สถานการณ์ทั่วไป
เงาะเป็นไม้ผลเพื่อบริโภคผลสดและเป็นวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรมเกษตร เงาะกระป๋อง และเงาะสอดไส้สับปะรดบรรจุกระป๋อง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำเกือบทุกปี (เนื่องจากช่วงฤดูกาลผลิตเงาะค่อนข้างสั้น ในช่วงเวลากลางฤดูจะมีผลผลิตมากกว่า 50 % ออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน) แต่เงาะก็ยังจัดเป็นไม้ผลที่ทำรายได้ดีอีกพืชหนึ่ง
ลักษณะทั่วไปของพืช
เงาะเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสม อยู่ในช่วง 25–30 องศา C ความชื้นสัมพัทธ์สูงประมาณ 75–85 %
ดินปลูกที่เหมาะสมควรมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (ค่า pH) ของดินประมาณ 5.5–6.5 และที่สำคัญควรเลือกแหล่งปลูก ที่มีน้ำเพียงพอตลอดปี
เงาะเป็นไม้ผลที่มีระบบรากหาอาหารลึกประมาณ 60–90 เซนติเมตรจากผิวดิน จึงต้องการสภาพแล้งก่อนออกดอกติดต่อกัน ประมาณ 21–30 วัน
เมื่อต้นเงาะผ่านสภาพแล้งและมีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสมเงาะจะออกดอก ช่วงพัฒนาการของดอก (ผลิตดอก – ดอกแรกเริ่มบาน) ประมาณ 10–12 วัน ดอกเงาะจะทยอยบานจากโคนช่อไปหาปลายช่อ ใช้เวลาประมาณ 25–30 วัน จึงจะบานหมดช่อ ดอกเงาะมี 2 ชนิด คือ ดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศ ต้นที่มีดอกตัวผู้จะไม่ติดผล ส่วนต้นที่มีดอกสมบูรณ์เพศนั้นเกสรตัวผู้ไม่ค่อยแข็งแรง ต้องปลูกต้นตัวผู้แซมในสวน เพื่อเพิ่มละอองเกสร หรือฉีดพ่นฮอร์โมนพืช เพื่อช่วยให้เกสรตัวผู้แข็งแรงขึ้น
พื้นที่ปลูก
- แหล่งผลิตที่สำคัญ คือ ภาคตะวันออก(พื้นที่ปลูก 55% ผลผลิต 63%) และภาคใต้(พื้นที่ปลูก 44% ผลผลิต 36%)
- จังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ จันทบุรี (ผลผลิต 45%) ตราด (14%) สุราษฎร์ธานี (10%) ชุมพร (10%) นครศรีธรรมราช (8%)
- พื้นที่ปลูก ประมาณ 540,000 ไร่ (พื้นที่ให้ผลแล้ว 420,000 ไร่)
พันธุ์ที่ส่งเสริม
- โรงเรียน,
- ตราดสีทอง
การปลูก
วิธีการปลูก ทำได้ทั้งการขุดหลุมปลูกซึ่งเหมาะกับพื้นที่ที่ยังไม่มีการวางระบบน้ำไว้ก่อนปลูก วิธีนี้ดินในหลุมจะช่วยเก็บความชื้นได้ดีขึ้น และสามารถปลูกโดยวิธีไม่ต้องขุดหลุม(ปลูกแบบนั่งแท่นหรือยกโคก) เหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก วิธีการนี้ระบายน้ำดีน้ำไม่ขังโคนต้น แต่ต้องมีการวางระบบน้ำไว้ก่อนปลูก ซึ่งต้นเงาะจะเจริญเติบโตเร็วกว่าการขุดหลุม ทั้งนี้จุดเน้นที่สำคัญในการปลูก คือ ควรใช้ต้นกล้าที่มีระบบรากดี ไม่ขดงอในถุง แต่ถ้าจะใช้ต้นกล้าขนาดใหญ่ก็ให้ตัดดินและรากที่ขดหรือพันตรงก้นถุงออก
ระยะปลูก
6–8 X 6–8 เมตร ถ้าใช้ระยะปลูกชิด 6 X 6 เมตร จะตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ทรงพุ่มชนและบังแสงกัน สำหรับสวนที่ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงาน ควรเว้นระยะระหว่างแถวให้ห่างพอที่เครื่องจักรกลจะเข้าไปทำงาน แต่ให้ระยะระหว่างต้นชิดขึ้น
จำนวนต้น/ต่อไร่
25–40 ต้น/ไร่
การดูแลรักษา (สำหรับต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว)
การใส่ปุ๋ย
- เพื่อบำรุงต้นหลังการเก็บเกี่ยว ปุ๋ยอินทรีย์ 20–50 กก./ต้น ร่วมกับ ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 (1–3 กก.)/ต้น
