ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นพืชไร่ อายุสั้นฤดูกาลเดียว ต้องการน้ำน้อยพอหน้าดินชื้นเท่านั้น.......หลักนิยมหรือทัศนคติของชาวไร่ข้าวโพด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชไร่ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ ซึ่งขัดกับหลักความจริงตามธรรมชาติที่ว่า ไม่มีพืชใดในโลกนี้ไม่ต้องการน้ำ เพียงแต่ต้องการมากหรือน้อยเท่านั้น.......ดังนั้น เมื่อคิดจะปลูกข่าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนการให้น้ำไว้ด้วย เทคนิคการให้น้ำแก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในแปลงพื้นที่ลาดเทา อาจจะใช้วิธปล่อยให้น้ำไหลไปเองระหว่างร่องแถวปลูกจากลาดสูงสู่ลาดต่ำ แต่ถ้าเป็นแปลงพื้นราบให้ใช่วิธีลากสายยางรดน้ำ หรือใช้สปริงเกอร์แบบยิงข้ามหัว
* เริ่มออกดอกเมื่ออายุต้น 50-60 วัน ระหว่างออกดอกถ้าต้นขาดน้ำจะทำให้ดอกไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้การผสมของเกสรไม่ดีแล้วต่อไปถึงผลผลิตที่ไม่ดีอีกด้วย.......เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุต้น 110-120 วัน
* ดอกตัวผู้เรียกว่า “ดอกยอด” ส่วนดอกตัวเมียอยู่ที่ปลายฝักเรียกว่า “ไหม” โดยดอกยอดจะเกิดก่อนไหม แต่เกิดก่อนไม่กี่วัน (7-10 วัน) ดอกยอดและไหมในต้นเดียวกันสามารถผสมกันได้ หรือผสมต่างต้นได้
* จากธรรมชาติที่ดอกยอดเกิดก่อนไหมก็เพื่อให้ดอกยอดพร้อมผสมก่อน ทำให้ดอกทั้งสองเพศในต้นเดียวกันไม่มีโอกาสผสมกันเอง ระหว่างที่ไหมซึ่งเกิดทีหลังและยังไม่พร้อมรับการผสมนั้น ดอกยอดซึ่งพร้อมผสมก่อนจะปลิวลมไปผสมกับไหมของต้นอื่น เป็นการผสมข้ามต้น........การผสมข้ามต้นจะทำให้ได้สายพันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรงกว่าการผสมในต้นเดียวกัน (การผสมกันของเกสรทั้งสองเพศในต้นเดียวกัน เปรียบเสมือนสัตว์หรือมนุษย์ที่ผสมพันธุ์แบบเลือดชิด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการด้อยทางพันธุกรรม)
* การผสมข้ามต้นหรือต้นเดียวกัน ไม่ทำให้เกิดอาการกลายพันธุ์ หรือเปอร์เซ็นต์กลายพันธุ์น้อยมาก......การปลูกข้าวโพดเพื่อทำพันธุ์จะต้องหลีกเลี่ยงการผสมกันเองตามธรรมชาติ นั่นคือต้องผสมด้วยมือเท่านั้น และแปลงปลูกเพื่อสร้างสายพันธุ์ตจะต้องอยู่ห่างจากแปลงข้าวโพดข้างเคียงที่ต่างสายพันธุ์ไม่น้อยกว่า 500 ม.
