ลักษณะทั่วไปของหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
น่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักที่ได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน เพราะเป็นพืชที่มีแนวโน้ม ในด้านความต้องการของตลาดสูง ทั้งการส่งออกในรูปหน่อสดและอุตสาหกรรมแปรรูป ดังนั้นเกษตรกรจึงเริ่มหันมาปลูกหน่อไม้ฝรั่ง กันมากขึ้น ๆ หน่อไม้ฝรั่งที่พบเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไป มีทั้งชนิดหน่อสีขาวซึ่งใช้สำหรับแปรรูป มีปลูกกันมากที่จังหวัด สุพรรณบุรี และชนิด หน่อสีเขียว ซึ่งใช้รัปประทานสด มีปลูกกันมากที่จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี นนทบุรี และนครราชสีมา ไม่ว่าจะเป็นหน่อชนิดใดก็ตาม การปลูกจะมาจากพันธุ์เดียวกัน หรืออาจจะปลูกจากต่างพันธุ์กันก็ได้ แต่จะให้ผลผลิตหน่อสีขาว หรือสีเขียวขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติซึ่ง แตกต่างกัน ถ้าต้องการให้ได้หน่อสีขาว ก็ต้องพูนโคนกลบดินให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ประเทศในเขตอบอุ่น เช่น ในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จะเก็บหน่อมาใช้ประโยชน์ได้เฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นสามารถปลูกและเก็บเกี่ยว หน่อไม้ฝรั่ง ได้ตลอดทั้งปี เราจึงควรใช้ความได้เปรียบนี้ผลิตหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออกในช่วงเวลาที่ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ อันเนื่องมาจากฤดูกาลไม่เหมาะสม เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชค่อนข้างใหม่ เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย อยู่ใน ขั้นกำลังพัฒนา แม้ว่าจะมีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งในประเทศไทยมานานแล้วก็ตาม แต่วีธีการปลูก พันธุ์ที่ใช้ปลูก การปฏิบัติดูแล รักษา ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ในการเพิ่มผลผลิตและวิธีการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้หน่อที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดเป็นที่ต้องการ ของตลาด ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุ หลายปี ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากหน่อสีขาว หรือ หน่อสีเขียว หน่อขาวหรือเขียวนี้เรียกว่า “สเปียร์” (Spear) ซึ่งเป็นส่วนของลำต้น หน่อไม้ฝรั่งประกอบด้วย

1. ราก
รากของหน่อไม้ฝรั่งมี 2 ชนิด คือ รากเนื้อ หรือรากแก้ว (fleshy root หรือ tuberous root) และรากฝอย (fibrous root)
1.1 รากเนื้อ เกิดจากส่วนตาของลำต้น ใต้ดิน (root stock) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/8-1/4 นิ้ว ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารและยึดลำต้นให้ตั้งอยู่ได้ เป็นรากที่ดูดซึมอาหารได้ดีเท่ารากฝอย ที่ผิวนอกของรากเนื้อมีรากขนอ่อน (root hair) ปกคลุมอยู่ทั่วไป รากเนื้อจะแผ่ขยายได้ปีละ 1 ฟุต สำหรับความลึกของการหยั่งรากขึ้นอยู่กับความลึกของหน้าดิน ความลึกของระดับน้ำใต้ดิน และความชื้นในดินโดยทั่วไปจะสามาระหยั่งลึกลงไปในดินได้มากกว่า 1 เมตร จึงควรเลือกปลูกหน่อไม้ฝรั่งในดินที่มีหน้าดินลึก

1.2 รากฝอย เป็นรากที่แตกออกจากรากเนื้อ ทำหน้าที่ดูดซึมอาหารในดิน (absorptive root) และยึดเหนี่ยวให้ต้นตั้งอยู่ได้ ปกติจะทำหน้าที่ได้เพียง 1 ปี ก็จะตายไป

2. ลำต้นและใบ
ส่วนของลำต้นในดิน (root stock หรือ rhizome หรือ crown) ติดอยู่กับส่วนราก ส่วนของลำต้นเหนือดินจะเจริญมาจากตาข้างของลำต้นใต้ดิน เมื่อเจริญขึ้นมาเป็นยอดแล้ว เรียกว่า ตายอด (bud shoot) หรือ สเปียร์ หรือหน่อ ปลายของหน่อจะปกคลุมด้วยใบแท้ ซึ่งต่อมาเมื่อหน่อเจริญขึ้นจะเห็นใบแท้เป็นเกล็ดบาง ๆ อยู่บริเวณข้อ ลำต้นเหนือดินจะมีความสูงประมาณ 90-120 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายเฟิร์น ส่วนที่เห็นว่าเป็นใบนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ใบจริง ๆ แต่เป็นกิ่งก้านที่เปลี่ยนไปทำหน้าที่แทนใบ เรียกว่า คลาโดด (cladodes) หรือ คลาโดฟิล (cladophyll) ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างอาหารให้แก่ต้น

3. ดอกและผล
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกต้นกัน คือ มีต้นที่ให้ดอกตัวผู้และต้นที่ให้ดอก ตัวเมียอย่างละเท่า ๆ กัน ซึ่งต้องอาศัยแมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร สำหรับต้นตัวผู้อาจให้ดอกที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แต่น้อยมาก ในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นเช่นในประเทศไทยนั้น ต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจะเจริญเติบโตเร็วมาก ภายในเวลา 4 เดือนนับจากวันงอก ต้นหน่อไม้ฝรั่งก็จะออกดอก การจำแนกว่าต้นใดเป็นต้นตัวผู้และต้นใดเป็นต้นตัวเมียสังเกตดูได้จากลักษณะดอกดังนี้