- เพื่อส่งเสริมการออกดอก (ช่วงปลายฝน) ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 หรือ 9-24-24 2–3 กก./ต้น หรือ
- เพื่อบำรุงผล (หลังติดผล 3–4 สัปดาห์) ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 2 – 3 กก./ต้น ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก 20–30 กก./ต้น
การให้น้ำ
ให้น้ำสม่ำเสมอช่วงเจริญทางใบ งดน้ำช่วงปลายฝน ต้นเงาะที่มีใบแก่และสมบูรณ์ ทั้งต้นและผ่านสภาพแล้งติดต่อกันนาน 21–30 วัน จะแสดงอาการขาดน้ำ (ใบห่อ) ให้กระตุ้นการออกดอกโดยการให้น้ำในปริมาณมากเต็มที่ จากนั้นให้หยุดดูอาการ 7–10 วัน เมื่อพบว่าตายอดเริ่มพัฒนาเป็นตาดอก (สีของตายอดจะเปลี่ยนจากน้ำตาลดำเป็นน้ำตาลทอง) ก็เริ่มให้น้ำอีกครั้งปริมาณเท่าเดิมเพื่อเร่งการพัฒนาของตาดอก แต่ถ้าหลังจากให้น้ำครั้งที่ 1 แล้ว พบว่าตา ยอดเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลอมเขียว แสดงว่าให้น้ำมากเกินไปตายอดพัฒนาเป็นตาใบแทนที่จะเป็นตาดอก ต้องหยุดน้ำและปล่อยให้เงาะกระทบแล้งอีกครั้งจนเห็นว่าสีเขียวน้ำตาลของตายอดเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทองของตาดอก ก็เริ่มให้น้ำในอัตรา ? ของครั้งแรก จากนั้นเมื่อแทงช่อดอกและติดผลแล้วควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ เพื่อเร่งพัฒนาการของดอก และเร่งพัฒนาการของผลให้ขึ้นลูกได้เร็วและผลโต
การปฏิบัติอื่นๆ
- การเตรียมสภาพต้นให้พร้อมต่อการออกดอกในฤดูถัดไป คือ การจัดการเงาะให้มีการแตกใบอ่อนอย่างน้อย 2 ชุด และให้รักษาใบอ่อนที่แตกออกมาให้สมบูรณ์ หมั่นป้องกันกำจัดโรคราแป้งและหนอนคืบกินใบ
- การจัดการเพื่อส่งเสริมการติดผล
การช่วยให้เงาะผสมเกสรได้ดีขึ้น
โดยการเพิ่มปริมาณเกสรตัวผู้ ทำได้หลายวิธี เช่น
- พ่นฮอร์โมนพืช เมื่อช่อดอกส่วนใหญ่ของต้นบานได้ร้อยละ 5 ให้ฉีด พ่นช่อดอกบริเวณส่วนบนของทรงพุ่มด้วยฮอร์โมน เอ็น เอ เอ ในอัตรา 2 ซีซี./น้ำ 20 ลิตรประมาณ 4–5 จุด/ต้น วิธีนี้เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติโดยทั่วไป
- รวบรวมละอองเกสรตัวผู้ผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่วต้นเมื่อช่อดอกบนต้นบานได้ 50 %
- เปลี่ยนยอดให้เป็นกิ่งตัวผู้ ทำได้โดยการตัดยอดของเงาะต้นตัวเมีย เลี้ยงกิ่งกระโดงขึ้น มา แทนที่แล้วนำกิ่งจากต้นตัวผู้มาทาบบนกิ่งกระโดงนี้ ส่วนการสร้างสวนใหม่ควรปลูก ต้นตัวผู้แซมไปในระหว่างแถวของต้นตัวเมีย
- เลี้ยงผึ้งหรือติดต่อผู้เลี้ยงผึ้งให้นำผึ้งมาเลี้ยงในสวนระยะดอกบาน: ตรวจสอบและป้องกันกำจัดราแป้งอย่างใกล้ชิด ในทุกช่วงของการพัฒนาการของดอกและผล
การป้องกันกำจัดศัตรูพืชสำคัญ (เน้นการป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน)
- ช่วงแตกใบอ่อน – หนอนคืบกินใบ : คาร์บาริลหรือ คาร์โบซัลแฟล
- ช่วงออกดอกและติดผล – โรคราแป้ง : ต้นที่เริ่มพบโรคให้ใช้กำมะถันผง แต่ถ้ามีโรคหนาแน่นมาก ให้พ่นด้วย เบโนมิล หรือ ไดโนแคป หรือ ไตรดีมอร์ฟ ระยะห่าง 7–10 วัน/ครั้ง
อายุเก็บเกี่ยว
เงาะจะให้ ผลผลิตหลังการปลูกค่อนข้างเร็ว ภายใน 3–4 ปี ช่วงอายุที่ให้ผลผลิตดีประมาณ 7 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 150–200 กก./ต้น (น้ำหนักผลเฉลี่ย 30–40 กรัม/ผล หรือประมาณ 25–35 ผล/กก. ผลผลิตประมาณ 80–110 ผล/ต้น หรือประมาณ 240–330 กก./ต้น/ปี (คิดน้ำหนักเฉลี่ยผลละ 3 กก.)
