-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 219 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

แก้วมังกร




หน้า: 4/5



ผลงานวิจัยแก้วมังกร

ผลงานวิจัยแก้วมังกร 



ด้านการใช้ปุ๋ยอินทรีย

ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาการผลิตในสาขาเกษตรกรรมได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่สูงขึ้น ปุ๋ยจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเพิ่มผลผลิต และจากภาวะในปัจจุบัน ปุ๋ยเคมีมีราคาที่สูงขึ้นทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จึงมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์กันมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมาตรฐานการส่งออกสินค้าเกษตร (GAP) จึงทำให้ความต้องการปุ๋ยอินทรีย์มีแนวโน้มเติบโตได้ดีตามการเติบโตของสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาพฤติกรรมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการผลิตแก้วมังกร ซึ่งเป็นผลไม้ที่นิยมบริโภคและเพาะปลูกมากในปัจจุบัน

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปทางสังคม เศรษฐกิจ พฤติกรรมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของเกษตรกรที่ปลูกแก้วมังกรในจังหวัดนครปฐม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจสังคมกับพฤติกรรมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรที่ปลูกแก้วมังกร และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจำนวน 40 ตัวอย่าง ซึ่งสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้


ผลการศึกษาพบว่าเกษตรกรที่ปลูกแก้วมังกรเป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 51-60 ปี มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา นับถือศาสนาพุทธ ประกอบอาชีพหลักเกษตรกรรม มีสมาชิกในครอบครัว 4-5 คน มีแรงงานในภาคการเกษตรครัวเรือนละ 2 คน และมีพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรทั้งหมดเฉลี่ย 30.20 ไร่โดยส่วนใหญ่มีพื้นที่ปลูกแก้วมังกรมากกว่า 6ไร่ เกษตรกรสามารถผลิตแก้วมังกรเฉลี่ย 3537.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาแก้วมังกรที่ขายได้ในปี 2552 อยู่ระหว่าง 11-15 บาทต่อกิโลกรัม มีรายได้จากการขายแก้วมังกรเฉลี่ย 347,780 บาท และมีรายจ่ายในการปลูกแก้วมังกรเฉลี่ย 155,100 บาท คิดเป็นต้นทุนในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เฉลี่ย 20,350 บาทโดยเกษตรกรส่วนมากมีประสบการณ์มากกว่า 5 ปี ด้านพฤติกรรมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์อยู่ในระดับดี แหล่งความรู้เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์เกษตรกรได้รับจากหน่วยงานภาคเอกชน รองลงมาคือเพื่อนบ้าน แรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ คือ ใช้แล้วทำให้คุณภาพของดินดีขึ้น และเป็นการลดต้นทุนในการผลิต แหล่งที่มาของปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่เกษตรกรจะซื้อจากแหล่งผลิตอื่นและผลิตใช้เอง ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ที่นินมใช้ คือ ใช้ปุ๋ยคอกเพียงอย่างเดียวเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือใช้ปุ๋ยหมัก รองลงมาคือใช้ปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยคอก ซึ่งการปลูกแก้วมังกรเกษตรกรส่วนใหญ่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิตและเร่งการเจริญเติบโต โดยช่วงเวลาที่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์มากที่สุด คือ ช่วงของการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก รองลงมาคือ ช่วงเจริญเติบโตก่อนออกดอก


2.1 การใช้ปุ๋ยคอก

ปุ๋ยที่นิยมใช้มากที่สุดคือมูลโครองลงมาคือมูลไก่ อัตราการใส่ปุ๋ยคอกต่อไร่ ใส่ 1 ตันต่อไร่ วีธีการใส่จะใส่เฉพาะหลุม ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยคอกเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมใส่ขณะเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ใส่ขณะปลูก และใส่หลังปลูก จำนวนครั้งที่ใส่ต่อหนึ่งฤดูการผลิตเกษตรกรจะใส่มากกว่า 4 ครั้ง ซึ่งเหตุผลที่เกษตรกรเลือกใช้ปุ๋ยคอกเพราะเห็นว่าปุ๋ยคอกราคาถูก รองลงมาคือหาได้ง่ายในท้องถิ่น ผลกระทบทางบวกของการใส่ปุ๋ยคอกคือ ทำให้คุณภาพดินดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ผลกระทบทางลบของการใช้ปุ๋ยคอกคือ สิ้นเปลืองแรงงาน รองลงมาเกิดการแพร่กระจายของวัชพืช