3.1 ดอกตัวผู้ มีลักษณะเป็นรูประฆัง มีสีเขียวแกมเหลือง มีขนาดดอกใหญ่ และยาวกว่าดอกตัวเมีย ดอกส่วนใหญ่จะอยู่ตามข้อและอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-3 ดอก ภายในดอกประกอบด้วยอับเรณู 6 อัน และเกสรตัวเมียที่ไม่สมบูรณ์

3.2 ดอกตัวเมีย มีขนาดเล็กมองเห็นได้ชัดและมีไม่มากเหมือนดอกตัวผู้ ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 6 อัน ที่ไม่สมบูรณ์รังไข่ 3 พู และก้านเกสรตัวเมียขนาดสั้น ดอกตัวเมียและดอกสมบูรณ์เพศจะให้ผลแบบเบอรี่ (berry) ขนาดเล็ก ขณะที่ผลยังอ่อนอยู่จะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลมีรูปร่างค่อนข้างกลมโดยปกติแต่ละผลจะมี 3 เมล็ดบางผลมีถึง 6 เมล็ด เมล็ดมีสีดำรูปร่างกึ่งกลมกึ่งเหลี่ยม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/8 นิ้ว

โดยปกติต้นหน่อไม้ฝรั่งที่ให้ดอกตัวผู้หรือเรียกง่าย ๆ ว่าต้นตัวผู้โดยเฉลี่ยจะให้น่อสดมากกว่าและนานกว่าต้นตัวเมีย แต่ต้นตัวเมียจะให้หน่อสดที่มีขนาดเฉลี่ยแล้วใหญ่กว่าหน่อสดของต้นตัวผู้



ประเภทของหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)

หน่อไม้ฝรั่งที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยมี 2 ลักษณะ คือ

ปลูกแบบหน่อเขียวและปลูกแบบหน่อขาว
1. หน่อเขียว
หน่อเขียว คือ หน่อไม้ฝรั่งที่มีการปล่อยให้หน่ออ่อนงอกพ้นเหนือดินและได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ จึงทำให้ได้หน่อที่มีสีเขียว ปกติจะใช้บริโภคสดหรือแช่แข็ง เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบหน่อเขียวนี้จะยุ่งยากกว่าหน่อขาว เนื่องจากผู้ปลูกต้องควบคุมคุณภาพของหน่อให้ได้มาตรฐาน คือ ต้องให้หน่อมีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และให้มีความเขียวของหน่อวัดจากปลายยอดลงมาไม่ต่ำกว่า 18 เซนติเมตร นอกจากนี้ปลายของหน่อซึ่งมีก้านใบเล็ก ๆ จะต้องไม่บาน หน่อไม่โค้งหรือคดงอและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 0.8 เซนติเมตร จึงจะขายได้ราคาดี

2. หน่อขาว
หน่อขาว คือ หน่อไม้ฝรั่งที่มีการใช้ดินหรืออินทรีย์วัตถุกลบหรือคลุมโคนต้น เพื่อไม่ให้หน่ออ่อนถูกแสงแดด จึงทำให้หน่อที่ได้เมื่อถอนออกมามีสีขาวหน่อขาวไม่จำเป็นต้องรักษาคุณภาพในเรื่องรูปร่างและขนาดมากเหมือนกับหน่อเขียวเนื่องจากหน่อขาวจะต้องนำมาลอกเปลือกหรือตัดส่วนที่มีตำหนิออกก่อนที่จะนำไปบรรจุลงในกระป๋อง ดังนั้นหน่อขาวจึงขายได้ราคาถูกกว่าหน่อเขียว



พันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
พันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่เกษตรกรใช้ในการปลูกมี 5 พันธุ์ คือ
1. แม่รี่วอชิงตัน (Marywashington) เป็นพันธุ์แรกที่ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย พันธุ์นี้ให้ผลดีพอสมควรเหมาะที่จะปลูกทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากให้ผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์อื่น

2. แคลิฟอร์เนีย 500 (Califormia 500) พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์แมรี่วอชิงตัน จากรายงานของต่างประเทศ หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยวเร็ว สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว

3. แคลิฟอร์เนีย 309 (California 309) พันธุ์นี้จากการทดสอบของศูนย์วิจัยพืชผักเขตร้อนพบว่าเป็นพันธุ์ที่แข็งแรงมีแนวโน้มในการให้ผลผลิตที่ดีกว่าและขนาดของหน่อใหญ่กว่าสองพันธุ์แรกเล็กน้อย พันธุ์นี้สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว

4. ไฮบริดอิมพีเรียล (Hybrid Imperial) เป็นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 2 ให้ผลผลิตค่อนข้างสูงกว่า 3 พันธุ์ที่กล่าวมา พันธุ์นี้สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว

5. บร็อคอิมพรู๊ฟ (Brock’s improved) เป็นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่า 4

สายพันธุ์ที่กล่าวมา จึงทำให้เมล็ดพันธุ์มีราคาแพงมาก เกษตรกรทั่วไปนิยมใช้พันธุ์นี้ปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในเขตจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้เพราะทำให้ได้หน่อไม้ฝรั่งที่มีรูปร่างและขนาดใหญ่ได้คุณภาพตามมาตรฐานและให้ผลผลิตสูง เกษตรกรสามารถขายได้ทุนคืนในปีแรกและให้ผลกำไรที่ดีในปีต่อ ๆ มา พันธุ์นี้ปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียวเช่นกัน ในปัจจุบันได้มีการนำหน่อไม้ฝรั่งเข้ามาทดลองปลูกอีกหลายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ใช้ปลูกทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว เช่น เจนลิม, แฟรงค์ลิม, ยูซี 157, บูนลิม, แบคลิม และพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งยังอยู่ในช่วงของการทดสอบผลผลิตอยู่



ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ได้แก่ ดินที่มีเนื้อดินร่วนจนถึงดินเหนียวร่วน หน้าดินลึกและมีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ระดับปานกลางขึ้นไป ส่วนดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี มีน้ำขัง มีชั้นดินดานข้างใต้ เป็นกรดและด่างจัด นับว่าเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การปลูกพืช ทั้งนี้เพราะดินดังกล่าวเป็นอุปสรรคที่สำคัญซึ่งขัดขวางการเจริญเติบโตของรากพืช เป็นสาเหตุให้พืชเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตต่ำ ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงมีข้อควรพิจารณาดังนี้

1. ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินที่ไม่เป็นกรดจัดคือ มีพีเอช (pH) 6.0-6.8 ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวหรือปูนเปลือกหอยเพื่อปรับปรุงดิน ในภาคกลางต้องใส่ปูนขาวประมาณ 150-200 กิโลกรัมต่อไร่

2. ความลึกของชั้นหน้าดิน
ในการปลูกพืชล้มลุกนั้น ชั้นดินบนที่มีความลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร จะมีความสำคัญที่สุด แต่สำหรับหน่อไม้ฝรั่งควรมีชั้นของดินบนและดินล่างลึกตั้งแต่ 50 ซม.- 1 เมตร เนื่องจากรากสามารถเจริญเติบโตแผ่ขยายไปดูดน้ำและธาตุอาหารจากดินล่างได้ด้วย ดังนั้นการเลือกพื้นที่สำหรับปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงควรเลือกที่ที่มีชั้นหน้าดินลึก มีการระบายน้ำและมีความอุดมสมบูรณ์ในระดับปานกลางเป็นอย่างน้อย

3. ระดับน้ำใต้ดิน
ระดับน้ำใต้ดินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ควรมีระดับน้ำใต้ดินสูงมากกว่า 1 เมตร แม้ในฤดูฝน เพราะจะทำให้การเจริญเติบโตของรากไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อมีอายุย่างเข้าปีที่สอง พื้นที่ใดมีระดับน้ำใต้ดินสูง ส่วนของดินที่รากจะแผ่ขยายไปหาอาหารก็จะลดน้อยลงไป และหากเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมขังระบบรากได้ง่ายด้วยแล้ว อาจทำให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งตายได้การปลูกหน่อไม้ฝรั่งระบบร่องจีน ในฤดูฝนต้องสูบน้ำออกจากแปลงเพื่อปรับระดับน้ำใต้ดินให้พอเหมาะ หน่อไม้ฝรั่งจึงจะเจริญได้ดี


ในเรื่องลักษณะของดินสรุปได้ว่า
1. หน่อไม้ฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมแก่การปลูกควรมีหน้าดินลึก

2. ควรเป็นดินที่เก็บความชื้นได้ดีพอสมควร สามารถระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี ไม่ขัดขวางการเจริญเติบโตของหน่ออ่อนและการไชชอนของราก เช่น ดินทราย ดินร่วน หรือดินร่วนเหนียว

3. ดินทรายจัดและดินปนกรวดไม่เหมาะแก่การ ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากดินทรายจัดเก็บความชื้นได้น้อย ส่วนดินปนกรวดทำให้หน่อโค้งงอ

4. ดินเหนียวจัดไม่เหมาะแก่การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากมีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศไม่ดี อาจมีน้ำขังแฉะและทำให้การแทงหน่อไม่ค่อยดีนัก

ดังนั้นดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสูง การปลูกเพื่อผลิตหน่อขาวจำเป็นต้องใส่อินทรีย์วัตถุและปุ๋ยหมักมากพอสมควร ในเขตพื้นที่ลุ่มของภาคกลาง เช่นในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมจำเป็นต้องปลูกหน่อไม้ฝรั่งในแปลงผักแบบยกร่อง ขนาดความกว้างของแปลงประมาณ 4-5 เมตร ความกว้างของร่องน้ำประมาณ 1 เมตร ซึ่งดินจะเป็นดินเหนียวหนักสีดำ แต่ก็สามารถปลูกหน่อไม้ฝรั่งเพื่อทำหน่อเขียวได้ โดยต้องใส่อินทรีย์วัตถุรอบ ๆ โคนต้นเพื่อปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหน่อไม้ฝรั่งและต้องเติมอินทรีย์วัตถุทุก ๆ เดือนจึงจะดี



การเพาะกล้าหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. เมล็ดพันธุ์
เมล็ดพันธุ์ที่ดีควรจะมีอัตราความงอกสูง (โดยดูจากฉลากที่ติดมากับกระป๋อง) มีความบริสุทธิ์ตรงตามพันธุ์ที่กำหนดไว้ เมล็ดพันธุ์ที่บรรจุกระป๋องจำหน่ายในปัจจุบันหนัก 1 ปอนด์ (453.6 กรัม) จะมีเมล็ดประมาณ 13,000-23,000 เมล็ดแล้วแต่พันธุ์ ซึ่งสามารถเพาะเมล็ดแล้วให้ต้นกล้าสำหรับย้ายปลูกได้ 2-4 ไร่ โดยจะใช้พื้นที่เพาะกล้าประมาณ 500-600 ตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราความงอกของเมล็ดตลอดจนเทคนิคและวิธีการเพาะกล้าของผู้ปลูก

