คุณอนันต์ แซ่กวาง (ร้านกรุณาการเกษตร)นักส่งเสริมการตลาดของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ในพื้นที่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กล่าวถึงการนำภูไมท์ซัลเฟตและฮอร์โมนไข่ไปกระตุ้นการแทงช่อดอกของปาล์มน้ำมันในพื้นที่ของเกษตรกร ซึ่ง คุณอนันต์ กล่าวว่าในช่วงแรก ๆ ให้เกษตรกรหรือลูกไร่ ใช้ภูไมท์ซัลเฟตผสมกับปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆ ( ตามที่เคยใช้อยู่ อัตรา 2 : 5 หรือ ภูไมท์ซัลเฟต 1 กระสอบต่อปุ๋ยเคมี 1 กระสอบ เพื่อให้สะดวกในการนำไปใช้) สำหรับการนำไปใช้ก็ให้ใส่ปุ๋ย+ภูไมท์ซัลเฟต ในปริมาณเดิม เช่น ท่านเคยใส่ปุ๋ยเคมีเท่าไร่ ก็ให้ใส่ตามปกติ จากการสังเกตในระยะเวลา 1 เดือนพบว่า “ปาล์มน้ำมัน อายุ 5 ปี ซึ่งเป็นปาล์มน้ำมันที่เริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 2 ใบมีลักษณะสีเขียวเข็ม ก้านทางใบแข็งแรง เวลาลมพัดไม่เปราะหักง่าย ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจแก่เกษตรกร
ต่อมาลองให้เกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวลองฉีดพ่นฮอร์โมนไข่ร่วมด้วย ในอัตรา 30 ซีซี.ต่อน้ำเปล่า 200 ลิตร โดยฉีดพ่นทั่วแปลงทั้งส่วนใบและบริเวณรอบทรงพุ่ม โดยเฉพาะส่วนใต้ใบฉีดพ่นให้ชุ่มโชก “เนื่องจากปากใบอยู่บริเวณส่วนไต้ใบมากกว่าบนใบ” และได้ลองสังเกตเช่นเดียวกันปรากฏว่า “ใบปาล์มน้ำมันมีสีเขียวเข็ม ก้านทางใบแข็งแรง เวลาลมพัดไม่เปราะหักง่าย ผลผลิตเพิ่มจากเดิม 20 - 30 เปอร์เซ็นต์ ” ซึ่งสามารถจำแนกการทำงานหรือการไปใช้ของต้นปาล์มน้ำมันได้ดังนี้
1.ภูไมท์ซัลเฟต : ประโยชน์ของมีดังนี้
• ซิลิซิค แอซิค/เนื้อภูไมท์ : ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เซลล์พืช ลดการเข้าทำลายของแมลง ไร รา ศัตรูโรค * หากกรณีใส่ทางดิน ช่วยเพิ่มซิลิก้าในดิน ตรึงสารพิษไม่ให้เป็นอันตรายต่อพืช และช่วยอุ้มน้ำป้องกันดินแห้ง
• แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3 ): ช่วยในการแบ่งเซลล์ที่ปลายรากและยอด ช่วยสร้างโครงสร้างของโครโมโซม ช่วยในการทำงานของเอนไซม์และธาตุบางธาตุ ช่วยลดความเป็นพิษจากสารพิษต่าง ๆ เช่น กรดออกซาลิก ช่วยในการงอกและการเจริญเติบโตของละอองเกสรตัวผู้ (pollen) ส่งเสริมการเกิดปมที่รากในพืชตระกูลถั่ว
• แมกนีเซียมคาร์บอเนต (MgCO3 ) : เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ เอนไซม์ เช่น Carboxylase ช่วยสร้างเม็ดสี (pigments) และสารสีเขียว ช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำตาลในพืช ร่วมกับกำมะถันในการสังเคราะห์น้ำมัน ในการดูดฟอสฟอรัสและควบคุมปริมาณแคลเซียมในพืช
• ฟอสฟอริก แอซิค ( H2PO4- ): ช่วยในการสังเคราะห์แสง สร้างแป้งและน้ำตาล ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากทำให้ลำต้นแข็งแรงไม่ล้มง่ายและต้านทานโรค ช่วยให้พืชแก่เร็ว ช่วยในการสร้างดอกและเมล็ด และช่วยให้พืชดูดไนโตรเจน โพแทสเซียมและโมลิบดินัมได้ดีขึ้น
• ซัลเฟต (So42- ): ช่วยการเจริญเติบโตของราก เป็นส่วนประกอบของสารประกอบหลายชนิดเช่น วิตามินบี 1 และ บี 3 กรดอมิโน Cystine สารระเหยซึ่งให้กลิ่นเฉพาะตัวในพืช เช่น หอม กะหล่ำปลี มัสตาร์ด ช่วยสร้าง คลอโรฟีลล์และช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง เพิ่มไขมันในพืชและควบคุมการทำงานของแคลเซียม
• เหล็ก (Fe): เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์สำหรับสร้างคลอโรฟีลล์ และของ Cytochrome ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหายใจ ช่วยสร้างโปรตีนส่งเสริมให้เกิดปมที่รากถั่วและช่วยดูดธาตุอาหารอื่น
• สังกะสี (Zn) : ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน คลอโรฟีลล์และฮอร์โมน IAA (Indole Acetic Acid) เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์และเอนไซม์หลายชนิดเช่น Carbonic anhydrase Alcoholic dehydrogenase เป็นต้น ช่วยให้ฟอสฟอรัสและไนโตรเจนเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเป็นปกติมีส่วนการขยายพันธุ์พืชบางชนิดและมีผลต่อการแก่และการสุดของพืช
