การปลูกไม้ผลยืนต้น
การทำการเกษตรในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ยังขาดการจัดทำที่เป็นระบบแบบแผน ขาดการบันทึกและค้นคว้าความรู้เพิ่มเติม รวมถึงขาดการประเมินถึงต้นทุน และสภาวะการณ์ของราคาในวงกว้าง ซึ่งรายละเอียดที่กล่าวมานั้นล้วนจำเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดต้นทุนค่าใช้จ่ายและยังช่วยทำนายได้ถึงแนวโน้มการลงทุนได้อีกด้วย ดังคำกล่าว “เราเขา รู้เรา รบร้อยชนะร้อย” แต่เราไม่ต้องเอาถึงร้อยแค่เก้าสิบโอกาสสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว โดยขอให้จำแนกรายละเอียดเป็นขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 วางแผนจัดหาและตรวจสอบที่ดิน การเลือกทำเลและแหล่งที่จะลงทุนเพาะปลูกนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ดังคำกล่าวที่ว่า “ชัยภูมิดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ก่อนที่เราจะซื้อหรือเช่า พื้นที่นั้น ควรเลือกพืชที่จะปลูกไว้ในใจก่อนว่าเราจะเลือกพืชประเภทไหนไว้สัก 3 หรือ 4 ชนิด จากนั้นสิ่งที่ต้องเข้าไปสำรวจเบื้องต้นในพื้นที่ คือ
1. เจ้าของเดิมมีการขุดหน้าดินเดิมไปขายหรือไม่ พื้นที่ที่ดีควรมีหน้าดินลึกเพียงพอกับระบบรากของพืชที่เราจะปลูก
2. เป็นพื้นที่ ๆ ปลูกพืชที่บางประเภทที่ทำให้หน้าดินเสื่อมสภาพหรือเป็นแหล่งเพาะโรคไม่ หรือมีเคยโรคพืชระบาดรุนแรงในพื้นที่นั้นหรือไม่ เช่นพืชจำพวก ยูคาลิปตัส,มันสำปะหลัง ฯลฯ จะทำให้ต้นทุนการปรับปรุงดินของเราสูงขึ้น , ฯลฯ
3. มีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะใช้หรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ก็ต้องการระบบชลประทานที่ดี มีน้ำตลอดปี เช่น คลองชลประทานขนาดกลาง-ใหญ่ ไม่ใช่แค่ทางน้ำเล็ก ๆ สำหรับทำนา
4. สภาพอากาศเหมาะที่จะปลูกพืชหรือพันธุ์พืชประเภทนั้น ๆ หรือไม่ เช่น ส้มโอปลูกในเขตหนาว(ทางเหนือ) รสชาติจะติดขม, ยางพาราปลูกในพื้นที่ความชื้นต่ำ จะให้น้ำยางน้อยกว่าในพื้นที่ความชื้นสูง ฯลฯ
5. ระยะทางการขนส่งจากพื้นที่ปลูก ถึงตลาดขายสินค้า มีระยะทางไกลเกินไปหรือไม่ หากไกลมาก ควรปลูกพืชราคาหรือไม่ หรือพืชที่ทนต่อการขนส่งดีกว่า
6. ตลาดของพืชชนิดที่เราจะปลูกนั้น เป็นตลาดจำเพาะหรือเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อมากและกว้าง เช่น พืชบางชนิดมีราคาดีแต่ความต้องการของตลาดน้อย หรือผู้ซื้อปลายทางน้อย หากเราไม่มั่นใจในตลาดเลยก็ไม่ควรเสี่ยงปลูก
7. ความยากง่ายของการดูแลพืชชนิดนั้น ๆ ที่จะปลูก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของเกษตรกรเอง และสภาพอากาศซึ่งมีความสัมพันธ์กับโรคและแมลงในพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนสารกำจัดศัตรูพืชสูงมาก
