เตรียมเพาะชำแล้วมีใบ 1-2 ใบมาปลูกข้างร่อง 2 ข้างแบบแถวคู่โดยใช้ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 40 เซนติเมตร
|
|
|
3.4 การให้น้ำ การปลูกเผือกหลังนาส่วนใหญ่จะตรงกับฤดูร้อน จำเป็นต้องให้น้ำเผือกให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เผือกจึงเจริญเติบโตและลงหัวได้ดี ถ้าเป็นการปลูกเผือกแบบเดียวกับการทำนาก็ควรปล่อยน้ำท่วมแปลงเป็นระยะ อย่าให้แปลงปลูกเผือกขาดน้ำ โดยให้น้ำสูงกว่าผิวดิน 10-15 เซนติเมตร
|
ส่วนการปลูกเผือกแบบยกร่องและปลูกแบบแถวคู่นั้นจะให้น้ำแบบสูบน้ำ หรือปล่อยน้ำเข้าตามร่องให้ดินปลูกข้างต้นเผือกมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
|
การใส่ปุ๋ย การกำจัดวัชพืช การกลบโคนต้น การตัดแต่งหน่อ และการเก็บเกี่ยวเผือกที่ปลูกในนา ปฏิบัติเช่นเดียวกับการปลูกเผือกริมร่องสวนตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
|
การเก็บรักษา
|
เผือก เป็นพืชหัวที่เก็บรักษาได้นานพอสมควร หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ควรนำเผือกไปไว้ในที่ร่มเงามีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับลมเป็นที่ที่มีอากาศค่อนข้างเย็น เช่น ใต้ร่มไม้ หรือใต้ถุนบ้าน เป็นต้น ต่อจากนั้นทำการแยกดินที่ติดกับหัวและแยกรากแขนง คัดแยกหัวแต่ละขนาด เช่น ใหญ่พิเศษ ใหญ่ กลาง และเล็ก แล้วบรรจุใส่ภาชนะที่เหมาะสม เช่น ถุงพลาสติกขนาดใหญ่แบบเจาะรูได้ หรืออาจเป็นเข่ง หรือรังพลาสติก
|
ข้อควรปฏิบัติเพื่อเก็บรักษาหัวเผือกไว้ได้นาน และไม่เน่าเสียง่าย ดังนี้
|
1. ก่อนขุดเผือกประมาณ 15-30 วัน ไม่ควรเอาน้ำเข้าแปลง หรือรดน้ำแปลงเผือกเพราะเผือกจะดูดซึมน้ำไว้มาก เก็บไว้ไม่ได้นาน |
2. ขุดเผือกเฉพาะเมื่อเผือกมีอายุเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ไม่ควรเก็บเกี่ยวเผือกเมื่อมีอายุน้อยเกินไปจะเน่าเสียได้ง่าย |
3. ในการขุดเผือกแต่ละครั้ง ควรขุดเผือกด้วยความระมัดระวังอย่าให้หัวเผือกมีบาดแผลบอบช้ำ เผือกจะเน่าเสียง่าย เมื่อพบว่าเผือกมีบาดแผล ควรแยกไว้ต่างหากไม่ปะปนกัน |
4. กรณีที่จะขนส่งเผือกไปไกลๆ หรือจะเก็บเผือกไว้นานหลายเดือน ไม่ควรล้างดินออก ผึ่งให้แห้งสนิทอย่าให้เปียกชื้นก่อนที่จะนำเข้าไปเก็บในโรงเก็บหรือขนส่งไกลๆ ต่อไป |
5. การขนส่งเผือกควรมีภาชนะใส่เผือกที่เหมาะสม ซึ่งต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นจะใส่กล่องกระดาษสามารถใส่เผือกซ้อนกันได้ โดยเผือกไม่ทับถมกันเป็นปริมาณมาก จึงมีผลหรือเป็นส่วนหนึ่งที่จะเก็บรักษาเผือกได้ไม่นาน |
6. ไม่ควรนำเผือกที่เก็บเกี่ยวได้ มาสุมกองกันเป็นปริมาณมากหรือขึ้นไปเหยียบย่ำเผือก ควรนำเผือกที่จะเก็บรักษาไว้นานๆ มาเก็บไว้เป็นชั้นๆ |
7. ห้องที่เก็บรักษาหัวเผือกนั้น จะต้องมีการระบายอากาศได้สะดวก อุณหภูมิประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส |
หากมีความจำเป็นต้องเก็บรักษาควรตัดใบและรากทั้งหมดออกไม่ควรล้างน้ำ การเก็บรักษาหัวเผือก โดยการจุ่มลงไปในสารป้องกันเชื้อรา แคปแทน หรือเบนเลท ความเข้มข้น 500 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) แล้วเก็บรักษาไว้ในบ่อดิน จะทำให้หัวเผือกเน่าเสียลดลง ได้ผลดีกว่าการเก็บรักษาในขี้เลื่อยแห้ง ขี้เลื่อยชื้น และถุงพลาสติก หัวย่อยหรือลูกเผือกที่เก็บรักษาไว้ในบ่อดินใต้สภาพร่มและป้องกันน้ำฝนได้จะเก็บรักษาไว้ได้นาน 6-10 เดือน อายุการเก็บรักษาขึ้นอยู่กับขนาดหัว คือ เผือกที่มีขนาดหัวเล็กจะเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าเผือกที่มีขนาดหัวใหญ่ |