2. การเตรียมแปลงเพาะกล้า
แปลงเพาะกล้าควรเลือกสถานที่ที่เหมาะสม ลักษณะแปลงเพาะกล้าที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
2.1 ควรเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่มีร่มเงาของต้นไม้ อาคารหรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
2.2 เป็นที่ที่มีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขังเมื่อให้น้ำหรือมีฝนตก
2.3 มีสภาพความเป็นกรดหรือด่างเหมาะสม ควรเป็นกลางหรือกรดเล็กน้อย (พีเอช 6.0-6.8)
2.4 ไม่เป็นที่สะสมของโรค เช่น โรคแอนแทรคโนส โรคลำต้นไม้ โรครากเน่าโคนเน่า
2.5 ไม่เป็นที่สะสมของแมลง เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผักเพลี้ยไฟ
2.6 ควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
2.7 ดินเป็นดินร่วนปนทรายหรือปรับปรุงให้ร่วนซุยโดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่หมักสมบูรณ์แล้ว
2.8 ควรเป็นที่ที่ปราศจากวัชพืช เช่น แห้วหมู หญ้าแพรก หญ้าปล้อง ฯลฯ หรือได้กำจัดวัชพืชจนหมดแล้ว เมื่อเลือกที่ได้แล้วทำการขุดหรือไถดินให้ลึก เก็บวัชพืชออกให้หมดและตากดินไว้ประมาณ 10-15 วัน จากนั้นจึงย่อยดินให้ละเอียดและใส่วัสดุปรับปรุงดิน



3. วัสดุปรับปรุงดิน
มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ใช้ในการเพาะกล้า ปกติมักจะเลือกใช้ดังนี้
3.1 ปุ๋ยหมัก ควรเป็นปุ๋ยหมักเก่า (เมื่อเอามือซุกเข้าไปในกองปุ๋ยจะไม่รู้สึกร้อน)
3.2 ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 หรือ 21-0-0
3.3 ปูนขาว
3.4 สารเคมีป้องกันกำจัดโรครา ได้แก่
- แคปแทน เช่น ออร์โธไซด์ แคปแทน 50 แคปตาไซด์ 50 ฯลฯ
- แมนโคเซ็บ เช่น ไดเทนเอ็ม 45 เชลล์เทนเอ็ม 45 เทนเอ็ม 45 ฯลฯ
3.5 สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ได้แก่
- คาร์โบฟูแรน เช่น ฟูราดาน (ใช้พร้อมกับการหยดเมล็ดเท่านั้น)
- โมโนโครโตฟอส เช่น อโซดริน นูวาครอน คาร์วิน 56 ฯลฯ
- คาร์บาริล เช่น เซฟวิน เอส 85 เอสวิน 85 เซฟวิน เอฟ 3 เซฟวิน 85 ฯลฯ
- ไพรีทอยด์ เช่น แอมบุช พีราทอย ฯลฯ
3.6 แกลบ ฟาง
3.7 บัวรดน้ำ
3.8 อุปกรณ์การเตรียมแปลง จอบ คราด ไม้ปาดแปลง ไม้ชักร่อง



วัสดุปรับปรุงดิน ที่ใช้ต่อพื้นที่เพาะกล้า 1 ตารางเมตร คือ
ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 กิโลกรัม
ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 30 กรัม (10 ช้อนชา)
ปูนขาว 10 กรัม (3-4 ช้อนชา)
คลุกเคล้าวัสดุปรับปรุงดิน ยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดกว้าง 1.5 เมตร (รวมร่องน้ำ) เกลี่ยดินบนแปลงให้เรียบ ทำร่องในแนวขวางแปลงโดยใช้ไม้ชักร่องกดลง (ไม้ชักร่องหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร) ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ให้แต่ละร่อง ห่างกัน 15-20 เซนติเมตร


4. การหยอดเมล็ด
นำเมล็ดมาหยอดลงในร่องที่เตรียมไว้ หยอดเมล็ดเป็นจุด ๆ ละ 1 เมล็ดห่างกันจุดละ 10-15 เซนติเมตร โรยทับด้วยฟูราดานบาง ๆ ในร่อง จากนั้นกลบเมล็ดโดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เขี่ยดินขอบร่องลงกลบในร่องบาง ๆ แล้วใช้ฟางคลุมทับบนแปลงหนาพอประมาณ ละลายยาป้องกันเชื้อรา เช่น แคปแทนหรือแมนโคเช็บอัตรา 2 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร ใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่วแปลง จากนั้นรดน้ำตามให้ชุ่ม


5. การให้น้ำ
ระยะแรก ๆ จะต้องรดน้ำให้บ่อยครั้ง อย่าปล่อยทิ้งให้แปลงแห้ง หลังจากหยอดเมล็ดได้ประมาณ 10-15 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก เปิดฟางออกบ้างให้เหลือฟางเพียงบาง ๆ เพื่อให้ต้นกล้างอกได้สะดวกหน่อไม้ฝรั่งต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอในการเจริญเติบโต วิธีการให้น้ำที่เหมาะสมสำหรับในแปลงเพาะกล้า คือ ควรให้น้ำแบบพ่นฝอยหรือสปริงเกอร์ แต่วิธีนี้จะใช้เงินลงทุนสูงมาก เกษตรกรจึงนิยมให้น้ำแบบอื่น ๆ เช่นปล่อยตามร่อง หรือใช้แบบปั๊มมีสายยางรด ซึ่งลงทุนต่ำกว่า อย่างไรก็ตามหลักการให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง คือต้องให้ต้นกล้าได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอไม่แฉะหรือแห้งจนเกินไป และอย่าให้น้ำฉีดถูกต้นอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ต้นกล้าบอกช้ำทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย


6. การให้ปุ๋ย
การให้ปุ๋ยในระยะแรก ๆ จะให้ในรูปของปุ๋ยละลายน้ำ โดยใช้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 10 กรัม (3-4 ช้อนชา) ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้สลับกับปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตราที่เท่ากัน ละลายปุ๋ยใส่บัวรดน้ำราดบนแปลงแล้วรดน้ำตามให้ชุ่มประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง ให้ประมาณ 3-4 ครั้ง จากนั้นเริ่มให้ปุ๋ยเม็ด สำหรับปุ๋ยเม็ดให้ใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 15-20 กรัม (5-7 ช้อนชา) ต่อพื้นที่ปลูกประมาณ 1 ตารางเมตรใส่ปุ๋ยเม็ดเดือนละครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้ง ใส่พร้อมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 200-300 กรัม ถ้าไม่มีแรงงานพอในการให้ปุ๋ยแบบละลายน้ำรด ในเดือนแรกให้ใช้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 10-15 กรัมต่อพื้นที่ปลูก 1 ตารางเมตร ในเดือนที่ 2 ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 15-20 กรัมต่อ 1 ตารางเมตร ถ้าต้นแสดงอาการขาดไนโตรเจนคือมีอาการปลายยอดเหลือง จะต้องเพิ่มการให้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 ในอัตราเท่ากับเดือนแรก หลังจากนั้นให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตราเท่ากันทุกเดือน โดยใส่ระหว่างร่องปลูก