ในขั้นตอนที่ 1 นี้ สามารถสังเกตได้จากการเข้าดูพื้นที่ , ถามผู้รู้ หรือพาผู้มีประสบการณ์ไปด้วย , หรือถามชาวบ้านพื้นที่ข้างเคียงได้ โดยเฉพาะหากเรามีผู้ที่มีประสบการณ์เข้าไปด้วยกันแล้ว จะดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อหากไม่พิจารณาและวิเคราะห์ให้ดีก่อนตัดสินใจ อาจทำให้ต้นทุนของเราเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
ขั้นตอนที่ 2 เลือกพืชที่จะปลูก วิเคราะห์พื้นที่และลงมือทำ เมื่อเราสังเกตพื้นที่ด้วยตาและการสอบถามแล้ว ก็ถึงขั้นตอนต่อไปที่จะต้องทำ คือ
1. เจาะดิน หรือเก็บตัวอย่างดินไปวิเคราะห์หาธาตุอาหาร เพื่อเป็นแนวในการจัดการใส่ปุ๋ยและปรับปรุงดิน ในส่วนที่เราไม่สามารถรู้ได้ หากในข้อนี้สามารถทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกก็เป็นเรื่องดี แต่ส่วนใหญ่คงต้องวิเคราะห์จากตาก่อน เมื่อตกลงเช่าซื้อแล้วเราจึงสามารถทำได้ ซึ่งขั้นตอนนี้(ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน)อาจทำในช่วงที่เราเตรียมพื้นที่เสร็จ อยู่ในขั้นตากดิน หรือเตรียมหลุมปลูก
2. เลือกพืชที่จะปลูก จากในขั้นตอนที่ 1 ที่เราได้คิดไว้ในใจแล้วนั้น เราก็มาจัดเรียงลำดับความเป็นไปได้ และลำดับการปลูก(สำหรับพืชอายุสั้นและยาว) เช่น สมมติว่าเราต้องการปลูกไม้ผลยืนต้น เช่น ส้ม ในช่วงแรกที่ยังไม่ให้ผลผลิต เราก็หาพืชอายุสั้นมาแซมที่ดูแลง่าย เพื่อนำรายได้จากผลผลิตมาเลี้ยงพืชหลักในอนาคต ซึ่งหากเป็นเกษตรมือใหม่ อาจต้องหาผู้รู้ช่วยแนะนำ ว่าควรปลูกพืชประเภทไหนเพื่อให้ไม่ส่งผลกระทบกับพืชหลัก
3. เลือกระบบน้ำที่จะใช้ให้เหมาะกับพื้นที่และพืชที่จะปลูก และดำเนินการติดตั้งรวมถึงการลงกล้าหรือต้นพันธุ์ ระบบน้ำที่ใช้นั้นควรเลือกให้เหมาะสม เช่น ในพื้นที่ดินทรายมีแหล่งน้ำจำกัด อาจใช้ระบบไร่การให้น้ำแบบสปริงเกอร์ หรือแบบหยด(ดูตามความเหมาะสมของพืชที่ปลูกด้วย) หรือในพื้นที่ดินเหนียวร่วน ที่ต่ำ มีน้ำเพียงพอ อาจใช้เป็นระบบยกร่องการให้น้ำโดยใช้เรือรดน้ำ
4. ร่างแผนงานทำตารางและบันทึกการใช้ปุ๋ยทางดินและทางใบ, ฮอร์โมน, สารเคมีกำจัดแมลง เพื่อง่ายในการควบคุมต้นทุนการผลิตและปรับเปลี่ยนการใช้ในแต่ละช่วง ในส่วนนี้จะสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบต้นทุน และผลลัพธ์ที่ได้หลังการใช้ เพื่อเพิ่มหรือลดปริมาณการใช้แต่ละชนิด ยี่ห้อ หรือราคา ให้เหมาะสมกับต้นทุนได้ ในข้อนี้ หากยังไม่ชำนาญ ควรหาผู้มีประสบการณ์เพื่อช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการเลือกใช้ปุ๋ยหรือยา ที่มีคุณภาพดีเหมาะสมกับราคาต้นทุน
5. ทำแผนงานการใช้แรงงาน บันทึกค่าใช้จ่าย ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น เครื่องจักร, น้ำมัน, สำนักงาน ฯลฯ เพื่อเป็นแนวทางในการควบคุม ปรับเพิ่มหรือลด รวมถึงการคาดการณ์หรือดำเนินการในอนาคตได้