2.2 การใส่ปุ๋ยหมัก

วัสดุที่นิยมมาทำปุ๋ยหมักคือวัสดุที่เหลือจากไร่นา รองลงมาเป็นวัสดุที่เหลือจากโรงงานอุตสาหกรรม อัตราการใส่ปุ๋ยหมักจะใส่น้อยกว่า 1 ตันต่อไร่ โดยใส่รอบโคนต้น ช่วงเวลาที่ใส่จะใส่ขณะปลูกมากที่สุด ใส่1-2 ครั้ง ต่อหนึ่งฤดูการผลิต เหตุผลที่เกษตรกรเลือกใช้ปุ๋ยหมักคือ ราคาถูกรองลงมาคือหาได้ง่ายในท้องถิ่นและสามารถลดต้นทุนได้ ผลกระทบทางบวกในการใส่ปุ๋ยหมักเกษตรกรเห็นว่าใช้แล้วคุณภาพดินดีขึ้นรองลงมาทำให้ผลผลิตแก้วมังกรเพิ่มขึ้น ผลกระทบทางลบคือ สิ้นเปลืองแรงงานและทำให้เกิดโรคและแมลง
                                                                                                                                            
2.3 การใส่ปุ๋ยพืชสด
 
เกษตรกรจะใช้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยชนิดอื่นซึ่งพืชที่เกษตรกรนิยมใช้ คือพืชตระกูลถั่ว โดยจะปลูกคลุมโคนต้นแก้วมังกรแล้วสับกลบ ช่วงเวลาที่ไถกลบคือปลูกหลังจากปลูกแก้วมังกรแล้วสับกลบ จำนวนครั้งที่ใส่ต่อหนึ่งฤดูการผลิตจะใส่เพียงครั้งเดียว สาเหตุที่เกษตรเลือกใช้ปุ๋ยพืชสดเพราะหาได้ง่ายในท้องถิ่นผลกระทบทางบวกคือคุณภาพดินดีขึ้นและผลผลิตเพิ่มขึ้น ผลกระทบทางลบคือสิ้นเปลืองแรงงานและทำให้เกิดโรคและแมลง
                                                                                           

      
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อปุ๋ยอินทรีย์ แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคาปัจจัยด้านการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านราคามีอิทธิพลอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนปัจจัยด้านการจัดจำหน่ายมีอิทธิพลอยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมีอิทธิพลอยู่ในระดับปานกลาง

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านผลิตภัณฑ์โดยพิจารณาในแต่ละรายการพบว่ารายการที่มีอิทธิพลมากสุดคือตรายี่ห้อสินค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายและคุณภาพของปุ๋ยอยู่ในระดับดี  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านราคา พบว่ารายการที่มีอิทธิพลมากสุดคือราคาสินค้าสามารถต่อรองได้และระยะเวลาในการให้สินเชื่อ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านการจัดจำหน่ายพบว่ารายการที่มีอิทธิพลมากสุดคือ สถานที่จัดจำหน่ายสินค้าอยู่ใกล้บ้านของเกษตรกรสามารถสั่งซื้อทางโทรศัพท์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านการส่งเสริมการตลาดพบว่ารายการที่มีอิทธิพลมากคือการจัดโปรโมชั่น(ลด แลก แจก แถม) และการโฆษณาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นการโฆษณาทางวิทยุท้องถิ่นจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ อายุ พื้นที่ปลูกแก้วมังกร ราคาขายแก้วมังกร ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์

ประสบการณ์ในการใช้ปุ๋ยกับพฤติกรรมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์(ปริมาณและความถี่) พบว่าพื้นที่ปลูกแก้วมังกร ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์มีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่เพศ อายุ  ราคาขายแก้วมังกรและประสบการณ์ในการใช้ปุ๋ยไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การทดสอบความสัมพันธ์ในด้านความถี่พบว่าราคาขายแก้วมังกรมีความสัมพันธ์กับความถี่ในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่เพศ อายุ พื้นที่ปลูกแก้วมังกร ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ ประสบการณ์ในการใช้ปุ๋ยไม่มีความสัมพันธ์กับความถี่ในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์