ข้อควรระวังในการให้ปุ๋ย
หลังจากใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรให้น้ำตามอย่างพอเหมาะ เพื่อที่น้ำจะได้ไปละลายปุ๋ยให้เป็นประ โยชน์ต่อหน่อไม้ฝรั่ง การให้ปุ๋ยที่ถูกต้อง ควรใส่แบบฝังปุ๋ยลงในดินใกล้บริเวณรากหน่อไม้ฝรั่ง ไม่ควรใส่ปุ๋ยให้ติดรากหน่อไม้ฝรั่งเพราะอาจจะทำให้ต้นเหี่ยวได้


7. การกำจัดวัชพืช
หลังจากกล้าหน่อไม้ฝรั่งงอกแล้ว ควรมีการกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ การกำจัดวัชพืชในช่วงเดือนแรกของการเพาะกล้าควรทำอย่างระมัดระวังเพราะกล้าหน่อไม้ฝรั่งยังอ่อนแออยู่ หากกระทบกระเทือนอาจทำให้ต้นกล้าตายได้ การใช้มือถอนจะดีที่สุด การกำจัดวัชพืชบนแปลงกล้าไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช แต่ถ้าเป็นรอบ ๆ บริเวณแปลงเพาะกล้า หรือบริเวณทางเดินสามารถใช้สารเคมีได้โดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ


8. การตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่ง
การตัดแต่งต้นกล้าจะทำให้ต้นโปร่งขึ้น ไม่เป็นที่สะสมของโรคและแมลง และสามารถพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้การตัดแต่งต้นจะทำให้มีการสะสมอาหารที่เหง้าและตามากขึ้น ทำให้เหง้าและตามีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นการตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและมักจะทำเมื่อต้นกล้า อายุประมาณ 2 1/2 - 3 เดือนขึ้นไป


9. การพูนโคนต้นกล้า
ถ้าต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งมีเหง้าลอยพ้นดิน มักมีสาเหตุมาจากการที่หยอดเมล็ดตื้น หรือให้น้ำแบบสายยางฉีดรด หรือให้น้ำตามร่องจนชะดินลงมา ดังนั้นควรมีการตรวจแปลงกล้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบว่าต้นกล้าที่แตกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กและเป็นฝอย รากและเหง้าเล็กลง ทำให้ได้ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ จึงควรทำการพรวนดินกลบเหง้า (พูนโคนต้น) ต้นกล้าด้วย


10. การป้องกันกำจัดโรคและแมลงในระยะต้นกล้า
ในระยะนี้อาจมีโรค แมลงและหนอนต่าง ๆ เข้ามาทำลายบ้าง การป้องกันกำจัดก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นนับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งทำได้โดยการฉีดสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการระบาดของโรคและแมลงด้วย


การเตรียมแปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
แปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้น เกษตรกรนิยมทำแปลงปลูกแบบยกร่อง โดยจะปลูกหน่อไม้ฝรั่งบนสันร่อง สำหรับแนวร่อง นั้นอาจจะมีน้ำขังระหว่างร่องหรือไม่มี น้ำขังก็ได้

1. การยกร่องในที่ลุ่ม
การยกร่องแบบนี้มักจะนิยมทำกันในเขต ที่ราบลุ่มซึ่งมีน้ำขังได้ง่าย หรือมีการเปลี่ยนจากการทำนามาเป็นพืชผัก สภาพดินส่วนใหญ่จึงเป็นดินเหนียวหนักหรือดินร่วนเหนียวซึ่งเก็บกักน้ำได้ แต่ดินเหนียวลักษณะแบบนี้ไม่เหมาะต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากหน่อจะแทงออกมาได้ยากกว่าดินร่วนหรือดินทราย ซึ่งหน่อที่ได้จะโค้งหรือคดงอ จึงต้องทำการปรับปรุงสภาพของดินด้วยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อให้ดินมีความร่วนโปร่งพอที่จะทำให้หน่อแทงออกมาพ้นดินได้อย่างสะดวก ความกว้างของร่องควรกว้าง ประมาณ 4-5 เมตร มีร่องน้ำกว้างประมาณ 1 เมตร โดยใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวประมาณ 1-1.20 เมตร เพื่อให้เข้าไปเก็บเกี่ยวได้สะดวก

การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่งเมื่อปลูกแบบนี้ เกษตรกรนิยมใช้วิธีการตักรดโดยใช้กระบวยหรือแครงรดน้ำ หรืออาจจะใช้เครื่องพ่นน้ำโดยใช้เรือลาก หากใช้เครื่องพ่นน้ำควรทำฝักบัวให้มีรูมากพอ หรือใช้กำลังเครื่องยนต์ที่ไม่แรงเกินไปจนทำให้ต้นเสียหายหรือบอบช้ำจากการถูกน้ำกระแทก การยกร่องแบบนี้มีข้อเสียตรงที่ต้องมีการควรคุมระดับน้ำให้อยู่ไม่ต่ำกว่า 60 เซนติเมตร จากระดับผิวดิน และการเก็บหน่อไม้ฝรั่งก็ไม่สะดวกเพราะต้องข้ามระหว่างร่อง

