-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 234 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

พืชไร่




หน้า: 3/3



21. รู้มั้ยเผาอ้อย ส่งผลเสีย มากกว่าที่คิด...

ข้อเสียและผลกระทบจากการเผาอ้อย

1. สูญเสียน้ำหนักและคุณภาพความหวาน อ้อยไฟไหม้ที่ตัดทิ้งไว้ในไร่เป็นระยะ
เวลาถึง 72 ชั่วโมง จะยิ่งสูญเสียคุณภาพความหวานเพิ่มมากขึ้น

2. ถูกตัดราคา ตามประกาศของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ตัดราคา
อ้อยไฟไหม้ ตันละ 20 บาท

3. มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมาก อ้อยที่เผาจะมีน้ำตาลเยิ้มออกมาที่ลำอ้อย เมื่อตัด
อ้อยแล้ววางสัมผัสกับพื้นดินก็จะมีเศษหิน ดินทราย ปนเข้ามา และเมื่อใช้รถคีบก็จะ
ทำให้สิ่งสกปรกปนเปื้อนเข้ามามากขึ้น

4. ทำให้สูญเสียอินทรีย์วัตถุบำรุงดิน การเผาอ้อยทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ลดลง 5-10 % ต่อปี และทำให้โครงสร้างของดินไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
ของอ้อย เช่น ดินแน่นทึบ หน้าดินแห้ง เกิดการแตกระแหง โดยเฉพาะดินเหนียว

5. เสียค่าใช้จ่ายดูแลและรักษาอ้อยเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีเศษซากอ้อยคลุมดินทำให้
มีต้นทุนการซื้อสารเคมีกำจัดวัชพืชมากขึ้น

6. ทำให้ตออ้อยถูกทำลาย การเผาจะทำให้ตออ้อยถูกทำลาย อ้อยงอกช้ากว่า
ปกติหรือไม่งอกเลย การเจริญเติบโตช้า ไว้ตอไม่ได้ และไม่ทนทานต่อสภาพความ
แห้งแล้ง

7. ทำลายแมลงที่มีประโยชน์ ทำให้แมลงที่ช่วยควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูถูก
ทำลาย ทำให้เกิดการระบาดของแมลงศัตรูอ้อย เช่น หนอนกอ เป็นต้น

8. เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสุขภาพของคนตัดอ้อย และทำลายสิ่ง
แวดล้อม

9. ตลาดน้ำตาลอาจจะถูกจำกัด การเผาอ้อย นอกจากจะทำให้เกิดความเสียหาย
ต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วอาจนำมาเป็นข้ออ้างงดซื้อน้ำตาล
จากประเทศไทยได้



ที่มา :
http://www.pantown.com/board.php?id=22514&area=3&name=board2&topic=43&action=view




22. เทคโนโลยีการผลิต อ้อย

การเลือกพื้นที่ปลูกอ้อย
พื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกอ้อย ควรเป็นที่ดอน หรือที่ลุ่ม ไม่มี น้ำท่วมขัง สูงจากระดับน้ำ
ทะเลไม่เกิน 1,500 เมตร ห่างไกลจาก แหล่งมลพิษ การคมนาคมสะดวก อยู่ห่างจากโรง
งานน้ำตาลไม่เกิน 60 กิโลเมตร

การเตรียมดิน
การปลูกอ้อย 1 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ถึง 3-4 ปี หรือมากกว่า ดังนั้น การ
เตรียมดินปลูกจะมีผลต่อ ผลผลิตของอ้อย ตลอดระยะเวลาที่ไว้ตอ โดยทั่วไปหลังจากตัด
อ้อยตอปีสุดท้ายแล้ว เกษตรกรมักจะเผาเศษซากอ้อยและตออ้อยเก่าทิ้ง เพื่อสะดวกต่อ
การเตรียมดิน เพราะเศษซากอ้อยจะทำให้ล้อรถแทรกเตอร์ลื่น หมุนฟรี และมักจะม้วนติดพัน
กับผานไถ ทำให้ทำงานได้ไม่สะดวก จาก การทดลองใช้จอบหมุนสับเศษซากใบอ้อยแทน
การเผา พบว่า สามารถ ช่วยอนุรักษ์อินทรียวัตถุในดินได้เป็นอย่างดี

ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี ได้พัฒนาผานจักรสับเศษซากอ้อย คลุกเคล้าลงดินใช้ได้ผลดี
และประหยัดกว่าการใช้จอบหมุน

หลังจากไถกลบเศษซากอ้อยลงดินแล้ว ควรมีการปรับหน้าดิน ให้เรียบและมีความลาดเอียง
เล็กน้อย (ไม่เกิน 0.3 เปอร์เซนต์) เพื่อสะดวกในการให้น้ำและระบายน้ำออกจากแปลง
กรณีฝนตกหนัก และป้องกันน้ำขังอ้อยเป็นหย่อมๆ เมื่อปรับพื้นที่แล้ว ถ้าเป็นแปลง ที่มีชั้น
ดินดาน ควรมีการใช้ไถระเบิดดินดาน ไถลึกประมาณ 75 เซนติเมตร โดยไถเป็นตาหมาก
รุก หลังจากนั้น จึงใช้ไถจาน (3 ผาน หรือ 4 ผาน ตามกำลังของแทรกเตอร์) และพรวน
ตามปกติ แล้วจึงยกร่องปลูกหรือ ถ้าจะปลูกโดยใช้เครื่องปลูกก็ไม่ต้องยกร่อง

ข้อควรระวังในการเตรียมดิน
1. ควรไถเตรียมดิน ขณะดินมีความชื้นพอเหมาะไม่แห้ง หรือเปียกเกินไป
2. ควรเตรียมดินโดยใช้ไถจานสลับกับไถหัวหมู เพื่อไม่ให้ความลึก ของรอยไถอยู่ใน
ระดับเดิมตลอด และการใช้ไถจานตลอด จะทำให้เกิด ชั้นดินดานได้ง่าย
3. ไม่ควรไถพรวนดินจนดินละเอียดเป็นฝุ่น เพราะดินละเอียด เมื่อถูกฝนหรือ มีการให้น้ำ
จะถูกชะล้างลงไปอุดอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ทำให้การระบายน้ำและอากาศไม่ดี

การเตรียมท่อนพันธุ์
* ควรมาจากแปลงพันธุ์ที่มีความสม่ำเสมอ ตรงตามพันธุ์ ปราศจาก โรคและแมลง มีอายุที่
เหมาะสม คือประมาณ 8-10 เดือน
* เกษตรกรควรทำแปลงพันธุ์อ้อยไว้ใช้เอง เพื่อลดค่าใช้จ่าย ในการซื้อพันธุ์อ้อย และเป็น
การวางแผนการปลูกอ้อยที่ถูกต้อง
* มีการป้องกันกำจัดโรคและแมลงที่ถูกต้อง เช่น มีการชุบน้ำร้อน 50 องศาเซลเซียส 2
ชั่วโมง หรือ 52 องศาเซลเซียส ครึ่งชั่วโมง เพื่อป้องกัน โรคใบด่าง โรคตอแคระแกร็น โรค
กลิ่นสับปะรด ลดการเป็นโรคใบขาว และโรคกอตะไคร้ อย่างไรก็ตาม ท่อนพันธุ์ที่จะชุบน้ำ
ร้อนควรมีอายุประมาณ 8-10 เดือน เพราะว่า ถ้าใช้ท่อนพันธุ์อายุน้อยกว่า 8 เดือน
เปอร์เซ็นต์ ความงอกของอ้อยจะลดลง
* การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนอัตรา 10-20 กก.N/ไร่ ก่อนการตัดอ้อย ไปทำพันธุ์ 1 เดือน
ช่วยทำให้อ้อยมีความงอก และความแข็งแรงของ หน่ออ้อยดีขึ้น
* อ้อยจากแปลงพันธุ์ 1 ไร่ (อายุ 8-10 เดือน) สามารถ ปลูกขยายได้ 10 ไร่

ฤดูปลูก
การปลูกอ้อยในปัจจุบัน สามารถแบ่งตามฤดูปลูกได้เป็น 2 ประเภท
1. การปลูกอ้อยต้นฝน ซึ่งยังแบ่งเป็น 2 เขต คือ
- ในเขตชลประทาน (20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูกอ้อย ทั้งประเทศ) ส่วนใหญ่จะปลูก
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน
- ในเขตอาศัยน้ำฝน ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วงเดือน เมษายนถึงมิถุนายน

2. การปลูกอ้อยปลายฝน (การปลูกอ้อยข้ามแล้ง) สามารถทำได้ เฉพาะในบางพื้นที่
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ที่มีปริมาณและการกระจายของฝนดี และ
ดินเป็นดินทรายหรือดินร่วนปนทราย การปลูกอ้อยประเภทนี้จะปลูกประมาณกลางเดือน
ตุลาคมถึงธันวาคม

วิธีปลูก
การปลูกอ้อยต้นฝนในเขตชลประทาน
พื้นที่ปลูกอ้อยประเภทนี้มีประมาณ 1 ล้านไร่ ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ใน เขตภาคกลาง และ
ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิต อ้อยสูง ถ้ามีการจัดการที่ดี และตั้ง
เป้าหมายไว้ว่า ผลผลิตอ้อยในเขตนี ้ไม่ควรต่ำกว่า 15 ตันต่อไร่ การปลูกอ้อยในเขตนี้ มี
การปรับเปลี่ยนวิธีปลูก เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรกลเกษตร เช่น เครื่องปลูก
เครื่องใส่ปุ๋ย เครื่องกำจัดวัชพืช และรถเก็บเกี่ยว เป็นต้น

- ถ้าใช้คนปลูกจะยกร่องกว้าง 1.4-1.5 เมตร (เดิมใช้ 1.3 เมตร) วางพันธุ์อ้อย
เป็นลำโดยใช้ลำเดี่ยวเกยกันครึ่งลำ หรือ 2 ลำคู่ ตามลักษณะการแตกกอของพันธุ์อ้อยที่
ใช้ ตัวอย่าง เช่น ถ้าใช้อ้อยพันธุ์ K 84-200 ซึ่งมีการแตกกอน้อย ควรปลูก 2 ลำคู่ หลัง
จากวางพันธุ์อ้อย ควรใช้จอบสับลำอ้อยเป็น 2-3 ส่วน แล้วกลบด้วยดินหนาประมาณ 5
เซนติเมตร

- ถ้าใช้เครื่องปลูก หลังจากเตรียมดินแล้ว ไม่ต้องยกร่อง จะใช้ เครื่องปลูกติดท้าย
แทรกเตอร์ โดยจะมีตัวเปิดร่อง และช่องสำหรับใส่ พันธุ์อ้อยเป็นลำ และมีตัวตัดลำอ้อยเป็น
ท่อนลงในร่อง และมีตัวกลบดิน ตามหลัง และสามารถดัดแปลงให้สามารถใส่ปุ๋ยรองพื้น
พร้อมปลูกได้เลย ปัจจุบันมีการใช้เครื่องปลูกทั้งแบบเดี่ยวและแถวคู่ โดยจะปลูกแถวเดี่ยว
ระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ในกรณีนี้ใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอมาก และจะ ปลูกแถวคู่ระยะ
แถว 1.4-1.5 เมตร ระยะระหว่างคู่แถว 30-40 เซนติเมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตก
กอน้อย ปัจจุบันในประเทศ ออสเตรเลียมีการใช้เครื่องปลูกอ้อยเป็นท่อน (billet
planter) โดยใช้รถตัดอ้อยตัดพันธุ์อ้อยเป็นท่อน แล้วนำมาใส่เครื่องปลูกที่สามารถ
เปิดร่องและโรยท่อนพันธุ์อ้อยแล้วกลบ เหมือนปลูกพืชที่ใช้เมล็ดอย่างอื่น เช่น ข้าวโพด
หรือถั่วต่าง ๆ

การปลูกอ้อยต้นฝนในเขตอาศัยน้ำฝน
พื้นที่ปลูกอ้อยส่วนใหญ่จะอยู่ในประเภทนี้ และเป็นพื้นที่ที่มีความ แปรปรวนในเรื่องผลผลิต
สูง และผลผลิตเฉลี่ยของอ้อยต่ำกว่า 10 ตันต่อไร่ มีสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ปริมาณ
และการกระจายตัวของฝนไม่ดี และดินส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การใส่ปุ๋ยก็จะมี
ความเสี่ยงสูงและ หาจังหวะการใส่ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพสูงยาก (ถ้าดินไม่มีความชื้น พืชก็
ดูดปุ๋ยที่ใส่ไปใช้ไม่ได้)

แนวทางที่จะพัฒนาผลผลิตอ้อยในเขตนี้ก็คือ ต้องพยายามหาแหล่งน้ำ (น้ำใต้ดิน,ขุดสระ
เก็บกักน้ำ) เพื่อให้น้ำอ้อยได้ในช่วงวิกฤตและที่สำคัญ คือ ถ้ามีน้ำสามารถปลูกอ้อยได้เร็ว
โดยไม่ต้องรอฝน (ปลูกได้ก่อนสิ้นเดือน พฤษภาคม) ก็จะสามารถเพิ่มผลผลิตและ
คุณภาพของอ้อยในเขตนี้ได้ เพราะอ้อยที่ปลูกล่า (หลังเดือนพฤษภาคม) ทั้งผลผลิต
และคุณภาพจะต่ำ เพราะอายุอ้อยยังน้อยช่วงตัดเข้าโรงงาน วิธีการปลูกอ้อยในเขตนี้จะ
คล้ายกับ ในเขตชลประทาน จะแตกต่างก็เพียงระยะห่างระหว่างร่องในบางพื้นที่จะใช ้แคบ
กว่า คือ ประมาณ 0.9-1.2 เมตร เพราะอ้อยในเขตนี้จะแตกกอ น้อยกว่าการลดระยะ
แถวลง ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนลำเก็บเกี่ยว อ้อยต่อพื้นที่ได้ และปัจจุบันเกษตรกรใน
หลายพื้นที่ (เช่น อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
เปลี่ยนมาปลูกอ้อย แถวคู่ โดยใช้ระยะระหว่างคู่แถว 1.4-1.5 เมตร และระยะในคู่แถว
30-40 เซนติเมตร และได้ผลผลิตใกล้เคียงกับการปลูกแถวแคบ แต่การจัดการในไร่อ้อย
จะสะดวกกว่า เพราะใช้เครื่องจักรเข้าทำงานได้

