หน้า: 1/2
หอมแดง
1. พันธุ์ นำมาจากดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี, จังหวัดศีรสะเกษ, จังหวัดลำพูน, จังหวัดอุตรดิตถ์
2. การเตรียมดิน พืชที่ปลูกด้วยหัวทุกชนิดควรตากดินหลายๆ แดดอย่างน้อย 10 วันขึ้นไป เพื่อฆ่าเชื้อรา เมื่อไถแตกแล้ว หากก้อนใหญ่หรือไม่ร่วนต้องไถครั้งที่สอง (ไถแปร) แล้วตีดินหรือพรวน ยกร่องด้วยแทรคเตอร์ จะใส่ปุ๋ยรองพื้นด้วยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ก็ได้ หรือปุ๋ยคอกด้วยยิ่งดี
3. การปลูก เมื่อเตรียมดินยกร่องแล้วเกษตรกร จะทำากรรดน้ำให้ชื้น และดินนิ่มพร้อมปลูก แล้วทำการกรีดร่องแนวขวาง ระยะประมาณ 20 x 25 เซนติเมตร แล้วทำการปลูก แล้วแนวกรีดประมาณ 15 เซนติเมตร ระยะ 7-9 ต้น แนวร่องกรีด เมื่อเสร็จแล้วรดน้ำให้ดินชื้น พ่นสารป้องกันกำจัดวัชพืชด้วย Oxcediazon (สอนสตาร์) ทิ้งไว้ 1 คืน โรยฟางกลบ รดน้ำเช้า-เย็น 4 วัน ก็งอกพ้นฟาง
4. การให้น้ำ ควรรดน้ำเช้าเย็นระยะก่อนงอก และทุกวันเมื่องอกแล้ว
5. การใส่ปุ๋ย จะไม่เน้นปุ๋ยสูตรที่มีไนโตรเจนมากจนเกินไป โดยจะใส่ปุ๋ยสูตร 21-7-7 ระยะ ส่วน อายุ 30 แล้วจะใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 50 กก./ไร่
6. การเก็บเกี่ยว เมื่ออายุ 55-60 วัน จะเก็บผลผลิตได้ โดยเก็บมาผึ่ึ่งลมบนแคร่ หรือลานที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีในร่ม แต่ถ้ากลางแจ้งควรมีวัสดุปิดเปิดได้เมื่อแดดจัดหรือฝนตก เมื่อต้นแห้งดีแล้วก็นำมากำมัดด้วยยางวง หรือตอก พร้อมส่งตลาดโดยแต่งเปลือกและรากให้สวย
7. โรค โรคหอมที่สำคัญ คือ โรคเน่า โรคใบจุดสีม่วง โรคแอนเทรคโนส ควรพ่นด้วย โปรครอราช แมนโดเซป และไดฟีโนโคนาโซล โดยสลับกันพ่น
8. แมลงศัตรู หนอนกระทู้ผัก หนอนหอม หนอนชอนใบ พ่นด้วย อะมาเม็คติน สปิโนแสด โดยพ่นตามการระบาดของแมลงศัตรู
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
เกษตรพะเยาแนะใช้ชีววิธี-กำจัดหนอนหอมแดงระบาดหนักแทนสารเคมี |
|
|
พะเยา - สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา เร่งชี้แจงเสริมสร้างความเข้าใจให้แก่เกษตรกรชาวสวนหอมแดงเกี่ยวกับการป้องกันกำจัดศัตรูพืช หลังมีหนอนกระทู้หอมระบาด สร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ผ่านการเตรียมส่งเสริมความรู้การกำจัดโดยชีววิธีแทนการใช้สารฆ่าแมลง
นายราเชนทร์ สุวรรณหิตาทร เกษตรจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า หลังจากได้รับรายงานการระบาดของศัตรูพืชในแปลงปลูกหอมแดงของเกษตรกรในพื้นที่ ต.จำป่าหวาย อ.เมืองพะเยา สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่เกษตรกร ทางสำนักงานฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าศัตรูพืชดังกล่าวเป็นหนอนกระทู้หอม หนอนหนังเหนียว หรือหนอนหลอดหอม ซึ่งเป็นแมลงจำพวกผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก โดยมักจะพบว่ามีการระบาดอย่างรุนแรงในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนตามแหล่งปลูกผักทั่วไป หากเกษตรกรปล่อยปละละเลยจะมีความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำการส่งเสริมความรู้ในด้านการป้องกันกำจัดให้กับเกษตรกรในที่พื้นที่เป็นการเร่งด่วน เพื่อสกัดการระบาดในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกอื่นๆ
