-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 370 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เทคโนฯ เกษตร








เกษตรอินทรีย์ คืออะไร
เกษตรอินทรีย์คืออะไรเป็นคำสั่งที่ไม่แน่ใจว่าผู้คนจะลึกซึ้งมากน้อยเพียงใดดังที่กล่าวมาแล้วว่าเกษตรอินทรีย์เกิดขึ้นในยุโรปดังนั้น

นิยามของเกษตรอินทรีย์จะแตกต่างกันไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานรับร องมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของแต่ละประเทศ ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างจากผักไร้สารพิษ ผักปลอดภัยจากสารพิษ และผักอนามัยดังนี้

เกษตรอินทรีย์คือระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมรักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายของทางชีวภาพโดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติ

และหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่าง ๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรมที่อาจเกิดมลพิษในสภาพแวดล้อม

เน้นการใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และ ปุ๋ยชีวภาพในการปรับปรุงบำรุงให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ต้นพืชมีความแข็งแรงสามารถ

ต้านทานโรคและแมลงด้วยตนเอง รวมถึงการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโยชน์ด้วย ผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างทำให้ปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอีกด้วย (กรมวิชาการเกษตร)

ผักไร้สารจากสารพิษ คือ
ผักที่มีระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสารเคมีเพื่อป้องกันเพื่อปราบศัตรูพืชหรือปุ๋ยเคมีทุกชนิด แต่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหมด และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวแล้วต้องไม่มีสารพิษใดๆทั้งสิ้น

ผักปลอดภัยจากสารพิษ คือ
ผักที่มีระบบการผลิตที่มีการใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืช รวมทั้งปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ยังมีสารพิษตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ตามประกาศกระทรวงสาธารณะสุข ฉบับที่163 พ.ศ. 2538

ผักอนามัย คือ
ผักที่มีระบบการผลิตที่มีการใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืช รวมทั้งปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ยังมีสารตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และมีความสะอาดผ่านกรรมวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการขนส่ง และการบรรจุหีบห่อ ได้คุณสมบัติมาตรฐาน

ทำไมต้องเกษตรอินทรีย์
การใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุ และกายภาพของดินทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ในดินนั้นสูญหายและไร้สมรรถภาพความไม่สมดุลนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ผืนดินที่ถูกผลาญไปนั้นได้สูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุ ทำให้ผลิตผลมี แร่ธาตุ วิตามิน และพลังชิวิตต่ำ เป็นผลทำให้เกิดการขาดแคลนธาตุอาหารรองของพืช พืชจะอ่อนแอขาดภูมิต้านทานโรค และทำให้การคุกคามของแมลงเชื้อโรคเกิดขึ้นได้ง่าย จึงจะนำไปสู่ใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดวัชพืช ข้อบกพร่องเช่นนี้ก่อให้เกิดวิกฤติในห่วงโซอาหารและระบบการเกษตรของเรา ซึงก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน

จากรายงานการสำรวจขององค์กรการอาหารและการเกษตรแห่งประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2543 พบว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงเป็นอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่ายาเป็นอันดับ 4 ของโลก ใช้ฮอร์โมนเป็นอันดับ 4 ของโลก ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตร เป็นเงินสามหมื่นล้านบาทต่อปี เกษตรต้องมีปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการเพาะปลูก ทำให้เกิดการลงทุนสูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาผลผลิตในรอบยี่สิบปีไม่ได้สูงขึ้นตามสัดส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้นนั้นมีผลให้เกษตรขาดทุน มีหนี้สิน การเกษตรอินทรีย์จะเป็นหนทางของการแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

การเกษตรสมัยใหม่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเกษตรมากดั้งนี้
1. ความอุดมสมบรูณ์ลดลง
2. ต้องใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีจึงจะได้รับผลผลิตเท่าเดิม
3. เกดปัญหาโรคและแมลงระบาดทำให้เกิดความยุ่งยากในการป้องกันและกำจัด
4. แม่น้ำและทะเลสาบปนเปื้อนด้วยสารเคมีและความเสื่อมโทรมของดิน
5. พบสารเคมีปนเปื้อนในผลผลิตเกินปริมาณที่กำหนด ทำให้เกดพิษภัยต่อผู้บริโภค
6. สภาพแวดล้อมถูกทำลายเสียหายจนยากที่จะเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิม

นอกจากนั้นการเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมซึงเป็นการเลี้ยงสัตว์จำนวนมากในพื้นที่จำกัด ทำให้เกิดโรค
ระบาดได้ง่ายจึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมากทำให้ตกค้างในเนื้อสัตว์และไข่ ส่งผลต่อผู้บริโภค โรควัวบ้าที่เกดขึ้นจึงเป็นเหมือนสัญญาณอันตรายที่บอกให้รู้ว่าการลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมไม่เพียงเป็นการทรมานสัตว์ แต่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของมนุษย์ด้วย


ผลเสียจาการใช้สารเคมีทางการเกษตร
ในโลกของเรานี้ มีสารเคมีที่มนุษย์เราผลิตขึ้นประมาณ 600,000 ชนิด ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 60,000 ชนิด ใช้ในชีวิตประจำวัน และมีสารเคมีเกิดขึ้นใหม่ปีละ 1,000 ชนิด สารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรพบว่าเป็นยาป้องกันกำจัดศัตรูพืชมากกว่า 150 ชนิด องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติได้สำรวจพบว่า มีคนป่วยด้วยสารเคมีปีละ 750,000 คน และเสียชีวิตปีละประมาณ 50,000คน เสียชีวิตเนื่องจากน้ำไม่สะอาดปีละ 25,000 คน ผลเสียที่พบว่าเกิดจากการใช้สารเคมี คือทำให้ภูมิต้านทานลดลงอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง จากข้อมูลการเสียชีวิตในประเทศไทย ปี 2540 พบว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยสาเหตูต่างๆ เรียงตามลำดับได้ดั้งนี้

อันดับ 1 อุบัติเหตุ 18 เปอร์เซ็นต์
อันดับ 2 โรคหัวใจ 14 เปอร์เซ็นต์
อันดับ 3 โรคมะเร็ง 9 เปอร์เซ็นต์
อันดับ 4 โรคตับ 3 เปอร์เซ็นต์

แต่ในระยะสองปีที่ผ่านมา (2544-2545) พบว่าคนไทยเสียชีวิตด้วยสาเหตุจากมะเร็งมาเป็นอันดับ 1 สองปีติดต่อกันแล้ว ปีละประมาณ 50,000 ราย โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารที่ผิดๆ และมีสารปนเปื้อน นอกจากสารเคมีหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังมีพิษต่อระบบประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ และอาจทำให้ผู้ชายมีอสุจิอ่อนแอ ทำให้มีบุตรยาก

นอกจากมีผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตแล้วการใช้เคมีนานๆยังทำให้แมลงมีความต้านทานต่อยาปราบศัตรูพืชอีกด้วยโดยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2539 ประเทศอังกฤษได้รายงานว่าพบแมลงมากกว่า 500 ชนิด ต้านทานต่อยาฆ่าแมลงที่ฉีด ทำให้ต้องใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มากขึ้น

ผลเสียอีกประการที่ตามมาคือทำให้พันธุ์พืชดั่งเดิมสูญหายโดยในประเทศสหรัฐอเมริการายงานว่าจากเดิมมีพันธ์พืชดั่งเดิม อยู่ประมาณ 80,000 ชนิด ปัจจุบันพบเหลืออยู่เพียง 150 ชนิด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำเกษตรแบบสมัยใหม่ ในประเทศเยอรมัน ตลอดระยะ 20 ปี ที่ผ่านมาไม่พบสาหร่ายน้ำในแม่น้ำเกิดขึ้นเลย ในประเทศแคนนาดาในพื้นที่ 6 ไร่ 1 งาน จะพบว่ามีต้นไม้ขึ้นอยู่เพียง 1-5 ชนิด เท่านั้น

ประเทศออสเตรเลีย ปีพ.ศ. 2537 พบโลหะหนักปนเปื้อนในผักและผลไม้ที่ปลูกในนครซีดนีย์สูงกว่าปริมาณที่ยอมรับได้ 11เท่า

นอกเหนือจากนั้น ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือสารเคมีบางอยางตกค้างอยู่ในระบบนิเวศนาน บางชนิดอยู่นานถึง 3 ปี



ทำไมถึงห้ามใช้พันธุ์พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรม
เพราะไม่แน่ใจว่าพันธ์พืช หรือสัตว์ที่เกิดจากการดัดแปลงจากพันธุกรรมจะปลอดภัยหรือไม่ อย่างเช่นกว่าจะรู้ว่าบุหรี่มีอันตรายต่อมนุษย์ คือ สาเหตุของโรคมะเร็ง ต้องใช้เวลาในการศึกษาถึงร้อยปี จึงทราบว่าบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

