ในบรรดาเกษตรกรที่ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในเชิงพาณิชย์ในบ้านเรานั้น คุณวิชัย รัตนจินดา เกษตรกร จ.กำแพงเพชร ถือได้ว่าประสบความสำเร็จหรืออาจจะกล่าวได้ว่ามี ชื่อเสียงมากที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย
ในบรรดากล้วยไม้สกุลช้างด้วยกันนั้นคุณวิชัยบอกว่า “ช้างแดง” ปลูกเลี้ยงยากที่สุด เจริญเติบโตช้าและตายง่าย ปัจจุบันยังมีเกษตรกรและผู้สนใจนิยมเลี้ยงกล้วยไม้สกุลช้างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะด้วยความท้าทายในการปลูกเลี้ยงนั่นเอง เหตุผลหนึ่งที่กล้วยไม้ในสกุลช้างปลูกเลี้ยงยากเพราะมีลักษณะของการ “ห่างป่า” มีผลทำให้อ่อนแอ ต่อสภาพแวดล้อม,แมลงและโรค
กล้วยไม้ จะเน้นการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สกุลช้าง ได้แก่ ช้างแดง, ช้างกระ, ช้างเผือก, ช้างส้ม, ช้างประหลาด และช้างการ์ตูน เป็นต้น หรือแม้แต่กล้วยไม้ในกลุ่มไอยเรศ เลี้ยงได้งามมากเพียงกอเดียวมีจำนวนช่อดอกถึง 52 ช่อ และชนะเลิศการประกวด เป็นที่สังเกตว่าในการพัฒนากล้วยไม้สกุลช้างของคุณวิชัยนั้นจะเน้นวิธีการเพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียวไม่ได้ใช้วิธีการปั่นตา เมื่อได้ต้นจากการเพาะเมล็ดจะเลี้ยงเป็นไม้รุ่นขายต่อไป เหตุผลที่ไม่นิยมวิธีการปั่นตา เนื่องจากที่ผ่านมากล้วยไม้สกุลช้างที่นำมาปั่นตาพบเปอร์เซ็นต์การตายสูง แต่ที่สำคัญในความคิดเห็นของคุณวิชัยถ้าหากทุกคนที่เลี้ยงกล้วยไม้สกุลช้างและนำมาขยายพันธุ์ ด้วยการปั่นตา จะทำให้การพัฒนาสายพันธุ์กล้วยไม้สกุลช้างหยุดอยู่กับที่ แต่การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดนั้นเจ้าของหรือนักผสมพันธุ์ผสมจนติดฝัก เฝ้ารอคอยเวลาได้ลุ้นและความหลากหลายของสายพันธุ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น
สำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงกล้วยไม้ในสกุลช้างจะต้องทราบข้อมูลว่า ไม่ชอบสภาพอากาศร้อนและแสงแดดแรงจัด ดังนั้นสภาพโรงเรือนจะต้องมุงด้วยตาข่ายพรางแสงชนิด 70% คือให้แสงแดดผ่านได้เพียง 30% เท่านั้น และเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ควรจะเพิ่มตาข่ายพรางแสงปูทับอีกชั้นหนึ่ง จะต้องสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมให้เย็นเพื่อลดอุณหภูมิของความร้อนลง
ปัจจุบันสวนกล้วยไม้แถบจังหวัดกำแพงเพชร จะใช้น้ำจากแม่น้ำปิงที่ไหลมาจากเขื่อนภูมิพลเพื่อใช้รดกล้วยไม้ ในช่วงฤดูแล้งน้ำจากแม่น้ำปิงจะใสสะอาดมากสามารถนำมาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องพักน้ำ แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูฝนน้ำจะขุ่นมาก จะต้องนำน้ำมาพักก่อนใช้ด้วยการใช้สารส้มหรือคลอรีนมาช่วยปรับให้คุณภาพของน้ำดีขึ้นก่อนนำใช้รดให้กับต้นกล้วยไม้สกุลช้าง การให้น้ำกล้วยไม้จะเริ่มให้ในช่วงเช้ามืดประมาณตี 4
ในเรื่องของการให้ปุ๋ยในกล้วยไม้สกุลช้างให้บ้างแต่น้อยกว่ากล้วยไม้สกุลอื่น เนื่องจากถ้างามมากและมีใบที่อวบอ้วนเกินไปจะทำให้เกิดโรคได้ง่ายโดยเฉพาะโรคยอดเน่า.