2. การยกร่องในดินดอน
ในที่ดอนที่มีสภาพดินร่วนหรือดินทราย เช่น จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา ประจวบคีรีขันกาญจนบุรี และจังหวัดนครปฐมบางส่วน ลักษณะของดินดังกล่าวไม่สามารถจะเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ เกษตรกรจึงทำการยกร่อง เพื่อที่จะให้น้ำแก่ต้นหน่อไม้ฝรั่งโดยการปล่อยน้ำให้ไหลไปตามร่อง การเตรียมแปลงปลูกในที่ดิน จะต่างกับการยกร่องแปลงปลูกในที่ลุ่มตรงที่จะต้องมีการไถปรับระดับหน้าดินให้ลาดไปทางใดทางหนึ่ง โดยมีระดับความลาดเทของพื้นที่โดยประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ โดยให้แนวที่สูงที่สุดอยู่ใกล้แหล่งน้ำมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อประหยัดสายยางในการขึ้นน้ำ และยังทำให้การไหลของน้ำเป็นไปได้อย่างสะดวก
จากนั้นทำการปรับปรุงสภาพของดิน โดยการใส่ปุ๋ยปมักหรือใส่ปูนขาวการใส่ปุ๋ยหมักจะมากหรือน้อยกว่า 2-3 ตันนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ทำการไถพรวนแล้ว ว่ามีความร่วนซุยเหมาะสมเพียงใด ซึ่งสามารถทดสอบโดยใช้ถังก้นรั่วสูง 50 เซนติเมตร โกยดินใส่ลงไปจนเต็มแล้วราดน้ำลงไป ถ้าน้ำสามารถซึมลงสู่ก้นถังภายใน 1 นาที ก็แสดงว่าสภาพของดินนั้นใช้ได้ แต่ถ้าน้ำไม่สามารถซึมได้ภายใน 1 นาที แสดงว่าต้องเติมปุ๋ยหมักลงไปในดินอีก สำหรับปูนขาวนั้นหากจะให้แม่นยำควรใช้เครื่องมือตรวจสอบความเป็นกรดเป็นด่างของดิน แล้วคำนวณอัตราการใส่ปูนขาวที่เหมาะสมต่อไป

ความกว้างของสันร่องในที่ดอน หรือ 120-150 เซนติเมตร ร่องน้ำกว้าง 30-40 เซนติเมตร ส่วนความยาวไม่จำกัดแล้วแต่ขนาดของแปลงปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 150 เซนติเมตร ระยะที่แนะนำนี้ใช้กับพันธุ์ บร็อคอิมพรู๊ฟ เพราะขนาดของกอและขนาดของต้นจะใหญ่กว่าพันธุ์อื่น ๆ


การย้ายกล้าหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หลังจากที่กล้าหน่อไม้ฝรั่งมีอายุได้ 4-6 เดือน ต้นกล้าจะมีความแข็งแรงและมีอัตราการรอดตายสูง พร้อมที่จะให้หน่อที่มีคุณภาพดี จัดอยู่ในเกรดเอ (A) ในปริมาณมาก และให้ผลผลิตยาวนาน แต่เดิมนั้นเกษตรกรมักจะใจร้อน ทำการย้ายกล้าเมื่อกล้ามีอายุเพียง 2-3 เดือน หน่อไม้ฝรั่งที่ได้จะมีคุณภาพด้อยกว่าคือจะเป็นเกรดบี (B) มากกว่าเกรดเอ (A) จึงทำให้ขายผลผลิตได้ในราคาที่ต่ำกว่าเกษตรกรที่ยอมเสียเวลาย้ายกล้าเมื่ออายุประมาณ 4-6 เดือน

อย่างไรก็ดี หากต้นกล้ามีการเจริญเติบโตดี และแข็งแรงพอก็อาจทำการย้ายกล้าได้ก่อนที่ต้นกล้าจะมีอายุ 4-6 เดือน และถ้าหากต้นกล้ามีการเจริญเติบโตไม่ดีและอ่อนแอก็อาจจะต้องยืดระยะเวลาของการย้ายกล้าออกไปอีก

1. เพศหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งมีต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย ถ้าย้ายกล้าอายุ 6 เดือน จะสามารถคัดแยกเพศได้ การปลูกเป็นการค้าควรเลือกปลูกเฉพาะต้นตัวผู้ เพราะให้หน่อดกและมีขนาดสม่ำเสมอกว่าต้นตัวเมีย ถึงแม้ว่าจะให้หน่อที่มีขนาดเล็กกว่า ผลผลิตที่ได้จากต้นตัวเมียจะตกเกรดมากกว่าผลผลิตที่ได้จากต้นตัวผู้

2. ขนาดกล้าที่เหมาะสม
ต้นกล้าที่เหมาะสมในการย้ายปลูก จะต้องมีรากสะสมอาหารขนาดใหญ่ คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า
3 มิลลิเมตร มีจำนวนรากประมาณ 40 ราก มีตาขนาดใหญ่ ซึ่งจะสามารถสังเกตได้จากการขุดขึ้นมาดู แต่ถ้าไม่ขุดขึ้นมาก็อาจจะประมาณขนาดของตาและรากได้โดยดูจากการแทงหน่อใหม่ว่ามีขนาดใหญ่หรือไม่

3. การเตรียมกล้าก่อนการย้ายปลูก
จะต้องงดให้น้ำในแปลงกล้าประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อที่จะทำให้รากมีความเหนียวไม่เปราะหรือขาดง่ายก่อนถึงวันกำหนดย้ายกล้า 2-3 วัน ควรให้น้ำเพื่อให้ดินอ่อนตัวจะได้ทำการขุดต้นได้ง่าย และควรตัดลำต้นเหนือดินออกให้หมด โดยตัดให้เหลือส่วนที่อยู่เหนือดินประมาณ 10 เซนติเมตร ควรตัดด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นใต้ดิน การใช้กรรไกรตัดหญ้าที่คม ๆ ตัด จะทำให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นที่อยู่ใต้ดินน้อยกว่าการตัดด้วยมีดหรือวิธีอื่น ๆ