การปลูกอ้อยปลายฝน (ปลูกข้ามแล้ง)
เป็นการปลูกอ้อยโดยอาศัยความชื้นในดินช่วงปลายฤดูฝน เพื่อให้อ้อยงอกและเจริญเติบโต
อย่างช้า ๆ ไปจนกว่าอ้อยจะ ได้รับน้ำฝนต้นฤดู เป็นวิธีการปลูกอ้อยที่ใช้ได้ผลในเขตปลูก
อ้อย อาศัยน้ำฝนบางพื้นที่ที่ดินเป็นดินทราย หรือร่วนปนทราย และที่สำคัญ จะต้องมีปริมาณ
น้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,200 มิลลิเมตรต่อปี และมีการ กระจายตัวดี โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดู
(กุมภาพันธ์ ถึงเมษายน) จะต้องมีปริมาณฝนที่พอเพียงกับการเจริญเติบโตของอ้อยใน
ช่วงแรก การเตรียมดินปลูกจะต้องไถเตรียมดินหลายครั้ง จนหน้าดินร่วนซุย (เพื่อตัด
capillary pore) เป็นการรักษาความชื้นในดินชั้นล่าง หลังจาก เตรียมดิน ควรรีบ
ยกร่องและปลูกให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันกับความชื้น และควรยกร่องปลูกวันต่อวัน

พันธุ์อ้อยที่ใช้ปลูกข้ามแล้ง จะเป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างแก่ คือ อายุประมาณ 8-10 เดือน
เกษตรกรนิยมปลูกอ้อยแบบทั้งลำ โดยจะชักร่องให้ลึก ระยะแถว 1.0-1.3 เมตร และ
วางลำอ้อยในร่องแล้วใช้จอบสับลำอ้อยเป็น 2-3 ส่วน กลบดินหนาประมาณ 10-15
เซนติเมตร และใช้เท้าเหยียบดิน ที่กลบให้แน่นพอประมาณ เพื่อให้ท่อนพันธุ์อ้อยสัมผัสกับ
ดินชื้นมากที่สุด ปัจจุบันมีการใช้เครื่องปลูกในพื้นที่นี้มากขึ้น โดยจะตั้งเครื่องปลูกให้ลึก กว่า
ปกติ

ข้อดีของการปลูกอ้อยด้วยวิธีนี้ คือ
- อ้อยที่ปลูกโดยวิธีนี้จะมีอายุไม่น้อยกว่า 12 เดือน ในช่วงตัดอ้อยเข้าโรงงาน ทำให้ทั้ง
ผลผลิตและคุณภาพ (ความหวาน) ดีกว่าอ้อยที่ปลูกต้นฝน
- ปัญหาเรื่องวัชพืชรบกวนอ้อยในช่วงแรกจะน้อย เพราะหน้าดิน จะแห้งอยู่ตลอดเวลา ใน
ช่วงแรกของการเจริญเติบโต

ข้อเสียของการปลูกอ้อยวิธีนี้ คือ
- ถ้ามีฝนตกหลังปลูกหรือช่วงอ้อยยังเล็ก จะทำให้หน้าดินแน่น อ้อยเจริญเติบโตไม่ดี จำ
เป็นต้องมีการคราดหน้าดิน เพื่อไม่ให้หน้าดิน แน่นรัดหน่ออ้อย
- ในบางปีฝนต้นฤดูน้อย หรือมาล่า อาจทำให้อ้อยเสียหายได้

การปลูกซ่อม
การปลูกอ้อยเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงนั้น อ้อยปลูกจะต้องมีหลุมขาดหาย น้อยที่สุด และหลุมที่
ขาดหายต่อเนื่องกันเกิน 1 หลุม อ้อยหลุมข้างเคียงจะ ไม่สามารถชดเชยผลผลิตได้ ดังนั้น
ถ้ามีหลุมขาดหายต่อเนื่องกันมาก ควรมีการปลูกซ่อม และจะต้องปลูกซ่อมภายใน 20 วัน
หลังปลูก เพื่อให้อ้อยที่ปลูกซ่อมเจริญเติบโตทันอ้อยปลูกปกติ



สำหรับในอ้อยตอ ไม่แนะนำให้ปลูกซ่อม เพราะอ้อยที่ปลูกซ่อม ในอ้อยตอจะมีเปอร์เซ็นต์
รอดน้อย และถึงจะรอดก็ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากถูก กออ้อยข้างเคียงบังแสง ดังนั้น ในอ้อยตอ
ที่มีหลุมตายหรือขาดหายมาก เกินกว่าที่หลุมข้างเคียงจะแตกกอชดเชยได้ ก็ควรจะรื้อตอ
และปลูกใหม่

การใช้ปุ๋ยเคมีและการจัดการดินอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถลดต้นทุนการผลิตอ้อย มีหลักปฏิบัติ ดังนี้
1. การใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตรงต่อความต้องการทั้งชนิดและปริมาณ
2. ลดการสูญเสียปุ๋ย
3. ใช้ปุ๋ยราคาต่ำทดแทนปุ๋ยราคาแพง หรือผสมปุ๋ยใช้เอง
4. การปรับปรุงดินให้มีคุณสมบัติเหมาะสม

การใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตรงต่อความต้องการทั้งชนิดและปริมาณ
การใส่ปุ๋ยเคมีให้ได้ถูกต้องตรงกับชนิดดินและความต้องการของอ้อย เป็นการลดต้นทุนการ
ผลิตได้อย่างดี การใส่ธาตุอาหารลงไปในดินโดยที่ดินนั้น ๆ มีธาตุอาหารเพียงพออยู่แล้ว จะ
เป็นการลงทุนที่เปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ ปุ๋ยส่วนเกินความต้องการของอ้อยจะถูกชะล้างลง
สู่ บ่อ คู คลอง และแหล่งน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดมลภาวะอย่างรุนแรงทั้งสิ้น สำหรับการปลูกอ้อย
ในประเทศไทย พบว่า มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยน้อยรายที่มีความรู้ความเข้าใจ เรื่องการใช้ปุ๋ย
เคมี ดังนั้น ถ้าเรามีการใช้ปุ๋ยเคมีทั้งชนิดและอัตราที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้
ปุ๋ยในไร่อ้อย เป็นการลดต้นทุนค่าปุ๋ย และลด มลภาวะที่จะเกิดจากการปนเปื้อนของปุ๋ยใน
อากาศ และน้ำ รวมทั้งลด ค่าใช้จ่ายการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศอีกด้วย การจะใช้ปุ๋ยให้
ถูกต้องได้จะต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงลักษณะทางเคมีของดิน เพราะลักษณะทางเคมีของ
ดินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต และการ ให้ผลผลิตของอ้อยมากเนื่องจากเป็นลักษณะ
ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปริมาณธาตุอาหารในดิน ที่จะเป็นประโยชน์แก่
อ้อย รวมถึงความเป็นพิษ ของธาตุบางอย่างด้วย ลักษณะทางเคมีของดินที่สำคัญต่อการ
เจริญเติบโตของอ้อย ได้แก่ ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ความเค็ม ความจุในการแลก
เปลี่ยนประจุบวก ความอิ่มตัวของด่าง ปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน และปริมาณของธาตุอาหาร
ต่าง ๆ ในดิน คุณสมบัติทางเคมีของดินเหล่านี้ไม่สามารถบ่งบอกได้ด้วย การสัมผัสหรือดู
ด้วยตาเปล่า เหมือนคุณสมบัติทางกายภาพ

วิธีประเมินว่า ดินที่ปลูกอ้อยอยู่จะมีคุณสมบัติทางเคมีดีหรือเลวเพียงใด คือ
- การสังเกตอาการขาดธาตุอาหารของอ้อย วิธีนี้ต้องอาศัยความชำนาญ และประสบการณ์
มาวินิจฉัยอาการผิดปรกติที่ปรากฎที่ใบและต้นอ้อยว่า เป็นอาการขาดธาตุใด จึงสรุปได้ว่า
ดินมีธาตุนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของอ้อย

- การทดลองใส่ปุ๋ยให้กับอ้อย อาจทำในกระถาง หรือในไร่นา โดย เปรียบเทียบกับดินที่
ไม่มีการใส่ปุ๋ย ถ้าอ้อยที่ใส่ปุ๋ยชนิดต่างๆ มีการเจริญเติบโตแตกต่างไปจากดินที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ย
แสดงว่าดินชนิดนั้นยังมีธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของอ้อย

- การวิเคราะห์ดิน โดยนำตัวอย่างดินมาตรวจสอบหาค่าต่าง ๆ วิธีนี้เป็นการประเมินที่ถูก
ต้องแม่นยำกว่าสองวิธีแรก แต่ชาวไร่ไม่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ต้องส่งตัวอย่างดินไป
ยังหน่วย บริการต่างๆ ซึ่งจะใช้วิธีการทางเคมี วิเคราะห์องค์ประกอบของดิน ในส่วนที่เป็น
ธาตุอาหาร เพื่อประเมินว่า ดินนั้นขาดธาตุใดบ้าง และควร บำรุงดินอย่างไรจึงจะเหมาะสม

- การวิเคราะห์พืช วิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด แต่ปฏิบัติได้ ยุ่งยากกว่า มีวิธีการเช่น
เดียวกับการวิเคราะห์ดิน คือ นำตัวอย่างพืช มาใช้วิธีการทางเคมีแยกองค์ประกอบของเนื้อ
เยื่อพืช เพื่อให้ทราบว่า มีธาตุอาหารใดสูงต่ำมากน้อยเพียงใด แล้วนำมาเทียบกับค่าวิกฤต
แล้วจึง ประเมินเป็นปริมาณธาตุอาหารที่จะต้องใส่ให้แก่อ้อย

วิธีที่เหมาะสมสำหรับชาวไร่อ้อย น่าจะเป็นวิธีวิเคราะห์ดิน ซึ่งมี หน่วยงานรับบริการวิเคราะห์
ทั้งทางราชการและเอกชน อีกทั้งมีเครื่องมือ ที่ทันสมัยขึ้น ทำให้วิเคราะห์ได้รวดเร็วกว่าสมัย
ก่อนมาก การวิเคราะห์ดิน จะมีวิธีดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ

1. การเก็บตัวอย่างดิน การเก็บตัวอย่างดินให้ได้ตัวอย่าง ซึ่งเป็น ตัวแทนของพื้นที่ เป็นขั้น
ตอนแรกที่มีความสำคัญที่สุด เกษตรกรผู้เก็บ ตัวอย่างดินต้องเข้าใจวิธีการและขั้นตอนการ
ปฏิบัติโดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ตัวอย่างดินที่ดี ค่าวิเคราะห์ที่ไม่ผิดพลาด

2. การวิเคราะห์ดินในห้องปฏิบัติการ ได้จากการนำตัวอย่างดิน ที่เก็บมาส่งไปวิเคราะห์
เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะวิเคราะห์ดินด้วยวิธีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ค่าวิเคราะห์ถึง
คุณสมบัติทางเคมีของดิน เพื่อความถูกต้องของข้อมูล

3. การแปลความหมายของผลการวิเคราะห์ดิน เป็นการนำข้อมูลที่ได ้จากการวิเคราะห์มา
เทียบเคียงปริมาณการใช้ธาตุอาหารต่าง ๆ ของอ้อย แล้วแปลข้อมูลนั้นว่า ดินที่วิเคราะห์มี
ความอุดมสมบูรณ์ ต่ำ ปานกลาง หรือสูง

4. การให้คำแนะนำการปฏิบัติหรือใส่ปุ๋ยเพื่อปรับปรุงดิน จากผลการ แปลความหมายข้าง
ต้น นักวิชาการเกษตร จะให้คำแนะนำแก่ชาวไร่อ้อย เจ้าของตัวอย่างดินว่า หากประสงค์จะ
ปลูกอ้อยให้ได้ผลดี ควรใช้ปูน เพื่อสะเทินกรดในดินอัตรากี่กิโลกรัมต่อไร่ ควรใช้ปุ๋ยสูตรใด
อัตราใด และใส่อย่างไร จึงจะให้ผลดีต่อพืชที่ปลูก

การใช้ปุ๋ยในกรณีที่ไม่มีการวิเคราะห์ดิน
- การใช้ปุ๋ยเคมีกัยที่ปลูกในดินเหนียวกับดินร่วน
ดินลักษณะนี้มักจะมีธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมอยู่บ้าง จึงเน้นหนักทางด้านธาตุ
ไนโตรเจน ซึ่งสามารถแนะนำเป็นปุ๋ยเคมีสูตร 14-14-14 , 15-15-15 หรือ 16-
16-16 อัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่ครั้งแรกหลังปลูก 1 เดือน หรือหลังแต่งตอ
ทันที ใส่ครั้งที่ 2 หลังปลูกหรือแต่งตอ 2-3 เดือน

