หน้า: 1/2
หน่อไม้ฝรั่ง
1.พันธุ์ หน่อมไม้ฝรั่งที่มีอยู่ในประเทศไทยเรามีอยู่ 5 สายพันธุ์คือ
1.1 สายพันธุ์แมรี่วอชิงตัน
1.2 สายพันธุ์แคลิฟอร์เนีย 500
1.3 สายพันธุ์แคลิฟอร์เนีย 309
1.4 สายพันธุ์ไฮบริดอิมพีเรียล
1.5 สายพันธุ์บร็อคอิมพรู๊ฟ
2. ประเภทของหน่อไม้ฝรั่ง
การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบ่งการปลูกได้ 2 ประเภทคือ
2.1 การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบหน่อขาว ปลูกโดยการเอาดินหรืออินทรียวัตถุมากลบ หรือคลุมโคนต้นหน่อไม้ฝรั่งเพื่อไม่ให้หน่อไม้ฝรั่งสัมผัสแสงแดด
2.2 การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบหน่อเขียว ปลูกโดยการให้หน่อไม้ฝรั่งเจริญเติบโตโผล่พ้นวัสดุคลุมโคนต้นรับแสงแดด แต่จะมีการดูแลรักษามากกว่าการปลูกแบบหน่อขาว
3. การเพาะกล้าหน่อไม้ฝรั่ง
โดยเลือกสถานที่โล่งแจ้งปราศจากร่มเงา ระบายน้ำได้ดีไม่มีน้ำท่วมขัง จากนั้นเตรียมแปลงยกแปลงโดยการขุดหรือไถ ตากดิน ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ปรับหน้าดินให้เรียบ พ่นสารกันรา และสารเคมีป้องกันเชื้อรา แมลง และมด รดน้ำให้ชุ่ม หยอดเมล็ดเป็นจุดๆ ละ 1 เมล็ด ห่างกัน 10-12 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางข้าว รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ เมื่องอกแล้วประมาณ 10-15 วัน เมื่อเห็นต้นกล้าแล้วให้เอาฟางที่คลุมออกบ้าง เหลือไว้บางๆ หมั่นกำจัดวัชพืช พ่นสารป้องกันโรคและแมลงด้วย
4. การเตรียมดินปลูก
ไถดินตากแดดประมาณ 10-15 วัน เก็บวัชพืชออกให้หมด ปรับพื้นที่ให้เรียบ ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ไถพรวนดิน โดยการเตรียมดินมี 2 แบบ
4.1 การเตรียมดินแบบการปลูกผักโดยปลูกหน่อไม้ฝรั่งบนร่อง เตรียมดินโดยการไถพรวน แล้วใช้รถแทรคเตอร์ยกร่องแบบร่องผัก โดยใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ผสมลงไปด้วย
4.2 การเตรียมดินแบบยกร่องแบบร่องสวน กว้างประมาณ 4-5 เมตร ยาวแล้วแต่พื้นที่ มีการไถ หรือขุดตากดิน ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักรองพื้น ปรับหน้าดินให้เรียบ มีร่องน้ำกว้างประมาณ 1 เมตร เพื่อสะดวกในการตักนํ้ารด
4.3 การเตรียมดินแบบยกร่องแบบการปลูกข้าวโพดฝักอ่อน โดยปล่อยน้ำไปตามร่อง ปลูกหน่อไม้ฝรั่งบนสันร่อง เหมาะสำหรับพื้นที่ดินดอน น้ำไม่ท่วมขังระบายน้ำได้ดี โดยระยะปลูกที่เหมาะสม ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 150 เซนติเมตร
5. การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งปลูกได้เมื่อกล้าพร้อม เตรียมดินพร้อม โดยอายุของกล้าหน่อไม้ฝรั่งประมาณ 4-6 เดือน ทำการรดน้ำให้ชุ่มก่อนทุก 1-2 ชั่วโมง แล้วใช้เสียมกดดินงัดเอากอต้นกล้าหน่อมไม้ฝรั่ง นำไปปลูกบนร่องที่เตรียมไว้ โดยการขุดหลุม นำปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักใส่ลงไปร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 2 ช้อนชาต่อหลุม จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน นำกล้าลงปลูก รดน้ำให้ชุ่มเช้า-เย็น จนกว่าต้นกล้าที่นำไปปลูกตั้งตัวได้ก็ค่อยเว้นน้ำได้
6. การให้น้ำ
ควรพิจารณาการให้น้ำตามความเหมาะสม เหมือนพืชผักทั่วๆ ไป การให้น้ำมีทั้งแบบฉีดพ่น แบบร่อง แบบสปริงเกอร์
7. การใส่ปุ๋ย
แบ่งเป็นการใส่ปุ๋ยหมัก โดยแบ่งใส่หน่อไม้ฝรั่งปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ตันต่อไร่ และแบ่งเป็นการใส่ปุ๋ยเคมีเมื่อายุประมาณ 15 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 15 กรัมต่อ 1 หลุม และทุกๆ 30 วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กรัมต่อหลุม
8. การทำค้างให้หน่อไม้ฝรั่ง
ควรเลือกไม้ค้างที่แข็งแรงและใช้ได้ทนทานเท่าอายุของหน่อไม้ฝรั่ง โดยมีความสูงเท่าต้นหน่อไม้ฝรั่ง โดยปักของหน่อไม้ฝรั่ง
9. การเก็บเกี่ยว
หน่อไม้ฝรั่งอายุประมาณ 4-5 เดือน หลังย้ายกล้า ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ควรเก็บเวลาเช้ามืด หรือเวลาไม่เกิน 09.00 น. โดยเลือกเก็บเฉพาะหน่อที่โผล่พื้นผิวดินขึ้นมาประมาณ 25 เซนติเมตร โดยนำมาคัดเกรด รอส่งตลาด
10. โรคของหน่อไม้ฝรั่ง ได้แก่
10.1 โรคลำต้นไหม้ ป้องกันกำจัดโดยการพ่น เดอโรซาล หรือ เบนเลทโอดี
10.2 โรคลำต้นไหม้ที่เกิดจากเชื้อราเซอคอสปอร่า ป้องกันกำจัดโดยการพ่นบาวิสติน
10.3 โรคแอนแทรคโนส ป้องกันกำจัดโดยการพ่น แมนโคเซป ผสมกับคาร์เบนดาซิม
10.4 โรครากและโคนเน่า ป้องกันกำจัดโดยการลาดด้วยเทอร์ราคลอ
10.5 โรคเน่าเละของหน่อไม้ฝรั่ง ป้องกันกำจัดโดยการลาดด้วยปูนขาวบริเวณโคนต้น
10.6 โรคเน่าเปียกของหน่อไม้ฝรั่ง ป้องกันกำจัดโดยฉีดพ่นด้วย ซาพรอน หรือ พรอนโต อย่างใดอย่างหนึ่ง
11. แมลงศัตรูของหน่อไม้ฝรั่ง
เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนบุ้ง เพลี้ยไฟ แมลงเต่าทอง และแมลงศัตรูอื่นๆ ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นด้วยสารกลุ่มไพรีทรอยด์, กลุ่มสารระงับการลอกคราบ, เชื้อแบคทีเรีย, อิมิดาโคลพริด โดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแมลงศัตรูหน่อไม้ฝรั่ง
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