4. การขุดต้นกล้า
ควรใช้จอบ 2 ง่าม ขุดดินให้ห่างจากบริเวณรากให้มากที่สุด แล้วทำการแยกเอาดินที่ติดรากออกด้วยความนุ่มนวล หากมีการเตรียมดินในแปลงเพาะกล้าเป็นอย่างดี คือมีความร่วนซุยดี ดินที่เกาะติดรากอยู่จะหลุดร่วงโดยง่าย หรือออาจจะทำความสะอาดรากโดยการนำไปล้างน้ำก็ได้ เมื่อรากสะอาดดีแล้วนำต้นกล้าไปแช่ไว้ในน้ำที่มีส่วนผสมของสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เบนเลท หรือ แคปแทน หรือไดเทนเอ็ม 45 ฯลฯ อย่างน้อย 10 นาที จากนั้นจึงนำมาผึ่งให้แห้งก่อนที่จะนำมาใช้ปลูกต่อไป

5. หลุมปลูกและวิธีการย้ายปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
ก่อนย้ายปลูก 1 วันจะต้องให้น้ำในแปลงปลูกที่เตรียมไว้อย่างดีแล้วเพื่อให้ดินมีความชื้นพอเหมาะต่อการขุดหลุมปลูก สำหรับการเตรียมหลุมปลูกนั้น ควรมีการกำหนดจุดปลูกด้วยการขึงเชือกให้ตึงเพื่อเป็นแนว แล้วใช้ไม้ที่มีความยาว 50 เซนติเมตร ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะปลูกไว้บนแปลงปลูก โดยใช้ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 150 เซนติเมตร จากนั้นขุดหลุมกว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร ลึก 15-20 เซนติเมตร (1 หน้าจอบ) คลุกเคล้าปุ๋ยหมักที่หมักดีแล้ว 2 กะลามะพร้าว และปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 ในอัตรา 2 ช้อนชากับดินที่ขุดขึ้นมา แล้วใส่ลงไปในหลุมปลูก นำกล้าหน่อไม้ลงปลูกให้อยู่ต่ำกว่าระดับผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร โดยแผ่รากให้กระจายออกไปโดยรอบ แล้วกลบดินจากนั้นหยอดฟูราดานไว้รอบต้น (หรือรองก้นหลุม) ประมาณ 1 ช้อนชา เพื่อป้องกันแมลง หรือเสี้ยนดินที่อาจจะมากัดกินต้นกล้าได้

ต้นกล้าที่นำมาปลูก ควรคัดให้มีขนาดไล่เลี่ยกันปลูกในแปลงเดียวกันเพื่อให้การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างเสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง หลังจากย้ายปลูกแล้วควรคลุมดินด้วยฟางเพื่อช่วยรักษาความชื้นของดินไม่ให้แห้งเร็วเกินไปและควรรดน้ำผสมยากันราให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะ ในระยะแรกนี้ควรรดน้ำให้วันเว้นวันจนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชื้นในดินด้วย)


การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชชอบน้ำ ต้องปลูกในที่มีน้ำชลประทานตลอดปี มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้แห้งหรือแฉะเกินไป การให้น้ำต้องคำนึงถึงลักษณะของดินและสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ อย่างน้อยควรให้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ให้น้ำระบบร่อง) ถ้าหน่อไม้ฝรั่งขาดน้ำจะทำให้ต้นมีเส้นใยมาก เหนียว หน่อกระด้าง และมีคุณภาพต่ำ การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ คือแห้งหรือแฉะเกินไป อาจทำให้ลำต้นแตกเป็นแผลและอาจจะทำให้โรคเข้าทำลายได้ (วิธีการให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง มีหลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ เช่น การให้น้ำแบบเรือฉีดพ่น การให้น้ำแบบร่อง การให้น้ำแบบสปริงเกอร์ ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียด้วยว่าจะเลือกให้น้ำวิธีใดจึงจะเหมาะสม)

การให้ปุ๋ย
หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. ปุ๋ยเคมี
เพื่อให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งแข็งแรง เจริญเติบโตสม่ำเสมอ จึงควรให้ปุ๋ยลงในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน เช่น หลังจากย้ายปลูก 10-15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 15 กรัม (5 ช้อนชา) ต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่เป็นจุดห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ หรือโรยรอบโคนต้นก็ได้แล้วรดน้ำตาม หลักจากนั้นทุก ๆ เดือนใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่เป็นจุด ๆ หมุนเวียนกันไป แล้วใช้จอบพรวนดินกลบปุ๋ย

เกษตรบางรายทำการใส่ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่งโดยการโรยรอบต้น แล้วนำปุ๋ยส่วนหนึ่งโรยข้างต้นในร่องน้ำ ก่อนที่จะให้น้ำตาม ซึ่งก็เป็นวิธีที่ให้ผลดีเช่นเดียวกัน

2. ปุ๋ยหมัก
ควรใส่ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ตันต่อไร่ หลังจากใส่ปุ๋ยหมักเสร็จแล้ว ควรพรวนดินในแปลงปลูก และพูนดินกลบโคนต้น การใส่ปุ๋ยหมักนั้นควรใส่ในระหว่างการหยุดพักต้น


การไว้ต้นแม่เหนือดิน
หลังจากย้ายกล้าประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นจะงอกโผล่พ้นดิน เมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุมากขึ้นจำนวนต้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นที่งอกช่วงแรกก็จะเริ่มแก่ ถ้าไม่มีการตัดต้นออกบ้างบริเวณกอจะแน่นมีผลทำให้เป็นแหล่งสะสมโรค และแมลง อีกทั้งการให้หน่อใหม่จะเล็กลงด้วย ดังนั้นในช่วงเดือนที่ 3 หลังจากย้ายปลูกควรมีการตัดแต่งต้นออกบ้าง และตัดแต่งอีกครั้ง ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 15 วัน โดยให้เหลือต้นแม่เพียง 4-6 ต้นต่อกอ

