-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 395 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

แคนตาลูป




หน้า: 1/2




ที่มา: http://www.pingpongboard.com/showdetail.asp?boardid=10163



                       

แคนตาลูป


           ลักษณะทางธรรมชาติ

        * เป็นพืชตระกูลเถาเลื้อยขึ้นค้างแต่ไม่มีมือเกาะ  อายุสั้น (75-85 วัน) ฤดูกาลเดียว  ชอบดินดำโปร่งร่วนซุยหรือดินปนทราย  มีอินทรีย์วัตถุมากๆ  เนื้อดินไม่อุ้มน้ำแต่ต้องไม่แห้ง ระบายน้ำดี  อากาศผ่านสะดวก  ต้องการแสงแดดร้อยเปอร์เซ็นต์
        * ชอบความชื้นในดินสูง ถ้าขาดน้ำหรือน้ำไม่พอและถ้าน้ำมากเกินไปหรือแฉะต้นจะชะงักการเจริญเติบโต  การให้ด้วยระบบน้ำหยดซึ่งจะทำให้ดินปลูกชุ่มชื้นตลอดเวลาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
        * เทคนิคการบำรุงด้วยระบบ  "น้ำหยด + ปุ๋ย"  ให้ต้นได้รับสารอาหารแบบต่อเนื่องตลอด 24 ชม. แล้วเสริมด้วยฮอร์โมนโดยให้ทางใบตามระยะพัฒนาการ  ตั้งแต่เกิดถึงผลแก่เก็บเกี่ยว
จะช่วยให้ได้ผลผลิตที่คุณภาพดีมาก
        * บำรุงรักษาไม่ให้ใบแรกร่วงเลยแม้แต่ใบเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผลแก่เก็บเกี่ยว  จะช่วยให้ผลผลิตคุณภาพดีมาก
        * แคนตาลูปใบใหญ่หนาเขียวเข้ม  เถาใหญ่  ช่วงระหว่างข้อยาว จะให้ผลผลิตคุณภาพดีมาก 
        * สันแปลงปลูกควรสูงกว่าพื้นระดับ 30-50 ซม. และร่องทางเดินระหว่างสันแปลงลึก 20-30 ซม. กว้าง 50-80 ซม. พื้นก้นร่องราบ...........ช่วงหน้าแล้งให้ใส่น้ำในร่องทางเดินเพื่อสร้างความชุ่มชื้นในดินและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ
        * ปกติเป็นพืชเมืองร้อนแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ครั้นประเทศเขตหนาวและเขตอบอุ่นนำไปปลูกแล้วพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีขึ้นเนื่องจากตลาดให้ความนิยมสูง แคนตาลูปจึงกลายเป็นพืชเขตหนาวและเขตอบอุ่นไปโดยปริยาย จากนั้นย้อนกลับมาปลูกในเขตร้อนอีกครั้งทั้งๆที่เป็นถิ่นกำเนิดเดิมกลับไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นหากคิดจะปลูกแคนตาลูปต้องพิจารณาสายพันธุ์ด้วยว่าเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเขตหนาว เขตอบอุ่นหรือเขตร้อน    ปัจจุบันแคนตาลูปในประเทศไทยได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนจนกระทั่งเหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อนจึงสามารถเจริญเติบโตและให้คุณภาพที่ตลาดต่างประเทศยอมรับมากขึ้น...........สายพันธุ์ที่ผ่านการพัฒนาในประเทศไทย ถ้าปลูกในพื้นที่อากาศเย็นนานติดต่อกัน  อายุเก็บเกี่ยวจะช้ากว่าปลูกในเขตร้อนชื้น 7-10 วัน แต่คุณภาพไม่ต่างกัน
        * แคนตาลูปที่ใช้เมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศไม่สามารถนำเมล็ดมาขยายพันธุ์ต่อได้เพราะเป็นสายพันธุ์ไฮบริด (ลูกผสม/เป็นหมัน) แต่สายพันธุ์ในประเทศสามารถนำเมล็ดมาขยายพันธุ์ต่อไป
        * ปลูกได้ทุกพื้นที่ในประเทศและปลูกได้ทุกฤดูกาลแต่ต้องมีระบบจัดการดี
        * ต้นที่ได้รับการบำรุงดี มีสารอาหารกินอย่างสม่ำเสมอตลอด 24 ชม.จนได้เถาใหญ่  ใบใหญ่หนาเขียวเข้ม  และใบไม่ร่วงเลยตั้งแต่เริ่มงอกถึงเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตดี
        * นิสัยออกดอกง่ายและออกมากหรือเกือบทุกข้อใบ
  
      * เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิดจากขาดสาร
อาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) ผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
        * ตอบสนองต่อธาตุรอง.  ธาตุเสริม.  ฮอร์โมน.ดีมาก  จึงควรให้บ่อยๆ
        * ห่อผลด้วยถุงยังเคราะห์หรือกระดาษถุงปูนซิเมนต์เมื่อขนาดเท่าไข่เป็ด  หรืออายุผลได้ 40 วันหลังผสมติดจะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช  รักษาสีผิวเปลือกให้สวยนวลและเพิ่มคุณภาพ
          
          การห่อด้วยถุงห่อขนาดเล็กจะต้องเปลี่ยนถุงห่อเมื่อขนาดผลโตคับถุง   การใช้ถุงขนาดใหญ่นอกจากจะใช้ได้จนผลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว  ยังทำให้ถุงไม่เสียดสีกับผิวจนทำให้ผิวเสียและอากาศถ่ายเทสะดวกซึ่งจะส่งผลดีต่อผลอีกด้วย........พื้นที่ลมแรง อาจจะพิจารณาใช้ตาข่ายโฟมห่อผลก่อนแล้วจึงห่อซ้อนด้วยถุงอีกชั้นหนึ่งก็ได้

        *  ผลที่มีลักษณะขั้วใหญ่  ก้านยาว  อวบอ้วน  น้ำหนักดีจะมีคุณภาพ (เนื้อ กลิ่น รส) ดี
        * แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่เก็บเกี่ยวแล้วไม่ต้องบ่ม  เพราะฉะนั้นจึงต้องเก็บช่วงผลแก่จัดคาต้น  ผลแก่ไม่จัด  เมื่อเก็บลงมาแล้วคุณภาพผลเป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเน่าไปเลย
  
      * ขนาดผลเท่ากันแต่ผลที่น้ำหนักมากกว่า  กลิ่นดีกว่า  จะคุณภาพดีกว่าเสมอ
        * ตลาดเมืองไทยนิยมผลขนาดใหญ่มากกว่าผลขนาดเล็ก

           สายพันธุ์
           พันธุ์ผิวลายตาข่าย :
           -
ซันไรซ์ ผิวสีเหลืองอ่อน  เนื้อสีส้มอ่อน ผลดก อายุเก็บเกี่ยวสั้น กลิ่นหอม
           - นิวเซนทูรี่  ผิวสีเหลืองอมเขียวอ่อน  เนื้อหนาสีส้มอ่อน  รสหวานมาก  กลิ่นหอม  น้ำหนัก 1-1.5 กก.
           - สกายร็อกเก็ต (ผิวสีเขียว  เนื้อสีเขียว  อายุเก็บเกี่ยวปานกลาง  ติดผลดก  รสหวานมาก
           - เดลิเกต ปลูกได้ทั้งในโรงเรือนและกลางแจ้ง เถาสั้น  เนื้อหนาสีเขียว  น้ำหนัก 1-1.2 กก.  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
           - ซันไรท์ (ชอบทั้งอากาศร้อนและเย็น  เนื้อหนาชุ่ม  สีส้มอ่อน  น้ำหนัก 1-1.5 กก.  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  กลิ่นหอม
           - คาร์โก- 434  ทนต่ออากาศร้อนได้ดี  ผิวสีเขียว  เนื้อหนา รสชาติดี กลิ่นหอม  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  น้ำหนัก 1-1.5 กก.
           - เอ็มเมิร์ลดิง(ผิวสีเขียวอ่อน เนื้อเหลืองอ่อน รสหวาน กลิ่นหอมอ่อนๆ อายุเก็บเกี่ยวสั้น น้ำหนัก 1-1.5 กก.)
            พันธุ์ผิวเรียบ :
    