นอกจากจะเก็บรักษาเผือกในรูปหัวเผือกสดแล้ว ยังสามารถเก็บรักษาเผือกในรูปเผือกแห้ง โดยทำการปอกเปลือกแล้วผ่าเผือกเป็นแผ่นบางๆ ตากเผือกให้แห้งสนิท เมื่อจะนำมาบริโภค ก็สามารถนำไปนึ่ง ทอด หรือบดเป็นแป้งเผือกได้ |
โรคเผือกที่สำคัญ
|
1. โรคใบไหม้ (โรคใบจุดตาเสือ) |
สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Phythopthera colocasiae Rac. อาการบนใบเกิดจุดสีน้ำตาลฉ่ำน้ำขนาดหัวเข็มหมุดถึงขนาดเหรียญบาท ปรากฎเห็นชัดบนผิวใบ แผลขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงๆ ต่อกัน ลักษณะพิเศษ คือ บริเวณขอบแผลมีหยดสีเหลืองข้น ซึ่งต่อมาแห้งเป็นเม็ดๆ เกาะอยู่เป็นวงๆ เมื่อบีบจะแตกเป็นผงละเอียด สีสนิม ในระยะที่รุนแรงแผลขยายติดต่อกัน และทำให้ใบม้วนพับเข้าและแห้งเหี่ยว หรืออาจเน่าเละถ้าอากาศชื้นมีฝนพรำ |
|
อาการบนก้านใบ จะเกิดแผลฉ่ำน้ำยาวรี สีน้ำตาลอ่อน แผลขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงๆ เช่นกัน ต่อมาจะเน่า แห้ง เป็นสีน้ำตาล มีหยดสีเหลืองข้นด้วย ทำให้ก้านต้านทานน้ำหนักใบไม่ได้จึงหักพับ มีผลทำให้ใบแห้ง พบมากในระยะโรครุนแรง และมีลมพัด อาการเป็นระยะนี้ทำให้ผลผลิตลดลง และเชื้อนี้อาจเข้าทำลายหัวเผือกด้วยทำให้หัวเผือกเน่าเสียหายได้ |
|
ความสัมพันธ์ของความชื้นและอุณหภูมิจะมีผลต่อการเกิดโรคเชื้อรา ทำให้โรคมีการระบาดรุนแรงหากช่วงที่ได้รับเชื้อ มีฝนตกพรำตอนใกล้รุ่ง และตอนเช้าติดต่อกัน มีฝนพรำทั้งวัน และมีลมอ่อนๆ เนื่องจากสภาพดังกล่าวเหมาะสมต่อการสร้างสปอร์เชื้อรา ซึ่งเชื้อสร้างสปอร์บนใบเผือกได้ดีหากมีความชื้นสูง (90-100%) และอุณหภูมิต่ำ (20-25%) |
|
|
โรคใบไห้ม
|
โรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงที่สุดของเผือกที่พบในประเทศไทยและในต่างประเทศ โรคนี้เริ่มระบาดเมื่อมีฝนตกและอากาศชุ่มชื้น ถ้ามีฝนตกหนักและติดต่อกันหลายๆ วัน โรคจะระบาดอย่างรวดเร็ว ในแปลงที่เป็นรุนแรง เผือกจะมีใบเหลืองประมาณต้นละ 3-4 ใบ เท่านั้น เผือกที่เป็นโรคนี้ถ้ายังไม่เริ่มลงหัว หรือลงหัวไม่โตนักจะเสียหายหมด หัวที่ลงจะไม่ขยายเพิ่มขนาดขึ้น ในช่วงที่หมอกลงจัดเผือกจะเป็นโรคนี้ได้ง่ายเช่นเดียวกัน |
การป้องกันกำจัด |
1. หากพบว่าในเผือกเริ่มเป็นโรคใบจุดตาเสือ ให้ตัดใบเผือกที่เป็นโรคไปเผาทำลายให้หมด ไม่ควรปล่อยทิ้งหลงเหลืออยู่ในแปลง เชื้อราจะปลิวไปยังต้นเผือกต้นอื่นๆ ได้ |
2. ใช้พันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคใบจุดตาเสือ ในแหล่งที่มีโรคนี้ระบาดมากๆ ควรเปลี่ยนใช้พันธุ์เผือกที่ทนทานต่อโรคใบจุดตาเสือมาปลูกแทน เช่น พันธุ์ พจ.06 เป็นต้น |
3. แยกแปลงปลูกเผือกให้ห่างกันเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค |
4. ไม่ควรเดินผ่านแถวเผือกในขณะที่แปลงเผือกชื้นแฉะ เพราะทำให้เพิ่มการระบาดของเชื้อ |
5. ใช้สารเคมี ได้แก่ ริโดมิล อัตรา 2-3 กรัมต่อต้น หยอดลงไปที่โคนต้นจะสามารถป้องกันโรคได้ประมาณ 1 เดือน หรือใช้สารคูปราวิท 50% อัตรา 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วทั้งต้น 5-7 วันต่อครั้ง และเนื่องจากเผือกมีใบลื่นมาก การฉีดสารเคมีทุกครั้งจึงควรใช้สารจับใบผสมลงไปด้วย เพื่อให้สารเคมีจับใบเผือกได้นาน |