* เมื่อไหมพร้อมรับการผสมแล้วไม่ได้รับการผสม ข้าวโพดฝักนั้นจะติดเมล็ดไม่เต็มฝัก หรือเรียกว่า “ข้าวโพดฟันหลอ” ไม่มีปุ๋ยหรือฮอร์โมนใดๆแก้ไขได้ นอกจากการทำให้ไหมได้รับการผสมเท่านั้น
* ข้าวโพดทุกชนิดและทุกสายพันธุ์ หากได้รับการบำรุงดีๆ อย่างถูกวิธี สม่ำเสมอ สามารถออกฝักได้ 2-4 ฝัก/ต้น ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ไหมฝักแรกกับไหมฝักที่สองของต้นมักมีโอกาสได้รับการผสมจากดอกยอดจากต้นตัวเองหรือต่างต้นจึงพัฒนาเป็นฝักได้ ส่วนฝักที่สามกับฝักที่สี่ไม่มีโอกาสได้รับเกสรจากดอกยอดทั้งจากต้นตัวเองหรือต่างต้น เพราะดอกยอดเหล่านี้เสื่อมสภาพไปหมดสิ้นแล้ว จึงไม่มีฝักที่สามและสี่เกิดขึ้น
* จากข้อจำกัดเรื่องลักษณะทางธรรมชาติของข้าวโพด ที่ว่า ดอกยอดกับไหมพร้อมรับการผสมไม่พร้อมกันนั้น แก้ไขโดยการ “ปลูกต่างรุ่น” กล่าวคือ เมื่อเมล็ดรุ่นงอกขึ้นมาแล้วเป็นรุ่นแรก อีก 10 วันต่อมาให้หยอดเมล็ดรุ่นที่สอง แทรกระหว่างรุ่นแรก โดยรุ่นแรก 10 ต้น เทรกด้วยรุ่นสอง 1 ต้น และเมื่อเมล็ดรุ่นสองงอกขึ้นมาแล้ว 10 วัน อาจจะหยอดเมล็ดรุ่นที่สาม แทรกระหว่างต้นรุ่นแรกกับรุ่นสองอีกก็ได้ตามความจำเป็น........วัตถุประสงค์เพื่อ จะอาศัยดอกยอดของรุ่นสองไปผสมให้กับไหมของฝักที่สองหรือฝักที่สามของต้นรุ่นแรก และอาศัยเกสรดอกยอดของรุ่นสามไปผสมกับไหมของฝักที่สองหรือฝักที่สามของต้นรุ่นสอง การที่จะให้เกสรดอกยอดกับไหมจากต่างต้นได้ผสมกันนั้น จะอาศัยเพียงลมหรือแมลงเป็นพาหะนำไปอย่างเดียวคงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องช่วยผสมด้วยมือ........สรุป เพื่ออาศัยเกสรรุ่นน้องไปผสมกับไหมรุ่นพี่ ทั้งปล่อยให้เขาผสมกันเองและช่วยผสมด้วยมือนั่นเอง
งานนี้หากพิจารณาอย่างผิวเผินอาจบอกว่า ยุ่งยาก ไม่คุ้มค่าลงทุน (แรงงาน เวลา) แต่หากได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้วก็จะเห็นว่าคุ้มค่าอย่างมาก กล่าวคือ ข้าวโพด 1 ต้น พร้อมที่จะให้ผลผลิต 2-4 ฝัก/ต้น/รุ่น นั่นคือ จะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 200-400 % ต่อ 1 รุ่น........จากเดิมที่ปล่อยให้เกสรผสมกันเองตามธรรมชาตินั้น ข้าวโพด 1 ต้น ให้ผลผลิตเพียง 1 ฝักสมบูรณ์ กับอีก 1 ฝักไม่สมบูรณ์เท่านั้น........เมื่อไหมของฝักใดเมื่อได้รับการผสม ฝักนั้นจะเป็นฝักสมบูรณ์ .......... การช่วยผสมเกสรด้วยมือ แรงงาน 1 คน สามารถทำงานได้ไม่น้อยกว่า 5-10 ไร่/วัน
* เทคนิคการผสมเกสรด้วยมือ เริ่มจาก.......ช่วงเวลา 09.00-12.00 น. สังเกตความพร้อมผสมของเกสร (ดอกยอด คือ เกสรตัวผู้ – ไหมปลายฝัก คือ เกสรตัวเมีย) ณ วันที่พร้อมผสมจะมีลักษณะ สมบูรณ์ ขนาดใหญ่ เป็นมันวาว มียางเหนียวติดมือ..........ตัดดอกยอดทั้งก้านลงมาแล้วนำไปถูหรือสัมผัสกับไหมปลายฝักเบาๆ 2-3 รอบ...... ดอกยอด 1 ช่อ สามารถผสมกับไหมปลายฝักได้มากกว่า 10 ฝัก