ลักษณะทั่วไปของหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักที่ได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน เพราะเป็นพืชที่มีแนวโน้ม ในด้านความต้องการของตลาดสูง ทั้งการส่งออกในรูปหน่อสดและอุตสาหกรรมแปรรูป ดังนั้นเกษตรกรจึงเริ่มหันมาปลูกหน่อไม้ฝรั่ง กันมากขึ้น ๆ หน่อไม้ฝรั่งที่พบเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไป มีทั้งชนิดหน่อสีขาวซึ่งใช้สำหรับแปรรูป มีปลูกกันมากที่จังหวัด สุพรรณบุรี และชนิด หน่อสีเขียว ซึ่งใช้รัปประทานสด มีปลูกกันมากที่จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี นนทบุรี และนครราชสีมา ไม่ว่าจะเป็นหน่อชนิดใดก็ตาม การปลูกจะมาจากพันธุ์เดียวกัน หรืออาจจะปลูกจากต่างพันธุ์กันก็ได้ แต่จะให้ผลผลิตหน่อสีขาว หรือสีเขียวขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติซึ่ง แตกต่างกัน ถ้าต้องการให้ได้หน่อสีขาว ก็ต้องพูนโคนกลบดินให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ประเทศในเขตอบอุ่น เช่น ในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น จะเก็บหน่อมาใช้ประโยชน์ได้เฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นสามารถปลูกและเก็บเกี่ยว หน่อไม้ฝรั่ง ได้ตลอดทั้งปี เราจึงควรใช้ความได้เปรียบนี้ผลิตหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออกในช่วงเวลาที่ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ อันเนื่องมาจากฤดูกาลไม่เหมาะสม เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชค่อนข้างใหม่ เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย อยู่ใน ขั้นกำลังพัฒนา แม้ว่าจะมีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งในประเทศไทยมานานแล้วก็ตาม แต่วีธีการปลูก พันธุ์ที่ใช้ปลูก การปฏิบัติดูแล รักษา ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ในการเพิ่มผลผลิตและวิธีการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้หน่อที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดเป็นที่ต้องการ ของตลาด ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุ หลายปี ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากหน่อสีขาว หรือ หน่อสีเขียว หน่อขาวหรือเขียวนี้เรียกว่า “สเปียร์” (Spear) ซึ่งเป็นส่วนของลำต้น หน่อไม้ฝรั่งประกอบด้วย
1. ราก
รากของหน่อไม้ฝรั่งมี 2 ชนิด คือ รากเนื้อ หรือรากแก้ว (fleshy root หรือ tuberous root) และรากฝอย (fibrous root)
1.1 รากเนื้อ เกิดจากส่วนตาของลำต้น ใต้ดิน (root stock) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/8-1/4 นิ้ว ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารและยึดลำต้นให้ตั้งอยู่ได้ เป็นรากที่ดูดซึมอาหารได้ดีเท่ารากฝอย ที่ผิวนอกของรากเนื้อมีรากขนอ่อน (root hair) ปกคลุมอยู่ทั่วไป รากเนื้อจะแผ่ขยายได้ปีละ 1 ฟุต สำหรับความลึกของการหยั่งรากขึ้นอยู่กับความลึกของหน้าดิน ความลึกของระดับน้ำใต้ดิน และความชื้นในดินโดยทั่วไปจะสามาระหยั่งลึกลงไปในดินได้มากกว่า 1 เมตร จึงควรเลือกปลูกหน่อไม้ฝรั่งในดินที่มีหน้าดินลึก
1.2 รากฝอย เป็นรากที่แตกออกจากรากเนื้อ ทำหน้าที่ดูดซึมอาหารในดิน (absorptive root) และยึดเหนี่ยวให้ต้นตั้งอยู่ได้ ปกติจะทำหน้าที่ได้เพียง 1 ปี ก็จะตายไป
2. ลำต้นและใบ
ส่วนของลำต้นในดิน (root stock หรือ rhizome หรือ crown) ติดอยู่กับส่วนราก ส่วนของลำต้นเหนือดินจะเจริญมาจากตาข้างของลำต้นใต้ดิน เมื่อเจริญขึ้นมาเป็นยอดแล้ว เรียกว่า ตายอด (bud shoot) หรือ สเปียร์ หรือหน่อ ปลายของหน่อจะปกคลุมด้วยใบแท้ ซึ่งต่อมาเมื่อหน่อเจริญขึ้นจะเห็นใบแท้เป็นเกล็ดบาง ๆ อยู่บริเวณข้อ ลำต้นเหนือดินจะมีความสูงประมาณ 90-120 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายเฟิร์น ส่วนที่เห็นว่าเป็นใบนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ใบจริง ๆ แต่เป็นกิ่งก้านที่เปลี่ยนไปทำหน้าที่แทนใบ เรียกว่า คลาโดด (cladodes) หรือ คลาโดฟิล (cladophyll) ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างอาหารให้แก่ต้น
3. ดอกและผล
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกต้นกัน คือ มีต้นที่ให้ดอกตัวผู้และต้นที่ให้ดอก ตัวเมียอย่างละเท่า ๆ กัน ซึ่งต้องอาศัยแมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร สำหรับต้นตัวผู้อาจให้ดอกที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แต่น้อยมาก ในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นเช่นในประเทศไทยนั้น ต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจะเจริญเติบโตเร็วมาก ภายในเวลา 4 เดือนนับจากวันงอก ต้นหน่อไม้ฝรั่งก็จะออกดอก การจำแนกว่าต้นใดเป็นต้นตัวผู้และต้นใดเป็นต้นตัวเมียสังเกตดูได้จากลักษณะดอกดังนี้
3.1 ดอกตัวผู้ มีลักษณะเป็นรูประฆัง มีสีเขียวแกมเหลือง มีขนาดดอกใหญ่ และยาวกว่าดอกตัวเมีย ดอกส่วนใหญ่จะอยู่ตามข้อและอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-3 ดอก ภายในดอกประกอบด้วยอับเรณู 6 อัน และเกสรตัวเมียที่ไม่สมบูรณ์
3.2 ดอกตัวเมีย มีขนาดเล็กมองเห็นได้ชัดและมีไม่มากเหมือนดอกตัวผู้ ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 6 อัน ที่ไม่สมบูรณ์รังไข่ 3 พู และก้านเกสรตัวเมียขนาดสั้น ดอกตัวเมียและดอกสมบูรณ์เพศจะให้ผลแบบเบอรี่ (berry) ขนาดเล็ก ขณะที่ผลยังอ่อนอยู่จะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลมีรูปร่างค่อนข้างกลมโดยปกติแต่ละผลจะมี 3 เมล็ดบางผลมีถึง 6 เมล็ด เมล็ดมีสีดำรูปร่างกึ่งกลมกึ่งเหลี่ยม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/8 นิ้ว