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
ที่มา : เดลินิวส์
สูตรปุ๋ยกล้วยไม้ ตามฤดูกาล
2) ปุ๋ย ปุ๋ยเป็นคำเรียกแทนอาหารของพืช ซึ่งมีแร่ธาตุหลายชนิด ที่มีคุณค่าแก่การเติบโตของพืช แบ่งเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆคือ
2.1) ปุ๋ยธรรมชาติ หรือ ปุ๋นอินทรีย์ เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีอยู่ในโลกตามธรรมชาติ เช่น ขี้หมู ขี้วัว ขี้ควาย ใบไม้และหญ้าหมัก ตลอดจนพืชและสัตว์ที่ตายทับถมเน่าเปื่อยผุพังไปแล้วนานๆ ปุ๋ยแบบนี้มักนำไปใช้กับกล้วยไม้ประเภทที่มีระบบรากอยู่ในดิน หรือแบบกึ่งดินกึ่งอากาศ เช่น สกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum ) , สกุลไฟอัส (Phaius)หรือเอื้องพร้าว , สกุลยูโลเฟีย (Eulophia) หรือ หมูกลิ้ง , สกุลสะแปโตกลอทติส (Spathoglottis) และสกุลฮาเบนาเรีย (Habenaria) เป็นต้น
2.2) ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ หรือ ปุ๋ยอนินทรีย์ ปุ๋ยแบบนี้ ประกอบด้วยแร่ธาตุอาหาร 3 ชนิด ที่พืชต้องการมากที่สุกคือ ไนโตรเจน (N) , ฟอสฟอรัส (P), โพแทสเซียม (K) ซึ่งแร่ธาตุทั้ง 3 ชนิดนี้ ถือ เป็นอาหารหลักที่ต้องใช้เป็นประจำ และใช้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอาหารอื่นที่เป็นธาตุอาหารรอง ซึ่งกล้วยไม้และพืชต่างๆต้องการใช้เพียงจำนวนเล็กน้อย เพื่อเป็นการเสริมอาหารหลักให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งแร่ธาตุที่สำคัญและจำเป็นที่พืชขาดเสียมิได้เหล่านี้มี 12 ชนิดคือ ออกซิเจน , ไนโตรเจน , คาร์บอน , เหล็ก , กำมะถัน , แคลเซี่ยม , แมงกานีส ,ทองแดง , สังกะสี , แมกนีเซียม , โมลิดินั่ม , และ โบรอน ใน 12 ชนิดนี้ มีอยู่ 3 ชนิด คือ ออกซิเจน ไนโตรเจน และคาร์บอน เป็นแร่ธาตุที่พืชได้ตามธรรมชาติ จากบรรยากาศอยู่แล้ว
สำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในบ้าน
ปุ๋ยกล้วยไม้ ที่ใช้กันโดยมากจะเป็นปุ๋ยเคมี แบบเกล็ดละลายน้ำ และปุ๋ยน้ำ ที่สำคัญต้องดูที่สูตร
สูตรปุ๋ยที่ควรมีประจำติดบ้านคือ สูตรเสมอ เช่น 21-21-21 และ สูตรขั้นบันได เช่น 16-21-27 หรือ 10-20-30
ปกติแล้ว ที่แนะนำคือ ใส่สลับกัน ทุก 7-10 วัน
เช่น วันที่ 1 ใส่ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ,พอวันที่ 8 ให้เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 16-21-27 ,และพอถึงวันที่ 15 ก็กลับมาใช้สูตร
21-21-21 สลับกันไปแบบนี้ เรื่อยๆ
สิ่งสำคัญคือ ต้องใส่ปุ๋ยให้สม่ำเสมอ ใช้ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ ตามฉลาก และใส่ปุ๋ยในช่วงเช้า วันที่อากาศสดใส เพื่อการดูดซึมที่ดี