สำหรับแนวทางการป้องกันกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนหนังเหนียว หรือหนอนหลอดหอมนั้น ซึ่งถือเป็นกลุ่มกลุ่มหนอนที่มีการพัฒนาตัวเองในการต้านทานต่อสารฆ่าแมลง การป้องกันกำจัดด้วยการใช้สารฆ่าแมลงจะต้องคำนึงถึงพิษตกค้างของสารเคมีตกค้างในผลผลิต วิธีการป้องกันกำจัดที่ดีที่สุด คือ การใช้วิธีกล ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด คือ การกำจัดกลุ่มไข่หรือหนอนกระทู้หอมในแปลงปลูกหากมีการตรวจพบให้ทำลายทันทีวิธีนี้จะช่วยลดการระบาดได้แต่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ ทางสำนักงานเกษตรจังหวัด ได้เตรียมส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ไวรัส (NPV) ของหนอนกระทู้หอมเองในการทำเป็นสารกำจัดซึ่งจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในทางชีวมวล เพื่อปรับสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมแทนการใช้สารเคมีที่สร้างผลกระทบต่อธรรมชาติให้กับเกษตรกรต่อไป
|
|
หอมแดง ( Shallot ) |
|
|
|
สถานการณ์ทั่วไป
หอมแดง เป็นพืชผักที่มีการปลูกมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยผลผลิตส่วนใหญ่ใช้ในประเทศไทยทุกครัวเรือนนำไปประกอบอาหาร และใช้ในการอุตสาหกรรมอาหารต่างๆมากมาย ส่วนตลาดต่างประเทศนั้นหอมแดงมีตลาดรับซื้อ ได้แก่ มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ตะวันออกลาง, เยอรมัน และอังกฤษ |
|
|
|
ลักษณะทั่วไปของพืช
เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าหัวสะสมอาหาร หอมแดงสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ชอบดินร่วน ที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 5.0-6.5 และความชื้นในดินควรสูงในขณะที่เจริญเติบโต แต่ถ้าหัวเริ่มแก่ดินและอากาศต้องแห้ง ช่วงที่ปลูกได้ผลดี คือ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน - มีนาคม |
|
|
|
พื้นที่ส่งเสริม
พื้นที่เหมาะสมเชิงธุรกิจ จังหวัด ลำพูน, เชียงราย, พะเยา, ศรีสะเกษ, เชียงใหม่, อุตรดิตถ์, และนครราชสีมา
พื้นที่ปลูกที่สำคัญ จังหวัด ลำพูน, เชียงราย, พะเยา, ศรีสะเกษ, เชียงใหม่, อุตรดิตถ์, และนครราชสีมา
ประมาณ 131,469 ไร่ (พ.ศ.2540/41) |
|
|
|
พันธุ์ที่ส่งเสริม ศรีสะเกษ, บางช้าง, เชียงใหม่,
ต้นทุนการผลิต/ไร่ 10,640 บาท/ไร่ (พ.ศ.2537- 2539) |
|
|
|
ผลผลิต
ผลผลิตรวมทั้งประเทศ 283,146 ตัน (พ.ศ.2540)
ผลผลิตเฉลี่ย 2,154 กก./ไร่ (พ.ศ.2540)
ราคาที่เกษตรกรขายได้ 20-25 บาท (พ.ศ.2541)
การส่งออก ปริมาณ 6,979 ตัน มูลค่า 49.7 ล้านบาท (พ.ศ.2541 ) |
|
การปลูก |
|
วิธีการปลูก
1. การปลูกด้วยหัวพันธุ์ เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมกันมานาน แต่ต้นทุนการผลิตสูง หัวพันธุ์ต้องผ่านการฟักตัวไม่น้อยกว่า 3 เดือน จึงจะนำมาปลูกได้
2. การปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ เป็นวิธีที่เกษตรกรสามารถประหยัดค่าพันธุ์ลงได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของการใช้หัวพันธุ์ แต่เกษตรกรต้องเพิ่มเวลาเพาะกล้าก่อนย้ายปลูกอีก 45 วัน |
|
ระยะปลูก 15x15 เซนติเมตร
จำนวนต้น/ไร่ 70,000 ต้น/ไร่ |
|
การดูแลรักษา |
|
การใส่ปุ๋ย
1. ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อัตรา 3-5 ตันต่อไร่ โดยการหว่านให้ทั่วแปลงก่อนปลูก แล้วพรวนดินกลบ
2. ปุ๋ยเคมี หอมแดงที่ปลูกจากหัวพันธุ์ ใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 85 กก./ไร่ รองพื้นก่อนปลูก ใส่แอมโมเนียซัลเฟต 25-30 กก./ไร่ หรือยูเรีย 10-15 กก./ไร่ เมื่อเริ่มแตกกอ
การให้น้ำ
1. ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ หอมแดงต้องการน้ำตลอดฤดูปลูก 250 - 400 มล. ให้น้ำทั้งเช้าและเย็น
2. หัวเริ่มแก่ต้องลดการให้น้ำลง เพราะระยะนี้ต้นหอมต้องการดินและอากาศแห้ง
การปฎิบัติอื่น ๆ
การคลุมดิน วัสดุที่ใช้คือ ฟางแห้ง หญ้าแห้ง เปลือกถั่วลิสง หรือแกลบดิน เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำและรักษาความชื้นของผิวดินไว้ |
|
ศัตรูพืชที่สำคัญและวิธีการป้องกันกำจัด |
|
1. โรค
1.1 ใบจุดสีม่วง ใช้ซีเน็บ อัตรา 60 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้ไตรฟลูเบน ซุรอน 15-30 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
1.2 โรคหัวและรากเน่า ป้องกันกำจัดโดย นำต้นที่เป็นโรคบริเวณนั้นไปเผาทำลายและใช้ รอพรัล ตามฉลากกำหนด ราดบริเวณที่เกิดโรค |
|
|
|
2. แมลง
2.1 เพลี้ยไฟ ใช้ฟอสซ์ 5 ช้อนแกงหรือไซเปอร์เมทริน 1-2 ช้อนแกง หรือ แลนเนท 2 ช้อนแกง หรือ โตกุไธออน 3 ช้อนแกง หรือทามารอน 2-3 ช้อนแกง หรือ เมซูโรล 4-5 ช้อนแกง อย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ต่อครั้ง หรือ 3-4 วัน ต่อครั้งเมื่อมีการระบาด |
|
ปฎิทินการปลูกและดูแลรักษา |
|
กิจกรรม |
ระยะเวลาปฎิบัติ |
หมายเหตุ |
|
ตค.
|
พย.
|
ธค.
|
มค.
|
กพ.
|
มีค.
|
เมย.
|
พค.
|
มิย.
|
กค.
|
สค.
|
กย.
|
|
ปลูก |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21หรือ 15-15-15
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เก็บเกี่ยว |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แนวทางการส่งเสริม |
|
1. ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้เกษตรกรปลูกตามจำนวนพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดให้ เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด
2. ติดตามการปลูก การดูแลรักษา เพื่อให้หอมมีคุณภาพดี
3. รณรงค์ให้เก็บเกี่ยวเมื่อหอมแก่จริง ๆ เท่านั้น เพื่อไม่เน่าเสียระหว่างเก็บรักษา
4. ส่งเสริมให้เกษตรกรคัดเกรดหอมแดงจำหน่าย |
|
|
|
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
1. สถาบันวิจัยพืชสวน ศรีสะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ |
การปลูกหอมแดง
โดย รัชฎา ศีตะโกเศศ
หอมแดงเป็นพืชผักที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่โดยธรรมชาติแล้ว หอมแดงชอบอากาศเย็นและกลางวันสั้น คือ ต้องการแสงแดดเพียง 9-10 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นหากปลูกในฤดูหนาว หอมแดงจะมีการเจริญเติบโตดี แตกกอให้จำนวนหัวมาก และมีขนาดหัวใหญ่ แต่หอมแดงที่ปลูกในฤดูหนาวนี้จะมีอายุการเก็บเกี่ยวนานกว่าหอมแดงที่ปลูกในฤดูอื่น เช่น ในฤดูหนาวทางภาคเหนือ หอมแดงจะแก่จัดเก็บเกี่ยวได้ช่วงอายุ 90-110 วัน หากปลูกในฤดูฝนจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงอายุ 45-60 วัน
พันธุ์ของหอมแดง ที่นิยมปลูกในบ้านเรา คือ