โดยปกติต้นหน่อไม้ฝรั่งที่ให้ดอกตัวผู้หรือเรียกง่าย ๆ ว่าต้นตัวผู้โดยเฉลี่ยจะให้น่อสดมากกว่าและนานกว่าต้นตัวเมีย แต่ต้นตัวเมียจะให้หน่อสดที่มีขนาดเฉลี่ยแล้วใหญ่กว่าหน่อสดของต้นตัวผู้
ประเภทของหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หน่อไม้ฝรั่งที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยมี 2 ลักษณะ คือ
ปลูกแบบหน่อเขียวและปลูกแบบหน่อขาว
1. หน่อเขียว
หน่อเขียว คือ หน่อไม้ฝรั่งที่มีการปล่อยให้หน่ออ่อนงอกพ้นเหนือดินและได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ จึงทำให้ได้หน่อที่มีสีเขียว ปกติจะใช้บริโภคสดหรือแช่แข็ง เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบหน่อเขียวนี้จะยุ่งยากกว่าหน่อขาว เนื่องจากผู้ปลูกต้องควบคุมคุณภาพของหน่อให้ได้มาตรฐาน คือ ต้องให้หน่อมีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และให้มีความเขียวของหน่อวัดจากปลายยอดลงมาไม่ต่ำกว่า 18 เซนติเมตร นอกจากนี้ปลายของหน่อซึ่งมีก้านใบเล็ก ๆ จะต้องไม่บาน หน่อไม่โค้งหรือคดงอและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 0.8 เซนติเมตร จึงจะขายได้ราคาดี
2. หน่อขาว
หน่อขาว คือ หน่อไม้ฝรั่งที่มีการใช้ดินหรืออินทรีย์วัตถุกลบหรือคลุมโคนต้น เพื่อไม่ให้หน่ออ่อนถูกแสงแดด จึงทำให้หน่อที่ได้เมื่อถอนออกมามีสีขาวหน่อขาวไม่จำเป็นต้องรักษาคุณภาพในเรื่องรูปร่างและขนาดมากเหมือนกับหน่อเขียวเนื่องจากหน่อขาวจะต้องนำมาลอกเปลือกหรือตัดส่วนที่มีตำหนิออกก่อนที่จะนำไปบรรจุลงในกระป๋อง ดังนั้นหน่อขาวจึงขายได้ราคาถูกกว่าหน่อเขียว
พันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
พันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่เกษตรกรใช้ในการปลูกมี 5 พันธุ์ คือ
1. แม่รี่วอชิงตัน (Marywashington) เป็นพันธุ์แรกที่ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย พันธุ์นี้ให้ผลดีพอสมควรเหมาะที่จะปลูกทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากให้ผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์อื่น
2. แคลิฟอร์เนีย 500 (Califormia 500) พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์แมรี่วอชิงตัน จากรายงานของต่างประเทศ หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยวเร็ว สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว
3. แคลิฟอร์เนีย 309 (California 309) พันธุ์นี้จากการทดสอบของศูนย์วิจัยพืชผักเขตร้อนพบว่าเป็นพันธุ์ที่แข็งแรงมีแนวโน้มในการให้ผลผลิตที่ดีกว่าและขนาดของหน่อใหญ่กว่าสองพันธุ์แรกเล็กน้อย พันธุ์นี้สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว
4. ไฮบริดอิมพีเรียล (Hybrid Imperial) เป็นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 2 ให้ผลผลิตค่อนข้างสูงกว่า 3 พันธุ์ที่กล่าวมา พันธุ์นี้สามารถปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว
5. บร็อคอิมพรู๊ฟ (Brock’s improved) เป็นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่า 4
สายพันธุ์ที่กล่าวมา จึงทำให้เมล็ดพันธุ์มีราคาแพงมาก เกษตรกรทั่วไปนิยมใช้พันธุ์นี้ปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในเขตจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้เพราะทำให้ได้หน่อไม้ฝรั่งที่มีรูปร่างและขนาดใหญ่ได้คุณภาพตามมาตรฐานและให้ผลผลิตสูง เกษตรกรสามารถขายได้ทุนคืนในปีแรกและให้ผลกำไรที่ดีในปีต่อ ๆ มา พันธุ์นี้ปลูกได้ทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียวเช่นกัน ในปัจจุบันได้มีการนำหน่อไม้ฝรั่งเข้ามาทดลองปลูกอีกหลายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ใช้ปลูกทั้งแบบหน่อขาวและหน่อเขียว เช่น เจนลิม, แฟรงค์ลิม, ยูซี 157, บูนลิม, แบคลิม และพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งยังอยู่ในช่วงของการทดสอบผลผลิตอยู่
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ได้แก่ ดินที่มีเนื้อดินร่วนจนถึงดินเหนียวร่วน หน้าดินลึกและมีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ระดับปานกลางขึ้นไป ส่วนดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี มีน้ำขัง มีชั้นดินดานข้างใต้ เป็นกรดและด่างจัด นับว่าเป็นดินที่ไม่เหมาะแก่การปลูกพืช ทั้งนี้เพราะดินดังกล่าวเป็นอุปสรรคที่สำคัญซึ่งขัดขวางการเจริญเติบโตของรากพืช เป็นสาเหตุให้พืชเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตต่ำ ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงมีข้อควรพิจารณาดังนี้
1. ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินที่ไม่เป็นกรดจัดคือ มีพีเอช (pH) 6.0-6.8 ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวหรือปูนเปลือกหอยเพื่อปรับปรุงดิน ในภาคกลางต้องใส่ปูนขาวประมาณ 150-200 กิโลกรัมต่อไร่
2. ความลึกของชั้นหน้าดิน
ในการปลูกพืชล้มลุกนั้น ชั้นดินบนที่มีความลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร จะมีความสำคัญที่สุด แต่สำหรับหน่อไม้ฝรั่งควรมีชั้นของดินบนและดินล่างลึกตั้งแต่ 50 ซม.- 1 เมตร เนื่องจากรากสามารถเจริญเติบโตแผ่ขยายไปดูดน้ำและธาตุอาหารจากดินล่างได้ด้วย ดังนั้นการเลือกพื้นที่สำหรับปลูกหน่อไม้ฝรั่งจึงควรเลือกที่ที่มีชั้นหน้าดินลึก มีการระบายน้ำและมีความอุดมสมบูรณ์ในระดับปานกลางเป็นอย่างน้อย