ดูกาลเก็บเกี่ยว
ฤดูกาลเก็บเกี่ยวเงาะภาคตะวันออก อยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน – มิถุนายน และภาคใต้ เดือนกรกฎาคม - กันยายน เงาะจะเก็บเกี่ยวผลได้ประมาณ 20 วันหลังจากผลเริ่มเปลี่ยนสี ผลเงาะเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 12–13 องศา C ความชื้นสัมพัทธ์ 90–95 % เก็บรักษาได้นานประมาณ 2 สัปดาห
ต้นทุนการผลิต
เงาะโรงเรียน เฉลี่ยประมาณ 11,566 บาท/ไร่ หรือ 7.57 บาท/กก.เงาะสีชมพู เฉลี่ยประมาณ 10,285 บาท/ไร่ หรือ 5.47 บาท/กก.
ผลผลิต
ผลผลิตรวมทั้งประเทศ ประมาณปีละ 600,000–700,000 ตัน ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ประมาณ 1,681 กก./ไร่/ปี เฉลี่ยระหว่างปี 2537–2541 ผลผลิตเฉลี่ยของเงาะในแต่ละปีที่ผ่านมา แตกต่างกันในช่วง 1,509–1,760 กก./ไร่
ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ (ที่มีผลต่อการออกดอกและติดผล) ปริมาณการใช้ภายในประเทศ ประมาณ 580,000-680,000 ตัน (97%)
ปริมาณและมูลค่าการส่งออกปี 2542
ปริมาณ : ตัน
|
มูลค่า : ล้านบาท
|
ผลสด |
5,861
|
119.9
|
เงาะกระป๋อง |
6,539
|
255.43
|
เงาะสอดไส้สับปะรดบรรจุกระป๋อง |
3,204
|
142.22
|
(อัตราแปลง เงาะกระป๋อง : เงาะสด = 1: 1.134 ,เงาะสอดไส้สับปะรดบรรจุกระป๋อง : เงาะสด = 1 : 0.735)
ราคา
ราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ ราคาเฉลี่ยตลอดฤดูกาล 17.94 บาท/กก.
ราคาเฉลี่ยในช่วงออกมาก 8.5. บาท/กก. (ปี 2542)
ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
1. ช่วงฤดูกาลผลิตสั้น ผลผลิตออกมามากในช่วงเวลาสั้นและพร้อมกันทำให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ
2. เงาะมีอายุการเก็บรักษาสั้น ขาดเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
3. ขาดระบบการกระจายผลผลิตและการจัดการตลาดที่ดี
4. ปัจจัยการผลิตมีราคาแพงและมีปัญหาด้านแรงงานซึ่งต้องใช้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานเก็บเกี่ยวนอกจากนี้อุตสาหกรรมแปรรูปยังต้องการแรงงานในการจัดการแปรรูปเบื้องต้น(ปอกและคว้านเงาะ)
5. การระบาดของโรคแมลงศัตรูเงาะที่สำคัญ เช่น โรคราแป้ง เพลี้ยแป้ง
6. การขาดแคลนน้ำในแหล่งปลูกเงาะบางพื้นที่ และบางปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เงาะกำลังติดผล
แนวทางการช่วยเหลือ
เพื่อให้เกษตรกรสามารถจัดการสวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถผลิตเงาะได้ในปริมาณพอเหมาะโดยที่ผลผลิตส่วนใหญ่มีคุณภาพดี และใช้ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม
1. ส่งเสริมการรวมกลุ่มปรับปรุงคุณภาพผลผลิต
2. ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่ถูกต้องตามขั้นตอนพัฒนาการของพืชให้ทั่วถึง
3. ถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชเงาะแบบผสมผสาน
4. ส่งเสริมและพัฒนาเรื่องการจัดระบบให้น้ำในสวนเงาะอย่างเหมาะสม
5. ถ่ายทอดเทคโนโลยีเรื่องการเก็บเกี่ยวและปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ถูกต้อง
6. ส่งเสริมให้มีการผลิตเงาะนอกฤดูในเขตที่มีศักยภาพ (สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย)
7. ส่งเสริมการปลูกเงาะพันธุ์ดีเพื่อทดแทนสวนเก่า
8. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการจัดการผลผลิต การตลาด และการเชื่อมโยงให้มีการกระจายผลผลิตออกจากแหล่งผลิต
|