-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 540 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

อินทผลัม




หน้า: 3/5



เดิมทีคนไทยจะบริโภคผลอินทผลัม ส่วนใหญ่เป็นผลอินทผลัมแช่อิ่มและเชื่อม มีรสชาติหวานจัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพราะไม้ผลตระกูลปาล์มปลูกแถบตะวันออกกลาง และตอนเหนือของประเทศแอฟริกา โดยเฉพาะอินทผลัมจากประเทศอิสราเอลถือว่ามีคุณภาพดีที่สุด ราคาตกกิโลกรัมละ 500-600 บาท แต่ปัจจุบันเมืองไทยสามารถปลูกอินทผลัมได้แล้ว หลังจากที่ ศักดิ์ ลำจวน เจ้าของสวน "บ้านสวนโกหลัก" หมู่ 1 ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ สามารถพัฒนาสายพันธุ์อินทผลัมลูกผสมระหว่างพันธุ์แลคเรตนัวของอิสราเอล กับพันธุ์บาไฮของจอร์แดน จนประสบผลสำเร็จจนออกผลผลิตมาแล้ว 3 ปี ตั้งชื่อใหม่อินทผลัมไทยพันธุ์เคปแอล 1 "แม่โจ้ 36 " มีคุณสมบัติพิเศษออกผลผลิตเร็ว สามารถบริโภคผลสดๆ มีสชาติหวาน กรอบ มัน เนื้อหนา เมล็ดเล็ก


ศักดิ์ เป็นคน อ.ไชยปราการ เรียนจบมหาวิทยาลัยแม่โจ้รุ่นที่ 36 จึงตั้งชื่ออินทผลัมลูกผสมที่เขาพัฒนาขึ้นมาเองเป็น "แม่โจ้ 36" หลังจากที่เรียนจบจึงประกอบอาชีพเปิดร้านขายอุปกรณ์ด้านการเกษตรใน อ.ไชยปราการ พร้อมๆ กับการทำสวนลำไย กระทั่ง 12 ปีก่อน เขามีมีโอกาสเดินทางไปดูงานด้านการเกษตรที่ประเทศอิสราเอล โดยผ่านประเทศจอร์แดน และเข้าชมสวนอินทผลัมทั้ง 2 ประเทศ จึงเกิดความสนใจขึ้นมา แม้ที่ผ่านมาในประเทศไทยจะปลูกอยู่แล้วหลายสายพันธุ์ส่วนใหญ่เน้นเป็นไม่ประดับเพราะไม่ออกผลผลิต หรือออกผลผลิตน้อย ผลเล็กรสชาติฝาด เขาจึงนำเข้าต้นอินทผลัมทั้งจากอิสาเอลและจอร์แดนกว่า 20 ต้นจาก 6 สายพันธุ์มาปลูกที่ อ.ไชยปราการ


"ผมนำมาปลูกที่ไชยปราการกว่า 20 ต้น ระยะห่าง 8x8 เมตร ช่วงนั้น อ.ณัฐวุฒิ ภาษยะวรรณ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร แนะนำวิธีการผสมพันธุ์ใหม่ คือนำเกสรเพศผู้ใส่ถุงพลาสติก นำไปเก็บไว้ในตู้เย็น เมื่อดอกเพศเมียแก่เต็มที่จึงนำเกสรเพศผู้มาผสมพันธุ์ ด้วยการใช้ถุงพลาสติกครอบช่อดอกเพศเมีย ผมลองทั้งสายพันธุ์เดียวกันและข้ามสายพันธุ์ พอได้เมล็ดมารุ่นแรกจึงนำไปเพาะปลูกพอรุ่นแรกออกดอกก็ผสมเป็นรุ่นที่สอง ใช้เวลา 8 ปีพบว่าบ้านเราเหมาะกับสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างพันธุ์แลคเรตนัวของอิสราเอล กับพันธุ์บาไฮของจอร์แดน ผลออกมาผมตะลึงครับ เพราะอายุเพียง 2 ปีออกดอก และ 3 ปีออกผลผลิต หากใช้วิธีบังคับไม่ถึงปีออกดอกแล้ว ขณะที่ต่างประเทศต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ตอนนี้สายพันธุ์นิ่งแล้วผมตั้งชื่อพันธุ์ใหม่ เคแอล 1 (แม่โจ้ 36) เพื่อเป็นเกียรติแก่สถาบันที่ผมเรียนมา ตอนนี้ผมปลูกทั้งหมดราว 750 ต้นในเนื้อที่ 30 ไร่" ศักดิ์ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ


ผลผลิตชุดแรก ศักดิ์บอกว่า ออกในปี 2548 และนำไปเปิดตัวในงาน "มหกรรมพืชสวนโลก" ครั้งที่แล้วที่สวนราชพฤกษ์ที่เชียงใหม่ ข้อที่ดีกว่าอินทผลัมจากต่างประเทศ นอกจากจะออกผลผลิตเร็วแล้ว  คือผลที่ออกมามีความแก่ 80-85% รับประทานได้เลยสดๆ มีรสชาติหวาน กรอบ มัน ติดฝาดนิดๆ เนื้อหนา เมล็ดเล็ก หากสุกกว่า 90% รสชาติหวานชุ่มคอ ขณะนี้ออกผลผลิตแล้ว 3 รุ่น ล่าสุดปีนี้ 4 ต้น หากทุกต้นอายุเกิน 5 ปีน่าจะมีผลผลิตเพิ่มกว่าเท่าตัว เพราะต้นแรกที่มีอายุมา 11 ปีออกผลผลิตต้นละกว่า 200 กิโลกรัม ปัจจุบันขายนราคากิโลกรัมละ 500-600 บาท ส่วนใหญ่ส่งไปยังบรูไน และมาเลเซีย ในเมืองไทยขายเฉพาะผู้ใหญ่ที่สั่งมาเท่านั้น


