-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 516 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

ไม้ดอก-ไม้ประดับ




หน้า: 2/2




ดอกไฮเดรนเยีย

   

ต่างประเทศมักรู้จักไฮเดรนเยียในชื่อของ ฮอร์เดนเชีย (Hortensia) ซึ่งเป็น
พืชสกุลหนึ่งในวงศ์ Hydrangeaceae
ซึ่งประกอบไปด้วยพืชสกุลต่าง ๆ ถึง
80 สกุล ส่วนใหญ่พบใน จีน ญี่ปุ่น ทวีปอเมริกาพบตั้งแต่เม็กซิโกไปจนถึง
อเมริกาใต
แต่บางสกุลอาจพบในออสเตรเลียนิวซีแลนด์ (9 สกุล) แอฟริกา
(6 สกุล) ยุโรปพบเพียงสกุลเดียว  ไฮเดรนเยียมีจำนวนชนิดถึง 80 ชนิด

ต่ส่วนใหญ่ที่มนุษย์นำมาพัฒนาพันธุ์โดยสร้างลูกผสมออกมาหลายร้อยพันธุ์
นั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Hydrangea macrophylla



ชนิดและแหล่งกำเนิดไฮเดรนเยียที่น่าสนใจ (บางชนิด)

- ประเทศจีน (ภาคตะวันตกเฉียงใต้และเทือกเขาหิมาลัยใกล้ทิเบต)
Hydrangea anomala (เลื้อย), H. aspera, H. Bretschneideri,
H. chungii, H. coacta, H. coenobralis, H. davidii, H.dumicola,
 H. gracilis, H. heteromalla, H. longipes, H. macrocarpa

- ประเทศญี่ปุ่น Hydrangea hirta, H.involucrate, H.macrophylla,
 H. paniculata, H. scandens

- ประเทศอาเจนตินา (ภาคใต้)  Hydrangea serratifolia

- ไต้หวัน  Hydrangea kawakamii, H. involucrate

- ฟิลิปปินส์  Hydrangea scandens




ประวัติการนำเข้าสู่ประเทศไทย
คนไทยรู้จักไฮเดรนเยียมานานแล้วไม่แน่ว่าผู้ใดสั่งพันธุ์ไม้ชนิดนี้เข้ามาสู่
ประเทศไทยแต่สมัยใด
แต่พอจะอนุมานได้ว่าเข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัย
ของสมเด็จพระปิยะมหาราชเนื่องจากพระองค์ทรเสด็จประพาสสิงคโปร์และ
เกาะ
ชวาอินโดนีเซียรวมทั้งหลายประเทศในยุโรปซึ่งการเสด็จประพาสต่าง
ประเทศเหล่านั้น พระองค์ได้ทรงนำพืชพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ
หลายชนิดเข้า
มาปลูกในพระราชวังสวนดุสิตซึ่งไฮเดรนเยียก็น่าจะเข้ามาสู่ประเทศไทย
สมัยนั้นเช่นกันแม้จะไม่ปรากฏหลักฐาน
ว่าบุคคลใดเป็นผู้นำเข้าคนแรกก็ตาม



พฤกษศาสตร์

ไฮเดรนเยีย (Hydrangea) เป็นไม้พุ่งสูง 1-3 เมตร จัดเป็นพืชหลายฤดูชอบ
อากาศหนาวเย็น บางชนิดเป็นไม้ยืนต้น
หรือไม้เลื้อยแต่ส่วนใหญ่มักเป็นไม้พุ่ม
เตี้ยใบเกิดแบบตรงข้ามแผ่นใบมีขนาดกว้างใหญ่ขอบใบจักช่อดอกเกิดส่วน
ปลายกิ่งหรือยอด
ลำต้นดอกประกอบด้วยใบประดับที่มีสีสวยงามแล้วแต่พันธุ์
ไฮเดรนเยียอาจผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้แต่ถ้าเป็นชนิด
ที่อยู่ในเขตอบอุ่น
จะผลัดใบพักตัวในฤดูหนาวดอกของไฮเดรนเยียเกิดที่ปลายยอดกิ่งหรือยอด
ลำต้น เป็นช่อดอกแบบช่อเชิง
หลั่นหรือช่อแยกแขนง(corymbsorpani-
cles) ช่อดอกประกอบด้วยดอกสองแบบคือกลุ่มดอกสมบูรณ์เพศซึ่งมีขนาดเล็ก
ที่อยู่บริเวณใจกลางช่อดอกใหญ่ ส่วนกลุ่มดอกที่มีขนาดดอกย่อยใหญ่สะดุดตา
นั้นความจริงเป็นดอกที่เกิดจากกลีบดอก
ประดับดูสะดุดตา เกิดเป็นวงรอบขอบ
นอกของช่อดอกใหญ่ไฮเดรนเยียบางชนิดมีช่อดอกซึ่งประกอบด้วยดอกย่อยสม
บูรณ์เพศ
ทั้งช่อเลยก็มี ดอกไฮเดรนเยียส่วนใหญ่จะมีสีขาวเป็นหลัก แต่บางชนิด
เช่น H. macrophylla อาจเป็นสีน้ำเงิน แดง
ชมพูหรือม่วง ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับ
ความเป็นกรดหรือด่างของเครื่องปลูก หากเครื่องปลูกมีสภาพเป็นกรด pH 5.0-
5.5 สีดอกจะออก
เป็นสีน้ำเงิน ถ้าสภาพเป็นด่างจะให้ดอกสีม่วงหรือชมพูถ้าปลูก
ในเครื่องปลูกที่สภาพเป็นกลางดอกไฮเดรนเยียจะมีสีครีมซีด