ขั้นตอนที่ 3 พัฒนาคุณภาพ จัดหาตลาดรับซื้อ เมื่อพืชเริ่มมีผลผลิต ในช่วงแรกอาจมีปัญหาบ้างในเรื่องผลผลิตที่คุณภาพยังไม่ดีพอหรือไม่นิ่งพอ(มีดีมีไม่ดีปนกัน) ซึ่งเกษตรกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงเพื่อให้เป็นที่ต้องการและเพื่อให้ผลผลิตได้ราคา ซึ่งขั้นตอนนี้หากได้รับคำแนะนำจากผู้รู้หรือพี่เลี้ยงที่ดีในช่วงเริ่มอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็จะไม่ค่อยพบปัญหามากนัก
1. การดูแลต้นพืชที่ปลูก ในส่วนนี้ที่สำคัญ คือ เจ้าของแปลง ต้องดูแลเอาใจใส่ หมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตทั้งในทางที่ดีหรือไม่ดี ปัญหาเรื่องโรคแมลง และรีบปรับปรุงแก้ไข โดยหากไม่ทราบวิธีแก้ไขควรปรึกษาพี่เลี้ยงหรือผู้รู้ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจมีผลต่อเนื่องไปถึง ความสามารถในการให้ผลผลิต คุณภาพผลผลิต รวมถึงอายุการให้ผลผลิต ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นผลเสียต่อการลงทุนทั้งสิ้น
2. เมื่อเริ่มให้ผลผลิต ในช่วงแรกของการให้ผลผลิตนั้น ไม่ควรให้มีมากจนเกินไป เนื่องจากอายุต้นยังน้อย หากให้ผลผลิตเร็ว หรือมากเกินไปในช่วงแรก จะทำให้ต้นโทรมและตายเร็ว ดังนั้น ควรปล่อยให้มีอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการควบคุมปริมาณการให้ผล ในปีหรือสองปีแรกที่ต้นเริ่มให้ผลผลิต
3. ตรวจสอบคุณภาพผลผลิตในชุดแรก ในข้อนี้จะสัมพันธ์กับตารางการให้ปุ๋ยที่เราบันทึกไว้ ผลผลิตจะได้คุณภาพดี หากเราให้อาหารหรือการจัดการที่เหมาะสมกับพืชในแต่ละช่วง ซึ่งวิธีการให้หรือจัดการเราควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง และปรับเปลี่ยนนำส่วนที่ดีหรือเหมาะกับสภาพพื้นที่ของเรามาปฏิบัติ อาจต้องมีการลงทุนเพิ่มหรือลดในส่วนของวัสดุบ้าง แต่เมื่อเราพิจารณาแล้วว่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของเรานั้นคุ้มค่า ก็สมควรที่จะทำเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต
4. พยายามเสาะหาตลาด เมื่อเรามั่นใจในคุณภาพผลผลิตแล้ว ให้พยายามเสาะหาตลาดและหาวิธีเพิ่มมูลค่าของผลผลิตเรา เช่น ทำแบรนด์ หรือตราสินค้า การนำเสนอผลผลิตกับตลาดส่งออก หรือระดับบน(ห้างสรรพสินค้า,ไฮเปอร์มาร์ท) เพื่อยกฐานราคาของผลผลิตและเพิ่มพูนกำไร
บทสรุป