ถ้าไม่สะดวกที่จะใช้ปุ๋ยสูตรที่กล่าวมานี้ อาจใช้ปุ๋ยสูตรอื่นที่หา ได้ตามท้องตลาด เช่น 16-
8-8, 20-10-10, 16-6-6, 18-6-6, 18-8-8, หรือ 25-7-7 อัตรา
70-90 กิโลกรัมต่อไร่ โดยแบ่งครึ่ง ใส่หลังปลูกหรือหลังแต่งตอทันที ส่วนอีกครึ่งหนึ่งใส่
หลังปลูกหรือหลังแต่งตอ 2-3 เดือน

ถ้าพื้นที่ปลูกมีน้ำชลประทาน ควรเพิ่มปุ๋ยยูเรีย อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ย
แอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ ในการใส่ครั้งที่ 2

-การใช้ปุ๋ยเคมีกับอ้อยในดินทราย
ดินทรายมักจะขาดธาตุโพแทสเซียม เนื่องจากถูกชะล้างจาก อนุภาคดินได้ง่ายจึงแนะนำให้
ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-12-12, 13-13-13 หรือ 14-14-21 อัตรา 40-60 กิโลกรัม
ต่อไร่ โดยใส่พร้อมปลูกหรือ หลังแต่งตอ 20 กิโลกรัม ส่วนที่เหลือใส่ครั้งที่ 2 ร่วมกับปุ๋ย
สูตร 21-0-0 อัตรา 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 46-0-0 อัตรา 15-20 กิโลกรัม
ต่อไร่ โดยใส่หลังปลูกหรือหลังแต่งตอ 60 วัน

อาจใช้ปุ๋ยสูตรอื่นที่มีขายตามท้องตลาดได้ เช่น 16-8-14, 15-5-20 หรือ 16-11-
14 โดยใส่ในอัตราเดียวกัน คือ 40-60 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับอ้อยที่มีน้ำชลประทานให้
เพิ่มปุ๋ยยูเรีย อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต อัตรา 25-30
กิโลกรัมต่อไร่ ในการใส่ครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับในสภาพดินเหนียวและดินร่วน

- การใช้ปุ๋ยแบบเจาะจงเฉพาะพื้นที่
ปััจจุบันได้มีความพยายามให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีให้เฉพาะเจาะจงต่อ ความต้องการของอ้อย
และคุณสมบัติของดินมากยิ่งขึ้น ได้พัฒนาระบบ คำแนะนำการใช้ปุ๋ยเคมีในการผลิตอ้อย
โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมดังกล่าวจะสามารถบอกได้ว่าในพื้นที่ปลูกอ้อยของ
จังหวัดต่าง ๆ หรือจุดที่ทำไร่อ้อยอยู่นั้นอยู่บนกลุ่มชุดดินอะไร มีคุณสมบัติอย่างไร หรือมี
ความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหน ประกอบด้วยธาตุอาหารอ้อยอะไรบ้าง และควรจะใส่ปุ๋ยเคมี
ชนิดไหนบ้างในอัตราเท่าไร เช่น จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็น
ดินทราย อยู่ในกลุ่มชุดดินที่ 35 และ 35/36 คล้ายคลึงกับดินที่ปลูกอ้อยทางภาคตะวัน
ออกเฉียงเหนือ คือชุดดินมาบบอน ชุดดินปราณบุรี และชุดดินโคราช หน่วยแผนที่ดินใน
กลุ่มนี้มีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย ส่วนดินล่างเป็นดินร่วนเหนียวปนดินทราย มีสีน้ำตาล สี
เหลือง หรือแดง ส่วนมากเกิดจากดินพวกตะกอนลำน้ำ หรือการสลายตัวผุพังของเนื้อหิน
หยาบ พบบริเวณพื้นที่ดอนที่เป็น ลูกคลื่นลอนลาดถึงลอนชัน เป็นดินลึกมีการระบายน้ำดี
คุณสมบัต ิทางกายภาพทำให้ดินดังกล่าวเหมาะสำหรับการปลูกอ้อย อย่างไรก็ตาม ดินกลุ่ม
นี้มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง ดังนั้น การเพิ่มเติมธาตุอาหารให้
แก่อ้อยยังมีความจำเป็น การมีเนื้อดินบน ค่อนข้างเป็นทราย ทำให้ดินอุ้มน้ำได้น้อย อ้อยอาจ
ขาดแคลนน้ำ ได้ในช่วงฝนทิ้งช่วง

การลดการสูญเสียปุ๋ย
ปุ๋ยเคมีที่ใส่ให้แก่อ้อย โดยเฉพาะไนโตรเจนมีการสูญเสียได้หลายทาง เนื่องจากกระบวน
การต่าง ๆ ที่ใส่ลงไปในดิน ฟอสฟอรัสเองก็ถูกตรึง ให้อยู่ในสภาพที่ไม่เป็นประโยชน์ อ้อย
ดูดไปใช้ได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ใส่ให้แก่อ้อย การสูญเสียของธาตุ
อาหารที่ใส่ลงไปในดิน โดยที่อ้อยไม่ได้นำไปใช้ ถือได้ว่าเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดย
ไม่ก่อ ประโยชน์ ถ้าสามารถลดการสูญเสียลงได้ จะเป็นการลดต้นทุนการผลิต ทำให้ใช้ปุ๋ย
อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อเราใส่ปุ๋ยไนโตรเจนลงในดิน ปุ๋ยจะได้รับความชื้นแล้วละลาย พร้อมทั้งแตกตัวเป็น
ไอออน (NH4+, NO3-) ที่พืชสามารถดูดไป ใช้ได้พร้อมทั้งเกิดการสูญเสียตลอดเวลา
โดยกระบวนการต่าง ๆ เช่น

1. กระบวนการชะล้าง (run off) ถ้าให้น้ำมากๆ หรือ ฝนตกชุกจะพัดพาปุ๋ยไหลบ่า
ออกไปจากแปลง

2. กระบวนการชะปุ๋ยลงลึกเลยรากอ้อย (leaching) เกิดในสภาพที่ฝนตกชุกหรือให้
น้ำมาก ๆ และดินมีอัตราการซึมน้ำสูง น้ำจะพาปุ๋ยลงลึกจนเลยรากอ้อยไป

3. กระบวนการระเหิด (volatilization) ไนโตรเจน ในรูปของไอออน NH4+
จะเปลี่ยนรูปเป็นก๊าซแอมโมเนีย ระเหยขึ้นสู่อากาศ

4. กระบวนการระเหย (denitrification) มักเกิดใน สภาพน้ำขัง หรือดินอิ่มตัว
ด้วยน้ำแล้วขาดออกซิเจน ไนโตรเจน จะ เปลี่ยนรูปเป็นก๊าซลอยไปในอากาศ

5. กระบวนการสูญเสียชั่วคราว (immobilization) เกิดขึ้นมาก ในดินที่มีเศษ
ซาก พืชที่ยังไม่ย่อยสลายมาก ๆ เมื่อซากพืชเหล่านี้อยู่ในดิน จุลินทรีย์จะย่อยสลายแล้ว
เพิ่มปริมาณตัวเองอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ เพิ่มปริมาณจะดูดดึงเอาไนโตรเจนจากดินและปุ๋ย
ไปใช้ด้วย จึงทำให้อ้อย ขาดไนโตรเจนต่อเมื่อซากพืชถูกย่อยสลายหมด จุลินทรีย์ขาด
อาหารจึงตายลง พร้อมทั้งปลดปล่อยไนโตรเจนออกมาใหม่ จะสังเกตได้ว่า ถ้าปลูกอ้อย ลง
ไปในดินที่ไถกลบซากพืชใหม่ ๆ อ้อยจะเหลือง หรือแม้กระทั่ง อ้อยตอที่มีใบและเศษซาก
อ้อยที่ยังไม่สลายตัว ทำให้อ้อยตอไม่เขียว เหมือนอ้อยปลูกเพราะขาดไนโตรเจน จึงแนะนำ
ให้เพิ่มอัตรา ไนโตรเจนในอ้อยตอ

นอกจากกระบวนการทั้ง 5 แล้วไนโตรเจนจากปุ๋ยยังอาจถูกดูดยึดไว้ใน ดินจนอ้อยไม่
สามารถดูดมาใช้ได้ จากงานวิจัยของหลาย ๆ ประเทศ พบว่า อ้อยดูดใช้ธาตุอาหารได้ไม่ถึง
50 เปอร์เซ็นต์ ของปุ๋ยที่ใส่ลงไป เพื่อเป็นการประหยัดจึงควรลดการสูญเสียปุ๋ย โดยการ
ปฏิบัติดังนี้
1. อย่าใส่ปุ๋ยลงผิวดิน ควรใส่ฝังลงในดินหรือมีการกลบปุ๋ย
2. หลังใส่ปุ๋ยแล้ว อย่าให้น้ำขัง ควรมีการระบายน้ำ
3. ใส่ปุ๋ยในขณะดินมีความชื้น หรือให้น้ำตามทันทีเพื่อให้ปุ๋ยละลาย อ้อยดูดไปใช้ได้ง่าย
จะลดการสูญเสียได้มาก
4. อย่าปลูกอ้อยทันทีหลังจากไถกลบใบและเศษซากอ้อย ทิ้งให้ใบย่อยสลายก่อนจึง
ปลูกอ้อยแล้วใส่ปุ๋ย
5. อย่าให้น้ำมากเกินความจำเป็น

การใช้ปุ๋ยราคาต่ำทดแทนปุ๋ยราคาแพงหรือผสมปุ๋ยใช้เอง
ชาวไร่อ้อยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีราคาแพง ๆ เสมอไป อาจใช้ปุ๋ยอื่น ๆ ที่มีปริมาณธาตุ
อาหารใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่ามาใช้แทนกันได้ เช่น การใช้ปุ๋ยน้ำจากโรงงานผงชูรส ซึ่ง
มีไนโตรเจนประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้ในอัตราแนะนำ 600 ลิตรต่อไร่ ก็จะได้
ไนโตรเจนถึง 18 กิโลกรัม เท่ากับไนโตรเจนจากปุ๋ย 15-15-15 ถึง 120 กิโลกรัม แต่
ราคาจะถูกกว่ามาก การผสมปุ๋ยใช้เอง สามารถประหยัดได้ถึงตันละ 1,000-2,000
บาท และยังมีข้อดีอื่น ๆ อีก เช่น
- ตัดปัญหาเรื่องปุ๋ยปลอม หรือปุ๋ยไม่ได้มาตรฐาน
- มีปุ๋ยใช้ทันเวลา
- มีอำนาจในการต่อรองราคา
- เกิดความรู้ความชำนาญ สามารถปรับสูตรได้
- ได้ใช้ปุ๋ยในราคายุติธรรม
- กรณีเกิดการสูญเสีย จะสูญเสียน้อยกว่า เพราะลงทุนถูกกว่า
- มีทางเลือกเพิ่มขึ้น

การปรับปรุงดินให้มีลักษณะเหมาะสม
การรปรับปรุงดินให้เหมาะสมจะทำให้การใช้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ลดการใช้
ปุ๋ยลงไปได้มาก ขณะที่ปัจจุบันดินที่ใช้ในการทำไร่อ้อย เสื่อมสภาพลงมาก เนื่องมาจากการ
ไถพรวนบ่อยครั้งโดยไม่ถูกวิธี และไม่ถูกจังหวะ การเผาอ้อย การใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่
น้ำหนัก มากเหยียบย่ำในแปลง ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติที่จะปรับปรุงดินได้ดังนี้้

* การแก้ไขเฉพาะหน้าในกรณีเกิดปัญหาดินดาน
1. ถ้าเกิดดินดานให้ใช้ไถสิ่ว หรือไถเปิดดินดานติดรถแทรกเตอร์ตีน ตะขาบที่มีกำลังสูง
ลากไถสิ่วคู่ระยะ 1 เมตร ไถลึกประมาณ 75 ซม. การไถควรทำขณะที่ดินแห้งจัด
2. อย่าเตรียมดินโดยการไถพรวนจนละเอียดเป็นฝุ่น
3. เตรียมดินโดยใช้ไถจานกับไถหัวหมูสลับกันบ้าง
4. อย่าเผาใบอ้อย เพราะเป็นการทำให้อินทรียวัตถุ หมดไปอย่างรวดเร็ว
5. ควรเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน โดยการใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด หรือเศษของเหลือ
จากโรงงานน้ำตาล เช่น ชานอ้อย หรือกากตะกอนหม้อกรอง

* การปรับปรุงดินโดยการปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบ
การปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบก่อนปลูกอ้อย นิยมปฏิบัต ิกันมานานแล้วในประเทศ
ออสเตรเลีย ไต้หวัน และแอฟริกา ซึ่งมี วิธีการปฏิบัติดังนี้
1. เมื่อผลผลิตอ้อยตอ 3 ถึง ตอ 4 ลดลง ทำการไถรื้อตอ
2. หว่านเมล็ดโสนอัฟริกัน โสนอินเดีย ปอเทือง ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม หรือถั่วแปยี
3. หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน หรือเมื่อถั่วออกดอก ใช้จอบหมุนตีกลบ ทิ้งไว้ประมาณ
1 เดือน
4. ทำการเตรียมดินปลูกอ้อยตามปกติ

* การปลูกถั่วเหลืองสลับกับการปลูกอ้อย
การปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนปลูกอ้อยทำให้คุณสมบัติทางเคมี และกายภาพของดินดีขึ้น ช่วย
ลดความหนาแน่นของดิน เพิ่มปริมาณ อินทรียวัตถุและไนโตรเจน ทำให้ช่วยลดการใช้ปุ๋ย
เคมีลงได้ รวมทั้งยังช่วย ลดการระบาดของโรคและแมลง พืชที่เหมาะสมที่จะปลูกสลับกับ
อ้อย คือ ถั่วเหลือง เนื่องจากถั่วเหลืองสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศ และปลดปล่อยให้
แก่ดินถึง 49.6 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ไนโตรเจนลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ผลผลิตของถั่วเหลืองแล้ว อ้อยที่ปลูกตามหลังถั่วเหลืองมีผลผลิตเพิ่มขึ้น