ทั้งนี้เพราะไฮเดรนเยียเป็นหนึ่งในบรรดาพืชไม่กี่ชนิดที่สะสมธาตุอะลูมินัม ธาตุ
นี้จะถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องปลูก
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ธาตุนี้จะทำปฏิกิริยา
กับสารละลายในกลีบดอกทำให้เกิดสีน้ำเงินขึ้นได้ ปกติไฮเดรนเยียต้องการดิน
ที่เป็นกรดอ่อนpH 6.0-6.5 จะเติบโตได้ดี



การปลูกเลี้ยงเป็นการค้า
ไฮเดรนเยียจัดเป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่งของยุโรปและสหรัฐ
อเมริกา ในประเทศไทยปลูกได้ดีเฉพาะในเขต
ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น ความชื้น
ในอากาศสูง เช่น จ. เชียงราย จ. เชียงใหม่ (พื้นที่สูง 1,000 เมตรขึ้นไปจะให้
ผลดีเป็นพิเศษ)
ภูเรือ เขาค้อ เป็นต้น ในประเทศฟิลิปปินส์ นิยมปลูกเป็นการค้า
 ในบริเวณพื้นที่ระดับสูงตั้งแต่ 1,800 เมตร เช่น ยอดเขา
ที่บาเกียว ซึ่งมีอากาศ
หนาวเย็นและชื้นจัด โดยปลูกเป็นไม้กระถางจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่
ไฮเดรนเยียที่ปลูกเป็นการค้า คือ
H. macrophylla ซึ่งมีกว่า 600 พันธุ์ ส่วน
ใหญ่พันธุ์ปลูกเหล่านี้เกิดและมีขนาดใหญ่มากขยายปลูกโดยการปักชำกิ่ง

               
การส่งเสริมปลูกไฮเดรนเยียเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้ง มูลนิธิโครงการหลวง เริ่ม
ต้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2536ศูนย์พัฒนา
โครงการหลวงขุนแปะ อ. จอมทอง จ.
เชียงใหม่ ได้เริ่มนำพันธุ์ดอกไม้แห้งต่าง ๆมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อเป็น
อาชีพ
เสริมรายได้โดยมีผู้เขียน(รศ.ม.ล. จารุพันธ์ ทองแถม จากมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์เป็นหัวหน้าโครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง)
ได้มีการนำดอกไม้
แห้งหลายชนิดมาทำการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์พัฒนา
โครงการหลวงขุนแปะ
โดย นายพิษณุพันธ์ สินชัย เจ้าหน้าที่ฝ่ายไม้ดอกไม้ประ
ดับได้นำเอาไฮเดรนเยียซึ่งมีปลูกประดับในสถานีมาทำการขยาย
พันธุ์ได้จำนวน
800 ต้นเป็นสายพันธุ์พื้นเมืองทำการเพาะเลี้ยงในถุงดำประมาณ 1 ปี จึงได้นำ
ไปส่งเสริมแก่เกษตรกรกะเหรี่ยง
และชาวเมืองเชียงใหม่ไฮเดรนเยียเป็นไม้ดอก
ที่มีอายุยืนยาวนานหลายปีหรือที่เรียกว่าเป็นพืชถาวร ในสภาพที่มีอากาศหนาว
เย็นสูง
จากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป พบว่าไฮเดรนเยียสามารถออก
ดอกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว
คุณภาพดอกจะสวยงาม
มาก แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดการที่ดีด้วย

               