หากเกษตรกรได้อ่านและจับสังเกตมาจนถึงตอนนี้ จะเห็นได้ว่าส่วนที่เน้นในเรื่องการเกษตรนั้น คือ การมีพวกพ้องหรือเพื่อนร่วมอาชีพหรือที่ปรึกษาที่ดี เพราะอย่าลืมว่าเราอาจถนัดปลูกพืชบางชนิดแต่บางชนิดเราไม่ถนัด หรือปัญหาบางอย่างเราแก้ได้ แต่เราก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ทันท่วงที บางครั้งอาจเกิดความเสียหายจนเกินแก้แล้วกว่าจะหาวิธีแก้ได้ ดังนั้นการมีเพื่อนช่วยเหลือ หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคนิคดี ๆ ต่อกันนั้นจะช่วยให้สังคมเกษตรที่เราอยู่พัฒนาได้มาก โดยไม่ต้องสูญเสียต้นทุนที่ไม่ควรจะเสีย และยังร่วมกันเป็นกำลังต่อรองกับพ่อค้าหรือผู้รับซื้อได้ อีกทั้งการทำเกษตรนั้นโดยเฉพาะไม้ผลยืนต้นถือเป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงมือทำ ควรมีข้อมูลที่แน่ชัด หรือให้มีความมั่นใจได้ซัก 70-80 % ก่อนจึงตัดสินใจลงทุน อย่าใช้อารมณ์หรือความชอบส่วนตัว หรือตามกระแสเกินไป ไม่เช่นนั้นเราเองก็อาจน้ำตาตกได้ ขอให้เกษตรกรยึดหลักง่าย ๆ คือ ช่างสังเกต เปิดใจกว้าง หาข้อมูล ถามผู้รู้ กล้าปฏิบัติและเอาใจใส่ ก็จะประสบกับผลกำไร(สูง) ได้ไม่ยาก
ไม้ผลยืนต้น มีหลายลักษณะดังนี้
1.ไม้ผลที่ให้ผลผลิตได้ทั้งปีโดยไม่จำกัดฤดูกาล หมายความว่า ไม้ผลชนิดนั้นสามารถที่จะออกดอกได้ตลอดทั้งปี โดยไม่จำกัดว่าเป็นฤดูกาลใด ตัวอย่างไม้ผลที่คุ้นเคยกันดี ได้แก่ กล้วย มะละกอ และมะพร้าว ดังนั้น เราจึงสามารถหาซื้อผลไม้เหล่านี้มารับประทานได้ตลอดทั้งปี โดยมีราคาที่ใกล้เคียงกันตลอดทั้งปีเช่นเดียวกัน
2.ไม้ผลที่ให้ผลผลิตได้ในบางช่วงของปี หมายความว่า ไม้ผลชนิดนั้นสามารถออกดอกและติดผลได้มากกว่า ๑ ครั้งในรอบปี แต่ไม่ได้ให้ผลผลิตต่อเนื่องกันดังเช่นไม้ผลที่สามารถให้ผลผลิตได้ทั้งปี ตัวอย่างไม้ผลประเภทนี้ ได้แก่ องุ่น ส้ม ไม้ผลเหล่านี้มีการออกดอกและติดผลได้เป็นช่วงๆในรอบปี แต่เนื่องจากไม้ผลเหล่านี้ สามารถบังคับให้ออกดอกได้ง่าย จึงทำให้มีผลิตผลออกจำหน่ายได้ตลอดปีเช่นเดียวกัน โดยราคาของผลไม้จะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างปริมาณของผลไม้นั้นกับความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ
3.ไม้ผลที่ให้ผลผลิตได้ปีละครั้งในฤดูกาลที่จำเพาะ หมายความว่า ไม้ผลเหล่านี้สามารถออกดอกได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น โดยมีการออกดอกและติดผลในช่วงเดือนใดเดือนหนึ่งเป็นประจำในรอบปี ไม้ผลส่วนมากจัดอยู่ในประเภทนี้ เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ และมะม่วงส่วนใหญ่ เป็นต้น ราคาของผลไม้เหล่านี้มักต่ำมากเมื่อถึงช่วง ฤดูกาลปกติ เนื่องจากมีผลไม้เหล่านี้ออก สู่ตลาดพร้อมๆกัน ในขณะที่ผู้บริโภคยังมีจำนวนเท่าเดิม ดังนั้น หากใครสามารถทำให้ไม้ผลเหล่านี้ออกดอกได้ในช่วงเวลาที่แตกต่างไปจากปกติได้ก็จะสามารถจำหน่ายผลไม้ชนิดเดียวกันนั้นในราคาที่สูงขึ้นได้
อายุพืช