2. โรคหัวเน่า |
สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Sclerotium rolfsii โรคนี้อาจเกิดได้ระหว่างการเก็บรักษาหัวเผือก หรือปล่อยทิ้งไว้ในแปลงปลูกนานเกินไป หรือมีน้ำท่วมขังแปลงปลูกเผือกในช่วงเผือกใกล้เก็บเกี่ยว |
การป้องกันกำจัด |
1. พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้หัวเผือกที่ใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวได้รับน้ำหรือความชื้นมากเกินไป ถ้ามีน้ำท่วมขังควรสูบน้ำออก |
2. ในระหว่างการเก็บรักษาหัวเผือกในโรงเก็บน้ำควรระมัดระวังไม่ให้หัวเผือกชื้น และไม่ควรกองหัวเผือกสุมกันมากๆ ควรทำเป็นชั้นๆ จะได้ระบายถ่ายเทอากาศได้สะดวก |
|
|
แมลงศัตรูเผือก
|
1. หนอนกระทู้ผัก
|
เป็นแมลงศัตรูเผือกที่ระบาดเฉพาะแหล่ง ไม่พบทั่วไป แมลงชนิดนี้มีพืชอาศัยหลายชนิด เช่น บัวหลวง และพืชผักชนิดต่างๆ |
|
ลักษณะและการทำลาย เริ่มแรกผีเสื้อจะวางไข่ไว้ตามใบเผือก แล้วฟักตัวออกเป็นตัวหนอนอยู่เป็นกลุ่มกัดกินใบเผือกด้านล่าง เหลือไว้แต่ผิวใบด้านบน เมื่อผิวใบแห้งจะมองเห็นเป็นสีขาว ถ้าหนอนกระทู้ผักระบาดมากจะกัดกินใบเผือกเสียหายทั่วทั้งแปลงได้ ทำให้เผือกลงหัวน้อย ผลผลิตต่ำ |
การป้องกันกำจัด
|
ใช้สารเคมีฉีดพ่นช่วงที่หนอนชนิดนี้ระบาด สารเคมีที่ใช้ ได้แก่ เพอเมทริน มีชื่อการค้า คือ แอมบุช 10% อีซี ใช้อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และแอมบุช 25% อีซี ใช้อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารเฟนวาลีเรท มีชื่อการค้า คือ ซูมิไซดิน 20% อีซี ใช้อัตรา 15-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ซูมิไซดิน 35% อีซี ใช้อัตรา 10-20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และซูมิไซดิน 10% อีซี ใช้อัตรา 30-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออาจใช้สารเคมีอโซดริน อัตรา 28-38 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือแลนเนท อัตรา 12-15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร อย่างใดอย่างหนึ่ง พ่นในช่วงที่หนอนระบาด
|
|
|
หนอนกระทู้ผัก
|
|
|
2. เพลี้ยอ่อน
|
เป็นแมลงศัตรูเผือกที่ระบาดเฉพาะแหล่งไม่พบทั่วไป มีขนาดเล็ก ตัวอ่อนมีสีน้ำตาล โดยเพลี้ยอ่อนจะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบและยอดอ่อนของเผือก ทำให้เผือกแคระแกรน ไม่ค่อยเจริญเติบโต |
การป้องกันกำจัด
|
ใช้สารเคมี ได้แก่ มาลาไธออน อัตรา 40-45 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้สารคาร์บาริล เช่น เซพวิน 80% อัตรา 47 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นในช่วงเพลี้ยอ่อนระบาด |
3. ไรแดง
|
เป็นแมลงศัตรูขนาดเล็กที่ระบาดเฉพาะแหล่ง ไม่พบทั่วไป ไรแดงมีรูปร่างคล้ายแมงมุม ตัวเล็กมาก ลำตัวสีแดง พบอยู่ตามใต้ใบเผือกและยอดอ่อน โดยไรแดงจะใช้ปากดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบเผือก ทำให้เกิดเป็นรอยจุดสีน้ำตาลหรือสีขาวอยู่ทั่วไป ถ้าระบาดมากใบเผือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีเทา แล้วแห้งในที่สุด ไรแดงเผือกจะพบระบาดมากในช่วงฤดูแล้ง หรือในช่วงเผือกขาดน้ำ |
การป้องกันกำจัด
|
สารเคมี ได้แก่ สารไดโคฟอล เช่น เคลเทน ไดโคล หรือคิลไมท์ อย่างใดอย่างหนึ่ง อัตรา 40-50 มิลลิกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณที่ไรแดงระบาดโดยเฉพาะใต้ใบเผือก |