ไม่จำเป็นต้องใช้สูตรพิสดารมากมาย เพียง 2 สูตรนี้ ก็ทำให้ต้นงามและเห็นดอกได้แล้ว
อยากรู้ว่าควรใช้เมื่อใดก็ทิ้งคำถามได้ที่ คลีนิกกล้วยไม้ ได้เลยค่ะ
เพิ่มเติม
แนะนำสูตรปุ๋ยตามฤดูกาล / ตามสภาพอากาศ
มีปุ๋ยที่แนะนำด้วยกัน ประมาณ 4 สูตรคือ 1.สูตรเสมอ N-P-K เท่ากัน เช่น 20-20-20 ,21-21-21 เป็นต้น
2.สูตรเร่งดอก เช่น 15-30-15 สำหรับฉีดกระตุ้นตาดอก ในไม้ที่หน่อสุดแล้ว
3.สูตรขั้นบันได ได้แก่ 10-20-30 และ 16-21-27 ช่วยด้านความแข็งแรงของลำต้น และ การออกดอก ในกรณีที่แสงน้อย
4. สูตรตัวหน้าสูง เพิ่มความอวบของต้นไม้ เช่น 30-20-10
สำหรับกล้วยไม้กระถางนิ้ว อายุตั้งแต่ 2 สัปดาห์ - 6 เดือน
- โดยปกติ แนะนำให้ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21 ในอัตรา 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุกๆ 7 วัน
- ในช่วงฤดูฝน ที่มีฝนตกมาก ให้ใช้สูตรเสมอ สลับกับ สูตร 16-21-27 จะทำให้ไม้นิ้วแข็งแรงขึ้น
- ในช่วงอากาศแห้ง ความชื้นในอากาศน้อย และฤดูหนาว ให้ใช้สูตรเสมอ สลับกับ สูตร 30-20-10 จะทำให้ไม้นิ้วอ้วนขึ้น ใบเขียว
สำหรับกล้วยไม้ ที่เจริญเติบโตเต็มที่ เป็นไม้สาว พร้อมออกดอก แนะนำการให้ปุ๋ยดังนี้
- โดยปกติ สำหรับทั่วไป แนะนำให้ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21 สลับกับ สูตร 16-21-27 ในอัตรา 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุกๆ 7 วัน
- ในจำพวกแคทลียา และหวาย สามารถให้สูตร 16-21-27 ทุกๆ 7 วัน ได้เลย จะช่วยให้ออกดอกบ่อย แต่ต้นจะไม่เขียว ออกสีเขียวเหลืองๆหน่อย
- ฤดูร้อนจัด เดือนเมษายน / ฤดูแล้ง ควรให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21 สลับกับสูตรตัวหน้าสูง เช่น 30-20-10
- ในช่วงฤดูฝน จะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 21-21-21 สลับกับ 16-21-27 เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของลำต้น ถ้าต้นอ่อนแอมาก ก็สามารถใช่สูตร 6-20-30 ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง
- ส่วนช่วงหมดฝน-ฤดูหนาวใช้สูตรเสมอ 21-21-21 เป็นตัวยืน สลับด้วย 16-21-27 หรือ 10-20-30 ถ้ากรณีที่มีลมหนาวมาแรงๆทำให้ใบเหลืองได้ ก็อาจใช้ปุ๋ยปลาช่วยได้บ้างครั้งคราว
www.readyorchid.com/.../fertilizer-ar7.html -
การรดน้ำใส่ปุ๋ยกล้วยไม้
น้ำที่รดกล้วยไม้
น้ำที่ใช้รดกล้วยไม้จะต้องเป็นน้ำที่ใสสะอาดไม่มีตะกอนขุ่น ไม่มีกลิ่น มีความเป็นกรดอ่อน ๆ ถึงเป็นกลาง คือมีค่า pH ประมาณ 5-7 น้ำฝนเป็นน้ำรดกล้วยไม้ที่ดีที่สุด รองลงไปคือน้ำประปา ส่วนน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง ควรทำให้ตกตะกอนเสียก่อน และต้องใช้น้ำจืดเท่านั้น