ทำไม่จึงห้ามใช้ปุ๋ยเคมี
หลายคนเชื่อว่าปุ๋ยเคมีไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแต่ปุ๋ยเคมีโดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรทตกค้างในพืชผักหรือปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดิน ถ้าเราบริโภคไนเตรทเข้าไป สารดังกล่าวจะแปรรูปเป็นไนเตรท โดยไนเตรท และไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งใสในกระเพาะอาหาร ตับ ไต และกระเพาะปัสสาวะ ดั้งนั้นในประเทศที่พัฒนาแล้วจึงได้มีการกำหนดปริมาณสารไนเตรทตกค้างในผักและน้ำดื่มไว้ด้วย

ทำไมผู้คนจึงสนใจอาหารอินทรีย์
ยุโรปพบสารปนเปื้อนในน้ำดื่ม เกิดโรควัวบ้าระบาด พบสารไดออกซิน พันธุพืช GMOs นอกเหนือจากการเกิดโรคมะเร็งกับมนุษย์เป็นจำนวนมาก

ในประเทศออสเตรเลียมีการศึกษามานานกว่า 12 ปี พบว่าอาหารอินทรีย์มีวิตามินซี ธาตุเหล็กและธาตุอื่นๆ มากกว่าอาหารที่ผลิตจากการเกษตรเคมีโดยทั่วไปนอกจากนั้นยังพบว่าผักอินทรีย์มีรสชาติที่หวานกรอบกว่าผักสารเคมี

ในประเทศอเมริกามีการประชุมษมาคมนักเคมีประมาณ 400 คน เข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2545 มีผลน้ำเสนอผลงานส้มอินทรีย์ ว่า ถึงรูปร่างจะไม่สวยแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินซีจะมีมากกว่าส้มที่ผลิตโดยใช้สารเคมีถึง 30 เปอร์เซ็นต์



กล่าวโดยกล่าวสรุป อาหารอินทรีย์ให้ปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีกว่า ให้อาหารปลอดสารพิษสำหรับชีวิตที่ดีกว่าให้ต้นทนการผลิตต่ำเพื่อเศรษฐกิจที่ดีกว่าให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตที่ดีกว่า ให้พื้นดินที่อุดมสมบรูณ์กว่า และสุดท้ายคือให้สิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า ผลิตผลเกษตรอินทรีย์จะมีรูปร่างที่สมส่วน ตามธรรมชาติ สีสวยเป็นปกติ มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ มีโครงสร้างของเนื้อนุ่น กรอบ แน่น มีรสชาติดี ไม่มีสารตกค้าง เก็บรักษาได้นาน และให้สารอาหารและพลังงานชีวิตที่ดีที่สุด


ภาวะการทำเกษตรอินทรีย์ในต่างประเทศ
ประเทศออสเตรเลีย และสวิสเซอร์แลนด์มีการทำการเกษตรอินทรีย์ 10 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐอเมริกามีคนทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ทุกปี และทามากว่า 28 ปีแล้ว ประเทศสวีเดนระหว่างปี 2513-2523 ได้เกิดgreen waveโดยคนในเมืองอพยพเข้าไปทำเกษตรอินทรีย์ในชนบทและได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำเกษตรให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2523 และ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2548

ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก
ปัจจุบันมีการทาไวท์อินทรีย์ที่ผลิตจากองุ่นอินทรีย์ ช็อคโกเล็ต ที่ทำจากโกโก้อินทรีย์ นมอิทรีย์ ไก่อินทรีย์ ฝ้ายอินทรีย์ กาแฟอินทรีย์ ชาอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ ถั่วเหลืองอินทรีย์ หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ ข้าวโพดอ่อนอินทรีย์ กล้วยหอมอินทรีย์ สัปปะรดอินทรีย์ ส้มอินทรีย์ และแอปเปิ้ลอินทรีย์ เป็นต้น



ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์
สำหรับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยกรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ บริษัทในเครือนครหลวงและบริษัทในเครือสยามวิวัฒน์ ผลิตข้าวอินทรีย์ในท้องที่จังหวัดพะเยาและเชียงราย เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 1,200-1,500 ตัน ส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศภายในการควบคุมขององค์กรตรวจสอบคุณภาพประเทศอิตาลี ซึงเป็นสมาชิกษมาพันธ์การเกษตรอินทรีย์ระหว่างประเทศ (IFOAM) มีการผลิตกล้วยหอมอินทรีย์ส่งไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับ สหกรณ์ผู้บริโภคโตโต้ประเทศญี่ปุ่น มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 259 รายในพื้นที่ 1,500ไร่ ผลผลิตในสมาชิกในโครงการประมาณ 2,000-2,500 ตัน/ปี นอกจากนั้น ในหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่น จังหวัดสุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เป็นต้น ก็ได้มีการผลิตข้าวอินทรีย์ส่งไปขายยังสหภาพยุโรปภายใต้เครื่อข่ายใต้เครื่อข่ายของมูลนิธิสายใยแผ่นดิน จังหวัดอุบลราชธานี ส่งออกในนามเกษตรก้าวหน้า เป็นต้น