ไม้ผลยืนต้นหลายชนิดที่ขยายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ดมักใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเริ่มออกดอกครั้งแรกได้ เช่น มะม่วงอาจใช้เวลาถึง ๖ ปี มังคุดอาจใช้เวลาถึง ๑๐ ปี ส่วนมะพร้าวน้ำหอมอาจเริ่มออกดอกครั้งแรก ได้เมื่ออายุ ๓ ปี อย่างไรก็ตาม ไม้ผลเหล่านี้ บางชนิดสามารถขยายพันธุ์โดยใช้ชิ้นส่วนอื่น ที่ไม่ใช่เมล็ด เช่น มะม่วงอาจขยายพันธุ์โดยการติดตาหรือทาบกิ่ง การขยายพันธุ์โดยไม่ใช้เมล็ดนี้ทำให้อายุเริ่มการออกดอกครั้งแรกลดลง เช่น ในกรณีของมะม่วง อาจใช้เวลาเพียงแค่ ๒ - ๓ ปี เท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มออกดอก ครั้งแรก ซึ่งเร็วกว่ามะม่วงที่เกิดจากการเพาะเมล็ดที่ต้องใช้เวลานานถึง ๖ ปี เมื่อไม้ผลยืนต้นเหล่านี้เริ่มออก ดอกครั้งแรกได้แล้ว ก็จะสามารถออกดอกเป็นปกติได้ ในปีต่อๆไปในช่วงเวลาเดิมของทุกปี
สายพันธุ์
ไม้ผลแต่ละชนิดมักมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น มะม่วงในประเทศไทยมีสายพันธุ์ต่างๆมากกว่า ๒๐๐ สายพันธุ์ แต่ที่เรารู้จักกันดีมีไม่กี่สายพันธุ์ เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ เขียวเสวย แก้ว แรด มะม่วงสายพันธุ์เหล่านี้มีความสามารถในการออกดอกได้ยากง่ายแตกต่างกันไป เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ออกดอกได้ง่ายกว่ามะม่วงเขียวเสวย โดยทั่วไปไม้ผลหลายชนิดมีการออกดอกได้ในบางช่วงฤดูกาลที่จำเพาะในรอบปี แต่มีบางชนิดที่มีสายพันธุ์ซึ่งสามารถที่จะออกดอกได้ โดยไม่จำกัดฤดูกาล เช่น มะม่วงบาง สายพันธุ์มีความสามารถออกดอกได้ ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องอาศัยเทคนิค พิเศษใดๆเข้าช่วย ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้ทะวาย มะม่วงพิมเสนมันทะวาย โชคอนันต์ เป็นต้น คำว่า “ทะวาย” เป็นคำที่ต่อท้ายชื่อไม้ผลสายพันธุ์เดิม ที่โดยปกติแล้วมีการออกดอกเป็นฤดูกาลเหมือนไม้ผลทั่วๆไป แต่เมื่อพบว่าสายพันธุ์เหล่านั้นมีการกลายพันธุ์หรือเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งสามารถออกดอกได้โดยไม่จำกัดฤดูกาล จึงเรียกสายพันธุ์ที่ได้ใหม่นั้นตามชื่อสายพันธุ์เดิม และต่อท้ายด้วยคำว่า ทะวาย เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ ซึ่งเดิมไม่สามารถออกดอกนอกฤดูกาลได้ ต่อมามีการกลายพันธุ์โดยที่มีลักษณะต่างๆเหมือนต้นเดิม แต่สามารถออกดอกได้โดยไม่จำกัดฤดูกาล จึงเรียกสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า มะม่วงน้ำดอกไม้ทะวาย ส่วนมะม่วงสาย-พันธุ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาและมีลักษณะที่ออกดอกได้โดยไม่จำกัดฤดูกาล อาจไม่จำเป็นต้องเติมคำว่า “ทะวาย” ต่อท้าย เช่น มะม่วงโชคอนันต์ เป็นต้น
แหล่งที่มา : http://cid-703c19808a3ab860.mobile.spaces.live.com/ent.aspx?h=cns!703C19808A3AB860!233&fp=%2Farc.aspx
http://www.phkaset.com/plan.php