3. ระดับน้ำใต้ดิน
ระดับน้ำใต้ดินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ควรมีระดับน้ำใต้ดินสูงมากกว่า 1 เมตร แม้ในฤดูฝน เพราะจะทำให้การเจริญเติบโตของรากไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อมีอายุย่างเข้าปีที่สอง พื้นที่ใดมีระดับน้ำใต้ดินสูง ส่วนของดินที่รากจะแผ่ขยายไปหาอาหารก็จะลดน้อยลงไป และหากเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมขังระบบรากได้ง่ายด้วยแล้ว อาจทำให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งตายได้การปลูกหน่อไม้ฝรั่งระบบร่องจีน ในฤดูฝนต้องสูบน้ำออกจากแปลงเพื่อปรับระดับน้ำใต้ดินให้พอเหมาะ หน่อไม้ฝรั่งจึงจะเจริญได้ดี
ในเรื่องลักษณะของดินสรุปได้ว่า
1. หน่อไม้ฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมแก่การปลูกควรมีหน้าดินลึก
2. ควรเป็นดินที่เก็บความชื้นได้ดีพอสมควร สามารถระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี ไม่ขัดขวางการเจริญเติบโตของหน่ออ่อนและการไชชอนของราก เช่น ดินทราย ดินร่วน หรือดินร่วนเหนียว
3. ดินทรายจัดและดินปนกรวดไม่เหมาะแก่การ ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากดินทรายจัดเก็บความชื้นได้น้อย ส่วนดินปนกรวดทำให้หน่อโค้งงอ
4. ดินเหนียวจัดไม่เหมาะแก่การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากมีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศไม่ดี อาจมีน้ำขังแฉะและทำให้การแทงหน่อไม่ค่อยดีนัก
ดังนั้นดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสูง การปลูกเพื่อผลิตหน่อขาวจำเป็นต้องใส่อินทรีย์วัตถุและปุ๋ยหมักมากพอสมควร ในเขตพื้นที่ลุ่มของภาคกลาง เช่นในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมจำเป็นต้องปลูกหน่อไม้ฝรั่งในแปลงผักแบบยกร่อง ขนาดความกว้างของแปลงประมาณ 4-5 เมตร ความกว้างของร่องน้ำประมาณ 1 เมตร ซึ่งดินจะเป็นดินเหนียวหนักสีดำ แต่ก็สามารถปลูกหน่อไม้ฝรั่งเพื่อทำหน่อเขียวได้ โดยต้องใส่อินทรีย์วัตถุรอบ ๆ โคนต้นเพื่อปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหน่อไม้ฝรั่งและต้องเติมอินทรีย์วัตถุทุก ๆ เดือนจึงจะดี
การเพาะกล้าหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. เมล็ดพันธุ์
เมล็ดพันธุ์ที่ดีควรจะมีอัตราความงอกสูง (โดยดูจากฉลากที่ติดมากับกระป๋อง) มีความบริสุทธิ์ตรงตามพันธุ์ที่กำหนดไว้ เมล็ดพันธุ์ที่บรรจุกระป๋องจำหน่ายในปัจจุบันหนัก 1 ปอนด์ (453.6 กรัม) จะมีเมล็ดประมาณ 13,000-23,000 เมล็ดแล้วแต่พันธุ์ ซึ่งสามารถเพาะเมล็ดแล้วให้ต้นกล้าสำหรับย้ายปลูกได้ 2-4 ไร่ โดยจะใช้พื้นที่เพาะกล้าประมาณ 500-600 ตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราความงอกของเมล็ดตลอดจนเทคนิคและวิธีการเพาะกล้าของผู้ปลูก
2. การเตรียมแปลงเพาะกล้า
แปลงเพาะกล้าควรเลือกสถานที่ที่เหมาะสม ลักษณะแปลงเพาะกล้าที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
2.1 ควรเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่มีร่มเงาของต้นไม้ อาคารหรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
2.2 เป็นที่ที่มีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขังเมื่อให้น้ำหรือมีฝนตก
2.3 มีสภาพความเป็นกรดหรือด่างเหมาะสม ควรเป็นกลางหรือกรดเล็กน้อย (พีเอช 6.0-6.8)
2.4 ไม่เป็นที่สะสมของโรค เช่น โรคแอนแทรคโนส โรคลำต้นไม้ โรครากเน่าโคนเน่า
2.5 ไม่เป็นที่สะสมของแมลง เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผักเพลี้ยไฟ
2.6 ควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
2.7 ดินเป็นดินร่วนปนทรายหรือปรับปรุงให้ร่วนซุยโดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่หมักสมบูรณ์แล้ว
2.8 ควรเป็นที่ที่ปราศจากวัชพืช เช่น แห้วหมู หญ้าแพรก หญ้าปล้อง ฯลฯ หรือได้กำจัดวัชพืชจนหมดแล้ว เมื่อเลือกที่ได้แล้วทำการขุดหรือไถดินให้ลึก เก็บวัชพืชออกให้หมดและตากดินไว้ประมาณ 10-15 วัน จากนั้นจึงย่อยดินให้ละเอียดและใส่วัสดุปรับปรุงดิน
3. วัสดุปรับปรุงดิน
มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ใช้ในการเพาะกล้า ปกติมักจะเลือกใช้ดังนี้
3.1 ปุ๋ยหมัก ควรเป็นปุ๋ยหมักเก่า (เมื่อเอามือซุกเข้าไปในกองปุ๋ยจะไม่รู้สึกร้อน)
3.2 ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 หรือ 21-0-0
3.3 ปูนขาว
3.4 สารเคมีป้องกันกำจัดโรครา ได้แก่
- แคปแทน เช่น ออร์โธไซด์ แคปแทน 50 แคปตาไซด์ 50 ฯลฯ
- แมนโคเซ็บ เช่น ไดเทนเอ็ม 45 เชลล์เทนเอ็ม 45 เทนเอ็ม 45 ฯลฯ
3.5 สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ได้แก่
- คาร์โบฟูแรน เช่น ฟูราดาน (ใช้พร้อมกับการหยดเมล็ดเท่านั้น)
- โมโนโครโตฟอส เช่น อโซดริน นูวาครอน คาร์วิน 56 ฯลฯ
- คาร์บาริล เช่น เซฟวิน เอส 85 เอสวิน 85 เซฟวิน เอฟ 3 เซฟวิน 85 ฯลฯ
- ไพรีทอยด์ เช่น แอมบุช พีราทอย ฯลฯ
3.6 แกลบ ฟาง
3.7 บัวรดน้ำ
3.8 อุปกรณ์การเตรียมแปลง จอบ คราด ไม้ปาดแปลง ไม้ชักร่อง
วัสดุปรับปรุงดิน ที่ใช้ต่อพื้นที่เพาะกล้า 1 ตารางเมตร คือ
ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 กิโลกรัม
ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 30 กรัม (10 ช้อนชา)
ปูนขาว 10 กรัม (3-4 ช้อนชา)
คลุกเคล้าวัสดุปรับปรุงดิน ยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดกว้าง 1.5 เมตร (รวมร่องน้ำ) เกลี่ยดินบนแปลงให้เรียบ ทำร่องในแนวขวางแปลงโดยใช้ไม้ชักร่องกดลง (ไม้ชักร่องหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร) ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ให้แต่ละร่อง ห่างกัน 15-20 เซนติเมตร
4. การหยอดเมล็ด
นำเมล็ดมาหยอดลงในร่องที่เตรียมไว้ หยอดเมล็ดเป็นจุด ๆ ละ 1 เมล็ดห่างกันจุดละ 10-15 เซนติเมตร โรยทับด้วยฟูราดานบาง ๆ ในร่อง จากนั้นกลบเมล็ดโดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เขี่ยดินขอบร่องลงกลบในร่องบาง ๆ แล้วใช้ฟางคลุมทับบนแปลงหนาพอประมาณ ละลายยาป้องกันเชื้อรา เช่น แคปแทนหรือแมนโคเช็บอัตรา 2 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร ใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่วแปลง จากนั้นรดน้ำตามให้ชุ่ม
5. การให้น้ำ
ระยะแรก ๆ จะต้องรดน้ำให้บ่อยครั้ง อย่าปล่อยทิ้งให้แปลงแห้ง หลังจากหยอดเมล็ดได้ประมาณ 10-15 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก เปิดฟางออกบ้างให้เหลือฟางเพียงบาง ๆ เพื่อให้ต้นกล้างอกได้สะดวกหน่อไม้ฝรั่งต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอในการเจริญเติบโต วิธีการให้น้ำที่เหมาะสมสำหรับในแปลงเพาะกล้า คือ ควรให้น้ำแบบพ่นฝอยหรือสปริงเกอร์ แต่วิธีนี้จะใช้เงินลงทุนสูงมาก เกษตรกรจึงนิยมให้น้ำแบบอื่น ๆ เช่นปล่อยตามร่อง หรือใช้แบบปั๊มมีสายยางรด ซึ่งลงทุนต่ำกว่า อย่างไรก็ตามหลักการให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง คือต้องให้ต้นกล้าได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอไม่แฉะหรือแห้งจนเกินไป และอย่าให้น้ำฉีดถูกต้นอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ต้นกล้าบอกช้ำทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย
6. การให้ปุ๋ย
การให้ปุ๋ยในระยะแรก ๆ จะให้ในรูปของปุ๋ยละลายน้ำ โดยใช้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 10 กรัม (3-4 ช้อนชา) ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้สลับกับปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตราที่เท่ากัน ละลายปุ๋ยใส่บัวรดน้ำราดบนแปลงแล้วรดน้ำตามให้ชุ่มประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง ให้ประมาณ 3-4 ครั้ง จากนั้นเริ่มให้ปุ๋ยเม็ด สำหรับปุ๋ยเม็ดให้ใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 15-20 กรัม (5-7 ช้อนชา) ต่อพื้นที่ปลูกประมาณ 1 ตารางเมตรใส่ปุ๋ยเม็ดเดือนละครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้ง ใส่พร้อมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 200-300 กรัม ถ้าไม่มีแรงงานพอในการให้ปุ๋ยแบบละลายน้ำรด ในเดือนแรกให้ใช้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 10-15 กรัมต่อพื้นที่ปลูก 1 ตารางเมตร ในเดือนที่ 2 ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 15-20 กรัมต่อ 1 ตารางเมตร ถ้าต้นแสดงอาการขาดไนโตรเจนคือมีอาการปลายยอดเหลือง จะต้องเพิ่มการให้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 ในอัตราเท่ากับเดือนแรก หลังจากนั้นให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตราเท่ากันทุกเดือน โดยใส่ระหว่างร่องปลูก
ข้อควรระวังในการให้ปุ๋ย
หลังจากใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรให้น้ำตามอย่างพอเหมาะ เพื่อที่น้ำจะได้ไปละลายปุ๋ยให้เป็นประ โยชน์ต่อหน่อไม้ฝรั่ง การให้ปุ๋ยที่ถูกต้อง ควรใส่แบบฝังปุ๋ยลงในดินใกล้บริเวณรากหน่อไม้ฝรั่ง ไม่ควรใส่ปุ๋ยให้ติดรากหน่อไม้ฝรั่งเพราะอาจจะทำให้ต้นเหี่ยวได้
7. การกำจัดวัชพืช
หลังจากกล้าหน่อไม้ฝรั่งงอกแล้ว ควรมีการกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ การกำจัดวัชพืชในช่วงเดือนแรกของการเพาะกล้าควรทำอย่างระมัดระวังเพราะกล้าหน่อไม้ฝรั่งยังอ่อนแออยู่ หากกระทบกระเทือนอาจทำให้ต้นกล้าตายได้ การใช้มือถอนจะดีที่สุด การกำจัดวัชพืชบนแปลงกล้าไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช แต่ถ้าเป็นรอบ ๆ บริเวณแปลงเพาะกล้า หรือบริเวณทางเดินสามารถใช้สารเคมีได้โดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ
8. การตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่ง
การตัดแต่งต้นกล้าจะทำให้ต้นโปร่งขึ้น ไม่เป็นที่สะสมของโรคและแมลง และสามารถพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้การตัดแต่งต้นจะทำให้มีการสะสมอาหารที่เหง้าและตามากขึ้น ทำให้เหง้าและตามีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นการตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและมักจะทำเมื่อต้นกล้า อายุประมาณ 2 1/2 - 3 เดือนขึ้นไป
9. การพูนโคนต้นกล้า
ถ้าต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งมีเหง้าลอยพ้นดิน มักมีสาเหตุมาจากการที่หยอดเมล็ดตื้น หรือให้น้ำแบบสายยางฉีดรด หรือให้น้ำตามร่องจนชะดินลงมา ดังนั้นควรมีการตรวจแปลงกล้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบว่าต้นกล้าที่แตกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กและเป็นฝอย รากและเหง้าเล็กลง ทำให้ได้ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ จึงควรทำการพรวนดินกลบเหง้า (พูนโคนต้น) ต้นกล้าด้วย