2. ฮอร์โมนไข่ : มีประโยชน์ ดังนี้
• แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3 ): ซึ่งได้จากเปลือกไข่จะช่วยในการแบ่งเซลล์ที่ปลายรากและยอด ช่วยสร้างโครงสร้างของโครโมโซม ช่วยในการทำงานของเอนไซม์และธาตุบางธาตุ ช่วยลดความเป็นพิษจากสารพิษต่าง ๆ เช่น กรดออกซาลิก ช่วยในการงอกและการเจริญเติบโตของละอองเกสรตัวผู้ (pollen)
• กรดอมิโน วิตามิน และเกลือแร่ : ช่วยในขบวนการสังเคราะห์แสงพืช เพิ่มพลังงานให้แก่จุลินทรีย์ในดิน ทำให้ดินมีชีวิต
• ฟอสฟอริก แอซิค ( H2PO4- ): ช่วยในขบวนการสังเคราะห์แสง สร้างแป้งและน้ำตาล ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากทำให้ลำต้นแข็งแรงไม่ล้มง่ายและต้านทานโรค ช่วยให้พืชแก่เร็ว ช่วยในการสร้างดอกและเมล็ด และช่วยให้พืชดูดไนโตรเจน โพแทสเซียมและโมลิบดินัมได้ดีขึ้น
• เหล็ก (Fe): เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์สำหรับสร้างคลอโรฟีลล์ และของ Cytochrome ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหายใจ ช่วยสร้างโปรตีนส่งเสริมให้เกิดปมที่รากถั่วและช่วยดูดธาตุอาหารอื่น
• สังกะสี (Zn) : ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน คลอโรฟีลล์และฮอร์โมน IAA (Indole Acetic Acid) เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์และเอนไซม์หลายชนิดเช่น Carbonic anhydrase Alcoholic dehydrogenase เป็นต้น ช่วยให้ฟอสฟอรัสและไนโตรเจนเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเป็นปกติมีส่วนการขยายพันธุ์พืชบางชนิดและมีผลต่อการแก่และการสุดของพืช
• คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) : ช่วยในขนวนการสังเคราะห์แสง การสร้างแป้งและน้ำตาลของพืช
• กลุ่มจุลินทรีย์ : ช่วยในขบวนการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ เพิ่มธาตุอาหารในดิน ประโยชน์ในการสังเคราะห์แสง
สำหรับเกษตรกรที่ต้องการใช้ฮอร์โมนไข่เร่งการออกดอกของพืชให้ใช้ในอัตราส่วน 2-3 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น 7-10 วัน/ครั้ง
- กรณีที่ใช้ในไม้ผลไม้ว่าจะเป็นการผลิต ในหรือนอกฤดูกาล เกษตรกรต้องบำรุงต้นพืชให้สมบูรณ์ที่สุดก่อน แล้วค่อยเร่งการออกดอกด้วยฮอร์โมนไข่โดยเริ่มฉีดพ่นตั้งแต่ติดใบอ่อนรุ่นที่ 3 ประมาณ 30-45 วัน ไม้ผลจะติดดอก 50-80 เปอร์เซ็นต์ ของทรงพุ่มต้องหยุดฉีดพ่นฮอร์โมนไข่ทันที ถ้าฝืนพ่นต่อไปจะทำให้ดอกร่วง เนื่องจากฮอร์โมนไข่สูตรนี้มีความเข้มข้นและความเค็มสูง ถ้าต้องการให้ออกดอกนอกฤดูต้องให้มีช่วงฝนทิ้งช่วงหรือทิ้งช่วงการให้น้ำ 14-21 วัน/ครั้ง แล้วฉีดพ่นด้วยฮอร์โมนไข่ 7-10 วัน /ครั้ง ไม้ผลก็จะออกดอก จากนั้นฉีดพ่นซิลิโคเทรซ 5 – 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 7–15 วัน / ครั้ง เพื่อบำรุงผลผลิตให้สมบูรณ์
- กรณีที่ใช้ในข้าว พืชไร่ พืชผักและไม้ดอกไม้ประดับ ควรฉีดพ่นตั้งแต่พืชตั้งตัวได้จนถึงออกดอกเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ จึงหยุดพ่น แต่ไม่ควรใช้ฮอร์โมนไข่เร่งดอกในพืชผักกินใบ เช่น คะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหอม เพราะพืชผักเหล่านี้จะออกดอก ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพต่ำ และขายไม่ได้ราคา
สำหรับเกษตรกรท่านใดสนใจหรือสอบถามแลกเปลี่ยนข้อมูลสามารถติดต่อได้ที่ คุณ อนันต์ แซ่กวาง (ร้านกรุณาการเกษตร ) ถ.พุนพิน – หนองขลี อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี หรือ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680 , 081-3983128 หรือ email: thaigreenagro@gmail.com
ร่วมแบ่งปันความรู้โดย นายเอกรินทร์ ช่วยชู (สะตอเมืองคอน)
www.thaigreenagro.com