พันธุ์ของไฮเดรนเยียในประเทศไทยมีอยู่หลายพันธุ์ ได้แก่
1. พันธุ์พื้นเมือง พันธุ์เก่าแก่ที่นำเข้ามานาน จนปรับตัวให้เข้ากับอากาศร้อนได้ดี

2. Botstein พันธุ์ใหม่ นำเข้าโดยโครงการหลวง

3. Sister Therse
4. Oregon Pride

               
ไม่นานมานี้นักพืชสวนในอังกฤษประสบผลสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ไฮเดรนเยีย
ได้พันธุ์ใหม่ชื่อ‘Endless Summer’
ลูกผสมซึ่งคัดพันธุ์ได้นี้น่าจะเป็นพันธุ์แรก
ที่ให้ช่อแบบทรงกลม(mophead) ที่สามารถสร้างตาดอกขึ้นบนกิ่งที่มีอายุปี
แรก
เท่านั้นและจะสร้างดอกขึ้นได้เลยภายในปีแรกทำให้ผู้ปลูกได้ชื่นชมกับ
ดอกที่จะออกอย่างรวดเร็วผิดกับพันธุ์เก่าทั้งหลาย


ปัจจุบันมีเนอร์สเซอรี่ในสหรัฐอเมริกานำไปพัฒนาต่อโดยผลิตเป็นการค้าซึ่งไฮ
เดรนเยียพันธุ์ใหม่นี้หลังจากออกดอกไปแล้ว
และตัดแต่งกิ่งเก่าออก ก็จะแตก
หน่อใหม่และออกดอกได้เลยในฤดูถัดไป ข้อดีอีกประการคือ ทนต่ออากาศ
หนาวเย็น ดอกของ
H. macrophylla ‘Endless Summer’ นี้มีสีชมพูหรือ
สีน้ำเงิน (ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดหรือด่างของเครื่องปลูก)
ใบของมันมีสี
เขียวเข้ม และทนต่อโรคราน้ำค้าง (mildew resistant) อย่างไรก็ตามไฮเดรน
เยียชอบแสงแดดที่ได้รับการ
พรางแสงเพียง 30% เท่านั้น ถ้าพลางแสงให้มาก
กว่านี้จะมีผลผลิตต่ำลง

               
พันธุ์ที่ทางศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะทำการส่งเสริมปลูกทั้งหมดเป็น
พันธุ์เก่าแก่ซึ่งนิยมเรียกกันว่า
พันธุ์พื้นเมือง ซึ่งจากการที่ได้เปรียบเทียบคุณ
ภาพผลผลิต การเจริญเติบโต ความต้านทานโรค
และจำนวนการผลิต พบว่า
พันธุ์พื้นเมืองเหมาะสมที่จะทำการปลูกเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้งได้ดีมาก
ต้น
ทุนการผลิตน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ ไฮเดรนเยียพันธุ์นี้พบทั่วไปตามวัดวาอารามแล
ะสวนสาธารณะ
ทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ยังพบมากที่หลายหมู่บ้านในเขตปิล๊อก
อ. ทองผาภูมิ, สังขละบุรี
ชายแดนไทย-พม่าไฮเดรนเยียเป็นพืชที่ต้องการดิน
ร่วนซุยมีอินทรียวัตถุสูงเพื่อเก็บน้ำและรักษาความร่วนโปร่งของดิน
ควรใช้ปุ๋ย
หมักและใบไม้ผุใส่เพิ่มในหลุมปลูกไฮเดรนเยียต้องการดินที่เป็นกรดอ่อน pH
 6.0-6.5 เพื่อให้ได้ดอกสีชมพู
แต่ถ้าปรับ pH ให้เป็นกรด pH 5.0.5.5 จะ
ได้ดอกสีน้ำเงิน



การขยายพันธุ์
ไฮเดรนเยียขยายพันธุ์ได้โดยตัดชำกิ่งอ่อนในช่วงฤดูฝนหรืออาจใช้กิ่งกลางอ่อน
กลางแก่ก็ได้ในช่วงฤดูร้อน
สำหรับในต่างประเทศไฮเดรนเยียมีการพักตัวในฤดู
หนาวเขาใช้วิธีตัดกิ่งแก่จากต้นที่พักตังทิ้งใบหมด
นอกจากนี้เขายังขุดเอากอขึ้น
มาตัดหน่อหรือกิ่งที่อยู่ใต้ดิน (suckers) ออกมาปักชำเป็นต้นใหม่ หรือทำการ
ตอนกิ่ง
(layering)เพื่อให้ออกรากจากนั้นจึงขุดแยกไปปลูกต่อไปสำหรับการ
ขยายพันธุ์ในประเทศไทย
โครงการหลวงได้ทำการขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชำ
กิ่งช่วงที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์คือช่วงฤดูฝนเพราะสภาพอากาศชื้น
และเป็นช่วงที่ต้นพันธุ์แตกหน่อกิ่งก้านมากทำให้มีกิ่งพันธุ์จำนวนมากการเพาะ
ชำอาจปักชำในกระบะชำที่มีทรายหยาบและแกลบดำเป็นวัสดุปักชำและใช้ฮอร์
โมนเร่งราก
ช่วยให้มีจำนวนและความยาวรากเพิ่มขึ้นจากนั้นจึงย้ายกิ่งลงถุง
พลาสติกดำ