10. การป้องกันกำจัดโรคและแมลงในระยะต้นกล้า
ในระยะนี้อาจมีโรค แมลงและหนอนต่าง ๆ เข้ามาทำลายบ้าง การป้องกันกำจัดก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นนับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งทำได้โดยการฉีดสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการระบาดของโรคและแมลงด้วย
การเตรียมแปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
แปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้น เกษตรกรนิยมทำแปลงปลูกแบบยกร่อง โดยจะปลูกหน่อไม้ฝรั่งบนสันร่อง สำหรับแนวร่อง นั้นอาจจะมีน้ำขังระหว่างร่องหรือไม่มี น้ำขังก็ได้
1. การยกร่องในที่ลุ่ม
การยกร่องแบบนี้มักจะนิยมทำกันในเขต ที่ราบลุ่มซึ่งมีน้ำขังได้ง่าย หรือมีการเปลี่ยนจากการทำนามาเป็นพืชผัก สภาพดินส่วนใหญ่จึงเป็นดินเหนียวหนักหรือดินร่วนเหนียวซึ่งเก็บกักน้ำได้ แต่ดินเหนียวลักษณะแบบนี้ไม่เหมาะต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากหน่อจะแทงออกมาได้ยากกว่าดินร่วนหรือดินทราย ซึ่งหน่อที่ได้จะโค้งหรือคดงอ จึงต้องทำการปรับปรุงสภาพของดินด้วยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อให้ดินมีความร่วนโปร่งพอที่จะทำให้หน่อแทงออกมาพ้นดินได้อย่างสะดวก ความกว้างของร่องควรกว้าง ประมาณ 4-5 เมตร มีร่องน้ำกว้างประมาณ 1 เมตร โดยใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวประมาณ 1-1.20 เมตร เพื่อให้เข้าไปเก็บเกี่ยวได้สะดวก
การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่งเมื่อปลูกแบบนี้ เกษตรกรนิยมใช้วิธีการตักรดโดยใช้กระบวยหรือแครงรดน้ำ หรืออาจจะใช้เครื่องพ่นน้ำโดยใช้เรือลาก หากใช้เครื่องพ่นน้ำควรทำฝักบัวให้มีรูมากพอ หรือใช้กำลังเครื่องยนต์ที่ไม่แรงเกินไปจนทำให้ต้นเสียหายหรือบอบช้ำจากการถูกน้ำกระแทก การยกร่องแบบนี้มีข้อเสียตรงที่ต้องมีการควรคุมระดับน้ำให้อยู่ไม่ต่ำกว่า 60 เซนติเมตร จากระดับผิวดิน และการเก็บหน่อไม้ฝรั่งก็ไม่สะดวกเพราะต้องข้ามระหว่างร่อง
2. การยกร่องในดินดอน
ในที่ดอนที่มีสภาพดินร่วนหรือดินทราย เช่น จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา ประจวบคีรีขันกาญจนบุรี และจังหวัดนครปฐมบางส่วน ลักษณะของดินดังกล่าวไม่สามารถจะเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ เกษตรกรจึงทำการยกร่อง เพื่อที่จะให้น้ำแก่ต้นหน่อไม้ฝรั่งโดยการปล่อยน้ำให้ไหลไปตามร่อง การเตรียมแปลงปลูกในที่ดิน จะต่างกับการยกร่องแปลงปลูกในที่ลุ่มตรงที่จะต้องมีการไถปรับระดับหน้าดินให้ลาดไปทางใดทางหนึ่ง โดยมีระดับความลาดเทของพื้นที่โดยประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ โดยให้แนวที่สูงที่สุดอยู่ใกล้แหล่งน้ำมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อประหยัดสายยางในการขึ้นน้ำ และยังทำให้การไหลของน้ำเป็นไปได้อย่างสะดวก
จากนั้นทำการปรับปรุงสภาพของดิน โดยการใส่ปุ๋ยปมักหรือใส่ปูนขาวการใส่ปุ๋ยหมักจะมากหรือน้อยกว่า 2-3 ตันนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ทำการไถพรวนแล้ว ว่ามีความร่วนซุยเหมาะสมเพียงใด ซึ่งสามารถทดสอบโดยใช้ถังก้นรั่วสูง 50 เซนติเมตร โกยดินใส่ลงไปจนเต็มแล้วราดน้ำลงไป ถ้าน้ำสามารถซึมลงสู่ก้นถังภายใน 1 นาที ก็แสดงว่าสภาพของดินนั้นใช้ได้ แต่ถ้าน้ำไม่สามารถซึมได้ภายใน 1 นาที แสดงว่าต้องเติมปุ๋ยหมักลงไปในดินอีก สำหรับปูนขาวนั้นหากจะให้แม่นยำควรใช้เครื่องมือตรวจสอบความเป็นกรดเป็นด่างของดิน แล้วคำนวณอัตราการใส่ปูนขาวที่เหมาะสมต่อไป
ความกว้างของสันร่องในที่ดอน หรือ 120-150 เซนติเมตร ร่องน้ำกว้าง 30-40 เซนติเมตร ส่วนความยาวไม่จำกัดแล้วแต่ขนาดของแปลงปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 150 เซนติเมตร ระยะที่แนะนำนี้ใช้กับพันธุ์ บร็อคอิมพรู๊ฟ เพราะขนาดของกอและขนาดของต้นจะใหญ่กว่าพันธุ์อื่น ๆ
การย้ายกล้าหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หลังจากที่กล้าหน่อไม้ฝรั่งมีอายุได้ 4-6 เดือน ต้นกล้าจะมีความแข็งแรงและมีอัตราการรอดตายสูง พร้อมที่จะให้หน่อที่มีคุณภาพดี จัดอยู่ในเกรดเอ (A) ในปริมาณมาก และให้ผลผลิตยาวนาน แต่เดิมนั้นเกษตรกรมักจะใจร้อน ทำการย้ายกล้าเมื่อกล้ามีอายุเพียง 2-3 เดือน หน่อไม้ฝรั่งที่ได้จะมีคุณภาพด้อยกว่าคือจะเป็นเกรดบี (B) มากกว่าเกรดเอ (A) จึงทำให้ขายผลผลิตได้ในราคาที่ต่ำกว่าเกษตรกรที่ยอมเสียเวลาย้ายกล้าเมื่ออายุประมาณ 4-6 เดือน
อย่างไรก็ดี หากต้นกล้ามีการเจริญเติบโตดี และแข็งแรงพอก็อาจทำการย้ายกล้าได้ก่อนที่ต้นกล้าจะมีอายุ 4-6 เดือน และถ้าหากต้นกล้ามีการเจริญเติบโตไม่ดีและอ่อนแอก็อาจจะต้องยืดระยะเวลาของการย้ายกล้าออกไปอีก
1. เพศหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งมีต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย ถ้าย้ายกล้าอายุ 6 เดือน จะสามารถคัดแยกเพศได้ การปลูกเป็นการค้าควรเลือกปลูกเฉพาะต้นตัวผู้ เพราะให้หน่อดกและมีขนาดสม่ำเสมอกว่าต้นตัวเมีย ถึงแม้ว่าจะให้หน่อที่มีขนาดเล็กกว่า ผลผลิตที่ได้จากต้นตัวเมียจะตกเกรดมากกว่าผลผลิตที่ได้จากต้นตัวผู้
2. ขนาดกล้าที่เหมาะสม