ปี พ.ศ. 2542-2546 กรมการส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ร่มกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการนำร่องการเกษตรเพื่อการส่งออกโดยร่วมกับผู้ส่งออกจำนวน 6 บริษัท ตั้งเป้าหมายผลิตอินทรีย์ 6 ชนิด เพื่อการส่งออกคือ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดฟักอ่อน กล้วยไข่ สัปปะรด ขิงและกระเจี๊ยบเขียว เพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

สำหรับสถานการณ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ในต่างประเทศนั้น ในปี พ.ศ.2544 ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของโลกมีมูลค่าประมาณ 716,800 ล้านบาท โดยตลอดส่วนใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา 320,000 ล้านบาท สหภาพยุโรป 296,800 ล้านบาท ญี่ปุ่น 100,000 ล้านบาท โดยมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 25 ต่อปี ประเทศที่มีการซื้อขายเกษตรอินทรีย์มากที่สุด 10 อันดับแรก คือสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมัน อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยทั่วไปจะสูงกว่าสินค้าปกติร้อยละ 25-50 อย่างไรก็ตามปริมาณสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั่วโลกในปัจจุบันมีร้อยละ 1 ของปริมาณสินค้าทั้งหมด และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นร้อยละ 10 ดั้งนั้นโอกาสและลู่ทางในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปขายในตลาดโลกของประเทศไทยยังมีอยู่มาก



สินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออก
พืชที่มีศักยภาพในการส่งออกได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพดฟักอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว ขิง สมุนไพร และเครื่องเทศ ชา กล้วยไข่ กล้วยหอม ลำไย และสัปปะรด เป็นต้น

ประมง สินค้าประมงอินทรีย์ที่มีศักยภาพในการส่งออกได้แก่ กุ้งกุลาดำ ปลาสลิด

ปศุสัตว์ สินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ที่มีศักยภาพในการส่งออกได้แก่ ไก่ สุกร ไข่ไก่

อื่นๆ ได้แก่ น้ำผึ้ง



แหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์
สำหรับแหล่งผลิตสินค้าพืชอินทรีย์นั้น ประกอบด้วยแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์อยู่ที่จังหวัดพะเยา เชียงราย สุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ผักอินทรีย์อยู่ที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สระแก้ว สุพรรณบุรี เชียงใหม่ ลำพูน



หลักพื้นฐานของการทำเกษตรอินทรีย์
1. ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช และฮอร์โมน

2. เน้นการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุเช่นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้พืชแข็งแรงมีความต้านทานต่อโรคแมลง

3. รักษาความสมดุลของธาตุอาหารภายในฟาร์ม โดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

4. ป้องกันมิให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีจากภายนอกฟาร์ม ทั้งจากดิน น้ำ และอากาศ โดยจัดสร้างแนวกันชน ด้วยการขุดคู หรือปลูกพืชยืนต้น และพืชล้มลุก

5. ใช้พันธุ์พืชหรือสัตว์ที่มีความต้านทาน และมีหลากหลาย ห้ามใช้พันธุ์พืชหรือสัตว์ ที่ได้จากการตัดต่อสารพันธุกรรม

6. การกำจัดวัชพืชใช้เตรียมดินที่ดี และแรงงานคนหรือเครื่องมือกลแทนการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช

7. การป้องกันกำจัดวัชพืชใช้สมุนไพรกำจัดศัตรูพืชแทนการใช้ยาเคมีกำจัดศัตรูพืช

8. ใช้ฮอร์โมนที่ได้จากธรรมชาติ เช่น จากน้ำสกัดชีวภาพแทนการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์

9. รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการักษาไว้ซึ่งพันธุ์พืช หรือสัตว์ สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่น ตลอดจนปลูกหรือเพาะเลี้ยงขึ้นมาใหม่

10. การปฏิบัติหลักการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปให้ใช้วิธีธรรมชาติ และประหยัดพลังงาน

11. ให้ความเคารพสิทธิมนุษย์และสัตว์

12. ต้องเก็บบันทึกข้อมูลไว้อย่างน้อย 3 ปี เพื่อรอการตรวจสอบ



เป็นเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างไร
การเกษตรปัจจุบันสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้โดยเริ่มต้นศึกษาความรู้จากมาตรฐาน