การรดน้ำ
ใช้บัวรดน้ำ หรือสายยางพ่นให้เป็นฝอยๆ ก็ได้ แต่ระวังอย่าฉีดแรง เพราะจะเป็นอันตรายกับกล้วยไม้ได้ โดยการรดน้ำให้รดให้เปียกชุ่มทั้งใบ ต้น ราก และเครื่องปลูก รดน้ำได้ 2 เวลา คือเวลาเช้าก่อนแสงแดดจะร้อนจัดกับตอนเย็นเมื่อความร้อนของแสงแดดอ่อนลงแล้ว ตอนเช้าจะเป็นเวลาที่เหมาะ เพราะกล้วยไม้จะได้อาศัย ความชุ่มชื้นในการปรุงอาหารได้เลย ถ้าจะรดช่วงเย็นควรรดก่อน 6 โมงเย็น เพื่อเครื่องปลูกจะได้แห้งก่อนช่วงกลางคืน โรคราจะได้ไม่ถามหา สำหรับในฤดูฝน หากเครื่องปลูกยังเปียกชื้นอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ถ้าเป็นฤดูแล้ง อาจจะรดน้ำทั้งเช้าและเย็น เนื่องจากกล้วยไม้ต้องการความชื้นมาก แต่ไม่ต้องการให้เครื่องปลูกแฉะ
การให้ปุ๋ยกล้วยไม้
การให้ปุ๋ยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเลี้ยงกล้วยไม้ ธาตุอาหารหลักที่กล้วยไม้ต้องการ ก็เหมือนกับพืชทั่วไป คือ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และ โปตัสเซียม (K) โดยปุ๋ยที่เหมาะกับกล้วยไม้ คือ ปุ๋ยสูตรสูง (มีธาตุอาหารรวมกันมากกว่า 50% ของน้ำหนักปุ๋ย) ชนิดที่ละลายน้ำได้ เช่น ปุ๋ยสูตร 21-21-21 เป็นต้น โดยกล้วยไม้แต่ละประเภท และแต่ละช่วงอายุ ต้องการปริมาณปุ๋ยแตกต่างกันไป ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำการใช้ปุ๋ยสูตรต่างๆ
ปุ๋ยสูตรสมดุล เช่น 21-21-21 เหมาะกับกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตตามปกติ ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุ N สูง เช่น 30-10-10 เหมาะกับกล้วยไม้ขนาดเล็ก ที่ต้องการเร่งการ เจริญเติบโตทางใบ
ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุ P สูง เช่น 10-30-10 เหมาะกับกล้วยไม้ที่โตเต็มที่แล้ว ต้องการเร่งให้ ออกดอก หรือเร่งราก
ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุ K สูง เช่น 10-10-30 เหมาะกับกล้วยไม้ที่กำลังเจริญเติบโต เพราะ ธาตุโปตัสเซียมจะช่วยให้ต้นแข็งแรง
วิธีการให้ปุ๋ย
ละลายปุ๋ยในน้ำตามอัตราส่วนที่ระบุไว้ในฉลากปุ๋ย แล้วใช้ไม้คนให้ปุ๋ยละลายให้ หมด อย่าให้ปุ๋ยตกตะกอน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อใบ
รดน้ำกล้วยไม้ให้ชุ่มก่อนฉีดปุ๋ย เพื่อให้ปุ๋ยซึมลงในเครื่องปลูกได้ดียิ่งขึ้น จากนั้น ใช้หัวฉีดที่ฝอยที่สุด ฉีดปุ๋ยให้เปียกทั่วทั้งราก และใบ จะรดปุ๋ยมากน้อยแค่ไหน
ก็ขึ้นกับว่ากล้วยไม้ต้นใหญ่แค่ไหน ถ้าต้นใหญ่ก็ต้องการปุ๋ยมาก ต้นเล็กก็ต้องการปุ๋ยน้อย ถ้าไม่แน่ใจให้รดน้อยๆ แต่บ่อยๆ ไว้จะดีกว่า