การให้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อย
น้ำเป็นปัจจัยการผลิตหลักที่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิตอ้อย หากอ้อยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
ตลอดช่วงการเจริญเติบโต ผลผลิตอ้อยจะได้ไม่ต่ำกว่า 15 ตันต่อไร่ อ้อยต้องการน้ำเพื่อ
ใช้ ในการเจริญเติบโตและสร้างน้ำตาล อ้อยที่ขาดน้ำจะเจริญเติบโตช้า ผลผลิตต่ำ และให้
ความหวานต่ำ

พื้นที่เพาะปลูกอ้อยส่วนใหญ่อยู่ในเขตอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในเขตชล
ประทาน อ้อยต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโตตลอดปี ประมาณ 1,500 มิลลิเมตร การเพิ่ม
ผลผลิตอ้อยให้สูงขึ้นจึงจำเป็นต้องให้น้ำชลประทานหรือน้ำบาดาลช่วย การให้น้ำแก่อ้อยจะ
ทำให้ความสามารถในการไว้ตอดีขึ้น เป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวไร่
อีกทางหนึ่งความต้องการน้ำและการตอบสนองต่อการให้น้ำของอ้อย

การผลิตอ้อยให้ได้ผลผลิตสูงนั้น อ้อยจะต้องได้รับน้ำ (น้ำฝน/ชลประทาน) อย่างเพียง
พอ ตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโต ความต้องการน้ำของอ้อยจะขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ
และช่วงระยะ การเจริญเติบโต ได้แบ่งระยะความต้องการน้ำของอ้อยไว้ 4 ระยะ คือ

1. ระยะตั้งตัว (0-30 วัน) เป็นระยะที่อ้อยเริ่มงอกจนมีใบจริง และเป็นตัวอ่อน ระยะนี้
อ้อยต้องการน้ำในปริมาณไม่มาก เพราะรากอ้อยยังสั้นและการคายน้ำยังมีน้อย ดินจะต้องมี
ความชื้น พอเหมาะกับการงอก ถ้าความชื้นในดินมากเกินไปตาอ้อยจะเน่า ถ้าความชื้นในดิน
น้อยเกินไป ตาอ้อยจะไม่งอก หรือถ้างอกแล้ว ก็อาจจะเหี่ยวเฉาและตายไป ในสภาพดินที่
เมื่อแห้งแล้ว ผิวหน้าฉาบเป็นแผ่นแข็ง ก็อาจทำให้หน่ออ้อยไม่สามารถแทงโผล่ขึ้นมาได้
ดังนั้น ในระยะนี้การให้น้ำอ้อยควรให้ในปริมาณน้อยและบ่อยครั้ง เพื่อทำให้สภาพความชื้น
ดินเหมาะสม

2. ระยะเจริญเติบโตทางลำต้น (31-170 วัน) ระยะนี้รากอ้อยเริ่มแพร่กระจายออกไป
ทั้งในแนวดิ่งและแนวระดับ เป็นระยะที่อ้อยกำลังแตกกอและสร้างปล้องเป็นช่วงที่อ้อยต้อง
การน้ำมาก ถ้าอ้อยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอในระยะนี้ จะทำให้อ้อยมีจำนวน ลำต่อกอ
มาก ปล้องยาว ทำให้อ้อยมีลำยาว และผลผลิตสูง การให้น้ำ จึงต้องให้บ่อยครั้ง

3. ระยะสร้างน้ำตาลหรือช่วงสร้างผลผลิต (171-295 วัน) ช่วงนี้พื้นที่ใบอ้อยที่ใช้
ประโยชน์ได้จะน้อยลง อ้อยจะคายน้ำน้อยลง และตอบสนองต่อแสงแดดน้อยลง จึงไม่จำ
เป็นต้องให้น้ำบ่อย ให้เฉพาะช่วงที่อ้อยเริ่มแสดงอาการขาดน้ำ

4. ระยะสุกแก่ (296-330 วัน) เป็นช่วงที่อ้อยต้องการน้ำน้อย และในช่วงก่อนเก็บ
เกี่ยว 6-8 สัปดาห์ ควรหยุดให้น้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำ ในลำต้นอ้อยและบังคับให้น้ำตาลทั้ง
หมดในลำอ้อยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลซูโครส


ความต้องการน้ำของอ้อยในแต่ละช่วงระยะการเจริญเติบโต
ข้อพิจารณาในการให้น้ำแก่อ้อย
การพิจารณาว่าเมื่อใดควรจะถึงเวลาให้น้ำแก่อ้อย และจะให้น้ำครั้งละ ปริมาณเท่าใด มี
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ

- ระยะการเจริญเติบโต ความต้องการน้ำของอ้อย ปริมาณน้ำที่ให้แก่อ้อยจะมากน้อยเพียง
ใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโต อัตราความต้องการใช้น้ำ ความลึกที่รากหยั่งลงไปถึง
อ้อยจะเจริญเติบโตได้ดีก็ต่อเมื่อความชื้นในดินเหมาะสม ถ้ามีความชื้นในดินสูงหรือต่ำมาก
เกินไป อ้อยจะเจริญเติบโตผิดปกติ เมื่อดินมีน้ำมากจะทำให้ขาดออกซิเจน โดยทั่วไปถ้าใน
ดินมีอากาศอยู่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ รากอ้อยจะชะงักการดูดธาตุอาหาร น้ำและออกซิเจน
เป็นเหตุให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ถ้าขาดน้ำใบจะห่อในเวลากลางวัน

- คุณสมบัติทางกายภาพของดิน เช่น ความสามารถของ ดินในการซับน้ำ ดินต่างชนิดกัน
ย่อมมีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ ไม่เหมือนกันสำหรับดินที่สามารถซับน้ำไว้ได้มากไม่จำเป็น
ต้องให้น้ำบ่อยครั้งเหมือนดินที่มีเนื้อหยาบและซับน้ำได้น้อย ดินเหนียวจะมีความชื้นอยู่
มากกว่าดินทราย ดังนั้น หลักการให้น้ำแก่ อ้อยที่ถูกต้อง คือ ให้น้ำตามที่อ้อยต้องการ ส่วน
ปริมาณน้ำที่จะให้ แต่ละครั้งมากน้อยเท่าไร และใช้เวลานานเท่าใด ย่อมขึ้นอยู่กับ
คุณสมบัติทางกายภาพของดินซึ่งไม่เหมือนกัน

- สภาพลมฟ้าอากาศ อุณหภูมิของอากาศ การพิจารณา การให้น้ำแก่อ้อยจะต้องพิจารณา
ถึง อุณหภูมิและสภาพลมฟ้าอากาศด้วย ในช่วงที่มีอุณหภูมิสูงอ้อยจะคายน้ำมาก ความต้อง
การน้ำจะมากตามไปด้วย จำเป็นต้องให้น้ำบ่อยขึ้น ในช่วงที่มีฝนตกควรงดให้น้ำ และหาทาง
ระบายน้ำแทน เพื่อให้ดินมีความชื้นและอากาศในดินเหมาะสม ในช่วงฝนทิ้งช่วงควรให้น้ำ
ช่วยจะทำให้การเจริญเติบโตของอ้อยดีขึ้น

ระบบการให้น้ำอ้อย
การเลือกระบบการให้น้ำอ้อยที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของดิน ความ
ลาดเอียงของพื้นที่ ต้นทุน และความพร้อมในการนำน้ำมาใช้ รวมทั้งความพร้อมในด้านแรง
งาน และอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ในการให้น้ำ ระบบการให้น้ำอ้อย ในปัจจุบันที่ใช้กัน
อยู่ทั้งในและต่างประเทศมีดังนี้

1. การให้น้ำแบบร่อง (Furrow irrigation)
เป็นระบบการให้น้ำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ เพราะเป็นระบบที่ใช้ต้น
ทุนต่ำ สะดวกและง่ายในการปฏิบัติ แต่ก็ม ีข้อจำกัดอยู่ที่แปลงปลูกอ้อยจะต้องค่อนข้างราบ
เรียบ โดยมีความลาดชัน ไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพของการให้น้ำแบบร่องจะ
ผันแปร อยู่ระหว่าง 30-90 เปอร์เซ็นต์ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ การให้น้ำได้โดย
การจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยปกติการให้น้ำ ระบบนี้จะมีร่องน้ำที่หัวแปลงหรืออาจ
ใช้ท่อหรือสายยางที่มีช่องเปิดให้น้ำไหล เข้าร่องอ้อยแต่ละร่อง เมื่อน้ำไหลไปจนสุดร่อง
แล้ว อาจยังคงปล่อยน้ำ ต่อไปอีกเพื่อให้น้ำซึมลงในดินมากขึ้นน้ำ ที่ท้ายแปลงอาจระบาย
ออก หรือเก็บรวบรวมไว้ในบ่อพักเพื่อนำกลับมาใช้อีก ในแปลงอ้อยที่มี ความลาดชันน้อย
มาก (ใกล้ 0 เปอร์เซ็นต์) สามารถจัดการให้น้ำโดย ไม่มีน้ำเหลือทิ้งท้ายแปลงได้ โดย
ปรับสภาพพื้นที่ให้มีความลาดชันน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์และทำคันกั้นน้ำตลอดท้ายแปลง
น้ำที่ให้ไปสุดท้ายแปลง จะถูกดักไว้โดยคันกั้นน้ำ ทำให้น้ำมีเวลาซึมลงในดินมากขึ้น วิธีนี้จะ
เหมาะกับดินที่มีการซึมน้ำช้า และน้ำที่จะให้มีจำกัด

แม้ว่าการให้น้ำระบบร่องจะใช้ได้กับพื้นที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วน
ใหญ่แล้วจะใช้กับพื้นที่ที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ สำหรับความยาวร่องที่ใช้มี
ตั้งแต่ 25 เมตร ถึง 1,000 เมตร รูปร่าง ของร่องและอัตราการไหลของน้ำ ขึ้นกับชนิด
ของดินและความลาดชัน ของพื้นที่ สำหรับดินที่มีความสามารถ ในการซึมน้ำได้ดี ควรใช้ร่อง
ปลูกรูปตัว ‘V' และมีสันร่องกลาง เพื่อให้น้ำไหลได้เร็วและลดการสูญเสียน้ำ จาก การซึม
ลึกในแนวดิ่ง ในทางกลับกันสำหรับดินที่มีการซึมน้ำเลว ควรใช้ ร่องที่มีก้นร่องกว้างและสัน
ร่องแคบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของดินกับน้ำ ทำให้น้ำซึมลงดินได้ทั่วถึง


2. การให้น้ำแบบพ่นฝอย (Sprinkler irrigation การให้น้ำแบบนี้ใช้ได้กับ
ทุกสภาพพื้นที่และทุกชนิดดิน ประสิทธิภาพ ในการใช้น้ำอาจเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ได้ ถ้ามี
การจัดการที่ถูกต้องและ เหมาะสม การให้น้ำแบบนี้มีหลายรูปแบบ เช่น

- สปริงเกอร์หัวใหญ่ ต้องใช้ปั๊มน้ำแรงดันสูงและมีทางวิ่งถาวร ในแปลงอ้อย
- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กเคลื่อนย้ายได้ ใช้สำหรับอ้อยปลูกหรือ อ้อยตออายุน้อย และ
ปริมาณน้ำที่ให้มีจำกัด มีข้อเสียคือ ต้องใช้ แรงงานมากในการเคลื่อนย้าย และไม่สามารถ
ใช้กับอ้อยสูงได้

- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กบนแขนระนาบ (Lateral move irrigators) ข้อดี
คือสามารถให้น้ำในพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้แรงงานน้อย แต่มีข้อเสียคือ
ใช้ต้นทุนสูงสำหรับอุปกรณ์และเครื่องมือ

- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กขนแขนที่เคลื่อนเป็นวงกลมรอบจุดศูนย์กลาง (Centre-
pivot irrigators)


3. การให้น้ำแบบน้ำหยด (Drip irrigation)
เป็นวิธีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพในการให้น้ำสูงสุด โดยสามารถให้น้ำเฉพาะรอบ ๆ รากพืช
และสามารถให้ปุ๋ยและสารเคมี ป้องกันกำจัดศัตรูพืชไปพร้อมกับน้ำได้เลย ปัจจุบันมีใช้กัน
อยู่ 2 แบบ คือ
- ระบบน้ำหยดบนผิวดิน (Surface system) ระบบนี้จะวางสายให้น้ำบนผิวดินใน
แนวกึ่งกลางร่อง หรือข้าร่อง อาจวางทุกร่องหรือร่องเว้นร่อง

- ระบบน้ำหยดใต้ผิวดิน (Subsurface system) ระบบนี้จะต้องวางสายให้น้ำก่อน
ปลูก โดยปกติจะฝังลึกประมาณ 25-30 ซม. และสายให้น้ำจะอยู่ใต้ท่อนพันธุ์อ้อย
ประมาณ 10 ซม.


http://it.doa.go.th/vichakan/news.php?newsid=13



เมื่อหลายปีมาแล้ว แปลงอ้อยที่กำแพงเพชร

23. บทพิสูจน์ความจริงทางธรรมชาติของพืชไร่อย่างอ้อย.....

ดินดี ประสบความสำเร็จแล้วกว่าครึ่ง.....
ดินดี คือ ดินที่มีอินทรีย์วัตถุหรือสารปรับปรุงบำรุงดิน....
ดินดีมีอินทรีย์วัตถุ สามารถอุ้มน้ำไว้ใต้ผิวดินได้นานกว่าปกติหลายเท่า....
คุณสมบัติของดินดีนี้ ยังเป็นแหล่งจุลินทรีย์....
จุลินทรีย์ คือ ผู้ผลิตสารอาหารให้แก่พืช....
จุลินทรีย์ คือ ผู้อารักขาพืชทั้งทางตจรงและทางอ้อม...