        - สโนว์ชาร์ม  ชอบอากาศเย็น ผิวสีเหลืองครีม  เนื้อหนาสีส้มอ่อนอมชมพู  กรอบอ่อนนุ่ม  น้ำหนัก 1-1.5 กก.  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  ติดผลดก  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซันเลดี้  ปลูกง่าย  ผิวขาวครีม  ติดผลดก  เนื้อหนานุ่มสีส้ม  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
            - เรดควีน  เถาสั้น  สีผิวเหลืองครีม  รสหวานจัด  อายุเก็บเกี่ยวปานกลาง กลิ่นหอม  น้ำหนัก 1 กก.
            - เจดดิว  สีผิวเขียวอมเหลือง  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  เนื้อหนาสีเขียว  น้ำหนักผล 1-1.5 กก.  รสชาติดีมากหวานจัด  กลิ่นหอม
            - สวอน (ปลูกง่ายอายุเก็บเกี่ยวสั้น  ให้ผลดก 7-8 ผล/ต้น  น้ำหนัก 700-800 กรัม  เนื้อสีขาว  รสหวาน  กลิ่นหอม
            - ซิลเวอร์ สตาร์ (สีผิวครีมอ่อน   อายุเก็บเกี่ยวสั้นมาก  น้ำหนัก 1.5-2 กก.  เนื้อสีเขียวอมขาว  รสชาติดีหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซิลเวอร์ ไรท์  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  ทนต่ออากาศร้อนดี  น้ำหนัก 400-500 กรัม  เนื้อสีเขียวอ่อน รสหวานปานกลาง กลิ่นหอม
            - ซัน บิวตี้  ชอบอากาศเย็น  สีผิวเขียวอมเหลือง  เนื้อสีขาวอมเหลือง  น้ำหนัก 1-1.2 กก.  รสชาติดีหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซูการ์บอลล์  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  สีผิวครีมอ่อน สีเนื้อเขียวหยก น้ำหนัก 800-900 กรัม รสชาติดีมากหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ฟาร์เมอริส นัมเบอร์ทรู (ทนต่ออากาศร้อนดี  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  สีผิวเหลืองสดใส  เนื้อขาวหนาปานกลาง
            - เจด  นิยมปลูก  ปลูกง่าย  ผลดก  สีผิวเขียวอมเหลือง  น้ำหนัก 500-700 กรัม  เนื้อสีเขียวอ่อนหนาปานกลาง  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
          หมายเหตุ  :
          ในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวปลูกแคนตาลูปมากกว่า 50 สายพันธุ์  ทุกสายพันธุ์ต่างก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

          การขยายพันธุ์
          เพาะเมล็ด (ไม่กลายพันธุ์)

         เตรียมแปลง
       - ยกร่องแห้งลูกฟูก  สันร่องสูง 30-50 ซม.โค้งหลังเต่า  กว้าง 1-1.20 ม.  ร่องระหว่างสันแปลงกว้าง 1 ม.  ลึกจากพื้นระดับ 25-30 ซม.  ก้นสอบ
       - ปลูกในถุงหรือภาชนะปลูก  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 18-24 นิ้ว  สูง 30-50 ซม. เจาะรูด้านล่างและด้านข้างเพื่อระบายน้ำ  จัดวางถุง ณ ตำแหน่งที่ต้องการปลูกให้แน่นอนมั่นคง  หลังจากลงมือปลูกแล้วไม่ควรย้ายตำแหน่งวางถุงอีกเด็ดขาดเพราะอาจจะกระทบกระเทือนรากหรือเถา (ต้น) ได้  การปลูกในช่วงฤดูฝนหรือแปลงปลูกที่น้ำท่วมแนะนำให้ทำยกร้านแล้ววางถุงปลูกบนยกร้านนั้น