1. หอมแดงพันธุ์พื้นเมืองภาคเหนือ ทางภาคเหนือเรียกหอมบั่ว เป็นหอมแดงที่มีเปลือกนอกสีเหลืองปนส้มขนาดหัวปานกลาง ลักษณะกลมสี ใน 1 หัวแยกได้ 2-3 กลีบ กลิ่นไม่ฉุนจัด รสหวาน ระหว่างการเจริญเติบโตไม่มีดอกและเมล็ด เมื่อปลูก 1 หัว จะแตกกอให้หัวประมาณ 5-8 หัว อายุเมื่อหัวแก่เต็มที่ในฤดูหนาว 90 วัน และฤดูฝน 45 วัน ผลผลิตที่ได้แตกต่างกันตามฤดูปลูกและการดูแลรักษาได้ประมาณ 2,000-3,000 กิโลกรัม/ไร่ คุณภาพในการเก็บรักษาไม่ค่อยดี เพราะมีเปอร์เซ็นต์ แห้งฝ่อ และเน่าเสียหายมากถึง 60%
2. หอมแดงพันธุ์บางช้าง หรือหอมแดงศรีสะเกษ เป็นหอมแดง ที่มีเปลือกนอกสีม่วงปนแดง เปลือกหนาและเหนียว ขนาดหัวใหญ่ สม่ำเสมอ หัวมีลักษณะกลมใน 1 หัว มี 1-2 กลีบ กลิ่นฉุนจัด มีรสหวาน ระหว่างการเจริญเติบโตจะสร้างดอกและเมล็ดมาก ซึ่งจะต้องหมั่นตรวจดูและเด็ดทิ้งให้หมด มิฉะนั้นจะทำให้ได้ขนาดหัวเล็ด และจำนวนหัวน้อย โดยทั่วไปเมื่อปลูก 1 หัวจะแตกกอให้หัวประมาณ 8-10 หัว การแตกกอและลงหัวช้ากว่าหอมบั่วเล็กน้อย มีอายุเมื่อหัวแก่เต็มที่ให้ฤดูหนาว 100 วันขึ้นไป และฤดูฝน 45 วัน ให้ผลผลิตแตกต่างกันไปตามฤดูปลูกและการดูแลรักษาได้ประมาณ 1,000-5,000 กิโลกรัม/ไร่ คุณภาพในการเก็บรักษาดีกว่าหอมบั่ว
แหล่งเพาะปลูก
แหล่งเพาะปลูกหอมแดง มากที่สุดคือ ภาคอีสาน ได้แก่ ศรีสะเกษ , บุรีรัมย์ , นครราชสีมา รองลงมาคือ ภาคเหนือ ได้แก่ ลำพูน , เชียงใหม่ , เชียงรายและอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังมีปลูกกันที่ราชบุรี , กาญจนบุรี และนครปฐม ด้วย
ฤดูปลูก
ปลูกได้ตลอดปี ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์
การเตรียมดิน
หอมแดงมีระบบรากตื้น ชอบดินร่วน มีการระบายน้ำดี แปลงปลูกควรไถพรวน หรือขุดด้วยจอบพลิกดินตากแดดไว้ก่อน 2-3 วัน แล้วย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก อย่าให้ละเอียดมาก เพราะจะทำให้ดินแน่น หอมลงหัวยากควรใส่ปุ๋ยคอก , ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลสัตว์ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว เก็บเศษวัชพืช หรือรากหญ้าอื่น ๆ ออกให้หมดแล้วรองพื้นก่อนปลูกด้วยปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 ในปริมาณ 20-50 กิโลกรัม/ไร่
การเตรียมพันธุ์หอม
หัวหอมพันธุ์ที่จะใช้ปลูก ควรเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน เพราะหัวหอมที่จะใช้ปลูกควรมีระยะพักตัวอยู่สักระยะหนึ่ง แต่ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน เพราะระยะนี้หอมจะเริ่มแดงยอดอ่อนสีเขียวพ้นหัวเก่ามาแล้ว ให้นำหัวหอมพันธุ์มาตัดแต่งทำความสะอาด ตัดเล็มรากเก่า และใบแห้งทิ้งให้หมด หากเห็นว่ายอดอ่อนยาว อาจตัดทิ้งเสียสัก 1 ใน 10 เพื่อเร่งให้งอกไวเมื่อปลูกแล้ว ในพื้นที่ปลูก 1 ไร่จะใช้หัวหอมพันธุ์ประมาณ 200 กิโลกรัม ก่อนปลูกหากเห็นว่าหัวหอมพันธุ์เป็นโรคราดำ หรือมีเน่าปะปนมา ต้องฉีดพ่นหรือจุ่มน้ำสารละลายป้องกันกำจัดเชื้อราจำพวกมาเนบ หรือซีเนบ ตามอัตราที่กำหนดในฉลาก และผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปปลูก
ระยะปลูก
นิยมปลูกเป็นแปลงขนาดกว้าง 1-1.5 เมตร ความยาวของแปลง เป็นไปตามความสะดวกในการปฎิบัติงานควรปลูกเป็นแถว ระยะปลูก 15-20 ซม. หรือ 20-20 ซม.