เกษตรอินทรีย์ที่ถูกกำหนดขึ้น
เพื่อการปฏิบัติ โดยศึกษาความรู้จากธรรมชาติ เมื่อเริ่มปฏิบัติตามนี้แล้วก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์

์ในระยะปรับเปลี่ยน เมื่อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ไม่นานก็จะเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ ทั้งนี้ ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับ

ประเภทเกษตรอินทรีย์ที่จะผลิต ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แล้ว ข้อสำคัญนั้นอยู่ที่การทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ให้ท่องแท้ มีความตั้งใจจริง มีความขยันหมั่นเพียรไม่ท้อถอยต่อปัญหา หรืออุปสรรคใด ๆ มีความสุขในการปฏิบัติก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ และประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริง เมื่อเป็นเกษตรอินทรีย์แล้ว
สามารถขอเอกสารรับรองมาตรฐานจากภาครัฐ หรือเอกชน จึงจะนับว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ที่สมบูรณ์
เป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน



ปัญหาในการทำเกษตรอินทรีย์
1.ผลผลิตจะไม่ออกทั้งปี แต่ออกตามฤดูกาล เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นการทำการเกษตรที่พึ่งพาอาศัยธรรมชาติมากกว่าการฝืนธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ต้องการใช้สารเคมีมากขึ้นตามไปด้วย

2.ราคาผลผลิตจะสูงกว่า เพราะแม้จะใช้ปัจจัยในการผลิตลดลงแต่ต้องใช้แรงงานในการดูแลและเอาใจใส่มากขึ้น


สนใจปลูกพืชแบบอินทรีย์จะทำอย่างไร
การเลือกพื้นที่
1.ควรเลือกพื้นที่เหมาะสม โดยอยู่ห่างโรงงาน หางแปลงปลูกที่ใช้สารเคมี มีแหล่งน้ำสะอาด ไม่มีสารพิษเจือปน

2.ศึกษาประวัติพื้นที่ เช่น เคยปลูกพืชอะไร การใช้ปุ๋ยและสารเคมี ย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี

3.เลือกปลูกพืชให้เหมาะกับดิน โดยให้พิจารณาว่าดินมีทั้งดินร่วน ดินเหนียว หน้าตื้น หน้าดินลึก ดินเป็นกรด ดินเป็นด่าง ดินเค็ม เป็นต้น จึงควรพิจารณาเลือกปลูกพืชที่ขึ้นอยู่เดิม

4.สังเกตจากพืชที่ขึ้นอยู่เดิม เก็บตัวอย่างดิน น้ำ ไปทำการวิเคราะห์



การวางแผนจัดการ
1.วางแผนป้องกันสารพิษจากภายนอก ทั้งทางน้ำและทางอากาศ การป้องกันทางน้ำโดนขุดคูรอบแปลง การป้องกันทางอากาศโดยปลูกพืชกันชน ทั้งไม้ทรงสูง ทั้งไม้ทรงสูง ทรงสูงปานกลางต้นเตี้ย บนคันกั้นน้ำรอบแปลง

2.วางแผนป้องกันภายในจัดระบบการระบายน้ำ การเก็บรักษาเครื่องมือ อุปกรณ์ และการเข้าออกไร่นา

3.วางแผนระบบการปลูกพืช เลือกฤดูปลูกที่เหมาะสมใช้พันธุ์พืชที่ต้านทานโรค-แมลง พืชบำรุงดิน พืชไล่แมลง



การเลือกพันธุ์ปลูก
1.คำนึงถึงสภาพดิน สภาพภูมิอากาศ ความต้านทานต่อ โรค-แมลง และวัชพืช ความหลากหลายของชนิดพืชในแปลง

2.ไม่ใช้พืชจีเอ็มโอ (พืชที่มาจาการตัดต่อสารพันธุกรรม)

3.ควรเป็นเมล็ดพันธุ์พืชที่มาจาการปลูกแบบอินทรีย์



การปรับปรุงบำรุงดิน
1.เลือกพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินสูง (ห้ามตัดไม้ทำลายป่า)

2.ถ้าดินเป็นกรดจัดใส่หินปูนบดลดความเป็นกรด

3.ปลูกพืชตระกูลถั่วและไถกลบ ได้แก่ โสน ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ เป็นต้น (โสรนควรปลูกในนา ถั่วต่าง ๆ ควรปลูกในไร่)

4.ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษซากพืช เพื่อช่วยปรับโครงสร้างดิน และให้ธาตุอาหารพืช