           เตรียมดิน
           ปลูกลงแปลง  :
       
1. เริ่มจากไถดินตากแดดจัด 15-20 แดดเพื่อกำจัดเชื้อโรคและวัชพืช ระหว่างตากแดดถ้ามีฝนตกต้องไถดินใหม่และเริ่มตากแดดใหม่
       2. ใส่อินทรีย์วัตถุและสารปรับปรุงบำรุงดิน (ยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่น ปุ๋ยคอก เศษพืชแห้ง)
    
  3.  ไถด้วยโรตารี่คลุกอินทรีย์วัตถุกับเนื้อดินให้เข้ากันดี
      4.  คลุมแปลงด้วยหญ้าแห้งหรือฟางหนาๆ
      5.  บ่มดินโดยรดด้วยน้ำจุลินทรีย์หรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ทุก 15 วัน  ติดต่อกันนาน 1-2 เดือน

          ปลูกในถุง  :
      1. เตรีมวัสดุปลูก (ดินปลูก) เหมือนดินที่เตรียมปลูกแบบปลูกลงแปลง
 
     2. บรรจุวัสดุปลูกหมักได้ที่แล้วลงถุงให้เต็ม อัดแน่นพอประมาณ คลุมปากถุงด้วยหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ
          หมายเหตุ  :
        - เกษตรกรอิสราเอล  ไต้หวัน  ญี่ปุ่น  เกาหลี  กับอีกหลายประเทศที่มีเทคโนโลยีการเกษตรสูงและมีความเข้าใจเรื่องพืชอย่างแท้จริง ปลูกไม้ผลตระกูลเถาอายุสั้นฤดูกาลเดียว เช่น แคนตาลูป แตงโม  แตงกวา ฯลฯ  ในถุง (ภาชนะปลูก) ด้วยดิน (วัสดุปลูก) ที่สามารถควบคุมชนิด/ปริมาณสารอาหาร/น้ำได้ และปลูกในโรงเรือนที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ (อิสราเอลร้อน-แล้ง.......ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี หนาว)
    
       เกษตรกรไทยไม่มีปัญหาร้อน-หนาว-แล้งจึงเหลือเพียงปัญหา “ดินหรือวัสดุปลูกและสารอาหาร” เท่านั้น  การนำแนวทางบางอย่างของเกษตรกรในกลุ่มประเทศดังกล่าวมาประยุกต์ใช้บ้าง จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
 แนวทางเลือกแบบไทย-ไทย ต่อการปลูกไม้ผลตระกูลเถาอายุสั้นฤดูกาลเดียว คือ........
         - เตรียมดินปลูกหรือวัสดุปลูกปริมาณ 1 ตัน ด้วย.......เศษพืช (แกลบเก่าหรือรำหยาบ. ขุยมะพร้าว. ทะลายปาล์ม. เปลือกถั่วลิสง. ต้นถั่วหรือซังข้าวโพด. ฟาง. ฯลฯ) หลายๆ อย่างๆละเท่าๆกัน เพื่อความหลากหลาย บดป่นตากแห้ง 300 กก.  ........ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม 100 กก.  มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา 30 กก.  มูลค้างคาว 5 กก.) แห้งเก่าค้างปีหมักชีวภาพ .......ยิบซั่มธรรมชาติ 50 กก. .......กระดูกป่น 10 กก. ........ ฮิวมิค แอซิด 100 กรัม. .......ดินดำร่วนหน้าดินตากแห้ง 500 กก.
        - เตรียมน้ำสารอาหาร จุลินทรีย์ และฮอร์โมน 100 ล.  ด้วย........น้ำ 100 ล. + จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5 ล. + ฮอร์โมนไข่  2 ล. + เลือดสัตว์สด 1 ล. + นมสัตว์สดหรือกลูโคส 3 ล. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (ซื้อ) 1 ล. + ยูเรีย 10  กก.
        