www.thaidragonfruit.com/ผลงานวิจัยแก้วมังกร.html



การปลูกแก้วมังกรในจังหวัดสมุทรสาคร

แก้วมังกร
" ชื่อนี้ ต่างประเทศจะใช้นามเรียกขาน "ดราก้อนฟรุต" เป็นพืชในตระกูลกระบองเพชร มีถิ่น
กำเนิดในทวีปอเมริกากลาง และมีปลูกแพร่หลายในเวียดนาม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Hylocercus undatus (Haw) Brit. & Rose. จังหวัดสมุทรสาครมีการปลูกแก้วมังกรกันมากอำเภอที่ปลูกกันมาก คืออำเภอบ้านแพ้วมีพื้นที่ปลูก 1,240 ไร่ อำเภอกระทุ่มแบนพื้นที่ปลูก 367 ไร่อำเภอเมืองสมุทรสาครพื้นที่ปลูก 11 ไร่ ตามลำดับ แก้วมังกรเป็นไม้เลื้อย มีอายุยาวนานหลายปี ลำต้นมีลักษณะเป็น 3 แฉกมีสีเขียว อวบน้ำ ซึ่งแท้จริงแล้วส่วนนั้นคือใบที่เปลี่ยนรูปไป ส่วนลำต้นที่แท้จริงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของแฉกทั้ง 3 บริเวณตาข้างจะมีหนาม 1-5 หนาม ดอกจะเกิดบริเวณปลายกิ่งในช่วงเดือนเมษายน เมื่อบานมีลักษณะคล้ายปากแตร จะบานในช่วงหัวค่ำจนถึงเช้า เมื่อติดผลแล้ว ผลอาจมีสีชมพูหรือเหลือง เนื้อผลภายในมีทั้งสีขาวและแดงขึ้นอยู่กับพันธุ์ และมีเมล็ดสีดำอยู่ในเนื้อผล ลูกแก้วมังกร หรือดราก้อนฟรุต เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลแคคตัสหรือสกุลหนึ่งของกระบองเพชร


สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพพื้นที่จึงเป็นที่นิยมปลูกกันมากอย่างแพร่หลาย ผลจะมีลักษณะเป็นสันเหลี่ยมทู่ ๆ เรียงรายอยู่
ทั่วไปบนผิวเปลือก เปลือกหนาสีออกชมพูอมส้ม ภายในผลเมื่อผ่าออกจะมีเนื้อสีขาวขุ่นภายในเนื้อก็จะมีเมล็ดเล็ก ๆ ซึ่งใหญ่กว่าเมล็ดงานิดเดียวฝังตัวอยู่เต็มไปหมด เมื่อรับประทานจะมีรสชาติหวานเย็น กรุบกรับไม่ระคายคอลูกแก้วมังกร มีสารกลุ่ม FOS ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสารPrebiotic ที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ได้ ช่วยแก้ปัญหาการขับถ่ายต่างๆ ได้ดี และเนื่องจากตัวมันเองไม่ค่อยถูกดูดซึม ดังนั้นกินปริมาณมากก็ไม่ทำให้อ้วน แต่คงไม่สามารถใช้เป็นอาหารหลักในการลดน้ำหนักได้ สำหรับชื่อสามัญของแก้วมังกรถ้ายึดตามInternational Journalจะใช้ว่าPitaya ส่วนDragonfruit เป็นชื่อสามัญที่นิยมเรียกกันใน ฝั่งเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ-ใต้ ไต้หวัน) ที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดอีกอย่างก็คือบางประเทศในยุโรปเรียกแก้วมังกรว่า Pitahaya


แก้วมังกรในส่วนที่กินได้
100กรัม พลังงาน 59 kcal น้ำ 85.38 % โปรตีน 1.27 grams ไขมัน 0.68 " คาร์โบไฮเดรต
11.87 " เถ้า 0.80 " วิตามิน E 0.35 milligrams B1 0.06 "B2 0.03 " Niacin 0.18 " แก้วมังกร มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วย วิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่นทานแล้วนอกจากดับร้อนผ่อนกระหายยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ให้ปริมาณเนื้อเยอะ สามารถทานแล้วอิ่มท้อง อิ่มทน เรียกว่าสามารถกินแทนอาหารหนึ่งมื้อได้เลย อีกทั้งยังสามารถทานในปริมาณมากๆ ได้โดยไม่ทำให้อ้วน มีกากใยสูง แคลอรีต่ำ มีน้ำตาลน้อย นอกจากนี้เมล็ดของแก้วมังกรซึ่งเป็นสารคลอโรฟิลล์ อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทานแล้วช่วยบำรุงสุขภาพ ทำให้ผิวพรรณสดชื่น ดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่ง ส่วนประกอบที่เป็นไฟเบอร์ซึ่งมีปริมาณสูงมากในแก้วมังกรช่วยบำรุงการทำงานของระบบขับถ่ายและในสายเส้นใย ส่วนเนื้อจะมีสารที่เรียกว่า Complex Polysaccharides เป็นตัวที่ช่วยลดการดูดซึมของไขมันประเภทไตรกลีเซอร์ไรด์ ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือดนอกจากนี้แก้วมังกรยังเป็นผลไม้ที่มีแร่ธาตุมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน แคลเซียม ช่วยบำรุงสุขภาพผิว และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคท้องผูก สร้างเสริมระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย


แก้วมังกร เป็นพืชวันยาวต้องการแสงในการเจริญเติบโตมากพอสมควร ระบบรากมีความลึกประมาณ
30 เซ็นติเมตร รากจะแผ่ขยายขนานไปกับผิวดิน พื้นที่ปลูกจะต้องไม่มีน้ำท่วมขังและปลอดจากมดคันไฟ ก่อนเตรียมหลุมปลูก ควรทำหลักสำหรับยึดเกาะให้เรียบร้อย โดยใช้ท่อคอนกรีตขนาด 8 นิ้ว ยาวง 2 เมตร ฝังลึกลงไปในดิน 40-50 เซ็นติเมตร เทปูนยึดให้แน่นและให้ขังน้ำได้ นำไม้มาทำเป็นตระแกรงยึดไว้ที่หัวเสา ขนาด 50 x 50 เซนติเมตร ติดตั้งระบบน้ำให้พร้อมระยะ 1-2 ปี แรกสามารถใช้น้ำที่ล้นมาจากในเสาหลักยึดเกาะได้แต่หลังจากนั้นต้นเริ่มโตมากควรให้น้ำด้วยสปริงเกอร์จึงจะพอ

เตรียมหลุม

ปลูกขนาด 30 x 30 x 30 เซ็นติเมตรทั้งสี่ทิศโดยขุดห่างจากเสายึดเกาะอย่างน้อย 15 เซนติเมตร นำปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักลงผสม เช่นการปลูกต้นไม้ทั่วๆไป นำต้นพันธุ์แก้วมังกรลงปลูกทั้งสี่ทิศมัดยึดติดกับหลักให้แน่นคลุมด้วยวัสดุคลุมดิน และควรมีวัสดุ พลางแสงช่วยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นก็ต้องหมั่นรดน้ำอยู่เสมออย่าให้ขาด แก้วมังกรชอบน้ำพอสมควรแต่ไม่ชอบแฉะ การให้ปุ๋ยเคมีเสริมทุกๆเดือนจะมีการให้ปุ๋ย 13-13-21 และ 16-16-16 ให้สลับกันในแต่ละเดือน ในอัตราครั้งละ 5 ช้อนแกง/หลัก ก่อนออกดอกเดือนมกราคม - มีนาคม จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ย 12-24-12 ครั้งละ 4 ช้อแกง/หลัก เมื่อออกดอกติดผลเปลี่ยนมาใช้ 13-13-21 สลับกับ 9-24-24 ครั้งละ 5 ช้อนแกง ในแต่ละปีควรเพิ่มปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักลงไปด้วยอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ปริมาณการ

ใช้ปุ๋ยจะขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของต้นเป็นสำคัญ หลังปลูกต้องหมั่นคอยดูแลมดคันไฟ ต้องเอาใจใส่คอยมัดและตัดแต่งกิ่งให้แตกแขนง ลำต้นต้องจัดให้เลื้อยขึ้นหลักทั้ง 4 ต้น ในปีแรกต้องตัดให้ได้แขนงอย่างน้อย 32 กิ่ง/1 หลัก ปีต่อๆไปก็ต้องตัดแต่งกิ่งให้เกิดแขนงเพิ่ม 2-3 เท่าของปีแรก จนหลักหนึ่งๆ ควรมีแขนงสัก 150 กิ่ง ในรอบ 1 ปี อายุการให้ผลผลิตหากต้นสมบูรณ์ดีหลังจากปลูก 1 ปีก็สามารถให้ผลผลิตได้เลย ช่วงระยะเวลาให้ผลผลิตจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม - เดือนกันยายน หลังมองเห็นดอกขนาดเมล็ดถั่วเขียวอีก 15 วันต่อมาดอกจะบานและนับต่อออกไปอีก 30 วันจะถึงระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิต รวมระยะเวลาการเก็บผลผลิตประมาณ 45-50 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย หากอยู่ในช่วงที่อากาศไม่แจ่มใส มีฝนตกมาก ท้องฟ้าครึ้มฝน อุณหภูมิต่ำลง อายุการเก็บผลผลิตจะยืดออกไปอีกเช่นกัน

สิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ใน แก้วมังกร ผลไม้รูปร่างกลมรีขนาดใหญ่ เปลือกสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวมีเม็ดคล้ายเม็ดแมงลักฝังตัวอยู่ทั่วผล เนื้อสดหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ เมื่อทานแล้วช่วยทำให้สดชื่นผ่อนคลายได้ดีทีเดียว แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ สีขาวกับสีแดง สีแดงจะมีรสหวานกว่า ส่วนรสหวานของแก้วมังกรสีขาวเป็นหวานอ่อนๆ ที่ไม่มีพิษภัย จะมีก็แต่คนคิดรสหวานที่อาจติว่าจืดชืดไปหน่อย ถ้าใครไม่ชอบก็ขอบอกว่า คุณได้พลาดผลไม้ที่มีประโยชน์สุด ๆ ต่อสุขภาพและความงามไปอย่างน่าเสียดาย ความโดดเด่นที่ทำให้สาว ๆ หลายคนชอบกินผลไม้ชนิดนี้ก็เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ สามารถกินกันได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องไขมันและความหวานที่กลายไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง แถมยัง กินอิ่มท้องจนทดแทนอาหารเย็น เป็นผลไม้ที่ใช้ช่วยลดน้ำหนักได้สบาย ๆ ทีเดียว คุณค่าอาหารที่ซุกซ่อนอยู่ในแก้วมังกรก็มีทั้งแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 แต่ที่เยอะมากสุดก็คือ วิตามินซี จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องของสายตาได้ด้วย วิธีทาน ก็ง่าย ๆ แค่ผ่าครึ่งลอกเปลือก หรือใช้ช้อนตักเข้าปากเลยก็ได้ หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แก้วมังกรก็สามารถแทรกรสชาติไปกับทุกอย่างได้กลมกลืน


การปลูก

การเตรียมที่

ต้นแก้วมังกรชอบดินที่มีพีเอชประมาณ 6.0 และระบายน้ำดี ดังนั้นจึงอาจจะต้องยกแปลงทำร่องระบายน้ำ ฯลฯ ระยะปลูก 3x3 ม.


การเลือกพันธุ์ปลูก

การปลูก "ต้นแก้วมังกร" ในเชิงธุรกิจจำเป็นต้องคัดเลือกปลูกเฉพาะต้นพันธุ์ที่ดีซึ่งได้มาจากต้นที่แข็งแรงให้ ผลดี ทั้งปริมาณและคุณภาพเท่านั้นเป็นพันธุ์ที่ตลาดรู้จักแพร่หลาย และพันธุ์มาจากสวนที่เชื่อถือได้


การทำค้าง

ค้างประกอบด้วยหลักและร้าน หลักอาจตั้งให้สูง 1.50-2.00 ม. หลักที่ใช้อาจจะเป็นไม้หรือปูนแล้วแต่ชอบ ทั้งนี้ ต้องฝังหลักในดินสัก 40-50 ซม. ให้แข็งแรง หลักด้านบนทำร้านเพื่อให้ต้นแก้วมังกรเลื้อยแตกกิ่ง ขนาดของร้านซึ่งทำด้วยไม้ที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ 50x50 ถึง 100x100 ซม.ทั้งนี้ต้องให้ร้านยึดแน่นกับหลัก เช่น ใช้ลวดช่วยมัด


การดูแลรักษา

การกำจัดวัชพืช อาจทำได้หลายวิธี เช่น ถอน ถาก คลุมผิวดินให้หนาและใช้สารเคมีที่ปลอดภัย เช่น อัพดาวน์ (ไกลโฟเสท) การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้ดินชื้นอย่าแฉะ ทั้งนี้ต้องสังเกตให้ดีเพราะดินแต่ละชนิดและฤดูกาลเป็นตัวแปรในการกำหนดระยะเวลาการให้น้ำ เช่น อาจต้องให้น้ำทุก 5,7 หรือ 10 วัน เป็นต้น