แปลงอ้อยแปลงหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของปลูกอ้อยมานาน ด้วยเทคนิคแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รุ่นแล้วรุ่นเล่า ทั้งปริมาณและคุณภาพของผลผลิตไม่ต่างไปจากเดิม ทั้งของตนเองและของ
แปลงข้างๆ แต่หากพิจารณาในมุมมองแบบเศรษฐศาสตร์การลงทุนจนครบทุกปัจจัยแล้วจะ
พบว่า ทั้งปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ได้รับนั้น "ลดลง" อย่างเห็นได้ชัด

จะด้วย "หลักนิยม หรือ วัฒนธรรม หรือ ความเคยชิน หรือ ยึดติด" ในรูปแบบของการปลูก
อ้อย ที่เคยทำสืบเนื่องต่อกันมาตั้งแต่ครั้งยุคแรกๆ ถึงวันนี้ก็ยังทำแบบเดิมๆ อยู่

หรือเป็นเพราะ "เทคนิคการส่งเสริม หรือ การให้ข้อมูลข่าวสาร หรือ การสร้างแรงจูงใจ หรือ
ฯลฯ" จากภาคราชการหรือผู้ส่งเสริมทั่วไป ไม่ตรงเป้าอย่างแท้จริง


ทำแปลงสาธิต :
ณ แปลงอ้อยแปลงนั้น ขนาดเนื้อที่ 1 ไร่ ให้ใส่ "ยิบซั่ม" เพียงอย่างเดียวลงไป 50
กก. โดยหว่านปูพรมให้ครอบคลุมผิวดินทุกตารางนิ้ว แล้วไถดะด้วยผานเดี่ยว 2-3 รอบ
พร้อมกับเศษซากใบอ้อยที่เหลืออยู่หน้าดินนั้น ไถให้ได้ความลึกมากกว่า 50 ซม. เท่าที่
กำลังเครื่องยนต์ของรถไถพึงทำได้ การไถดะหลายๆ รอบก็เพื่อคลุกเคล้าให้ "ยิบซั่ม กับ
เศษใบอ้อย" คลุกเคล้าเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับดินให้มากที่สุด

ไถดะแล้วจึงไถแปรเพื่อพรวนดิต จากนั้นก็ทำร่องปลูกตามปกติเหมือนที่เคยทำ

(ลักษณะทางสรีระวิทยาของอ้อย....ระบบรากอ้อย จะยาวเท่ากับความสูงของต้น ทั้ง
ทางดิ่งและทางระดับ ขึ้นอยู่กับสภาพโครงสร้างดิน โดยดินดีระบบรากก็จะ ยาว-ใหญ่-มาก
แต่หากดินไม่ดีระบบรากก็ไม่ดีหรือเป็นตรงกันข้าม.....)

ฤดูกาลปลูก - การเลือกพันธุ์ - การจัดการท่อนพันธุ์ - การปลูก - การบำรุง ทุกขั้นตอน
ทำตามปกติแบบที่เคยทำ

การเจริญเติบโต ทุกช่วงจังหวะของอ้อย ดำเนินไปตามปกติ
ข้อแตกต่างที่ปรากฏให้เห็นชัด คือ ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.-มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงแล้งจัด
ของสภาพภูมิอากาศ อ้อยในแปลงข้างเคียงกับแปลงทั่วๆไป ที่เตรียมดินโดยการไถดะ-ไถ
แปร ตามปกติ ไม่มีการปรุงแต่งเนื้อดินใดๆทั้งสิ้น ต้นอ้อยมีอาการใบเหี่ยวเหลืองซีด แห้งร่วง
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติอีกนั่นแหละ แต่ในแปลงที่เตรียมดินโดยการใส่ "ยิบซั่ม" พร้อมกับ
ไถกลบเศษใบอ้อยลงไปนั้น ลักษณะใบและลำต้นกลับยังคงเขียวสด ราวกับไม่ได้สัมผัส
หรือกระทบกับความแห้งแล้งเลย ลักษณะความแตกต่างของอ้อยทั้ง 2 แปลงนี้ สามารถ
สัมผัสได้ด้วยสายตา มือจับ หรือแม้แต่ใส่ปากเคี้ยวได้.....กระทั่งเก็บเกี่ยว อ้อยใน
แปลงปรุงแต่ดินได้ผลผลิต 18 ตัน/ไร่ ส่วนแปลงที่ไม่ได้ปรุงแต่งดินก่อนได้ผลผลิตเพียง
8 ตัน ทั้งๆที่เป็นอ้อยตอแรกเหมือนกัน และอยู่ภายใต้สภาพความแห้งแล้งเดียวกัน

ลุงคิมครับผม

[--pagebrak--]

ลำดับเรื่อง...

24. อู่ทอง 9 อ้อยพันธุ์ดีที่โรงงานน้ำตาลต้องการ
25. ความชื้นในดินกับการปลูกอ้อย
26. ต่อยอด......

27. การปลูกอ้อย
28. การให้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อย


 






***************************************


24. อู่ทอง 9 อ้อยพันธุ์ดีที่โรงงานน้ำตาลต้องการ


อ้อย เป็นพืชอุตสาหกรรมที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาผลผลิต
อ้อยของเกษตรกรยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำเฉลี่ย 11–12 ตัน/ ไร่

เนื่องจากมีการใช้พันธุ์อ้อยแต่ละพันธุ์ค่อนข้างนาน รวมทั้งยังประสบกับปัญหาโรค
และแมลงศัตรูพืช นอกจากนี้ยังเกิดจากปัญหาการขาดแคลนพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมใน
แต่ละท้องถิ่น

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยและพัฒนาพันธุ์
อ้อยเพื่อให้ได้อ้อยพันธุ์ใหม่แก้ปัญหาดังกล่าวให้เกษตรกร โดยได้เริ่มปรับปรุงและ
พัฒนาสายพันธุ์ตามหลักวิชาการตั้งแต่ปี 2542 นำพันธุ์อ้อยมาผสมข้ามโดยมี
พันธุ์ 94-2-128 เป็นพันธุ์แม่และพันธุ์ 94-2-270 เป็นพันธุ์พ่อ จนประสบ
ความสำเร็จได้อ้อยพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง ผ่านการรับรองพันธุ์จากคณะกรรมการ
วิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตรให้เป็นพันธุ์รับรองในปี 2552 ใช้ชื่อว่า
“อ้อยพันธุ์อู่ทอง 9”




อ้อยพันธุ์อู่ทอง 9 มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตสูง เฉลี่ย 17.50 ตัน / ไร่ ซึ่ง
สูงกว่าพันธุ์อู่ทอง 3 ซึ่งเป็นพันธุ์เปรียบเทียบที่ให้ผลผลิตเฉลี่ย 14.25 ตัน /
ไร่ รวมทั้งอ้อยพันธ์อู่ทอง 9 ยังให้ผลผลิตน้ำตาลสูงถึง 2.45 ตันซีซีเอส/ไร่ ที่
สำคัญสามารถต้านทานโรคเหี่ยวเน่าแดงได้ดีกว่าพันธุ์อู่ทอง 3 จากการนำอ้อย
พันธุ์อู่ทอง 9 ไปปลูกทดสอบในไร่ของเกษตรกรจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี
เพชรบุรีและกำแพงเพชร ซึ่งเป็นแหล่งปลูกอ้อยที่สำคัญของประเทศไทย พบว่า
เกษตรกรมีความพึงพอใจในคุณสมบัติของอ้อยพันธุ์อู่ทอง 9 เนื่องจากให้ผลผลิต
ต่อไร่และผลผลิตน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่โรงงานน้ำตาลมีความต้องการ

ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี ได้ขยายพันธุ์อ้อยอู่ทอง 9ให้
เกษตรกรได้นำไปปลูกแล้วจำนวนมากพร้อมกับได้สร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ผลิต
ท่อนพันธุ์อ้อยอู่ทอง 9 ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และกำแพงเพชร เพื่อ
ช่วยผลิตท่อนพันธุ์อ้อยอู่ทอง 9 ให้ทันและเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร

เกษตรกรที่สนใจท่อนพันธุ์อ้อยพันธุ์อู่ทอง 9 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร สุพรรณบุรี โทรศัพท์ 0-3555-1433


http://it.doa.go.th/pibai/pibai/borkor.html




25. ความชื้นในดินกับการปลูกอ้อย

อ้อยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย นอกจากเป็นพืชที่นำไปผลิตน้ำตาลแล้ว
ยังสามารถนำมาผลตเอทานอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปีเพาะปลูก 50/51 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อยประมาณ 6.5 ล้านไร่
ผลผลิตเฉลี่ย 11.82 ตันต่อไร่ โดยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกอ้อย
มากที่สุดในประเทศ ประมาณ 2.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 43 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่
ปลูกทั้งหมด ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยของอ้อยที่ผลิตได้ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีเพียง 10.29 ตันต่อไร่ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศ เหตุผลสำคัญที่
ทำให้ผลผลิตต่ำได้แก่สภาพพื้นที่ปลูกอ้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งส่วนใหญ่
เป็นดินร่วนทรายหรือดินทราย และที่สำคัญพื้นที่ปลูกอ้อยประมาณ 98.5% เป็น
การปลูกอ้อยแบบอาศัยน้ำฝน

ปัญหาการกระทบแล้งนอกจากจะทำให้ผลผลิตต่ำแล้วยังส่งผลถึงความอยู่รอดของ
อ้อยตออีกด้วย การตัดอ้อยปลูกในสภาพดินที่มีความชื้นต่ำ(เดือนธันวาคม-
เมษายน) โดยเฉพาะเมื่อมีการขาดน้ำยาวนานขึ้นทำให้การงอกของอ้อยตอลดลง
แต่ด้วยข้อจำกัดของโรงงานน้ำตาลที่สามารถรับอ้อยเข้าหีบได้ในช่วงเดือนนี้ทุกปี จึง
เป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

แนวทางเลือกสำหรับแก้ปัญหาหนึ่ง คือต้องทราบการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำใน
ดินของแต่ละพื้นที่ปลูก เพื่อนำมาวางแผนหาช่วงเวลาตัดอ้อยที่เหมาะสม รวมทั้ง
เรื่องของการให้น้ำเสริมในระยะสำคัญที่อ้อยขาดน้ำไม่ได้

ช่วงนี้ก็ใกล้จะตัดอ้อยกันแล้ว ผู้เขียนจึงขอนำเอาผลการทดลองในส่วนแรก ซึ่งเป็น
ส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องวิจัยและพัฒนาภูมิสารสนเทศสำหรับการผลิตอ้อยตอมาให้
ศึกษากันก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นประโยชน์มาก สำหรับใช้ในการประกอบการตัดสิน
ใจตัดอ้อย เพื่อความอยู่รอดของอ้อยตอ

แนวคิดของการทดลองนี้คือ ความชื้นในดินมีผลต่อการงอกของอ้อยตอ โดยปัจจัยที่
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความชื้นดินได้แก่ ชุดดินที่ปลูกอ้อย และปริมาณน้ำฝน
หากจะเก็บข้อมูลความชื้นดินแบบต่อเนื่องในทุกพื้นที่ปลูกอ้อย ทั้งภาคตะวันออก
เฉียงเหนือแล้วคงทำได้ยาก แต่ยังโชคดีที่ปัจจุบันมีแบบจำลองการเจริญเติบโตของ
พืช ที่นอกจากจะทำนายผลผลิตได้แล้วยังรายงานความชื้นในดินได้อีกด้วย จึงได้ใช้
แบบจำลองการเจริญเติบโตของอ้อย (canegro model) ที่อยู่ในโปรแกรม
DSSAT 4.0 จำลองการปลูกอ้อย แล้วนำผลการเปลี่ยนแปลงความชื้นดินมา
รายงาน

วิธีการคือ ใช้โปรแกรม Arcview-GIS สกัดเอาพื้นที่ปลูกอ้อยภาคตะวันออก
เฉียงเหนือออกมา แล้วใช้พื้นที่ปลูกอ้อยไปตัดเอาชุดดินที่ใช้สำหรับปลูกอ้อย สุด
ท้ายนำชุดดินไปซ้อนทับกับเขตน้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลลัพธ์ที่ได้คือ
ข้อมูลตัวป้อน (input data) สำหรับแบบจำลองการเจริญเติบโตของอ้อย
เพื่อลดความเสี่ยงในการต้องพบกับปีที่มีปริมาณน้ำฝนมากหรือน้อยกว่าปกติ

การจำลองครั้งนี้ได้จำลองการปลูกในเวลา 5 ปี โดยใช้อากาศปี 2534-2536
ปลูกอ้อยในเดือนตุลาคม และเก็บเกี่ยวในเดือนกุมภาพันธ์ นำค่าความชื้นดินของแต่
ละเดือนมาหาค่าเฉลี่ย แล้วนำไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความเป็นประโยชน์ของน้ำใน
แต่ละชุดดิน

ผลการทดลองครั้งนี้ ขอนำเสนอการเปลี่ยนแปลงของความชื้นดิน ในชั้นความลึก
0-30 เซ็นติเมตร ซึ่งเป็นชั้นที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของอ้อย ที่มีการ
เปลี่ยนแปลงความชื้นค่อนข้างเร็ว และเป็นชั้นที่มีความหนาแน่นของรากมาก