"ผมมั่นใจว่าอินทผลัมพันธุ์แม่โจ้ 36 ปลูกได้ทุกพื้นที่ แต่ต้องดูแลเรื่องปุ๋ย เรื่องน้ำ ระวังพื้นที่น้ำท่วม ผมจึงเพาะขยายพันธุ์ขายต้นละ 800 บาท ตอนนี้มาเลเซียและจอร์แดนเองให้ความสนใจมาก" ศักดิ์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจอยากไปศึกษาการปลูกอินทผลัมไทย "แม่โจ้ 36 " "คม ชัด ลึก" จัดโครงท่องโลกเกษตรที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ จะแวะที่บ้านสวนโกหลักด้วยเพื่อไปชิมดูว่าอินทผลัมแม่โจ้ 36 มีรสชาติอย่างไร สอบถามได้ที่โทร.0-338-3356-7 หรือสอบถาม ศักดิ์ โทร.0-5345-7081


"ดลมนัส  กาเจ"




แม่โจ้ 36 อินทผลัมไทย ต่างประเทศสนใจสายพันธุ์

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 53


จากสมุดบันทึก ภาพปะปิดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีภาพลูกอินทผลัม พร้อมกับลายพระหัตถ์ว่า "ที่ไชยปราการ เชียงใหม่ มีอินทผลัมพันธุ์ แม่โจ้ 36"

เพียงประโยคสั้นๆได้สร้างความปีติ ปลาบปลื้มให้กับ นายศักดิ์ ลำจวน เจ้าของ บ้านสวนโกหลัก ซึ่งเป็น แหล่งกำเนิดอินทผลัมต้นนี้ มุ่งบูรณาการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ต่อไปอีก






นายศักดิ์ ลำจวน เกษตรกรชาวสวน ผู้ดำเนินการพัฒนาพันธุ์ อินทผลัมพันธุ์แม่โจ้ 36 อดีตประกอบอาชีพปลูกลำไย ครั้งหนึ่งได้เดินทางไปต่างประเทศ เห็นเขาบริโภคผลสดแล้วโยนเมล็ดทิ้ง จึงเกิดแรงบันดาลใจว่า หากบ้านเราสามารถผลิตผลไม้ชนิดนี้ได้ก็คงไม่ต้องนำเข้าและคิดว่าน่าจะทำได้ เพราะเมืองไทยมีการปลูกอินทผลัมเช่นกัน แต่เป็นพันธุ์ดูไบ หากกินผลก็คงจะไม่แตกต่างกันมากนัก
เลยเก็บเมล็ดที่ถูกทิ้งใส่ถุงกลับเมืองไทย แล้วนำมาเพาะ พร้อมกับชักชวน นายนิรันดร์ ดิษฐ์กระจัน (จากกรมวิชาการเกษตร) นายวีระศักดิ์ แก้วคราม (จากกรมส่งเสริมการเกษตร) เพื่อนนักศึกษาแม่โจ้รุ่นน้อง ร่วมทำการวิจัยและทดลองในการปลูกด้วยพืชชนิดนี้มี 2 เพศ คือ ต้นผู้ กับ ต้นเมีย จึงต้องใช้ความพยายามในการผสมพันธุ์เพื่อให้เกิดลูก ทำการทดลองสลับไขว้ต้นพันธุ์ไปมา จนกระทั่งได้ต้นที่มีคุณภาพดีที่สุด และเพื่อให้ผลงานเป็นอนุสรณ์กับรุ่นและสถาบันที่ให้ความรู้ในการเกษตรมาจึงตั้งชื่อว่า แม่โจ้ 36


อินทผลัม แม่โจ้ 36

ผลของมันบริโภคได้ทั้งสุกและสด เนื้อกรอบนุ่ม หวานมัน ซึ่งมีความพิเศษคือ ให้ผลผลิตเร็ว ปลูกเพียง 2 ปีก็ออกลูก (พันธุ์ อื่นๆจะใช้เวลาถึง 5 ปี) ผลผลิตจะสุกเต็มที่ ช่วงกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนสิงหาคมหากเก็บไว้ในอุณหภูมิ 8 องศาเซลเชียส จะคงสภาพอยู่ได้นานหลายเดือน ซึ่งตอนนี้ทางสวน ยังไม่เน้นในการจำหน่ายผลผลิต เพราะยังอยู่ในช่วงของการขยายพันธุ์


หลังจากที่ได้รับความสำเร็จในการพัฒนาสายพันธุ์ ชาวต่างประเทศทั้งไกลใกล้ทราบข่าวต่างให้ความสนใจ อาทิ DAT0` HAMZAH BIN ZAINUNIN รองผู้ว่าราชการและ ส.ส.รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เดินทางมาชมสวน และนำไปปลูกทดลองเป็นการประเดิมแล้วประมาณ 50 เฮกตาร์

และเมื่อไม่กี่วันมานี้ Hamid U. Badru Al Timimi Vice Chairman Mercy horison แห่ง Oman ก็ได้ให้ความสนใจ เพื่อนำไปปลูกที่ประเทศเขาเช่นกัน


หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ บ้านสวนโกหลัก 37 หมู่ 1 ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ 50320 โทร. 0-5345-7081, 08-9855-9569 และ 08-1582-4444 ทุกวันช่วงเวลาที่อาทิตย์ฉายแสง.



ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 21 กรกฎาคม 2553

http://www.thairath.co.th/content/edu/97607




หน้าก่อน หน้าก่อน (2/5) - หน้าถัดไป (4/5) หน้าถัดไป


Content ©