5.ดินขาดฟอสฟอรัสให้ใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต

6.ดินขาดโพแทสเซียม ให้ใช้ปุ๋ยมูลค้างคาว เกลือโพแทสเซียมธรรมชาติ และขี้เถ้าถ่าน



สารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ปรับปรุงดิน
1. กากตะกอนโสโครก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผัก)
2. สารเร่งการเจริญเติบโต
3. จุลินทรีย์ และผลิตผลจากจุลินทรีย์ที่ได้มากจากการตัดต่อสารพันธุกรรม
4. สารพิษตามธรรมชาติ เช่น โลหะหนักต่าง
5. ปุ๋ยเทศบาล หรือปุ๋ยหมักจากขยะในเมือง



สารที่อนุญาตให้ใช้ปรับปรุงดิน
1.ปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผลิตจากวัสดุในไร่นา เช่น
- ปุ๋ยหมัก จากเศษซากพืช ฟางข้าว ขี้เลื่อย เปลือกไม้ เศษไม้ และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่น ๆ เป็นต้น
-ปุ๋ยคอก จากสัตว์ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช้อาหารจากจีเอ็มโอ(สารตัดต่อพันธุกรรม) ไม่ใช้สารเร่งการเจริญเติบโตและไม่มีการทรมานสัตว์
-ปุ๋ยพืชสด เศษซากพืชและวัสดุเหลือใช้ในไร่นารูปสารอินทรีย์

2.ดินพรุ ที่ไม่เติมสารสังเคราะห์
3.ปุ๋ยชีวภาพ หรือจุลินทรีย์ที่พบทั่วไปตามธรรมชาติ
4.ขุยอินทรีย์ สิ่งที่ขับถ่ายจากไส้เดือนดินและแมลง
5.ดินอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
6.ดินชั้นบน (หน้าดิน) ที่ปลอดจากการใช้สารเคมีมาแล้วอย่างน้อย 1ปี
7.ผลิตภัณฑ์จากสาหร่าย และสาหร่ายทะเล ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
8.ปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้จากพืชและสัตว์
9.อุจจาระและปัสสาวะ ที่ได้รับการหมักแล้ว(ใช้ได้กับพืชที่ไม่เป็นอาหารของมนุษย์)
10.ของเหลงจากระบบน้ำโสโครก จากโรงงานทีผ่านกระบวนการหมักโดยไม่เติมสารสังเคราะห์ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

11.ของเหลือกใช้จากกระบวนการในโรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม เช่นโรงงานน้ำตาล โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานน้ำปลา โดยกระบวนการเหล่านั้นต้องไม่เติมสารสังเคราะห์ และต้องได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

12.สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหรือสัตว์ ซึ่งได้จากธรรมชาติ



สารอนินทรีย์
หินและแร่ธาตุ ได้แก่
- หินบด
- หินฟอสเฟต
- หินปูนบด(ไม่เผาไฟ)
- ยิบซั่ม
- แคลเซียม
- ซิลิเกต
- แมกนีเซียมซัลเฟต
- แร่ดินเหนียว
- แร่เฟลด์สปาร์
- แร่เพอร์ไลท์
- ซีโอไลท์
- เบนโทไนท์
- หินโพแทส
- แคลเซียมจากสาหร่ายทะเล และ สาหร่ายทะเล
- เปลือกหอย
- เถ้าถ่าน
- เปลือกไข่บด
- กระดูกป่น และ เลือดแห้ง
- เกลือกสินเธาว์
- โบแร็กซ์
- กำมะถัน
- ธาตุอาหารเสริม (โบรอน ทองแดง เหล็ก แมงกานีส โมลิบดินัม และสังกะสี)


แผนการจัดการศัตรูพืชก่อนปลูก
1.กรณีใช้เมล็ดพันธุ์ปลูก

- ควรใช้เมล็ดพันธุ์ต้านทานต่อโรค-แมลง และวัชพืชใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากศัตรูพืช(โรค-แมลง และวัชพืช)

- แช่เมล็ดในน้ำอุ่น อุณหภูมิประมาณ 50-55 องศาเซลเซียส นาน 10-30 นาที (แล้วแต่ชนิดเมล็ดพันธุ์)เพื่อกำจัดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย บางชนิดที่ติดกับมากับเมล็ด

- คลุกเมล็ดด้วยจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ เช่น เชื้อไตรโคเดอร์ม่า เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส สัปทิลิสฃ

2.การเตรียมแปลงเพาะกล้า อบดินแปลงเพาะกล้า อบดินแปลงเพาะด้วยไอน้ำหรือคลุกดินด้วย
เชื้อราปฏิปักษ์เพื่อควบคุมเชื้อราในระยะกล้า