สภาพทั่วไปของการผลิตอ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พื้นที่ปลูกอ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการใช้ฐานข้อมูลการผลิตปี 2544
พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกอ้อยประมาณ 5 ล้านไร่ เพื่อนำมา
ซ้อนกสับชนิดดินแล้วพบว่ามีดินที่ใช้ปลูกอ้อยมากกว่า 130 ชุดดิน ชุดดินที่สำคัญ
ได้แก่ ดินชุดโคราช มีพื้นที่ประมาณ 1.4 ล้านไร่ ชุดโพนพิสัยประมาณ 4.6
แสนไร่ ชุดจอมพระ 3.6 แสนไร่ ชุดบ้านไผ่ 3.1 แสนไร่ ชุดร้อยเอ็ด 2.5
แสนไร่ และชุดชุมพวง 2 แสนไร่ โดยปลูกอยู่ในเขตน้ำฝนตั้งแต่ 800-2,600
มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีพื้นที่ปลูกในเขตน้ำฝน 100-1,200 มิลลิเมตร
ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีพื้นที่ปลูกในเขตน้ำฝน 100-1,200 มิลลิเมตรต่อปี

การเปลี่ยนแปลงความชื้นดิน
การเปลี่ยนแปลงของความชื้นดิน เห็นได้ชัดว่าชนิดดินมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยน
แปลงความชื้นดิน โดยทางตอนบนของภาคส่วนใหญ่จะเป็นดินทรายร่วน หรือดิน
ทราย ความชื้นของดินจะมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็วกว่าพื้นที่ปลูกอื่นๆ เมื่อ
เข้าสู่ฤดูฝนจะมีความชื้นสูงเกินความต้องการ แต่เมื่อใดฝนเริ่มหยุดตกความชื้นก็จะ
ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าพื้นที่วิกฤติในเรื่องของการเปลี่ยน
แปลงความชื้นดินจะอยู่ตรงบริเวณทางตอนบนของภาค (เขตรอยต่อระหว่างจังหวัด
ขอนแก่น อุดรธานี และกาฬสินธุ์)

ความน่าเชื่อถือของแบบจำลองพืช
สุดท้าย เมื่อได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงของความชื้นดินแล้ว เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อ
ถือของข้อมูล ได้ทำการทดสอบความแม่นยำของแบบจำลองพืช โดยการเก็บความ
ชื้นดินในแปลงอ้อยที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่นตั้งแต่ ปลูกจนเก็บเกี่ยว (จุด) เพื่อ
เปรียบเทียบกับความชื้นดินที่ได้จากแบบจำลอง (เส้น) ซึ่งพบว่าแบบจำลองให้ผล
ค่อนข้างแม่นยำ โดยมีค่า RMSE = 0.028 ซม.3/ซม.3 และค่า Dstat
= 0.933

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จุดที่น่าเป็นห่วงมากคงหนีไม่พ้นพื้นที่ปลูกอ้อยทางตอนบนของ
ภาคซึ่งเป็นจุดที่ปลูกอ้อยกันอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเข้าเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ตาม หากอ้อยสามารถประคองตัวอยู่รอดไปได้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม จะ
เห็นได้ว่าเริ่มมีความชื้นกลับมา ซึ่งเป็นปกติที่จะมีฝนตกมาในช่วงนี้ อาจจะเป็นการชุบ
ชีวิตให้ชาวไร่อ้อยให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อการงอกอ้อยตอได้เป็นอย่างดี
โดยที่ต้องไม่ลืมว่าหากอ้อยตองอกดี มีผลทำให้ผลผลิตอ้อยตอดีตามไปด้วย ส่งผล
ถึงผลผลิตเฉลี่ยของทั้งภาค ที่เกิดจากการนำเอาผลผลิตของอ้อยตอมาคิดรวมด้วย



http://it.doa.go.th/pibai/pibai/n11/v_11-sep/jakfam.html


26. ต่อยอด......

....ใส่แกลบดิบ 1 ตัน/ไร่ ไถกลบลงดินลึก 80 ซม.-1 ม.แกลบดิบเป็น
อินทรีย์วัตถจากเศษซากพืชที่ย่อยสลายได้ช้าที่สุด (ข้อมูล....จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย) ซึ่งอาจจะอยู่ได้นานถึง 10 (+) ปี

.... ระยะเวลา 10 ปี ปลูกอ้อยได้ 10 รุ่น ทำครั้งเดียวอยู่ได้นาน แบบนี้คุ้มยิ่ง
กว่าคุ้ม เมื่อดินดี น้ำ (ใต้ดิน บนดิน) ดี ผลผลิตอ้อยย่อมดีด้วย นี่คือ "ลงทุนเพื่อ
ลดต้นทุน" ชัดเจนที่สุด

.... แกลบดิบราคาตันละประมาณ 1,600 บาท ใช้ 10 ปี เท่ากับปีละ 160
บาท หรือเดือนละ 160 หาร 12 = 13.33 บาท เท่านั้น

.... แกลบดิบช่วยอุ้มน้ำไว้ใต้ดินลึกได้ดีมากๆ เพราะแกลบมีช่องว่างสำหรับรับ
น้ำได้ เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนจะซึมลงดิน แล้วเข้าไปอยู่กับแกลบได้นานนับเดือน

.... จากแกลบดิบเดี่ยวๆ ปรุงให้เป็น "แกลบดิบ + ยิบซั่ม + กระดูก + มูล
สัตว์ + น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง" (เน้นส่วนผสม) ก็จะทำให้แกลบธรรมดา
(หมาไม่กิน) กลายเป็น "แกลบซุปเปอร์" ไปทันที

.... ฯลฯ


ลุงคิมครับผม





27. การปลูกอ้อย


อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ
มีอายุเก็บเกี่ยว 10 - 12 เดือน เก็บผลผลิตได้ 2-3 ปี สภาพ
แวดล้อม พันธุ์และการบำรุงดูแลรักษาเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต
และคุณภาพของอ้อย



สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

อ้อยสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ดินร่วนถึงร่วนปนทราย
พื้นที่ปลูกควรเป็นที่ราบ ควรหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยในดินเหนียว
จัด ดินทรายจัดและดินลูกรัง ถ้าปลูกในเขตน้ำฝนควรมีปริมาณน้ำฝนไม่
น้อยกว่า 1,200 มม./ปี



พันธุ์


พันธุ์อ้อยที่ได้รับรองจากกรมวิชาการเกษตร และเกษตรกรนิยมปลูกอยู่ในปัจจุ
บัน ได้แก่ อู่ทอง 1 อู่ทอง 2 และอู่ทอง 3

 “ อู่ทอง 3 “ เป็นลูกผสมของอ้อยอู่ทอง 1 และอู่ทอง 2 ให้ผลผลิตสูงใน
ดินร่วนปนทรายที่สามารถให้น้ำได้ ได้ผลผลิต 15-16 ตัน/ไร่ CCS มีค่า
13-14 ไม่ควรปลูกในแหล่งที่มีโรคเหี่ยวเน่าแดงระบาดเพราะอ่อนแอต่อโรคนี้


“ อู่ทอง 2 “
สะสมน้ำตาลเร็ว ต้านทานต่อโรคแส้ดำ ให้ผลผลิตสูงในดินร่วน
เขตชลประทานภาคกลางและภาคตะวันตก ให้ผลผลิต 14-18 ตัน/ไร่ CCS
มีค่า 13-14


“ อู่ทอง 1 “
ทนต่อการหักล้ม แตกกอดี ไว้ตอดี ในเขตน้ำฝนน้ำฝนให้ผลผลิต 12-15 ตัน/ไร่ เขตชลประทานให้ผลผลิต 15-20 ตัน/
ไร่ CCS มีค่า 11-12 ทนทานต่อโรคใบด่างและโรคแส้ดำ


การเตรียมพันธุ์

พันธุ์อ้อยควรมาจากแปลงอ้อยที่เจริญเติบโตดี ตรงตามพันธุ์ปราศจากโรคและ
แมลง มีอายุประมาณ 8-10 เดือน ถ้าต้องทิ้งพันธุ์อ้อยที่ตัดไว้แล้วในไร่ ควร
คลุมท่อนพันธุ์ด้วยใบอ่อนแห้งเพื่อป้องกันตาอ้อยแห้ง เกษตรกรควรมีแปลง
พันธุ์อ้อยไว้ใช้เองเพื่อลดค่าใช้จ่าย อ้อยจากแปลงพันธุ์ 1 ไร่ (อายุ 7-8 เดือน) ปลูกขยายได้ 10 ไร่ สำหรับแปลงพันธุ์ ควรแช่ท่อนพันธุในน้ำร้อน 50 องศา นาน 2 ซ.ม. เพื่อป้องกันโรคใบขาวและกอตะไคร้ จากนั้น
แช่ท่อนพันธุ์ในสารเคมีโพรนิโคนาโซน อัตรา 66 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร นาน 30
นาที เพื่อป้องกันโรคแส้ดำ เหี่ยวเน่าแดง และกลิ่นสับปะรด  


ฤดูปลูก

การปลูกอ้อยในปัจจุบัน สามารถแบ่งตามฤดูปลูกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. การปลูกอ้อยต้นฝน ซึ่งยังแบ่งเป็น 2 เขต คือ

- ในเขตชลประทาน (20 % ของพื้นที่ปลูกอ้อยทั้งประเทศ) ส่วนใหญ่จะปลูก
ในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ ถึง เมษายน

- ในเขตอาศัยน้ำฝน ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน

2. การปลูกอ้อยปลายฝน (การปลูกอ้อยข้ามแล้ง) สามารถทำได้เฉพาะในบาง
พื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ที่มีทราย การปลูกอ้อย
ประเภทนี้จะปลูกประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม  


การเตรียมดิน

ไถเตรียมดินให้ลึกในขณะที่มีความชื้นพอเหมาะ และควรลงไถดินดานทุกครั้ง
ที่มีการรื้อตอเพื่อปลูกใหม่โดยไถให้เป็นรูปตาหมากรุก

¨ ถ้าปลูกต้นฤดูฝนหรือปลูกอ้อยใช้น้ำชลประทาน ไม่จำเป็นต้องไถพรวนดิน
แตกละเอียด

¨ อ้อยปลายฝนหรือปลูกอ้อยข้ามแล้งต้องไถพรวนจนหน้าดินแตกละเอียดเพื่อ
ช่วยลดความสูญเสียความชื้นภายในดินให้ช้าลง


วิธีการปลูก

การปลูกอ้อยต้นฝนในชลเขตประทาน

- ถ้าใช้คนปลูกจะยกร่องกว้าง 1.4-1.5 เมตร (เดิมใช้ 1.3 เมตร) วางพันธุ์

อ้อยเป็นลำโดยใช้ลำเดี่ยว เกยกันครั้งลำหรือ 2 ลำคู่ ตาม


ลักษณะการแตกกอของพันธุ์อ้อยที่ใช้

- ถ้าใช้เครื่องปลูก หลังจากเตรียมดินแล้ว ไม่ต้องยกร่อง จะใช้เครื่องปลูกติด
ท้ายแทรกเตอร์ โดยจะมีตัวเปิดร่อง และช่องสำหรับใส่พันธุ์อ้อยเป็นลำ และมี
ตัวตัดลำอ้อยเป็นท่อนลงในร่อง และมีตัวกลบดินตามหลัง และสามารถดัดแปลง
ให้สามารถใส่ปุ๋ยรองพื้น พร้องปลูกได้เลยปัจจุบันมีการใช้เครื่องปลูกทั้งแบบ
แถวเดี่ยวและแถวคู่ โดยจะปลูกแถวเดี่ยวระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ในกรณีใช้
พันธุ์อ้อยที่แตกกอมากและจะปลูกแถวคู่ ระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ระยะระหว่าง
คู่แถว 20-30 เซนติเมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอน้อย



การปลูกอ้อยต้นฝนในเขตอาศัยน้ำฝน

วิธีการปลูกอ้อยในเขตนี้จะคล้ายกับในเขตชลประทาน จะแตกต่างก็เพียงระยะ
ห่างร่องในบางพื้นที่จะใช้แคบกว่า คือ ประมาณ 1.0-1.2 เมตร เพราะอ้อยใน
เขตนี้จะแตกกอน้อยกว่า การลดระยะแถวลงทำให้สามารถเพิ่มจำนวนลำเก็บ
เกี่ยวอ้อยต่อพื้นที่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบผลผลิตหลักของอ้อยได้  



การปลูกอ้อยปลายฝน (ปลูกอ้อยข้ามแล้ง)

การเตรียมดินปลูกจะต้องไถเตรียมดินหลหายครั้ง จนหน้าอินร่วนซุย เป็นการ
รักษาความชื้นในดินชั้นล่าง หลังจากเตรียมดินควรรีบยกร่องและปลูกให้เร็วที่
สุด เพื่อให้ทันกับความชื้นและควรยกร่องปลูกวันต่อวันพันธุ์อ้อยที่ใช้ปลูกข้าม
แล้ง จะเป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างแก่ คือ อายุประมาณ 8-10 เดือน เกษตรนิยมปลูก
อ้อยแบบทั้งลำ โดยจะชักร่องให้ลึกระยะแถว 1.0-1.3 เมตร และวางลำอ้อย
ในร่องใช้จอมสับลำอ้อย เป็น 2-3 ส่วนกลบดินหนา 10-15 ซม. เหยียบดิน
กลบให้แน่นเพื่อให้ท่อนสัมผัสกับดินชื้นมากที่สุด



การปลูกซ่อม

หากท่อนพันธุ์ใดไม่งอก ให้ปลูกซ่อมหลังการปลูก 2-3 สัปดาห์ สำหรับอ้อยตอ
ไม่แนะนำให้ปลูกซ่อมเนื่องจากเปอร์เซ็นต์รอดน้อย
ใส่ปุ๋ย อ้อยปลูก ใส่ปุ๋ยเคมี
สูตร 15-15-15 อัตรา 100 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งละเท่า ๆกัน ใส่
ครั้งแรกเมื่ออายุ 1 เดือนครึ่งและอีกครั้งหนึ่งเมื่ออ้อยอายุ 2-4 เดือน อ้อยตอ
ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 150 กก. /ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง เช่นเดียว
กับอ้อยปลูก