ต้นกล้าที่เหมาะสมในการย้ายปลูก จะต้องมีรากสะสมอาหารขนาดใหญ่ คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า
3 มิลลิเมตร มีจำนวนรากประมาณ 40 ราก มีตาขนาดใหญ่ ซึ่งจะสามารถสังเกตได้จากการขุดขึ้นมาดู แต่ถ้าไม่ขุดขึ้นมาก็อาจจะประมาณขนาดของตาและรากได้โดยดูจากการแทงหน่อใหม่ว่ามีขนาดใหญ่หรือไม่
3. การเตรียมกล้าก่อนการย้ายปลูก
จะต้องงดให้น้ำในแปลงกล้าประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อที่จะทำให้รากมีความเหนียวไม่เปราะหรือขาดง่ายก่อนถึงวันกำหนดย้ายกล้า 2-3 วัน ควรให้น้ำเพื่อให้ดินอ่อนตัวจะได้ทำการขุดต้นได้ง่าย และควรตัดลำต้นเหนือดินออกให้หมด โดยตัดให้เหลือส่วนที่อยู่เหนือดินประมาณ 10 เซนติเมตร ควรตัดด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นใต้ดิน การใช้กรรไกรตัดหญ้าที่คม ๆ ตัด จะทำให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นที่อยู่ใต้ดินน้อยกว่าการตัดด้วยมีดหรือวิธีอื่น ๆ
4. การขุดต้นกล้า
ควรใช้จอบ 2 ง่าม ขุดดินให้ห่างจากบริเวณรากให้มากที่สุด แล้วทำการแยกเอาดินที่ติดรากออกด้วยความนุ่มนวล หากมีการเตรียมดินในแปลงเพาะกล้าเป็นอย่างดี คือมีความร่วนซุยดี ดินที่เกาะติดรากอยู่จะหลุดร่วงโดยง่าย หรือออาจจะทำความสะอาดรากโดยการนำไปล้างน้ำก็ได้ เมื่อรากสะอาดดีแล้วนำต้นกล้าไปแช่ไว้ในน้ำที่มีส่วนผสมของสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เบนเลท หรือ แคปแทน หรือไดเทนเอ็ม 45 ฯลฯ อย่างน้อย 10 นาที จากนั้นจึงนำมาผึ่งให้แห้งก่อนที่จะนำมาใช้ปลูกต่อไป
5. หลุมปลูกและวิธีการย้ายปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
ก่อนย้ายปลูก 1 วันจะต้องให้น้ำในแปลงปลูกที่เตรียมไว้อย่างดีแล้วเพื่อให้ดินมีความชื้นพอเหมาะต่อการขุดหลุมปลูก สำหรับการเตรียมหลุมปลูกนั้น ควรมีการกำหนดจุดปลูกด้วยการขึงเชือกให้ตึงเพื่อเป็นแนว แล้วใช้ไม้ที่มีความยาว 50 เซนติเมตร ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะปลูกไว้บนแปลงปลูก โดยใช้ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 150 เซนติเมตร จากนั้นขุดหลุมกว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร ลึก 15-20 เซนติเมตร (1 หน้าจอบ) คลุกเคล้าปุ๋ยหมักที่หมักดีแล้ว 2 กะลามะพร้าว และปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 ในอัตรา 2 ช้อนชากับดินที่ขุดขึ้นมา แล้วใส่ลงไปในหลุมปลูก นำกล้าหน่อไม้ลงปลูกให้อยู่ต่ำกว่าระดับผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร โดยแผ่รากให้กระจายออกไปโดยรอบ แล้วกลบดินจากนั้นหยอดฟูราดานไว้รอบต้น (หรือรองก้นหลุม) ประมาณ 1 ช้อนชา เพื่อป้องกันแมลง หรือเสี้ยนดินที่อาจจะมากัดกินต้นกล้าได้
ต้นกล้าที่นำมาปลูก ควรคัดให้มีขนาดไล่เลี่ยกันปลูกในแปลงเดียวกันเพื่อให้การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างเสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง หลังจากย้ายปลูกแล้วควรคลุมดินด้วยฟางเพื่อช่วยรักษาความชื้นของดินไม่ให้แห้งเร็วเกินไปและควรรดน้ำผสมยากันราให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะ ในระยะแรกนี้ควรรดน้ำให้วันเว้นวันจนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชื้นในดินด้วย)
การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชชอบน้ำ ต้องปลูกในที่มีน้ำชลประทานตลอดปี มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้แห้งหรือแฉะเกินไป การให้น้ำต้องคำนึงถึงลักษณะของดินและสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ อย่างน้อยควรให้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ให้น้ำระบบร่อง) ถ้าหน่อไม้ฝรั่งขาดน้ำจะทำให้ต้นมีเส้นใยมาก เหนียว หน่อกระด้าง และมีคุณภาพต่ำ การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ คือแห้งหรือแฉะเกินไป อาจทำให้ลำต้นแตกเป็นแผลและอาจจะทำให้โรคเข้าทำลายได้ (วิธีการให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง มีหลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ เช่น การให้น้ำแบบเรือฉีดพ่น การให้น้ำแบบร่อง การให้น้ำแบบสปริงเกอร์ ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียด้วยว่าจะเลือกให้น้ำวิธีใดจึงจะเหมาะสม)
การให้ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. ปุ๋ยเคมี
เพื่อให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งแข็งแรง เจริญเติบโตสม่ำเสมอ จึงควรให้ปุ๋ยลงในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน เช่น หลังจากย้ายปลูก 10-15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 15 กรัม (5 ช้อนชา) ต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่เป็นจุดห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ หรือโรยรอบโคนต้นก็ได้แล้วรดน้ำตาม หลักจากนั้นทุก ๆ เดือนใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่เป็นจุด ๆ หมุนเวียนกันไป แล้วใช้จอบพรวนดินกลบปุ๋ย
เกษตรบางรายทำการใส่ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่งโดยการโรยรอบต้น แล้วนำปุ๋ยส่วนหนึ่งโรยข้างต้นในร่องน้ำ ก่อนที่จะให้น้ำตาม ซึ่งก็เป็นวิธีที่ให้ผลดีเช่นเดียวกัน
2. ปุ๋ยหมัก
ควรใส่ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ตันต่อไร่ หลังจากใส่ปุ๋ยหมักเสร็จแล้ว ควรพรวนดินในแปลงปลูก และพูนดินกลบโคนต้น การใส่ปุ๋ยหมักนั้นควรใส่ในระหว่างการหยุดพักต้น