3.การเตรียมแปลงปลูก ไถตากดิน 1-2 สัปดาหฺ์ให้เมล็ดวัชพืชงอกแล้วไถกลบใช้พลาสติกที่ไม่ย่อยสลายคลุมแปลงกำจัดวัชพืชในดินที่ต้องการแสงแดด ใช้ปูนโดโลไมท์ หรือปูนขาวจากธรรมชาติ ปรับความเป็น

กรด - ด่างของดิน เพื่อให้เชื้อโรคไม่เติบโต ขังน้ำให้ท่วมแปลง เพื่อควบคุมโรค-แมลงที่อยู่ในดิน ตากดินให้แห้งเพื่อกำจัดแมลงในดิน ใส่เชื้อราปฏิปักษ์ เช่น เชื้อไตรโดเดอร์ม่า ลงในดินป้องกันการระบาดของเชื้อราบางชนิด



ระยะพืชเจริญเติบโต
การควบคุมโรคพืช โรยเชื้อราปฏิปักษ์รอบโคนต้น เก็บเผาทำลายชิ้นส่วนของพืชที่เป็นโรค ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัาส สัปทิลิส ทาแผลหรือพ่นที่ต้นพืช


สารอนุญาตให้ใช้ควบคุมโรคพืช
สารที่อนุญาตให้ใช้ควบคุมโรคพืช ได้แก่ กำมะถัน บอร์โดมิกซเจอคร์ พืชที่สมุนไพรและสารสกัดจากสมุนไพร คอปเปอร์ซับเฟต คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ คอปเปอร์ออกซี คลอไรด์


การควบคุมแมลง
สำรวจแมลงศัตรูพืชในแปลงปลูก หากพบแมลงศัตรูพืชให้ปฏิบัติได้ดังนี้
1.ถ้าแมลงมีจำนวนน้อย ให้ใช้วิธีการควบคุมทางชีวภาพจากพืช หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น ดาวเรือง ว่านน้ำ พริก สาบเสือ หางไหลแดง สะเดา เป็นต้นใช้จุลินทรีย์ปฏิปักษ์ เช่น เชื้อไวรัสเอ็นพีวี เชื้อแบคทีเรียบีที ไส้เดือนฝอย ศัตรูธรรมชาติ เชื้อราเมตาไลเซี่ยม ใช้ตัวห้ำ ตัวเบียน น้ำสบู่ สารทำหมันแมลง

2.หากแมลงระบาด ใช้กับดักกาวเหนียว กับดักแสงไฟ เพื่อลดปริมาณแมลง ใช้ไว้ท์ออยล์ หรอมิเนอรัล ออยลฺ์



การควบคุมวัชพืช
1. ควรควบคุมก่อนวัชพืชออกดอก

2. ควบคุมโดยวิธีทางกายภาพ เช่น อบ ตาก บด ถอน ตัด ปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดิน ใช้พลาสติกทึบแสงที่ไม่ย่อยสลายคลุมแปลง

3. ใช้สารสกัดจากพืช

4. ใช้ชีววิธี เช่น แมลง สัตว์ หรือจุลินทรีย์



การเก็บรักษาและการขนส่งผลิตผล
1.ผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ต้องแยกออกจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เกษตรอินทรีย์อย่างชัดเจน และต้องทำตลอดทุกกระบวนการ

2.ต้องป้องกันไม่ให้สัมผัสและปนเปื้อนวัสดุสังเคราะห์ต้องห้ามในมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

3.การเก็บรักษาและขนส่ง ต้องรักษาความสะอดอย่างเคร่งครัด



การแปรรูป
วัตถุดิบต้องมาจากกระบวนการผลิตโดยเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองแล้ว กระบวนการผลิตต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์นั่น ๆ ในการบรรจุหีบห่อ ควรใช้วัสดุที่มีความปลอดภัยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและถูกต้องตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อินทรีย์ของประเทศเป้าหมายที่จะส่งออก