การปลูก
เมื่อทำการเพาะชำจนได้ต้นที่สมบูรณ์แล้วต้องคำนึงระยะเวลาเหมาะสมและเป็น
พื้นที่รับน้ำได้ตลอดปี การวางแนวปลูกระยะการปลูก
ควรอยู่ 1x1 เมตีร การ
เตรียมหลุมปลูกขุดหลุมกว้าง 50x50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร


การเตรียมวัสดุปลูก
หลุมปลูกไฮเดรนเยียควรมีความกว้างยาวและลึกอย่างต่ำ 40 เซนติเมตร ควร
มีปูนขาวโรยรองก้นหลุมประมาณ 100 กรัมต่อหลุม
หินฟอสเฟต (0-3-0)
100 กรัมต่อหลุม ปุ๋ยคอก (ควรผ่านการหมักแล้ว) 4 กิโลกรัมต่อหลุม เปลือก
ข้าว
1 กิโลกรัมต่อหลุม ผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน ขุดหลุมและรองก้นหลุมด้วย
ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กรัมต่อหลุม



การดูแลรักษา
ไฮเดรนเยียที่ปลูกเพื่อตัดดอกแปรรูปเป็นดอกไม้แห้ง ต้องอาศัยระยะเวลาในการ
ดูแลรักษาพอสมควร หลังจากการปลูก
ไปแล้วประมาณ 5-6 เดือน จึงจะตัด
ดอกที่สามารถนำไปทำดอกไม้แห้งได้ ช่วงเวลาดังกล่าวควรมีการจัดการดูแล
ต้น
ที่ดีเลือกกิ่งสมบูรณ์ไว้ กิ่งชำเดิมควรตัดทิ้ง เมื่อมีกิ่งใหม่มาทดแทน หลังจาก
อายุไฮเดรนเยีย 1 ปีขึ้นไป
จะแตกกิ่งต้นจำนวนมาก ต้องทำการตัดแต่งกิ่งออก
คงเหลือไว้ประมาณ 10-12 กิ่งต่อกอ ควรตัดแต่งกอ
อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ช่วง
ฤดูร้อนควรมีการพรางแสงด้วยตาข่ายพลาสติกดำหรือซาแลนโดยพรางแสง
50%
เพื่อลดอาการไหม้ที่ใบและดอก เนื่องจากความเข้มแสงในช่วงต้นฤดู
หนาวและช่วงฤดูร้อนมีมาก



การให้ปุ๋ย
หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 1 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมียูเรียสูตร 46-0-0 รอบโคนต้น
50 กรัมต่อต้น หรือปุ๋ยสูตร 15-0-0 อัตรา
15 กรัมต่อน้ำ 5 ลิตร รดต้น สัปดาห์
ละครั้ง กำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ย ช่วงแตกกอ, ใบใหม่ ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15
อัตรา
50 กรัมต่อต้น สลับกับปุ๋ยทางใบ สัปดาห์ละครั้ง ช่วงใบแก่และออกดอก
 ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กรัมต่อต้น
สลับกับปุ๋ยทางใบสูตร 0-0-46
 อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ20ลิตรพ่นสัปดาห์ละครั้งเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของช่อ
ดอก
และกลีบดอกและไม่ควรให้ปุ๋ยทางใบเมื่อออกดอกแล้วเพราะอาจทำให้
เกิดการไหม้ที่ดอก

               

การคัดเกรด, ราคา จะคัดตามความสมบูรณ์ของดอก,
ขนาดของดอกโดยแบ่งตามเกรดได้ดังนี้

เกรด 1 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 30 เซนติเมตร

เกรด 2 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 20-30 เซนติเมตร
เกรด 3 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 15-20 เซนติเมตร
เกรด 4 เส้นผ่าศูนย์กลางของช่อดอก 10-15 เซนติเมตร