- ผสมคลุกวัสดุปลูกทุกอย่างให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วยน้ำสารอาหารฯ ให้ได้ความชื้น 50-75 เปอร์เซ็นต์  เสร็จแล้วทำกอง  หมักทิ้งไว้ 3-6 เดือน  ระหว่างหมักช่วงนี้ถ้าอุณหภูมิในกองจะสูงถึงขนาดมีควันลอยขึ้นมา (ถือว่าดี) ให้กลับกองบ่อยๆ  แต่ถ้าอุณหภูมิไม่สูงหรือไม่มีควัน (ถือว่าไม่ดี) ให้เติมยูเรียและจุลินทรีย์แล้วหมักต่อไปตามปกติ
        
- อุณหภูมิในกองเย็นลงหรือหมดควันแล้วให้กลับกองทุก 7-10 วันเพื่อถ่ายเทอากาศ หมักครบกำหนดแล้วได้  “วัสดุหรือดินหมักชีวภาพ”  พร้อมใช้งาน
        - บรรจุวัสดุปลูกหรือดินปลูกที่ผ่านการหมักดีลงถุงหรือภาชนะปลูกแล้วลงมือปลูกพืช(แคนตาลูป  แตงโม  แตงกวา ฯลฯ) ที่ต้องการต่อไป

          ระบบให้น้ำ  :
      1.  ติดตั้งระบบน้ำหยดสำหรับให้น้ำและสารอาหารทางราก
      2.  ติดตั้งระบบสปริงเกอร์พ่นฝอยเหนือต้นสำหรับให้สารอาหารและสารสกัดสมุนไพรทางใบ
         หมายเหตุ  :
       - กรณีปลูกในแปลงแล้วไม่มีระบบน้ำหยด เมื่อต้องการให้น้ำหรือสารอาหารทางรากสามารถทำได้โดยการปล่อยน้ำไปตามร่องระหว่างแปลงปลูก แล้วเพิ่มเติมด้วยน้ำพ่นฝอยจากสปริงเกอร์เหนือต้นฉีดพ่นน้ำลงพื้นเพื่อสร้างความชื้นหน้าดิน
       - กรณีปลูกในถุงไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องอาศัยสปริงเกอร์เท่านั้น  แม้แต่สปริงเกอร์แบบพ่นฝอยเหนือต้นก็ไม่เหมาะสม เพราะน้ำที่ผ่านปากถุงลงไปถึงดินปลูกไม่เพียงพอ ต้องใช้สปริงเกอร์พ่นฝอยเหนือต้น 1 หัว  แล้วติดหัวสปริงเกอร์ที่ปากถุงอีกถุงละ 1 หัวเท่านั้น

         เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
         ตรวจสอบวันหมดอายุและภาชนะบรรจุเมล็ดพันธุ์........นำเมล็ดพันธุ์ลงแช่ในน้ำเกลือเจือจาง คัดเมล็ดลอยทิ้งเพราะเสื่อมสภาพ  เลือกใช้เฉพาะเมล็ดจมน้ำ  นำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง.........นำเมล็ดพันธุ์ที่เลือกได้แล้วลงแช่ใน  น้ำ + ไคตินไคโตซาน + ธาตุรอง/ธาตุเสริม  นาน 12 ชม.  นำขึ้นมาหุ้มผ้าชื้น (ห่ม) เก็บในที่เย็นชื้นอีกรอบนาน 24 ชม. หรือจนกระทั่งเมล็ดเริ่มปริและเริ่มมีรากแทงออกให้เห็นจึงนำไปปลูก