การปลูก
ก่อนปลูกควรรดน้ำแปลงปลูกให้ดินชุ่มชื้นไว้ล่วงหน้า นำหัวหอมพันธุ์มาปลูกลงในแปลง โดยเอาส่วนโคนหรือที่เคยเป็นที่ออกรากเก่าจิ้มลงไปในดินประมาณครึ่งหัว ระวังอย่ากดแรงนักจะทำให้ลำต้นหรือหัวชอกช้ำจะทำให้ไม่งอก หรืองอกรากช้า เมื่อปลูกทั่วทั้งแปลงให้คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหรือแกลบหนาพอสมควรเป็นการรักษาความชุ่มชื้นและคุมวัชพืช จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม ๆ ต้นหอมจะงอกออกมาภายใน 7-10 วัน หากหัวใดไม่ลอกให้ทำการปลูกซ่อมทันที
การดูแลรักษา
การให้น้ำ
หอมแดงต้องการน้ำมากและสม่ำเสมอในระยะเจริญเติบโตและแตกกอ หากปลูกในที่ ๆ มีอากาศแห้งและลมแรง อาจต้องคอยให้น้ำบ่อย ๆ เช่น ภาคอีสาน ช่วงอากาศแห้งมาก ๆ ระยะแรกอาจให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น ในภาคเหนือ เกษตรกรจะให้น้ำประมาณ 3-7 วันต่อครั้ง
การให้ปุ๋ย
- เมื่ออายุ 14 วัน หลังจากปลูก ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่
- เมื่ออายุ 35-40 วัน ให้ใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 20-50 กิโลกรัม/ไร่การใส่ปุ๋ยใช้วิธีโรยห่าง ๆ ต้นห่างจากต้นราว 7 ซม. หรือใช้วิธีโรยให้ทั่วแปลงก็ได้ หลังจากให้ปุ๋ยให้เอาน้ำรดหรือเอาน้ำเข้าแปลงให้ชุ่ม
การกำจัดวัชพืช
ควรกำจัดวัชพืชบ่อย ๆ เมื่อวัชพืชยังเล็ก หากโตแล้วจะทำการกำจัดยากและจะกระทบกระเทือนรากหอมแดงได้มาก ปัจจุบันนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมากขึ้นเพราะประหยัดแรงงานกว่า ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชในแปลงหอมแดง ได้แก่ อลาคลอร์ อัตราการใช้ให้ใช้ตามที่ระบุในฉลากยา
โรคแมลง
โรคที่สำคัญของหอมแดง ได้แก่ โรคเน่าเละ , โรคใบจุดสีม่วง , โรคราน้ำค้าง และ โรคแอนแทรคโนส
แมลงศัตรูหอมแดงที่สำคัญ ได้แก่ หนอนกระทู้หอมและเพลี้ยไฟ ควรฉีดยาฆ่าแมลงและยากันรา ที่ราคาไม่แพงนักทุก 7 วัน เพื่อป้องกันไว้ล่วงหน้า หอมแดงที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจะงอกงามและให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
การเก็บเกี่ยว
โดยปกติหอมแดงที่ปลูกในฤดูหนาว จะแก่จัดเมื่ออายุ 70-110 วัน ถ้าปลูกในฤดูฝนจะสามารถเก็บได้ เมื่ออายุประมาณ 45 วัน แต่ผลผลิตของหอมแดงทั้ง 2 ฤดูแตกต่างกัน คือในฤดูหนาวจะให้ผลผลิตมากเป็น 2-3 เท่าของในฤดูฝน จึงเป็นเหตุให้ หอมแดงในฤดูฝนมีราคาสูงกว่า
หอมแดงที่เริ่มแก่แล้วจะสามารถสังเกตได้จากสีของใบจะเขียวจางลง ปลายใบเริ่มเหลืองและใบมักจะถ่างออก เอนล้มลงมากขึ้น ถ้าบีบส่วนคอ คือบริเวณโคนใบต่อกับหัวหอมจะอ่อนนิ่ม ไม่แน่นแข็ง แสดงว่าหอมแก่แล้ว
หลังจากเก็บเกี่ยว มีการปฎิบัติคล้ายกระเทียม คือหอมแดงที่ถอนแล้ว ต้องนำมาผึ่งลมในที่ร่มให้ใบเหี่ยวแห้งจากนั้นก็มัดเป็นจุก คัดขนาด และทำความสะอาด คัดพันธุ์แล้วนำไปแขวนไว้ในที่ร่ม เช่นใต้ถุนบ้าน ให้มีลมโกรก เพื่อระบายความชื้นจากหัวและใบหอม ไม่ให้ถูกแดด ฝนหรือน้ำค้าง หอมแดง หากเก็บไว้ในอากาศอบอ้าวจะเกิดโรคราสีดำ และเน่าเสียหายเช่นเดียวกับกระเทียม
การเก็บหอมแดงไว้ทำพันธุ์
หอมแดงที่แก่จัดหากเก็บรักษาไว้ดีจะฝ่อแห้งเสียหาย เพียง 35-40% ควรคัดเลือกหอมแดงที่จะใช้ทำพันธุ์ แยกออกมาต่างหากจากส่วนที่จะขาย และฉีดพ่นยากันรา เช่น เบนเลท ให้ทั่ว และนำไปผึ่งลมจนแห้งสนิทจึงนำเก็บรักษาไว้ทำพันธุ์ (ไม่ควรนำมารับประทาน) จะช่วยป้องกันไม่ให้หอมแดงเน่าเสียหายง่าย.
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตรมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่
50290 โทร. 0-53873938-9.