* ต้นข้าวโพดก็เหมือนพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวอื่นๆที่ เมื่อผลผลิตอายุได้ 75 % ใบจะเริ่มเหลืองโทรมเนื่องมาจากใกล้หมดอายุขัย ใบที่เหลืองโทรมไม่สามารถสังเคราะห์สารอาหารได้ ส่งผลให้ผลผลิตฝักรุ่นหลังๆไม่ได้รับสารอาหาร จึงกลายเป็นผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ แนวทางแก้ไข คือ ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น ควบคู่กับให้ “ฮอร์โมนน้ำดำ” เพื่ออาศัยแม็กเนเซียม.ในการสร้างคลอโรฟีลด์ซึ่งจะทำให้ใบเขียวสดตลอดอายุขัยจนถึงวันเก็บเกี่ยว
* ข้าวโพดเป็นพืชประเภท “แป้งและน้ำตาล” สารอาหารกลุ่มสร้างแป้งและน้ำตาล คือ สังกะสี. และกำมะถัน. จึงควรให้สม่ำเสมอตั้งแต่ต้นเริ่มติดฝัก
* สภาพอากาศ (อุณหภูมิ) ของพื้นที่ปลูกที่กลางวันร้อนมาก กลางคืนหนาวหรือเย็นมาก (ความต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืน) ข้าวโพจะให้คุณภาพดี กล่าวคือ ช่วงกลางวันอากาศร้อน แดดจัด ต้นจะสร้างคลอโรฟิลด์ ครั้นถึงช่วงกลางคืนอากาศเย็น ต้นจะสร้างแป้ง
* อายุต้นได้ 20-30 วันหลังเมล็ดงอก ให้ทางใบด้วย “เอ็นเอเอ. + สาหร่ายทะเล + แคลเซียม โบรอน + วิตามิน บี-1 + ไคตินไคโตซ่าน + กลูโคส” ทุก 7-10 วัน ให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น นอกจากช่วยสร้างและบำรุงรากที่เกิดจากข้อเหนือพื้นดิน (ต้นที่มีรากมากกว่าย่อมดูดซับสารอาหารจากดินได้มากกว่า) แล้ว ยังทำให้ต้นข้าวโพดแตกกิ่งออกมาจากข้อ 2-3 ข้อ กิ่งใหม่เหล่านี้เมื่อได้รับสารอาหารสูตรเดิมต่อไปควบคู่กับสารอาหารตัวอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ จะเจริญเติบโตแล้วออกฝักได้ ฝักเหล่านี้เมื่อได้รับการช่วยผสมเกสรก็จะพัฒนาเป็นฝักสมบูรณ์ได้ เมื่อรวมกับฝักปกติ 2-3 ฝักแล้วทำให้ข้าวโพด 1 ต้นได้ฝักทั้งสิ้น 6-7 ฝัก
* การปลูกแบบถี่ ระยะห่าง 30-45 X 30-45 ซม. ทำให้สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์มาก ต้นเบียดกันได้รับแสงแดดน้อย ลมพัดผ่านเข้าไปไม่ได้ การเข้าปฏิบัติงานในแปลง (ช่วยผสมเกสร) ไม่สะดวก ส่งผลให้ได้จำนวนฝัก/ต้นน้อย ฝักไม่สมบูรณ์ โรคและแมลงมาก.........การปลูกแบบห่าง ระยะห่าง 75-100 X 75-100 ซม. ทุกอย่างจะเป็นตรงกันข้ามกับการปลูกถี่.......สรุป จำนวนต้นมาก ต้นทุนมาก ผลผลิตน้อยด้อยคุณภาพ แต่ถ้าจำนวนต้นน้อย ต้นทุนน้อย ได้ผลผลิตมากทั้งปริมาณและคุณภาพ
* ต้นข้าวโพดทุกชนิดไม่ถูกกันกับ “ยาฆ่าหญ้า” เพราะฉะนั้นต้องงดใช้ยาฆ่าหญ้าเด็ดขาด การกำจัดวัชพืชให้ใช้จอบดายหญ้าแล้วเกลี่ยเข้าคลุมโคนต้นจะได้ประโยชน์สูงสุด.......จังหวะที่เกลี่ยเศษหญ้าคลุมโคนต้น ถ้ามีการพรวนร่วมด้วยจะดีต่อต้นข้าวโพดอย่างมาก
สายพันธุ์
ซีพีดีเค-888, ไพโอเนียร์-3013, แปซิฟิค-983, คาร์กิล-919, เทพีวีนัส-49, นครสวรรค์-72, สุวรรณ-3851, นครสวรรค์-1 (ข้อมูล : กรมส่งเสริมการเกษตร), บิ๊ก-919, จี-5445, ไพโอเนียร์-3012แปซิฟิค-328
เตรียมดิน
- ใส่อินทรีย์วัตถุ (มูลไก่ 1-2 ตัน, แกลบดิบ 2 ตัน, ยิบซั่ม 50 กก., กระดูกป่น 10 กก.) ไถกลบลงดินลึก 30-45 ซม.