การป้องกันการกำจัดวัชพืช

1. ใช้แรงงานคนดายหญ้า ในช่วงตั้งแต่ปลูกจนถึงอายุ 4 เดือน

2. ใช้เครื่องจักรไถพรวนระหว่างร่องหลังปลูก เมื่อมีวัชพืชงอก

3. ใช้สารเคมี เช่น อาทราซีน อัตรา 500-625 กรัม /ไร่ และหลังจากนั้น 2
เดือน ใช้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งก่อนวัชพืชงอก



โรคและแมลงที่สำคัญ

- โรคอ้อยที่สำคัญ ได้แก่ โรคใบขาว โรคแส้ดำ และโรคเหี่ยวเน่าแดง และ

ปัจจุบันมีโรคที่พบใหม่ คือ โรคกอตะไคร้



การป้องกันกำจัดโรคอ้อย

1. ใช้พันธุ์อ้อยที่ต้านทาน

2. ทำลายกอที่เป็นโรคโดยการขุดออกหรือเผาทิ้ง

3. ไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากกอที่เป็นโรค

4. ควรเตรียมแปลงพันธุ์เองเพื่อควบคุมโรคที่สำคัญ (ดูการเตรียมพันธุ์)



- แมลงศัตรูอ้อยที่สำคัญ ได้แก่ หนอนกอลายเล็ก หนอนกอสีขาว หนอนกอสีชมพู และด้วงหนวดยาว


: การป้องกันกำจัดแมลงศัตรู

1. ปลูกพืชหมุนเวียน

2. ตัดหน่ออ้อยที่ยอดเริ่มเหี่ยวไปทำลายเพื่อกำจัดดักแด้

3. ในแหล่งที่ระบาดประจำใช้คาร์โบฟูราน ชนิดเมล็ด 3 % 10 กก./ไร่ หยอด
ร่องอ้อยกลบท่อนพันธุ์และใส่อีกครั้ง 45 วันหลังครั้งแรก

4. ปล่อยแตนเบียฬเพื่อควบคุมหนอนกอ



การเก็บเกี่ยวอ้อย

อายุเก็บเกี่ยว 10-12 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์อ้อยและสภาพแวดล้อมหลังจากตัด
อ้อยแล้วต้องรีบส่งเข้าโรงงานภายใน 48 ซม. เพราะมีผลกระทบต่อน้ำตาล
ซูโครส และขบวนการผลิตน้ำตาลของโรงงาน



การดูแลรักษาอ้อยตอ

การเก็บเกี่ยวควรตัดชิดดิน ไม่ต้องเผาใบหรือเศษเหลือในไร่นอกจากมีโรคและ
แมลงระบาด เมื่อมีความชื้นพอให้ใส่ปุ๋ยได้ทันที โดยใส่ปุ๋ยในปริมาณมากกว่า
อ้อยปลูกครึ่งหนึ่งใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 150 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง
เช่นเดียวกับอ้อยปลูกปีแรก การให้น้ำตามร่องควรให้ร่องเว้นร่องไม่จำเป็นต้องให้
ทุกร่อง ถ้าการให้น้ำหรือใส่ปุ๋ยบำรุงดูแลลำบาก อาจกวาดใบไว้ระหว่างแถวเว้น
แถว



ผลกระทบจากการเผาใบอ้อย

ปัจจุบันเกษตรกรมีการเผาใบอ้อยกันมาก แบ่งได้เป็น

1. การเผาใบอ้อยก่อนเก็บเกี่ยว เนื่องจากขาดแคลนแรงงานทำให้ตัดอ้อยไ
ด้เร็วไม่ต้องลอกกาบใบ อ้อยที่เผาใบถ้าไม่รีบตัดส่งโรงงานทันทีจะทำให้น้ำตาล
คุณภาพความหวานและต้องจ่ายค่ากำจัดวัชพืชและให้น้ำเพิ่มขึ้นในอ้อยตอ


2. การเผาใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว
เนื่องจากเกษตรกรต้องป้องกันไฟฟ้า
อ้อยตอหลังจากที่มีหน่องอกแล้ว และทำให้ใส่ปุ๋ยได้สะดวกกลบปุ๋ยง่าย แต่มีผล
เสียตามมาคือ

- เป็นการทำลายอินทรียวัตถุในดิน

- ทำให้สูญเสียความชื้นในดินได้ง่ายเพราะไม่มีใบคลุม

- หน้าดินถูกชะล้างได้ง่าย

- มีวัชพืชในอ้อยตอขึ้นมาก

- มีหนอนกอเข้าทำลายมากขึ้น



แนวทางแก้ไข

คือ ใช้เครื่องสับใบอ้อย คลุกเคล้าลงดิน ระหว่าง แถวอ้อยและถ้าต้องเผาใบอ้อย
จริง ๆ ควรให้น้ำในอ้อยตอทันที จะช่วยลดการตายของอ้อยตอลงได้


3. การเผาใบก่อนการเตรียมดิน
เกษตรกรทำเพื่อให้สะดวกในการเตรียมดิน
ปลูก เพราะล้อรถแทรกเตอร์จะลื่นเวลาไถ มีผลเสียตามมาคือ เป็นการทำลาย
อินทรียวัตถุ ดินอัดแน่นทึบ ไม่อุ้มน้ำ น้ำซึมลงได้ยาก



แนวทางแก้ไข

คือ การใช้จอบหมุนสับเศษใบอ้อยและคลุกเคล้าลงดินก่อนการเตรียมดิน ทำให้
ไม่ต้องเผาใบอ้อยก่อนการเตรียมดิน

 
http://nongruea.khonkaen.doae.go.th/data/tennic_aoy.htm



28. การให้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อย

               
น้ำ เป็นปัจจัยการผลิตหลักที่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิตอ้อย หากอ้อยได้รับน้ำอย่างเพียงพอตลอดช่วงการเจริญเติบโต ผลผลิตอ้อยจะได้ไม่ต่ำกว่า 15 ตันต่อไร่ อ้อยต้องการน้ำเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและสร้างน้ำตาล อ้อยที่ขาดน้ำจะเจริญเติบโตช้า ผลผลิตต่ำ และให้ความหวานต่ำ
               
พื้นที่เพาะปลูกอ้อยส่วนใหญ่อยู่ในเขตอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก มีเพียงส่วนน้อยที่อยู่ในเขตชลประทาน อ้อยต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโตตลอดปี ประมาณ 1,500 มิลลิเมตร การเพิ่มผลผลิตอ้อยให้สูงขึ้นจึงจำเป็นต้องให้น้ำชลประทานหรือน้ำบาดาลช่วย การให้น้ำแก่อ้อยจะทำให้ความสามารถในการไว้ตอดีขึ้น เป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวไร่อีกทางหนึ่ง






ความต้องการน้ำและการตอบสนองต่อการให้น้ำของอ้อย                 
การ ผลิตอ้อยให้ได้ผลผลิตสูงนั้น อ้อยจะต้องได้รับน้ำ (น้ำฝน/ชลประทาน) อย่างเพียงพอ ตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโต ความต้องการน้ำของอ้อยจะขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ และช่วงระยะการเจริญเติบโต ได้แบ่งระยะความต้องการน้ำของอ้อยไว้ 4 ระยะ คือ
              
1. ระยะตั้งตัว (0-30 วัน)เป็นระยะที่อ้อยเริ่มงอกจนมีใบจริง และเป็นตัวอ่อน ระยะนี้อ้อยต้องการน้ำในปริมาณไม่มาก เพราะรากอ้อยยังสั้นและการคายน้ำยังมีน้อย ดินจะต้องมีความชื้นพอเหมาะกับการงอก ถ้าความชื้นในดินมากเกินไปตาอ้อยจะเน่า ถ้าความชื้นในดินน้อยเกินไป ตาอ้อยจะไม่งอก หรือถ้างอกแล้วก็อาจจะเหี่ยวเฉาและตายไป ในสภาพดินที่เมื่อแห้งแล้วผิวหน้าฉาบเป็นแผ่นแข็ง ก็อาจทำให้หน่ออ้อยไม่สามารถแทงโผล่ขึ้นมาได้ ดังนั้น ในระยะนี้การให้น้ำอ้อยควรให้ในปริมาณน้อยและบ่อยครั้ง เพื่อทำให้สภาพความชื้นดินเหมาะสม
             
2. ระยะเจริญเติบโตทางลำต้น (31-170 วัน) ระยะนี้รากอ้อยเริ่มแพร่กระจายออกไปทั้งในแนวดิ่งและแนวระดับ เป็นระยะที่อ้อยกำลังแตกกอและสร้างปล้องเป็นช่วงที่อ้อยต้องการน้ำมาก ถ้าอ้อยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอในระยะนี้ จะทำให้อ้อยมีจำนวนลำต่อกอมาก ปล้องยาว ทำให้อ้อยมีลำยาว และผลผลิตสูง การให้น้ำจึงต้องให้บ่อยครั้ง
             
3. ระยะสร้างน้ำตาลหรือช่วงสร้างผลผลิต (171-295 วัน) ช่วงนี้พื้นที่ใบอ้อยที่ใช้ประโยชน์ได้จะน้อยลง อ้อยจะคายน้ำน้อยลง และตอบสนองต่อแสงแดดน้อยลง จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำบ่อย ให้เฉพาะช่วงที่อ้อยเริ่มแสดงอาการขาดน้ำ
            
4. ระยะสุกแก่ (296-330 วัน) เป็น ช่วงที่อ้อยต้องการน้ำน้อย และในช่วงก่อนเก็บเกี่ยว 6-8 สัปดาห์ ควรหยุดให้น้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำในลำต้นอ้อยและบังคับให้น้ำตาลทั้งหมดในลำอ้อยเปลี่ยนเป็น น้ำตาลซูโครส


ความต้องการน้ำของอ้อยในแต่ละช่วงระยะการเจริญเติบโต ตามตาราง



ความต้องการน้ำของอ้อยในแต่ละช่วงระยะการเจริญเติบโต

ช่วงการเจริญเติบโต ความต้องการน้ำ
มม./วัน มม.
ระยะตั้งตัว (30 วัน)  4 120
ระยะเติบโตทางลำต้น (140 วัน) 4.5 630
ระยะสร้างน้ำตาล (125 วัน) 5 625
ระยะแก่ (35 วัน) 4 140
รวม (330 วัน) - 1,515


ข้อพิจารณาในการให้น้ำแก่อ้อย          
การพิจารณาว่าเมื่อใดควรจะถึงเวลาให้น้ำแก่อ้อย และจะให้น้ำครั้งละปริมาณเท่าใด มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ
          
@ระยะการเจริญเติบโต ความต้องการน้ำของอ้อย ปริมาณน้ำที่ให้แก่อ้อยจะมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโต อัตราความต้องการใช้น้ำ ความลึกที่รากหยั่งลงไปถึง อ้อยจะเจริญเติบโตได้ดีก็ต่อเมื่อความชื้นในดินเหมาะสม ถ้ามีความชื้นในดินสูงหรือต่ำมากเกินไป อ้อยจะเจริญเติบโตผิดปกติ เมื่อดินมีน้ำมากจะทำให้ขาดออกซิเจน โดยทั่วไปถ้าในดินมีอากาศอยู่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ รากอ้อยจะชะงักการดูดธาตุอาหาร น้ำและออกซิเจน เป็นเหตุให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ถ้าขาดน้ำใบจะห่อในเวลากลางวัน
          
@คุณสมบัติทางกายภาพของดิน เช่น ความสามารถของดินในการซับน้ำ ดินต่างชนิดกันย่อมมีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ไม่เหมือนกันสำหรับดินที่สามารถ ซับน้ำไว้ได้มากไม่จำเป็นต้องให้น้ำบ่อยครั้งเหมือนดินที่มีเนื้อหยาบและซับ น้ำได้น้อย ดินเหนียวจะมีความชื้นอยู่มากกว่าดินทราย ดังนั้น หลักการให้น้ำแก่อ้อยที่ถูกต้อง คือ ให้น้ำตามที่อ้อยต้องการ ส่วนปริมาณน้ำที่จะให้แต่ละครั้งมากน้อยเท่าไร และใช้เวลานานเท่าใด ย่อมขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางกายภาพของดินซึ่งไม่เหมือนกัน
          
@สภาพลมฟ้าอากาศ อุณหภูมิ ของอากาศ การพิจารณาการให้น้ำแก่อ้อยจะต้องพิจารณาถึง อุณหภูมิและสภาพลมฟ้าอากาศด้วย ในช่วงที่มีอุณหภูมิสูงอ้อยจะคายน้ำมาก ความต้องการน้ำจะมากตามไปด้วย จำเป็นต้องให้น้ำบ่อยขึ้น ในช่วงที่มีฝนตกควรงดให้น้ำ และหาทางระบายน้ำแทน เพื่อให้ดินมีความชื้นและอากาศในดินเหมาะสม ในช่วงฝนทิ้งช่วงควรให้น้ำช่วยจะทำให้การเจริญเติบโตของอ้อยดีขึ้นระบบการให้น้ำอ้อย

            
การ เลือกระบบการให้น้ำอ้อยที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของดิน ความลาดเอียงของพื้นที่ ต้นทุน และความพร้อมในการนำน้ำมาใช้ รวมทั้งความพร้อมในด้านแรงงาน และอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ในการให้น้ำ ระบบการให้น้ำอ้อยในปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ทั้งในและต่างประเทศมีดังนี้
            