         เตรียมหลักค้าง :
         แคนตาลูปเป็นพืชเลื้อยไม่มีมือเกาะ การปลูกแบบให้เลื้อยขึ้นหลักเถา (ต้น) ละ 1 หลัก  ระยะห่างระหว่างหลักเท่ากับระยะปลูก
         
กรณีปลูกในแปลงยกร่องให้กำหนดจุดที่จะปลูกจริงแล้วปักหลัก ณ จุดนั้น  ส่วนการปลูกในถุงให้ปักลงกลางปากถุงทะลุลงดินลึกพอประมาณเพื่อให้หลักมั่นคง
          ปักหลักแบบตั้งฉากกับพื้นหรือเอียงเล็กน้อยให้พิจารณาตามความเหมาะสมหรือความสะดวกในการเข้าไปทำงานที่สำคัญก็คือหลักนั้นต้องปักแน่นมั่นคง

          ระยะปลูก :
        - ปลูกลงแปลง ปลูกริมแปลงทั้ง 2 ด้านสลับฟันปลา ห่างจากขอบริมแปลง 20-30 ซม.  ระยะห่างระหว่างต้น (หลุม) 50-75 ซม.ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
        -  ปลูกในถุง  วางถุงห่างกัน 50-75 ซม. หรือตำแหน่งที่เหมาะสมตามความต้องการ

           วิธีปลูก :
       1. หยิบเมล็ดจากถุงห่มเบาๆอย่าให้รากที่เริ่มงอกออกมาแล้วนั้นหัก กระทบกระเทือน หรือช้ำมากนัก  เทคนิคอย่างหนึ่ง คือ ระหว่างที่ห่มเมล็ดให้หมั่นเปิดถุงห่มดูเป็นระยะๆ  เมื่อเห็นว่ารากเริ่มปริ่มออกมาแล้วให้นำลงปลูกทันที ไม่ควรปล่อยให้รากออกมายาวเกินไปเพราะรากจะพันกันจนแกะไม่ออกหรือฉีกหักได้
        2. ใช้ปลายไม้เล็กๆขุดหลุมลึก 1-1.5 ซม. วางเมล็ดลงไปแล้วเกลี่ยดินที่เป็นฝอยละเอียดกลบเบาๆ  ไม่ต้องกดเพราะอาจจะทำให้รากขาดหรือหักได้
        3. คลุมหลุมปลูกด้วยหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ  ถ้าเป็นฟางหมักหมักชีวภาพจนเปื่อยยุ่ยจะดีมาก
        4. ถ้ามั่นใจเปอร์เซ็นต์งอกให้หยอดหลุมละ 1 เมล็ด  แต่ถ้าไม่มั่นใจให้หยอดหลุมละ 2 เมล็ด  เมื่อต้นกล้าโตขึ้นได้ใบ 2-3 คู่แล้วให้เลือกคัดออก 1 ต้นด้วยการใช้กรรไกคมๆตัดต้นนั้นทิ้งไปแล้วทาแผลด้วยปูนกินหมาก ไม่แนะนำให้ถอนด้วยเมือเพราะจะกระทบกระเทือนต่อรากของต้นที่คงไว้
          หมายเหตุ  :
        - การปลูกแคนตาลูปทำได้ 3 วิธี คือ  ปลูกในถุง (มีค้าง).   ปลูกในแปลง (มีค้าง).  และปลูกบนพื้น(ไม่ต้องมีค้าง ปล่อยให้เลื้อยไปบนพื้น).
        - ปลูกโดยเพาะเมล็ดในกระบะเพาะกล้าก่อนเมื่อกล้าโตได้ 4-5 ใบจึงย้ายลงปลูกในแปลงจริง หรือปลูกโดยหยอดเมล็ดลงในแปลงปลูก/ถุงปลูกโดยตรง วิธีปลูกให้หยอดเมล็ดในแปลงปลูก/ถุงปลูกโดยตรงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่าวิธีปลูกแบบเพาะเมล็ดแล้วย้ายต้นกล้า 10-15 วัน




หน้าถัดไป (2/2) หน้าถัดไป


Content ©