– บ่มดินด้วยจุลินทรีย์หน่อกล้วย หรือน้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง อย่าใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง นาน 15-30 วัน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ในการปรับสภาพโครงสร้างดินและสร้างสารอาหารรอไว้ก่อนการปลูก
– ให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
เทคนิคการเลือกสรรวัสดุส่วนผสมในอินทรีย์วัตถุอย่าพิถีพิถัน ผ่านกระบวนการหมักอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ นอกจากไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีแล้วยังเป็นการสร้างและสะสมประวัติเนื้อดินให้เป็นดินดี ซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงการเพาะปลูกรุ่นต่อๆไปอีกด้วย เท่ากับ ทำครั้งเดียวใช้การได้ตลอดไป
เตรียมแปลง
- ยกแปลงลูกฟูก สูง 30-50 ซม. สันแปลงราบกว่าง 30-50 ซม. ร่องระหว่างสันลูกฟูกกว้าง 50-75 ซม. ลึก 30 ซม. ก้นสอบ
- เตรียมอุปกรณ์หรือวิธีการให้น้ำ
หมายเหตุ :
สันแปลงยิ่งสูง อินทรีย์วัตถุยิ่งมาก นอกจากทำให้ดินไม่อุ้มน้ำแล้วยังช่วยกักเก็บความชื้นได้ดีอีกด้วย.........ข้าวโพดชอบความชื้น ไม่ชอบความแฉะ ชอบดินร่วน ไม่ชอบดินเหนียว
- เทคนิคการให้ "น้ำ + ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง" แบบหล่อในร่องระหว่างสันแปลงปลูก 10-15 วัน/ครั้ง จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์ แข็งแรงโดตเร็ว และให้ผลผลิตดี
เตรียมเมล็ดพันธุ์
– เมล็ดพันธุ์ที่เคลือบสารเคมีให้ล้างสารเคมีในน้ำไหลให้หมดหรือให้เหลือติดเมล็ดพันธุ์น้อยที่สุดเสียก่อน สารเคมีไม่ใช่สารอาหาร เมื่อสารเคมีอยู่ในดิน (ปลายราก) ต้นข้าวโพดก็จะดูดสารพิษนี้เข้าไปในต้นด้วย สารเคมีเป็นกรดย่อมทำให้ดินเป็นกรด และนอกจากนี้สารเคมียังเป็นสารพิษต่อจุลินทรีย์อีกด้วย.......สรุป สารเคมีเป็นโทษมากกว่าประโยชน์
– น้ำเมล็ดที่ล้างสารเคมีหมดแล้วลงแช่ใน “น้ำ 10 ล. + โบรอน 10 กรัม” นาน 6 ชม. ครบกำหนดแล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง จากนั้นจึงไปหยอดลงหลุมปลูก.......เมล็ดพันธุ์ที่แช่ในโบรอนก่อนปลูก เมื่อต้นโตขึ้นจะออกดอกยอดมากกว่าเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้แช่ 1-2 เท่า
การปฏิบัติ
ระยะต้นเล็ก :
- ให้ “น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนน้ำดำ 100 ซีซี + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.” ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นดินโคนต้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เมื่ออายุต้น 40-45 วันหลังเมล็ดงอก ให้ “น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนไข่ สูตรไต้หวัน 200 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.” ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น 3-4 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน.....ให้ฮอร์โมนไข่ สูตรไต้หวัน 1 ครั้งจะทำให้ต้นข้าวโพดออกฝัก 1 ฝักเสมอ จนกระทั่งออกฝักที่ 3 หรือ 4 ฝักแรกจะเริ่มโตต้องเปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็นสูตรบำรุงผลก็ให้หยุดการให้ฮอร์โมนไข่
- เมื่ออายุต้นได้ 20-30 วันหลังเมล็ดงอก ให้ทางใบด้วย “เอ็นเอเอ. + สาหร่ายทะเล + แคลเซียม โบรอน + วิตามิน บี-1 + ไคโตซ่าน + กลูโคส” ทุก 7-10 วัน ให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น นอกจากช่วยสร้างและบำรุงรากที่เกิดจากข้อเหนือพื้นดิน (ต้นที่มีรากมากกว่าย่อมดูดซับสารอาหารจากดินได้มากกว่า) แล้ว ยังทำให้ต้นข้าวโพดแตกกิ่งออกมาจากข้อ 2-3 ข้อ กิ่งใหม่เหล่านี้เมื่อได้รับสารอาหารสูตรเดิมต่อไปควบคู่กับสารอาหารตัวอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ จะเจริญเติบโตแล้วออกฝักได้ ฝักเหล่านี้เมื่อได้รับการช่วยผสมเกสรก็จะพัฒนาเป็นฝักสมบูรณ์ได้ เมื่อรวมกับฝักปกติ 2-3 ฝักแล้วทำให้ข้าวโพด 1 ต้นได้ฝักทั้งสิ้น 6-7 ฝัก
- ก่อนออกดอก 7-10 วัน ถ้าเห็นว่าลำต้นค่อนสูงสูงกว่าปกติ ให้ใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 8-24-24 อัตรา 4-5 กก./ไร่ โดยการละลายน้ำแล้วรดโคนต้น จะช่วยให้ต้นหยุดความสูงแล้วเจริญเติบโตทางข้าง ลำต้นจะใหญ่ ไม่ล้มง่าย
ระยะติดฝักแล้ว
– ให้ “น้ำ 100 ล. + ฮอร์โมนน้ำดำ 200 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร” สลับกับ “น้ำ 100 ล. + ปุ๋ยทางใบสูตรบำรุงผล 200 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.” ทุก 7 วัน นอกจากบำรุงต้นไม่ให้โทรมแล้วยังช่วยบำรุงฝักให้มีขนาดใหญ่และคุณภาพดีด้วย
– ให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 7-10 วัน
หมายเหตุ :
หลังจากให้ทางใบด้วยปุ๋ยทางใบสูตร “บำรุงผล” แล้ว ฝักไม่ใหญ่เท่าที่ควรจะใหญ่ ให้ใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 21-7-14 อัตรา 4-5 กก./ไร่ โดยละลายน้ำรดโคนต้น......ให้รอบเดียวจนถึงเก็บเกี่ยว แต่ถ้าทางใบให้สูตรบำรุงผลแล้ว ทางรากก็ให้ 21-7-14 แล้ว ฝักก็ยังไม่โตเท่าที่ควรจะโต ให้แก้ปัญหาที่ดิน เนื่องจากดินไม่ตอบสนองต่อปุ๋ย
ระยะก่อนเก็บเกี่ยว
– ให้ “น้ำ 100 ล. + ปุ๋ยทางใบสูตรบำรุงผลก่อนเก็บเกี่ยว 200 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.” 1 รอบ ก่อนเก็บเกี่ยว 7 วัน นอกจากช่วยบำรุงให้เมล็ดแกร่งแล้วยัง
ช่วยลดความชื้นได้อีกด้วย
************************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.