การพรวนดินและการเติมปุ๋ย
หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
การพรวนดินจะทำให้บริเวณหน้าดินไม่แน่น หน่ออ่อนจะโผล่พ้นดินได้สะดวกไม่โค้งหรือคดงอ แต่การพรวนดินต้องทำ อย่างระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งชะงักการ ออกหน่อได้ ต้นหน่อไม้ฝรั่งในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรกหลังจากการย้ายปลูก ควรทำการพรวนดินและพูนโคน พร้อมทั้งเติมปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีและร่วน ขึ้น การพรวนดินและการเติมปุ๋ยคอกนี้จะกระ ทำทุก ๆ 3-4 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหน่อไม้ฝรั่งด้วย

การทำค้าง
หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ในพื้นที่ที่มีลมแรงและไม่มีแนวบังลม การทำค้างเพื่อช่วยพยุงลำต้นนับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ของการทำค้างก็เพื่อที่ ะรักษาลำต้น เหนือดินให้อยู่ได้นานที่สุด ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวและในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยปกติจะทำค้างเมื่อต้น หน่อไม้ฝรั่ง มีอายุ 2 เดือนหลังจากย้ายกล้าปลูก ไม้ที่ใช้ทำค้างอาจเป็นไม้รวกหรือไม้อื่น ๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว ความสูง ของค้าง แล้ว แต่ความเหมาะสม การปักค้างจะปักเป็นจุด ๆ ละ 2 หลัก และใช้เชือกไนล่อนขนาดพอเหมาะขึงตามความยาว ของแปลงระยะห่างของไม้แต่ละจุดประมาณ 2 เมตร หรือแล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งการทำค้างนี้จะทำไปตลอดอายุของการปลูก หน่อไม้ฝรั่งหากไม้ค้างผุควรทำการเปลี่ยนไม้ค้างอยู่เสมอ

การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ควรเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งหลังจากย้ายปลูกประมาณ 4-5 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นหน่อไม้ฝรั่งเป็นสำคัญ เมื่อเริ่มเก็บเกี่ยว จะต้องเก็บเกี่ยวทุกวันในช่วงเช้าเวลา 06.00-09.00 น. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำหน่อขาว ต้องเก็บในช่วง ตอนเช้ามืดเวลา 06.00 น. เพราะถ้าหน่อเจริญพ้นดินที่กลบไว้จะทำให้ส่วนปลายของหน่อมีสีเขียวส่วนโคนมีสีขาว ไม่เป็นที่ต้องการ ของโรงงานผลิตหน่อไม้ฝรั่งกระป๋อง แต่ปัจจุบันโรงงานบางแห่งยอมรับหน่อไม้ฝรั่งที่ส่วนปลายมีสีเขียวยาวไม่เกิน 2 นิ้ว ซึ่งเรียกว่า พวกกรีนทิป

การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งทำได้ง่าย ในกรณีที่เป็นหน่อสีเขียว จะเก็บเกี่ยวเมื่อหน่อโผล่พ้นผิวดินประมาณ 25 เซนติเมตร โดยใช้มือถอน ส่วนพวกหน่อสีขาวต้องใช้พลั่วขนาดเล็กคุ้ยดินแล้วจึงใช้มือถอน เมื่อถอนแล้วต้องกลบดินให้เรียบร้อย โดยทั่วไปถ้าใช้แรงงานไร่ละ 1 คน จะใช้เวลาเก็บเกี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง และตัดแต่งอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว การเก็บเกี่ยวจะต้องทำต่อเนื่องกันทุกวัน แต่หยุดพักการเก็บเกี่ยวเมื่อสภาพต้นทรุดโทรมมาก (ให้เกรดเอเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์) ของผลผลิตทั้งหมด


การปฎิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. ภายหลังการเก็บเกี่ยว ต้องนำหน่อไม้ฝรั่งเข้าร่มทันที และการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ควรจะกระทำในที่ร่มทั้งหมด เช่น การนำไปล้างน้ำสะอาด เพื่อชำระเอาดินและสิ่งสกปรกออก หรือตัดให้ได้ความยาวตามมาตรฐานการรับซื้อ
2. นำหน่อไม้ฝรั่งไปตัดแต่งโคน ให้ได้ความยาวตามที่พ่อค้ารับซื้อต้องการ ปกติจะตัดให้มีความยาว 25 เซนติเมตร คัดเกรดหน่อไม้ฝรั่งออกตามลักษณะที่ต้องการ เช่นเกรดเอตูม เกรดเอบาน เกรดบีตูม เกรดบีบาน เกรดซี และตกเกรด ส่วนขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนหน่อนั้น ผู้รับซื้อแต่ละแหล่งจะกำหนดไว้ไม่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าเกษตรกรจะปลูกก็ควรทำความตกลงเรื่องเกรดกับผู้ซื้อให้เรียบร้อยก่อน
3. นำหน่อไม้ฝรั่งที่คัดเกรดเรียบร้อยแล้วมา มัดรวมกันเป็นมัด ๆ หนักมัดละประมาณ 1-5 กิโลกรัม เพื่อสะดวกในการบรรจุและถ่ายออกจากภาชนะบรรจุ
4. ต้องทำการขนส่งออกสู่ตลาดหรือผู้รับซื้อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในการขนส่ง ถ้าเป็นระยะทางำกล ควรมีการลดความร้อนให้หน่อไม้ฝรั่งโดยการใช้น้ำแข็งป่นโรยสลับกับหน่อไม้ฝรั่งเป็นชั้น ๆ ในภาชนะบรรจุ
 
http://www.vegetweb.com/%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%9d%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%87/




หน้าถัดไป (2/2) หน้าถัดไป