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การให้ปุ๋ยพืช คือ ช่วงเช้าก่อนแดดจัด เพราะรากและใบจะได้ดูดปุ๋ย ไปใช้ได้เลย ควรรดปุ๋ยทุก 7 วัน
สำหรับลูกกล้วยไม้ควรผสมปุ๋ยให้เจือจางลง แล้วรดปุ๋ย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะทำให้กล้วยไม้เจริญเติบโตเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การให้ปุ๋ยควรพิจารณาถึงวัฏจักรการเจริญเติบโตของกล้วยไม้แต่ละชนิดด้วย
กล้วยไม้ที่ออกดอกตามฤดูกาล ปีละครั้ง เช่น กล้วยไม้ป่า หรือกล้วยไม้ลูกผสมบางชนิด เกือบทั้งปีจะมีการเจริญเติบโตทางต้นและใบ ควรให้ปุ๋ยสูตรเสมอในช่วงนี้ ต่อเมื่อใกล้ถึงฤดูที่กล้วยไม้จะผลิช่อดอก จึงเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตรเร่งดอกแทน
เอื้องกุหลาบ และเข็มจะเติบโตในช่วงฤดูฝน พักตัว และพัฒนาตาดอกในฤดูหนาว ผลิช่อดอก และบานในฤดูร้อน
กล้วยไม้ช้างเติบโตทางใบในฤดูร้อน และฝน สร้างตาดอกในช่วงปลายฤดูฝน ดอกบานในช่วงเดือน ธ.ค.- ก.พ. กล้วยไม้ที่ออกดอกตลอดปี เช่น กล้วยไม้ลูกผสมที่ปลูกเพื่อตัดดอก อาทิ หวาย แวนด้า ออนซิเดี้ยม กล้วยไม้เหล่านี้ต้องการปุ๋ยมาก ถ้าได้รับปุ๋ยไม่พอ ต้นจะไม่สมบูรณ์ ทำให้ออกดอกน้อยลง
หมายเหตุ สรรหามาฝาก เพื่อแบ่งบันความรู้กันครับ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ton-aoun&month=04-11-2005&group=2&gblog=2
www.kingorchid.com/highlight/display.php?id=381 -
การให้ปุ๋ยกล้วยไม้
ธาตุอาหาร
ธาตุอาหาร ที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช มี 13 ชนิด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตาม
ปริมาณที่พืชต้องการคือ
ธาตุอาหารหลัก พืชต้องการในปริมาณมาก มี 3 ชนิด คือ ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส
(P) และโปแตสเซียม(K)
ธาตุอาหารรอง พืชต้องการในปริมาณมากแต่น้อยกว่ากลุ่มแรก มี 3 ชนิดคือ แคลเซียม
(Ca) แมกนีเซียม(Mg) และกำมะถัน(S)
จุลธาตุอาหาร พืชต้องการในปริมาณเล็กน้อยแต่หากขาดก็จะแสดงอาการผิดปกติมี 7 ชนิด
คือ เหล็ก(Fe) แมงกานิส(Mn) สังกะสี(Zn) ทองแดง(Cu) โบรอน(B) โมลิบดีนัม
(Mo) และคลอรีน(Cl)
ปุ๋ย
ปุ๋ย หมายถึง สารประกอบทางเคมีที่มีธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช ส่วน
ใหญ่ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ซึ่งพืชต้องการในปริมาณมากและมีน้อยในธรรมชาติ 3 ชนิด
คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม
สูตรปุ๋ย
สูตรปุ๋ย หมายถึง เลข 3 จำนวนที่เรียงกันเพื่อบอกปริมาณหรือเปอร์เซนต์ของธาตุอาหาร