การปลูกหอมแดงด้วยเมล็ด
หอมแดงเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันในครัวเรือนตั้งแต่โบราณ หอมแดงสามารถใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เช่น ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด แน่นท้อง ปวดหลัง ปวดเอว และปวดประจำเดือน การปลูกหอมแดงจึงเป็นที่นิยม แต่เกษตรกรผู้ปลูกต้องเรียนรู้เทคนิคและวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้หอมแดงที่มีคุณภาพดี มีความแข็งแรงสมบูรณ์
ขั้นตอนการปลูกหอมแดง
การเตรียมดินและแปลงเพาะกล้า
1. เตรียมแปลงเพาะกล้าแต่ละแปลงให้มีขนาด 1 x 10 เมตร สูงประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษาและปฏิบัติงาน
2. ขุดดินลึก 1 หน้าจอบ (ประมาณ 20 เซนติเมตร) ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์
3. เก็บซากพืชและวัสดุที่ไม่ต้องการทิ้งไป แล้วย่อยดินให้ละเอียด
4. ใส่ปุ๋ยคอกละเอียดและแกลบดำ (แกลบดำที่ล้างน้ำแล้ว) อย่างละ 3-4 ปุ้งกี๋ และใส่ปูนขาว 1 กิโลกรัมต่อแปลง คลุกดินให้เข้ากันดีระหว่างปุ๋ยคอก แกลบดำและปูนขาว รดน้ำ ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์
การเพาะกล้า
1. ใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ประมาณ 100 กรัม บดให้ละเอียด หว่านลงไปให้ทั่วแปลงอย่างสม่ำเสมอ คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน และปรับดินในแปลงให้เรียบเสมอ
2. ทำร่องลึก 0.5 เซนติเมตร ขวางความยาวของแปลง ระยะห่างระหว่างแถว 8 เซนติเมตร
3. โรยเมล็ดหอมแดงลงในร่อง อย่าให้หนาแน่นจนเกินไป เสร็จแล้วใช้ดินที่ร่วนละเอียดหรือแกลบดินใหม่ กลบเมล็ดให้เสมอดิน
4. เอาฟางใหม่ๆ ที่ยังไม่ใช้ คลุมบางๆ หรือใช้แกลบดิบคลุมให้หนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร
5. รดน้ำโดยใช้บัวรูเล็กรดผ่านไปมา อย่าให้น้ำไหลออกนอกบริเวณปลูก ในกรณีที่กลบแปลงด้วยแกลบ ให้ตรวจดูว่าน้ำซึมเปียกถึงดินหรือไม่ หลังจากนั้น จึงรดด้วยยากันราผสมกับยากันแมลง เช่น แมคโคเซบ (ยากันรา) คาร์บาริล (ยากันแมลง)
6. ใช้ผ้าด้ายดิบคลุมแปลงป้องกันฝน โดยให้ขอบผ้าทั้ง 2 ข้าง สูงห่างจากพื้นดินด้านละ 10-20 เซนติเมตร ถ้าต้องการรดน้ำจึงเปิดผ้าออก ความสูงของผ้าคลุม อย่าให้ต่ำมากนัก เพราะจะทำให้อากาศภายในอับชื้น
การดูแลรักษาแปลงเพาะ
1. รดน้ำทุกเช้า สังเกตดูความชื้นของดินด้วย ถ้าดินมีความชื้นสูงมากหรืออากาศชื้นมาก ให้รดน้ำเพียงเล็กน้อย
2. เมื่อเมล็ดเริ่มงอก ให้รดด้วยยาป้องกันแมลงที่เจือจาง 1 ครั้ง
3. เมื่อเมล็ดงอกโผล่พ้นดินเป็นใบเขียวขึ้นมา ให้รดด้วยยาป้องกันราสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
4. ให้รดกล้าด้วยยูเรีย อัตรา 50 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ เมื่ออายุได้ 20 วันและ 35 วัน
การเตรียมแปลงปลูก
หอมแดงเป็นพืชที่มีระบบรากสั้น จะหาอาหารในพื้นผิวดินที่มีความลึกประมาณ 10 เซนติเมตร ดังนั้น หอมแดงจึงต้องการดินที่ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี มีการระบายน้ำและอากาศดี การเตรียมดินดีจะทำให้หอมแดงเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตสูง
วิธีการเตรียมแปลงปลูก
- ไถดินกลับไปมา 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งให้ตากดินไว้ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ดินแห้ง ง่ายต่อการซุยดิน
- พรวนดินและย่อยดินให้เป็นก้อนขนาดเล็ก ไม่ควรย่อยละเอียดจนเป็นผง เพราะจะทำให้ดินแน่นน้ำซึมลงได้ยาก
- เศษหญ้า รากหญ้าที่ยังไม่ย่อยสลาย ควรเก็บออกให้หมด เพราะหญ้าที่มีรากขึ้นในแปลงแล้วจะกำจัดได้ยาก เมื่อถอนหรือกำจัดจะไปกระทบกระเทือนหอมที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ ทำให้หอมชะงักการเจริญ และเกิดการแย่งอาหารกัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตลดลง
- ยกร่องให้สูงประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อป้องกันน้ำฝนที่อาจจะตกลงมาท่วมได้ (ขนาดของแปลงควรกว้างประมาณ 1.20 เมตร ความยาวตามแต่จะสะดวกในการดูแลรักษา)
- ควรเว้นระยะระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร หรือประมาณ 30 เซนติเมตร สำหรับใช้เป็นทางเดินเข้าไปดูแลรักษาและกำจัดวัชพืช
- หลังจากย้ายแปลงเสร็จแล้ว ใส่ปุ๋ยคอกที่ละเอียด 1 บุ้งกี๋ต่อพื้นที่ขนาด 2 ตารางเมตร หรืออัตรา 4 ตันต่อไร่ พร้อมทั้งหว่านปูนขาว อัตรา 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดของดิน จากนั้น คลุกเคล้าให้เข้ากับดินและปุ๋ยคอก ปรับหน้าดินให้มีความสม่ำเสมอ ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์
การปลูก
1. ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยหว่านให้สม่ำเสมอ คลุกเคล้าให้เข้ากันดีกับดิน และปรับหน้าให้สม่ำเสมอ อย่าให้เป็นหลุมหรือเป็นแอ่ง
2. รดน้ำให้พอชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง รอให้น้ำซึมเข้าไปในดิน แล้วพ่นด้วยสารเคมีกำจัดวัชพืช จำพวกอ๊อกซีฟลูออเฟน เช่น โกล 2 อี อัตรา 200 ซีซีต่อ 1 ไร่ หรือ 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
3. ก่อนปลูก เกษตรกรควรรดน้ำแปลงดินให้ชุ่ม แล้วทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้น จึงถอนกล้าที่มีอายุ 45 วัน ตัดยอดออก 1/3 ส่วน แล้วนำไปปลูกทันที โดยใช้ระยะปลูก 15 x 20 เซนติเมตร หรือ 10 x 20 เซนติเมตร ปลูกลึกประมาณ 1.5 เซนติเมตร และกลบดินเบาๆ อย่าให้ต้นกล้าบอบช้ำ
4. หลังจากปลูกแล้ว รดน้ำให้ดินเปียกชุ่ม
5. ใช้แกลบดินใหม่คลุมแปลง 0.5 เซนติเมตร ในกรณีที่ไม่ใช้แกลบคลุม แต่ใช้ฟางคลุม เกษตรกรจะต้องคลุมฟางก่อนปลูก แล้วรดน้ำให้ดินชุ่ม ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงจึงปลูก หลังจากปลูกเสร็จแล้ว จึงรดน้ำตามอีกครั้งให้ดินชุ่ม
การดูแลรักษา
1. ระยะแรกให้รดน้ำทุกวัน โดยสังเกตความชื้นของดิน ถ้าฝนตกชื้นก็อาจเว้นได้ แต่โดยปกติทั่วไปแล้วในดินที่มีการระบายน้ำดี พืชผักทั่วๆ ไปต้องการรดน้ำทุกวัน
2. หลังจากปลูกและต้นแตกใบได้ 4-5 ใบ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ผสมยูเรีย 10 กิโลกรัมต่อไร่ โดยการโรยระหว่างแถว หลังจากใส่ปุ๋ยแล้ว ให้รดน้ำตามทันที
3. พ่นยาป้องกันรา (ซีเนบ) สัปดาห์ละครั้ง
4. คอยดูแลอย่าให้วัชพืชขึ้น เพราะจะไปแย่งน้ำและอาหาร ทำให้ผลผลิตของหอมแดงลดลง นอกจากนี้ ยังเป็นที่อาศัยของโรคแมลงต่างๆ
การเก็บเกี่ยว
ระยะเวลาตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต จะใช้เวลาประมาณ 85 - 95 วัน
ศัตรูพืชที่สำคัญและวิธีการป้องกันกำจัด
โรค :
- ใบจุดสีม่วง ใช้ซีเน็บ อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้ไตรฟลูเบนซุรอน 15-30 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
- โรคหัวและรากเน่า ป้องกันและกำจัดโดยนำต้นที่เป็นโรคบริเวณนั้นไปเผาทำลายและใช้รอพรัล (ตามฉลากกำหนด) ราดบริเวณที่เกิดโรค
แมลง :
เพลี้ยไฟ ใช้ฟอสซ์ 5 ช้อนแกงหรือไซเปอร์เมทริน 1-2 ช้อนแกง หรือ แลนเนท 2 ช้อนแกง หรือ โตกุไธออน 3 ช้อนแกง หรือทามารอน 2-3 ช้อนแกง หรือ เมซูโรล 4-5 ช้อนแกง อย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ต่อครั้ง หรือ 3-4 วัน ต่อครั้งเมื่อมีการระบาด
ข้อดีของการปลูกหอมด้วยเมล็ด
การปลูกหอมแดงด้วยเมล็ด มีข้อดีคือสามารถปลูกได้ผลผลิตก่อนการปลูกด้วยหัว คือ ระยะเวลาในการปลูกโดยใช้เมล็ดจะน้อยกว่าการปลูกด้วยหัว ดังนั้น เกษตรกรจึงนิยมปลูกด้วยเมล็ดมากกว่า แต่มีข้อเสีย คือ การปลูกหอมแดงด้วยเมล็ดจะต้องเพาะเมล็ดก่อน จนต้นกล้าอายุได้ประมาณ 45 วัน จึงย้ายลงแปลงเหมือนกับการปลูกหอมหัวใหญ่
เรียบเรียงจาก
เกร็ดเกษตร "การปลูกหอมแดงด้วยเมล็ด" เทคโนโลยีชาวบ้าน.
