ผลการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตคะน้า
การศึกษาผลการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตคะน้า ดำเนินการในพื้นที่ของหมอดินอาสา กลุ่มชุดดินที่8 ชุดดินธนบุรี แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร วางแผนการทดลองแบบ สังเกตการณ์ (Observation trial) จำนวน 8 ตำรับการทดลอง 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ 1) ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 50, 100 และ 150 กิโลกรัม/ไร่ 2) ปุ๋ยเคมี (25-7-7) อัตรา 25 และ 50 กิโลกรัม/ไร่ 3) ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ และ 4) ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
ผลการวิจัยพบว่าทุกตำรับการทดลองมีค่าเฉลี่ยน้ำหนักผลผลิตคะน้าสูงกว่าแปลงควบคุม (ไม่ใช้ปุ๋ย) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ร่วมกับปุ๋ยยูเรียให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 5,929 กิโลกรัม/ไร่ โดยไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 150 กิโลกรัม/ไร่ และการใช้ปุ๋ยเคมีในอัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่กับปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ขึ้นไปโดยเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์น้ำ สำหรับการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีของดินพบว่า การใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ในอัตราที่สูงขึ้นโดยเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีแนวโน้มทำให้ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ค่าการนำไฟฟ้าลดลง ทั้งนี้ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดของปริมาณอินทรียวัตถุ ธาตุฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์และแคลเซียม แต่พบว่ามีแนวโน้มทำให้ธาตุโพแทสเซียมและแมกนีเซียมเพิ่มมากขึ้น
จากการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารในต้นคะน้าอายุ 45 วัน พบว่าทุกตำรับการทดลองมีธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับตำรับควบคุม การใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่กับปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ขึ้นไป มีธาตุไนโตรเจนไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่กับปุ๋ยยูเรีย เมื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจพบว่าการใช้ปุ๋ยเคมี 50 กิโลกรัม/ไร่กับปุ๋ยยูเรียให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด 25,819.00 บาท/ไร่
ข้อเสนอแนะ
1. การเลือกใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมควรพิจารณาจากค่าวิเคราะห์ดิน เนื่องจากในดินอาจมีธาตุอาหารบางชนิดที่มากเกินความจำเป็น การใส่ปุ๋ยมากเกินไปนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีผลทำให้ธาตุอาหารในดินบางชนิดไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชปลูกด้วย เช่น ธาตุฟอสฟอรัสที่มีมากเกินไปจะทำให้ธาตุเหล็ก ทองแดงและสังกะสีเป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง ทั้งนี้การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินจะทำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยได้อย่างถูกต้อง เกิดประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต โดยเกษตรกรสามารถเลือกใช้วัตถุดิบชนิดต่างๆที่มีปริมาณธาตุอาหารแตกต่างกันไป
2. เกษตรกรควรปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักหรือพืชปุ๋ยสด เพื่อให้ดินมีสภาพที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช ทั้งนี้อินทรียวัตถุจะช่วยดูดซับธาตุอาหารไว้ในดินและปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้าๆ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อพืชปลูกในระยะยาว โดยก่อนการปลูกพืชหากมีปริมาณอินทรียวัตถุในดินอยู่มากก็จะทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นด้วย
3. แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการใส่ปุ๋ยอินทรีย์จะมากกว่าการใส่ปุ๋ยเคมี แต่ก็ทำให้ดินมีสภาพเหมาะสมต่อการพืชปลูกมากกว่า ทั้งนี้หากใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตราที่เหมาะสมก็สามารถทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นใกล้เคียงกับปุ๋ยเคมีได้ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกร เพราะวัตถุดิบที่ใช้สามารถหาได้ง่าย เกษตรกรสามารถผลิตได้เอง ส่วนปุ๋ยเคมีนั้นต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตอาจมีราคาสูงว่าปุ๋ยอินทรีย์ก็เป็นได้
4. การใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำร่วมด้วยสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์น้ำมีส่วนผสมของฮอร์โมนและกรดอินทรีย์ที่จำเป็นและช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช เกษตรกรสามารถผลิตได้เอง โดยกรมพัฒนาที่ดินแนะนำให้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากเศษพืช ผัก ผลไม้ เศษปลา หอยเชอรี่ เปลือกไข่ โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์พด.2 ซึ่งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยให้ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ได้เร็วยิ่งขึ้น
5. หน่วยงานรัฐควรส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์น้ำทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ควรแนะนำให้เกษตรกรปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ดินมีสภาพที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช
|
|
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.