ทั้ง 3 ชนิดที่มีอยู่ในปุ๋ยนั้นๆ คือ ไนโตรเจนในรูป N ฟอสฟอรัสในรูป P2O5 และโปแตส
เซียมในรูป K2O เช่นปุ๋ยสูตร 30-20-10 แสดงว่าในปุ๋ยนี้มีธาตุไนโตรเจน 30 เปอร์เซ็นต์
ฟอสฟอรัส(P2O2) 20 เปอร์เซ็น และโปแตสเซียม (K2O) 10 เปอร์เซ็น
ปุ๋ยเคมีที่ใช้กับกล้วยไม้ควรเลือกปุ๋ยสูตรสูง นั่นคือ เมื่อรวมเปอร์เซนต์ของธาตุอาหารทั้ง 3 ชนิด
แล้วจะมากกว่า 50 ยิ่งใช้ปุ๋ยสูตรสูงเท่าใดก็ยิ่งดี เนื่องจากหากใช้ปุ๋ยที่มีเปอร์เซนต์ของธาตุ
อาหารต่ำจะต้องผสมปุ๋ยในอัตราสูงกว่าปุ๋ยสูตรสูงเพื่อให้มีปริมาณธาตุอาหารตามต้องการ น้ำปุ๋ย
ที่รดกล้วยไม้จะมีความเค็มสูงซึ่งจะทำให้เป้นพิษต่อกล้วยไม้ได้ ดังนั้นการใช้ปุ๋ยสูตรสูงทำให้
สามารถลดอัตราปุ๋ยที่จะนำไปละลายในน้ำให้น้อยลง โดยที่น้ำปุ๋ยยังคงมีปริมาณธาตุอาหารตาม
ต้องการอยู่
เรโชปุ๋ย
เรโชปุ๋ย หมายถึง สัดส่วนของปริมาณธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ที่มีอยู่ในปุ๋ย
นั้นๆเช่น ปุ๋ยเรโช 3:2:1 หมายความว่า ปุ๋ยนี้มีไนโตรเจน 3 ส่วน ฟอสฟอรัส 2 ส่วนและโป
แตสเซียม 1 ส่วน กล้วยไม้ที่ต่างสกุลหรือต่างพันธุ์หรือพันธุ์เดียวกันแต่ระยะการเจริญเติบโต
ต่างกัน หรือกล้วยไม้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน จะมีความต้องการปุ๋ยที่มีปริมาณและเร
โชของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมแตกต่างกัน โดยใช้หลักการพิจารณา ดังนี้
ปุ๋ยที่มีเรโชของธาตุไนโตรเจนสูง เช่น 3:1:1 ช่วยเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นมากกว่าราก
เหมาะกับลูกกล้วยไม้เล็กๆ ที่ต้องการให้ตั้งตัวเร็ว ไม้ที่หั่นแยกลำใหม่ๆ หรือไม้ใหญ่ที่ทรุดโทรม
แต่หากให้ปุ๋ยเรโชนี้เป็นระยะเวลานานเกินไป กล้วยไม้จะมีสีเขียวจัด เฝือใบ ใบใหญ่ อวบหนา
ลักษณะของต้นอวบอ้วน ออกดอกช้าหรือไม่ออกดอก กล้วยไม้สกุลหวายจะมีการต่อยอด
ปุ๋ยที่มีเรโชของธาตุฟอสฟอรัสสูง เช่น 1:3:1 ใช้สำหรับเร่งราก เร่งการออกดอก ทำให้ต้น
กล้วยไม้ลดความเขียวจัด ไม่อวบน้ำมากเกินไป ทำให้แข็งแรงทนทานต่อโรคและแมลงได้ดีขึ้น
เหมาะกับกล้วยไม้ที่เลี้ยงอยู่ในที่ร่มเกินไป จนมีอาการเฝือใบ ใบอวบ ควรใช้กับกล้วยไม้ที่ได้รับ
ปุ๋ยเรโชอื่นมาแล้วเป็นปกติแต่อาจจะงามเกินไป ระบบรากไม่แข็งแรง หรือใช้เร่งกล้วยไม้ที่ออก
ดอกยากให้ออกดอก
ปุ๋ยที่มีเรโชของโปแตสเซียมสูง เช่น 1:1:3 ใช้กับกล้วยไม้ที่ต้องการให้ทนทานต่อสภาพแห้ง
แล้งได้ดีขึ้น ไม่หยุดชะงักการเจริญเติบโตในฤดูแล้ง โดยควรใช้ก่อนถึงฤดูแล้ง 2-3 เดือน ปุ๋ย
นี้ยังช่วยในการเจริญเติบโตของราก ทำให้ดอกมีสีสดและบานทน