หอมแดง http://www.doae.go.th/plant/shallot.htm
[--pagebhreak--]
ปลูกหอม-กระเทียม ... ระวังโรคใบจุดสีม่วง
ในระยะนี้เกษตรกรภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ปลูกหอมและกระเทียม กรมส่งเสริมการเกษตรแจ้งเตือนมาว่าควรระมัดระวังโรคใบจุดสีม่วง เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้มีความชื้นค่อนข้างสูงและมีน้ำค้าง ซึ่งเหมาะต่อการแพร่ระบาดของเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคใบจุดสีม่วง สำหรับอาการของโรคใบจุดสีม่วงนี้มีลักษณะคล้ายโรคแอนแทร็กโนสของหอม โดยอาการเริ่มแรกจะเป็นจุดขนาดเล็กบนใบ แผลเป็นรูปไข่ หลังจากนั้นตรงบริเวณแผลสีขาวจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนม่วง ขอบแผลสีเหลือง มีสปอร์เป็นผงละเอียดอยู่บนแผล ต่อมาขยายใหญ่และยาวตามความยาวใบทำให้ใบหอมหักพับ ปลายใบเป็นแผลแห้ง ถ้าเป็นมากใบจะแห้งตายหมดทั้งแปลง ถ้าเกิดบนหอมและกระเทียมต้นจะทำให้ส่วนปลายใบที่อยู่บริเวณแผลมีอาการแห้งเหลือง
สำหรับการป้องกันและการกำจัด กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำมาว่าควรควบคุมโรคโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเชื้อแบคทีเรียบีเอส (บาซิลลัส ซับติลิส) อัตราการใช้ตามฉลาก เมื่อเริ่มพบอาการของโรคให้ฉีดพ่นบริเวณที่เกิดอาการของโรคในช่วงเวลาเย็นแดดอ่อน เมื่อถอนต้นที่เป็นโรคออกจากแปลง อย่าถือต้นที่เป็นโรคกวัดแกว่งไปมาในแปลงปลูกจะเป็นการแพร่กระจายของเชื้อโรคมากยิ่งขึ้น หมั่นดูแลแปลงปลูกให้สะอาดเป็นการลดการกระจายของเชื้อสาเหตุ โดยเก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคทั้งใบและหัวไปเผาทำลายในฤดูถัดไป ก่อนปลูกควรปรับปรุงดินด้วย ปูนขาว ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วเพื่อให้ดินมีสภาพที่เหมาะสมกับการปลูกหอมและกระเทียม พื้นที่ที่มีการปลูกหอมและกระเทียมมานานติดต่อกัน ควรปลูกพืชอื่นสลับบ้างเพื่อตัดวงจรของโรค
หากต้องการข้อมูลรายละเอียดเพิ่มติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัด ศูนย์บริหารศัตรูพืชใกล้บ้านท่าน.
โรคใบจุดสีม่วง
สาเหตุ ....เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการ ....อาการเริ่มแรกใบหอมจะเป็นจุดขาวเล็ก ๆ ต่อมากลายเป็นแผลใหญ่รูปไข่ สีน้ำตาลปนม่วง ซึ่งมีสปอร์สีดำเป็นผงละเอียดอยู่บนแผล ขอบแผลมีสีเหลืองขนาดของแผลไม่แน่นอน ใบที่เป็นแผลจะมีปลายใบแห้ง ระบาดมากในฤดูหนาว
การป้องกันกำจัด
- ปรับปรุงดินด้วยปูนขาวและปุ๋ยอินทรีย์
- พ่นยาป้องกันกำจัดพวกเดอโรซาน บาวีสติน แมนเซทดี อย่างใดอย่างหนึ่ง
- ถ้าการระบาดรุนแรงควรใช้รอฟรัลฉีดพ่น โดยใช้อัตราตามฉลากไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ควรใช้สลับกับพวกเดอโรซาน บาวีสติน จะได้ผลดี
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์