การให้ปุ๋ย
ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ควรใส่ให้มากหน่อย แต่ต้องเป็นปุ๋ยเก่า โดยใส่หลักละประมาณ 1บุ้งกี๋ หลังปลูกทุกๆ 2
เดือน นอกจากนี้ในปีแรกอาจให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15 เสมอ หลักละ 1-2 ช้อนแกงต่อหลัก ทุก ๆ 2 เดือนเช่นกัน และอาจจะให้ปุ๋ยทางน้ำเสริมอีกทางหนึ่งก็ได้ โดยเมื่อต้นแก้วมังกรมีอายุมากขึ้นและให้ผลได้แล้ว ปริมาณปุ๋ยก็ต้องให้เพิ่มขึ้น และเปลี่ยนสูตรไปบ้าง เช่น ให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 และ 8-24-24 เพิ่มจากสูตร 15 เสมอ ปริมาณปุ๋ยที่จะให้เพิ่มขึ้นคาดว่าต้องให้เพิ่มขึ้น ปีละ 30-50% ของปีเก่าในช่วง 5 ปีแรก


การคลุมดิน
ควรคลุมดินบริเวณใต้พุ่มให้ชื้น และป้องกันวัชพืชด้วยฟางแกลบ และหญ้าแห้ง เป็นต้น แต่ต้องระวังศัตรู
ต้นแก้วมังกรมาอาศัย ศัตรูพืช นอกเหนือจากวัชพืชแล้ว โดยทั่วไปต้นแก้วมังกรมีศัตรูน้อย ยกเว้นมดโดยเฉพาะมดคันไฟซึ่งทำลายยอดอ่อน แมลงแทะกินผิวผลแก้วมังกรขณะเป็นผลอ่อน ทำให้ผิวผลเป็นตำหนิ แผลเป็นสีน้ำตาล และอาจกระทบถึงคุณภาพของเนื้อผล นกและหนูเข้าทำลายผลเมื่อผลแก่ ส่วนโรคที่พบ ได้แก่ โรคกิ่งเน่า และโรคโคนเน่า


การขยายพันธุ์

การปักชำเป็นวิธีที่นิยม ทั้งนี้ต้องเลือกกิ่งที่สมบูรณ์และยาวอย่างน้อย 8 นิ้ว วัสดุชำต้องสะอาดปลอดจาก เชื้อที่ทำให้กิ่งชำเน่า ระบายน้ำดีและโปร่ง ไม่รดน้ำจนแฉะ ต้นพันธุ์ที่ชำได้ 4-5 เดือน รากและยอดจะแก่แข็งแรงสามารถนำไปปลูกในแปลงได้


การเก็บเกี่ยว

ดอกตูมสีเขียวจะโผล่ให้เห็นตามส่วนท่อนปลาย กิ่งที่แก่มีขนาดปลายนิ้วก้อยในราวเดือน เมษายน ดอกตูมจะบานอีกประมาณ 15 วันต่อมา เมื่อติดเป็นผลอ่อนสีเขียวก็จะมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับกล่องใส่ฟิล์ม ผลอ่อนนี้จะเจริญเป็นผลแก่ พร้อมเก็บเกี่ยวในราว 4-5 สัปดาห์ต่อมา เมื่อผลใกล้แก่จะปรากฎสีแดงแทรกขึ้นมาตามผิวเปลือกสีแดงจะปรากฎมากขึ้น ๆจนสีเขียวหมดไป ยกเว้นสีเขียวที่กลีบเลี้ยง (ผลแก้วมังกรบางผลอาจจะมีสีเขียวเหลืออยู่ทั้งๆ ที่ผลแก่เต็มที่แล้ว) ปกติถ้าเก็บเกี่ยวผลแก่เต็มที่รสเปรี้ยวในเนื้อก็จะมีน้อย บางครั้งอาจนิยมเก็บเกี่ยวเมื่อผลแก่ได้ 80-90%


การเก็บรักษา

ผลแก้วมังกรที่เก็บเกี่ยวมาต้องรีบนำเข้าร่ม ทำความสะอาดตามสมควรแล้วคัดเลือกเฉพาะผลดี ผลที่ได้ขนาดเท่ากันนำไปบรรจุใส่ภาชนะให้เรียบร้อยเพื่อนำส่งตลาด อนึ่งผลแก้วมังกรสามารถวางขายในตลาดได้หลายๆ วัน สามารถอยู่ที่ 7-8 ํC ได้ไม่น้อยกว่า 15 วันในถุงพลาสติก แต่ต้องระวังความชื้นกับหยดน้ำสะสมซึ่งทำให้ผลเน่าได้

ชาญศักดิ์ ขจรบุญ

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ข่าวเกษตร

รายงาน


www.doae.go.th/prompt/2550/070828_02/01.pdf -




หน้าก่อน หน้าก่อน (3/5) - หน้าถัดไป (5/5) หน้าถัดไป


Content ©