1. การให้น้ำแบบร่อง (Furrow irrigation)
เป็นระบบการให้น้ำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่าง ประเทศ เพราะเป็นระบบที่ใช้ต้นทุนต่ำ สะดวกและง่ายในการปฏิบัติ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่แปลงปลูกอ้อยจะต้องค่อนข้างราบเรียบ โดยมีความลาดชัน ไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพของการให้น้ำแบบร่องจะผันแปรอยู่ระหว่าง 30-90 เปอร์เซ็นต์ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ การให้น้ำได้โดยการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสม
                
โดยปกติการให้น้ำระบบนี้จะมีร่องน้ำที่หัวแปลงหรืออาจใช้ ท่อหรือสายยางที่มีช่องเปิดให้น้ำไหลเข้าร่องอ้อยแต่ละร่อง เมื่อน้ำไหลไปจนสุดร่องแล้ว อาจยังคงปล่อยน้ำต่อไปอีกเพื่อให้น้ำซึมลงในดินมากขึ้นน้ำที่ท้ายแปลงอาจ ระบายออกหรือเก็บรวบรวมไว้ในบ่อพักเพื่อนำกลับมาใช้อีก ในแปลงอ้อยที่มีความลาดชันน้อยมาก (ใกล้ 0 เปอร์เซ็นต์) สามารถจัดการให้น้ำโดยไม่มีน้ำเหลือทิ้งท้ายแปลงได้ โดยปรับสภาพพื้นที่ให้มีความลาดชันน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์และทำคันกั้นน้ำตลอดท้ายแปลง น้ำที่ให้ไปสุดท้ายแปลงจะถูกดักไว้โดยคันกั้นน้ำ ทำให้น้ำมีเวลาซึมลงในดินมากขึ้น วิธีนี้จะเหมาะกับดินที่มีการซึมน้ำช้า และน้ำที่จะให้มีจำกัด
                 
แม้ ว่าการให้น้ำระบบร่องจะใช้ได้กับพื้นที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กับพื้นที่ที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ สำหรับความยาวร่องที่ใช้มีตั้งแต่ 25 เมตร ถึง 1,000 เมตร รูปร่าง ของร่องและอัตราการไหลของน้ำ ขึ้นกับชนิดของดินและความลาดชันของพื้นที่ สำหรับดินที่มีความสามารถ ในการซึมน้ำได้ดี ควรใช้ร่องปลูกรูปตัว ‘V' และมีสันร่องกลาง เพื่อให้น้ำไหลได้เร็วและลดการสูญเสียน้ำ จากการซึมลึกในแนวดิ่ง ในทางกลับกันสำหรับดินที่มีการซึมน้ำเลว ควรใช้ร่องที่มีก้นร่องกว้างและสันร่องแคบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของดินกับน้ำ ทำให้น้ำซึมลงดินได้ทั่วถึง
            

2. การให้น้ำแบบพ่นฝอย (Sprinkler irrigation)
การให้น้ำแบบนี้ใช้ได้กับทุกสภาพพื้นที่และทุกชนิดดิน ประสิทธิภาพในการใช้น้ำอาจเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ ได้ ถ้ามีการจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสม การให้น้ำแบบนี้มีหลายรูปแบบ เช่น
                
- สปริงเกอร์หัวใหญ่ ต้องใช้ปั๊มน้ำแรงดันสูงและมีทางวิ่งถาวรในแปลงอ้อย

รุ่นประหยัดให้ดูตามลิงค์นี้ http://www.sprinklethai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-SUPER-GUN.html

รุ่นคุณภาพให้ดูตามลิงค์นี้ http://www.sprinklethai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539161088
                
- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กเคลื่อนย้ายได้ ใช้สำหรับอ้อยปลูกหรืออ้อยตออายุน้อย และปริมาณน้ำที่ให้มีจำกัด มีข้อเสียคือ ต้องใช้แรงงานมากในการเคลื่อนย้าย และไม่สามารถใช้กับอ้อยสูงได้ 
                
- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กบนแขนระนาบ (Lateral move irrigators) ข้อดีคือสามารถให้น้ำในพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพและใช้แรงงานน้อย แต่มีข้อเสียคือใช้ต้นทุนสูงสำหรับอุปกรณ์และเครื่องมือ
                
- สปริงเกอร์แบบหัวเล็กขนแขนที่เคลื่อนเป็นวงกลมรอบจุดศูนย์กลาง (Centre-pivot irrigators)
            

3. การให้น้ำแบบน้ำหยด (Drip irrigation)
เป็นวิธีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพในการให้น้ำสูงสุด โดยสามารถให้น้ำเฉพาะรอบ ๆ รากพืช และสามารถให้ปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชไปพร้อมกับน้ำได้เลย ปัจจุบันมีใช้กันอยู่ 2 แบบ คือ
                
- ระบบน้ำหยดบนผิวดิน (Surface system) ระบบนี้จะวางสายให้น้ำบนผิวดินในแนวกึ่งกลางร่อง หรือข้าร่อง อาจวางทุกร่องหรือร่องเว้นร่อง ให้ดูตามลิงค์นี้
http://www.sprinklethai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538735755
                
- ระบบน้ำหยดใต้ผิวดิน (Subsurface system) ระบบนี้จะต้องวางสายให้น้ำก่อนปลูก โดยปกติจะฝังลึกประมาณ 25-30 ซม. และสายให้น้ำจะอยู่ใต้ท่อนพันธุ์อ้อยประมาณ 10 ซม




http://www.sprinklethai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539163966&Ntype=1






13. กลุ่มมิตรผลสร้างโมเดลใหม่

       ประกันวัตถุดิบเหลือเฟือ


กลุ่มมิตรผล สร้างมิตรผลโมเดล เพิ่มผลผลิตต่อไร่สร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบ แทนการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย ตั้งเป้าหนุนชาวไร่ปลูกอ้อย 17 ตัน ต่อ ไร่ ชี้แนวโน้มความต้องการอ้อยเพิ่มสูงขึ้นหลังกระทรวงอุตสาหกรรมเล็กพิจารณาใบอนุญาตโรงงานน้ำตาลอีก 20 แห่ง เล็งลงทุนระบบน้ำ 300 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ขยายพื้นที่ชลประทานหนุนเพิ่มผลผลิต


นายวิโรจน์  ภู่สว่าง  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานอ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัทรวมเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด  กลุ่มมิตรผล เปิดเผยว่า ช่วงกลางปี 2553 มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยฤดูกาลผลิต 2553/2554 จะอยู่ที่ 60 ล้านตันเพราะมีปัญหาภัยแล้ง  แต่เมื่อสถานการณ์แล้งดีขึ้นทำให้คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยน่าจะอยู่ที่ 66-68 ล้านตัน  ซึ่งหากอ้อยยังอยู่ที่ 60 ล้านตันตามคาดการณ์เดิมจะส่งผลกระทบต่อการผลิตของโรงงานน้ำตาลมาก  โดยกลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของวัตถุดิบเนื่องจากในปัจจุบันโรงงานน้ำตาลใช้กำลังการผลิตน้อยกว่าที่มีอยู่แล้ว


กลุ่มน้ำตาลมิตรผลมองการเพิ่มผลผลิตอ้อยต่อไร่ (แนวดิ่ง) เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับโรงงานน้ำตาลมากกว่าการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย (แนวราบ)  โดยพื้นที่ปลูกอ้อยนับวันจะน้อยลงเพราะมีพืชเกษตรหลายประเภทที่มีราคาดีมาแย่ง  ซึ่งปัจจุบันไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อย 6.5 ล้านไร่ และเพิ่มพื้นที่ลำบากทำให้กลุ่มมิตรผลเน้นการเพิ่มวัตถุดิบแนวดิ่งมากกว่าแนบราบ  โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มมิตรผลได้เน้นการวิจัยและพัฒนาผลผลิตอ้อย 


นายวิโรจน์ กล่าวว่า กลุ่มมิตรผลต้องการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับธุรกิจ  โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอกับความต้องการของโรงงานน้ำตาล  ซึ่งต่อไปมีแนวโน้มที่ความต้องการอ้อยจะเพิ่มมากขึ้น  เพราะกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการพิจารณาออกใบอนุญาตย้าย ขยายและตั้งโรงงานน้ำตาลใหม่  โดยในช่วงกลางปี 2553 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกใบอนุญาตย้าย ขยายและตั้งโรงงานใหม่ไปแล้ว 10 แห่ง  และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 20 แห่ง  ซึ่งจะทำให้โรงงานน้ำตาลของประเทศเพิ่มขึ้นมากจากปัจจุบันที่มี 47 โรง


นายวิโรน์ กล่าวว่า กลุ่มมิตรผลได้ดำเนินโครงการมิตรผลโมเดล  ซึ่งมีรูปแบบเป็นจิกซอว์เพื่อต่อยอดการพัฒนาที่ยั่งยืน  โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากปัจจุบันไร่ละ 8 ตัน เป็น 17 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 123 %  ค่าความหวานที่ 11-12 ซี.ซี.เอส.  และหากเปรียบเทียบกับผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกจะพบว่าผลผลิตอ้อยเฉลี่ยของไทยยังต่ำมาก  เพราะบราซิล ออสเตรเลีย จีนและอินเดียมีผลผลิตต่อไร่ที่ 13-15 ตัน ค่าความหวานที่ 13-15 ซี.ซี.เอส.  เพราะฟื้นที่ปลูกอ้อยส่วนใหญ่ของไทยต้องใช้น้ำฝน  และหากปีใดฝนแล้งก็จะมีผลผลิตต่ำ  รวมทั้งผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องเพื่อต่อยอดธุรกิจน้ำตาล เช่น โรงงานผลิตปาร์ติเกิลบอร์ด โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงงานเอทานอล


เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่ามีปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตอ้อยต่ำกว่าประเทศอื่น 4 ด้าน คือ 1.ขาดการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงพันธุ์อ้อยที่มีความหวานสูง ทนทานต่อโรค  2.ขาดการจัดการด้านการบำรุงดิน การจัดการน้ำในไร่ การบำรุงต้นอ้อย การป้องกันแมลงอย่างมีประสิทธิภาพ  3.ขาดการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการปลูกอ้อย  4.ขาดการเก็บเกี่ยวและขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเผาอ้อยก่อนตัด


ทั้งนี้ ได้นำร่องโครงการมิตรผลโมเดลที่จังหวัดชัยภูมิในพื้นที่ 300 ไร่  โดยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจะเข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำให้กับชาวไร่  ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างโรงงานน้ำตาลและชาวไร่ในอัตราส่วน 50:50  โดยโรงงานน้ำตาลจะเป็นผู้ลงทุนสร้างแหล่งน้ำและชาวไร่เป็นผู้ลงทุนการเชื่อมต่อแหล่งน้ำ  และกลุ่มมิตรผลมีแผนที่จะขยายพื้นที่นำร่องออกไปเป็น 8,000 ไร่  ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 3-4 ปี ในการปรับปรุงการเพาะปลูกให้ได้ตามมิตรผลโมเดล


มิตรผลโมเดลกำหนดให้โรงงานน้ำตาลเข้าไปวางระบบแหล่งน้ำ  และเข้าไปวางระบบการบริหารจัดการภายในไร่อ้อย  ซึ่งครอบคลุมการจัดการดิน น้ำและพันธุ์อ้อยที่เหมาะสม  และสร้างการรวมกลุ่มของชาวไร่เพื่อร่วมกันปลูกตามวิธีที่ได้มาตรฐานเดียวกัน เช่น การรวมกลุ่มจ้างเครื่องจักรเพื่อให้ต้นทุนถูกลง  โดยที่ผ่านมากลุ่มมิตรผลเข้าไปช่วยพัฒนาแหล่งน้ำให้กับชาวไร่อ้อยมานานแล้ว  แต่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการเพิ่มแหล่งน้ำเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้  จึงทำให้กลุ่มมิตรผลสร้างมิตรผลโมเดลขึ้นมา  เพราะเป็นการวางระบบจัดการไร่อ้อยอย่างครบวงจร


นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลจะนำโมเดลดังกล่าวไปใช้กับโรงงานน้ำตาลที่ไปลงทุนในต่างประเทศด้วย  ซึ่งโรงงานน้ำตาลมิตรผลในจีนได้เข้ามาศึกษาแนวเพื่อนำไปใช้กับชาวไร่ในจีน  ส่วนโรงงานน้ำตาลที่ลาวเป็นพื้นที่ที่กลุ่มมิตรผลได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาว  และกลุ่มมิตรผลดำเนินการปลูกเองจึงดำเนินการได้ทันที


นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลังจากที่ดำเนินโครงการนำร่องไปแล้วกลุ่มมิตรผลมีแผนที่จะพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยของชาวไร่ต่อเนื่อง  โดยในปี 2553 กลุ่มมิตรผลลงทุนพัฒนาระบบน้ำ 90 ล้านบาท เพื่อวางระบบชลประทานให้กับโรงงานน้ำตาลของกลุ่มมิตรผล 5 โรงงาน ครอบคลุมพื้นที่ 32,000 ไร่  ซึ่งจะดำเนินการเสร็จในเดือน เม.ย.2554  และในปี 2554-2556 มีแผนที่จะลงทุนเพื่อขยายพื้นที่ชลประทานในพื้นที่ปลูกอ้อยของกลุ่มมิตรผลจาก 40 % เป็น 60-65 %  จากพื้นที่ปลูกอ้อยของมิตรผลทั้งหมด 1.2 ล้านไร่  โดยต้องใช้วงเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท  ซึ่งเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้กับโรงงานน้ำตาลได้




http://202.183.166.13/main/media.php?media_id=MzkzOQ==







หน้าก่อน หน้าก่อน (2/3)


สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-05 (18636 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©