ปุ๋ยที่มีเรโชสมดุล เช่น 1:1:1 ใช้กับกล้วยไม้ที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องและเหมาะสม
เหมาะกับกล้วยไม้ที่โตแล้วหรือกำลังจะออกดอก
วิธีการให้ปุ๋ย
เน้นการให้ปุ๋ยทางราก เพราะปุ๋ยส่วนใหญ่เข้าสู่ต้นกล้วยไม้ทางราก ส่วนใบ และยอดอ่อน
กล้วยไม้สามารถดูดปุ๋ยเข้าสู่ลำต้นได้บ้างโดยเฉพาะขณะต้นยังมีขนาดเล็ก แต่เมื่อโตขึ้น
หากให้ปุ๋ยเฉพาะที่ใบต้นกล้วยไม้จะได้รับธาตุอาหารไม้เพียงพอ
ก่อนฉีดพ่นปุ๋ยควรรดน้ำต้นกล้วยไม้ให้ชื้น แล้วจึงฉีดปุ๋ยตามเพราะปุ๋ยจะแพร่กระจายดีขึ้น
และถูกดูดซึมได้ดีขึ้น วิธีนี้ไม่ทำให้น้ำเข้าไปแย่งที่ปุ๋ย หรือรากกล้วยไม้ดูดปุ๋ยน้อยลง
เพราะการดูดน้ำและปุ๋ยของต้นกล้วยไม้แยกกันอยู่คนละช่องทาง
หากไม่สามารถให้น้ำก่อนฉีดปุ๋ย ก็ควรฉีดปุ๋ยเป็นละอองทั้งด้านบน และล่างของใบ และ
ฉีดจนกระทั่งเริ่มมีหยดน้ำไหลลงมาจากใบ
ฉีดพ่นปุ๋ยในช่วงเช้าที่มีอุณหภูมิต่ำแดดไม่จัดและความชื้นสัมพัทธ์สูง เพื่อให้ปุ๋ยคง
สภาพเป็นสารละลายให้ต้นดูดซึมได้นานที่สุด
ในวันที่ไม่มีแสงแดดไม่ควรให้ปุ๋ย หากจำเป็นต้องให้ก็ลดความเข้มข้นของปุ๋ยลง
น้ำที่ใช้ละลายปุ๋ยควรเป็นน้ำสะอาด มีตะกอนน้อยมีสภาพเป็นกรดอ่อนหรือเป็นกลาง
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมของเกษตรกร
สกุลหวายช่วงสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงควรให้ปุ๋ยสูตร 10-20-30 อัตรา 80-100 กรัม
ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้งเพื่อป้องกันดอกร่วง
สกุลหวายช่วงปลายฤดูผนเข้าฤดูหนาว (เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน) หากให้ปุ๋ยละลายช้า (สูตร 13-18-10 อัตรา 1/2 ช้อนชาต่อต้น) แล้วให้ปุ๋ยทางใบทุก 2 สัปดาห์จะช่วยให้
กล้วยไม้ออกดอกในฤดูแล้งดีขึ้น
กล้วยไม้พันธุ์ที่ทิ้งช่วงออกดอกนานในบางฤดู ควรบำรุงต้นโดยใช้ปุ๋ยสูตรตัวท้ายสูงมาก 1-2 ครั้ง
ลักษณะของกล้วยไม้สกุลหวายที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยเรโชเดียวติดต่อกันนานเกินไป
เรโช 1:1:1 : ต้นอ้วนป้อม มีการต่อยอด
เรโช 1:2:1 : ดอกดก รากดี ช่อสั้น อาจมีการแตกแขนง
เรโช 2:1:3 : ดอกไม่ดก แต่ช่อยาว ดอกใหญ่
เรโช 3:2:1 : ต้นสูงเร็ว ยาวเรียวผอม รากไม่ค่อยดี
สกุลออนซิเดียม ไม่ควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงติดต่อกันนาน เพราะจะทำให้ต้นอ่อนแอ
เป็นโรคเน่าได้ง่าย
การผสมปุ๋ยเกล็ดเอง
การผสมปุ๋ยใช้เอง มีข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง ตัดปัญหาเรื่องปุ๋ยปลอม และสามารถปรับการ
ใช้ปุ๋ยได้ตามต้องการ
http://orchidnet.doae.go.th/home/print_view_word.php?id=6&c=1&d=3