สรุปการปลูกไฮเดรนเยียเพื่อผลิตเป็นดอกไม้แห้ง
1. ต้องเลือกพื้นที่อากาศหนาวเย็น ความชื้นสูง ดินดีร่วนซุย หน้าดินลึก

2. การปลูกไฮเดรนเยียจะใช้ระยะเวลานานพอสมควรจึงจะให้ผลผลิต(ประ
มาณ 6-12 เดือน) และใช้ต้นทุนบ้างตามสมควรในระยะแรกเริ่ม

3. ปริมาณผลผลิตไฮเดรนเยียขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา โดยเฉพาะในเรื่องของ
น้ำและปุ๋ย

4. ปัญหาเรื่องโรคและแมลงมีน้อยถ้ามีการจัดการที่ดี

5.ไฮเดรนเยียเป็นพืชอายุยาวนานหลายปีสามารถปลูกเป็นพืชแซมในแปลง
ไม้ผลของเกษตรกรทำให้เกษตรกรมีเวลาดูแลพืชอื่นๆ ควบคู่กันไปและมีราย
ได้เสริมตลอดปี

6. ไฮเดรนเยียนอกจากจะเป็นพืชเสริมรายได้ให้กับเกษตรกรแล้วยังช่วยทำ
ให้สถานที่เกิดความสวยงามและร่มรื่นแก่ผู้ที่ได้มาพบเห็น

7. ไฮเดรนเยียสามารถนำไปแปรรูปได้ ทางโครงการดอกไม้แห้งให้ราคาตาม
ขนาดและคุณภาพไม่จำกัดปริมาณ จึงเหาะที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก




การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ดอกไฮเดรนเยีย
แม้การปลูกไฮเดรนเยียเป็นไม้ตัดดอกสดจะทำรายได้ตอบแทนแก่เกษตรกร
ได้ดี โดยทำราคาต่อดอกได้สูงและใช้เวลาการปลูก
ถึงตัดดอกในระยะเวลา
อันสั้นกว่าก็จริงแต่การตลาดยังนับว่าแคบ และคุณภาพดอกมักเสียหายเร็ว
ดังนั้นจึงพบว่ามีดอกที่เริ่มเหี่ยว
หมดสภาพการส่งตลาดจำนวนมาก ส่วนการ
จำหน่ายเป็นไม้กระถางนั้น ยิ่งพบปัญหาเรื่องของการจำหน่ายหนักขึ้นไปอีก

       
โครงการผลิตภัณฑ์ไม้ประดับแห้ง ทดลองแปรรูปดอกไฮเดรนเยีย ตั้งแต่ พ.ศ.
 2534โดยในระยะแรกได้ทดลองปลูก
ที่ดอนอินทนนท์และดอยปุย จ. เชียง
ใหม่ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าดอกย่อยของไฮเดรนเยียมีเยื่อใยสูงแม้จะแห้ง
สนิทแล้ว
ก็สามารถแปรรูปโดยการฟอก ย้อม ผ่านความร้อนได้ โดยไม่ทำให้
เสียรูปแต่ทั้งนี้จำต้องให้เวลากับช่อดอกไฮเดรนเยีย
ได้พัฒนาต่อโดยกลีบดอก
จะเปลี่ยนสีจากชมพู ม่วงอ่อน หรือน้ำเงินเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวอ่อนและเริ่มสีซีด
จางลง ระยะนี้กลีบดอกจะ
มีความหนาสูงสุด ให้ทำการตัดช่อดอกออกจาก
แปลงรวบรวมบรรจุกล่องส่งโรงงาน แขวนผึ่งลมให้แห้งก่อนส่งโรงงานที่กรุง
เทพฯเพื่อทำการแปรรูปต่อไป

        
การแปรรูปดอกไฮเดรนเยียในโครงการหลวงสมัยปัจจุบัน ทำโดยการฟอก ย้อม
และรักษาความนุ่มนวลของกลีบดอกให้คง
สภาพคล้ายดอกสด นอจากนี้ยังทำ
การหมักด้วยกลิ่น มิโมซา (Mimosa)และกลิ่นของดอกกล้วยไม้บางชนิดเข้า
ไป
เพื่อเพิ่มมูลค่าของดอกไฮเดรนเยียให้เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้ซื้อที่สำคัญคือเป็น
การช่วยเพิ่มมูลค่า(valueadded) แก่ดอกไฮเดรนเยียที่ปลูกในประเทศไทยอีก
ด้วย



http://www.the-than.com/FLower/F28.html







หน้าก่อน หน้าก่อน (1/2)


สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-10 (6206 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©