การไว้ต้นแม่เหนือดิน
หลังจากย้ายกล้าประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นจะงอกโผล่พ้นดิน เมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุมากขึ้นจำนวนต้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นที่งอกช่วงแรกก็จะเริ่มแก่ ถ้าไม่มีการตัดต้นออกบ้างบริเวณกอจะแน่นมีผลทำให้เป็นแหล่งสะสมโรค และแมลง อีกทั้งการให้หน่อใหม่จะเล็กลงด้วย ดังนั้นในช่วงเดือนที่ 3 หลังจากย้ายปลูกควรมีการตัดแต่งต้นออกบ้าง และตัดแต่งอีกครั้ง ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 15 วัน โดยให้เหลือต้นแม่เพียง 4-6 ต้นต่อกอ
การพรวนดินและการเติมปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
การพรวนดินจะทำให้บริเวณหน้าดินไม่แน่น หน่ออ่อนจะโผล่พ้นดินได้สะดวกไม่โค้งหรือคดงอ แต่การพรวนดินต้องทำ อย่างระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งชะงักการ ออกหน่อได้ ต้นหน่อไม้ฝรั่งในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรกหลังจากการย้ายปลูก ควรทำการพรวนดินและพูนโคน พร้อมทั้งเติมปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีและร่วน ขึ้น การพรวนดินและการเติมปุ๋ยคอกนี้จะกระ ทำทุก ๆ 3-4 เดือนต่อครั้ง ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหน่อไม้ฝรั่งด้วย
การทำค้างหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ในพื้นที่ที่มีลมแรงและไม่มีแนวบังลม การทำค้างเพื่อช่วยพยุงลำต้นนับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ของการทำค้างก็เพื่อที่ ะรักษาลำต้น เหนือดินให้อยู่ได้นานที่สุด ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวและในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยปกติจะทำค้างเมื่อต้น หน่อไม้ฝรั่ง มีอายุ 2 เดือนหลังจากย้ายกล้าปลูก ไม้ที่ใช้ทำค้างอาจเป็นไม้รวกหรือไม้อื่น ๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว ความสูง ของค้าง แล้ว แต่ความเหมาะสม การปักค้างจะปักเป็นจุด ๆ ละ 2 หลัก และใช้เชือกไนล่อนขนาดพอเหมาะขึงตามความยาว ของแปลงระยะห่างของไม้แต่ละจุดประมาณ 2 เมตร หรือแล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งการทำค้างนี้จะทำไปตลอดอายุของการปลูก หน่อไม้ฝรั่งหากไม้ค้างผุควรทำการเปลี่ยนไม้ค้างอยู่เสมอ
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
ควรเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งหลังจากย้ายปลูกประมาณ 4-5 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นหน่อไม้ฝรั่งเป็นสำคัญ เมื่อเริ่มเก็บเกี่ยว จะต้องเก็บเกี่ยวทุกวันในช่วงเช้าเวลา 06.00-09.00 น. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำหน่อขาว ต้องเก็บในช่วง ตอนเช้ามืดเวลา 06.00 น. เพราะถ้าหน่อเจริญพ้นดินที่กลบไว้จะทำให้ส่วนปลายของหน่อมีสีเขียวส่วนโคนมีสีขาว ไม่เป็นที่ต้องการ ของโรงงานผลิตหน่อไม้ฝรั่งกระป๋อง แต่ปัจจุบันโรงงานบางแห่งยอมรับหน่อไม้ฝรั่งที่ส่วนปลายมีสีเขียวยาวไม่เกิน 2 นิ้ว ซึ่งเรียกว่า พวกกรีนทิป
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งทำได้ง่าย ในกรณีที่เป็นหน่อสีเขียว จะเก็บเกี่ยวเมื่อหน่อโผล่พ้นผิวดินประมาณ 25 เซนติเมตร โดยใช้มือถอน ส่วนพวกหน่อสีขาวต้องใช้พลั่วขนาดเล็กคุ้ยดินแล้วจึงใช้มือถอน เมื่อถอนแล้วต้องกลบดินให้เรียบร้อย โดยทั่วไปถ้าใช้แรงงานไร่ละ 1 คน จะใช้เวลาเก็บเกี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง และตัดแต่งอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว การเก็บเกี่ยวจะต้องทำต่อเนื่องกันทุกวัน แต่หยุดพักการเก็บเกี่ยวเมื่อสภาพต้นทรุดโทรมมาก (ให้เกรดเอเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์) ของผลผลิตทั้งหมด
การปฎิบัติหลังการเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
1. ภายหลังการเก็บเกี่ยว ต้องนำหน่อไม้ฝรั่งเข้าร่มทันที และการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ควรจะกระทำในที่ร่มทั้งหมด เช่น การนำไปล้างน้ำสะอาด เพื่อชำระเอาดินและสิ่งสกปรกออก หรือตัดให้ได้ความยาวตามมาตรฐานการรับซื้อ
2. นำหน่อไม้ฝรั่งไปตัดแต่งโคน ให้ได้ความยาวตามที่พ่อค้ารับซื้อต้องการ ปกติจะตัดให้มีความยาว 25 เซนติเมตร คัดเกรดหน่อไม้ฝรั่งออกตามลักษณะที่ต้องการ เช่นเกรดเอตูม เกรดเอบาน เกรดบีตูม เกรดบีบาน เกรดซี และตกเกรด ส่วนขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนหน่อนั้น ผู้รับซื้อแต่ละแหล่งจะกำหนดไว้ไม่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าเกษตรกรจะปลูกก็ควรทำความตกลงเรื่องเกรดกับผู้ซื้อให้เรียบร้อยก่อน
3. นำหน่อไม้ฝรั่งที่คัดเกรดเรียบร้อยแล้วมา มัดรวมกันเป็นมัด ๆ หนักมัดละประมาณ 1-5 กิโลกรัม เพื่อสะดวกในการบรรจุและถ่ายออกจากภาชนะบรรจุ
4. ต้องทำการขนส่งออกสู่ตลาดหรือผู้รับซื้อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในการขนส่ง ถ้าเป็นระยะทางำกล ควรมีการลดความร้อนให้หน่อไม้ฝรั่งโดยการใช้น้ำแข็งป่นโรยสลับกับหน่อไม้ฝรั่งเป็นชั้น ๆ ในภาชนะบรรจุ
http://www.vegetweb.com/%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b8%9d%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%87/
หน้าถัดไป (2/2)