รายชื่อวัสดุที่อนุญาตให้ใช้ในการแปรรูปสารเสริมแต่งอาหารและวัสดุเสริมแต่ง ตามข้อกำหนดของมาตรฐานระหว่างประเทศ
- กรดกำมะถัน
- กรดแเอสคอร์บิค
- โซเดียมแอสคอร์เบท และ โพแทสเซียมแอสคอร์เบท
- กรดทาร์ทาริก และ เกลือของกรดนี้
- กรดแลคติก
- กรดมาลิก
- กรดซิตริก และเกลือของกรดนี้
- กรดอะซิตริก
- กรดแทนนิก
- ขี้ผึ้ง
- ไขคาร์นอบา
- คาร์บอนไดออกไซด์
- เคซีอีน
- เครื่องเทศ
- แคลเซียมคลอดไรด์
- แคลเซียมไฮดรอกไซด์
- แคลเซียมคาร์บอเนต
- แคลเซียมซัลเฟต
- โซเดียมคลอไรด์
- เกลือทะเล
- ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
- เจลาติน
- โวเดียมคาร์บอเนต
- โซเดียมไฮดรอกไซด์
- ดินเบา
- ดินเบนโทไนท์
- ถ่านพัมมันต์
- ไนโตรเจน
- น้ำผึ้ง
- เปลือกเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
- แป้งจากข้าว ข้าวโพด มันสัมปะหลัง มันฝรั่ง เป็นต้น
- โพแทสเซียมคอลไรด์
- โพแทสเซียมคาร์บอเนต
- ผงฟูที่ปลอดจากอลูมินัม
- เพคติน
- แมกนีเซียมคลอไรด์
- แมกนีเซียมคาร์บอเนต
- ยางไม้
- วุ้นจากสาหร่ายทะเล
- สารเตรียมจากจุลินทรีย์ และ เอนไซม์ ซึ่งช่วยในการแปรรูป
- สารให้สีธรรมชาติ
- สารให้รสจากธรรมชาติ
- สมุนไพร
- สารทำขันคาร์แรจีแนน
- ส่าหมักจุลินทรีย์
- แอมโมเนียมคาร์บอเนต
- อาร์กอน
- ออกซิเจน
- โอโซน
- ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์


สารที่อนุญาตให้ใช้ในการทำความสะอาด
- กรดฟอสฟอริก
- คอสติกโพแทช
- จาเวลวอเตอร์
- โซเดียมไบคาร์บอเนต
- น้ำส้มหมักจากพืช
- ผลไม้
- น้ำด่าง
- ปูนขาว
- ผงซักฟอกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
- สารละลายทับทิม
- สารฟอกขาวถึง 10 %
- ไอโอดีน
- ไฮโดนเจนเปอร์ออกไซด์


ระบบมาตรฐานและการตรวจสอบรับรอง
เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบการผลิตที่เกษตรกรจะต้องยึดถือปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่กำหนด และมีการตรวจสอบรับรองจากองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบรับรองสินค้าชนิดนั้นจึงได้รับอนุญาตให้ติดตราเพื่อแสดงว่าเป็นสินค้าเกษตรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 2 ฉบับ คือ มาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์โดยมีองค์กรที่ทำหน้าที่

ตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 องค์กร คือ
- สถาบันพืชอินทรีย์ กรมวิชาการเกษตร
- สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นองค์กรของภาคเอกชน


การขอใบรับรองพืชอินทรีย์
1.กรมวิชาการเกษตร เป็นออกใบรับรองผลิตผลเกษตรอินทรีย์ในนามหน่วยงานของรัฐบาล ผู้ประสงค์จะได้ใบรับรองต้องปฏิบัติดังนี้
- ยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองได้ที่สถาบันพืชอินทรีย์ กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กทม. 10900โทร.02-579-7520
- กรอกข้อความตามแบบที่กำหนด
- กรมวิชาการเกษตร จะส่งเจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจสอบกระบวนการผลิต พร้อมเก็บตัวอย่างดิน น้ำและผลิตผลมาวิเคราะห์
- หากได้มาตรฐานตามที่วางไง้จะออกใบรับรองให้
- ขณะนี้ยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)

2.สำนักงานมาตรฐานการเกษตรอินทรีย์ เป็นผู้ออกใบรับรองผลิตผลเกษตรอินทรีย์ในนามของภาคเอกชน ผู้ประสงค์จะได้ใบรับรองให้ติดต่อไปที่ สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เลขที่ 801/8 ซอยงามวงศ์วาน อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.02-5800934



ระบบมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองของต่างประเทศ
ปัจจุบันมีองค์กรตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ของต่างประเทศที่มาดำเนินการตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยดังนี้ คือ
1. บริษัท OMIC ติดต่อคุณเคน โทร. 02-2884120-3
2. บริษัท P&S AGRO CONTROL ติดต่อคุณเดชา โทร.02-3611910
3. บริษัท BSC ติดต่อคุณยอร์ค โรเสนเครันส โทร.01-884-1073,053-220863


By : http://www.moac-info.net
   (Read 4598 | Answer 1)  (05/02/2550 16:50:18)IP. : 58.147.105.xx


http://www.organicthailand.com/webboard-en-1278-360645-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-08-25 (662 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©